Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อิติวุตฺตก-อฎฺฐกถา • Itivuttaka-aṭṭhakathā

    ๖. ปฐมเสขสุตฺตวณฺณนา

    6. Paṭhamasekhasuttavaṇṇanā

    ๑๖. ฉเฎฺฐ เสขสฺสาติ เอตฺถ เกนเฎฺฐน เสโข? เสกฺขธมฺมปฎิลาภโต เสโขฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    16. Chaṭṭhe sekhassāti ettha kenaṭṭhena sekho? Sekkhadhammapaṭilābhato sekho. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘กิตฺตาวตา นุ โข, ภเนฺต, เสโข โหตีติ? อิธ, ภิกฺขุ, เสขาย สมฺมาทิฎฺฐิยา สมนฺนาคโต โหติ…เป.… เสเขน สมฺมาสมาธินา สมนฺนาคโต โหติฯ เอตฺตาวตา โข, ภิกฺขุ, เสโข โหตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๓)ฯ

    ‘‘Kittāvatā nu kho, bhante, sekho hotīti? Idha, bhikkhu, sekhāya sammādiṭṭhiyā samannāgato hoti…pe… sekhena sammāsamādhinā samannāgato hoti. Ettāvatā kho, bhikkhu, sekho hotī’’ti (saṃ. ni. 5.13).

    อปิจ สิกฺขตีติ เสโขฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –

    Apica sikkhatīti sekho. Vuttampi cetaṃ –

    ‘‘สิกฺขตีติ โข, ภิกฺขุ, ตสฺมา เสโขติ วุจฺจติฯ กิญฺจ สิกฺขติ? อธิสีลมฺปิ สิกฺขติ, อธิจิตฺตมฺปิ สิกฺขติ, อธิปญฺญมฺปิ สิกฺขติฯ สิกฺขตีติ โข, ภิกฺขุ, ตสฺมา เสโขติ วุจฺจตี’’ติ (อ. นิ. ๓.๘๖)ฯ

    ‘‘Sikkhatīti kho, bhikkhu, tasmā sekhoti vuccati. Kiñca sikkhati? Adhisīlampi sikkhati, adhicittampi sikkhati, adhipaññampi sikkhati. Sikkhatīti kho, bhikkhu, tasmā sekhoti vuccatī’’ti (a. ni. 3.86).

    โยปิ กลฺยาณปุถุชฺชโน อนุโลมปฺปฎิปทาย ปริปูรการี สีลสมฺปโนฺน อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวาโร โภชเน มตฺตญฺญู ชาคริยานุโยคมนุยุโตฺต ปุพฺพรตฺตาปรรตฺตํ โพธิปกฺขิยานํ ธมฺมานํ ภาวนานุโยคมนุยุโตฺต วิหรติ – ‘‘อชฺช วา เสฺว วา อญฺญตรํ สามญฺญผลํ อธิคมิสฺสามี’’ติ, โสปิ วุจฺจติ สิกฺขตีติ เสโขติฯ อิมสฺมิํ อเตฺถ น ปฎิวิชฺฌโนฺตว เสโข อธิเปฺปโต, อถ โข กลฺยาณปุถุชฺชโนปิฯ อปฺปตฺตํ มานสํ เอเตนาติ อปฺปตฺตมานโสมานสนฺติ ‘‘อนฺตลิกฺขจโร ปาโส, ยฺวายํ จรติ มานโส’’ติ (สํ. นิ. ๑.๑๕๑; มหาว. ๓๓) เอตฺถ ราโค มานสนฺติ วุโตฺตฯ ‘‘จิตฺตํ มโน มานส’’นฺติ (ธ. ส. ๖๓, ๖๕) เอตฺถ จิตฺตํฯ ‘‘อปฺปตฺตมานโส เสโข, กาลํ กยิรา ชเน สุตา’’ติ (สํ. นิ. ๑.๑๕๙) เอตฺถ อรหตฺตํฯ อิธาปิ อรหตฺตเมว อธิเปฺปตํฯ เตน อปฺปตฺตอรหตฺตสฺสาติ วุตฺตํ โหติฯ

