Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / กงฺขาวิตรณี-อภินว-ฎีกา • Kaṅkhāvitaraṇī-abhinava-ṭīkā |
๘. ปฐมอุปกฺขฎสิกฺขาปทวณฺณนา
8. Paṭhamaupakkhaṭasikkhāpadavaṇṇanā
ภิกฺขุํ ปเนว อุทฺทิสฺสาติ เอตฺถ ปนาติ นิปาตมตฺตํ, ตถา เอว-สโทฺทปิฯ เตนาห ‘‘อิตฺถนฺนามสฺสา’’ติอาทิฯ อปทิสิตฺวาติ กเถตฺวา, อารพฺภาติ วา อโตฺถฯ อญฺญาตกสฺส คหปติสฺสาติ อญฺญาตกคหปตินาติ อโตฺถฯ กรณเตฺถ หิ อิทํ สามิวจนํฯ อฎฺฐกถายํ ปน อิทํ สุวิเญฺญยฺยนฺติ น วิจาริตํฯ จีวรํ เจตาเปนฺติ ปริวเตฺตนฺติ เอเตนาติ จีวรเจตาปนฺนํ (สารตฺถ. ฎี. ๒.๕๒๘-๕๒๙), จีวรมูลํ, น-กาโร ปเนตฺถ อาคโม, ‘‘จีวรเจตาปน’’นฺติปิ ปฐนฺติฯ ตํ ปน ยสฺมา หิรญฺญาทีสุ อญฺญตรํ โหติ, ตสฺมา ‘‘หิรญฺญาทิก’’นฺติ วุตฺตํฯ ตตฺถ หิรญฺญนฺติ กหาปโณ วุจฺจติฯ อาทิสเทฺทน สุวณฺณาทีนํ คหณํฯ อุปกฺขฎนฺติ อุปฎฺฐาปิตํฯ ตํ อุปกฺขรณํ เตสํ ตถา สชฺชิตนฺติ อาห ‘‘อุปกฺขฎํ โหตีติ สชฺชิตํ โหตี’’ติฯ สํหริตฺวา ฐปิตนฺติ ราสิํ กตฺวา ฐปิตํฯ ปริวตฺตนญฺจ อกตสฺส การาปนํ, กตสฺส กิณนนฺติ อาห ‘‘กาเรตฺวา วา กิณิตฺวา วาติ อโตฺถ’’ติฯ อจฺฉาเทสฺสามีติ ปารุเปสฺสามีติ วุตฺตํ โหติฯ เตนาห ‘‘โวหารวจนเมต’’นฺติฯ โวหารวจนนฺติ จ อุปจารวจนนฺติ อโตฺถฯ
Bhikkhuṃpaneva uddissāti ettha panāti nipātamattaṃ, tathā eva-saddopi. Tenāha ‘‘itthannāmassā’’tiādi. Apadisitvāti kathetvā, ārabbhāti vā attho. Aññātakassa gahapatissāti aññātakagahapatināti attho. Karaṇatthe hi idaṃ sāmivacanaṃ. Aṭṭhakathāyaṃ pana idaṃ suviññeyyanti na vicāritaṃ. Cīvaraṃ cetāpenti parivattenti etenāti cīvaracetāpannaṃ (sārattha. ṭī. 2.528-529), cīvaramūlaṃ, na-kāro panettha āgamo, ‘‘cīvaracetāpana’’ntipi paṭhanti. Taṃ pana yasmā hiraññādīsu aññataraṃ hoti, tasmā ‘‘hiraññādika’’nti vuttaṃ. Tattha hiraññanti kahāpaṇo vuccati. Ādisaddena suvaṇṇādīnaṃ gahaṇaṃ. Upakkhaṭanti upaṭṭhāpitaṃ. Taṃ upakkharaṇaṃ tesaṃ tathā sajjitanti āha ‘‘upakkhaṭaṃ hotīti sajjitaṃ hotī’’ti. Saṃharitvā ṭhapitanti rāsiṃ katvā ṭhapitaṃ. Parivattanañca akatassa kārāpanaṃ, katassa kiṇananti āha ‘‘kāretvā vā kiṇitvā vāti attho’’ti. Acchādessāmīti pārupessāmīti vuttaṃ hoti. Tenāha ‘‘vohāravacanameta’’nti. Vohāravacananti ca upacāravacananti attho.