    Yopi kalyāṇaputhujjano anulomappaṭipadāya paripūrakārī sīlasampanno indriyesu guttadvāro bhojane mattaññū jāgariyānuyogamanuyutto pubbarattāpararattaṃ bodhipakkhiyānaṃ dhammānaṃ bhāvanānuyogamanuyutto viharati – ‘‘ajja vā sve vā aññataraṃ sāmaññaphalaṃ adhigamissāmī’’ti, sopi vuccati sikkhatīti sekhoti. Imasmiṃ atthe na paṭivijjhantova sekho adhippeto, atha kho kalyāṇaputhujjanopi. Appattaṃ mānasaṃ etenāti appattamānaso. Mānasanti ‘‘antalikkhacaro pāso, yvāyaṃ carati mānaso’’ti (saṃ. ni. 1.151; mahāva. 33) ettha rāgo mānasanti vutto. ‘‘Cittaṃ mano mānasa’’nti (dha. sa. 63, 65) ettha cittaṃ. ‘‘Appattamānaso sekho, kālaṃ kayirā jane sutā’’ti (saṃ. ni. 1.159) ettha arahattaṃ. Idhāpi arahattameva adhippetaṃ. Tena appattaarahattassāti vuttaṃ hoti.

    อนุตฺตรนฺติ เสฎฺฐํ, อสทิสนฺติ อโตฺถฯ จตูหิ โยเคหิ เขมํ อนุปทฺทุตนฺติ โยคเกฺขมํ, อรหตฺตเมว อธิเปฺปตํฯ ปตฺถยมานสฺสาติ เทฺว ปตฺถนา ตณฺหาปตฺถนา, กุสลจฺฉนฺทปตฺถนา จฯ ‘‘ปตฺถยมานสฺส หิ ชปฺปิตานิ, ปเวธิตํ วาปิ ปกปฺปิเตสู’’ติ (สุ. นิ. ๙๐๘; มหานิ. ๑๓๗) เอตฺถ ตณฺหาปตฺถนาฯ

    Anuttaranti seṭṭhaṃ, asadisanti attho. Catūhi yogehi khemaṃ anupaddutanti yogakkhemaṃ, arahattameva adhippetaṃ. Patthayamānassāti dve patthanā taṇhāpatthanā, kusalacchandapatthanā ca. ‘‘Patthayamānassa hi jappitāni, pavedhitaṃ vāpi pakappitesū’’ti (su. ni. 908; mahāni. 137) ettha taṇhāpatthanā.

    ‘‘ฉินฺนํ ปาปิมโต โสตํ, วิทฺธสฺตํ วินฬีกตํ;

    ‘‘Chinnaṃ pāpimato sotaṃ, viddhastaṃ vinaḷīkataṃ;

    ปาโมชฺชพหุลา โหถ, เขมํ ปเตฺถถ ภิกฺขโว’’ติฯ (ม. นิ. ๑.๓๕๒);

    Pāmojjabahulā hotha, khemaṃ patthetha bhikkhavo’’ti. (ma. ni. 1.352);

    เอตฺถ กตฺตุกมฺยตากุสลจฺฉนฺทปตฺถนา, อยเมว อิธาธิเปฺปตาฯ เตน ปตฺถยมานสฺสาติ ตํ โยคเกฺขมํ คนฺตุกามสฺส ตนฺนินฺนสฺส ตโปฺปณสฺส ตปฺปพฺภารสฺสาติ อโตฺถฯ วิหรโตติ เอกํ อิริยาปถทุกฺขํ อเญฺญน อิริยาปเถน วิจฺฉินฺทิตฺวา อปริปตนฺตํ อตฺตภาวํ หรโตฯ อถ วา ‘‘สเพฺพ สงฺขารา อนิจฺจาติ อธิมุจฺจโนฺต สทฺธาย วิหรตี’’ติอาทินา นิเทฺทสนเยน เจตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ อชฺฌตฺติกนฺติ นิยกชฺฌตฺตสงฺขาเต อชฺฌเตฺต ภวํ อชฺฌตฺติกํฯ องฺคนฺติ การณํฯ อิติ กริตฺวาติ เอวํ กตฺวาฯ น อญฺญํ เอกงฺคมฺปิ สมนุปสฺสามีติ เอตฺถ อยํ สเงฺขปโตฺถ – ภิกฺขเว, อชฺฌตฺตํ อตฺตโน สนฺตาเน สมุฎฺฐิตํ การณนฺติ กตฺวา อญฺญํ เอกการณมฺปิ น สมนุปสฺสามิ ยํ เอวํ พหูปการํ, ยถยิทํ โยนิโส มนสิกาโรติ อุปายมนสิกาโร, ปถมนสิกาโร, อนิจฺจาทีสุ อนิจฺจาทินเยเนว มนสิกาโร, อนิจฺจานุโลมิเกน วา จิตฺตสฺส อาวฎฺฎนา อนฺวาวฎฺฎนา อาโภโค สมนฺนาหาโร มนสิกาโรฯ อยํ โยนิโส มนสิกาโรฯ

    Ettha kattukamyatākusalacchandapatthanā, ayameva idhādhippetā. Tena patthayamānassāti taṃ yogakkhemaṃ gantukāmassa tanninnassa tappoṇassa tappabbhārassāti attho. Viharatoti ekaṃ iriyāpathadukkhaṃ aññena iriyāpathena vicchinditvā aparipatantaṃ attabhāvaṃ harato. Atha vā ‘‘sabbe saṅkhārā aniccāti adhimuccanto saddhāya viharatī’’tiādinā niddesanayena cettha attho daṭṭhabbo. Ajjhattikanti niyakajjhattasaṅkhāte ajjhatte bhavaṃ ajjhattikaṃ. Aṅganti kāraṇaṃ. Iti karitvāti evaṃ katvā. Na aññaṃ ekaṅgampi samanupassāmīti ettha ayaṃ saṅkhepattho – bhikkhave, ajjhattaṃ attano santāne samuṭṭhitaṃ kāraṇanti katvā aññaṃ ekakāraṇampi na samanupassāmi yaṃ evaṃ bahūpakāraṃ, yathayidaṃ yoniso manasikāroti upāyamanasikāro, pathamanasikāro, aniccādīsu aniccādinayeneva manasikāro, aniccānulomikena vā cittassa āvaṭṭanā anvāvaṭṭanā ābhogo samannāhāro manasikāro. Ayaṃ yoniso manasikāro.

    อิทานิ โยนิโส มนสิการสฺส อานุภาวํ ทเสฺสตุํ ‘‘โยนิโส, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ มนสิ กโรโนฺต อกุสลํ ปชหติ, กุสลํ ภาเวตี’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ โยนิโส มนสิ กโรโนฺตติ ‘‘อิทํ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ, อยํ ทุกฺขสมุทโย อริยสจฺจํ, อยํ ทุกฺขนิโรโธ อริยสจฺจํ, อยํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฎิปทา อริยสจฺจ’’นฺติ จตูสุ อริยสเจฺจสุ โยนิโส มนสิการํ ปวเตฺตโนฺตฯ

    Idāni yoniso manasikārassa ānubhāvaṃ dassetuṃ ‘‘yoniso, bhikkhave, bhikkhu manasi karonto akusalaṃ pajahati, kusalaṃ bhāvetī’’ti vuttaṃ. Tattha yoniso manasi karontoti ‘‘idaṃ dukkhaṃ ariyasaccaṃ, ayaṃ dukkhasamudayo ariyasaccaṃ, ayaṃ dukkhanirodho ariyasaccaṃ, ayaṃ dukkhanirodhagāminī paṭipadā ariyasacca’’nti catūsu ariyasaccesu yoniso manasikāraṃ pavattento.

    ตตฺรายํ อตฺถวิภาวนา – ยทิปิ อิทํ สุตฺตํ อวิเสเสน เสกฺขปุคฺคลวเสน อาคตํ, จตุมคฺคสาธารณวเสน ปน สเงฺขเปเนว กมฺมฎฺฐานํ กถยิสฺสามฯ โย จตุสจฺจกมฺมฎฺฐานิโก โยคาวจโร ‘‘ตณฺหาวชฺชา เตภูมกา ขนฺธา ทุกฺขํ, ตณฺหา สมุทโย, อุภินฺนํ อปฺปวตฺติ นิโรโธ, นิโรธสมฺปาปโก มโคฺค’’ติ เอวํ ปุเพฺพ เอว อาจริยสนฺติเก อุคฺคหิตจตุสจฺจกมฺมฎฺฐาโนฯ โส อปเรน สมเยน วิปสฺสนามคฺคํ สมารุโฬฺห สมาโน เตภูมเก ขเนฺธ ‘‘อิทํ ทุกฺข’’นฺติ โยนิโส มนสิ กโรติ, อุปาเยน ปเถน สมนฺนาหรติ เจว วิปสฺสติ จฯ วิปสฺสนา หิ อิธ มนสิการสีเสน วุตฺตาฯ ยา ปนายํ ตสฺส ทุกฺขสฺส สมุฎฺฐาปิกา ปุริมภวิกา ตณฺหา, อยํ ทุกฺขสมุทโยติ โยนิโส มนสิ กโรติฯ ยสฺมา ปน อิทํ ทุกฺขํ, อยญฺจ สมุทโย อิทํ ฐานํ ปตฺวา นิรุชฺฌนฺติ น ปวตฺตนฺติ, ตสฺมา ยทิทํ นิพฺพานํ นาม , อยํ ทุกฺขนิโรโธติ โยนิโส มนสิ กโรติฯ นิโรธสมฺปาปกํ อฎฺฐงฺคิกํ มคฺคํ, ‘‘อยํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฎิปทา’’ติ โยนิโส มนสิ กโรติ, อุปาเยน ปเถน สมนฺนาหรติ เจว วิปสฺสติ จฯ