‘‘ตตฺร เจ โส ภิกฺขู’’ติอาทีสุ โก ปทสมฺพโนฺธติ อาห ‘‘ยตฺร โส คหปติ วา’’ติอาทิฯ ปุเพฺพ อปฺปวาริโตติ ‘‘ทสฺสามิ, กีทิเสน เต, ภเนฺต, จีวเรน อโตฺถ, กีทิสํ เต จีวรํ เจตาเปมี’’ติ ปุเพฺพ อวุโตฺตฯ อุปสงฺกมิตฺวาติ คนฺตฺวาฯ ปทภาชเน ปจุรโวหารวเสน ‘‘ฆรํ คนฺตฺวา’’ติ (ปารา. ๕๒๙) วุตฺตํฯ เอตฺถ จ ปจุรโวหารวเสนาติ เยภุยฺยโวหารวเสนฯ เยภุเยฺยน หิ ฆรสามิกํ ทฎฺฐุกามา ตสฺส ฆรํ คจฺฉนฺตีติ ตเถว พหุลโวหาโรฯ วิกปฺปนฺติ วิสิโฎฺฐ กโปฺป วิกโปฺป, วิ-สโทฺท เจตฺถ วิสิฎฺฐโตฺถฯ เตนาห ‘‘วิสิฎฺฐกปฺป’’นฺติฯ อิมินา วจนตฺถมาหฯ ‘‘อธิกวิธาน’’นฺติ อิมินา ปน อธิปฺปายตฺถํฯ ยถา ปน ตมาปชฺชตีติ เยนากาเรน ตํ วิกปฺปํ อาปชฺชติฯ ตํ ทเสฺสตุนฺติ ตํ อาการํ ทเสฺสตุํฯ
‘‘Tatra ce so bhikkhū’’tiādīsu ko padasambandhoti āha ‘‘yatra so gahapati vā’’tiādi. Pubbe appavāritoti ‘‘dassāmi, kīdisena te, bhante, cīvarena attho, kīdisaṃ te cīvaraṃ cetāpemī’’ti pubbe avutto. Upasaṅkamitvāti gantvā. Padabhājane pacuravohāravasena ‘‘gharaṃ gantvā’’ti (pārā. 529) vuttaṃ. Ettha ca pacuravohāravasenāti yebhuyyavohāravasena. Yebhuyyena hi gharasāmikaṃ daṭṭhukāmā tassa gharaṃ gacchantīti tatheva bahulavohāro. Vikappanti visiṭṭho kappo vikappo, vi-saddo cettha visiṭṭhattho. Tenāha ‘‘visiṭṭhakappa’’nti. Iminā vacanatthamāha. ‘‘Adhikavidhāna’’nti iminā pana adhippāyatthaṃ. Yathā pana tamāpajjatīti yenākārena taṃ vikappaṃ āpajjati. Taṃ dassetunti taṃ ākāraṃ dassetuṃ.
‘‘สาธู’’ติ อยํ สโทฺท สมฺปฎิจฺฉนสมฺปหํสนสุนฺทรายาจนาทีสุ ทิสฺสติฯ ตถา เหส ‘‘สาธุ, ภเนฺตติ โข โส ภิกฺขุ ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๘๖) สมฺปฎิจฺฉเน ทิสฺสติ, ‘‘สาธุ สาธุ สาริปุตฺตา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๓.๓๔๙; ม. นิ. ๑.๓๔๐) สมฺปหํสเนฯ
‘‘Sādhū’’ti ayaṃ saddo sampaṭicchanasampahaṃsanasundarāyācanādīsu dissati. Tathā hesa ‘‘sādhu, bhanteti kho so bhikkhu bhagavato bhāsitaṃ abhinanditvā anumoditvā’’tiādīsu (ma. ni. 3.86) sampaṭicchane dissati, ‘‘sādhu sādhu sāriputtā’’tiādīsu (dī. ni. 3.349; ma. ni. 1.340) sampahaṃsane.
‘‘สาธุ ธมฺมรุจิ ราชา, สาธุ ปญฺญาณวา นโร;
‘‘Sādhu dhammaruci rājā, sādhu paññāṇavā naro;
สาธุ มิตฺตานมทฺทุโพฺภ, ปาปสฺสากรณํ สุข’’นฺติอาทีสุฯ (ชา. ๒.๑๘.๑๐๑) –
Sādhu mittānamaddubbho, pāpassākaraṇaṃ sukha’’ntiādīsu. (jā. 2.18.101) –
สุนฺทเร, ‘‘สาธุ เม, ภเนฺต ภควา, สํขิเตฺตน ธมฺมํ เทเสตู’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๓.๖๔-๖๘) อายาจเน, อิธาปิ อายาจเนเยว ทฎฺฐโพฺพติ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๘๙; ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑ มูลปริยายสุตฺตวณฺณนา; สุ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๑๕ อคฺคิกภารทฺวาชสุตฺตวณฺณนา; พุ. วํ. อฎฺฐ. ๑.๔๙) อาห ‘‘สาธูติ อายาจเน นิปาโต’’ติฯ ตตฺถ อายาจเนติ อภิมุขํ ยาจเน, อภิปตฺถนายนฺติ อโตฺถฯ ปริวิตเกฺก นิปาโตติ สมฺพโนฺธฯ อาลปตีติ อามเนฺตติฯ อายตาทีสูติ เอตฺถ อาทิสเทฺทน วิตฺถตอปฺปิตสณฺหานํ คหณํฯ ยสฺมา ปน น อิมสฺส อาปชฺชนมเตฺตเนว อาปตฺติ สีสํ เอติ, ตสฺมา ‘‘ตสฺส วจเนนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ปโยเคติ สุตฺตปริเยสนาทิปโยเคฯ
Sundare, ‘‘sādhu me, bhante bhagavā, saṃkhittena dhammaṃ desetū’’tiādīsu (saṃ. ni. 3.64-68) āyācane, idhāpi āyācaneyeva daṭṭhabboti (dī. ni. aṭṭha. 1.189; ma. ni. aṭṭha. 1.1 mūlapariyāyasuttavaṇṇanā; su. ni. aṭṭha. 1.115 aggikabhāradvājasuttavaṇṇanā; bu. vaṃ. aṭṭha. 1.49) āha ‘‘sādhūtiāyācane nipāto’’ti. Tattha āyācaneti abhimukhaṃ yācane, abhipatthanāyanti attho. Parivitakke nipātoti sambandho. Ālapatīti āmanteti. Āyatādīsūti ettha ādisaddena vitthataappitasaṇhānaṃ gahaṇaṃ. Yasmā pana na imassa āpajjanamatteneva āpatti sīsaṃ eti, tasmā ‘‘tassa vacanenā’’tiādi vuttaṃ. Payogeti suttapariyesanādipayoge.
มหคฺฆํ เจตาเปตุกามํ อปฺปคฺฆนฺติ วีสติอคฺฆนกํ จีวรํ เจตาเปตุกามํ ‘‘อลํ มยฺหํ เตน, ทสอคฺฆนกํ วา อฎฺฐคฺฆนกํ วา เทหี’’ติ วทนฺตสฺสาติ อโตฺถฯ เอวรูปนฺติ เอวํ สมภาคํ, อิมินา สมกนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ตญฺจ โข อคฺฆวเสเนว, น ปมาณวเสนฯ อคฺฆวฑฺฒนกญฺหิ อิทํ สิกฺขาปทํฯ
Mahagghaṃ cetāpetukāmaṃ appagghanti vīsatiagghanakaṃ cīvaraṃ cetāpetukāmaṃ ‘‘alaṃ mayhaṃ tena, dasaagghanakaṃ vā aṭṭhagghanakaṃ vā dehī’’ti vadantassāti attho. Evarūpanti evaṃ samabhāgaṃ, iminā samakanti vuttaṃ hoti. Tañca kho agghavaseneva, na pamāṇavasena. Agghavaḍḍhanakañhi idaṃ sikkhāpadaṃ.
ปฐมอุปกฺขฎสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Paṭhamaupakkhaṭasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.