    Tatrāyaṃ atthavibhāvanā – yadipi idaṃ suttaṃ avisesena sekkhapuggalavasena āgataṃ, catumaggasādhāraṇavasena pana saṅkhepeneva kammaṭṭhānaṃ kathayissāma. Yo catusaccakammaṭṭhāniko yogāvacaro ‘‘taṇhāvajjā tebhūmakā khandhā dukkhaṃ, taṇhā samudayo, ubhinnaṃ appavatti nirodho, nirodhasampāpako maggo’’ti evaṃ pubbe eva ācariyasantike uggahitacatusaccakammaṭṭhāno. So aparena samayena vipassanāmaggaṃ samāruḷho samāno tebhūmake khandhe ‘‘idaṃ dukkha’’nti yoniso manasi karoti, upāyena pathena samannāharati ceva vipassati ca. Vipassanā hi idha manasikārasīsena vuttā. Yā panāyaṃ tassa dukkhassa samuṭṭhāpikā purimabhavikā taṇhā, ayaṃ dukkhasamudayoti yoniso manasi karoti. Yasmā pana idaṃ dukkhaṃ, ayañca samudayo idaṃ ṭhānaṃ patvā nirujjhanti na pavattanti, tasmā yadidaṃ nibbānaṃ nāma , ayaṃ dukkhanirodhoti yoniso manasi karoti. Nirodhasampāpakaṃ aṭṭhaṅgikaṃ maggaṃ, ‘‘ayaṃ dukkhanirodhagāminī paṭipadā’’ti yoniso manasi karoti, upāyena pathena samannāharati ceva vipassati ca.

    ตตฺรายํ อุปาโย – อภินิเวโส นาม ขเนฺธ โหติ, น วิวเฎฺฎ, ตสฺมา อยมโตฺถ – ‘‘อิมสฺมิํ กาเย ปถวีธาตุ, อาโปธาตู’’ติอาทินา (ที. นิ. ๒.๓๗๘) นเยน จตฺตาริ มหาภูตานิ ตทนุสาเรน อุปาทารูปานิ จ ปริคฺคเหตฺวา ‘‘อยํ รูปกฺขโนฺธ’’ติ ววตฺถเปติฯ ตํ ววตฺถาปยโต อุปฺปเนฺน ตทารมฺมเณ จิตฺตเจตสิกธเมฺม ‘‘อิเม จตฺตาโร อรูปกฺขนฺธา’’ติ ววตฺถเปติฯ ตโต ‘‘อิเม ปญฺจกฺขนฺธา ทุกฺข’’นฺติ ววตฺถเปติฯ เต ปน สเงฺขปโต นามญฺจ รูปญฺจาติ เทฺว ภาคา โหนฺติฯ อิทญฺจ นามรูปํ สเหตุ สปฺปจฺจยํ อุปฺปชฺชติ, ตสฺส อยํ อวิชฺชาภวตณฺหาทิโก เหตุ, อยํ อาหาราทิโก ปจฺจโยติ เหตุปฺปจฺจเย ววตฺถเปติฯ โส เตสํ ปจฺจยานญฺจ ปจฺจยุปฺปนฺนานญฺจ ยาถาวสรสลกฺขณํ ววตฺถเปตฺวา ‘‘อิเม ธมฺมา อหุตฺวา ภวนฺติ, หุตฺวา นิรุชฺฌนฺติ, ตสฺมา อนิจฺจา’’ติ อนิจฺจลกฺขณํ อาโรเปติ, ‘‘อุทยพฺพยปฎิปีฬิตตฺตา ทุกฺขา’’ติ ทุกฺขลกฺขณํ อาโรเปติ, ‘‘อวสวตฺตนโต อนตฺตา’’ติ อนตฺตลกฺขณํ อาโรเปติฯ

    Tatrāyaṃ upāyo – abhiniveso nāma khandhe hoti, na vivaṭṭe, tasmā ayamattho – ‘‘imasmiṃ kāye pathavīdhātu, āpodhātū’’tiādinā (dī. ni. 2.378) nayena cattāri mahābhūtāni tadanusārena upādārūpāni ca pariggahetvā ‘‘ayaṃ rūpakkhandho’’ti vavatthapeti. Taṃ vavatthāpayato uppanne tadārammaṇe cittacetasikadhamme ‘‘ime cattāro arūpakkhandhā’’ti vavatthapeti. Tato ‘‘ime pañcakkhandhā dukkha’’nti vavatthapeti. Te pana saṅkhepato nāmañca rūpañcāti dve bhāgā honti. Idañca nāmarūpaṃ sahetu sappaccayaṃ uppajjati, tassa ayaṃ avijjābhavataṇhādiko hetu, ayaṃ āhārādiko paccayoti hetuppaccaye vavatthapeti. So tesaṃ paccayānañca paccayuppannānañca yāthāvasarasalakkhaṇaṃ vavatthapetvā ‘‘ime dhammā ahutvā bhavanti, hutvā nirujjhanti, tasmā aniccā’’ti aniccalakkhaṇaṃ āropeti, ‘‘udayabbayapaṭipīḷitattā dukkhā’’ti dukkhalakkhaṇaṃ āropeti, ‘‘avasavattanato anattā’’ti anattalakkhaṇaṃ āropeti.

    เอวํ ติลกฺขณานิ อาโรเปตฺวา วิปสฺสโนฺต อุทยพฺพยญาณุปฺปตฺติยา อุปฺปเนฺน โอภาสาทิเก วิปสฺสนุปกฺกิเลเส ‘อมโคฺค’ติ อุทยพฺพยญาณเมว ‘‘อริยมคฺคสฺส อุปายภูโต ปุพฺพภาคมโคฺค’’ติ มคฺคามคฺคํ ววตฺถเปตฺวา ปุน อุทยพฺพยญาณํ ปฎิปาฎิยา ภงฺคญาณาทีนิ จ อุปฺปาเทโนฺต โสตาปตฺติมคฺคาทโย ปาปุณาติฯ ตสฺมิํ ขเณ จตฺตาริ สจฺจานิ เอกปฺปฎิเวเธเนว ปฎิวิชฺฌติ, เอกาภิสมเยน อภิสเมติฯ ตตฺถ ทุกฺขํ ปริญฺญาปฎิเวเธน ปฎิวิชฺฌโนฺต, สมุทยํ ปหานปฺปฎิเวเธน ปฎิวิชฺฌโนฺต สพฺพํ อกุสลํ ปชหติ, นิโรธํ สจฺฉิกิริยาปฎิเวเธน ปฎิวิชฺฌโนฺต มคฺคํ ภาวนาปฎิเวเธน ปฎิวิชฺฌโนฺต สพฺพํ กุสลํ ภาเวติฯ อริยมโคฺค หิ นิปฺปริยายโต กุจฺฉิตสลนาทิอเตฺถน กุสโล, ตสฺมิญฺจ ภาวิเต สเพฺพปิ กุสลา อนวชฺชโพธิปกฺขิยธมฺมา ภาวนาปาริปูริํ คจฺฉนฺตีติฯ เอวํ โยนิโส มนสิ กโรโนฺต อกุสลํ ปชหติ, กุสลํ ภาเวติฯ ตถา หิ วุตฺตํ – ‘‘อิทํ ทุกฺขนฺติ โยนิโส มนสิ กโรติ, อยํ ทุกฺขสมุทโยติ โยนิโส มนสิ กโรตี’’ติอาทิ (ม. นิ. ๑.๒๑)ฯ อปรมฺปิ วุตฺตํ ‘‘โยนิโส มนสิการสมฺปนฺนเสฺสตํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน ปาฎิกงฺขํ – อริยํ อฎฺฐงฺคิกํ มคฺคํ ภาเวสฺสติ, อริยํ อฎฺฐงฺคิกํ มคฺคํ พหุลีกริสฺสตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๕๕)ฯ

    Evaṃ tilakkhaṇāni āropetvā vipassanto udayabbayañāṇuppattiyā uppanne obhāsādike vipassanupakkilese ‘amaggo’ti udayabbayañāṇameva ‘‘ariyamaggassa upāyabhūto pubbabhāgamaggo’’ti maggāmaggaṃ vavatthapetvā puna udayabbayañāṇaṃ paṭipāṭiyā bhaṅgañāṇādīni ca uppādento sotāpattimaggādayo pāpuṇāti. Tasmiṃ khaṇe cattāri saccāni ekappaṭivedheneva paṭivijjhati, ekābhisamayena abhisameti. Tattha dukkhaṃ pariññāpaṭivedhena paṭivijjhanto, samudayaṃ pahānappaṭivedhena paṭivijjhanto sabbaṃ akusalaṃ pajahati, nirodhaṃ sacchikiriyāpaṭivedhena paṭivijjhanto maggaṃ bhāvanāpaṭivedhena paṭivijjhanto sabbaṃ kusalaṃ bhāveti. Ariyamaggo hi nippariyāyato kucchitasalanādiatthena kusalo, tasmiñca bhāvite sabbepi kusalā anavajjabodhipakkhiyadhammā bhāvanāpāripūriṃ gacchantīti. Evaṃ yoniso manasi karonto akusalaṃ pajahati, kusalaṃ bhāveti. Tathā hi vuttaṃ – ‘‘idaṃ dukkhanti yoniso manasi karoti, ayaṃ dukkhasamudayoti yoniso manasi karotī’’tiādi (ma. ni. 1.21). Aparampi vuttaṃ ‘‘yoniso manasikārasampannassetaṃ, bhikkhave, bhikkhuno pāṭikaṅkhaṃ – ariyaṃ aṭṭhaṅgikaṃ maggaṃ bhāvessati, ariyaṃ aṭṭhaṅgikaṃ maggaṃ bahulīkarissatī’’ti (saṃ. ni. 5.55).

    โยนิโส มนสิกาโรติ คาถาย อยํ สเงฺขปโตฺถ – สิกฺขติ, สิกฺขาปทานิ ตสฺส อตฺถิ, สิกฺขนสีโลติ วา เสโขฯ สํสาเร ภยํ อิกฺขตีติ ภิกฺขุฯ ตสฺส เสขสฺส ภิกฺขุโน อุตฺตมตฺถสฺส อรหตฺตสฺส ปตฺติยา อธิคมาย ยถา โยนิโส มนสิกาโร, เอวํ พหุกาโร พหูปกาโร อโญฺญ โกจิ ธโมฺม นตฺถิฯ กสฺมา? ยสฺมา โยนิโส อุปาเยน มนสิการํ ปุรกฺขตฺวา ปทหํ จตุพฺพิธสมฺมปฺปธานวเสน ปทหโนฺต, ขยํ ทุกฺขสฺส ปาปุเณ สํกิเลสวฎฺฎทุกฺขสฺส ปริกฺขยํ ปริโยสานํ นิพฺพานํ ปาปุเณ อธิคเจฺฉยฺย, ตสฺมา โยนิโส มนสิกาโร พหุกาโรติฯ

    Yonisomanasikāroti gāthāya ayaṃ saṅkhepattho – sikkhati, sikkhāpadāni tassa atthi, sikkhanasīloti vā sekho. Saṃsāre bhayaṃ ikkhatīti bhikkhu. Tassa sekhassa bhikkhuno uttamatthassa arahattassa pattiyā adhigamāya yathā yoniso manasikāro, evaṃ bahukāro bahūpakāro añño koci dhammo natthi. Kasmā? Yasmā yoniso upāyena manasikāraṃ purakkhatvā padahaṃ catubbidhasammappadhānavasena padahanto, khayaṃ dukkhassa pāpuṇe saṃkilesavaṭṭadukkhassa parikkhayaṃ pariyosānaṃ nibbānaṃ pāpuṇe adhigaccheyya, tasmā yoniso manasikāro bahukāroti.

    ฉฎฺฐสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Chaṭṭhasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อิติวุตฺตกปาฬิ • Itivuttakapāḷi / ๖. ปฐมเสขสุตฺตํ • 6. Paṭhamasekhasuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact