Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วิภงฺค-มูลฎีกา • Vibhaṅga-mūlaṭīkā |
๖. ปฎิจฺจสมุปฺปาทวิภโงฺค
6. Paṭiccasamuppādavibhaṅgo
๑. สุตฺตนฺตภาชนียํ
1. Suttantabhājanīyaṃ
อุเทฺทสวารวณฺณนา
Uddesavāravaṇṇanā
๒๒๕. ‘‘‘กิํวาที ภเนฺต สมฺมาสมฺพุโทฺธ’ติ? ‘วิภชฺชวาที มหาราชา’’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๑.ตติยสงฺคีติกถา) โมคฺคลิปุตฺตติสฺสเตฺถเรน วุตฺตตฺตา สมฺมาสมฺพุทฺธสาวกา วิภชฺชวาทิโนฯ เต หิ เวนยิกาทิภาวํ วิภชฺช วทนฺติ, จีวราทีนํ เสวิตพฺพาเสวิตพฺพภาวํ วา สสฺสตุเจฺฉทวาเท วา วิภชฺช วทนฺติ ‘‘สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จา’’ติอาทีนํ ฐปนียานํ ฐปนโต ราคาทิกฺขยสฺส สสฺสตสฺส ราคาทิกายทุจฺจริตาทิอุเจฺฉทสฺส จ วจนโต, น ปน เอกํสพฺยากรณียาทโย ตโย ปเญฺห อปเนตฺวา วิภชฺชพฺยากรณียเมว วทนฺตีติฯ วิภชฺชวาทีนํ มณฺฑลํ สมูโห วิภชฺชวาทิมณฺฑลํ, วิภชฺชวาทิโน วา ภควโต ปริสา วิภชฺชวาทิมณฺฑลนฺติปิ วทนฺติฯ อาจริเยหิ วุตฺตอวิปรีตตฺถทีปเนน เต อนพฺภาจิกฺขเนฺตนฯ ‘‘อวิชฺชา ปุญฺญาเนญฺชาภิสงฺขารานํ เหตุปจฺจโย โหตี’’ติอาทิํ วทโนฺต กถาวตฺถุมฺหิ ปฎิกฺขิเตฺต ปุคฺคลวาทาทิเก จ วทโนฺต สกสมยํ โวกฺกมติ นาม, ตถา อโวกฺกมเนฺตนฯ ปรสมยํ โทสาโรปนพฺยาปารวิรเหน อนายูหเนฺตนฯ ‘‘อิทมฺปิ ยุตฺตํ คเหตพฺพ’’นฺติ ปรสมยํ อสมฺปิเณฺฑเนฺตนาติ เกจิ วทนฺติฯ
225. ‘‘‘Kiṃvādī bhante sammāsambuddho’ti? ‘Vibhajjavādī mahārājā’’’ti (pārā. aṭṭha. 1.tatiyasaṅgītikathā) moggaliputtatissattherena vuttattā sammāsambuddhasāvakā vibhajjavādino. Te hi venayikādibhāvaṃ vibhajja vadanti, cīvarādīnaṃ sevitabbāsevitabbabhāvaṃ vā sassatucchedavāde vā vibhajja vadanti ‘‘sassato attā ca loko cā’’tiādīnaṃ ṭhapanīyānaṃ ṭhapanato rāgādikkhayassa sassatassa rāgādikāyaduccaritādiucchedassa ca vacanato, na pana ekaṃsabyākaraṇīyādayo tayo pañhe apanetvā vibhajjabyākaraṇīyameva vadantīti. Vibhajjavādīnaṃ maṇḍalaṃ samūho vibhajjavādimaṇḍalaṃ, vibhajjavādino vā bhagavato parisā vibhajjavādimaṇḍalantipi vadanti. Ācariyehi vuttaaviparītatthadīpanena te anabbhācikkhantena. ‘‘Avijjā puññāneñjābhisaṅkhārānaṃ hetupaccayo hotī’’tiādiṃ vadanto kathāvatthumhi paṭikkhitte puggalavādādike ca vadanto sakasamayaṃ vokkamati nāma, tathā avokkamantena. Parasamayaṃ dosāropanabyāpāravirahena anāyūhantena. ‘‘Idampi yuttaṃ gahetabba’’nti parasamayaṃ asampiṇḍentenāti keci vadanti.
‘‘ตถาหํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ, ยถา ตเทวิทํ วิญฺญาณํ สนฺธาวติ สํสรติ อนญฺญ’’นฺติอาทิํ (ม. นิ. ๑.๓๙๖) วทโนฺต สุตฺตํ ปฎิพาหติ นาม, ตถา อปฺปฎิพาหเนฺตนฯ ‘‘ตถาหํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ, ยถา เยเม อนฺตรายิกา ธมฺมา วุตฺตา ภควตา, เต ปฎิเสวโต นาลํ อนฺตรายายา’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๓๔; ปาจิ. ๔๑๘, ๔๒๙), ‘‘สุปินเนฺต กโต วีติกฺกโม อาปตฺติกโร โหตี’’ติ จ เอวมาทิํ วทโนฺต วินยํ ปฎิโลเมติ นาม, ตพฺพิปริยาเยน ตํ อนุโลเมเนฺตนฯ ปฎิโลเมโนฺต หิ กมฺมนฺตรํ ภินฺทโนฺต ธมฺมตญฺจ วิโลเมติฯ สุตฺตเนฺต วุเตฺต จตฺตาโร มหาปเทเส, อฎฺฐกถายญฺจ วุเตฺต สุตฺตสุตฺตานุโลมอาจริยวาทอตฺตโนมติมหาปเทเส โอโลเกเนฺตนฯ ตํโอโลกเนน หิ สุเตฺต วินเย จ สนฺติฎฺฐติ นาติธาวติฯ ธมฺมนฺติ ปฎิจฺจสมุปฺปาทปาฬิํฯ อตฺถนฺติ ตทตฺถํฯ เหตุเหตุผลานิ อิธ นาธิเปฺปตานิฯ ‘‘ทุกฺขาทีสุ อญฺญาณํ อวิชฺชา’’ติ วุตฺตมตฺถํ ปริวตฺติตฺวา ปุน ‘‘ปุพฺพเนฺต อญฺญาณ’’นฺติอาทีหิ อปเรหิปิ ปริยาเยหิ นิทฺทิสเนฺตนฯ ‘‘สงฺขารา อิมินา ปริยาเยน ภโวติ วุจฺจนฺติ, ตณฺหา อิมินา ปริยาเยน อุปาทาน’’นฺติอาทินา นิทฺทิสเนฺตนาติ วทนฺติฯ
‘‘Tathāhaṃ bhagavatā dhammaṃ desitaṃ ājānāmi, yathā tadevidaṃ viññāṇaṃ sandhāvati saṃsarati anañña’’ntiādiṃ (ma. ni. 1.396) vadanto suttaṃ paṭibāhati nāma, tathā appaṭibāhantena. ‘‘Tathāhaṃ bhagavatā dhammaṃ desitaṃ ājānāmi, yathā yeme antarāyikā dhammā vuttā bhagavatā, te paṭisevato nālaṃ antarāyāyā’’ti (ma. ni. 1.234; pāci. 418, 429), ‘‘supinante kato vītikkamo āpattikaro hotī’’ti ca evamādiṃ vadanto vinayaṃ paṭilometi nāma, tabbipariyāyena taṃ anulomentena. Paṭilomento hi kammantaraṃ bhindanto dhammatañca vilometi. Suttante vutte cattāro mahāpadese, aṭṭhakathāyañca vutte suttasuttānulomaācariyavādaattanomatimahāpadese olokentena. Taṃolokanena hi sutte vinaye ca santiṭṭhati nātidhāvati. Dhammanti paṭiccasamuppādapāḷiṃ. Atthanti tadatthaṃ. Hetuhetuphalāni idha nādhippetāni. ‘‘Dukkhādīsu aññāṇaṃ avijjā’’ti vuttamatthaṃ parivattitvā puna ‘‘pubbante aññāṇa’’ntiādīhi aparehipi pariyāyehi niddisantena. ‘‘Saṅkhārā iminā pariyāyena bhavoti vuccanti, taṇhā iminā pariyāyena upādāna’’ntiādinā niddisantenāti vadanti.
สโตฺตติ สตฺตสุญฺญตาติ วทนฺติ, สตฺตสุเญฺญสุ วา สงฺขาเรสุ สตฺตโวหาโรฯ ปจฺจยาการเมว จาติ ปจฺจยากาโร เอว จ, ม-กาโร ปทสนฺธิกโรฯ
Sattoti sattasuññatāti vadanti, sattasuññesu vā saṅkhāresu sattavohāro. Paccayākārameva cāti paccayākāro eva ca, ma-kāro padasandhikaro.
ตสฺมาติ วุตฺตนเยน อตฺถวณฺณนาย กาตพฺพตฺตา ทุกฺกรตฺตา จฯ
Tasmāti vuttanayena atthavaṇṇanāya kātabbattā dukkarattā ca.
ปติฎฺฐํ นาธิคจฺฉามีติ ยตฺถ ฐิตสฺส วณฺณนา สุกรา โหติ, ตํ นยํ อตฺตโนเยว ญาณพเลน นาธิคจฺฉามีติ อโตฺถฯ นิสฺสยํ ปน อาจิกฺขโนฺต อาห ‘‘สาสนํ ปนิท’’นฺติอาทิฯ อิธ สาสนนฺติ ปาฬิธมฺมมาห, ปฎิจฺจสมุปฺปาทเมว วาฯ โส หิ อนุโลมปฎิโลมาทินานาเทสนานยมณฺฑิโต อโพฺพจฺฉิโนฺน อชฺชาปิ ปวตฺตตีติ นิสฺสโย โหติฯ ตทฎฺฐกถาสงฺขาโต จ ปุพฺพาจริยมโคฺคติฯ
Patiṭṭhaṃ nādhigacchāmīti yattha ṭhitassa vaṇṇanā sukarā hoti, taṃ nayaṃ attanoyeva ñāṇabalena nādhigacchāmīti attho. Nissayaṃ pana ācikkhanto āha ‘‘sāsanaṃ panida’’ntiādi. Idha sāsananti pāḷidhammamāha, paṭiccasamuppādameva vā. So hi anulomapaṭilomādinānādesanānayamaṇḍito abbocchinno ajjāpi pavattatīti nissayo hoti. Tadaṭṭhakathāsaṅkhāto ca pubbācariyamaggoti.
‘‘ตํ สุณาถ สมาหิตา’’ติ อาทรชนเน กิํ ปโยชนนฺติ ตํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘วุตฺตเญฺหต’’นฺติอาทิฯ อฎฺฐิํ กตฺวาติ อตฺถํ กตฺวา, ยถา วา น นสฺสติ, เอวํ อฎฺฐิคตํ วิย กโรโนฺต อฎฺฐิํ กตฺวาฯ ปุพฺพกาลโต อปรกาเล ภวํ ปุพฺพาปริยํฯ ปฐมารมฺภาทิโต ปภุติ ขเณ ขเณ ญาณวิเสสํ กิเลสกฺขยวิเสสญฺจ ลภตีติ อโตฺถฯ
‘‘Taṃ suṇātha samāhitā’’ti ādarajanane kiṃ payojananti taṃ dassento āha ‘‘vuttañheta’’ntiādi. Aṭṭhiṃ katvāti atthaṃ katvā, yathā vā na nassati, evaṃ aṭṭhigataṃ viya karonto aṭṭhiṃ katvā. Pubbakālato aparakāle bhavaṃ pubbāpariyaṃ. Paṭhamārambhādito pabhuti khaṇe khaṇe ñāṇavisesaṃ kilesakkhayavisesañca labhatīti attho.
กมฺมวิปากกิเลสวฎฺฎานํ มูลการณตฺตา อาทิโต วุตฺตตฺตา จ อวิชฺชา ปฎิจฺจสมุปฺปาทสฺส มูลํฯ ตตฺถ วลฺลิยา มูเล ทิเฎฺฐ ตโต ปภุติ วลฺลิยา หรณํ วิย ปฎิจฺจสมุปฺปาทสฺส มูเล ทิเฎฺฐ ตโต ปภุติ ปฎิจฺจสมุปฺปาทเทสนาติ อุปมาสํสนฺทนา น กาตพฺพาฯ น หิ ภควโต ‘‘อิทเมว ทิฎฺฐํ, อิตรํ อทิฎฺฐ’’นฺติ วิภชนียํ อตฺถิ สพฺพสฺส ทิฎฺฐตฺตาฯ มูลโต ปภุติ ปน วลฺลิยา หรณํ วิย มูลโต ปภุติ ปฎิจฺจสมุปฺปาทเทสนา กตาติ อิทเมตฺถ สามญฺญมธิเปฺปตํ, โพธเนยฺยชฺฌาสยวเสน วา โพเธตพฺพภาเวน มูลาทิทสฺสนสามญฺญญฺจ โยเชตพฺพํฯ
Kammavipākakilesavaṭṭānaṃ mūlakāraṇattā ādito vuttattā ca avijjā paṭiccasamuppādassa mūlaṃ. Tattha valliyā mūle diṭṭhe tato pabhuti valliyā haraṇaṃ viya paṭiccasamuppādassa mūle diṭṭhe tato pabhuti paṭiccasamuppādadesanāti upamāsaṃsandanā na kātabbā. Na hi bhagavato ‘‘idameva diṭṭhaṃ, itaraṃ adiṭṭha’’nti vibhajanīyaṃ atthi sabbassa diṭṭhattā. Mūlato pabhuti pana valliyā haraṇaṃ viya mūlato pabhuti paṭiccasamuppādadesanā katāti idamettha sāmaññamadhippetaṃ, bodhaneyyajjhāsayavasena vā bodhetabbabhāvena mūlādidassanasāmaññañca yojetabbaṃ.
ตสฺสาติ –
Tassāti –
‘‘ส โข โส, ภิกฺขเว, กุมาโร วุทฺธิมนฺวาย อินฺทฺริยานํ ปริปากมนฺวาย ปญฺจหิ กามคุเณหิ สมปฺปิโต…เป.… รชนีเยหิ, โส จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา ปิยรูเป รูเป สารชฺชติ, อปิยรูเป รูเป พฺยาปชฺชติ, อนุปฎฺฐิตกายสตี จ วิหรติ ปริตฺตเจตโสฯ โส ตญฺจ เจโตวิมุตฺติํ ปญฺญาวิมุตฺติํ ยถาภูตํ นปฺปชานาติฯ ยตฺถสฺส เต อุปฺปนฺนา ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อปริเสสา นิรุชฺฌนฺติ, โส เอวํ อนุโรธวิโรธํ สมาปโนฺน ยํ กิญฺจิ เวทนํ เวเทติ สุขํ วา ทุกฺขํ วา อทุกฺขมสุขํ วา, โส ตํ เวทนํ อภินนฺทติ อภิวทติ อโชฺฌสาย ติฎฺฐตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๐๘) –
‘‘Sa kho so, bhikkhave, kumāro vuddhimanvāya indriyānaṃ paripākamanvāya pañcahi kāmaguṇehi samappito…pe… rajanīyehi, so cakkhunā rūpaṃ disvā piyarūpe rūpe sārajjati, apiyarūpe rūpe byāpajjati, anupaṭṭhitakāyasatī ca viharati parittacetaso. So tañca cetovimuttiṃ paññāvimuttiṃ yathābhūtaṃ nappajānāti. Yatthassa te uppannā pāpakā akusalā dhammā aparisesā nirujjhanti, so evaṃ anurodhavirodhaṃ samāpanno yaṃ kiñci vedanaṃ vedeti sukhaṃ vā dukkhaṃ vā adukkhamasukhaṃ vā, so taṃ vedanaṃ abhinandati abhivadati ajjhosāya tiṭṭhatī’’ti (ma. ni. 1.408) –
เอวํ วุตฺตสฺสฯ เอวํ โสตทฺวาราทีสุปิฯ อภิวทโตติ ‘‘อโห สุขํ, อโห สุข’’นฺติ วจีเภทกรปฺปตฺตาย พลวตณฺหาย ‘‘อหํ มมา’’ติ อภิวทโตฯ ตโต พลวติยา โมเจตุํ อสกฺกุเณยฺยภาเวน อโชฺฌสาย ติฎฺฐโตฯ ตโตปิ พลวตี อุปาทานภูตา ตณฺหา นนฺทีฯ เอตฺถ จ อภินนฺทนาทินา ตณฺหา วุตฺตา, นนฺทีวจเนน ตปฺปจฺจยํ อุปาทานํ จตุพฺพิธมฺปิ นนฺทิตาตทวิปฺปโยคตาหิ ตณฺหาทิฎฺฐาภินนฺทนภาเวหิ จาติ เวทิตพฺพํฯ ‘‘ชาติปจฺจยา ชรามรณ’’นฺติอาทิกญฺจ ตเตฺถว มหาตณฺหาสงฺขยวิมุตฺติสุเตฺต (ม. นิ. ๑.๔๐๒-๔๐๓) วุตฺตํฯ
Evaṃ vuttassa. Evaṃ sotadvārādīsupi. Abhivadatoti ‘‘aho sukhaṃ, aho sukha’’nti vacībhedakarappattāya balavataṇhāya ‘‘ahaṃ mamā’’ti abhivadato. Tato balavatiyā mocetuṃ asakkuṇeyyabhāvena ajjhosāya tiṭṭhato. Tatopi balavatī upādānabhūtā taṇhā nandī. Ettha ca abhinandanādinā taṇhā vuttā, nandīvacanena tappaccayaṃ upādānaṃ catubbidhampi nanditātadavippayogatāhi taṇhādiṭṭhābhinandanabhāvehi cāti veditabbaṃ. ‘‘Jātipaccayā jarāmaraṇa’’ntiādikañca tattheva mahātaṇhāsaṅkhayavimuttisutte (ma. ni. 1.402-403) vuttaṃ.
วิปากวฎฺฎภูเต ปฎิสนฺธิปวตฺติผสฺสาทโย กมฺมสมุฎฺฐานญฺจ โอชํ สนฺธาย ‘‘จตฺตาโร อาหารา ตณฺหานิทานา’’ติอาทิ วุตฺตํ, วฎฺฎูปตฺถมฺภกา ปน อิตเรปิ อาหารา ตณฺหาปภเว ตสฺมิํ อวิชฺชมาเน น วิชฺชนฺตีติ ‘‘ตณฺหานิทานา’’ติ วตฺตุํ วฎฺฎนฺติฯ
Vipākavaṭṭabhūte paṭisandhipavattiphassādayo kammasamuṭṭhānañca ojaṃ sandhāya ‘‘cattāro āhārā taṇhānidānā’’tiādi vuttaṃ, vaṭṭūpatthambhakā pana itarepi āhārā taṇhāpabhave tasmiṃ avijjamāne na vijjantīti ‘‘taṇhānidānā’’ti vattuṃ vaṭṭanti.
ตโต ตโตติ จตุพฺพิธาสุ เทสนาสุ ตโต ตโต เทสนาโตฯ ญายปฺปฎิเวธาย สํวตฺตตีติ ญาโยติ มโคฺค, โสเยว วา ปฎิจฺจสมุปฺปาโท ‘‘อริโย จสฺส ญาโย ปญฺญาย สุทิโฎฺฐ โหตี’’ติ (สํ. นิ. ๒.๔๑) วจนโตฯ สยเมว หิ สมนฺตภทฺรกตฺตา ตถา ตถา ปฎิวิชฺฌิตพฺพตฺตา ตาย ตาย เทสนาย อตฺตโน ปฎิเวธาย สํวตฺตตีติฯ สมนฺตภทฺรกตฺตํ เทสนาวิลาสปฺปตฺติ จ จตุนฺนมฺปิ เทสนานํ สมานํ การณนฺติ วิเสสการณํ วตฺตุกาโม อาห ‘‘วิเสสโต’’ติฯ อสฺส ภควโต เทสนา, อสฺส วา ปฎิจฺจสมุปฺปาทสฺส เทสนาติ โยเชตพฺพํฯ ปวตฺติการณวิภาโค อวิชฺชาทิโกว, การณนฺติ วา คหิตานํ ปกติอาทีนํ อวิชฺชาทีนญฺจ อการณตา การณตา จฯ ตตฺถ สมฺมูฬฺหา เกจิ อการณํ ‘‘การณ’’นฺติ คณฺหนฺติ, เกจิ น กิญฺจิ การณํ พุชฺฌนฺตีติ เตสํ ยถาสเกหิ อนุรูเปหิ การเณหิ สงฺขาราทิปวตฺติสนฺทสฺสนตฺถํ อนุโลมเทสนา ปวตฺตา, อิตราสํ ตทตฺถตาสมฺภเวปิ น ตาสํ ตทตฺถเมว ปวตฺติ อตฺถนฺตรสพฺภาวโตฯ อยํ ปน ตทตฺถา เอวาติ เอติสฺสา ตทตฺถตา วุตฺตาฯ ปวตฺติอาทีนวปฎิจฺฉาทิกา อวิชฺชา อาทิ, ตโต สงฺขารา อุปฺปชฺชนฺติ ตโต วิญฺญาณนฺติ เอวํ ปวตฺติยา อุปฺปตฺติกฺกมสนฺทสฺสนตฺถญฺจฯ
Tato tatoti catubbidhāsu desanāsu tato tato desanāto. Ñāyappaṭivedhāya saṃvattatīti ñāyoti maggo, soyeva vā paṭiccasamuppādo ‘‘ariyo cassa ñāyo paññāya sudiṭṭho hotī’’ti (saṃ. ni. 2.41) vacanato. Sayameva hi samantabhadrakattā tathā tathā paṭivijjhitabbattā tāya tāya desanāya attano paṭivedhāya saṃvattatīti. Samantabhadrakattaṃ desanāvilāsappatti ca catunnampi desanānaṃ samānaṃ kāraṇanti visesakāraṇaṃ vattukāmo āha ‘‘visesato’’ti. Assa bhagavato desanā, assa vā paṭiccasamuppādassa desanāti yojetabbaṃ. Pavattikāraṇavibhāgo avijjādikova, kāraṇanti vā gahitānaṃ pakatiādīnaṃ avijjādīnañca akāraṇatā kāraṇatā ca. Tattha sammūḷhā keci akāraṇaṃ ‘‘kāraṇa’’nti gaṇhanti, keci na kiñci kāraṇaṃ bujjhantīti tesaṃ yathāsakehi anurūpehi kāraṇehi saṅkhārādipavattisandassanatthaṃ anulomadesanā pavattā, itarāsaṃ tadatthatāsambhavepi na tāsaṃ tadatthameva pavatti atthantarasabbhāvato. Ayaṃ pana tadatthā evāti etissā tadatthatā vuttā. Pavattiādīnavapaṭicchādikā avijjā ādi, tato saṅkhārā uppajjanti tato viññāṇanti evaṃ pavattiyā uppattikkamasandassanatthañca.
อนุวิโลกยโต โย สโมฺพธิโต ปุพฺพภาเค ตํตํผลปฎิเวโธ ปวโตฺต, ตทนุสาเรน ตทนุคเมน ชรามรณาทิกสฺส ชาติอาทิการณํ ยํ อธิคตํ, ตสฺส สนฺทสฺสนตฺถํ อสฺส ปฎิโลมเทสนา ปวตฺตา, อนุวิโลกยโต ปฎิโลมเทสนา ปวตฺตาติ วา สมฺพโนฺธฯ เทเสโนฺตปิ หิ ภควา กิจฺฉาปนฺนํ โลกํ อนุวิโลเกตฺวา ปุพฺพภาค…เป.… สนฺทสฺสนตฺถํ เทเสตีติฯ อาหารตณฺหาทโย ปจฺจุปฺปนฺนทฺธา, สงฺขาราวิชฺชา อตีตทฺธาติ อิมินา อธิปฺปาเยนาห ‘‘ยาว อตีตํ อทฺธานํ อติหริตฺวา’’ติ, อาหารา วา ตณฺหาย ปภาเวตพฺพา อนาคโต อทฺธา, ตณฺหาทโย ปจฺจุปฺปโนฺน, สงฺขาราวิชฺชา อตีโตติฯ ปจฺจกฺขํ ปน ผลํ ทเสฺสตฺวา ตํนิทานทสฺสนวเสน ผลการณปรมฺปราย ทสฺสนํ ยุชฺชตีติ อาหารา ปุริมตณฺหาย อุปฺปาทิตา ปจฺจุปฺปโนฺน อทฺธา, ตณฺหาทโย อตีโต, สงฺขาราวิชฺชา ตโตปิ อตีตตโร สํสารสฺส อนาทิภาวทสฺสนตฺถํ วุโตฺตติ ยาว อตีตํ อทฺธานนฺติ ยาว อตีตตรํ อทฺธานนฺติ อโตฺถ ยุโตฺตฯ
Anuvilokayato yo sambodhito pubbabhāge taṃtaṃphalapaṭivedho pavatto, tadanusārena tadanugamena jarāmaraṇādikassa jātiādikāraṇaṃ yaṃ adhigataṃ, tassa sandassanatthaṃ assa paṭilomadesanā pavattā, anuvilokayato paṭilomadesanā pavattāti vā sambandho. Desentopi hi bhagavā kicchāpannaṃ lokaṃ anuviloketvā pubbabhāga…pe… sandassanatthaṃ desetīti. Āhārataṇhādayo paccuppannaddhā, saṅkhārāvijjā atītaddhāti iminā adhippāyenāha ‘‘yāva atītaṃ addhānaṃ atiharitvā’’ti, āhārā vā taṇhāya pabhāvetabbā anāgato addhā, taṇhādayo paccuppanno, saṅkhārāvijjā atītoti. Paccakkhaṃ pana phalaṃ dassetvā taṃnidānadassanavasena phalakāraṇaparamparāya dassanaṃ yujjatīti āhārā purimataṇhāya uppāditā paccuppanno addhā, taṇhādayo atīto, saṅkhārāvijjā tatopi atītataro saṃsārassa anādibhāvadassanatthaṃ vuttoti yāva atītaṃ addhānanti yāva atītataraṃ addhānanti attho yutto.
อายติํ ปุนพฺภวาภินิพฺพตฺติอาหารกา วา จตฺตาโร อาหารา –
Āyatiṃ punabbhavābhinibbattiāhārakā vā cattāro āhārā –
‘‘อาหาเรตีติ อหํ น วทามิ, อาหาเรตีติ จาหํ วเทยฺยุํ, ตตฺรสฺส กโลฺล ปโญฺห ‘โก นุ โข, ภเนฺต, อาหาเรตี’ติฯ เอวํ จาหํ น วทามิ, เอวํ ปน อวทนฺตํ มํ โย เอวํ ปุเจฺฉยฺย ‘กิสฺส นุ โข, ภเนฺต, วิญฺญาณาหาโร’ติฯ เอส กโลฺล ปโญฺห, ตตฺร กลฺลํ เวยฺยากรณํ, วิญฺญาณาหาโร อายติํ ปุนพฺภวาภินิพฺพตฺติยา’’ติ (สํ. นิ. ๒.๑๒) –
‘‘Āhāretīti ahaṃ na vadāmi, āhāretīti cāhaṃ vadeyyuṃ, tatrassa kallo pañho ‘ko nu kho, bhante, āhāretī’ti. Evaṃ cāhaṃ na vadāmi, evaṃ pana avadantaṃ maṃ yo evaṃ puccheyya ‘kissa nu kho, bhante, viññāṇāhāro’ti. Esa kallo pañho, tatra kallaṃ veyyākaraṇaṃ, viññāṇāhāro āyatiṃ punabbhavābhinibbattiyā’’ti (saṃ. ni. 2.12) –
วจนโต ตํสมฺปยุตฺตตฺตา ผสฺสเจตนานํ ตปฺปวตฺติเหตุตฺตา จ กพฬีการาหารสฺสฯ เตน หิ อุปตฺถมฺภิตรูปกายสฺส, ตญฺจ อิจฺฉนฺตสฺส กมฺมวิญฺญาณายูหนํ โหติฯ โภชนญฺหิ สทฺธาทีนํ ราคาทีนญฺจ อุปนิสฺสโยติ วุตฺตนฺติฯ ตสฺมา ‘‘เต กมฺมวฎฺฎสงฺคหิตา อาหารา ปจฺจุปฺปโนฺน อทฺธา’’ติ อิมสฺมิํ ปริยาเย ปุริโมเยวโตฺถ ยุโตฺตฯ อตีตทฺธุโต ปภุติ ‘‘อิติ โข, ภิกฺขเว, อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา’’ติอาทินา (สํ. นิ. ๒.๓) อตีเต ตโต ปรญฺจ เหตุผลปฎิปาฎิํ ปจฺจกฺขานํ อาหารานํ นิทานทสฺสนวเสน อาโรหิตฺวา นิวตฺตเนน วินา อพุชฺฌนฺตานํ ตํสนฺทสฺสนตฺถํ สา อยํ เทสนา ปวตฺตาติ อโตฺถฯ อนาคตทฺธุโน สนฺทสฺสนตฺถนฺติ อนาคตทฺธุโน ทุปฺปฎิวิชฺฌนฺตานํ อปสฺสนฺตานํ ปจฺจกฺขํ ปจฺจุปฺปนฺนํ เหตุํ ทเสฺสตฺวา เหตุผลปรมฺปราย ตสฺส สนฺทสฺสนตฺถนฺติ อโตฺถฯ
Vacanato taṃsampayuttattā phassacetanānaṃ tappavattihetuttā ca kabaḷīkārāhārassa. Tena hi upatthambhitarūpakāyassa, tañca icchantassa kammaviññāṇāyūhanaṃ hoti. Bhojanañhi saddhādīnaṃ rāgādīnañca upanissayoti vuttanti. Tasmā ‘‘te kammavaṭṭasaṅgahitā āhārā paccuppanno addhā’’ti imasmiṃ pariyāye purimoyevattho yutto. Atītaddhuto pabhuti ‘‘iti kho, bhikkhave, avijjāpaccayā saṅkhārā’’tiādinā (saṃ. ni. 2.3) atīte tato parañca hetuphalapaṭipāṭiṃ paccakkhānaṃ āhārānaṃ nidānadassanavasena ārohitvā nivattanena vinā abujjhantānaṃ taṃsandassanatthaṃ sā ayaṃ desanā pavattāti attho. Anāgataddhuno sandassanatthanti anāgataddhuno duppaṭivijjhantānaṃ apassantānaṃ paccakkhaṃ paccuppannaṃ hetuṃ dassetvā hetuphalaparamparāya tassa sandassanatthanti attho.
มูลการณสทฺทํ อเปกฺขิตฺวา ‘‘น อการณ’’นฺติ นปุํสกนิเทฺทโส กโตฯ อการณํ ยทิ สิยา, สุตฺตํ ปฎิพาหิตํ สิยาติ ทเสฺสโนฺต สุตฺตํ อาหรติฯ วฎฺฎกถาย สีสภาโว วฎฺฎเหตุโน กมฺมสฺสปิ เหตุภาโวฯ ตตฺถ ภวตณฺหายปิ เหตุภูตา อวิชฺชา, ตาย ปฎิจฺฉาทิตาทีนเว ภเว ตณฺหุปฺปตฺติโตติ อวิชฺชา วิเสเสน สีสภูตาติ ‘‘มูลการณ’’นฺติ วุตฺตาฯ ปุริมาย โกฎิยา อปญฺญายมานาย อุปฺปาทวิรหโต นิจฺจตํ คเณฺหยฺยาติ อาห ‘‘เอวเญฺจตํ, ภิกฺขเว, วุจฺจตี’’ติอาทิฯ เตน อิโต ปุเพฺพ อุปฺปนฺนปุพฺพตา นตฺถีติ อปญฺญายนโต ปุริมโกฎิอปญฺญายนํ วุตฺตนฺติ อิมมตฺถํ ทเสฺสติฯ
Mūlakāraṇasaddaṃ apekkhitvā ‘‘na akāraṇa’’nti napuṃsakaniddeso kato. Akāraṇaṃ yadi siyā, suttaṃ paṭibāhitaṃ siyāti dassento suttaṃ āharati. Vaṭṭakathāya sīsabhāvo vaṭṭahetuno kammassapi hetubhāvo. Tattha bhavataṇhāyapi hetubhūtā avijjā, tāya paṭicchāditādīnave bhave taṇhuppattitoti avijjā visesena sīsabhūtāti ‘‘mūlakāraṇa’’nti vuttā. Purimāya koṭiyā apaññāyamānāya uppādavirahato niccataṃ gaṇheyyāti āha ‘‘evañcetaṃ, bhikkhave, vuccatī’’tiādi. Tena ito pubbe uppannapubbatā natthīti apaññāyanato purimakoṭiapaññāyanaṃ vuttanti imamatthaṃ dasseti.
อวิชฺชาตณฺหาเหตุกฺกเมน ผเลสุ วตฺตเพฺพสุ ‘‘สุคติทุคฺคติคามิโน’’ติ วจนํ สทฺทลกฺขณาวิโรธนตฺถํฯ ทฺวเนฺท หิ ปูชิตสฺส ปุพฺพนิปาโตติฯ สวรา กิร มํสสฺส อฎฺฐินา อลคฺคนตฺถํ ปุนปฺปุนํ ตาเปตฺวา โกเฎฺฎตฺวา อุโณฺหทกํ ปาเยตฺวา วิริตฺตํ สูนํ อฎฺฐิโต มุตฺตมํสํ คาวิํ มาเรนฺติฯ เตนาห ‘‘อคฺคิสนฺตาปิ’’จฺจาทิฯ ตตฺถ ยถา วชฺฌา คาวี จ อวิชฺชาภิภูตตาย ยถาวุตฺตํ อุโณฺหทกปานํ อารภติ, เอวํ ปุถุชฺชโน ยถาวุตฺตํ ทุคฺคติคามิกมฺมํฯ ยถา ปน สา อุโณฺหทกปาเน อาทีนวํ ทิสฺวา ตณฺหาวเสน สีตุทกปานํ อารภติ, เอวมยํ อวิชฺชาย มนฺทตฺตา ทุคฺคติคามิกเมฺม อาทีนวํ ทิสฺวา ตณฺหาวเสน สุคติคามิกมฺมํ อารภติฯ ทุเกฺข หิ อวิชฺชํ ตณฺหา อนุวตฺตติ, สุเข ตณฺหํ อวิชฺชาติฯ
Avijjātaṇhāhetukkamena phalesu vattabbesu ‘‘sugatiduggatigāmino’’ti vacanaṃ saddalakkhaṇāvirodhanatthaṃ. Dvande hi pūjitassa pubbanipātoti. Savarā kira maṃsassa aṭṭhinā alagganatthaṃ punappunaṃ tāpetvā koṭṭetvā uṇhodakaṃ pāyetvā virittaṃ sūnaṃ aṭṭhito muttamaṃsaṃ gāviṃ mārenti. Tenāha ‘‘aggisantāpi’’ccādi. Tattha yathā vajjhā gāvī ca avijjābhibhūtatāya yathāvuttaṃ uṇhodakapānaṃ ārabhati, evaṃ puthujjano yathāvuttaṃ duggatigāmikammaṃ. Yathā pana sā uṇhodakapāne ādīnavaṃ disvā taṇhāvasena sītudakapānaṃ ārabhati, evamayaṃ avijjāya mandattā duggatigāmikamme ādīnavaṃ disvā taṇhāvasena sugatigāmikammaṃ ārabhati. Dukkhe hi avijjaṃ taṇhā anuvattati, sukhe taṇhaṃ avijjāti.
เอวนฺติ อวิชฺชาย นิวุตตฺตา ตณฺหาย สํยุตฺตตฺตา จฯ อยํ กาโยติ สวิญฺญาณกกาโย ขนฺธปญฺจกํ, ‘‘สฬายตนปจฺจยา ผโสฺส’’ติ วจนโต ผสฺสการณเญฺจตํ วุจฺจตีติ อายตนฉกฺกํ วาฯ สมุทาคโตติ อุปฺปโนฺนฯ พหิทฺธา จ นามรูปนฺติ พหิทฺธา สวิญฺญาณกกาโย ขนฺธปญฺจกํ, สฬายตนานิ วาฯ อิเตฺถตนฺติ อิตฺถํ เอตํฯ อตฺตโน จ ปเรสญฺจ ปญฺจกฺขนฺธา ทฺวาทสายตนานิ จ ทฺวารารมฺมณภาเวน ววตฺถิตานิ ทฺวยนามานีติ อโตฺถฯ ‘‘ทฺวยํ ปฎิจฺจ ผโสฺสติ อญฺญตฺถ จกฺขุรูปาทีนิ ทฺวยานิ ปฎิจฺจ จกฺขุสมฺผสฺสาทโย วุตฺตา, อิธ ปน อชฺฌตฺติกพาหิรานิ อายตนานิฯ มหาทฺวยํ นาม กิเรต’’นฺติ (สํ. นิ. อฎฺฐ. ๒.๒.๑๙) วุตฺตํฯ อยเมตฺถ อธิปฺปาโย – อญฺญตฺถ ‘‘จกฺขุญฺจ ปฎิจฺจ รูเป จ อุปฺปชฺชติ จกฺขุวิญฺญาณํ, ติณฺณํ สงฺคติ ผโสฺส’’ติอาทินา (สํ. นิ. ๒.๔๓) ‘‘จกฺขุ เจว รูปา จ…เป.… มโน เจว ธมฺมา จา’’ติ วุตฺตานิ ทฺวยานิ ปฎิจฺจ จกฺขุสมฺผสฺสาทโย วุตฺตา, อิธ ปน ‘‘อยเญฺจว กาโย’’ติ จกฺขาทินิสฺสเย เสสธเมฺม จกฺขาทินิสฺสิเต เอว กตฺวา วุตฺตํ, จกฺขาทิกายํ เอกเตฺตน ‘‘อชฺฌตฺติกายตน’’นฺติ คเหตฺวา ‘‘พหิทฺธา นามรูป’’นฺติ วุตฺตํ, รูปาทิอารมฺมณํ เอกเตฺตเนว พาหิรายตนนฺติ ตานิ อชฺฌตฺติกพาหิรานิ อายตนานิ ปฎิจฺจ ผโสฺส วุโตฺต, ตสฺมา มหาทฺวยํ นาเมตนฺติฯ เอวญฺจ กตฺวา ‘‘อตฺตโน จ ปรสฺส จ ปญฺจหิ ขเนฺธหิ ฉหายตเนหิ จาปิ อยมโตฺถ ทีเปตโพฺพวา’’ติ (สํ. นิ. อฎฺฐ. ๒.๒.๑๙) วุตฺตํฯ ‘‘อยํ กาโย’’ติ หิ วุตฺตานิ สนิสฺสยานิ จกฺขาทีนิ อตฺตโน ปญฺจกฺขนฺธา, ‘‘พหิทฺธา นามรูป’’นฺติ วุตฺตานิ รูปาทีนิ ปเรสํฯ ตถา อยํ กาโย อตฺตโนว อชฺฌตฺติกานิ อายตนานิ, พหิทฺธา นามรูปํ ปเรสํ พาหิรานีติฯ อญฺญถา อชฺฌตฺติกายตนมเตฺต เอว ‘‘อยํ กาโย’’ติ วุเตฺต น อชฺฌตฺติกายตนาเนว อตฺตโน ปญฺจกฺขนฺธา โหนฺตีติ อตฺตโน จ ปเรสญฺจ ปญฺจกฺขเนฺธหิ ทีปนา น สมฺภเวยฺยาติฯ สเฬวายตนานีติ สเฬว สมฺผสฺสการณานิ, เยหิ การณภูเตหิ อายตเนหิ อุปฺปเนฺนน ผเสฺสน ผุโฎฺฐ พาโล สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทติฯ
Evanti avijjāya nivutattā taṇhāya saṃyuttattā ca. Ayaṃ kāyoti saviññāṇakakāyo khandhapañcakaṃ, ‘‘saḷāyatanapaccayā phasso’’ti vacanato phassakāraṇañcetaṃ vuccatīti āyatanachakkaṃ vā. Samudāgatoti uppanno. Bahiddhā ca nāmarūpanti bahiddhā saviññāṇakakāyo khandhapañcakaṃ, saḷāyatanāni vā. Itthetanti itthaṃ etaṃ. Attano ca paresañca pañcakkhandhā dvādasāyatanāni ca dvārārammaṇabhāvena vavatthitāni dvayanāmānīti attho. ‘‘Dvayaṃ paṭicca phassoti aññattha cakkhurūpādīni dvayāni paṭicca cakkhusamphassādayo vuttā, idha pana ajjhattikabāhirāni āyatanāni. Mahādvayaṃ nāma kireta’’nti (saṃ. ni. aṭṭha. 2.2.19) vuttaṃ. Ayamettha adhippāyo – aññattha ‘‘cakkhuñca paṭicca rūpe ca uppajjati cakkhuviññāṇaṃ, tiṇṇaṃ saṅgati phasso’’tiādinā (saṃ. ni. 2.43) ‘‘cakkhu ceva rūpā ca…pe… mano ceva dhammā cā’’ti vuttāni dvayāni paṭicca cakkhusamphassādayo vuttā, idha pana ‘‘ayañceva kāyo’’ti cakkhādinissaye sesadhamme cakkhādinissite eva katvā vuttaṃ, cakkhādikāyaṃ ekattena ‘‘ajjhattikāyatana’’nti gahetvā ‘‘bahiddhā nāmarūpa’’nti vuttaṃ, rūpādiārammaṇaṃ ekatteneva bāhirāyatananti tāni ajjhattikabāhirāni āyatanāni paṭicca phasso vutto, tasmā mahādvayaṃ nāmetanti. Evañca katvā ‘‘attano ca parassa ca pañcahi khandhehi chahāyatanehi cāpi ayamattho dīpetabbovā’’ti (saṃ. ni. aṭṭha. 2.2.19) vuttaṃ. ‘‘Ayaṃ kāyo’’ti hi vuttāni sanissayāni cakkhādīni attano pañcakkhandhā, ‘‘bahiddhā nāmarūpa’’nti vuttāni rūpādīni paresaṃ. Tathā ayaṃ kāyo attanova ajjhattikāni āyatanāni, bahiddhā nāmarūpaṃ paresaṃ bāhirānīti. Aññathā ajjhattikāyatanamatte eva ‘‘ayaṃ kāyo’’ti vutte na ajjhattikāyatanāneva attano pañcakkhandhā hontīti attano ca paresañca pañcakkhandhehi dīpanā na sambhaveyyāti. Saḷevāyatanānīti saḷeva samphassakāraṇāni, yehi kāraṇabhūtehi āyatanehi uppannena phassena phuṭṭho bālo sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedeti.
อาทิ-สเทฺทน ‘‘เอเตสํ วา อญฺญตเรน อวิชฺชานีวรณสฺส, ภิกฺขเว, ปณฺฑิตสฺส ตณฺหาย สํยุตฺตสฺสา’’ติอาทิ โยเชตพฺพํฯ ตสฺมิญฺหิ สุเตฺต สงฺขาเร อวิชฺชาตณฺหานิสฺสิเต เอว กตฺวา กายคฺคหเณน วิญฺญาณนามรูปสฬายตนานิ คเหตฺวา เอตสฺมิญฺจ กาเย สฬายตนานํ ผสฺสํ ตํนิสฺสิตเมว กตฺวา เวทนาย วิเสสปจฺจยภาวํ ทเสฺสเนฺตน ภควตา พาลปณฺฑิตานํ อตีตทฺธาวิชฺชาตณฺหามูลโก เวทนาโนฺต ปฎิจฺจสมุปฺปาโท ทสฺสิโตฯ ปุน จ พาลปณฺฑิตานํ วิเสสํ ทเสฺสเนฺตน –
Ādi-saddena ‘‘etesaṃ vā aññatarena avijjānīvaraṇassa, bhikkhave, paṇḍitassa taṇhāya saṃyuttassā’’tiādi yojetabbaṃ. Tasmiñhi sutte saṅkhāre avijjātaṇhānissite eva katvā kāyaggahaṇena viññāṇanāmarūpasaḷāyatanāni gahetvā etasmiñca kāye saḷāyatanānaṃ phassaṃ taṃnissitameva katvā vedanāya visesapaccayabhāvaṃ dassentena bhagavatā bālapaṇḍitānaṃ atītaddhāvijjātaṇhāmūlako vedanānto paṭiccasamuppādo dassito. Puna ca bālapaṇḍitānaṃ visesaṃ dassentena –
‘‘ยาย จ, ภิกฺขเว, อวิชฺชาย นิวุตสฺส พาลสฺส ยาย จ ตณฺหาย สํยุตฺตสฺส อยํ กาโย สมุทาคโต, สา เจว อวิชฺชา พาลสฺส อปฺปหีนา, สา จ ตณฺหา อปริกฺขีณาฯ ตํ กิสฺส เหตุ? น, ภิกฺขเว, พาโล อจริ พฺรหฺมจริยํ สมฺมา ทุกฺขกฺขยาย, ตสฺมา พาโล กายสฺส เภทา กายูปโค โหติ, โส กายูปโค สมาโน น ปริมุจฺจติ ชาติยา…เป.… ทุกฺขสฺมาติ วทามี’’ติ (สํ. นิ. ๒.๑๙) –
‘‘Yāya ca, bhikkhave, avijjāya nivutassa bālassa yāya ca taṇhāya saṃyuttassa ayaṃ kāyo samudāgato, sā ceva avijjā bālassa appahīnā, sā ca taṇhā aparikkhīṇā. Taṃ kissa hetu? Na, bhikkhave, bālo acari brahmacariyaṃ sammā dukkhakkhayāya, tasmā bālo kāyassa bhedā kāyūpago hoti, so kāyūpago samāno na parimuccati jātiyā…pe… dukkhasmāti vadāmī’’ti (saṃ. ni. 2.19) –
เวทนาปภวํ สาวิชฺชํ ตณฺหํ ทเสฺสตฺวา อุปาทานภเว จ ตํนิสฺสิเต กตฺวา ‘‘กายูปโค โหตี’’ติอาทินา ชาติอาทิเก ทเสฺสเนฺตน ปจฺจุปฺปนฺนเหตุสมุฎฺฐานโต ปภุติ อุภยมูโลว ปฎิจฺจสมุปฺปาโท วุโตฺต, ตพฺพิปริยาเยน จ ปณฺฑิตสฺส ปจฺจุปฺปนฺนเหตุปริกฺขยโต ปภุติ อุภยมูลโก ปฎิโลมปฎิจฺจสมุปฺปาโทติฯ
Vedanāpabhavaṃ sāvijjaṃ taṇhaṃ dassetvā upādānabhave ca taṃnissite katvā ‘‘kāyūpago hotī’’tiādinā jātiādike dassentena paccuppannahetusamuṭṭhānato pabhuti ubhayamūlova paṭiccasamuppādo vutto, tabbipariyāyena ca paṇḍitassa paccuppannahetuparikkhayato pabhuti ubhayamūlako paṭilomapaṭiccasamuppādoti.
ทุคฺคติคามิกมฺมสฺส วิเสสปจฺจยตฺตา อวิชฺชา ‘‘อวินฺทิยํ วินฺทตี’’ติ วุตฺตา, ตถา วิเสสปจฺจโย วินฺทิยสฺส น โหตีติ ‘‘วินฺทิยํ น วินฺทตี’ติ จฯ อตฺตนิ นิสฺสิตานํ จกฺขุวิญฺญาณาทีนํ ปวตฺตนํ อุปฺปาทนํ อายตนํฯ สโมฺมหภาเวเนว อนภิสมยภูตตฺตา อวิทิตํ อญฺญาตํ กโรติฯ อนฺตวิรหิเต ชวาเปตีติ จ วณฺณาคมวิปริยายวิการวินาสธาตุอตฺถวิเสสโยเคหิ ปญฺจวิธสฺส นิรุตฺติลกฺขณสฺส วเสน ตีสุปิ ปเทสุ อ-การ วิ-การ ช-กาเร คเหตฺวา อเญฺญสํ วณฺณานํ โลปํ กตฺวา ช-การสฺส จ ทุติยสฺส อาคมํ กตฺวา ‘‘อวิชฺชา’’ติ วุตฺตาฯ พฺยญฺชนตฺถํ ทเสฺสตฺวา สภาวตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘อปิจา’’ติอาทิมาหฯ จกฺขุวิญฺญาณาทีนํ วตฺถารมฺมณานิ ‘‘อิทํ วตฺถุ, อิทมารมฺมณ’’นฺติ อวิชฺชาย ญาตุํ น สกฺกาติ อวิชฺชา ตปฺปฎิจฺฉาทิกา วุตฺตาฯ วตฺถารมฺมณสภาวจฺฉาทนโต เอว อวิชฺชาทีนํ ปฎิจฺจสมุปฺปาทภาวสฺส, ชรามรณาทีนํ ปฎิจฺจสมุปฺปนฺนภาวสฺส จ ฉาทนโต ปฎิจฺจสมุปฺปาทปฎิจฺจสมุปฺปนฺนฉาทนํ เวทิตพฺพํฯ
Duggatigāmikammassa visesapaccayattā avijjā ‘‘avindiyaṃ vindatī’’ti vuttā, tathā visesapaccayo vindiyassa na hotīti ‘‘vindiyaṃ na vindatī’ti ca. Attani nissitānaṃ cakkhuviññāṇādīnaṃ pavattanaṃ uppādanaṃ āyatanaṃ. Sammohabhāveneva anabhisamayabhūtattā aviditaṃ aññātaṃ karoti. Antavirahite javāpetīti ca vaṇṇāgamavipariyāyavikāravināsadhātuatthavisesayogehi pañcavidhassa niruttilakkhaṇassa vasena tīsupi padesu a-kāra vi-kāra ja-kāre gahetvā aññesaṃ vaṇṇānaṃ lopaṃ katvā ja-kārassa ca dutiyassa āgamaṃ katvā ‘‘avijjā’’ti vuttā. Byañjanatthaṃ dassetvā sabhāvatthaṃ dassetuṃ ‘‘apicā’’tiādimāha. Cakkhuviññāṇādīnaṃ vatthārammaṇāni ‘‘idaṃ vatthu, idamārammaṇa’’nti avijjāya ñātuṃ na sakkāti avijjā tappaṭicchādikā vuttā. Vatthārammaṇasabhāvacchādanato eva avijjādīnaṃ paṭiccasamuppādabhāvassa, jarāmaraṇādīnaṃ paṭiccasamuppannabhāvassa ca chādanato paṭiccasamuppādapaṭiccasamuppannachādanaṃ veditabbaṃ.
สงฺขาร-สทฺทคฺคหเณน อาคตา สงฺขารา สงฺขาร-สเทฺทน อาคตสงฺขาราฯ ยทิปิ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขาราปิ สงฺขาร-สเทฺทน อาคตา, เต ปน อิมิสฺสา เทสนาย ปธานาติ วิสุํ วุตฺตาฯ ตสฺมา ‘‘ทุวิธา’’ติ เอตฺถ อภิสงฺขรณกสงฺขารํ สงฺขาร-สเทฺทนาคตํ สนฺธาย ตตฺถ วุตฺตมฺปิ วเชฺชตฺวา สงฺขารสเทฺทน อาคตสงฺขารา โยเชตพฺพาฯ ‘‘สงฺขาร-สเทฺทนาคตสงฺขารา’’ติ วา สมุทาโย วุโตฺต, ตเทกเทโส จ อิธ วณฺณิตพฺพภาเวน ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา’’ติ, ตสฺมา วณฺณิตพฺพสพฺพสงฺคหณวเสน ทุวิธตา วุตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ ปฐมํ นิรุชฺฌติ วจีสงฺขาโรติอาทินา วิตกฺกวิจารอสฺสาสปสฺสาสสญฺญาเวทนาวจีสงฺขาราทโย วุตฺตา, น อวิชฺชาสงฺขาเรสุ วุตฺตา กายสเญฺจตนาทโยฯ
Saṅkhāra-saddaggahaṇena āgatā saṅkhārā saṅkhāra-saddena āgatasaṅkhārā. Yadipi avijjāpaccayā saṅkhārāpi saṅkhāra-saddena āgatā, te pana imissā desanāya padhānāti visuṃ vuttā. Tasmā ‘‘duvidhā’’ti ettha abhisaṅkharaṇakasaṅkhāraṃ saṅkhāra-saddenāgataṃ sandhāya tattha vuttampi vajjetvā saṅkhārasaddena āgatasaṅkhārā yojetabbā. ‘‘Saṅkhāra-saddenāgatasaṅkhārā’’ti vā samudāyo vutto, tadekadeso ca idha vaṇṇitabbabhāvena ‘‘avijjāpaccayā saṅkhārā’’ti, tasmā vaṇṇitabbasabbasaṅgahaṇavasena duvidhatā vuttāti veditabbā. Paṭhamaṃ nirujjhati vacīsaṅkhārotiādinā vitakkavicāraassāsapassāsasaññāvedanāvacīsaṅkhārādayo vuttā, na avijjāsaṅkhāresu vuttā kāyasañcetanādayo.
ปริตสฺสตีติ ปิปาสติฯ ภวตีติ อุปปตฺติภวํ สนฺธาย วุตฺตํ, ภาวยตีติ กมฺมภวํฯ จุติ ขนฺธานํ มรณนฺติ ‘‘มรนฺติ เอเตนา’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘ทุกฺขา เวทนา อุปฺปาททุกฺขา ฐิติทุกฺขา’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๖๕) วจนโต เทฺวธา ขณติฯ อายาโสติ ปริสฺสโม วิสาโทฯ เกวล-สโทฺท อสมฺมิสฺสวาจโก โหติ ‘‘เกวลา สาลโย’’ติ, นิรวเสสวาจโก จ ‘‘เกวลา องฺคมคธา’’ติ, ตสฺมา เทฺวธาปิ อตฺถํ วทติฯ ตตฺถ อสมฺมิสฺสสฺสาติ สุขรหิตสฺสฯ น หิ เอตฺถ กิญฺจิ อุปฺปาทวยรหิตํ อตฺถีติฯ
Paritassatīti pipāsati. Bhavatīti upapattibhavaṃ sandhāya vuttaṃ, bhāvayatīti kammabhavaṃ. Cuti khandhānaṃ maraṇanti ‘‘maranti etenā’’ti vuttaṃ. ‘‘Dukkhā vedanā uppādadukkhā ṭhitidukkhā’’ti (ma. ni. 1.465) vacanato dvedhā khaṇati. Āyāsoti parissamo visādo. Kevala-saddo asammissavācako hoti ‘‘kevalā sālayo’’ti, niravasesavācako ca ‘‘kevalā aṅgamagadhā’’ti, tasmā dvedhāpi atthaṃ vadati. Tattha asammissassāti sukharahitassa. Na hi ettha kiñci uppādavayarahitaṃ atthīti.
ตํสมฺปยุเตฺต, ปุคฺคลํ วา สโมฺมหยตีติ สโมฺมหนรสาฯ อารมฺมณสภาวสฺส ฉาทนํ หุตฺวา คยฺหตีติ ฉาทนปจฺจุปฎฺฐานาฯ ‘‘อาสวสมุทยา อวิชฺชาสมุทโย’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๐๓) วจนโต อาสวปทฎฺฐานาฯ ปฎิสนฺธิชนนตฺถํ อายูหนฺติ พฺยาปารํ กโรนฺตีติ อายูหนรสา, ราสิกรณํ วา อายูหนํฯ นามรูปสฺส ปุเรจาริกภาเวน ปวตฺตตีติ ปุพฺพงฺคมรสํฯ ปุริมภเวน สทฺธิํ ฆฎนํ หุตฺวา คยฺหตีติ ปฎิสนฺธิปจฺจุปฎฺฐานํฯ วิญฺญาเณน สห สมฺปยุชฺชตีติ สมฺปโยครสํฯ อญฺญมญฺญํ สมฺปโยคาภาวโต รูปํ วิกิรตีติ วิกิรณรสํฯ เอวญฺจ กตฺวา ปิสิยมานา ตณฺฑุลาทโย วิกิรนฺติ จุณฺณี ภวนฺตีติฯ นามสฺส กทาจิ กุสลาทิภาโว จ อตฺถีติ ตโต วิเสสนตฺถํ ‘‘อพฺยากตปจฺจุปฎฺฐาน’’นฺติ อาหฯ ‘‘อเจตนา อพฺยากตา’’ติ เอตฺถ วิย อนารมฺมณตา วา อพฺยากตตา ทฎฺฐพฺพาฯ อายตนลกฺขณนฺติ ฆฎนลกฺขณํ, อายานํ ตนนลกฺขณํ วาฯ ทสฺสนาทีนํ การณภาโว ทสฺสนาทิรสตาฯ อกุสลวิปากุเปกฺขาย อนิฎฺฐภาวโต ทุเกฺขน อิตราย จ อิฎฺฐภาวโต สุเขน สงฺคหิตตฺตา ‘‘สุขทุกฺขปจฺจุปฎฺฐานา’’ติ อาหฯ ทุกฺขสมุทยตฺตา เหตุลกฺขณา ตณฺหาฯ ‘‘ตตฺรตตฺราภินนฺทินี’’ติ (ที. นิ. ๒.๔๐๐; ม. นิ. ๑.๑๓๓, ๔๖๐; วิภ. ๒๐๓) วจนโต อภินนฺทนรสาฯ จิตฺตสฺส, ปุคฺคลสฺส วา รูปาทีสุ อติตฺตภาโว หุตฺวา คยฺหตีติ อติตฺตภาวปจฺจุปฎฺฐานาฯ ตณฺหาทฬฺหตฺตํ หุตฺวา กามุปาทานํ, เสสานิ ทิฎฺฐิ หุตฺวา อุปฎฺฐหนฺตีติ ตณฺหาทฬฺหตฺตทิฎฺฐิปจฺจุปฎฺฐานาฯ กมฺมุปปตฺติภววเสน ภวสฺส ลกฺขณาทโย โยเชตพฺพาฯ
Taṃsampayutte, puggalaṃ vā sammohayatīti sammohanarasā. Ārammaṇasabhāvassa chādanaṃ hutvā gayhatīti chādanapaccupaṭṭhānā. ‘‘Āsavasamudayā avijjāsamudayo’’ti (ma. ni. 1.103) vacanato āsavapadaṭṭhānā. Paṭisandhijananatthaṃ āyūhanti byāpāraṃ karontīti āyūhanarasā, rāsikaraṇaṃ vā āyūhanaṃ. Nāmarūpassa purecārikabhāvena pavattatīti pubbaṅgamarasaṃ. Purimabhavena saddhiṃ ghaṭanaṃ hutvā gayhatīti paṭisandhipaccupaṭṭhānaṃ. Viññāṇena saha sampayujjatīti sampayogarasaṃ. Aññamaññaṃ sampayogābhāvato rūpaṃ vikiratīti vikiraṇarasaṃ. Evañca katvā pisiyamānā taṇḍulādayo vikiranti cuṇṇī bhavantīti. Nāmassa kadāci kusalādibhāvo ca atthīti tato visesanatthaṃ ‘‘abyākatapaccupaṭṭhāna’’nti āha. ‘‘Acetanā abyākatā’’ti ettha viya anārammaṇatā vā abyākatatā daṭṭhabbā. Āyatanalakkhaṇanti ghaṭanalakkhaṇaṃ, āyānaṃ tananalakkhaṇaṃ vā. Dassanādīnaṃ kāraṇabhāvo dassanādirasatā. Akusalavipākupekkhāya aniṭṭhabhāvato dukkhena itarāya ca iṭṭhabhāvato sukhena saṅgahitattā ‘‘sukhadukkhapaccupaṭṭhānā’’ti āha. Dukkhasamudayattā hetulakkhaṇā taṇhā. ‘‘Tatratatrābhinandinī’’ti (dī. ni. 2.400; ma. ni. 1.133, 460; vibha. 203) vacanato abhinandanarasā. Cittassa, puggalassa vā rūpādīsu atittabhāvo hutvā gayhatīti atittabhāvapaccupaṭṭhānā. Taṇhādaḷhattaṃ hutvā kāmupādānaṃ, sesāni diṭṭhi hutvā upaṭṭhahantīti taṇhādaḷhattadiṭṭhipaccupaṭṭhānā. Kammupapattibhavavasena bhavassa lakkhaṇādayo yojetabbā.
อาทิ-สเทฺทน อนุโพธาทิภาวคฺคหณํฯ ทุกฺขาทีสุ อญฺญาณํ อปฺปฎิปตฺติ, อสุภาทีสุ สุภาทิวิปลฺลาสา มิจฺฉาปฎิปตฺติฯ ทิฎฺฐิวิปฺปยุตฺตา วา อปฺปฎิปตฺติ, ทิฎฺฐิสมฺปยุตฺตา มิจฺฉาปฎิปตฺติฯ น อวิชฺชาย เอว ฉทฺวาริกตา ฉฬารมฺมณตา จ, อถ โข อเญฺญสุปิ ปฎิจฺจสมุปฺปาทเงฺคสุ อรูปธมฺมานนฺติ อาห ‘‘สเพฺพสุปี’’ติฯ โนภยโคจรนฺติ มนายตนมาหฯ น หิ อรูปธมฺมานํ เทสวเสน อาสนฺนตา ทูรตา จ อตฺถิ อสณฺฐานตฺตา, ตสฺมา มนายตนสฺส โคจโร น มนายตนํ สมฺปโตฺต อสมฺปโตฺต วาติ วุจฺจตีติฯ
Ādi-saddena anubodhādibhāvaggahaṇaṃ. Dukkhādīsu aññāṇaṃ appaṭipatti, asubhādīsu subhādivipallāsā micchāpaṭipatti. Diṭṭhivippayuttā vā appaṭipatti, diṭṭhisampayuttā micchāpaṭipatti. Na avijjāya eva chadvārikatā chaḷārammaṇatā ca, atha kho aññesupi paṭiccasamuppādaṅgesu arūpadhammānanti āha ‘‘sabbesupī’’ti. Nobhayagocaranti manāyatanamāha. Na hi arūpadhammānaṃ desavasena āsannatā dūratā ca atthi asaṇṭhānattā, tasmā manāyatanassa gocaro na manāyatanaṃ sampatto asampatto vāti vuccatīti.
โสกาทีนํ สพฺภาวา องฺคพหุตฺตปฺปสเงฺค ‘‘ทฺวาทเสวา’’ติ องฺคานํ ววตฺถานํ เวทิตพฺพํฯ น หิ โสกาทโย องฺคภาเวน วุตฺตา, ผเลน ปน การณํ อวิชฺชํ มูลงฺคํ ทเสฺสตุํ เต วุตฺตาติฯ ชรามรณพฺภาหตสฺส หิ พาลสฺส เต สมฺภวนฺตีติ โสกาทีนํ ชรามรณการณตา วุตฺตาฯ ‘‘สารีริกาย ทุกฺขาย เวทนาย ผุโฎฺฐ’’ติ (สํ. นิ. ๔.๒๕๒) จ สุเตฺต ชรามรณนิมิตฺตญฺจ ทุกฺขํ สงฺคหิตนฺติ ตํตํนิมิตฺตานํ สาธกภาเวน วุตฺตํฯ ยสฺมา ปน ชรามรเณเนว โสกาทีนํ เอกสเงฺขโป กโต, ตสฺมา เตสํ ชาติปจฺจยตา ยุชฺชติฯ ชรามรณปจฺจยภาเว หิ อวิชฺชาย เอกสเงฺขโป กาตโพฺพ สิยา, ชาติปจฺจยา ปน ชรามรณํ โสกาทโย จ สมฺภวนฺตีติฯ ตตฺถ ชรามรณํ เอกนฺติกํ องฺคภาเวเนว คหิตํ, โสกาทโย ปน รูปภวาทีสุ อภาวโต อเนกนฺติกา เกวลํ ปากเฎน ผเลน อวิชฺชานิทสฺสนตฺถํ คหิตาฯ เตน อนาคเต ชาติยา สติ ตโต ปราย ปฎิสนฺธิยา เหตุเหตุภูตา อวิชฺชา ทสฺสิตาติ ภวจกฺกสฺส อวิเจฺฉโท ทสฺสิโต โหตีติฯ สุตฺตญฺจ โสกาทีนํ อวิชฺชา การณนฺติ เอตเสฺสวตฺถสฺส สาธกํ ทฎฺฐพฺพํ, น โสกาทีนํ พาลสฺส ชรามรณนิมิตฺตตามตฺตสฺสฯ ‘‘อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน’’ติ (สํ. นิ. ๔.๒๕๒) หิ วจเนน อวิชฺชา โสกาทีนํ การณนฺติ ทสฺสิตา, น จ ชรามรณนิมิตฺตเมว ทุกฺขํ ทุกฺขนฺติฯ
Sokādīnaṃ sabbhāvā aṅgabahuttappasaṅge ‘‘dvādasevā’’ti aṅgānaṃ vavatthānaṃ veditabbaṃ. Na hi sokādayo aṅgabhāvena vuttā, phalena pana kāraṇaṃ avijjaṃ mūlaṅgaṃ dassetuṃ te vuttāti. Jarāmaraṇabbhāhatassa hi bālassa te sambhavantīti sokādīnaṃ jarāmaraṇakāraṇatā vuttā. ‘‘Sārīrikāya dukkhāya vedanāya phuṭṭho’’ti (saṃ. ni. 4.252) ca sutte jarāmaraṇanimittañca dukkhaṃ saṅgahitanti taṃtaṃnimittānaṃ sādhakabhāvena vuttaṃ. Yasmā pana jarāmaraṇeneva sokādīnaṃ ekasaṅkhepo kato, tasmā tesaṃ jātipaccayatā yujjati. Jarāmaraṇapaccayabhāve hi avijjāya ekasaṅkhepo kātabbo siyā, jātipaccayā pana jarāmaraṇaṃ sokādayo ca sambhavantīti. Tattha jarāmaraṇaṃ ekantikaṃ aṅgabhāveneva gahitaṃ, sokādayo pana rūpabhavādīsu abhāvato anekantikā kevalaṃ pākaṭena phalena avijjānidassanatthaṃ gahitā. Tena anāgate jātiyā sati tato parāya paṭisandhiyā hetuhetubhūtā avijjā dassitāti bhavacakkassa avicchedo dassito hotīti. Suttañca sokādīnaṃ avijjā kāraṇanti etassevatthassa sādhakaṃ daṭṭhabbaṃ, na sokādīnaṃ bālassa jarāmaraṇanimittatāmattassa. ‘‘Assutavā puthujjano’’ti (saṃ. ni. 4.252) hi vacanena avijjā sokādīnaṃ kāraṇanti dassitā, na ca jarāmaraṇanimittameva dukkhaṃ dukkhanti.
อุเทฺทสวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Uddesavāravaṇṇanā niṭṭhitā.
อวิชฺชาปทนิเทฺทสวณฺณนา
Avijjāpadaniddesavaṇṇanā
๒๒๖. ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา ๙๒ สงฺขารา’’ติ หิ วุตฺตนฺติ เอเตน อวิชฺชาย วิเสสนภาเวน สงฺขารานญฺจ ปธานภาเวน วุตฺตตฺตา สงฺขารานํ นิทฺทิสิตพฺพภาวสฺส การณํ ทเสฺสติฯ ปิตา กถียติ ‘‘ทีโฆ สาโม, มิโตฺต รโสฺส, โอทาโต ทโตฺต’’ติฯ
226. ‘‘Avijjāpaccayā 92 saṅkhārā’’ti hi vuttanti etena avijjāya visesanabhāvena saṅkhārānañca padhānabhāvena vuttattā saṅkhārānaṃ niddisitabbabhāvassa kāraṇaṃ dasseti. Pitā kathīyati ‘‘dīgho sāmo, mitto rasso, odāto datto’’ti.
รสิตโพฺพ ปฎิวิชฺฌิตโพฺพ สภาโว รโส, อตฺตโน รโส สรโส, ยาถาโว สรโส ยาถาวสรโส, โส เอว ลกฺขิตพฺพตฺตา ลกฺขณนฺติ ยาถาวสรสลกฺขณํฯ ‘‘กตมา จ, ภิกฺขเว, อวิชฺชา? ทุเกฺข อญฺญาณ’’นฺติอาทินา (สํ. นิ. ๒.๒; ม. นิ. ๑.๑๐๓) สุเตฺต จตฺตาเรว วุตฺตานีติ ‘‘สุตฺตนฺติกปริยาเยนา’’ติ อาหฯ นิเกฺขปกเณฺฑ ปนาติอาทินา อิธ จตูสุ ฐาเนสุ กถิตาย เอว อวิชฺชาย นิเกฺขปกเณฺฑ อฎฺฐสุ ฐาเนสุ กิจฺจชาติโต ปญฺจวีสติยา ปเทหิ ลกฺขณโต จ กถิตตฺตา ตทตฺถสํวณฺณนาวเสน วิภาวนํ กโรติฯ อหาเปตฺวา วิภชิตพฺพวิภชนญฺหิ อภิธมฺมปริยาโยฯ
Rasitabbo paṭivijjhitabbo sabhāvo raso, attano raso saraso, yāthāvo saraso yāthāvasaraso, so eva lakkhitabbattā lakkhaṇanti yāthāvasarasalakkhaṇaṃ. ‘‘Katamā ca, bhikkhave, avijjā? Dukkhe aññāṇa’’ntiādinā (saṃ. ni. 2.2; ma. ni. 1.103) sutte cattāreva vuttānīti ‘‘suttantikapariyāyenā’’ti āha. Nikkhepakaṇḍe panātiādinā idha catūsu ṭhānesu kathitāya eva avijjāya nikkhepakaṇḍe aṭṭhasu ṭhānesu kiccajātito pañcavīsatiyā padehi lakkhaṇato ca kathitattā tadatthasaṃvaṇṇanāvasena vibhāvanaṃ karoti. Ahāpetvā vibhajitabbavibhajanañhi abhidhammapariyāyo.
ชายติ เอตฺถาติ ชาติ, อุปฺปตฺติฎฺฐานํฯ ยทิปิ นิโรธมเคฺค อวิชฺชา อารมฺมณํ น กโรติ, เต ปน ชานิตุกามสฺส ตปฺปฎิจฺฉาทนวเสน อนิโรธมเคฺคสุ นิโรธมคฺคคฺคหณกอารณวเสน จ ปวตฺตมานา ตตฺถ อุปฺปชฺชตีติ วุจฺจตีติ เตสมฺปิ อวิชฺชาย อุปฺปตฺติฎฺฐานตา โหติ, อิตเรสํ อารมฺมณภาเวน จาติฯ สงฺฆิกพลเทวโคณาทีนํ สงฺฆาฎินงฺคลาทีนิ วิย อญฺญเสตาทีนํ อวิชฺชาย ทุกฺขาทิวิสยานํ อนฺธตฺตกรานํ โลภาทีนํ นิวตฺตโก อญฺญาณาทิสภาโว ลกฺขณนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Jāyati etthāti jāti, uppattiṭṭhānaṃ. Yadipi nirodhamagge avijjā ārammaṇaṃ na karoti, te pana jānitukāmassa tappaṭicchādanavasena anirodhamaggesu nirodhamaggaggahaṇakaāraṇavasena ca pavattamānā tattha uppajjatīti vuccatīti tesampi avijjāya uppattiṭṭhānatā hoti, itaresaṃ ārammaṇabhāvena cāti. Saṅghikabaladevagoṇādīnaṃ saṅghāṭinaṅgalādīni viya aññasetādīnaṃ avijjāya dukkhādivisayānaṃ andhattakarānaṃ lobhādīnaṃ nivattako aññāṇādisabhāvo lakkhaṇanti daṭṭhabbaṃ.
อตฺถตฺถนฺติ ผลผลํฯ อาเมฑิตวจนญฺหิ สเพฺพสํ อตฺถานํ วิสุํ วิสุํ ปากฎกรณภาวปฺปกาสนตฺถํฯ อโตฺถ เอว วา อโตฺถ อตฺถโตฺถติ อตฺถสฺส อวิปรีตตาทสฺสนตฺถํ อเตฺถเนวตฺถํ วิเสสยติฯ น หิ ญาณํ อนตฺถํ อโตฺถติ คณฺหาตีติฯ เอวํ การณการณนฺติ เอตฺถาปิ ทฎฺฐพฺพํฯ ตํ อาการนฺติ อตฺถตฺถาทิอาการํฯ คเหตฺวาติ จิเตฺต ปเวเสตฺวา, จิเตฺตน ปุคฺคเลน วา คหิตํ กตฺวาฯ ปฎิวิทฺธสฺส ปุน อเวกฺขณา ปจฺจเวกฺขณาฯ ทุจฺจินฺติตจินฺติตาทิลกฺขณสฺส พาลสฺส ภาโว พาลฺยํฯ ปชานาตีติ ปกาเรหิ ชานาติฯ พลวโมหนํ ปโมโหฯ สมนฺตโต โมหนํ สโมฺมโหฯ
Atthatthanti phalaphalaṃ. Āmeḍitavacanañhi sabbesaṃ atthānaṃ visuṃ visuṃ pākaṭakaraṇabhāvappakāsanatthaṃ. Attho eva vā attho atthatthoti atthassa aviparītatādassanatthaṃ atthenevatthaṃ visesayati. Na hi ñāṇaṃ anatthaṃ atthoti gaṇhātīti. Evaṃ kāraṇakāraṇanti etthāpi daṭṭhabbaṃ. Taṃ ākāranti atthatthādiākāraṃ. Gahetvāti citte pavesetvā, cittena puggalena vā gahitaṃ katvā. Paṭividdhassa puna avekkhaṇā paccavekkhaṇā. Duccintitacintitādilakkhaṇassa bālassa bhāvo bālyaṃ. Pajānātīti pakārehi jānāti. Balavamohanaṃ pamoho. Samantato mohanaṃ sammoho.
ทุกฺขารมฺมณตาติ ทุกฺขารมฺมณตาย, ยาย วา อวิชฺชาย ฉาเทนฺติยา ทุกฺขารมฺมณา ตํสมฺปยุตฺตธมฺมา, สา เตสํ ภาโวติ ทุกฺขารมฺมณตา, อารมฺมณเมว วา อารมฺมณตา, ทุกฺขํ อารมฺมณตา เอติสฺสาติ ทุกฺขารมฺมณตาฯ
Dukkhārammaṇatāti dukkhārammaṇatāya, yāya vā avijjāya chādentiyā dukkhārammaṇā taṃsampayuttadhammā, sā tesaṃ bhāvoti dukkhārammaṇatā, ārammaṇameva vā ārammaṇatā, dukkhaṃ ārammaṇatā etissāti dukkhārammaṇatā.
ทุทฺทสตฺตา คมฺภีรา น สภาวโต, ตสฺมา ตทารมฺมณตา อวิชฺชา อุปฺปชฺชติ, อิตเรสํ สภาวโต คมฺภีรตฺตา ตทารมฺมณตา นุปฺปชฺชตีติ อธิปฺปาโยฯ อปิจ โข ปนาติ มคฺคสฺส สงฺขตสภาวตฺตา ตโตปิ นิโรธสฺส คมฺภีรตรตํ ทเสฺสติฯ
Duddasattā gambhīrā na sabhāvato, tasmā tadārammaṇatā avijjā uppajjati, itaresaṃ sabhāvato gambhīrattā tadārammaṇatā nuppajjatīti adhippāyo. Apica kho panāti maggassa saṅkhatasabhāvattā tatopi nirodhassa gambhīratarataṃ dasseti.
อวิชฺชาปทนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Avijjāpadaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.
สงฺขารปทนิเทฺทสวณฺณนา
Saṅkhārapadaniddesavaṇṇanā
ปุนาตีติ โสเธติ อปุญฺญผลโต ทุกฺขสํกิเลสโต จ, หิตสุขชฺฌาสเยน ปุญฺญํ กโรตีติ ตํนิปฺผาทเนน การกสฺสชฺฌาสยํ ปูเรตีติ ปุโญฺญ, ปูรโก ปุชฺชนิพฺพตฺตโก จ นิรุตฺติลกฺขเณน ‘‘ปุโญฺญ’’ติ เวทิตโพฺพฯ สมาธิปจฺจนีกานํ อติทูรตาย น อิญฺชติ น จลตีติ อโตฺถฯ กายสฺสาติ ทฺวารสฺส สามิภาเวน นิเทฺทโส กโตฯ
Punātīti sodheti apuññaphalato dukkhasaṃkilesato ca, hitasukhajjhāsayena puññaṃ karotīti taṃnipphādanena kārakassajjhāsayaṃ pūretīti puñño, pūrako pujjanibbattako ca niruttilakkhaṇena ‘‘puñño’’ti veditabbo. Samādhipaccanīkānaṃ atidūratāya na iñjati na calatīti attho. Kāyassāti dvārassa sāmibhāvena niddeso kato.
ปุญฺญุปคนฺติ ภวสมฺปตฺตุปคํฯ ตตฺถาติ วิภงฺคสุเตฺต (สํ. นิ. ๒.๒)ฯ ตญฺหิ ปธานภาเวน คหิตนฺติฯ สมฺมาทิฎฺฐิสุเตฺต (ม. นิ. ๑.๑๐๒) ปน ‘‘ตโยเม, อาวุโส, สงฺขารา’’ติ อาคตนฺติฯ สพฺพญฺญุชินภาสิโต ปน อยํ, น ปเจฺจกชินภาสิโต, อิมสฺสตฺถสฺส ทีปนตฺถํ เอเตสํ สุตฺตานํ วเสน เต คหิตาฯ กถํ ปเนเตน คหเณนายมโตฺถ ทีปิโต โหตีติ ตํทสฺสนตฺถมาห ‘‘อภิธเมฺมปิ หิ สุเตฺตปิ เอกสทิสาว ตนฺติ นิทฺทิฎฺฐา’’ติฯ สพฺพญฺญุภาสิโตติ ปากเฎน สุตฺตเนฺตน สทิสตฺตา อยมฺปิ สพฺพญฺญุภาสิโตติ ญายตีติ วุตฺตํ โหตีติฯ
Puññupaganti bhavasampattupagaṃ. Tatthāti vibhaṅgasutte (saṃ. ni. 2.2). Tañhi padhānabhāvena gahitanti. Sammādiṭṭhisutte (ma. ni. 1.102) pana ‘‘tayome, āvuso, saṅkhārā’’ti āgatanti. Sabbaññujinabhāsito pana ayaṃ, na paccekajinabhāsito, imassatthassa dīpanatthaṃ etesaṃ suttānaṃ vasena te gahitā. Kathaṃ panetena gahaṇenāyamattho dīpito hotīti taṃdassanatthamāha ‘‘abhidhammepi hi suttepi ekasadisāva tanti niddiṭṭhā’’ti. Sabbaññubhāsitoti pākaṭena suttantena sadisattā ayampi sabbaññubhāsitoti ñāyatīti vuttaṃ hotīti.
‘‘เตรสาปี’’ติ วุตฺตํ, ตตฺถ ญาณวิปฺปยุตฺตานํ น ภาวนามยตา ปากฎาติ ‘‘ยถา หี’’ติอาทิมาห ฯ ปถวี ปถวีติอาทิภาวนา จ กสิณปริกมฺมกรณํ มณฺฑลกรณญฺจ ภาวนํ ภชาเปนฺติฯ
‘‘Terasāpī’’ti vuttaṃ, tattha ñāṇavippayuttānaṃ na bhāvanāmayatā pākaṭāti ‘‘yathā hī’’tiādimāha . Pathavī pathavītiādibhāvanā ca kasiṇaparikammakaraṇaṃ maṇḍalakaraṇañca bhāvanaṃ bhajāpenti.
ทานวเสน ปวตฺตา จิตฺตเจตสิกา ธมฺมา ทานํฯ ตตฺถ พฺยาปารภูตา อายูหนเจตนา ทานํ อารพฺภ ทานํ อธิกิจฺจ อุปฺปชฺชตีติ วุจฺจติ, เอวํ อิตเรสุฯ โสมนสฺสจิเตฺตนาติ อนุโมทนาปวตฺตินิทสฺสนมตฺตเมตํ ทฎฺฐพฺพํฯ อุเปกฺขาสหคเตนปิ หิ อนุสฺสรติ เอวาติฯ
Dānavasena pavattā cittacetasikā dhammā dānaṃ. Tattha byāpārabhūtā āyūhanacetanā dānaṃ ārabbha dānaṃ adhikicca uppajjatīti vuccati, evaṃ itaresu. Somanassacittenāti anumodanāpavattinidassanamattametaṃ daṭṭhabbaṃ. Upekkhāsahagatenapi hi anussarati evāti.
อสริกฺขกมฺปิ สริกฺขเกน จตุตฺถชฺฌานวิปาเกน เวหปฺผลาทีสุ วินาปิ อสเญฺญสุ กฎตฺตารูปํฯ รูปเมว สผนฺทนตฺตา ‘‘สอิญฺชน’’นฺติ วุตฺตํ อิญฺชนกรนีวรณาทีนํ อวิกฺขมฺภนโต, รูปตณฺหาสงฺขาตสฺส อิญฺชนกสฺส การณตฺตา วาฯ เตเนว รูปารมฺมณํ นิมิตฺตารมฺมณญฺจ สพฺพมฺปิ จตุตฺถชฺฌานํ นิปฺปริยาเยน ‘‘อนิญฺชน’’นฺติ น วุจฺจตีติฯ มหาตุลาย ธารยมาโน นาฬิยา มินมาโน จ สมุทายเมว ธาเรติ มินติ จ, น เอเกกํ คุญฺชํ, เอเกกํ ตณฺฑุลํ วา, เอวํ ภควาปิ อปริมาณา ปฐมกุสลเจตนาโย สมุทายวเสเนว คเหตฺวา เอกชาติกตฺตา เอกเมว กตฺวา ทเสฺสติฯ เอวํ ทุติยาทโยปีติฯ
Asarikkhakampi sarikkhakena catutthajjhānavipākena vehapphalādīsu vināpi asaññesu kaṭattārūpaṃ. Rūpameva saphandanattā ‘‘saiñjana’’nti vuttaṃ iñjanakaranīvaraṇādīnaṃ avikkhambhanato, rūpataṇhāsaṅkhātassa iñjanakassa kāraṇattā vā. Teneva rūpārammaṇaṃ nimittārammaṇañca sabbampi catutthajjhānaṃ nippariyāyena ‘‘aniñjana’’nti na vuccatīti. Mahātulāya dhārayamāno nāḷiyā minamāno ca samudāyameva dhāreti minati ca, na ekekaṃ guñjaṃ, ekekaṃ taṇḍulaṃ vā, evaṃ bhagavāpi aparimāṇā paṭhamakusalacetanāyo samudāyavaseneva gahetvā ekajātikattā ekameva katvā dasseti. Evaṃ dutiyādayopīti.
‘‘กายทฺวาเร ปวตฺตา’’ติ อวตฺวา ‘‘อาทานคฺคหณโจปนํ ปาปยมานา อุปฺปนฺนา’’ติปิ วตฺตุํ วฎฺฎตีติ วจนวิเสสมตฺตเมว ทเสฺสติฯ กายทฺวาเร ปวตฺติ เอว หิ อาทานาทิปาปนาติฯ ปุริเมน วา ทฺวารสฺส อุปลกฺขณภาโว วุโตฺต, ปจฺฉิเมน เจตนาย สวิญฺญตฺติรูปสมุฎฺฐาปนํฯ ตตฺถ อากฑฺฒิตฺวา คหณํ อาทานํ, สมฺปยุตฺตสฺส คหณํ คหณํ, ผนฺทนํ โจปนํฯ
‘‘Kāyadvāre pavattā’’ti avatvā ‘‘ādānaggahaṇacopanaṃ pāpayamānā uppannā’’tipi vattuṃ vaṭṭatīti vacanavisesamattameva dasseti. Kāyadvāre pavatti eva hi ādānādipāpanāti. Purimena vā dvārassa upalakkhaṇabhāvo vutto, pacchimena cetanāya saviññattirūpasamuṭṭhāpanaṃ. Tattha ākaḍḍhitvā gahaṇaṃ ādānaṃ, sampayuttassa gahaṇaṃ gahaṇaṃ, phandanaṃ copanaṃ.
เอตฺถาติ กายวจีสงฺขารคฺคหเณ, กายวจีสเญฺจตนาคหเณ วาฯ อฎฺฐกถายํ อภิญฺญาเจตนา น คหิตา วิญฺญาณสฺส ปจฺจโย น โหตีติฯ กสฺมา ปน น โหติ, นนุ สาปิ กุสลา วิปากธมฺมา จาติ? สจฺจํ, อนุปจฺฉินฺนตณฺหาวิชฺชามาเน ปน สนฺตาเน สพฺยาปารปฺปวตฺติยา ตสฺสา กุสลตา วิปากธมฺมตา จ วุตฺตา, น วิปากุปฺปาทเนน, สา ปน วิปากํ อุปฺปาทยนฺตี รูปาวจรเมว อุปฺปาเทยฺยฯ น หิ อญฺญภูมิกํ กมฺมํ อญฺญภูมิกํ วิปากํ อุปฺปาเทตีติฯ อตฺตนา สทิสารมฺมณญฺจ ติฎฺฐานิกํ ตํ อุปฺปาเทยฺย จิตฺตุปฺปาทกเณฺฑ รูปาวจรวิปากสฺส กมฺมสทิสารมฺมณเสฺสว วุตฺตตฺตา, น จ รูปาวจรวิปาโก ปริตฺตาทิอารมฺมโณ อตฺถิ, อภิญฺญาเจตนา จ ปริตฺตาทิอารมฺมณาว โหติ, ตสฺมา วิปากํ น อุปฺปาเทตีติ วิญฺญายติฯ กสิเณสุ จ อุปฺปาทิตสฺส จตุตฺถชฺฌานสมาธิสฺส อานิสํสภูตา อภิญฺญาฯ ยถาห ‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต’’ติอาทิ (ที. นิ. ๑.๒๔๔-๒๔๕; ม. นิ. ๑.๓๘๔-๓๘๖)ฯ ตสฺมา สมาธิผลสทิสา สา, น จ ผลํ เทตีติ ทานสีลานิสํโส ตสฺมิํ ภเว ปจฺจยลาโภ วิย สาปิ วิปากํ น อุปฺปาเทติฯ ยถา จ อภิญฺญาเจตนา, เอวํ อุทฺธจฺจเจตนาปิ น โหตีติ อิทํ อุทฺธจฺจสหคเต ธเมฺม วิสุํ อุทฺธริตฺวา ‘‘เตสํ วิปาเก ญาณํ อตฺถปฎิสมฺภิทา’’ติ (วิภ. ๗๒๕) วุตฺตตฺตา วิจาเรตพฺพํฯ
Etthāti kāyavacīsaṅkhāraggahaṇe, kāyavacīsañcetanāgahaṇe vā. Aṭṭhakathāyaṃ abhiññācetanā na gahitā viññāṇassa paccayo na hotīti. Kasmā pana na hoti, nanu sāpi kusalā vipākadhammā cāti? Saccaṃ, anupacchinnataṇhāvijjāmāne pana santāne sabyāpārappavattiyā tassā kusalatā vipākadhammatā ca vuttā, na vipākuppādanena, sā pana vipākaṃ uppādayantī rūpāvacarameva uppādeyya. Na hi aññabhūmikaṃ kammaṃ aññabhūmikaṃ vipākaṃ uppādetīti. Attanā sadisārammaṇañca tiṭṭhānikaṃ taṃ uppādeyya cittuppādakaṇḍe rūpāvacaravipākassa kammasadisārammaṇasseva vuttattā, na ca rūpāvacaravipāko parittādiārammaṇo atthi, abhiññācetanā ca parittādiārammaṇāva hoti, tasmā vipākaṃ na uppādetīti viññāyati. Kasiṇesu ca uppāditassa catutthajjhānasamādhissa ānisaṃsabhūtā abhiññā. Yathāha ‘‘so evaṃ samāhite citte’’tiādi (dī. ni. 1.244-245; ma. ni. 1.384-386). Tasmā samādhiphalasadisā sā, na ca phalaṃ detīti dānasīlānisaṃso tasmiṃ bhave paccayalābho viya sāpi vipākaṃ na uppādeti. Yathā ca abhiññācetanā, evaṃ uddhaccacetanāpi na hotīti idaṃ uddhaccasahagate dhamme visuṃ uddharitvā ‘‘tesaṃ vipāke ñāṇaṃ atthapaṭisambhidā’’ti (vibha. 725) vuttattā vicāretabbaṃ.
อยํ ปเนตฺถ อมตคฺคปถานุคโต วินิจฺฉโย – ทสฺสนภาวนานํ อภาเวปิ เยสํ ปุถุชฺชนานํ เสกฺขานญฺจ ทสฺสนภาวนาหิ ภวิตพฺพํ, เตสํ ตทุปฺปตฺติกาเล เตหิ ปหาตุํ สกฺกุเณยฺยา อกุสลา ‘‘ทสฺสเนน ปหาตพฺพา ภาวนาย ปหาตพฺพา’’ติ จ วุจฺจนฺติ, ปุถุชฺชนานํ ปน ภาวนาย อภาวา ภาวนาย ปหาตพฺพจินฺตา นตฺถิฯ เตน เตสํ ปวตฺตมานา เต ทสฺสเนน ปหาตุํ อสกฺกุเณยฺยาปิ ‘‘ภาวนาย ปหาตพฺพา’’ติ น วุจฺจนฺติฯ ยทิ วุเจฺจยฺยุํ, ทสฺสเนน ปหาตพฺพา ภาวนาย ปหาตพฺพานํ เกสญฺจิ เกจิ กทาจิ อารมฺมณารมฺมณาธิปติอุปนิสฺสยปจฺจเยหิ ปจฺจโย ภเวยฺยุํ, น จ ปฎฺฐาเน ‘‘ทสฺสเนน ปหาตพฺพา ภาวนาย ปหาตพฺพานํ เกสญฺจิ เกนจิ ปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ วุตฺตาฯ เสกฺขานํ ปน วิชฺชมานา ภาวนาย ปหาตุํ สกฺกุเณยฺยา ภาวนาย ปหาตพฺพาฯ เตเนว เสกฺขานํ ทสฺสเนน ปหาตพฺพา จตฺตตฺตา วนฺตตฺตา มุตฺตตฺตา ปหีนตฺตา ปฎินิสฺสฎฺฐตฺตา อุเกฺขฎิตตฺตา สมุเกฺขฎิตตฺตา อสฺสาทิตพฺพา อภินนฺทิตพฺพา จ น โหนฺติ, ปหีนตาย เอว โสมนสฺสเหตุภูตา อวิเกฺขปเหตุภูตา จ น โทมนสฺสํ อุทฺธจฺจญฺจ อุปฺปาเทนฺตีติ น เต เตสํ อารมฺมณารมฺมณาธิปติภาวํ ปกตูปนิสฺสยภาวญฺจ คจฺฉนฺติฯ น หิ ปหีเน อุปนิสฺสาย อริโย ราคาทิกิเลเส อุปฺปาเทติฯ
Ayaṃ panettha amataggapathānugato vinicchayo – dassanabhāvanānaṃ abhāvepi yesaṃ puthujjanānaṃ sekkhānañca dassanabhāvanāhi bhavitabbaṃ, tesaṃ taduppattikāle tehi pahātuṃ sakkuṇeyyā akusalā ‘‘dassanena pahātabbā bhāvanāya pahātabbā’’ti ca vuccanti, puthujjanānaṃ pana bhāvanāya abhāvā bhāvanāya pahātabbacintā natthi. Tena tesaṃ pavattamānā te dassanena pahātuṃ asakkuṇeyyāpi ‘‘bhāvanāya pahātabbā’’ti na vuccanti. Yadi vucceyyuṃ, dassanena pahātabbā bhāvanāya pahātabbānaṃ kesañci keci kadāci ārammaṇārammaṇādhipatiupanissayapaccayehi paccayo bhaveyyuṃ, na ca paṭṭhāne ‘‘dassanena pahātabbā bhāvanāya pahātabbānaṃ kesañci kenaci paccayena paccayo’’ti vuttā. Sekkhānaṃ pana vijjamānā bhāvanāya pahātuṃ sakkuṇeyyā bhāvanāya pahātabbā. Teneva sekkhānaṃ dassanena pahātabbā cattattā vantattā muttattā pahīnattā paṭinissaṭṭhattā ukkheṭitattā samukkheṭitattā assāditabbā abhinanditabbā ca na honti, pahīnatāya eva somanassahetubhūtā avikkhepahetubhūtā ca na domanassaṃ uddhaccañca uppādentīti na te tesaṃ ārammaṇārammaṇādhipatibhāvaṃ pakatūpanissayabhāvañca gacchanti. Na hi pahīne upanissāya ariyo rāgādikilese uppādeti.
วุตฺตญฺจ ‘‘โสตาปตฺติมเคฺคน เย กิเลสา ปหีนา, เต กิเลเส น ปุเนติ น ปเจฺจติ น ปจฺจาคจฺฉติ…เป.… อรหตฺตมเคฺคน…เป.… น ปจฺจาคจฺฉตี’’ติ (มหานิ. ๘๐; จูฬนิ. เมตฺตคูมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๒๗), น จ ปุถุชฺชนานํ ทสฺสเนน ปหาตุํ สกฺกุเณยฺยา อิตเรสํ น เกนจิ ปจฺจเยน ปจฺจโย โหนฺตีติ สกฺกา วตฺตุํ ‘‘ทิฎฺฐิํ อสฺสาเทติ อภินนฺทติ, ตํ อารพฺภ ราโค อุปฺปชฺชติ, ทิฎฺฐิ วิจิกิจฺฉา อุทฺธจฺจํ อุปฺปชฺชติฯ วิจิกิจฺฉํ อารพฺภ วิจิกิจฺฉา ทิฎฺฐิ อุทฺธจฺจํ อุปฺปชฺชตี’’ติ ทิฎฺฐิวิจิกิจฺฉานํ อุทฺธจฺจารมฺมณปจฺจยภาวสฺส วุตฺตตฺตาฯ เอตฺถ หิ อุทฺธจฺจนฺติ อุทฺธจฺจสหคตํ จิตฺตุปฺปาทํ สนฺธาย วุตฺตํฯ เอวญฺจ กตฺวา อธิปติปจฺจยนิเทฺทเส ‘‘ทิฎฺฐิํ ครุํ กตฺวา อสฺสาเทติ อภินนฺทติ, ตํ ครุํ กตฺวา ราโค อุปฺปชฺชติ, ทิฎฺฐิ อุปฺปชฺชตี’’ติ (ปฎฺฐา. ๑.๑.๔๐๙) เอตฺตกเมว วุตฺตํ, น วุตฺตํ ‘‘อุทฺธจฺจํ อุปฺปชฺชตี’’ติฯ ตสฺมา ทสฺสนภาวนาหิ ปหาตพฺพานํ อตีตาทิภาเวน นวตฺตพฺพเตฺตปิ ยาทิสานํ ตาหิ อนุปฺปตฺติธมฺมตา อาปาเทตพฺพา, เตสุ ปุถุชฺชเนสุ วตฺตมานา ทสฺสนํ อเปกฺขิตฺวา เตน ปหาตุํ สกฺกุเณยฺยา ทสฺสเนน ปหาตพฺพา, เสเกฺขสุ วตฺตมานา ภาวนํ อเปกฺขิตฺวา ตาย ปหาตุํ สกฺกุเณยฺยา ภาวนาย ปหาตพฺพาฯ เตสุ ภาวนาย ปหาตพฺพา สหายวิรหา วิปากํ น ชนยนฺตีติ ภาวนาย ปหาตพฺพเจตนาย นานากฺขณิกกมฺมปจฺจยภาโว น วุโตฺต, อเปกฺขิตพฺพทสฺสนภาวนารหิตานํ ปน ปุถุชฺชเนสุ อุปฺปชฺชมานานํ สกภเณฺฑ ฉนฺทราคาทีนํ อุทฺธจฺจสหคตจิตฺตุปฺปาทสฺส จ สํโยชนตฺตยตเทกฎฺฐกิเลสานํ อนุปจฺฉินฺนตาย อปริกฺขีณสหายานํ วิปากุปฺปาทนํ น สกฺกา ปฎิกฺขิปิตุนฺติ อุทฺธจฺจสหคตธมฺมานํ วิปาโก วิภเงฺค วุโตฺตติฯ
Vuttañca ‘‘sotāpattimaggena ye kilesā pahīnā, te kilese na puneti na pacceti na paccāgacchati…pe… arahattamaggena…pe… na paccāgacchatī’’ti (mahāni. 80; cūḷani. mettagūmāṇavapucchāniddesa 27), na ca puthujjanānaṃ dassanena pahātuṃ sakkuṇeyyā itaresaṃ na kenaci paccayena paccayo hontīti sakkā vattuṃ ‘‘diṭṭhiṃ assādeti abhinandati, taṃ ārabbha rāgo uppajjati, diṭṭhi vicikicchā uddhaccaṃ uppajjati. Vicikicchaṃ ārabbha vicikicchā diṭṭhi uddhaccaṃ uppajjatī’’ti diṭṭhivicikicchānaṃ uddhaccārammaṇapaccayabhāvassa vuttattā. Ettha hi uddhaccanti uddhaccasahagataṃ cittuppādaṃ sandhāya vuttaṃ. Evañca katvā adhipatipaccayaniddese ‘‘diṭṭhiṃ garuṃ katvā assādeti abhinandati, taṃ garuṃ katvā rāgo uppajjati, diṭṭhi uppajjatī’’ti (paṭṭhā. 1.1.409) ettakameva vuttaṃ, na vuttaṃ ‘‘uddhaccaṃ uppajjatī’’ti. Tasmā dassanabhāvanāhi pahātabbānaṃ atītādibhāvena navattabbattepi yādisānaṃ tāhi anuppattidhammatā āpādetabbā, tesu puthujjanesu vattamānā dassanaṃ apekkhitvā tena pahātuṃ sakkuṇeyyā dassanena pahātabbā, sekkhesu vattamānā bhāvanaṃ apekkhitvā tāya pahātuṃ sakkuṇeyyā bhāvanāya pahātabbā. Tesu bhāvanāya pahātabbā sahāyavirahā vipākaṃ na janayantīti bhāvanāya pahātabbacetanāya nānākkhaṇikakammapaccayabhāvo na vutto, apekkhitabbadassanabhāvanārahitānaṃ pana puthujjanesu uppajjamānānaṃ sakabhaṇḍe chandarāgādīnaṃ uddhaccasahagatacittuppādassa ca saṃyojanattayatadekaṭṭhakilesānaṃ anupacchinnatāya aparikkhīṇasahāyānaṃ vipākuppādanaṃ na sakkā paṭikkhipitunti uddhaccasahagatadhammānaṃ vipāko vibhaṅge vuttoti.
ยทิ เอวํ, อเปกฺขิตพฺพทสฺสนภาวนารหิตานํ อกุสลานํ เนวทสฺสเนนนภาวนายปหาตพฺพตา อาปชฺชตีติ? นาปชฺชติ, อปฺปหาตพฺพานํ ‘‘เนว ทสฺสเนน น ภาวนาย ปหาตพฺพา’’ติ (ธ. ส. ติกมาติกา ๘) วุตฺตตฺตา, อปฺปหาตพฺพวิรุทฺธสภาวตฺตา จ อกุสลานํฯ เอวมฺปิ เตสํ อิมสฺมิํ ติเก นวตฺตพฺพตา อาปชฺชตีติ? นาปชฺชติ จิตฺตุปฺปาทกเณฺฑ ทสฺสิตานํ ทฺวาทสอกุสลจิตฺตุปฺปาทานํ ทฺวีหิ ปเทหิ สงฺคหิตตฺตาฯ ยถา หิ ธมฺมวเสน สงฺขตธมฺมา สเพฺพ สงฺคหิตาติ อุปฺปนฺนตฺติเก กาลวเสน อสงฺคหิตาปิ อตีตา นวตฺตพฺพาติ น วุตฺตา จิตฺตุปฺปาทรูปภาเวน คหิเตสุ นวตฺตพฺพสฺส อภาวา, เอวมิธาปิ จิตฺตุปฺปาทภาเวน คหิเตสุ นวตฺตพฺพสฺส อภาวา นวตฺตพฺพตา น วุตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ ยตฺถ หิ จิตฺตุปฺปาโท โกจิ นิโยคโต นวตฺตโพฺพ อตฺถิ, ตตฺถ เตสํ จตุโตฺถ โกฎฺฐาโส อตฺถีติ ยถาวุตฺตปเทสุ วิย ตตฺถาปิ ภินฺทิตฺวา ภชาเปตเพฺพ จิตฺตุปฺปาเท ภินฺทิตฺวา ภชาเปติ ‘‘สิยา นวตฺตพฺพา ปริตฺตารมฺมณา’’ติอาทินาฯ ตทภาวา อุปฺปนฺนตฺติเก อิธ จ ตถา น วุตฺตาฯ
Yadi evaṃ, apekkhitabbadassanabhāvanārahitānaṃ akusalānaṃ nevadassanenanabhāvanāyapahātabbatā āpajjatīti? Nāpajjati, appahātabbānaṃ ‘‘neva dassanena na bhāvanāya pahātabbā’’ti (dha. sa. tikamātikā 8) vuttattā, appahātabbaviruddhasabhāvattā ca akusalānaṃ. Evampi tesaṃ imasmiṃ tike navattabbatā āpajjatīti? Nāpajjati cittuppādakaṇḍe dassitānaṃ dvādasaakusalacittuppādānaṃ dvīhi padehi saṅgahitattā. Yathā hi dhammavasena saṅkhatadhammā sabbe saṅgahitāti uppannattike kālavasena asaṅgahitāpi atītā navattabbāti na vuttā cittuppādarūpabhāvena gahitesu navattabbassa abhāvā, evamidhāpi cittuppādabhāvena gahitesu navattabbassa abhāvā navattabbatā na vuttāti veditabbā. Yattha hi cittuppādo koci niyogato navattabbo atthi, tattha tesaṃ catuttho koṭṭhāso atthīti yathāvuttapadesu viya tatthāpi bhinditvā bhajāpetabbe cittuppāde bhinditvā bhajāpeti ‘‘siyā navattabbā parittārammaṇā’’tiādinā. Tadabhāvā uppannattike idha ca tathā na vuttā.
อถ วา ยถา สปฺปฎิเฆหิ สมานสภาวตฺตา รูปธาตุยํ ตโย มหาภูตา ‘‘สปฺปฎิฆา’’ติ วุตฺตาฯ ยถาห ‘‘อสญฺญสตฺตานํ อนิทสฺสนํ สปฺปฎิฆํ เอกํ มหาภูตํ ปฎิจฺจ เทฺว มหาภูตา, เทฺว มหาภูเต ปฎิจฺจ เอกํ มหาภูต’’นฺติ (ปฎฺฐา. ๒.๒๒.๙)ฯ เอวํ ปุถุชฺชนานํ ปวตฺตมานา ภาวนาย ปหาตพฺพสมานสภาวา ‘‘ภาวนาย ปหาตพฺพา’’ติ วุเจฺจยฺยุนฺติ นตฺถิ นวตฺตพฺพตาปสโงฺคฯ เอวญฺจ สติ ปุถุชฺชนานํ ปวตฺตมานาปิ ภาวนาย ปหาตพฺพา สกภเณฺฑ ฉนฺทราคาทโย ปรภเณฺฑ ฉนฺทราคาทีนํ อุปนิสฺสยปจฺจโย, ราโค จ ราคทิฎฺฐีนํ อธิปติปจฺจโยติ อยมโตฺถ ลโทฺธ โหติฯ ยถา ปน อโผฎฺฐพฺพตฺตา รูปธาตุยํ ตโย มหาภูตา น ปรมตฺถโต สปฺปฎิฆา, เอวํ อเปกฺขิตพฺพภาวนารหิตา ปุถุชฺชเนสุ ปวตฺตมานา สกภเณฺฑ ฉนฺทราคาทโย น ปรมตฺถโต ภาวนาย ปหาตพฺพาติ ภาวนาย ปหาตพฺพานํ นานากฺขณิกกมฺมปจฺจยตา น วุตฺตา, น จ ‘‘ทสฺสเนน ปหาตพฺพา ภาวนาย ปหาตพฺพานํ เกนจิ ปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ วุตฺตาฯ เย หิ ทสฺสเนน ปหาตพฺพปจฺจยา กิเลสา, น เต ทสฺสนโต อุทฺธํ ปวตฺตนฺติ, ทสฺสเนน ปหาตพฺพปจฺจยสฺสปิ ปน อุทฺธจฺจสหคตสฺส สหายเวกลฺลมตฺตเมว ทสฺสเนน กตํ, น ตสฺส โกจิ ภาโว ทสฺสเนน อนุปฺปตฺติธมฺมตํ อาปาทิโตติ ตสฺส เอกนฺตภาวนาย ปหาตพฺพตา วุตฺตาฯ ตสฺมา ตสฺส ตาทิสเสฺสว สติ สหาเย วิปากุปฺปาทนวจนํ, อสติ จ วิปากานุปฺปาทนวจนํ น วิรุชฺฌตีติฯ
Atha vā yathā sappaṭighehi samānasabhāvattā rūpadhātuyaṃ tayo mahābhūtā ‘‘sappaṭighā’’ti vuttā. Yathāha ‘‘asaññasattānaṃ anidassanaṃ sappaṭighaṃ ekaṃ mahābhūtaṃ paṭicca dve mahābhūtā, dve mahābhūte paṭicca ekaṃ mahābhūta’’nti (paṭṭhā. 2.22.9). Evaṃ puthujjanānaṃ pavattamānā bhāvanāya pahātabbasamānasabhāvā ‘‘bhāvanāya pahātabbā’’ti vucceyyunti natthi navattabbatāpasaṅgo. Evañca sati puthujjanānaṃ pavattamānāpi bhāvanāya pahātabbā sakabhaṇḍe chandarāgādayo parabhaṇḍe chandarāgādīnaṃ upanissayapaccayo, rāgo ca rāgadiṭṭhīnaṃ adhipatipaccayoti ayamattho laddho hoti. Yathā pana aphoṭṭhabbattā rūpadhātuyaṃ tayo mahābhūtā na paramatthato sappaṭighā, evaṃ apekkhitabbabhāvanārahitā puthujjanesu pavattamānā sakabhaṇḍe chandarāgādayo na paramatthato bhāvanāya pahātabbāti bhāvanāya pahātabbānaṃ nānākkhaṇikakammapaccayatā na vuttā, na ca ‘‘dassanena pahātabbā bhāvanāya pahātabbānaṃ kenaci paccayena paccayo’’ti vuttā. Ye hi dassanena pahātabbapaccayā kilesā, na te dassanato uddhaṃ pavattanti, dassanena pahātabbapaccayassapi pana uddhaccasahagatassa sahāyavekallamattameva dassanena kataṃ, na tassa koci bhāvo dassanena anuppattidhammataṃ āpāditoti tassa ekantabhāvanāya pahātabbatā vuttā. Tasmā tassa tādisasseva sati sahāye vipākuppādanavacanaṃ, asati ca vipākānuppādanavacanaṃ na virujjhatīti.
สาปิ วิญฺญาณปจฺจยภาเว ยทิ อปเนตพฺพา, กสฺมา ‘‘สมวีสติ เจตนา’’ติ วุตฺตนฺติ ตสฺส การณํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา ปน สพฺพาเปตา โหนฺตี’’ติฯ ยทิ เอวํ, อภิญฺญาเจตนาย สห ‘‘เอกวีสตี’’ติ วตฺตพฺพนฺติ? น, อวจนสฺส วุตฺตการณตฺตา, ตํ ปน อิตราวจนสฺสปิ การณนฺติ สมานเจตนาวจนการณวจเนน ยํ การณํ อเปกฺขิตฺวา เอกา วุตฺตา, เตน การเณน อิตรายปิ วตฺตพฺพตํ, ยญฺจ การณํ อเปกฺขิตฺวา อิตรา น วุตฺตา, เตน การเณน วุตฺตายปิ อวตฺตพฺพตํ ทเสฺสติฯ อาเนญฺชาภิสงฺขาโร จิตฺตสงฺขาโร เอวาติ เภทาภาวา ปากโฎติ น ตสฺส สํโยโค ทสฺสิโตฯ
Sāpi viññāṇapaccayabhāve yadi apanetabbā, kasmā ‘‘samavīsati cetanā’’ti vuttanti tassa kāraṇaṃ dassento āha ‘‘avijjāpaccayā panasabbāpetā hontī’’ti. Yadi evaṃ, abhiññācetanāya saha ‘‘ekavīsatī’’ti vattabbanti? Na, avacanassa vuttakāraṇattā, taṃ pana itarāvacanassapi kāraṇanti samānacetanāvacanakāraṇavacanena yaṃ kāraṇaṃ apekkhitvā ekā vuttā, tena kāraṇena itarāyapi vattabbataṃ, yañca kāraṇaṃ apekkhitvā itarā na vuttā, tena kāraṇena vuttāyapi avattabbataṃ dasseti. Āneñjābhisaṅkhāro cittasaṅkhāro evāti bhedābhāvā pākaṭoti na tassa saṃyogo dassito.
สุขสญฺญาย คเหตฺวาติ เอเตน ตณฺหาปวตฺติํ ทเสฺสติฯ ตณฺหาปริกฺขาเรติ ตณฺหาย ปริวาเร, ตณฺหาย ‘‘สุขํ สุภ’’นฺติอาทินา สงฺขเต วา อลงฺกเตติ อโตฺถฯ ตณฺหา หิ ทุกฺขสฺส สมุทโยติ อชานโนฺต ‘‘อโห วตาหํ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ขตฺติยมหาสาลานํ วา สหพฺยตํ อุปปเชฺชยฺย’’นฺติ สงฺขาเร ปริกฺขโรตีติฯ อมรณตฺถาติ คหิตา ทุกฺกรกิริยา อมรตโป, เทวภาวตฺถํ ตโป วา, ทุกฺขตฺตา วา มโร มารโก ตโป อมรตโปฯ ทิเฎฺฐ อทิฎฺฐ-สโทฺท วิย มเรสุ อมร-สโทฺท ทฎฺฐโพฺพฯ
Sukhasaññāya gahetvāti etena taṇhāpavattiṃ dasseti. Taṇhāparikkhāreti taṇhāya parivāre, taṇhāya ‘‘sukhaṃ subha’’ntiādinā saṅkhate vā alaṅkateti attho. Taṇhā hi dukkhassa samudayoti ajānanto ‘‘aho vatāhaṃ kāyassa bhedā paraṃ maraṇā khattiyamahāsālānaṃ vā sahabyataṃ upapajjeyya’’nti saṅkhāre parikkharotīti. Amaraṇatthāti gahitā dukkarakiriyā amaratapo, devabhāvatthaṃ tapo vā, dukkhattā vā maro mārako tapo amaratapo. Diṭṭhe adiṭṭha-saddo viya maresu amara-saddo daṭṭhabbo.
ชาติอาทิปปาตทุกฺขชนนโต มรุปปาตสทิสตา ปุญฺญาภิสงฺขารสฺส วุตฺตาฯ รมณียภาเวน จ อสฺสาทภาเวน จ คยฺหมานํ ปุญฺญผลํ ทีปสิขามธุลิตฺตสตฺถธาราสทิสํ, ตทโตฺถ จ ปุญฺญาภิสงฺขาโร ตํนิปาตเลหนสทิโสฯ
Jātiādipapātadukkhajananato marupapātasadisatā puññābhisaṅkhārassa vuttā. Ramaṇīyabhāvena ca assādabhāvena ca gayhamānaṃ puññaphalaṃ dīpasikhāmadhulittasatthadhārāsadisaṃ, tadattho ca puññābhisaṅkhāro taṃnipātalehanasadiso.
‘‘สุโข อิมิสฺสา ปริพฺพาชิกาย ตรุณาย มุทุกาย โลมสาย พาหาย สมฺผโสฺส’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๔๖๙) สุขสญฺญาย พาโล วิย คูถกีฬนํ กิเลสาภิภูตตาย โกธารติอภิภูโต อสวโส มริตุกาโม วิย วิสขาทนํ กรณผลกฺขเณสุ ชิคุจฺฉนียํ ทุกฺขญฺจ อปุญฺญาภิสงฺขารํ อารภติฯ โลภสหคตสฺส วา คูถกีฬนสทิสตา, โทสสหคตสฺส วิสขาทนสทิสตา โยเชตพฺพาฯ กามคุณสมิทฺธิยา สภยสฺสปิ ปิสาจนครสฺส สุขวิปลฺลาสเหตุภาโว วิย อรูปวิปากานํ นิรนฺตรตาย อนุปลกฺขิยมานอุปฺปาทวยานํ, ทีฆสนฺตานตาย อคยฺหมานวิปริณามานํ, สงฺขารวิปริณามทุกฺขภูตานมฺปิ นิจฺจาทิวิปลฺลาสเหตุภาโวติ เตสํ ปิสาจนครสทิสตา, ตทภิมุขคมนสทิสตา จ อาเนญฺชาภิสงฺขารสฺส โยเชตพฺพาฯ
‘‘Sukho imissā paribbājikāya taruṇāya mudukāya lomasāya bāhāya samphasso’’tiādinā (ma. ni. 1.469) sukhasaññāya bālo viya gūthakīḷanaṃ kilesābhibhūtatāya kodhāratiabhibhūto asavaso maritukāmo viya visakhādanaṃ karaṇaphalakkhaṇesu jigucchanīyaṃ dukkhañca apuññābhisaṅkhāraṃ ārabhati. Lobhasahagatassa vā gūthakīḷanasadisatā, dosasahagatassa visakhādanasadisatā yojetabbā. Kāmaguṇasamiddhiyā sabhayassapi pisācanagarassa sukhavipallāsahetubhāvo viya arūpavipākānaṃ nirantaratāya anupalakkhiyamānauppādavayānaṃ, dīghasantānatāya agayhamānavipariṇāmānaṃ, saṅkhāravipariṇāmadukkhabhūtānampi niccādivipallāsahetubhāvoti tesaṃ pisācanagarasadisatā, tadabhimukhagamanasadisatā ca āneñjābhisaṅkhārassa yojetabbā.
ตาวาติ วตฺตพฺพนฺตราเปโกฺข นิปาโต, ตสฺมา อวิชฺชา สงฺขารานํ ปจฺจโยติ อิทํ ตาว สิทฺธํ, อิทํ ปน อปรํ วตฺตพฺพนฺติ อโตฺถฯ อวิชฺชาปจฺจยา ปน สพฺพาเปตา โหนฺตีติ วุตฺตนฺติ อภิญฺญาเจตนานํ ปจฺจยภาวํ ทเสฺสติฯ เจโตปริยปุเพฺพนิวาสอนาคตํสญาเณหิ ปเรสํ อตฺตโน จ สโมหจิตฺตชานนกาเลติ โยเชตพฺพาฯ
Tāvāti vattabbantarāpekkho nipāto, tasmā avijjā saṅkhārānaṃ paccayoti idaṃ tāva siddhaṃ, idaṃ pana aparaṃ vattabbanti attho. Avijjāpaccayā pana sabbāpetā hontīti vuttanti abhiññācetanānaṃ paccayabhāvaṃ dasseti. Cetopariyapubbenivāsaanāgataṃsañāṇehi paresaṃ attano ca samohacittajānanakāleti yojetabbā.
อวิชฺชาสมฺมูฬฺหตฺตาติ ภวาทีนวปฎิจฺฉาทิกาย อวิชฺชาย สมฺมูฬฺหตฺตาฯ ราคาทีนนฺติ ราคทิฎฺฐิวิจิกิจฺฉุทฺธจฺจโทมนสฺสานํ อวิชฺชาสมฺปยุตฺตราคาทิอสฺสาทนกาเลสุ อวิชฺชํ อารพฺภ อุปฺปตฺติ เวทิตพฺพาฯ ครุํ กตฺวา อสฺสาทนํ ราคทิฎฺฐิสมฺปยุตฺตาย เอว อวิชฺชาย โยเชตพฺพํ, อสฺสาทนญฺจ ราโค, ตทวิปฺปยุตฺตา จ ทิฎฺฐีติ อสฺสาทนวจเนเนว ยถาวุตฺตํ อวิชฺชํ ครุํ กโรนฺตี ทิฎฺฐิ จ วุตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ ราคาทีหิ จ ปาฬิยํ สรูเปน วุเตฺตหิ ตํสมฺปยุตฺตสงฺขารสฺส อวิชฺชารมฺมณาทิตํ ทเสฺสติฯ อนวิชฺชารมฺมณสฺส ปฐมชวนสฺส อารมฺมณาธิปติอนนฺตราทิปจฺจยวจเนสุ อวุตฺตสฺส วุตฺตสฺส จ สพฺพสฺส สงฺคณฺหนตฺถํ ‘‘ยํ กิญฺจี’’ติ อาหฯ วุตฺตนเยนาติ สมติกฺกมภวปตฺถนาวเสน วุตฺตนเยนฯ
Avijjāsammūḷhattāti bhavādīnavapaṭicchādikāya avijjāya sammūḷhattā. Rāgādīnanti rāgadiṭṭhivicikicchuddhaccadomanassānaṃ avijjāsampayuttarāgādiassādanakālesu avijjaṃ ārabbha uppatti veditabbā. Garuṃ katvā assādanaṃ rāgadiṭṭhisampayuttāya eva avijjāya yojetabbaṃ, assādanañca rāgo, tadavippayuttā ca diṭṭhīti assādanavacaneneva yathāvuttaṃ avijjaṃ garuṃ karontī diṭṭhi ca vuttāti veditabbā. Rāgādīhi ca pāḷiyaṃ sarūpena vuttehi taṃsampayuttasaṅkhārassa avijjārammaṇāditaṃ dasseti. Anavijjārammaṇassa paṭhamajavanassa ārammaṇādhipatianantarādipaccayavacanesu avuttassa vuttassa ca sabbassa saṅgaṇhanatthaṃ ‘‘yaṃ kiñcī’’ti āha. Vuttanayenāti samatikkamabhavapatthanāvasena vuttanayena.
เอกการณวาโท อาปชฺชตีติ โทสปฺปสโงฺค วุโตฺตฯ อนิโฎฺฐ หิ เอกการณวาโท สพฺพสฺส สพฺพกาเล สมฺภวาปตฺติโต เอกสทิสสภาวาปตฺติโต จฯ ยสฺมา ตีสุ ปกาเรสุ อวิชฺชมาเนสุ ปาริเสเสน จตุเตฺถ เอว จ วิชฺชมาเน เอกเหตุผลทีปเน อโตฺถ อตฺถิ, ตสฺมา น นุปปชฺชติฯ
Ekakāraṇavādo āpajjatīti dosappasaṅgo vutto. Aniṭṭho hi ekakāraṇavādo sabbassa sabbakāle sambhavāpattito ekasadisasabhāvāpattito ca. Yasmā tīsu pakāresu avijjamānesu pārisesena catutthe eva ca vijjamāne ekahetuphaladīpane attho atthi, tasmā na nupapajjati.
ยถาผสฺสํ เวทนาววตฺถานโตติ ‘‘สุขเวทนียํ, ภิกฺขเว, ผสฺสํ ปฎิจฺจ อุปฺปชฺชติ สุขา เวทนา’’ติอาทินา (สํ. นิ. ๒.๖๒), ‘‘จกฺขุญฺจ ปฎิจฺจ…เป.… ติณฺณํ สงฺคติ ผโสฺส, ผสฺสปจฺจยา เวทนา’’ติอาทินา (สํ. นิ. ๒.๔๓) จ สุขเวทนียาทิจกฺขุสมฺผสฺสาทิอนุรูเปน สุขเวทนาทิจกฺขุสมฺผสฺสชาเวทนาทีนํ ววตฺถานโต, สมาเนสุ จกฺขุรูปาทีสุ ผสฺสวเสน สุขาทิวิปริยายาภาวโต, สมาเนสุ จ รูปมนสิการาทีสุ จกฺขาทิสงฺฆฎฺฎนวเสน จกฺขุสมฺผสฺสชาทิวิปริยายาภาวโต, อญฺญปจฺจยสามเญฺญปิ ผสฺสวเสน สุขาทิจกฺขุสมฺผสฺสชาทีนํ โอฬาริกสุขุมาทิสงฺกราภาวโต จาติ อโตฺถฯ สุขาทีนํ ยถาวุตฺตสมฺผสฺสสฺส อวิปรีโต ปจฺจยภาโว เอว ยถาเวทนํ ผสฺสววตฺถานํ, การณผลวิเสเสน วา ผลการณวิเสสนิจฺฉโย โหตีติ อุภยตฺถาปิ นิจฺฉโย ววตฺถานนฺติ วุโตฺตฯ กมฺมาทโยติ กมฺมาหารอุตุอาทโย อปากฎา เสมฺหปฎิกาเรน โรควูปสมโตฯ
Yathāphassaṃ vedanāvavatthānatoti ‘‘sukhavedanīyaṃ, bhikkhave, phassaṃ paṭicca uppajjati sukhā vedanā’’tiādinā (saṃ. ni. 2.62), ‘‘cakkhuñca paṭicca…pe… tiṇṇaṃ saṅgati phasso, phassapaccayā vedanā’’tiādinā (saṃ. ni. 2.43) ca sukhavedanīyādicakkhusamphassādianurūpena sukhavedanādicakkhusamphassajāvedanādīnaṃ vavatthānato, samānesu cakkhurūpādīsu phassavasena sukhādivipariyāyābhāvato, samānesu ca rūpamanasikārādīsu cakkhādisaṅghaṭṭanavasena cakkhusamphassajādivipariyāyābhāvato, aññapaccayasāmaññepi phassavasena sukhādicakkhusamphassajādīnaṃ oḷārikasukhumādisaṅkarābhāvato cāti attho. Sukhādīnaṃ yathāvuttasamphassassa aviparīto paccayabhāvo eva yathāvedanaṃ phassavavatthānaṃ, kāraṇaphalavisesena vā phalakāraṇavisesanicchayo hotīti ubhayatthāpi nicchayo vavatthānanti vutto. Kammādayoti kammāhārautuādayo apākaṭā semhapaṭikārena rogavūpasamato.
‘‘อสฺสาทานุปสฺสิโน ตณฺหา ปวฑฺฒตี’’ติ วจนโตติ ‘‘สํโยชนีเยสุ, ภิกฺขเว, ธเมฺมสุ อสฺสาทานุปสฺสิโน วิหรโต ตณฺหา ปวฑฺฒติ, ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ, อุปาทานปจฺจยา ภโว’’ติ (สํ. นิ. ๒.๕๓-๕๔) อิมินา สุเตฺตน ตณฺหาย สงฺขารการณภาวสฺส วุตฺตตฺตาติ อโตฺถฯ ปุน ตสฺสาปิ อวิชฺชา การณนฺติ ทสฺสนตฺถํ ‘‘อวิชฺชาสมุทยา อาสวสมุทโยติ วจนโต’’ติ อาหฯ ตณฺหา วา จตุรุปาทานภูตา กามภวทิฎฺฐาสวา จ สงฺขารสฺส การณนฺติ ปากฎาติ สุตฺตทฺวเยนปิ อวิชฺชาย สงฺขารการณภาวเมว ทเสฺสติฯ อสฺสาทานุปสฺสิโนติ หิ วจเนน อาทีนวปฎิจฺฉาทนกิจฺจา อวิชฺชา ตณฺหาย การณนฺติ ทสฺสิตา โหตีติฯ ยสฺมา อวิทฺวา, ตสฺมา ปุญฺญาภิสงฺขาราทิเก อภิสงฺขโรตีติ อวิชฺชาย สงฺขารการณภาวสฺส ปากฎตฺตา อวิทฺทสุภาโว สงฺขารการณภาเวน วุโตฺต ขีณาสวสฺส สงฺขาราภาวโต อสาธารณตฺตา จฯ ปุญฺญาภิสงฺขาราทีนํ สาธารณานิ วตฺถารมฺมณาทีนีติ ปุญฺญภวาทิอาทีนวปฎิจฺฉาทิกา อวิชฺชา ปุญฺญาภิสงฺขาราทีนํ อสาธารณํ การณนฺติ วา อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ฐานวิรุโทฺธติ อตฺถิตาวิรุโทฺธฯ เกจิ ปน ‘‘ปฎิสนฺธิอาทีนิ ฐานานี’’ติ วทนฺติ, เอวํ สติ ปุริมจิตฺตํ ปจฺฉิมจิตฺตสฺส ฐานวิรุโทฺธ ปจฺจโยติ น อิทํ เอกนฺติกํ สิยาฯ ภวงฺคมฺปิ หิ ภวงฺคสฺส อนนฺตรปจฺจโย, ชวนํ ชวนสฺสาติ, น จ สิปฺปาทีนํ ปฎิสนฺธิอาทิฐานํ อตฺถีติ น ตํ อิธ อธิเปฺปตํฯ กมฺมํ รูปสฺส นมนรุปฺปนวิโรธา สารมฺมณานารมฺมณวิโรธา จ สภาววิรุโทฺธ ปจฺจโย, ขีราทีนิ ทธิอาทีนํ มธุรมฺพิลรสาทิสภาววิโรธาฯ อวิชานนกิโจฺจ อาโลโก วิชานนกิจฺจสฺส วิญฺญาณสฺส, อมทนกิจฺจา จ คุฬาทโย มทนกิจฺจสฺส อาสวสฺสฯ
‘‘Assādānupassino taṇhā pavaḍḍhatī’’ti vacanatoti ‘‘saṃyojanīyesu, bhikkhave, dhammesu assādānupassino viharato taṇhā pavaḍḍhati, taṇhāpaccayā upādānaṃ, upādānapaccayā bhavo’’ti (saṃ. ni. 2.53-54) iminā suttena taṇhāya saṅkhārakāraṇabhāvassa vuttattāti attho. Puna tassāpi avijjā kāraṇanti dassanatthaṃ ‘‘avijjāsamudayā āsavasamudayoti vacanato’’ti āha. Taṇhā vā caturupādānabhūtā kāmabhavadiṭṭhāsavā ca saṅkhārassa kāraṇanti pākaṭāti suttadvayenapi avijjāya saṅkhārakāraṇabhāvameva dasseti. Assādānupassinoti hi vacanena ādīnavapaṭicchādanakiccā avijjā taṇhāya kāraṇanti dassitā hotīti. Yasmā avidvā, tasmā puññābhisaṅkhārādike abhisaṅkharotīti avijjāya saṅkhārakāraṇabhāvassa pākaṭattā aviddasubhāvo saṅkhārakāraṇabhāvena vutto khīṇāsavassa saṅkhārābhāvato asādhāraṇattā ca. Puññābhisaṅkhārādīnaṃ sādhāraṇāni vatthārammaṇādīnīti puññabhavādiādīnavapaṭicchādikā avijjā puññābhisaṅkhārādīnaṃ asādhāraṇaṃ kāraṇanti vā attho daṭṭhabbo. Ṭhānaviruddhoti atthitāviruddho. Keci pana ‘‘paṭisandhiādīni ṭhānānī’’ti vadanti, evaṃ sati purimacittaṃ pacchimacittassa ṭhānaviruddho paccayoti na idaṃ ekantikaṃ siyā. Bhavaṅgampi hi bhavaṅgassa anantarapaccayo, javanaṃ javanassāti, na ca sippādīnaṃ paṭisandhiādiṭhānaṃ atthīti na taṃ idha adhippetaṃ. Kammaṃ rūpassa namanaruppanavirodhā sārammaṇānārammaṇavirodhā ca sabhāvaviruddho paccayo, khīrādīni dadhiādīnaṃ madhurambilarasādisabhāvavirodhā. Avijānanakicco āloko vijānanakiccassa viññāṇassa, amadanakiccā ca guḷādayo madanakiccassa āsavassa.
โคโลมาวิโลมานิ ทพฺพาย ปจฺจโย, ทธิอาทีนิ ภูติณกสฺสฯ เอตฺถ จ อวีติ รตฺตา เอฬกา วุจฺจนฺติฯ วิปากาเยว เต จ น, ตสฺมา ทุกฺขวิปากายปิ อวิชฺชาย ตทวิปากานํ ปุญฺญาเนญฺชาภิสงฺขารานํ ปจฺจยตฺตํ น น ยุชฺชตีติ อโตฺถฯ ตทวิปากเตฺตปิ สาวชฺชตาย ตทวิรุทฺธานํ ตํสทิสานญฺจ อปุญฺญาภิสงฺขารานเมว ปจฺจโย, น อิตเรสนฺติ เอตสฺส ปสงฺคสฺส นิวารณตฺถํ ‘‘วิรุโทฺธ จาวิรุโทฺธ จ, สทิสาสทิโส ตถาฯ ธมฺมานํ ปจฺจโย สิโทฺธ’’ติ วุตฺตํ, ตสฺมา ตมตฺถํ ปากฎํ กโรโนฺต ‘‘อิติ อยํ อวิชฺชา’’ติอาทิมาหฯ
Golomāvilomāni dabbāya paccayo, dadhiādīni bhūtiṇakassa. Ettha ca avīti rattā eḷakā vuccanti. Vipākāyeva te ca na, tasmā dukkhavipākāyapi avijjāya tadavipākānaṃ puññāneñjābhisaṅkhārānaṃ paccayattaṃ na na yujjatīti attho. Tadavipākattepi sāvajjatāya tadaviruddhānaṃ taṃsadisānañca apuññābhisaṅkhārānameva paccayo, na itaresanti etassa pasaṅgassa nivāraṇatthaṃ ‘‘viruddho cāviruddho ca, sadisāsadiso tathā. Dhammānaṃ paccayo siddho’’ti vuttaṃ, tasmā tamatthaṃ pākaṭaṃ karonto ‘‘iti ayaṃ avijjā’’tiādimāha.
อเจฺฉชฺชสุตฺตาวุตาเภชฺชมณีนํ วิย ปุพฺพาปริยววตฺถานํ นิยติ, นิยติยา, นิยติ เอว วา สงฺคติ สมาคโม นิยติสงฺคติ, ตาย ภาเวสุ ปริณตา มนุสฺสเทววิหงฺคาทิภาวํ ปตฺตา นิยติสงฺคติภาวปริณตาฯ นิยติยา สงฺคติยา ภาเวน จ ปริณตา นานปฺปการตํ ปตฺตา นิยติสงฺคติภาวปริณตาติ จ อตฺถํ วทนฺติฯ เอเตหิ จ วิกปฺปเนหิ อวิชฺชา อกุสลํ จิตฺตํ กตฺวา ปุญฺญาทีสุ ยตฺถ กตฺถจิ ปวตฺตตีติ อิมมตฺถํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘โส เอวํ อวิชฺชายา’’ติอาทิฯ
Acchejjasuttāvutābhejjamaṇīnaṃ viya pubbāpariyavavatthānaṃ niyati, niyatiyā, niyati eva vā saṅgati samāgamo niyatisaṅgati, tāya bhāvesu pariṇatā manussadevavihaṅgādibhāvaṃ pattā niyatisaṅgatibhāvapariṇatā. Niyatiyā saṅgatiyā bhāvena ca pariṇatā nānappakārataṃ pattā niyatisaṅgatibhāvapariṇatāti ca atthaṃ vadanti. Etehi ca vikappanehi avijjā akusalaṃ cittaṃ katvā puññādīsu yattha katthaci pavattatīti imamatthaṃ dassento āha ‘‘so evaṃ avijjāyā’’tiādi.
อปริณายโก พาโลติ อรหตฺตมคฺคสมฺปฎิปาทกกลฺยาณมิตฺตรหิโตติ อโตฺถฯ อรหตฺตมคฺคาวสานํ วา ญาณํ สมวิสมํ ทเสฺสตฺวา นิพฺพานํ นยตีติ ปริณายกนฺติ วุตฺตํ, เตน รหิโต อปริณายโกฯ ธมฺมํ ญตฺวาติ สปฺปุริสูปนิสฺสเยน จตุสจฺจปฺปกาสกสุตฺตาทิธมฺมํ ญตฺวา, มคฺคญาเณเนว วา สพฺพธมฺมปวรํ นิพฺพานํ ญตฺวา, ตํชานนายตฺตตฺตา ปน เสสสจฺจาภิสมยสฺส สมานกาลมฺปิ ตํ ปุริมกาลํ วิย กตฺวา วุตฺตํฯ
Apariṇāyako bāloti arahattamaggasampaṭipādakakalyāṇamittarahitoti attho. Arahattamaggāvasānaṃ vā ñāṇaṃ samavisamaṃ dassetvā nibbānaṃ nayatīti pariṇāyakanti vuttaṃ, tena rahito apariṇāyako. Dhammaṃ ñatvāti sappurisūpanissayena catusaccappakāsakasuttādidhammaṃ ñatvā, maggañāṇeneva vā sabbadhammapavaraṃ nibbānaṃ ñatvā, taṃjānanāyattattā pana sesasaccābhisamayassa samānakālampi taṃ purimakālaṃ viya katvā vuttaṃ.
สงฺขารปทนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Saṅkhārapadaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.
วิญฺญาณปทนิเทฺทสวณฺณนา
Viññāṇapadaniddesavaṇṇanā
๒๒๗. ยถาวุตฺตสงฺขารปจฺจยา อุปฺปชฺชมานํ ตํกมฺมนิพฺพตฺตเมว วิญฺญาณํ ภวิตุํ อรหตีติ ‘‘พาตฺติํส โลกิยวิปากวิญฺญาณานิ สงฺคหิตานิ โหนฺตี’’ติ อาหฯ ธาตุกถายํ (ธาตุ. ๔๖๖) ปน วิปฺปยุเตฺตนสงฺคหิตาสงฺคหิตปทนิเทฺทเส –
227. Yathāvuttasaṅkhārapaccayā uppajjamānaṃ taṃkammanibbattameva viññāṇaṃ bhavituṃ arahatīti ‘‘bāttiṃsa lokiyavipākaviññāṇāni saṅgahitāni hontī’’ti āha. Dhātukathāyaṃ (dhātu. 466) pana vippayuttenasaṅgahitāsaṅgahitapadaniddese –
‘‘สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาเณน เย ธมฺมา…เป.… สฬายตนปจฺจยา ผเสฺสน, ผสฺสปจฺจยา เวทนาย เย ธมฺมา วิปฺปยุตฺตา, เต ธมฺมา กติหิ ขเนฺธหิ…เป.… สงฺคหิตา? เต ธมฺมา อสงฺขตํ ขนฺธโต ฐเปตฺวา เอเกน ขเนฺธน เอกาทสหายตเนหิ เอกาทสหิ ธาตูหิ สงฺคหิตาฯ กติหิ อสงฺคหิตา? จตูหิ ขเนฺธหิ เอเกนายตเนน สตฺตหิ ธาตูหิ อสงฺคหิตา’’ติ –
‘‘Saṅkhārapaccayā viññāṇena ye dhammā…pe… saḷāyatanapaccayā phassena, phassapaccayā vedanāya ye dhammā vippayuttā, te dhammā katihi khandhehi…pe… saṅgahitā? Te dhammā asaṅkhataṃ khandhato ṭhapetvā ekena khandhena ekādasahāyatanehi ekādasahi dhātūhi saṅgahitā. Katihi asaṅgahitā? Catūhi khandhehi ekenāyatanena sattahi dhātūhi asaṅgahitā’’ti –
วจนโต สพฺพวิญฺญาณผสฺสเวทนาปริคฺคโห กโตฯ ยทิ หิ เอตฺถ วิญฺญาณผสฺสเวทนา สปฺปเทสา สิยุํ, ‘‘วิปากา ธมฺมา’’ติ อิมสฺส วิย วิสฺสชฺชนํ สิยา, ตสฺมา ตตฺถ อภิธมฺมภาชนียวเสน สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณาทโย คหิตาติ เวทิตพฺพาฯ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา จ อภิธมฺมภาชนีเย จตุภูมกกุสลสงฺขาโร อกุสลสงฺขาโร จ วุโตฺตติ โส เอว ธาตุกถายํ คหิโตติ ทฎฺฐโพฺพฯ ภโว ปน ธาตุกถายํ กมฺมุปปตฺติภววิเสสทสฺสนตฺถํ น อภิธมฺมภาชนียวเสน คหิโตฯ เอวญฺจ กตฺวา ตตฺถ ‘‘อุปาทานปจฺจยา ภโว’’ติ อนุทฺธริตฺวา ‘‘กมฺมภโว’’ติอาทินาว นเยน ภโว อุทฺธโฎฯ วิปากเญฺหตนฺติ วิญฺญาณสฺส วิปากตฺตา สงฺขารปจฺจยตฺตํ สาเธติ, ตสฺส ปน สาธนตฺถํ ‘‘อุปจิตกมฺมาภาเว วิปากาภาวโต’’ติ วุตฺตนฺติ ตํ วิวรโนฺต ‘‘วิปากญฺจา’’ติอาทิมาหฯ
Vacanato sabbaviññāṇaphassavedanāpariggaho kato. Yadi hi ettha viññāṇaphassavedanā sappadesā siyuṃ, ‘‘vipākā dhammā’’ti imassa viya vissajjanaṃ siyā, tasmā tattha abhidhammabhājanīyavasena saṅkhārapaccayā viññāṇādayo gahitāti veditabbā. Avijjāpaccayā saṅkhārā ca abhidhammabhājanīye catubhūmakakusalasaṅkhāro akusalasaṅkhāro ca vuttoti so eva dhātukathāyaṃ gahitoti daṭṭhabbo. Bhavo pana dhātukathāyaṃ kammupapattibhavavisesadassanatthaṃ na abhidhammabhājanīyavasena gahito. Evañca katvā tattha ‘‘upādānapaccayā bhavo’’ti anuddharitvā ‘‘kammabhavo’’tiādināva nayena bhavo uddhaṭo. Vipākañhetanti viññāṇassa vipākattā saṅkhārapaccayattaṃ sādheti, tassa pana sādhanatthaṃ ‘‘upacitakammābhāve vipākābhāvato’’ti vuttanti taṃ vivaranto ‘‘vipākañcā’’tiādimāha.
เยภุเยฺยน โลภสมฺปยุตฺตชวนาวสาเนติ ชวเนน ตทารมฺมณนิยเม โสมนสฺสสหคตานนฺตรํ โสมนสฺสสหคตตทารมฺมณสฺส วุตฺตตฺตา โสมนสฺสสหคตาเนว สนฺธาย วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ยสฺมา ปน ติเหตุกชวนาวสาเน จ กทาจิ อเหตุกํ ตทารมฺมณํ โหติ, ตสฺมา ‘‘เยภุเยฺยนา’’ติ อาหฯ สกิํ วาติ ‘‘ทิรตฺตติรตฺตา’’ทีสุ วิย เวทิตพฺพํฯ ทฺวิกฺขตฺตุเมว ปน อุปฺปชฺชนฺตีติ วทนฺติฯ ‘‘ทิรตฺตติรตฺต’’นฺติ เอตฺถ ปน วา-สทฺทสฺส อภาวา วจนสิลิฎฺฐตามเตฺตน ทิรตฺตคฺคหณํ กตนฺติ ยุชฺชติ, ‘‘นิรนฺตรติรตฺตทสฺสนตฺถํ วา’’ติฯ อิธ ปน วา-สโทฺท วิกปฺปนโตฺถ วุโตฺตติ สกิํ เอว จ กทาจิ ปวตฺติํ สนฺธาย ‘‘สกิํ วา’’ติ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ เตเนว หิ สกิํ ตทารมฺมณปฺปวตฺติยา วิจาเรตพฺพตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘จิตฺตปฺปวตฺติคณนายํ ปนา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ จิตฺตปฺปวตฺติคณนายนฺติ วิปากกถายํ พลวรูปาทิเก อารมฺมเณ วุตฺตํ จิตฺตปฺปวตฺติคณนํ สนฺธายาหฯ ตตฺถ หิ เทฺวว ตทารมฺมณุปฺปตฺติวารา อาคตาฯ ชวนวิสยานุภวนญฺหิ ตทารมฺมณํ อาสนฺนเภเท ตสฺมิํ วิสเย เอกจิตฺตกฺขณาวสิฎฺฐายุเก น อุปฺปเชฺชยฺยาติ อธิปฺปาโยฯ อนุรูปาย ปฎิสนฺธิยาติ อกุสลวิปากสฺส อปายปฎิสนฺธิ, กามาวจราทิกุสลวิปากานํ กามรูปารูปสุคติปฎิสนฺธิโย ยถากมฺมํ อนุรูปาฯ
Yebhuyyena lobhasampayuttajavanāvasāneti javanena tadārammaṇaniyame somanassasahagatānantaraṃ somanassasahagatatadārammaṇassa vuttattā somanassasahagatāneva sandhāya vuttanti veditabbaṃ. Yasmā pana tihetukajavanāvasāne ca kadāci ahetukaṃ tadārammaṇaṃ hoti, tasmā ‘‘yebhuyyenā’’ti āha. Sakiṃ vāti ‘‘dirattatirattā’’dīsu viya veditabbaṃ. Dvikkhattumeva pana uppajjantīti vadanti. ‘‘Dirattatiratta’’nti ettha pana vā-saddassa abhāvā vacanasiliṭṭhatāmattena dirattaggahaṇaṃ katanti yujjati, ‘‘nirantaratirattadassanatthaṃ vā’’ti. Idha pana vā-saddo vikappanattho vuttoti sakiṃ eva ca kadāci pavattiṃ sandhāya ‘‘sakiṃ vā’’ti vuttanti daṭṭhabbaṃ. Teneva hi sakiṃ tadārammaṇappavattiyā vicāretabbataṃ dassento ‘‘cittappavattigaṇanāyaṃ panā’’tiādimāha. Tattha cittappavattigaṇanāyanti vipākakathāyaṃ balavarūpādike ārammaṇe vuttaṃ cittappavattigaṇanaṃ sandhāyāha. Tattha hi dveva tadārammaṇuppattivārā āgatā. Javanavisayānubhavanañhi tadārammaṇaṃ āsannabhede tasmiṃ visaye ekacittakkhaṇāvasiṭṭhāyuke na uppajjeyyāti adhippāyo. Anurūpāya paṭisandhiyāti akusalavipākassa apāyapaṭisandhi, kāmāvacarādikusalavipākānaṃ kāmarūpārūpasugatipaṭisandhiyo yathākammaṃ anurūpā.
ปฎิสนฺธิกถา มหาวิสยาติ กตฺวา ปวตฺติเมว ตาว ทเสฺสโนฺต ‘‘ปวตฺติยํ ปนา’’ติอาทิมาหฯ อเหตุกทฺวยาทีนํ ทฺวารนิยมานิยมาวจนํ ภวงฺคภูตานํ สยเมว ทฺวารตฺตา จุติปฎิสนฺธิภูตานญฺจ ภวงฺคสงฺขาเตน อเญฺญน จ ทฺวาเรน อนุปฺปตฺติโต นิยตํ อนิยตํ วา ทฺวารํ เอเตสนฺติ วตฺตุํ อสกฺกุเณยฺยตฺตาฯ เอกสฺส สตฺตสฺส ปวตฺตรูปาวจรวิปาโก ปถวีกสิณาทีสุ ยสฺมิํ อารมฺมเณ ปวโตฺต, ตโต อญฺญสฺมิํ ตสฺส ปวตฺติ นตฺถีติ รูปาวจรานํ นิยตารมฺมณตา วุตฺตาฯ ตตฺรสฺสาติ ปวตฺติยํ พาตฺติํสวิธสฺสฯ
Paṭisandhikathā mahāvisayāti katvā pavattimeva tāva dassento ‘‘pavattiyaṃ panā’’tiādimāha. Ahetukadvayādīnaṃ dvāraniyamāniyamāvacanaṃ bhavaṅgabhūtānaṃ sayameva dvārattā cutipaṭisandhibhūtānañca bhavaṅgasaṅkhātena aññena ca dvārena anuppattito niyataṃ aniyataṃ vā dvāraṃ etesanti vattuṃ asakkuṇeyyattā. Ekassa sattassa pavattarūpāvacaravipāko pathavīkasiṇādīsu yasmiṃ ārammaṇe pavatto, tato aññasmiṃ tassa pavatti natthīti rūpāvacarānaṃ niyatārammaṇatā vuttā. Tatrassāti pavattiyaṃ bāttiṃsavidhassa.
อินฺทฺริยปฺปวตฺติอานุภาวโต เอว จกฺขุโสตทฺวารเภเทน, ตสฺส จ วิญฺญาณวีถิเภทายตฺตตฺตา วีถิเภเทน จ ภวิตพฺพํ, ตสฺมิญฺจ สติ ‘‘อาวชฺชนานนฺตรํ ทสฺสนํ สวนํ วา ตทนนฺตรํ สมฺปฎิจฺฉน’’นฺติอาทินา จิตฺตนิยเมน ภวิตพฺพํฯ ตถา จ สติ สมฺปฎิจฺฉนสนฺตีรณานมฺปิ ภาโว สิโทฺธ โหติ, น อินฺทฺริยปฺปวตฺติอานุภาเวน ทสฺสนสวนมตฺตเสฺสว, นาปิ อินฺทฺริยานํ เอว ทสฺสนสวนกิจฺจตาติ อิมมตฺถํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ทฺวารวีถิเภเท จิตฺตนิยมโต จา’’ติฯ ปฐมกุสเลน เจ ตทารมฺมณสฺส อุปฺปตฺติ โหติ, ตํ ปฐมกุสลานนฺตรํ อุปฺปชฺชมานํ ชนกํ อนุพนฺธติ นาม, ทุติยกุสลาทิอนนฺตรํ อุปฺปชฺชมานํ ชนกสทิสํ อนุพนฺธติ นาม, อกุสลานนฺตรํ อุปฺปชฺชมานญฺจ กามาวจรตาย ชนกสทิสนฺติฯ
Indriyappavattiānubhāvato eva cakkhusotadvārabhedena, tassa ca viññāṇavīthibhedāyattattā vīthibhedena ca bhavitabbaṃ, tasmiñca sati ‘‘āvajjanānantaraṃ dassanaṃ savanaṃ vā tadanantaraṃ sampaṭicchana’’ntiādinā cittaniyamena bhavitabbaṃ. Tathā ca sati sampaṭicchanasantīraṇānampi bhāvo siddho hoti, na indriyappavattiānubhāvena dassanasavanamattasseva, nāpi indriyānaṃ eva dassanasavanakiccatāti imamatthaṃ dassento āha ‘‘dvāravīthibhede cittaniyamato cā’’ti. Paṭhamakusalena ce tadārammaṇassa uppatti hoti, taṃ paṭhamakusalānantaraṃ uppajjamānaṃ janakaṃ anubandhati nāma, dutiyakusalādianantaraṃ uppajjamānaṃ janakasadisaṃ anubandhati nāma, akusalānantaraṃ uppajjamānañca kāmāvacaratāya janakasadisanti.
เอกาทส ตทารมฺมณจิตฺตานิ…เป.… ตทารมฺมณํ น คณฺหนฺตีติ ตทารมฺมณภาวตาย ‘‘ตทารมฺมณ’’นฺติ ลทฺธนามานิ ตทารมฺมณภาวํ น คณฺหนฺติ, ตทารมฺมณภาเวน นปฺปวตฺตนฺตีติ อโตฺถฯ อถ วา นามโคตฺตํ อารพฺภ ชวเน ชวิเต ตทารมฺมณํ ตสฺส ชวนสฺส อารมฺมณํ น คณฺหนฺติ, นาลมฺพนฺตีติ อโตฺถฯ รูปารูปธเมฺมติ รูปารูปาวจเร ธเมฺมฯ อิทํ ปน วตฺวา ‘‘อภิญฺญาญาณํ อารพฺภา’’ติ วิเสสนํ ปริตฺตาทิอารมฺมณตาย กามาวจรสทิเสสุ เจว ตทารมฺมณานุปฺปตฺติทสฺสนตฺถํฯ มิจฺฉตฺตนิยตา ธมฺมา มโคฺค วิย ภาวนาย สิทฺธา มหาพลา จาติ ตตฺถ ชวเนน ปวตฺตมาเนน สานุพนฺธเนน น ภวิตพฺพนฺติ เตสุ ตทารมฺมณํ ปฎิกฺขิตฺตํฯ โลกุตฺตรธเมฺม อารพฺภาติ เอเตเนว สิเทฺธ ‘‘สมฺมตฺตนิยตธเมฺมสู’’ติ วิสุํ อุทฺธรณํ สมฺมตฺตมิจฺฉตฺตนิยตธมฺมานํ อญฺญมญฺญปฎิปกฺขาติ พลวภาเวน ตทารมฺมณสฺส อวตฺถุภาวทสฺสนตฺถํฯ
Ekādasa tadārammaṇacittāni…pe… tadārammaṇaṃ na gaṇhantīti tadārammaṇabhāvatāya ‘‘tadārammaṇa’’nti laddhanāmāni tadārammaṇabhāvaṃ na gaṇhanti, tadārammaṇabhāvena nappavattantīti attho. Atha vā nāmagottaṃ ārabbha javane javite tadārammaṇaṃ tassa javanassa ārammaṇaṃ na gaṇhanti, nālambantīti attho. Rūpārūpadhammeti rūpārūpāvacare dhamme. Idaṃ pana vatvā ‘‘abhiññāñāṇaṃārabbhā’’ti visesanaṃ parittādiārammaṇatāya kāmāvacarasadisesu ceva tadārammaṇānuppattidassanatthaṃ. Micchattaniyatā dhammā maggo viya bhāvanāya siddhā mahābalā cāti tattha javanena pavattamānena sānubandhanena na bhavitabbanti tesu tadārammaṇaṃ paṭikkhittaṃ. Lokuttaradhammeārabbhāti eteneva siddhe ‘‘sammattaniyatadhammesū’’ti visuṃ uddharaṇaṃ sammattamicchattaniyatadhammānaṃ aññamaññapaṭipakkhāti balavabhāvena tadārammaṇassa avatthubhāvadassanatthaṃ.
เอวํ ปวตฺติยํ วิญฺญาณปฺปวตฺติํ ทเสฺสตฺวา ปฎิสนฺธิยํ ทเสฺสตุํ ‘‘ยํ ปน วุตฺต’’นฺติอาทิมาหฯ เกน กตฺถาติ เกน จิเตฺตน กสฺมิํ ภเวฯ เอกูนวีสติ ปฎิสนฺธิโย เตน เตน จิเตฺตน ปวตฺตมานา ปฎิสนฺธิกฺขเณ รูปารูปธมฺมาติ เตน เตน จิเตฺตน สา สา ตตฺถ ตตฺถ ปฎิสนฺธิ โหตีติ วุตฺตาฯ ตสฺสาติ จิตฺตสฺสฯ
Evaṃ pavattiyaṃ viññāṇappavattiṃ dassetvā paṭisandhiyaṃ dassetuṃ ‘‘yaṃ pana vutta’’ntiādimāha. Kena katthāti kena cittena kasmiṃ bhave. Ekūnavīsati paṭisandhiyo tena tena cittena pavattamānā paṭisandhikkhaṇe rūpārūpadhammāti tena tena cittena sā sā tattha tattha paṭisandhi hotīti vuttā. Tassāti cittassa.
อาคนฺตฺวาติ อาคตํ วิย หุตฺวาฯ โคปกสีวลีติ รโญฺญ หิตารเกฺข โคปกกุเล ชาโต สีวลินามโกฯ กมฺมาทิอนุสฺสรณพฺยาปารรหิตตฺตา ‘‘สมฺมูฬฺหกาลกิริยา’’ติ วุตฺตาฯ อพฺยาปาเรเนว หิ ตตฺถ กมฺมาทิอุปฎฺฐานํ โหตีติฯ ‘‘ปิสิยมานาย มกฺขิกาย ปฐมํ กายทฺวาราวชฺชนํ ภวงฺคํ นาวเฎฺฎติ อตฺตนา จินฺติยมานสฺส กสฺสจิ อตฺถิตายา’’ติ เกจิ การณํ วทนฺติ, ตเทตํ อการณํ ภวงฺควิสยโต อญฺญสฺส จินฺติยมานสฺส อภาวา อญฺญจิตฺตปฺปวตฺตกาเล จ ภวงฺคาวฎฺฎนเสฺสว อสมฺภวโตฯ อิทํ ปเนตฺถ การณํ สิยา – ‘‘ตานิสฺส ตมฺหิ สมเย โอลมฺพนฺติ อโชฺฌลมฺพนฺติ อภิปฺปลมฺพนฺตี’’ติ (ม. นิ. ๓.๒๔๘) วจนโต ตีสุ ชวนวาเรสุ อปฺปวเตฺตเสฺวว กมฺมาทิอุปฎฺฐาเนน ภวิตพฺพํฯ อเนกชวนวารปฺปวตฺติยา หิ อโชฺฌลมฺพนํ อภิปฺปลมฺพนญฺจ โหตีติฯ ตสฺมา กายทฺวาราวชฺชนํ อนาวเฎฺฎตฺวา มโนทฺวาราวชฺชนเมว กมฺมาทิอาลมฺพณํ ปฐมํ ภวงฺคํ อาวเฎฺฎติ, ตโต โผฎฺฐพฺพสฺส พลวตฺตา ทุติยวาเร กายวิญฺญาณวีถิ ปจฺจุปฺปเนฺน โผฎฺฐเพฺพ ปวตฺตติ, ตโต ปุริมชวนวารคหิเตเสฺวว กมฺมาทีสุ กเมน มโนทฺวารชวนํ ชวิตฺวา มูลภวงฺคสงฺขาตํ อาคนฺตุกภวงฺคสงฺขาตํ วา ตทารมฺมณํ ภวงฺคํ โอตรติ, ตทารมฺมณาภาเว วา ภวงฺคเมวฯ เอตสฺมิํ ฐาเน กาลํ กโรตีติ ตทารมฺมณานนฺตเรน จุติจิเตฺตน, ตทารมฺมณาภาเว วา ภวงฺคสงฺขาเตเนว จุติจิเตฺตน จวตีติ อโตฺถฯ ภวงฺคเมว หิ จุติจิตฺตํ หุตฺวา ปวตฺตตีติ จุติจิตฺตํ อิธ ‘‘ภวงฺค’’นฺติ วุตฺตนฺติฯ มโนทฺวารวิสโย ลหุโกติ ลหุกปจฺจุปฎฺฐานํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘อรูปธมฺมานํ…เป.… ลหุโก’’ติฯ อรูปธมฺมสฺส หิ มโนทฺวารสฺส วิสโย ลหุกปจฺจุปฎฺฐาโนติฯ พลวติ จ รูปธมฺมสฺส กายทฺวารสฺส วิสเย อปฺปวตฺติตฺวา มโนทฺวารวิสเย กมฺมาทิมฺหิ ปฐมํ จิตฺตปฺปวตฺติทสฺสเนน อรูปธมฺมานํ วิสยสฺส ลหุกตา ทีปิตาติฯ รูปานํ วิสยาภาเวปิ วา ‘‘อรูปธมฺมาน’’นฺติ วจนํ เยสํ วิสโย อตฺถิ, ตํทสฺสนตฺถเมวาติ ทฎฺฐพฺพํฯ เตน ลหุกมฺมาทีสุ จิตฺตปฺปวตฺติโต ลหุคหณียตา วิสยสฺส ลหุกตาฯ
Āgantvāti āgataṃ viya hutvā. Gopakasīvalīti rañño hitārakkhe gopakakule jāto sīvalināmako. Kammādianussaraṇabyāpārarahitattā ‘‘sammūḷhakālakiriyā’’ti vuttā. Abyāpāreneva hi tattha kammādiupaṭṭhānaṃ hotīti. ‘‘Pisiyamānāya makkhikāya paṭhamaṃ kāyadvārāvajjanaṃ bhavaṅgaṃ nāvaṭṭeti attanā cintiyamānassa kassaci atthitāyā’’ti keci kāraṇaṃ vadanti, tadetaṃ akāraṇaṃ bhavaṅgavisayato aññassa cintiyamānassa abhāvā aññacittappavattakāle ca bhavaṅgāvaṭṭanasseva asambhavato. Idaṃ panettha kāraṇaṃ siyā – ‘‘tānissa tamhi samaye olambanti ajjholambanti abhippalambantī’’ti (ma. ni. 3.248) vacanato tīsu javanavāresu appavattesveva kammādiupaṭṭhānena bhavitabbaṃ. Anekajavanavārappavattiyā hi ajjholambanaṃ abhippalambanañca hotīti. Tasmā kāyadvārāvajjanaṃ anāvaṭṭetvā manodvārāvajjanameva kammādiālambaṇaṃ paṭhamaṃ bhavaṅgaṃ āvaṭṭeti, tato phoṭṭhabbassa balavattā dutiyavāre kāyaviññāṇavīthi paccuppanne phoṭṭhabbe pavattati, tato purimajavanavāragahitesveva kammādīsu kamena manodvārajavanaṃ javitvā mūlabhavaṅgasaṅkhātaṃ āgantukabhavaṅgasaṅkhātaṃ vā tadārammaṇaṃ bhavaṅgaṃ otarati, tadārammaṇābhāve vā bhavaṅgameva. Etasmiṃ ṭhāne kālaṃ karotīti tadārammaṇānantarena cuticittena, tadārammaṇābhāve vā bhavaṅgasaṅkhāteneva cuticittena cavatīti attho. Bhavaṅgameva hi cuticittaṃ hutvā pavattatīti cuticittaṃ idha ‘‘bhavaṅga’’nti vuttanti. Manodvāravisayo lahukoti lahukapaccupaṭṭhānaṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘arūpadhammānaṃ…pe… lahuko’’ti. Arūpadhammassa hi manodvārassa visayo lahukapaccupaṭṭhānoti. Balavati ca rūpadhammassa kāyadvārassa visaye appavattitvā manodvāravisaye kammādimhi paṭhamaṃ cittappavattidassanena arūpadhammānaṃ visayassa lahukatā dīpitāti. Rūpānaṃ visayābhāvepi vā ‘‘arūpadhammāna’’nti vacanaṃ yesaṃ visayo atthi, taṃdassanatthamevāti daṭṭhabbaṃ. Tena lahukammādīsu cittappavattito lahugahaṇīyatā visayassa lahukatā.
กมฺมาทีนํ ภูมิจิตฺตุปาทาทิวเสน วิตฺถารโต อนโนฺต ปเภโทติ ‘‘สเงฺขปโต’’ติ อาหฯ
Kammādīnaṃ bhūmicittupādādivasena vitthārato ananto pabhedoti ‘‘saṅkhepato’’ti āha.
อวิชฺชาตณฺหาทิกิเลเสสุ อนุปจฺฉิเนฺนเสฺวว กมฺมาทิโน อุปฎฺฐานํ, ตญฺจารพฺภ จิตฺตสนฺตานสฺส ภวนฺตรนินฺนโปณปพฺภารตา โหตีติ อาห ‘‘อนุปจฺฉินฺนกิเลสพลวินามิต’’นฺติฯ สนฺตาเน หิ วินามิเต ตเทกเทสภูตํ ปฎิสนฺธิจิตฺตญฺจ วินามิตเมว โหติ, น จ เอกเทสวินามิตภาเวน วินา สนฺตานวินามิตตา อตฺถีติฯ สพฺพตฺถ ปน ‘‘ทุคฺคติปฎิสนฺธินินฺนาย จุติยา ปุริมชวนานิ อกุสลานิ, อิตราย จ กุสลานี’’ติ นิจฺฉินนฺติฯ ‘‘นิมิตฺตสฺสาทคธิตํ วา, ภิกฺขเว, วิญฺญาณํ ติฎฺฐมานํ ติฎฺฐติ อนุพฺยญฺชนสฺสาทคธิตํ วาฯ ตสฺมิํ เจ สมเย กาลํ กโรติ, ฐานเมตํ วิชฺชติ, ยํ ทฺวินฺนํ คตีนํ อญฺญตรํ คติํ อุปปเชฺชยฺย นิรยํ วา ติรจฺฉานโยนิํ วา’’ติ (สํ. นิ. ๔.๒๓๕) วุตฺตํฯ ตสฺมา อาสนฺนํ อกุสลํ ทุคฺคติยํ, กุสลญฺจ สุคติยํ ปฎิสนฺธิยา อุปนิสฺสโย โหตีติฯ
Avijjātaṇhādikilesesu anupacchinnesveva kammādino upaṭṭhānaṃ, tañcārabbha cittasantānassa bhavantaraninnapoṇapabbhāratā hotīti āha ‘‘anupacchinnakilesabalavināmita’’nti. Santāne hi vināmite tadekadesabhūtaṃ paṭisandhicittañca vināmitameva hoti, na ca ekadesavināmitabhāvena vinā santānavināmitatā atthīti. Sabbattha pana ‘‘duggatipaṭisandhininnāya cutiyā purimajavanāni akusalāni, itarāya ca kusalānī’’ti nicchinanti. ‘‘Nimittassādagadhitaṃ vā, bhikkhave, viññāṇaṃ tiṭṭhamānaṃ tiṭṭhati anubyañjanassādagadhitaṃ vā. Tasmiṃ ce samaye kālaṃ karoti, ṭhānametaṃ vijjati, yaṃ dvinnaṃ gatīnaṃ aññataraṃ gatiṃ upapajjeyya nirayaṃ vā tiracchānayoniṃ vā’’ti (saṃ. ni. 4.235) vuttaṃ. Tasmā āsannaṃ akusalaṃ duggatiyaṃ, kusalañca sugatiyaṃ paṭisandhiyā upanissayo hotīti.
ราคาทิเหตุภูตํ หีนมารมฺมณนฺติ อกุสลวิปากสฺส อารมฺมณํ ภวิตุํ ยุตฺตํ อนิฎฺฐารมฺมณํ อาหฯ ตมฺปิ หิ สงฺกปฺปวเสน ราคสฺสปิ เหตุ โหตีติฯ อกุสลวิปากชนกกมฺมสหชาตานํ วา ตํสทิสาสนฺนจุติชวนเจตนาสหชาตานญฺจ ราคาทีนํ เหตุภาโว เอว หีนตาฯ ตญฺหิ ปจฺฉานุตาปชนกกมฺมานมารมฺมณํ กมฺมวเสน อนิฎฺฐํ อกุสลวิปากสฺส อารมฺมณํ ภเวยฺย, อญฺญถา จ อิฎฺฐารมฺมเณ ปวตฺตสฺส อกุสลกมฺมสฺส วิปาโก กมฺมนิมิตฺตารมฺมโณ น ภเวยฺยฯ น หิ อกุสลวิปาโก อิฎฺฐารมฺมโณ ภวิตุมรหตีติฯ ปญฺจทฺวาเร จ อาปาถมาคจฺฉนฺตํ ปจฺจุปฺปนฺนํ กมฺมนิมิตฺตํ อาสนฺนกตกมฺมารมฺมณสนฺตติยํ อุปฺปนฺนํ ตํสทิสญฺจ ทฎฺฐพฺพํ, อญฺญถา ตเทว ปฎิสนฺธิอารมฺมณูปฎฺฐาปกํ ตเทว จ ปฎิสนฺธิชนกํ ภเวยฺย, น จ ปฎิสนฺธิยา อุปจารภูตานิ วิย ‘‘เอตสฺมิํ ตยา ปวตฺติตพฺพ’’นฺติ ปฎิสนฺธิยา อารมฺมณํ อนุปาเทนฺตานิ วิย จ ปวตฺตานิ จุติอาสนฺนานิ ชวนานิ ปฎิสนฺธิชนกานิ ภเวยฺยุํฯ ‘‘กตตฺตา อุปจิตตฺตา’’ติ (ธ. ส. ๔๓๑) หิ วุตฺตํฯ ตทา จ ตํสมานวีถิยํ วิย ปวตฺตมานานิ กถํ กตูปจิตานิ สิยุํ, น จ อสฺสาทิตานิ ตทา, น จ โลกิยานิ โลกุตฺตรานิ วิย สมานวีถิผลานิ โหนฺติฯ
Rāgādihetubhūtaṃ hīnamārammaṇanti akusalavipākassa ārammaṇaṃ bhavituṃ yuttaṃ aniṭṭhārammaṇaṃ āha. Tampi hi saṅkappavasena rāgassapi hetu hotīti. Akusalavipākajanakakammasahajātānaṃ vā taṃsadisāsannacutijavanacetanāsahajātānañca rāgādīnaṃ hetubhāvo eva hīnatā. Tañhi pacchānutāpajanakakammānamārammaṇaṃ kammavasena aniṭṭhaṃ akusalavipākassa ārammaṇaṃ bhaveyya, aññathā ca iṭṭhārammaṇe pavattassa akusalakammassa vipāko kammanimittārammaṇo na bhaveyya. Na hi akusalavipāko iṭṭhārammaṇo bhavitumarahatīti. Pañcadvāre ca āpāthamāgacchantaṃ paccuppannaṃ kammanimittaṃ āsannakatakammārammaṇasantatiyaṃ uppannaṃ taṃsadisañca daṭṭhabbaṃ, aññathā tadeva paṭisandhiārammaṇūpaṭṭhāpakaṃ tadeva ca paṭisandhijanakaṃ bhaveyya, na ca paṭisandhiyā upacārabhūtāni viya ‘‘etasmiṃ tayā pavattitabba’’nti paṭisandhiyā ārammaṇaṃ anupādentāni viya ca pavattāni cutiāsannāni javanāni paṭisandhijanakāni bhaveyyuṃ. ‘‘Katattā upacitattā’’ti (dha. sa. 431) hi vuttaṃ. Tadā ca taṃsamānavīthiyaṃ viya pavattamānāni kathaṃ katūpacitāni siyuṃ, na ca assāditāni tadā, na ca lokiyāni lokuttarāni viya samānavīthiphalāni honti.
‘‘ปุเพฺพ วาสฺส ตํ กตํ โหติ ปาปกมฺมํ ทุกฺขเวทนียํ, ปจฺฉา วาสฺส ตํ กตํ โหติ ปาปกมฺมํ ทุกฺขเวทนียํ, มรณกาเล วาสฺส โหติ มิจฺฉาทิฎฺฐิ สมตฺตา สมาทินฺนา, เตน โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชตี’’ติ (ม. นิ. ๓.๓๐๓) –
‘‘Pubbe vāssa taṃ kataṃ hoti pāpakammaṃ dukkhavedanīyaṃ, pacchā vāssa taṃ kataṃ hoti pāpakammaṃ dukkhavedanīyaṃ, maraṇakāle vāssa hoti micchādiṭṭhi samattā samādinnā, tena so kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjatī’’ti (ma. ni. 3.303) –
อาทินา สุเตฺต มรณกาเล สมตฺตาย สมาทินฺนาย มิจฺฉาทิฎฺฐิยา สมฺมาทิฎฺฐิยา จ สหชาตเจตนาย ปฎิสนฺธิทานํ วุตฺตํ, น จ ทุพฺพเลหิ ปญฺจทฺวาริกชวเนหิ มิจฺฉาทิฎฺฐิ สมฺมาทิฎฺฐิ วา สมตฺตา โหติ สมาทินฺนาฯ วกฺขติ จ –
Ādinā sutte maraṇakāle samattāya samādinnāya micchādiṭṭhiyā sammādiṭṭhiyā ca sahajātacetanāya paṭisandhidānaṃ vuttaṃ, na ca dubbalehi pañcadvārikajavanehi micchādiṭṭhi sammādiṭṭhi vā samattā hoti samādinnā. Vakkhati ca –
‘‘สพฺพมฺปิ เหตํ กุสลากุสลธมฺมปฎิวิชานนาทิจวนปริโยสานํ กิจฺจํ มโนทฺวาริกจิเตฺตเนว โหติ, น ปญฺจทฺวาริเกนาติ สพฺพสฺสเปตสฺส กิจฺจสฺส กรเณ สหชวนกานิ วีถิจิตฺตานิ ปฎิกฺขิตฺตานี’’ติ (วิภ. อฎฺฐ. ๗๖๖)ฯ
‘‘Sabbampi hetaṃ kusalākusaladhammapaṭivijānanādicavanapariyosānaṃ kiccaṃ manodvārikacitteneva hoti, na pañcadvārikenāti sabbassapetassa kiccassa karaṇe sahajavanakāni vīthicittāni paṭikkhittānī’’ti (vibha. aṭṭha. 766).
ตตฺถ หิ ‘‘น กิญฺจิ ธมฺมํ ปฎิวิชานาตีติ ‘มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา’ติ (ธ. ป. ๑-๒) เอวํ วุตฺตํ เอกมฺปิ กุสลํ วา อกุสลํ วา น ปฎิวิชานาตี’’ติ (วิภ. อฎฺฐ. ๗๖๖) จ วุตฺตํฯ เยสํ ปฎิวิภาวนปฺปวตฺติยา สุขํ วา ทุกฺขํ วา อเนฺวติ, เตสํ สา ปวตฺติ ปญฺจทฺวาเร ปฎิกฺขิตฺตา, กุสลากุสลกมฺมสมาทานญฺจ ตาทิสเมวาติฯ ตทารมฺมณานนฺตรํ ปน จวนํ, ตทนนฺตรา จ อุปปตฺติ มโนทฺวาริกา เอว โหติ, น สหชวนกวีถิจิเตฺต ปริยาปนฺนาติ อิมินา อธิปฺปาเยน อิธ ปญฺจทฺวาริกตทารมฺมณานนฺตรํ จุติ, ตทนนฺตรํ ปฎิสนฺธิ จ วุตฺตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ ตตฺถ อวเสสปญฺจจิตฺตกฺขณายุเก รูปาทิมฺหิ อุปฺปนฺนํ ปฎิสนฺธิํ สนฺธาเยว ‘‘ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณํ อุปปตฺติจิตฺตํ ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณสฺส ภวงฺคสฺส อนนฺตรปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ, อวเสเสกจิตฺตกฺขณายุเก จ อุปฺปนฺนํ สนฺธาย ‘‘ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณํ อุปปตฺติจิตฺตํ อตีตารมฺมณสฺส ภวงฺคสฺส อนนฺตรปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ (ปฎฺฐา. ๒.๑๙.๒๘) วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Tattha hi ‘‘na kiñci dhammaṃ paṭivijānātīti ‘manopubbaṅgamā dhammā’ti (dha. pa. 1-2) evaṃ vuttaṃ ekampi kusalaṃ vā akusalaṃ vā na paṭivijānātī’’ti (vibha. aṭṭha. 766) ca vuttaṃ. Yesaṃ paṭivibhāvanappavattiyā sukhaṃ vā dukkhaṃ vā anveti, tesaṃ sā pavatti pañcadvāre paṭikkhittā, kusalākusalakammasamādānañca tādisamevāti. Tadārammaṇānantaraṃ pana cavanaṃ, tadanantarā ca upapatti manodvārikā eva hoti, na sahajavanakavīthicitte pariyāpannāti iminā adhippāyena idha pañcadvārikatadārammaṇānantaraṃ cuti, tadanantaraṃ paṭisandhi ca vuttāti daṭṭhabbaṃ. Tattha avasesapañcacittakkhaṇāyuke rūpādimhi uppannaṃ paṭisandhiṃ sandhāyeva ‘‘paccuppannārammaṇaṃ upapatticittaṃ paccuppannārammaṇassa bhavaṅgassa anantarapaccayena paccayo’’ti, avasesekacittakkhaṇāyuke ca uppannaṃ sandhāya ‘‘paccuppannārammaṇaṃ upapatticittaṃ atītārammaṇassa bhavaṅgassa anantarapaccayena paccayo’’ti (paṭṭhā. 2.19.28) vuttanti veditabbaṃ.
สุทฺธาย วาติ มหคฺคตกมฺมนิมิตฺตารมฺมณาย ชวนวีถิยา ตทารมฺมณรหิตายาติ อโตฺถฯ สา ปน ชวนวีถิ มหคฺคตวิปากสฺส อุปจาโร วิย ทฎฺฐพฺพาฯ เกจิ ปน ตํ วีถิํ มหคฺคตาวสานํ วทนฺติฯ อตีตารมฺมณา เอกาทสวิธา, นวตฺตพฺพารมฺมณา สตฺตวิธาฯ
Suddhāya vāti mahaggatakammanimittārammaṇāya javanavīthiyā tadārammaṇarahitāyāti attho. Sā pana javanavīthi mahaggatavipākassa upacāro viya daṭṭhabbā. Keci pana taṃ vīthiṃ mahaggatāvasānaṃ vadanti. Atītārammaṇā ekādasavidhā, navattabbārammaṇā sattavidhā.
เอเตนานุสาเรน อารุปฺปจุติยาปิ อนนฺตรา ปฎิสนฺธิ เวทิตพฺพาติ อิทํ กสฺมา วุตฺตํ, นนุ ‘‘ปถวีกสิณชฺฌานาทิวเสน ปฎิลทฺธมหคฺคตสุคติยํ ฐิตสฺสา’’ติ เอวมาทิเก เอว นเย อยมฺปิ ปฎิสนฺธิ อวรุทฺธาติ? น, ตตฺถ รูปาวจรจุติอนนฺตราย เอว ปฎิสนฺธิยา วุตฺตตฺตาฯ ตตฺถ หิ ‘‘ปถวีกสิณาทิกํ วา นิมิตฺตํ มหคฺคตจิตฺตํ วา มโนทฺวาเร อาปาถมาคจฺฉติฯ จกฺขุโสตานํ วา’’ติอาทิเกน รูปาวจรจุติยา เอว อนนฺตรา ปฎิสนฺธิ วุตฺตาติ วิญฺญายติฯ อถาปิ ยถาสมฺภวโยชนาย อยมฺปิ ปฎิสนฺธิ ตเตฺถว อวรุทฺธา, อรูปาวจรจุติอนนฺตรา ปน รูปาวจรปฎิสนฺธิ นตฺถิ, อรูปาวจเร จ อุปรูปริจุติยา เหฎฺฐิมา เหฎฺฐิมา ปฎิสนฺธีติ จตุตฺถารุปฺปจุติยา นวตฺตพฺพารมฺมณา ปฎิสนฺธิ นตฺถิฯ เตน ตโต ตเตฺถว อตีตารมฺมณา กามาวจเร จ อตีตปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณา ปฎิสนฺธิ อิตราหิ จ ยถาสมฺภวํ อตีตนวตฺตพฺพารมฺมณา อารุปฺปปฎิสนฺธิ, อตีตปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณา จ กามาวจรปฎิสนฺธิ โยเชตพฺพาติ อิมสฺส วิเสสสฺส ทสฺสนตฺถํ วิสุํ อุทฺธรณํ กตํฯ
Etenānusārena āruppacutiyāpi anantarā paṭisandhi veditabbāti idaṃ kasmā vuttaṃ, nanu ‘‘pathavīkasiṇajjhānādivasena paṭiladdhamahaggatasugatiyaṃ ṭhitassā’’ti evamādike eva naye ayampi paṭisandhi avaruddhāti? Na, tattha rūpāvacaracutianantarāya eva paṭisandhiyā vuttattā. Tattha hi ‘‘pathavīkasiṇādikaṃ vā nimittaṃ mahaggatacittaṃ vā manodvāre āpāthamāgacchati. Cakkhusotānaṃ vā’’tiādikena rūpāvacaracutiyā eva anantarā paṭisandhi vuttāti viññāyati. Athāpi yathāsambhavayojanāya ayampi paṭisandhi tattheva avaruddhā, arūpāvacaracutianantarā pana rūpāvacarapaṭisandhi natthi, arūpāvacare ca uparūparicutiyā heṭṭhimā heṭṭhimā paṭisandhīti catutthāruppacutiyā navattabbārammaṇā paṭisandhi natthi. Tena tato tattheva atītārammaṇā kāmāvacare ca atītapaccuppannārammaṇā paṭisandhi itarāhi ca yathāsambhavaṃ atītanavattabbārammaṇā āruppapaṭisandhi, atītapaccuppannārammaṇā ca kāmāvacarapaṭisandhi yojetabbāti imassa visesassa dassanatthaṃ visuṃ uddharaṇaṃ kataṃ.
เอวํ อารมฺมณวเสน เอกวิธาย กามาวจรสุคติจุติยา ทุวิธา ทุคฺคติปฎิสนฺธิ, ทุคฺคติจุติยา ทุวิธา สุคติปฎิสนฺธิ, กามาวจรสุคติจุติยา ทฺวิเอกทฺวิปฺปการานํ กามรูปารุปฺปานํ วเสน ปญฺจวิธา สุคติปฎิสนฺธิ, รูปาวจรจุติยา จ ตเถว ปญฺจวิธา, ทุวิธาย อารุปฺปจุติยา ปเจฺจกํ ทฺวินฺนํ ทฺวินฺนํ กามารุปฺปานํ วเสน อฎฺฐวิธา จ ปฎิสนฺธิ ทสฺสิตา, ทุคฺคติจุติยา ปน เอกวิธาย ทุคฺคติปฎิสนฺธิ ทุวิธา น ทสฺสิตา, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ทุคฺคติยํ ฐิตสฺส ปนา’’ติอาทิมาหฯ ยถาวุตฺตา ปน –
Evaṃ ārammaṇavasena ekavidhāya kāmāvacarasugaticutiyā duvidhā duggatipaṭisandhi, duggaticutiyā duvidhā sugatipaṭisandhi, kāmāvacarasugaticutiyā dviekadvippakārānaṃ kāmarūpāruppānaṃ vasena pañcavidhā sugatipaṭisandhi, rūpāvacaracutiyā ca tatheva pañcavidhā, duvidhāya āruppacutiyā paccekaṃ dvinnaṃ dvinnaṃ kāmāruppānaṃ vasena aṭṭhavidhā ca paṭisandhi dassitā, duggaticutiyā pana ekavidhāya duggatipaṭisandhi duvidhā na dassitā, taṃ dassetuṃ ‘‘duggatiyaṃ ṭhitassa panā’’tiādimāha. Yathāvuttā pana –
ทฺวิทฺวิปญฺจปฺปการา จ, ปญฺจาฎฺฐทุวิธาปิ จ;
Dvidvipañcappakārā ca, pañcāṭṭhaduvidhāpi ca;
จตุวีสติ สพฺพาปิ, ตา โหนฺติ ปฎิสนฺธิโยฯ
Catuvīsati sabbāpi, tā honti paṭisandhiyo.
‘‘กามาวจรสฺส กุสลสฺส กมฺมสฺส กตตฺตา’’ติอาทินา (ธ. ส. ๔๓๑, ๔๕๕, ๔๙๘) นานากฺขณิกกมฺมปจฺจยภาโว ทสฺสิตปฺปกาโรติ อุปนิสฺสยปจฺจยภาวเมว ทเสฺสโนฺต ‘‘วุตฺตเญฺหต’’นฺติอาทิมาหฯ
‘‘Kāmāvacarassa kusalassa kammassa katattā’’tiādinā (dha. sa. 431, 455, 498) nānākkhaṇikakammapaccayabhāvo dassitappakāroti upanissayapaccayabhāvameva dassento ‘‘vuttañheta’’ntiādimāha.
อาทินา สหาติอาทินา วิมิสฺสวิญฺญาเณน สหฯ โอมโต เทฺว วา ตโย วา ทสกา อุปฺปชฺชนฺตีติ คพฺภเสยฺยกานํ วเสน วุตฺตํฯ อญฺญตฺถ หิ อเนเก กลาปา สห อุปฺปชฺชนฺติฯ พฺรหฺมตฺตภาเวปิ หิ อเนกคาวุตปฺปมาเณ อเนเก กลาปา สหุปฺปชฺชนฺตีติ ติํสโต อธิกาเนว รูปานิ โหนฺติ คนฺธรสาหารานํ ปฎิกฺขิตฺตตฺตา จกฺขุโสตวตฺถุสตฺตกชีวิตฉกฺกภาเวปิ เตสํ พหุตฺตาฯ อฎฺฐกถายํ ปน ตตฺถปิ จกฺขุโสตวตฺถุทสกานํ ชีวิตนวกสฺส จ อุปฺปตฺติ วุตฺตา, ปาฬิยํ ปน ‘‘รูปธาตุยา อุปปตฺติกฺขเณ ฐเปตฺวา อสญฺญสตฺตานํ เทวานํ ปญฺจายตนานิ ปาตุภวนฺติ, ปญฺจ ธาตุโย ปาตุภวนฺตี’’ติ วุตฺตํ, ตถา ‘‘รูปธาตุยา ฉ อายตนานิ นว ธาตุโย’’ติ สพฺพสงฺคหวเสน ตตฺถ วิชฺชมานายตนธาตุโย ทเสฺสตุํ วุตฺตํฯ กถาวตฺถุมฺหิ จ ฆานายตนาทีนํ วิย คนฺธายตนาทีนญฺจ ตตฺถ ภาโว ปฎิกฺขิโตฺต ‘‘อตฺถิ ตตฺถ ฆานายตนนฺติ? อามนฺตา, อตฺถิ ตตฺถ คนฺธายตนนฺติ? น เหวํ วตฺตเพฺพ’’ติอาทินา (กถา. ๕๑๙), น จ อโผฎฺฐพฺพายตนานํ ปถวีธาตุอาทีนํ วิย อคนฺธรสายตนานํ คนฺธรสานํ ตตฺถ ภาโว สกฺกา วตฺตุํ ผุสิตุํ อสกฺกุเณยฺยตาวินิมุตฺตสฺส ปถวีอาทิสภาวสฺส วิย คนฺธรสภาววินิมุตฺตสฺส คนฺธรสสภาวสฺส อภาวาฯ
Ādinā sahātiādinā vimissaviññāṇena saha. Omato dve vā tayo vā dasakā uppajjantīti gabbhaseyyakānaṃ vasena vuttaṃ. Aññattha hi aneke kalāpā saha uppajjanti. Brahmattabhāvepi hi anekagāvutappamāṇe aneke kalāpā sahuppajjantīti tiṃsato adhikāneva rūpāni honti gandharasāhārānaṃ paṭikkhittattā cakkhusotavatthusattakajīvitachakkabhāvepi tesaṃ bahuttā. Aṭṭhakathāyaṃ pana tatthapi cakkhusotavatthudasakānaṃ jīvitanavakassa ca uppatti vuttā, pāḷiyaṃ pana ‘‘rūpadhātuyā upapattikkhaṇe ṭhapetvā asaññasattānaṃ devānaṃ pañcāyatanāni pātubhavanti, pañca dhātuyo pātubhavantī’’ti vuttaṃ, tathā ‘‘rūpadhātuyā cha āyatanāni nava dhātuyo’’ti sabbasaṅgahavasena tattha vijjamānāyatanadhātuyo dassetuṃ vuttaṃ. Kathāvatthumhi ca ghānāyatanādīnaṃ viya gandhāyatanādīnañca tattha bhāvo paṭikkhitto ‘‘atthi tattha ghānāyatananti? Āmantā, atthi tattha gandhāyatananti? Na hevaṃ vattabbe’’tiādinā (kathā. 519), na ca aphoṭṭhabbāyatanānaṃ pathavīdhātuādīnaṃ viya agandharasāyatanānaṃ gandharasānaṃ tattha bhāvo sakkā vattuṃ phusituṃ asakkuṇeyyatāvinimuttassa pathavīādisabhāvassa viya gandharasabhāvavinimuttassa gandharasasabhāvassa abhāvā.
ยทิ จ ฆานสมฺผสฺสาทีนํ การณภาโว นตฺถีติ อายตนานีติ เตน วุเจฺจยฺยุํ, ธาตุ-สโทฺท ปน นิสฺสตฺตนิชฺชีววาจโกติ คนฺธธาตุรสธาตูติ อวจเน นตฺถิ การณํ, ธมฺมภาโว จ เตสํ เอกเนฺตน อิจฺฉิตโพฺพ สภาวธารณาทิลกฺขณโต อญฺญสฺส อภาวา, ธมฺมานญฺจ อายตนภาโว เอกนฺตโต ยมเก (ยม. ๑. อายตนยมก.๑๓) วุโตฺต ‘‘ธโมฺม อายตนนฺติ? อามนฺตา’’ติฯ ตสฺมา เตสํ คนฺธรสายตนภาวาภาเวปิ โกจิ อายตนสภาโว วตฺตโพฺพฯ ยทิ จ โผฎฺฐพฺพภาวโต อโญฺญ ปถวีธาตุอาทิภาโว วิย คนฺธรสภาวโต อโญฺญ เตสํ โกจิ สภาโว สิยา, เตสํ ธมฺมายตเน สงฺคโหฯ คนฺธรสภาเว ปน อายตนภาเว จ สติ คโนฺธ จ โส อายตนญฺจ คนฺธายตนํ, รโส จ โส อายตนญฺจ รสายตนนฺติ อิทมาปนฺนเมวาติ คนฺธรสายตนภาโว จ น สกฺกา นิวาเรตุํ, ‘‘ตโย อาหารา’’ติ (วิภ. ๙๙๓) จ วจนโต กพฬีการาหารสฺส ตตฺถ อภาโว วิญฺญายติฯ ตสฺมา ยถา ปาฬิยา อวิโรโธ โหติ, ตถา รูปคณนา กาตพฺพาฯ เอวญฺหิ ธมฺมตา น วิโลมิตา โหตีติฯ
Yadi ca ghānasamphassādīnaṃ kāraṇabhāvo natthīti āyatanānīti tena vucceyyuṃ, dhātu-saddo pana nissattanijjīvavācakoti gandhadhāturasadhātūti avacane natthi kāraṇaṃ, dhammabhāvo ca tesaṃ ekantena icchitabbo sabhāvadhāraṇādilakkhaṇato aññassa abhāvā, dhammānañca āyatanabhāvo ekantato yamake (yama. 1. āyatanayamaka.13) vutto ‘‘dhammo āyatananti? Āmantā’’ti. Tasmā tesaṃ gandharasāyatanabhāvābhāvepi koci āyatanasabhāvo vattabbo. Yadi ca phoṭṭhabbabhāvato añño pathavīdhātuādibhāvo viya gandharasabhāvato añño tesaṃ koci sabhāvo siyā, tesaṃ dhammāyatane saṅgaho. Gandharasabhāve pana āyatanabhāve ca sati gandho ca so āyatanañca gandhāyatanaṃ, raso ca so āyatanañca rasāyatananti idamāpannamevāti gandharasāyatanabhāvo ca na sakkā nivāretuṃ, ‘‘tayo āhārā’’ti (vibha. 993) ca vacanato kabaḷīkārāhārassa tattha abhāvo viññāyati. Tasmā yathā pāḷiyā avirodho hoti, tathā rūpagaṇanā kātabbā. Evañhi dhammatā na vilomitā hotīti.
ชาติอุณฺณายาติ คพฺภํ ผาเลตฺวา คหิตอุณฺณายาติปิ วทนฺติฯ สมฺภวเภโทติ อตฺถิตาเภโทฯ นิชฺฌามตณฺหิกา กิร นิจฺจํ ทุกฺขาตุรตาย กามํ เสวิตฺวา คพฺภํ น คณฺหนฺติฯ
Jātiuṇṇāyāti gabbhaṃ phāletvā gahitauṇṇāyātipi vadanti. Sambhavabhedoti atthitābhedo. Nijjhāmataṇhikā kira niccaṃ dukkhāturatāya kāmaṃ sevitvā gabbhaṃ na gaṇhanti.
รูปีพฺรเหฺมสุ ตาว โอปปาติกโยนิเกสูติ โอปปาติกโยนิเกหิ รูปีพฺรเหฺม นิทฺธาเรติฯ ‘‘สํเสทโชปปาตีสุ อวกํสโต ติํสา’’ติ เอตํ วิวรโนฺต อาห ‘‘อวกํสโต ปนา’’ติอาทิ, ตํ ปเนตํ ปาฬิยา น สเมติฯ น หิ ปาฬิยํ กามาวจรานํ สํเสทโชปปาติกานํ อฆานกานํ อุปปตฺติ วุตฺตาฯ ธมฺมหทยวิภเงฺค (วิภ. ๑๐๐๗) หิ –
Rūpībrahmesu tāva opapātikayonikesūti opapātikayonikehi rūpībrahme niddhāreti. ‘‘Saṃsedajopapātīsu avakaṃsato tiṃsā’’ti etaṃ vivaranto āha ‘‘avakaṃsato panā’’tiādi, taṃ panetaṃ pāḷiyā na sameti. Na hi pāḷiyaṃ kāmāvacarānaṃ saṃsedajopapātikānaṃ aghānakānaṃ upapatti vuttā. Dhammahadayavibhaṅge (vibha. 1007) hi –
‘‘กามธาตุยา อุปปตฺติกฺขเณ กสฺสจิ เอกาทสายตนานิ ปาตุภวนฺติ, กสฺสจิ ทสายตนานิ, กสฺสจิ อปรานิ ทสายตนานิ, กสฺสจิ นวายตนานิ, กสฺสจิ สตฺตายตนานิ ปาตุภวนฺตี’’ติ –
‘‘Kāmadhātuyā upapattikkhaṇe kassaci ekādasāyatanāni pātubhavanti, kassaci dasāyatanāni, kassaci aparāni dasāyatanāni, kassaci navāyatanāni, kassaci sattāyatanāni pātubhavantī’’ti –
วุตฺตํ, น วุตฺตํ ‘‘อฎฺฐายตนานิ ปาตุภวนฺตี’’ติฯ ตถา ‘‘ทสายตนานิ ปาตุภวนฺตี’’ติ ติกฺขตฺตุํ วตฺตพฺพํ สิยา, อฆานกอุปปตฺติยา วิชฺชมานาย ติกฺขตฺตุญฺจ ‘‘นวายตนานิ ปาตุภวนฺตี’’ติ, น จ ตํ วุตฺตํฯ เอวํ ธาตุปาตุภาวาทิปเญฺหสุ ยมเกปิ ฆานชิวฺหากายานํ สหจาริตา วุตฺตาติฯ
Vuttaṃ, na vuttaṃ ‘‘aṭṭhāyatanāni pātubhavantī’’ti. Tathā ‘‘dasāyatanāni pātubhavantī’’ti tikkhattuṃ vattabbaṃ siyā, aghānakaupapattiyā vijjamānāya tikkhattuñca ‘‘navāyatanāni pātubhavantī’’ti, na ca taṃ vuttaṃ. Evaṃ dhātupātubhāvādipañhesu yamakepi ghānajivhākāyānaṃ sahacāritā vuttāti.
จุติปฎิสนฺธีนํ ขนฺธาทีหิ อญฺญมญฺญํ สมานตา อเภโท, อสมานตา เภโทฯ นยมุขมตฺตํ ทเสฺสตฺวา วุตฺตํ อวุตฺตญฺจ สพฺพํ สงฺคณฺหิตฺวา อาห ‘‘อยํ ตาว อรูปภูมีสุเยว นโย’’ติฯ รูปารูปาวจรานํ อุปจารสฺส พลวตาย ตโต จวิตฺวา ทุคฺคติยํ อุปปตฺติ นตฺถีติ ‘‘เอกจฺจสุคติจุติยา’’ติ อาหฯ เอกจฺจทุคฺคติปฎิสนฺธีติ เอตฺถ เอกจฺจคฺคหณสฺส ปโยชนํ มคฺคิตพฺพํฯ อยํ ปเนตฺถาธิปฺปาโย สิยา – นานตฺตกายนานตฺตสญฺญีสุ วุตฺตา เอกเจฺจ วินิปาติกา ติเหตุกาทิปฎิสนฺธิกา, เตสํ ตํ ปฎิสนฺธิํ วินิปาตภาเวน ทุคฺคติปฎิสนฺธีติ คเหตฺวา สพฺพสุคติจุติยาว สา ปฎิสนฺธิ โหติ, น เอกจฺจสุคติจุติยา เอวาติ ตํนิวตฺตนตฺถํ เอกจฺจทุคฺคติคฺคหณํ กตํฯ อปายปฎิสนฺธิ เอว หิ เอกจฺจสุคติจุติยา โหติ, น สพฺพสุคติจุติยาฯ อถ วา ทุคฺคติปฎิสนฺธิ ทุวิธา เอกจฺจสุคติจุติยา อนนฺตรา ทุคฺคติจุติยา จาติฯ ตตฺถ ปจฺฉิมํ วเชฺชตฺวา ปุริมํ เอว คณฺหิตุํ อาห ‘‘เอกจฺจทุคฺคติปฎิสนฺธี’’ติฯ อเหตุกจุติยา สเหตุกปฎิสนฺธีติ ทุเหตุกา ติเหตุกา จ โยเชตพฺพาฯ มณฺฑูกเทวปุตฺตาทีนํ วิย หิ อเหตุกจุติยา ติเหตุกปฎิสนฺธิปิ โหตีติฯ
Cutipaṭisandhīnaṃ khandhādīhi aññamaññaṃ samānatā abhedo, asamānatā bhedo. Nayamukhamattaṃ dassetvā vuttaṃ avuttañca sabbaṃ saṅgaṇhitvā āha ‘‘ayaṃ tāva arūpabhūmīsuyeva nayo’’ti. Rūpārūpāvacarānaṃ upacārassa balavatāya tato cavitvā duggatiyaṃ upapatti natthīti ‘‘ekaccasugaticutiyā’’ti āha. Ekaccaduggatipaṭisandhīti ettha ekaccaggahaṇassa payojanaṃ maggitabbaṃ. Ayaṃ panetthādhippāyo siyā – nānattakāyanānattasaññīsu vuttā ekacce vinipātikā tihetukādipaṭisandhikā, tesaṃ taṃ paṭisandhiṃ vinipātabhāvena duggatipaṭisandhīti gahetvā sabbasugaticutiyāva sā paṭisandhi hoti, na ekaccasugaticutiyā evāti taṃnivattanatthaṃ ekaccaduggatiggahaṇaṃ kataṃ. Apāyapaṭisandhi eva hi ekaccasugaticutiyā hoti, na sabbasugaticutiyā. Atha vā duggatipaṭisandhi duvidhā ekaccasugaticutiyā anantarā duggaticutiyā cāti. Tattha pacchimaṃ vajjetvā purimaṃ eva gaṇhituṃ āha ‘‘ekaccaduggatipaṭisandhī’’ti. Ahetukacutiyā sahetukapaṭisandhīti duhetukā tihetukā ca yojetabbā. Maṇḍūkadevaputtādīnaṃ viya hi ahetukacutiyā tihetukapaṭisandhipi hotīti.
ตสฺส ตสฺส วิปรีตโต จ ยถาโยคํ โยเชตพฺพนฺติ ‘‘เอกจฺจสุคติจุติยา เอกจฺจทุคฺคติปฎิสนฺธี’’ติอาทีสุ เภทวิเสเสสุ ‘‘เอกจฺจทุคฺคติจุติยา เอกจฺจสุคติปฎิสนฺธี’’ติอาทินา ยํ ยํ ยุชฺชติ, ตํ ตํ โยเชตพฺพนฺติ อโตฺถฯ ยุชฺชมานมตฺตาเปกฺขนวเสน นปุํสกนิเทฺทโส กโต, โยเชตพฺพนฺติ วา ภาวโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ อมหคฺคตพหิทฺธารมฺมณาย มหคฺคตอชฺฌตฺตารมฺมณาติอาทีสุ ปน วิปรีตโยชนา น กาตพฺพาฯ น หิ มหคฺคตอชฺฌตฺตารมฺมณาย จุติยา อรูปภูมีสุ อมหคฺคตพหิทฺธารมฺมณา ปฎิสนฺธิ อตฺถิฯ จตุกฺขนฺธาย อรูปจุติยา ปญฺจกฺขนฺธา กามาวจรปฎิสนฺธีติ เอตสฺส วิปริยาโย สยเมว โยชิโตฯ อตีตารมฺมณจุติยา ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณา ปฎิสนฺธีติ เอตสฺส จ วิปริยาโย นตฺถิ เอวาติฯ เภทวิเสโส เอว จ เอวํ วิตฺถาเรน ทสฺสิโต, อเภทวิเสโส ปน เอเกกสฺมิํ เภเท ตตฺถ ตเตฺถว จุติปฎิสนฺธิโยชนาวเสน โยเชตโพฺพ ‘‘ปญฺจกฺขนฺธาย กามาวจราย ปญฺจกฺขนฺธา กามาวจรา…เป.… อวิตกฺกอวิจาราย อวิตกฺกอวิจารา’’ติ, จตุกฺขนฺธาย ปน จตุกฺขนฺธา สยเมว โยชิตาฯ เอเตเนว นเยน สกฺกา ญาตุนฺติ ปญฺจกฺขนฺธาทีสุ อเภทวิเสโส น ทสฺสิโตติฯ ตโต เหตุํ วินาติ ตตฺถ เหตุํ วินาฯ
Tassa tassa viparītato ca yathāyogaṃ yojetabbanti ‘‘ekaccasugaticutiyā ekaccaduggatipaṭisandhī’’tiādīsu bhedavisesesu ‘‘ekaccaduggaticutiyā ekaccasugatipaṭisandhī’’tiādinā yaṃ yaṃ yujjati, taṃ taṃ yojetabbanti attho. Yujjamānamattāpekkhanavasena napuṃsakaniddeso kato, yojetabbanti vā bhāvattho daṭṭhabbo. Amahaggatabahiddhārammaṇāya mahaggataajjhattārammaṇātiādīsu pana viparītayojanā na kātabbā. Na hi mahaggataajjhattārammaṇāya cutiyā arūpabhūmīsu amahaggatabahiddhārammaṇā paṭisandhi atthi. Catukkhandhāya arūpacutiyā pañcakkhandhā kāmāvacarapaṭisandhīti etassa vipariyāyo sayameva yojito. Atītārammaṇacutiyā paccuppannārammaṇā paṭisandhīti etassa ca vipariyāyo natthi evāti. Bhedaviseso eva ca evaṃ vitthārena dassito, abhedaviseso pana ekekasmiṃ bhede tattha tattheva cutipaṭisandhiyojanāvasena yojetabbo ‘‘pañcakkhandhāya kāmāvacarāya pañcakkhandhā kāmāvacarā…pe… avitakkaavicārāya avitakkaavicārā’’ti, catukkhandhāya pana catukkhandhā sayameva yojitā. Eteneva nayena sakkā ñātunti pañcakkhandhādīsu abhedaviseso na dassitoti. Tato hetuṃ vināti tattha hetuṃ vinā.
องฺคปจฺจงฺคสนฺธีนํ พนฺธนานิ องฺคปจฺจงฺคสนฺธิพนฺธนานิ, เตสํ เฉทกานํฯ นิรุเทฺธสุ จกฺขาทีสูติ อติมนฺทภาวูปคมนํ สนฺธาย วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ปญฺจทฺวาริกวิญฺญาณานนฺตรมฺปิ หิ ปุเพฺพ จุติ ทสฺสิตาฯ ยมเก จ (ยม. ๑.อายตนยมก.๑๒๐) –
Aṅgapaccaṅgasandhīnaṃ bandhanāni aṅgapaccaṅgasandhibandhanāni, tesaṃ chedakānaṃ. Niruddhesu cakkhādīsūti atimandabhāvūpagamanaṃ sandhāya vuttanti veditabbaṃ. Pañcadvārikaviññāṇānantarampi hi pubbe cuti dassitā. Yamake ca (yama. 1.āyatanayamaka.120) –
‘‘ยสฺส จกฺขายตนํ นิรุชฺฌติ, ตสฺส มนายตนํ นิรุชฺฌตีติ? อามนฺตาฯ ยสฺส วา ปน มนายตนํ นิรุชฺฌติ, ตสฺส จกฺขายตนํ นิรุชฺฌตีติ? สจิตฺตกานํ อจกฺขุกานํ จวนฺตานํ เตสํ มนายตนํ นิรุชฺฌติ, โน จ เตสํ จกฺขายตนํ นิรุชฺฌติฯ สจกฺขุกานํ จวนฺตานํ เตสํ มนายตนญฺจ นิรุชฺฌติ, จกฺขายตนญฺจ นิรุชฺฌตี’’ติ –
‘‘Yassa cakkhāyatanaṃ nirujjhati, tassa manāyatanaṃ nirujjhatīti? Āmantā. Yassa vā pana manāyatanaṃ nirujjhati, tassa cakkhāyatanaṃ nirujjhatīti? Sacittakānaṃ acakkhukānaṃ cavantānaṃ tesaṃ manāyatanaṃ nirujjhati, no ca tesaṃ cakkhāyatanaṃ nirujjhati. Sacakkhukānaṃ cavantānaṃ tesaṃ manāyatanañca nirujjhati, cakkhāyatanañca nirujjhatī’’ti –
อาทินา จกฺขายตนาทีนํ จุติจิเตฺตน สห นิโรโธ วุโตฺตติฯ ลโทฺธ อวเสโส อวิชฺชาทิโก วิญฺญาณสฺส ปจฺจโย เอเตนาติ ลทฺธาวเสสปจฺจโย, สงฺขาโรฯ อวิชฺชาปฎิจฺฉาทิตาทีนเว ตสฺมิํ กมฺมาทิวิสเย ปฎิสนฺธิวิญฺญาณสฺส อารมฺมณภาเวน อุปฺปตฺติฎฺฐานภูเต ตณฺหาย อปฺปหีนตฺตา เอว ปุริมุปฺปนฺนาย จ สนฺตติยา ปริณตตฺตา ปฎิสนฺธิฎฺฐานาภิมุขํ วิญฺญาณํ นินฺนโปณปพฺภารํ หุตฺวา ปวตฺตตีติ อาห ‘‘ตณฺหา นาเมตี’’ติฯ สหชาตสงฺขาราติ จุติอาสนฺนชวนวิญฺญาณสหชาตเจตนา, สเพฺพปิ วา ผสฺสาทโยฯ ตสฺมิํ ปฎิสนฺธิฎฺฐาเน กมฺมาทิวิสเย วิญฺญาณํ ขิปนฺติ, ขิปนฺตา วิย ตสฺมิํ วิสเย ปฎิสนฺธิวเสน วิญฺญาณปติฎฺฐานสฺส เหตุภาเวน ปวตฺตนฺตีติ อโตฺถฯ
Ādinā cakkhāyatanādīnaṃ cuticittena saha nirodho vuttoti. Laddho avaseso avijjādiko viññāṇassa paccayo etenāti laddhāvasesapaccayo, saṅkhāro. Avijjāpaṭicchāditādīnave tasmiṃ kammādivisaye paṭisandhiviññāṇassa ārammaṇabhāvena uppattiṭṭhānabhūte taṇhāya appahīnattā eva purimuppannāya ca santatiyā pariṇatattā paṭisandhiṭṭhānābhimukhaṃ viññāṇaṃ ninnapoṇapabbhāraṃ hutvā pavattatīti āha ‘‘taṇhā nāmetī’’ti. Sahajātasaṅkhārāti cutiāsannajavanaviññāṇasahajātacetanā, sabbepi vā phassādayo. Tasmiṃ paṭisandhiṭṭhāne kammādivisaye viññāṇaṃ khipanti, khipantā viya tasmiṃ visaye paṭisandhivasena viññāṇapatiṭṭhānassa hetubhāvena pavattantīti attho.
ตนฺติ ตํ วิญฺญาณํ, จุติปฎิสนฺธิตทาสนฺนวิญฺญาณานํ สนฺตติวเสน วิญฺญาณนฺติ อุปนีเตกตฺตํฯ ตณฺหาย นามิยมานํ…เป.… ปวตฺตตีติ นมนขิปนปุริมนิสฺสยชหนาปรนิสฺสยสฺสาทนนิสฺสยรหิตปวตฺตนานิ สนฺตติวเสน ตเสฺสเวกสฺส วิญฺญาณสฺส โหนฺติ, น อญฺญสฺสาติ ทเสฺสติฯ สนฺตติวเสนาติ จ วทโนฺต ‘‘ตเทวิทํ วิญฺญาณํ สนฺธาวติ สํสรติ อนญฺญ’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๓๙๖) อิทญฺจ มิจฺฉาคาหํ ปฎิกฺขิปติฯ สติ หิ นานตฺตนเย สนฺตติวเสน เอกตฺตนโย โหตีติฯ โอริมตีรรุกฺขวินิพทฺธรชฺชุ วิย ปุริมภวตฺตภาววินิพนฺธํ กมฺมาทิอารมฺมณํ ทฎฺฐพฺพํ, ปุริโส วิย วิญฺญาณํ, ตสฺส มาติกาติกฺกมนิจฺฉา วิย ตณฺหา, อติกฺกมนปโยโค วิย ขิปนกสงฺขาราฯ ยถา จ โส ปุริโส ปรตีเร ปติฎฺฐหมาโน ปรตีรรุกฺขวินิพทฺธํ กิญฺจิ อสฺสาทยมาโน อนสฺสาทยมาโน วา เกวลํ ปถวิยํ สพลปโยเคเหว ปติฎฺฐาติ, เอวมิทมฺปิ ภวนฺตรตฺตภาววินิพทฺธํ หทยวตฺถุนิสฺสยํ ปญฺจโวการภเว อสฺสาทยมานํ จตุโวการภเว อนสฺสาทยมานํ วา เกวลํ อารมฺมณสมฺปยุตฺตกเมฺมเหว ปวตฺตติฯ ตตฺถ อสฺสาทยมานนฺติ ปาปุณนฺตํ, ปฎิลภมานนฺติ อโตฺถฯ
Tanti taṃ viññāṇaṃ, cutipaṭisandhitadāsannaviññāṇānaṃ santativasena viññāṇanti upanītekattaṃ. Taṇhāya nāmiyamānaṃ…pe… pavattatīti namanakhipanapurimanissayajahanāparanissayassādananissayarahitapavattanāni santativasena tassevekassa viññāṇassa honti, na aññassāti dasseti. Santativasenāti ca vadanto ‘‘tadevidaṃ viññāṇaṃ sandhāvati saṃsarati anañña’’nti (ma. ni. 1.396) idañca micchāgāhaṃ paṭikkhipati. Sati hi nānattanaye santativasena ekattanayo hotīti. Orimatīrarukkhavinibaddharajju viya purimabhavattabhāvavinibandhaṃ kammādiārammaṇaṃ daṭṭhabbaṃ, puriso viya viññāṇaṃ, tassa mātikātikkamanicchā viya taṇhā, atikkamanapayogo viya khipanakasaṅkhārā. Yathā ca so puriso paratīre patiṭṭhahamāno paratīrarukkhavinibaddhaṃ kiñci assādayamāno anassādayamāno vā kevalaṃ pathaviyaṃ sabalapayogeheva patiṭṭhāti, evamidampi bhavantarattabhāvavinibaddhaṃ hadayavatthunissayaṃ pañcavokārabhave assādayamānaṃ catuvokārabhave anassādayamānaṃ vā kevalaṃ ārammaṇasampayuttakammeheva pavattati. Tattha assādayamānanti pāpuṇantaṃ, paṭilabhamānanti attho.
ภวนฺตราทิปฎิสนฺธานโตติ ภวนฺตรสฺส อาทิสมฺพนฺธนโต, ภวนฺตราทโย วา ภวโยนิคติวิญฺญาณฎฺฐิติสตฺตาวาสนฺตรา, เตสํ ปฎิสนฺธานโตติ อโตฺถฯ กมฺมนฺติ ปฎิสนฺธิชนกํ กมฺมํฯ สงฺขาราติ จุติอาสนฺนชวนวิญฺญาณสหคตา ขิปนกสงฺขาราฯ
Bhavantarādipaṭisandhānatoti bhavantarassa ādisambandhanato, bhavantarādayo vā bhavayonigativiññāṇaṭṭhitisattāvāsantarā, tesaṃ paṭisandhānatoti attho. Kammanti paṭisandhijanakaṃ kammaṃ. Saṅkhārāti cutiāsannajavanaviññāṇasahagatā khipanakasaṅkhārā.
สทฺทาทิเหตุกาติ เอตฺถ ปฎิโฆโส สทฺทเหตุโก, ปทีโป ปทีปนฺตราทิเหตุโก, มุทฺทา ลญฺฉนเหตุกา, ฉายา อาทาสาทิคตมุขาทิเหตุกาฯ อญฺญตฺร อคนฺตฺวา โหนฺตีติ สทฺทาทิปจฺจยเทสํ อคนฺตฺวา สทฺทาทิเหตุกา โหนฺติ ตโต ปุเพฺพ อภาวา, เอวมิทมฺปิ ปฎิสนฺธิวิญฺญาณํ น เหตุเทสํ คนฺตฺวา ตํเหตุกํ โหติ ตโต ปุเพฺพ อภาวา, ตสฺมา น อิทํ เหตุเทสโต ปุริมภวโต อาคตํ ปฎิโฆสาทโย วิย สทฺทาทิเทสโต, นาปิ ตตฺถ เหตุนา วินา อุปฺปนฺนํ สทฺทาทีหิ วินา ปฎิโฆสาทโย วิยาติ อโตฺถฯ อถ วา อญฺญตฺร อคนฺตฺวา โหนฺตีติ ปุเพฺพ ปจฺจยเทเส สนฺนิหิตา หุตฺวา ตโต อญฺญตฺร คนฺตฺวา ตปฺปจฺจยา น โหนฺติ อุปฺปตฺติโต ปุเพฺพ อภาวา, นาปิ สทฺทาทิปจฺจยา น โหนฺติ, เอวมิทมฺปีติ วุตฺตนเยน โยเชตพฺพํฯ เอส นโยติ พีชงฺกุราทีสุ สพฺพเหตุเหตุสมุปฺปเนฺนสุ ยถาสมฺภวํ โยชนา กาตพฺพาติ ทเสฺสติฯ อิธาปิ หิ เหตุเหตุสมุปฺปนฺนวิญฺญาณานํ เอกนฺตเมกเตฺต สติ น มนุสฺสคติโก เทวคติภูโต สิยา, เอกนฺตนานเตฺต น กมฺมวโต ผลํ สิยาฯ ตโต ‘‘รตฺตสฺส พีชํ, รตฺตสฺส ผล’’นฺติอาทิกสฺส วิย ‘‘ภูตปุพฺพาหํ, ภเนฺต, โรหิตโสฺส นาม อิสี’’ติอาทิกสฺส (สํ. นิ. ๑.๑๐๗) โวหารสฺส โลโป สิยา, ตสฺมา เอตฺถ สนฺตานพเนฺธ สติ เหตุเหตุสมุปฺปเนฺนสุ น เอกนฺตเมว เอกตา วา นานตา วา อุปคนฺตพฺพาฯ เอตฺถ จ เอกนฺตเอกตาปฎิเสเธน ‘‘สยํกตํ สุขํ ทุกฺข’’นฺติ อิมํ ทิฎฺฐิํ นิวาเรติ, เอกนฺตนานตาปฎิเสเธน ‘‘ปรํกตํ สุขํ ทุกฺข’’นฺติ, เหตุเหตุสมุปฺปนฺนภาววจเนน ‘‘อธิจฺจสมุปฺปนฺน’’นฺติฯ เอตฺถาติ เอกสนฺตาเนฯ
Saddādihetukāti ettha paṭighoso saddahetuko, padīpo padīpantarādihetuko, muddā lañchanahetukā, chāyā ādāsādigatamukhādihetukā. Aññatra agantvā hontīti saddādipaccayadesaṃ agantvā saddādihetukā honti tato pubbe abhāvā, evamidampi paṭisandhiviññāṇaṃ na hetudesaṃ gantvā taṃhetukaṃ hoti tato pubbe abhāvā, tasmā na idaṃ hetudesato purimabhavato āgataṃ paṭighosādayo viya saddādidesato, nāpi tattha hetunā vinā uppannaṃ saddādīhi vinā paṭighosādayo viyāti attho. Atha vā aññatra agantvā hontīti pubbe paccayadese sannihitā hutvā tato aññatra gantvā tappaccayā na honti uppattito pubbe abhāvā, nāpi saddādipaccayā na honti, evamidampīti vuttanayena yojetabbaṃ. Esa nayoti bījaṅkurādīsu sabbahetuhetusamuppannesu yathāsambhavaṃ yojanā kātabbāti dasseti. Idhāpi hi hetuhetusamuppannaviññāṇānaṃ ekantamekatte sati na manussagatiko devagatibhūto siyā, ekantanānatte na kammavato phalaṃ siyā. Tato ‘‘rattassa bījaṃ, rattassa phala’’ntiādikassa viya ‘‘bhūtapubbāhaṃ, bhante, rohitasso nāma isī’’tiādikassa (saṃ. ni. 1.107) vohārassa lopo siyā, tasmā ettha santānabandhe sati hetuhetusamuppannesu na ekantameva ekatā vā nānatā vā upagantabbā. Ettha ca ekantaekatāpaṭisedhena ‘‘sayaṃkataṃ sukhaṃ dukkha’’nti imaṃ diṭṭhiṃ nivāreti, ekantanānatāpaṭisedhena ‘‘paraṃkataṃ sukhaṃ dukkha’’nti, hetuhetusamuppannabhāvavacanena ‘‘adhiccasamuppanna’’nti. Etthāti ekasantāne.
จตุมธุรอลตฺตกรสาทิภาวนา อมฺพมาตุลุงฺคาทิพีชานํ อภิสงฺขาโรฯ เอตฺถ พีชํ วิย กมฺมวา สโตฺต, อภิสงฺขาโร วิย กมฺมํ, พีชสฺส องฺกุราทิปฺปพโนฺธ วิย สตฺตสฺส ปฎิสนฺธิวิญฺญาณาทิปฺปพโนฺธ, ตตฺถุปฺปนฺนสฺส มธุรสฺส รตฺตเกสรสฺส วา ผลสฺส วา ตเสฺสว พีชสฺส, ตโต เอว จ อภิสงฺขารโต ภาโว วิย กมฺมการกเสฺสว สตฺตสฺส, ตํกมฺมโต เอว จ ผลสฺส ภาโว เวทิตโพฺพฯ พาลสรีเร กตํ วิชฺชาปริยาปุณนํ สิปฺปสิกฺขนํ โอสธปฺปโยโค จ น วุฑฺฒสรีรํ คจฺฉนฺติฯ อถ จ ตํนิมิตฺตํ วิชฺชาปาฎวํ สิปฺปชานนํ อนามยตา จ วุฑฺฒสรีเร โหติ, น จ ตํ อญฺญสฺส โหติ ตํสนฺตติปริยาปเนฺน เอว วุฑฺฒสรีเร อุปฺปชฺชนโต, น จ ยถาปยุเตฺตน วิชฺชาปริยาปุณนาทินา วินา อญฺญโต โหติ ตทภาเว อภาวโตฯ เอวมิธาปิ สนฺตาเน ยํ ผลํ, เอตํ นาญฺญสฺส, น จ อญฺญโตติ โยเชตพฺพํฯ น อญฺญโตติ เอเตน จ สงฺขาราภาเว ผลาภาวเมว ทเสฺสติ, นาญฺญปจฺจยนิวารณํ กโรติฯ
Catumadhuraalattakarasādibhāvanā ambamātuluṅgādibījānaṃ abhisaṅkhāro. Ettha bījaṃ viya kammavā satto, abhisaṅkhāro viya kammaṃ, bījassa aṅkurādippabandho viya sattassa paṭisandhiviññāṇādippabandho, tatthuppannassa madhurassa rattakesarassa vā phalassa vā tasseva bījassa, tato eva ca abhisaṅkhārato bhāvo viya kammakārakasseva sattassa, taṃkammato eva ca phalassa bhāvo veditabbo. Bālasarīre kataṃ vijjāpariyāpuṇanaṃ sippasikkhanaṃ osadhappayogo ca na vuḍḍhasarīraṃ gacchanti. Atha ca taṃnimittaṃ vijjāpāṭavaṃ sippajānanaṃ anāmayatā ca vuḍḍhasarīre hoti, na ca taṃ aññassa hoti taṃsantatipariyāpanne eva vuḍḍhasarīre uppajjanato, na ca yathāpayuttena vijjāpariyāpuṇanādinā vinā aññato hoti tadabhāve abhāvato. Evamidhāpi santāne yaṃ phalaṃ, etaṃ nāññassa, na ca aññatoti yojetabbaṃ. Na aññatoti etena ca saṅkhārābhāve phalābhāvameva dasseti, nāññapaccayanivāraṇaṃ karoti.
ยมฺปิ วุตฺตํ, ตตฺถ วทามาติ วจนเสโสฯ ตตฺถ วา อุปภุญฺชเก อสติ สิทฺธา ภุญฺชกสมฺมุตีติ สมฺพโนฺธฯ ผลตีติ สมฺมุติ ผลติสมฺมุติฯ
Yampi vuttaṃ, tattha vadāmāti vacanaseso. Tattha vā upabhuñjake asati siddhā bhuñjakasammutīti sambandho. Phalatīti sammuti phalatisammuti.
เอวํ สเนฺตปีติ อสงฺกนฺติปาตุภาเว, ตตฺถ จ ยถาวุตฺตโทสปริหรเณ สติ สิเทฺธติ อโตฺถฯ ปวตฺติโต ปุเพฺพติ กมฺมายูหนกฺขณโต ปุเพฺพฯ ปจฺฉา จาติ วิปจฺจนปวตฺติโต ปจฺฉา จฯ อวิปกฺกวิปากา กตตฺตา เจ ปจฺจยา, วิปกฺกวิปากานมฺปิ กตตฺตํ สมานนฺติ เตสมฺปิ ผลาวหตา สิยาติ อาสงฺกานิวตฺตนตฺถํ อาห ‘‘น จ นิจฺจํ ผลาวหา’’ติฯ น วิชฺชมานตฺตา วา อวิชฺชมานตฺตา วาติ เอเตน วิชฺชมานตฺตํ อวิชฺชมานตฺตญฺจ นิสฺสาย วุตฺตโทเสว ปริหรติฯ
Evaṃsantepīti asaṅkantipātubhāve, tattha ca yathāvuttadosapariharaṇe sati siddheti attho. Pavattito pubbeti kammāyūhanakkhaṇato pubbe. Pacchā cāti vipaccanapavattito pacchā ca. Avipakkavipākā katattā ce paccayā, vipakkavipākānampi katattaṃ samānanti tesampi phalāvahatā siyāti āsaṅkānivattanatthaṃ āha ‘‘na ca niccaṃ phalāvahā’’ti. Na vijjamānattā vā avijjamānattā vāti etena vijjamānattaṃ avijjamānattañca nissāya vuttadoseva pariharati.
ตสฺสา ปาฎิโภคกิริยาย, ภณฺฑกีณนกิริยาย, อิณคหณาทิกิริยาย วา กรณมตฺตํ ตํกิริยากรณมตฺตํฯ ตเทว ตทตฺถนิยฺยาตเน ปฎิภณฺฑทาเน อิณทาเน จ ปจฺจโย โหติ, อผลิตนิยฺยาตนาทิผลนฺติ อโตฺถฯ
Tassā pāṭibhogakiriyāya, bhaṇḍakīṇanakiriyāya, iṇagahaṇādikiriyāya vā karaṇamattaṃ taṃkiriyākaraṇamattaṃ. Tadeva tadatthaniyyātane paṭibhaṇḍadāne iṇadāne ca paccayo hoti, aphalitaniyyātanādiphalanti attho.
อวิเสเสนาติ ‘‘ติเหตุโก ติเหตุกสฺสา’’ติอาทิกํ เภทํ อกตฺวาว สามญฺญโต, ปิณฺฑวเสนาติ อโตฺถฯ สพฺพตฺถ อุปนิสฺสยปจฺจโย พลวกมฺมสฺส วเสน โยเชตโพฺพฯ ‘‘ทุพฺพลญฺหิ อุปนิสฺสยปจฺจโย น โหตี’’ติ วกฺขมานเมเวตํ ปฎฺฐานวณฺณนายนฺติฯ อวิเสเสนาติ สพฺพปุญฺญาภิสงฺขารํ สห สงฺคณฺหาติฯ ทฺวาทสากุสลเจตนาเภโทติ เอตฺถ อุทฺธจฺจสหคตา กสฺมา คหิตาติ วิจาเรตพฺพเมตํฯ เอกสฺส วิญฺญาณสฺส ตเถว ปจฺจโย ปฎิสนฺธิยํ, โน ปวเตฺตติ เอกเสฺสว ปจฺจยภาวนิยโม ปฎิสนฺธิยํ, โน ปวเตฺตฯ ปวเตฺต หิ สตฺตนฺนมฺปิ ปจฺจโยติ อธิปฺปาโยฯ ‘‘ตถา กามาวจรเทวโลเกปิ อนิฎฺฐา รูปาทโย นตฺถี’’ติ วุตฺตํ, เทวานํ ปน ปุพฺพนิมิตฺตปาตุภาวกาเล มิลาตมาลาทีนํ อนิฎฺฐตา กถํ น สิยาฯ
Avisesenāti ‘‘tihetuko tihetukassā’’tiādikaṃ bhedaṃ akatvāva sāmaññato, piṇḍavasenāti attho. Sabbattha upanissayapaccayo balavakammassa vasena yojetabbo. ‘‘Dubbalañhi upanissayapaccayo na hotī’’ti vakkhamānamevetaṃ paṭṭhānavaṇṇanāyanti. Avisesenāti sabbapuññābhisaṅkhāraṃ saha saṅgaṇhāti. Dvādasākusalacetanābhedoti ettha uddhaccasahagatā kasmā gahitāti vicāretabbametaṃ. Ekassa viññāṇassa tatheva paccayo paṭisandhiyaṃ, no pavatteti ekasseva paccayabhāvaniyamo paṭisandhiyaṃ, no pavatte. Pavatte hi sattannampi paccayoti adhippāyo. ‘‘Tathā kāmāvacaradevalokepi aniṭṭhā rūpādayo natthī’’ti vuttaṃ, devānaṃ pana pubbanimittapātubhāvakāle milātamālādīnaṃ aniṭṭhatā kathaṃ na siyā.
เสฺวว ทฺวีสุ ภเวสูติ เอตฺถ เอกูนติํสเจตนาเภทมฺปิ จิตฺตสงฺขารํ จิตฺตสงฺขารภาเวน เอกตฺตํ อุปเนตฺวา ‘‘เสฺววา’’ติ วุตฺตํฯ ตเทกเทโส ปน กามาวจรจิตฺตสงฺขาโรว เตรสนฺนํ นวนฺนญฺจ ปจฺจโย ทฎฺฐโพฺพฯ เอกเทสปจฺจยภาเวน หิ สมุทาโย วุโตฺตติฯ
Sveva dvīsu bhavesūti ettha ekūnatiṃsacetanābhedampi cittasaṅkhāraṃ cittasaṅkhārabhāvena ekattaṃ upanetvā ‘‘svevā’’ti vuttaṃ. Tadekadeso pana kāmāvacaracittasaṅkhārova terasannaṃ navannañca paccayo daṭṭhabbo. Ekadesapaccayabhāvena hi samudāyo vuttoti.
ยตฺถ จ วิตฺถารปฺปกาสนํ กตํ, ตโต ภวโต ปฎฺฐาย มุขมตฺตปฺปกาสนํ กาตุกาโม อาห ‘‘อาทิโต ปฎฺฐายา’’ติฯ เตน ‘‘ทฺวีสุ ภเวสู’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตติยชฺฌานภูมิวเสนาติ เอเตน เอกตฺตกายเอกตฺตสญฺญีสามเญฺญน จตุตฺถชฺฌานภูมิ จ อสญฺญารุปฺปวชฺชา คหิตาติ เวทิตพฺพาฯ ยถาสมฺภวนฺติ เอกวีสติยา กามาวจรรูปาวจรกุสลวิปาเกสุ จุทฺทสนฺนํ ปฎิสนฺธิยํ ปวเตฺต จ, สตฺตนฺนํ ปวเตฺต เอวฯ อยํ ยถาสมฺภโวฯ
Yattha ca vitthārappakāsanaṃ kataṃ, tato bhavato paṭṭhāya mukhamattappakāsanaṃ kātukāmo āha ‘‘ādito paṭṭhāyā’’ti. Tena ‘‘dvīsu bhavesū’’tiādi vuttaṃ. Tatiyajjhānabhūmivasenāti etena ekattakāyaekattasaññīsāmaññena catutthajjhānabhūmi ca asaññāruppavajjā gahitāti veditabbā. Yathāsambhavanti ekavīsatiyā kāmāvacararūpāvacarakusalavipākesu cuddasannaṃ paṭisandhiyaṃ pavatte ca, sattannaṃ pavatte eva. Ayaṃ yathāsambhavo.
จตุนฺนํ วิญฺญาณานนฺติ ภวาทโย อเปกฺขิตฺวา วุตฺตํ, จตูสุ อโนฺตคธานํ ปน ติณฺณํ วิญฺญาณานํ ตีสุ วิญฺญาณฎฺฐิตีสุ จ ปจฺจยภาโว โยเชตโพฺพ, อวิญฺญาณเก สตฺตาวาเส สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาเณ อวิชฺชมาเนปิ ตสฺส สงฺขารเหตุกตฺตํ ทเสฺสตุํ ‘‘อปิจา’’ติอาทิมาหฯ เอตสฺมิญฺจ มุขมตฺตปฺปกาสเน ปุญฺญาภิสงฺขาราทีนํ ทุคฺคติอาทีสุ ปวตฺติยํ กุสลวิปากาทิวิญฺญาณานํ ปจฺจยภาโว ภเวสุ วุตฺตนเยเนว วิญฺญายตีติ น วุโตฺตติ เวทิตโพฺพฯ
Catunnaṃviññāṇānanti bhavādayo apekkhitvā vuttaṃ, catūsu antogadhānaṃ pana tiṇṇaṃ viññāṇānaṃ tīsu viññāṇaṭṭhitīsu ca paccayabhāvo yojetabbo, aviññāṇake sattāvāse saṅkhārapaccayā viññāṇe avijjamānepi tassa saṅkhārahetukattaṃ dassetuṃ ‘‘apicā’’tiādimāha. Etasmiñca mukhamattappakāsane puññābhisaṅkhārādīnaṃ duggatiādīsu pavattiyaṃ kusalavipākādiviññāṇānaṃ paccayabhāvo bhavesu vuttanayeneva viññāyatīti na vuttoti veditabbo.
วิญฺญาณปทนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Viññāṇapadaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.
นามรูปปทนิเทฺทสวณฺณนา
Nāmarūpapadaniddesavaṇṇanā
๒๒๘. สุตฺตนฺตาภิธเมฺมสุ นามรูปเทสนาวิเสโส เทสนาเภโทฯ ตโย ขนฺธาติ เอตํ ยทิปิ ปาฬิยํ นตฺถิ, อตฺถโต ปน วุตฺตเมว โหตีติ กตฺวา วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
228. Suttantābhidhammesu nāmarūpadesanāviseso desanābhedo. Tayo khandhāti etaṃ yadipi pāḷiyaṃ natthi, atthato pana vuttameva hotīti katvā vuttanti veditabbaṃ.
อณฺฑชานญฺจ อภาวกานนฺติ โยเชตพฺพํฯ สนฺตติสีสานีติ กลาปสนฺตานมูลานิฯ ยทิปิ วิการรูปานิ ปฎิสนฺธิกฺขเณ น สนฺติ, ลกฺขณปริเจฺฉทรูปานิ ปน สนฺตีติ ตานิ อปรินิปฺผนฺนานิ ปรมตฺถโต วิวเชฺชโนฺต อาห ‘‘รูปรูปโต’’ติฯ
Aṇḍajānañca abhāvakānanti yojetabbaṃ. Santatisīsānīti kalāpasantānamūlāni. Yadipi vikārarūpāni paṭisandhikkhaṇe na santi, lakkhaṇaparicchedarūpāni pana santīti tāni aparinipphannāni paramatthato vivajjento āha ‘‘rūparūpato’’ti.
กามภเว ปน ยสฺมา เสสโอปปาติกานนฺติ เอตฺถ กิญฺจาปิ กามภเว ‘‘โอปปาติกา’’ติ วุตฺตา น สนฺติ, เยน เสสคฺคหณํ สาตฺถกํ ภเวยฺย, อณฺฑชคพฺภเสยฺยเกหิ ปน โอปปาติกสํเสทชา เสสา โหนฺตีติ เสสคฺคหณํ กตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อถ วา พฺรหฺมกายิกาทิเกหิ โอปปาติเกหิ วุเตฺตหิ เสเส สนฺธาย ‘‘เสสโอปปาติกาน’’นฺติ อาหฯ เต ปน อรูปิโนปิ สนฺตีติ ‘‘กามภเว’’ติ วุตฺตํ, อปริปุณฺณายตนานํ ปน นามรูปํ ยถาสมฺภวํ รูปมิสฺสกวิญฺญาณนิเทฺทเส วุตฺตนเยน สกฺกา ธมฺมคณนาโต วิญฺญาตุนฺติ น วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Kāmabhave pana yasmā sesaopapātikānanti ettha kiñcāpi kāmabhave ‘‘opapātikā’’ti vuttā na santi, yena sesaggahaṇaṃ sātthakaṃ bhaveyya, aṇḍajagabbhaseyyakehi pana opapātikasaṃsedajā sesā hontīti sesaggahaṇaṃ katanti veditabbaṃ. Atha vā brahmakāyikādikehi opapātikehi vuttehi sese sandhāya ‘‘sesaopapātikāna’’nti āha. Te pana arūpinopi santīti ‘‘kāmabhave’’ti vuttaṃ, aparipuṇṇāyatanānaṃ pana nāmarūpaṃ yathāsambhavaṃ rūpamissakaviññāṇaniddese vuttanayena sakkā dhammagaṇanāto viññātunti na vuttanti daṭṭhabbaṃ.
อวกํสโต เทฺว อฎฺฐกาเนว อุตุจิตฺตสมุฎฺฐานานิ โหนฺตีติ สสทฺทกาลํ สนฺธาย ‘‘อุกฺกํสโต ทฺวินฺนํ นวกาน’’นฺติ วุตฺตํฯ ปุเพฺพติ ขนฺธวิภเงฺคติ วทนฺติฯ ตตฺถ หิ ‘‘เอเกกจิตฺตกฺขเณ ติกฺขตฺตุํ อุปฺปชฺชมาน’’นฺติ วุตฺตํฯ อิเธว วา วุตฺตํ สนฺตติทฺวยาทิกํ สตฺตกปริโยสานํ สนฺธายาห ‘‘ปุเพฺพ วุตฺตํ กมฺมสมุฎฺฐานํ สตฺตติวิธ’’นฺติ, ตํ ปนุปฺปชฺชมานํ เอเกกจิตฺตกฺขเณ ติกฺขตฺตุํ อุปฺปชฺชตีติ อิมินาธิปฺปาเยน วุตฺตํ ‘‘เอเกกจิตฺตกฺขเณ ติกฺขตฺตุํ อุปฺปชฺชมาน’’นฺติฯ จตุทฺทิสา ววตฺถาปิตาติ อญฺญมญฺญสํสฎฺฐสีสา มูเลน จตูสุ ทิสาสุ ววตฺถาปิตา อญฺญมญฺญํ อาลิเงฺคตฺวา ฐิตา ภินฺนวาหนิกา วิยฯ
Avakaṃsato dve aṭṭhakāneva utucittasamuṭṭhānāni hontīti sasaddakālaṃ sandhāya ‘‘ukkaṃsato dvinnaṃ navakāna’’nti vuttaṃ. Pubbeti khandhavibhaṅgeti vadanti. Tattha hi ‘‘ekekacittakkhaṇe tikkhattuṃ uppajjamāna’’nti vuttaṃ. Idheva vā vuttaṃ santatidvayādikaṃ sattakapariyosānaṃ sandhāyāha ‘‘pubbe vuttaṃ kammasamuṭṭhānaṃ sattatividha’’nti, taṃ panuppajjamānaṃ ekekacittakkhaṇe tikkhattuṃ uppajjatīti iminādhippāyena vuttaṃ ‘‘ekekacittakkhaṇe tikkhattuṃ uppajjamāna’’nti. Catuddisā vavatthāpitāti aññamaññasaṃsaṭṭhasīsā mūlena catūsu disāsu vavatthāpitā aññamaññaṃ āliṅgetvā ṭhitā bhinnavāhanikā viya.
ปญฺจโวการภเว จ ปวตฺติยนฺติ รูปาชนกกมฺมชํ ปญฺจวิญฺญาณปฺปวตฺติกาลํ สหชาตวิญฺญาณปจฺจยญฺจ สนฺธายาหฯ ตทา หิ ตโต นามเมว โหตีติ, กมฺมวิญฺญาณปจฺจยา ปน สทาปิ อุภยํ โหตีติ สกฺกา วตฺตุํ, ปจฺฉาชาตวิญฺญาณปจฺจยา จ รูปํ อุปตฺถทฺธํ โหตีติฯ อสเญฺญสูติอาทิ กมฺมวิญฺญาณปจฺจยํ สนฺธาย วุตฺตํ, ปญฺจโวการภเว จ ปวตฺติยนฺติ ภวงฺคาทิชนกกมฺมโต อเญฺญน รูปุปฺปตฺติกาลํ นิโรธสมาปตฺติกาลํ ภวงฺคาทิอุปฺปตฺติกาลโต อญฺญกาลญฺจ สนฺธาย วุตฺตนฺติ ยุตฺตํฯ ภวงฺคาทิอุปฺปตฺติกาเล หิ ตํชนเกเนว กมฺมุนา อุปฺปชฺชมานํ รูปํ, โส จ วิปาโก กมฺมวิญฺญาณปจฺจโย โหตีติ สกฺกา วตฺตุํฯ สหชาตวิญฺญาณปจฺจยานเปกฺขมฺปิ หิ ปวตฺติยํ กเมฺมน ปวตฺตมานํ รูปํ นามญฺจ น กมฺมวิญฺญาณานเปกฺขํ โหตีติฯ สพฺพตฺถาติ ปฎิสนฺธิยํ ปวเตฺต จฯ สหชาตวิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ, กมฺมวิญฺญาณปจฺจยา จ นามรูปญฺจ ยถาสมฺภวํ โยเชตพฺพํฯ นามญฺจ รูปญฺจ นามรูปญฺจ นามรูปนฺติ เอตฺถ นามรูป-สโทฺท อตฺตโน เอกเทเสน นาม-สเทฺทน นาม-สทฺทสฺส สรูโป, รูป-สเทฺทน จ รูป-สทฺทสฺส, ตสฺมา ‘‘สรูปานํ เอกเสโส’’ติ นามรูป-สทฺทสฺส ฐานํ อิตเรสญฺจ นามรูป-สทฺทานํ อทสฺสนํ ทฎฺฐพฺพํฯ
Pañcavokārabhave ca pavattiyanti rūpājanakakammajaṃ pañcaviññāṇappavattikālaṃ sahajātaviññāṇapaccayañca sandhāyāha. Tadā hi tato nāmameva hotīti, kammaviññāṇapaccayā pana sadāpi ubhayaṃ hotīti sakkā vattuṃ, pacchājātaviññāṇapaccayā ca rūpaṃ upatthaddhaṃ hotīti. Asaññesūtiādi kammaviññāṇapaccayaṃ sandhāya vuttaṃ, pañcavokārabhave ca pavattiyanti bhavaṅgādijanakakammato aññena rūpuppattikālaṃ nirodhasamāpattikālaṃ bhavaṅgādiuppattikālato aññakālañca sandhāya vuttanti yuttaṃ. Bhavaṅgādiuppattikāle hi taṃjanakeneva kammunā uppajjamānaṃ rūpaṃ, so ca vipāko kammaviññāṇapaccayo hotīti sakkā vattuṃ. Sahajātaviññāṇapaccayānapekkhampi hi pavattiyaṃ kammena pavattamānaṃ rūpaṃ nāmañca na kammaviññāṇānapekkhaṃ hotīti. Sabbatthāti paṭisandhiyaṃ pavatte ca. Sahajātaviññāṇapaccayā nāmarūpaṃ, kammaviññāṇapaccayā ca nāmarūpañca yathāsambhavaṃ yojetabbaṃ. Nāmañcarūpañca nāmarūpañca nāmarūpanti ettha nāmarūpa-saddo attano ekadesena nāma-saddena nāma-saddassa sarūpo, rūpa-saddena ca rūpa-saddassa, tasmā ‘‘sarūpānaṃ ekaseso’’ti nāmarūpa-saddassa ṭhānaṃ itaresañca nāmarūpa-saddānaṃ adassanaṃ daṭṭhabbaṃ.
วิปากโต อญฺญํ อวิปากํฯ ยโต ทฺวิธา มตํ, ตโต ยุตฺตเมว อิทนฺติ โยเชตพฺพํฯ กุสลาทิจิตฺตกฺขเณติ อาทิ-สเทฺทน อกุสลกิริยจิตฺตกฺขเณ วิย วิปากจิตฺตกฺขเณปิ วิปากาชนกกมฺมสมุฎฺฐานํ สงฺคหิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ วิปากจิตฺตกฺขเณ ปน อภิสงฺขารวิญฺญาณปจฺจยา ปุเพฺพ วุตฺตนเยน อุภยญฺจ อุปลพฺภตีติ ตาทิสวิปากจิตฺตกฺขณวชฺชนตฺถํ ‘‘กุสลาทิจิตฺตกฺขเณ’’ติ วุตฺตํฯ
Vipākato aññaṃ avipākaṃ. Yato dvidhā mataṃ, tato yuttameva idanti yojetabbaṃ. Kusalādicittakkhaṇeti ādi-saddena akusalakiriyacittakkhaṇe viya vipākacittakkhaṇepi vipākājanakakammasamuṭṭhānaṃ saṅgahitanti veditabbaṃ. Vipākacittakkhaṇe pana abhisaṅkhāraviññāṇapaccayā pubbe vuttanayena ubhayañca upalabbhatīti tādisavipākacittakkhaṇavajjanatthaṃ ‘‘kusalādicittakkhaṇe’’ti vuttaṃ.
สุตฺตนฺติกปริยาเยนาติ ปฎฺฐาเน รูปานํ อุปนิสฺสยปจฺจยสฺส อวุตฺตตฺตา วุตฺตํ, สุตฺตเนฺต ปน ‘‘ยสฺมิํ สติ ยํ โหติ, อสติ จ น โหติ, โส ตสฺส อุปนิสฺสโย นิทานํ เหตุ ปภโว’’ติ กตฺวา ‘‘วิญฺญาณูปนิสํ นามรูป’’นฺติ รูปสฺส จ วิญฺญาณูปนิสฺสยตา วุตฺตาฯ วนปตฺถปริยาเย จ วนสณฺฑคามนิคมนครชนปทปุคฺคลูปนิสฺสโย อิริยาปถวิหาโร, ตโต จ จีวราทีนํ ชีวิตปริกฺขารานํ กสิเรน จ อปฺปกสิเรน จ สมุทาคมนํ วุตฺตํ, น จ วนสณฺฑาทโย อารมฺมณูปนิสฺสยาทิภาวํ อิริยาปถานํ จีวราทิสมุทาคมนสฺส จ ภชนฺติ, ตสฺมา วินา อภาโว เอว จ สุตฺตนฺตปริยายโต อุปนิสฺสยภาโว ทฎฺฐโพฺพฯ นามสฺส อภิสงฺขารวิญฺญาณํ กมฺมารมฺมณปฎิสนฺธิอาทิกาเล อารมฺมณปจฺจโยว โหตีติ วตฺตพฺพเมว นตฺถีติ รูปเสฺสว สุตฺตนฺติกปริยายโต เอกธา ปจฺจยภาโว วุโตฺตฯ สสํสยสฺส หิ รูปสฺส ตํปจฺจโย โหตีติ วุเตฺต นามสฺส โหตีติ วตฺตพฺพเมว นตฺถีติฯ
Suttantikapariyāyenāti paṭṭhāne rūpānaṃ upanissayapaccayassa avuttattā vuttaṃ, suttante pana ‘‘yasmiṃ sati yaṃ hoti, asati ca na hoti, so tassa upanissayo nidānaṃ hetu pabhavo’’ti katvā ‘‘viññāṇūpanisaṃ nāmarūpa’’nti rūpassa ca viññāṇūpanissayatā vuttā. Vanapatthapariyāye ca vanasaṇḍagāmanigamanagarajanapadapuggalūpanissayo iriyāpathavihāro, tato ca cīvarādīnaṃ jīvitaparikkhārānaṃ kasirena ca appakasirena ca samudāgamanaṃ vuttaṃ, na ca vanasaṇḍādayo ārammaṇūpanissayādibhāvaṃ iriyāpathānaṃ cīvarādisamudāgamanassa ca bhajanti, tasmā vinā abhāvo eva ca suttantapariyāyato upanissayabhāvo daṭṭhabbo. Nāmassa abhisaṅkhāraviññāṇaṃ kammārammaṇapaṭisandhiādikāle ārammaṇapaccayova hotīti vattabbameva natthīti rūpasseva suttantikapariyāyato ekadhā paccayabhāvo vutto. Sasaṃsayassa hi rūpassa taṃpaccayo hotīti vutte nāmassa hotīti vattabbameva natthīti.
ปวตฺตสฺส ปากฎตฺตา อปากฎํ ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา ปุจฺฉติ ‘‘กถํ ปเนต’’นฺติอาทินาฯ สุตฺตโต นามํ, ยุตฺติโต รูปํ วิญฺญาณปจฺจยา โหตีติ ชานิตพฺพํฯ ยุตฺติโต สาเธตฺวา สุเตฺตน ตํ ทฬฺหํ กโรโนฺต ‘‘กมฺมสมุฎฺฐานสฺสปิ หี’’ติอาทิมาหฯ จิตฺตสมุฎฺฐานเสฺสวาติ จิตฺตสมุฎฺฐานสฺส วิยฯ ยสฺมา นามรูปเมว ปวตฺตมานํ ทิสฺสติ, ตสฺมา ตเทว วทเนฺตน อนุตฺตรํ ธมฺมจกฺกํ ปวตฺติตํฯ สุญฺญตาปกาสนญฺหิ ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนนฺติ อธิปฺปาโยฯ นามรูปมตฺตตาวจเนเนว วา ปวตฺติยา ทุกฺขสจฺจมตฺตตา วุตฺตา, ทุกฺขสจฺจปฺปกาสเนน จ ตสฺส สมุทโย, ตสฺส จ นิโรโธ, นิโรธคามี จ มโคฺค ปกาสิโต เอว โหติฯ อเหตุกสฺส ทุกฺขสฺส เหตุนิโรธา, อนิรุชฺฌนกสฺส จ อภาวา, นิโรธสฺส จ อุปาเยน วินา อนธิคนฺตพฺพตฺตาติ จตุสจฺจปฺปกาสนํ ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนํ โยเชตพฺพํฯ
Pavattassa pākaṭattā apākaṭaṃ paṭisandhiṃ gahetvā pucchati ‘‘kathaṃ paneta’’ntiādinā. Suttato nāmaṃ, yuttito rūpaṃ viññāṇapaccayā hotīti jānitabbaṃ. Yuttito sādhetvā suttena taṃ daḷhaṃ karonto ‘‘kammasamuṭṭhānassapi hī’’tiādimāha. Cittasamuṭṭhānassevāti cittasamuṭṭhānassa viya. Yasmā nāmarūpameva pavattamānaṃ dissati, tasmā tadeva vadantena anuttaraṃ dhammacakkaṃ pavattitaṃ. Suññatāpakāsanañhi dhammacakkappavattananti adhippāyo. Nāmarūpamattatāvacaneneva vā pavattiyā dukkhasaccamattatā vuttā, dukkhasaccappakāsanena ca tassa samudayo, tassa ca nirodho, nirodhagāmī ca maggo pakāsito eva hoti. Ahetukassa dukkhassa hetunirodhā, anirujjhanakassa ca abhāvā, nirodhassa ca upāyena vinā anadhigantabbattāti catusaccappakāsanaṃ dhammacakkappavattanaṃ yojetabbaṃ.
นามรูปปทนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Nāmarūpapadaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.
สฬายตนปทนิเทฺทสวณฺณนา
Saḷāyatanapadaniddesavaṇṇanā
๒๒๙. นิยมโตติ จ อิทํ จตุนฺนํ ภูตานํ, ฉนฺนํ วตฺถูนํ, ชีวิตสฺส จ ยถาสมฺภวํ สหชาตนิสฺสยปุเรชาตอินฺทฺริยาทินา เอกเนฺตน สฬายตนสฺส ปวตฺตมานสฺส ปจฺจยภาวํ สนฺธาย วุตฺตํฯ รูปายตนาทีนํ ปน สหชาตนิสฺสยานุปาลนภาโว นตฺถีติ อคฺคหณํ เวทิตพฺพํฯ อารมฺมณารมฺมณปุเรชาตาทิภาโว จ เตสํ น สนฺตติปริยาปนฺนานเมว, น จ จกฺขาทีนํ วิย เอกปฺปกาเรเนวาติ อนิยมโต ปจฺจยภาโวฯ นิยมโต…เป.… ชีวิตินฺทฺริยนฺติ เอวนฺติ เอตฺถ เอวํ-สเทฺทน วา รูปายตนาทีนมฺปิ สงฺคโห เวทิตโพฺพฯ ฉฎฺฐายตนญฺจ สฬายตนญฺจ สฬายตนนฺติ เอตฺถ ยทิปิ ฉฎฺฐายตนสฬายตน-สทฺทานํ สทฺทโต สรูปตา นตฺถิ, อตฺถโต ปน สฬายตเนกเทโสว ฉฎฺฐายตนนฺติ เอกเทสสรูปตา อตฺถีติ เอกเทสสรูเปกเสโส กโตติ เวทิตโพฺพฯ อตฺถโตปิ หิ สรูปานํ เอกเทสสรูเปกเสสํ อิจฺฉนฺติ ‘‘วโงฺก จ กุฎิโล จ กุฎิลา’’ติ, ตสฺมา อตฺถโต เอกเทสสรูปานญฺจ เอกเสเสน ภวิตพฺพนฺติฯ
229. Niyamatoti ca idaṃ catunnaṃ bhūtānaṃ, channaṃ vatthūnaṃ, jīvitassa ca yathāsambhavaṃ sahajātanissayapurejātaindriyādinā ekantena saḷāyatanassa pavattamānassa paccayabhāvaṃ sandhāya vuttaṃ. Rūpāyatanādīnaṃ pana sahajātanissayānupālanabhāvo natthīti aggahaṇaṃ veditabbaṃ. Ārammaṇārammaṇapurejātādibhāvo ca tesaṃ na santatipariyāpannānameva, na ca cakkhādīnaṃ viya ekappakārenevāti aniyamato paccayabhāvo. Niyamato…pe… jīvitindriyanti evanti ettha evaṃ-saddena vā rūpāyatanādīnampi saṅgaho veditabbo. Chaṭṭhāyatanañca saḷāyatanañca saḷāyatananti ettha yadipi chaṭṭhāyatanasaḷāyatana-saddānaṃ saddato sarūpatā natthi, atthato pana saḷāyatanekadesova chaṭṭhāyatananti ekadesasarūpatā atthīti ekadesasarūpekaseso katoti veditabbo. Atthatopi hi sarūpānaṃ ekadesasarūpekasesaṃ icchanti ‘‘vaṅko ca kuṭilo ca kuṭilā’’ti, tasmā atthato ekadesasarūpānañca ekasesena bhavitabbanti.
อถ วา ฉฎฺฐายตนญฺจ มนายตนญฺจ ฉฎฺฐายตนนฺติ วา, มนายตนนฺติ วา, ฉฎฺฐายตนญฺจ ฉฎฺฐายตนญฺจ ฉฎฺฐายตนนฺติ วา, มนายตนญฺจ มนายตนญฺจ มนายตนนฺติ วา เอกเสสํ กตฺวา จกฺขาทีหิ สห ‘‘สฬายตน’’นฺติ วุตฺตนฺติ ตเมว เอกเสสํ นามมตฺตปจฺจยสฺส, นามรูปปจฺจยสฺส จ มนายตนสฺส วเสน กตํ อตฺถโต ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ฉฎฺฐายตนญฺจ สฬายตนญฺจ สฬายตนนฺติ เอวํ กเตกเสสสฺสา’’ติฯ ยถาวุโตฺตปิ หิ เอกเสโส อตฺถโต ฉฎฺฐายตนญฺจ สฬายตนญฺจาติ เอวํ กโต นาม โหตีติฯ สพฺพตฺถ จ เอกเสเส กเต เอกวจนนิเทฺทโส กเตกเสสานํ สฬายตนาทิสทฺทวจนียตาสามญฺญวเสน กโตติ ทฎฺฐโพฺพฯ อพฺยากตวาเร วกฺขตีติ กิญฺจาปิ อกุสลวาเร กุสลวาเร จ ‘‘นามปจฺจยา ฉฎฺฐายตน’’นฺติ วุตฺตํ, สุตฺตนฺตภาชนีเย ปน วิปากฉฎฺฐายตนเมว คหิตนฺติ อธิปฺปาเยน อพฺยากตวารเมว สาธกภาเวน อุทาหฎนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ ปจฺจยนเย ปน ‘‘ฉฎฺฐา โหติ ตํ อวกํสโต’’ติอาทินา อวิปากสฺสปิ ปจฺจโย อุทฺธโฎ, โส นิรวเสสํ วตฺตุกามตาย อุทฺธโฎติ เวทิตโพฺพฯ อิธ สงฺคหิตนฺติ อิธ เอกเสสนเยน สงฺคหิตํ, ตตฺถ อพฺยากตวาเร โลกิยวิปากภาชนีเย วิภตฺตนฺติ เวทิตพฺพนฺติ อธิปฺปาโยฯ
Atha vā chaṭṭhāyatanañca manāyatanañca chaṭṭhāyatananti vā, manāyatananti vā, chaṭṭhāyatanañca chaṭṭhāyatanañca chaṭṭhāyatananti vā, manāyatanañca manāyatanañca manāyatananti vā ekasesaṃ katvā cakkhādīhi saha ‘‘saḷāyatana’’nti vuttanti tameva ekasesaṃ nāmamattapaccayassa, nāmarūpapaccayassa ca manāyatanassa vasena kataṃ atthato dassento āha ‘‘chaṭṭhāyatanañca saḷāyatanañca saḷāyatananti evaṃ katekasesassā’’ti. Yathāvuttopi hi ekaseso atthato chaṭṭhāyatanañca saḷāyatanañcāti evaṃ kato nāma hotīti. Sabbattha ca ekasese kate ekavacananiddeso katekasesānaṃ saḷāyatanādisaddavacanīyatāsāmaññavasena katoti daṭṭhabbo. Abyākatavāre vakkhatīti kiñcāpi akusalavāre kusalavāre ca ‘‘nāmapaccayā chaṭṭhāyatana’’nti vuttaṃ, suttantabhājanīye pana vipākachaṭṭhāyatanameva gahitanti adhippāyena abyākatavārameva sādhakabhāvena udāhaṭanti daṭṭhabbaṃ. Paccayanaye pana ‘‘chaṭṭhā hoti taṃ avakaṃsato’’tiādinā avipākassapi paccayo uddhaṭo, so niravasesaṃ vattukāmatāya uddhaṭoti veditabbo. Idha saṅgahitanti idha ekasesanayena saṅgahitaṃ, tattha abyākatavāre lokiyavipākabhājanīye vibhattanti veditabbanti adhippāyo.
เนยฺยนฺติ เญยฺยํฯ อุกฺกํสาวกํโสติ เอตฺถ สตฺตธา ปจฺจยภาวโต อุกฺกํโส อฎฺฐธา ปจฺจยภาโว, ตโต ปน นวธา ตโต วา ทสธาติ อยํ อุกฺกํโส, อวกํโส ปน ทสธา ปจฺจยภาวโต นวธา ปจฺจยภาโว, ตโต อฎฺฐธา, ตโต สตฺตธาติ เอวํ เวทิตโพฺพ, น ปน สตฺตธา ปจฺจยภาวโต เอว เทฺวปิ อุกฺกํสาวกํสา โยเชตพฺพา ตโต อวกํสาภาวโตติฯ
Neyyanti ñeyyaṃ. Ukkaṃsāvakaṃsoti ettha sattadhā paccayabhāvato ukkaṃso aṭṭhadhā paccayabhāvo, tato pana navadhā tato vā dasadhāti ayaṃ ukkaṃso, avakaṃso pana dasadhā paccayabhāvato navadhā paccayabhāvo, tato aṭṭhadhā, tato sattadhāti evaṃ veditabbo, na pana sattadhā paccayabhāvato eva dvepi ukkaṃsāvakaṃsā yojetabbā tato avakaṃsābhāvatoti.
หทยวตฺถุโน สหายํ หุตฺวาติ เอเตน อรูเป วิย อสหายํ นามํ น โหติ, หทยวตฺถุ จ นาเมน สห ฉฎฺฐายตนสฺส ปจฺจโย โหตีติ เอตฺตกเมว ทเสฺสติ, น ปน ยถา หทยวตฺถุ ปจฺจโย โหติ, ตถา นามมฺปีติ อยมโตฺถ อธิเปฺปโตฯ วตฺถุ หิ วิปฺปยุตฺตปจฺจโย โหติ, น นามํ, นามญฺจ วิปากเหตาทิปจฺจโย โหติ, น วตฺถูติฯ ปวเตฺต อรูปธมฺมา กมฺมชรูปสฺส ฐิติปฺปตฺตเสฺสว ปจฺจยา โหนฺติ, น อุปฺปชฺชมานสฺสาติ วิปฺปยุตฺตอตฺถิอวิคตา จ ปจฺฉาชาตวิปฺปยุตฺตาทโย เอว จกฺขาทีนํ โยเชตพฺพาฯ
Hadayavatthuno sahāyaṃ hutvāti etena arūpe viya asahāyaṃ nāmaṃ na hoti, hadayavatthu ca nāmena saha chaṭṭhāyatanassa paccayo hotīti ettakameva dasseti, na pana yathā hadayavatthu paccayo hoti, tathā nāmampīti ayamattho adhippeto. Vatthu hi vippayuttapaccayo hoti, na nāmaṃ, nāmañca vipākahetādipaccayo hoti, na vatthūti. Pavatte arūpadhammā kammajarūpassa ṭhitippattasseva paccayā honti, na uppajjamānassāti vippayuttaatthiavigatā ca pacchājātavippayuttādayo eva cakkhādīnaṃ yojetabbā.
อวเสสมนายตนสฺสาติ เอตฺถ ‘‘ปญฺจกฺขนฺธภเว ปนา’’ติ เอตสฺส อนุวตฺตมานตฺตา ปญฺจโวการภเว เอว ปวตฺตมานํ ปญฺจวิญฺญาเณหิ อวเสสมนายตนํ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ นามรูปสฺส สหชาตาทิสาธารณปจฺจยภาโว สมฺปยุตฺตาทิอสาธารณปจฺจยภาโว จ ยถาสมฺภวํ โยเชตโพฺพฯ
Avasesamanāyatanassāti ettha ‘‘pañcakkhandhabhave panā’’ti etassa anuvattamānattā pañcavokārabhave eva pavattamānaṃ pañcaviññāṇehi avasesamanāyatanaṃ vuttanti daṭṭhabbaṃ. Nāmarūpassa sahajātādisādhāraṇapaccayabhāvo sampayuttādiasādhāraṇapaccayabhāvo ca yathāsambhavaṃ yojetabbo.
สฬายตนปทนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Saḷāyatanapadaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.
ผสฺสปทนิเทฺทสวณฺณนา
Phassapadaniddesavaṇṇanā
๒๓๐. ‘‘ฉฎฺฐายตนปจฺจยา ผโสฺส’’ติ อภิธมฺมภาชนียปาฬิ อารุปฺปํ สนฺธาย วุตฺตาติ ‘‘ฉฎฺฐายตนปจฺจยา ผโสฺสติ ปาฬิอนุสารโต’’ติ อาหฯ อชฺฌตฺตนฺติ สสนฺตติปริยาปนฺนเมว คณฺหาติฯ ตญฺหิ สสนฺตติปริยาปนฺนกมฺมนิพฺพตฺตํ ตาทิสสฺส ผสฺสสฺส ปจฺจโย โหติ, รูปาทีนิ ปน พหิทฺธา อนุปาทินฺนานิ จ ผสฺสสฺส อารมฺมณํ โหนฺติ, น ตานิ จกฺขาทีนิ วิย สสนฺตติปริยาปนฺนกมฺมกิเลสนิมิตฺตปวตฺติภาเวน ผสฺสสฺส ปจฺจโยติ ปฐมาจริยวาเท น คหิตานิ, ทุติยาจริยวาเท ปน ยถา ตถา วา ปจฺจยภาเว สติ น สกฺกา วเชฺชตุนฺติ คหิตานีติฯ
230. ‘‘Chaṭṭhāyatanapaccayā phasso’’ti abhidhammabhājanīyapāḷi āruppaṃ sandhāya vuttāti ‘‘chaṭṭhāyatanapaccayā phassoti pāḷianusārato’’ti āha. Ajjhattanti sasantatipariyāpannameva gaṇhāti. Tañhi sasantatipariyāpannakammanibbattaṃ tādisassa phassassa paccayo hoti, rūpādīni pana bahiddhā anupādinnāni ca phassassa ārammaṇaṃ honti, na tāni cakkhādīni viya sasantatipariyāpannakammakilesanimittapavattibhāvena phassassa paccayoti paṭhamācariyavāde na gahitāni, dutiyācariyavāde pana yathā tathā vā paccayabhāve sati na sakkā vajjetunti gahitānīti.
ยทิ สพฺพายตเนหิ เอโก ผโสฺส สมฺภเวยฺย, ‘‘สฬายตนปจฺจยา ผโสฺส’’ติ เอกสฺส วจนํ ยุเชฺชยฺยฯ อถาปิ เอกมฺหา อายตนา สเพฺพ ผสฺสา สมฺภเวยฺยุํ, ตถาปิ สพฺพายตเนหิ สพฺพผสฺสสมฺภวโต อายตนเภเทน ผสฺสเภโท นตฺถีติ ตทเภทวเสน เอกสฺส วจนํ ยุเชฺชยฺย, ตถา ปน อสมฺภวโต น ยุตฺตนฺติ โจเทติ ‘‘น สพฺพายตเนหี’’ติอาทินาฯ อญฺญสฺสปิ วา อสมฺภวนฺตสฺส วิธานสฺส โพธนตฺถเมว ‘‘นาปิ เอกมฺหา อายตนา สเพฺพ ผสฺสา’’ติ วุตฺตํ, ‘‘น สพฺพายตเนหิ เอโก ผโสฺส สโมฺภตี’’ติ อิทเมว ปน เอกผสฺสวจนสฺส อยุตฺตทีปกํ การณนฺติ เวทิตพฺพํฯ นิทสฺสนวเสน วา เอตํ วุตฺตํ, นาปิ เอกมฺหา อายตนา สเพฺพ ผสฺสา สโมฺภนฺติ, เอวํ น สพฺพายตเนหิ เอโก ผโสฺส สโมฺภติ, ตสฺมา เอกสฺส วจนํ อยุตฺตนฺติฯ ปริหารํ ปน อเนกายตเนหิ เอกผสฺสสฺส สมฺภวโตติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ตตฺริทํ วิสฺสชฺชน’’นฺติอาทิมาหฯ เอโกปิ อเนกายตนปฺปภโว เอโกปเนกายตนปฺปภโวฯ ฉธาปจฺจยเตฺต ปญฺจวิภาวเยติ เอวํ เสเสสุปิ โยชนาฯ ตถา จาติ ปจฺจุปฺปนฺนานิ รูปาทีนิ ปจฺจุปฺปนฺนญฺจ ธมฺมายตนปริยาปนฺนํ รูปรูปํ สนฺธาย วุตฺตํฯ อารมฺมณปจฺจยมเตฺตนาติ ตํ สพฺพํ อปจฺจุปฺปนฺนํ อญฺญญฺจ ธมฺมายตนํ สนฺธาย วุตฺตํฯ
Yadi sabbāyatanehi eko phasso sambhaveyya, ‘‘saḷāyatanapaccayā phasso’’ti ekassa vacanaṃ yujjeyya. Athāpi ekamhā āyatanā sabbe phassā sambhaveyyuṃ, tathāpi sabbāyatanehi sabbaphassasambhavato āyatanabhedena phassabhedo natthīti tadabhedavasena ekassa vacanaṃ yujjeyya, tathā pana asambhavato na yuttanti codeti ‘‘na sabbāyatanehī’’tiādinā. Aññassapi vā asambhavantassa vidhānassa bodhanatthameva ‘‘nāpi ekamhā āyatanā sabbe phassā’’ti vuttaṃ, ‘‘na sabbāyatanehi eko phasso sambhotī’’ti idameva pana ekaphassavacanassa ayuttadīpakaṃ kāraṇanti veditabbaṃ. Nidassanavasena vā etaṃ vuttaṃ, nāpi ekamhā āyatanā sabbe phassā sambhonti, evaṃ na sabbāyatanehi eko phasso sambhoti, tasmā ekassa vacanaṃ ayuttanti. Parihāraṃ pana anekāyatanehi ekaphassassa sambhavatoti dassento ‘‘tatridaṃ vissajjana’’ntiādimāha. Ekopi anekāyatanappabhavo ekopanekāyatanappabhavo. Chadhāpaccayatte pañcavibhāvayeti evaṃ sesesupi yojanā. Tathā cāti paccuppannāni rūpādīni paccuppannañca dhammāyatanapariyāpannaṃ rūparūpaṃ sandhāya vuttaṃ. Ārammaṇapaccayamattenāti taṃ sabbaṃ apaccuppannaṃ aññañca dhammāyatanaṃ sandhāya vuttaṃ.
ผสฺสปทนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Phassapadaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.
เวทนาปทนิเทฺทสวณฺณนา
Vedanāpadaniddesavaṇṇanā
๒๓๑. ‘‘เสสาน’’นฺติ เอตฺถ สมฺปฎิจฺฉนสฺส จกฺขุสมฺผสฺสาทโย ปญฺจ ยทิปิ อนนฺตราทีหิปิ ปจฺจยา โหนฺติ, อนนฺตราทีนํ ปน อุปนิสฺสเย อโนฺตคธตฺตา สนฺตีรณตทารมฺมณานญฺจ สาธารณสฺส ตสฺส วเสน ‘‘เอกธา’’ติ วุตฺตํฯ
231. ‘‘Sesāna’’nti ettha sampaṭicchanassa cakkhusamphassādayo pañca yadipi anantarādīhipi paccayā honti, anantarādīnaṃ pana upanissaye antogadhattā santīraṇatadārammaṇānañca sādhāraṇassa tassa vasena ‘‘ekadhā’’ti vuttaṃ.
เตภูมกวิปากเวทนานมฺปิ สหชาตมโนสมฺผสฺสสงฺขาโต โส ผโสฺส อฎฺฐธา ปจฺจโย โหตีติ โยเชตพฺพํฯ ปจฺจยํ อนุปาทินฺนมฺปิ เกจิ อิจฺฉนฺตีติ ‘‘ยา ปนา’’ติอาทินา มโนทฺวาราวชฺชนผสฺสสฺส ปจฺจยภาโว วุโตฺต, ตญฺจ มุขมตฺตทสฺสนตฺถํ ทฎฺฐพฺพํฯ เอเตน นเยน สพฺพสฺส อนนฺตรสฺส อนานนฺตรสฺส จ ผสฺสสฺส ตสฺสา ตสฺสา วิปากเวทนาย อุปนิสฺสยตา โยเชตพฺพาติฯ
Tebhūmakavipākavedanānampi sahajātamanosamphassasaṅkhāto so phasso aṭṭhadhā paccayo hotīti yojetabbaṃ. Paccayaṃ anupādinnampi keci icchantīti ‘‘yā panā’’tiādinā manodvārāvajjanaphassassa paccayabhāvo vutto, tañca mukhamattadassanatthaṃ daṭṭhabbaṃ. Etena nayena sabbassa anantarassa anānantarassa ca phassassa tassā tassā vipākavedanāya upanissayatā yojetabbāti.
เวทนาปทนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Vedanāpadaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.
ตณฺหาปทนิเทฺทสวณฺณนา
Taṇhāpadaniddesavaṇṇanā
๒๓๒. มมเตฺตนาติ สมฺปิยายมาเนน, อสฺสาทนตณฺหายาติ วุตฺตํ โหติฯ ตตฺถ ปุโตฺต วิย เวทนา ทฎฺฐพฺพา, ขีราทโย วิย เวทนาย ปจฺจยภูตา รูปาทโย, ขีราทิทายิกา ธาติ วิย รูปาทิฉฬารมฺมณทายกา จิตฺตการาทโย ฉฯ ตตฺถ เวโชฺช รสายโนชาวเสน ตทุปตฺถมฺภิตชีวิตวเสน จ ธมฺมารมฺมณสฺส ทายโกติ ทฎฺฐโพฺพฯ อารมฺมณปจฺจโย อุปฺปชฺชมานสฺส อารมฺมณมตฺตเมว โหติ, น อุปนิสฺสโย วิย อุปฺปาทโกติ อุปฺปาทกสฺส อุปนิสฺสยเสฺสว วเสน ‘‘เอกธาวา’’ติ วุตฺตํฯ อุปนิสฺสเยน วา อารมฺมณูปนิสฺสโย สงฺคหิโต, เตน จ อารมฺมณภาเวน ตํสภาโว อโญฺญปิ อารมฺมณภาโว ทีปิโต โหตีติ อุปนิสฺสยวเสเนว ปจฺจยภาโว วุโตฺตติ เวทิตโพฺพฯ
232. Mamattenāti sampiyāyamānena, assādanataṇhāyāti vuttaṃ hoti. Tattha putto viya vedanā daṭṭhabbā, khīrādayo viya vedanāya paccayabhūtā rūpādayo, khīrādidāyikā dhāti viya rūpādichaḷārammaṇadāyakā cittakārādayo cha. Tattha vejjo rasāyanojāvasena tadupatthambhitajīvitavasena ca dhammārammaṇassa dāyakoti daṭṭhabbo. Ārammaṇapaccayo uppajjamānassa ārammaṇamattameva hoti, na upanissayo viya uppādakoti uppādakassa upanissayasseva vasena ‘‘ekadhāvā’’ti vuttaṃ. Upanissayena vā ārammaṇūpanissayo saṅgahito, tena ca ārammaṇabhāvena taṃsabhāvo aññopi ārammaṇabhāvo dīpito hotīti upanissayavaseneva paccayabhāvo vuttoti veditabbo.
ยสฺมา วาติอาทินา น เกวลํ วิปากสุขเวทนา เอว, ติโสฺสปิ ปน เวทนา วิปากา วิเสเสน ตณฺหาย อุปนิสฺสยปจฺจโย, อวิเสเสน อิตรา จาติ ทเสฺสติฯ อุเปกฺขา ปน สนฺตตฺตา, สุขมิเจฺจว ภาสิตาติ ตสฺมา สาปิ ภิโยฺย อิจฺฉนวเสน ตณฺหาย อุปนิสฺสโยติ อธิปฺปาโย ฯ อุเปกฺขา ปน อกุสลวิปากภูตา อนิฎฺฐตฺตา ทุเกฺข อวโรเธตพฺพา, อิตรา อิฎฺฐตฺตา สุเขติ สา ทุกฺขํ วิย สุขํ วิย จ อุปนิสฺสโย โหตีติ สกฺกา วตฺตุนฺติฯ ‘‘เวทนาปจฺจยา ตณฺหา’’ติ วจเนน สพฺพสฺส เวทนาวโต ปจฺจยสฺส อตฺถิตาย ตณฺหุปฺปตฺติปฺปสเงฺค ตํนิวารณตฺถมาห ‘‘เวทนาปจฺจยา จาปี’’ติอาทิฯ
Yasmā vātiādinā na kevalaṃ vipākasukhavedanā eva, tissopi pana vedanā vipākā visesena taṇhāya upanissayapaccayo, avisesena itarā cāti dasseti. Upekkhā pana santattā, sukhamicceva bhāsitāti tasmā sāpi bhiyyo icchanavasena taṇhāya upanissayoti adhippāyo . Upekkhā pana akusalavipākabhūtā aniṭṭhattā dukkhe avarodhetabbā, itarā iṭṭhattā sukheti sā dukkhaṃ viya sukhaṃ viya ca upanissayo hotīti sakkā vattunti. ‘‘Vedanāpaccayā taṇhā’’ti vacanena sabbassa vedanāvato paccayassa atthitāya taṇhuppattippasaṅge taṃnivāraṇatthamāha ‘‘vedanāpaccayā cāpī’’tiādi.
นนุ ‘‘อนุสยสหายา เวทนา ตณฺหาย ปจฺจโย โหตี’’ติ วจนสฺส อภาวา อติปฺปสงฺคนิวตฺตนํ น สกฺกา กาตุนฺติ? น, วฎฺฎกถาย ปวตฺตตฺตาฯ วฎฺฎสฺส หิ อนุสยวิรเห อภาวโต อนุสยสหิตาเยว ปจฺจโยติ อตฺถโต วุตฺตเมตํ โหตีติฯ อถ วา ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา’’ติ อนุวตฺตมานตฺตา อนุสยสหิตาว ปจฺจโยติ วิญฺญายติฯ ‘‘เวทนาปจฺจยา ตณฺหา’’ติ จ เอตฺถ เวทนาปจฺจยา เอว ตณฺหา, น เวทนาย วินาติ อยํ นิยโม วิญฺญายติ, น เวทนาปจฺจยา ตณฺหา โหติ เอวาติ, ตสฺมา อติปฺปสโงฺค นตฺถิ เอวาติฯ
Nanu ‘‘anusayasahāyā vedanā taṇhāya paccayo hotī’’ti vacanassa abhāvā atippasaṅganivattanaṃ na sakkā kātunti? Na, vaṭṭakathāya pavattattā. Vaṭṭassa hi anusayavirahe abhāvato anusayasahitāyeva paccayoti atthato vuttametaṃ hotīti. Atha vā ‘‘avijjāpaccayā’’ti anuvattamānattā anusayasahitāva paccayoti viññāyati. ‘‘Vedanāpaccayā taṇhā’’ti ca ettha vedanāpaccayā eva taṇhā, na vedanāya vināti ayaṃ niyamo viññāyati, na vedanāpaccayā taṇhā hoti evāti, tasmā atippasaṅgo natthi evāti.
วุสีมโตติ วุสิตวโต, วุสิตพฺรหฺมจริยวาสสฺสาติ อโตฺถฯ วุสฺสตีติ วา ‘‘วุสี’’ติ มโคฺค วุจฺจติ, โส เอตสฺส วุโตฺถ อตฺถีติ วุสีมาฯ อคฺคผลํ วา ปรินิฎฺฐิตวาสตฺตา ‘‘วุสี’’ติ วุจฺจติ, ตํ เอตสฺส อตฺถีติ วุสีมาฯ
Vusīmatoti vusitavato, vusitabrahmacariyavāsassāti attho. Vussatīti vā ‘‘vusī’’ti maggo vuccati, so etassa vuttho atthīti vusīmā. Aggaphalaṃ vā pariniṭṭhitavāsattā ‘‘vusī’’ti vuccati, taṃ etassa atthīti vusīmā.
ตณฺหาปทนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Taṇhāpadaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.
อุปาทานปทนิเทฺทสวณฺณนา
Upādānapadaniddesavaṇṇanā
๒๓๓. สสฺสโต อตฺตาติ อิทํ ปุริมทิฎฺฐิํ อุปาทิยมานํ อุตฺตรทิฎฺฐิํ นิทเสฺสตุํ วุตฺตํฯ ยถา หิ เอสา ทิฎฺฐิ ทฬฺหีกรณวเสน ปุริมํ อุตฺตรา อุปาทิยติ, เอวํ ‘‘นตฺถิ ทินฺน’’นฺติอาทิกาปีติฯ อตฺตคฺคหณํ ปน อตฺตวาทุปาทานนฺติ น อิทํ ทิฎฺฐุปาทานทสฺสนนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ โลโก จาติ วา อตฺตคฺคหณวินิมุตฺตํ คหณํ ทิฎฺฐุปาทานภูตํ อิธ ปุริมทิฎฺฐิอุตฺตรทิฎฺฐิวจเนหิ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ‘‘ธมฺมสเงฺขปวิตฺถาเร ปน สเงฺขปโต ตณฺหาทฬฺหตฺตํ, สเงฺขปโต ทิฎฺฐิมตฺตเมว, วิตฺถารโต ปนา’’ติ เอวํ ธมฺมสเงฺขปวิตฺถารโต สเงฺขปํ วิตฺถารญฺจ นิทฺธาเรตีติฯ ธมฺมสเงฺขปวิตฺถาเรติ นิทฺธารเณ ภุมฺมํ ทฎฺฐพฺพํฯ
233. Sassato attāti idaṃ purimadiṭṭhiṃ upādiyamānaṃ uttaradiṭṭhiṃ nidassetuṃ vuttaṃ. Yathā hi esā diṭṭhi daḷhīkaraṇavasena purimaṃ uttarā upādiyati, evaṃ ‘‘natthi dinna’’ntiādikāpīti. Attaggahaṇaṃ pana attavādupādānanti na idaṃ diṭṭhupādānadassananti daṭṭhabbaṃ. Loko cāti vā attaggahaṇavinimuttaṃ gahaṇaṃ diṭṭhupādānabhūtaṃ idha purimadiṭṭhiuttaradiṭṭhivacanehi vuttanti veditabbaṃ. ‘‘Dhammasaṅkhepavitthāre pana saṅkhepato taṇhādaḷhattaṃ, saṅkhepato diṭṭhimattameva, vitthārato panā’’ti evaṃ dhammasaṅkhepavitthārato saṅkhepaṃ vitthārañca niddhāretīti. Dhammasaṅkhepavitthāreti niddhāraṇe bhummaṃ daṭṭhabbaṃ.
ปกติอณุอาทีนํ สสฺสตคาหปุพฺพงฺคโม, สรีรสฺส อุเจฺฉทคฺคาหปุพฺพงฺคโม จ เตสํ สามิภูโต โกจิ สสฺสโต อุจฺฉิชฺชมาโน วา อตฺตา อตฺถีติ อตฺตคฺคาโห กทาจิ โหตีติ ‘‘เยภุเยฺยนา’’ติ วุตฺตํฯ เยภุเยฺยน ปฐมํ อตฺตวาทุปาทานนฺติอาทินา วา สมฺพโนฺธฯ
Pakatiaṇuādīnaṃ sassatagāhapubbaṅgamo, sarīrassa ucchedaggāhapubbaṅgamo ca tesaṃ sāmibhūto koci sassato ucchijjamāno vā attā atthīti attaggāho kadāci hotīti ‘‘yebhuyyenā’’ti vuttaṃ. Yebhuyyena paṭhamaṃ attavādupādānantiādinā vā sambandho.
ยทิปิ ภวราคชวนวีถิ สพฺพปฐมํ ปวตฺตติ คหิตปฺปฎิสนฺธิกสฺส ภวนิกนฺติยา ปวตฺติตพฺพตฺตา, โส ปน ภวราโค ตณฺหาทฬฺหตฺตํ น โหตีติ มญฺญมาโน น กามุปาทานสฺส ปฐมุปฺปตฺติมาหฯ ตณฺหา กามุปาทานนฺติ ปน วิภาคสฺส อกรเณ สพฺพาปิ ตณฺหา กามุปาทานนฺติ, กรเณปิ กามราคโต อญฺญาปิ ตณฺหา ทฬฺหภาวํ ปตฺตา กามุปาทานนฺติ ตสฺส อรหตฺตมคฺควชฺฌตา วุตฺตาฯ
Yadipi bhavarāgajavanavīthi sabbapaṭhamaṃ pavattati gahitappaṭisandhikassa bhavanikantiyā pavattitabbattā, so pana bhavarāgo taṇhādaḷhattaṃ na hotīti maññamāno na kāmupādānassa paṭhamuppattimāha. Taṇhā kāmupādānanti pana vibhāgassa akaraṇe sabbāpi taṇhā kāmupādānanti, karaṇepi kāmarāgato aññāpi taṇhā daḷhabhāvaṃ pattā kāmupādānanti tassa arahattamaggavajjhatā vuttā.
อุปฺปตฺติฎฺฐานภูตา จิตฺตุปฺปาทา วิสโยฯ ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา อาลโย, ตตฺถ รมตีติ อาลยรามา , ปชาฯ เตเนว สา อาลยรามตา จ สกสนฺตาเน ปรสนฺตาเน จ ปากฎา โหตีติฯ อุปนิสฺสยวจเนน อารมฺมณานนฺตรปกตูปนิสฺสยา วุตฺตาติ อนนฺตรปจฺจยาทีนมฺปิ สงฺคโห กโต โหติฯ
Uppattiṭṭhānabhūtā cittuppādā visayo. Pañcupādānakkhandhā ālayo, tattha ramatīti ālayarāmā, pajā. Teneva sā ālayarāmatā ca sakasantāne parasantāne ca pākaṭā hotīti. Upanissayavacanena ārammaṇānantarapakatūpanissayā vuttāti anantarapaccayādīnampi saṅgaho kato hoti.
อุปาทานปทนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Upādānapadaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.
ภวปทนิเทฺทสวณฺณนา
Bhavapadaniddesavaṇṇanā
๒๓๔. ผลโวหาเรน กมฺมภโว ภโวติ วุโตฺตติ อุปปตฺติภวนิพฺพจนเมว ทฺวยสฺสปิ สาธารณํ กตฺวา วทโนฺต อาห ‘‘ภวตีติ ภโว’’ติฯ ภวํ คจฺฉตีติ นิปฺผาทนผลวเสน อตฺตโน ปวตฺติกาเล ภวาภิมุขํ หุตฺวา ปวตฺตตีติ อโตฺถ, นิพฺพตฺตนเมว วา เอตฺถ คมนํ อธิเปฺปตํฯ
234. Phalavohārena kammabhavo bhavoti vuttoti upapattibhavanibbacanameva dvayassapi sādhāraṇaṃ katvā vadanto āha ‘‘bhavatīti bhavo’’ti. Bhavaṃ gacchatīti nipphādanaphalavasena attano pavattikāle bhavābhimukhaṃ hutvā pavattatīti attho, nibbattanameva vā ettha gamanaṃ adhippetaṃ.
สญฺญาวตํ ภโว สญฺญาภโวติ เอตฺถ วนฺตุ-สทฺทสฺส โลโป ทฎฺฐโพฺพ, ตสฺส วา อเตฺถ อการํ กตฺวา ‘‘สญฺญภโว’’ติปิ ปาโฐฯ โวกิรียติ ปสารียติ วิตฺถารียตีติ โวกาโร, โวกิรณํ วา โวกาโร, โส เอกสฺมิํ ปวตฺตตฺตา เอโก โวกาโรติ วุโตฺต, ปเทสปสฎุปฺปตฺตีติ อโตฺถฯ
Saññāvataṃ bhavo saññābhavoti ettha vantu-saddassa lopo daṭṭhabbo, tassa vā atthe akāraṃ katvā ‘‘saññabhavo’’tipi pāṭho. Vokirīyati pasārīyati vitthārīyatīti vokāro, vokiraṇaṃ vā vokāro, so ekasmiṃ pavattattā eko vokāroti vutto, padesapasaṭuppattīti attho.
เจตนาสมฺปยุตฺตา วา…เป.… สงฺคหิตาติ อาจยคามิตาย กมฺมสงฺขาตตํ ทเสฺสตฺวา กมฺมภเว สงฺคหิตภาวํ ปริยาเยน วทติ, นิปฺปริยาเยน ปน เจตนาว กมฺมภโวฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘กมฺมภโว ตีหิ ขเนฺธหิ เอเกนายตเนน เอกาย ธาตุยา สมฺปยุโตฺต, เอเกน ขเนฺธน เอเกนายตเนน เอกาย ธาตุยา เกหิจิ สมฺปยุโตฺต’’ติ (ธาตุ. ๒๔๔)ฯ อุปปตฺติภโว ตีหิปิ ติเกหิ วุตฺตา อุปปตฺติกฺขนฺธาวฯ ยถาห ‘‘อุปปตฺติภโว กามภโว สญฺญาภโว ปญฺจโวการภโว ปญฺจหิ ขเนฺธหิ เอกาทสหายตเนหิ สตฺตรสหิ ธาตูหิ สงฺคหิโต’’ติอาทิ (ธาตุ. ๖๗)ฯ ยทิ หิ อนุปาทินฺนกานมฺปิ คหณํ สิยา, ‘‘ทฺวาทสหายตเนหิ อฎฺฐารสหิ ธาตูหี’’ติ วตฺตพฺพํ สิยาติฯ
Cetanāsampayuttāvā…pe… saṅgahitāti ācayagāmitāya kammasaṅkhātataṃ dassetvā kammabhave saṅgahitabhāvaṃ pariyāyena vadati, nippariyāyena pana cetanāva kammabhavo. Vuttañhi ‘‘kammabhavo tīhi khandhehi ekenāyatanena ekāya dhātuyā sampayutto, ekena khandhena ekenāyatanena ekāya dhātuyā kehici sampayutto’’ti (dhātu. 244). Upapattibhavo tīhipi tikehi vuttā upapattikkhandhāva. Yathāha ‘‘upapattibhavo kāmabhavo saññābhavo pañcavokārabhavo pañcahi khandhehi ekādasahāyatanehi sattarasahi dhātūhi saṅgahito’’tiādi (dhātu. 67). Yadi hi anupādinnakānampi gahaṇaṃ siyā, ‘‘dvādasahāyatanehi aṭṭhārasahi dhātūhī’’ti vattabbaṃ siyāti.
สงฺขารภวานํ ธมฺมเภทโต น สงฺขารา เอว ปุน วุตฺตาติ ‘‘สาตฺถกเมวิทํ ปุนวจน’’นฺติ เอตํ น ยุตฺตนฺติ เจ? น, ภเวกเทสภาเวน สงฺขารานํ ภโวติ ปุน วุตฺตตฺตาฯ ปเรน วา ธมฺมวิเสสํ อคเณตฺวา ปุนวจนํ โจทิตนฺติ โจทกาภิลาสวเสน ‘‘สาตฺถกเมวิทํ ปุนวจน’’นฺติ วุตฺตํฯ
Saṅkhārabhavānaṃ dhammabhedato na saṅkhārā eva puna vuttāti ‘‘sātthakamevidaṃ punavacana’’nti etaṃ na yuttanti ce? Na, bhavekadesabhāvena saṅkhārānaṃ bhavoti puna vuttattā. Parena vā dhammavisesaṃ agaṇetvā punavacanaṃ coditanti codakābhilāsavasena ‘‘sātthakamevidaṃ punavacana’’nti vuttaṃ.
กามภวาทินิพฺพตฺตนกสฺส กมฺมสฺส กามภวาทิภาโว ผลโวหาเรน อฎฺฐกถายํ วุโตฺตฯ อโนฺตคเธ วิสุํ อคเณตฺวา อพฺภนฺตรคเต เอว กตฺวา กามภวาทิเก กมฺมุปปตฺติภววเสน ทุคุเณ กตฺวา อาห ‘‘ฉ ภวา’’ติฯ
Kāmabhavādinibbattanakassa kammassa kāmabhavādibhāvo phalavohārena aṭṭhakathāyaṃ vutto. Antogadhe visuṃ agaṇetvā abbhantaragate eva katvā kāmabhavādike kammupapattibhavavasena duguṇe katvā āha ‘‘cha bhavā’’ti.
อวิเสเสนาติ อุปาทานเภทํ อกตฺวาติ อโตฺถฯ อุปาทานเภทากรเณเนว จ ทฺวาทสปฺปเภทสฺส สงฺคหวเสน สงฺคหโต ‘‘ฉ ภวา’’ติ วุตฺตํฯ
Avisesenāti upādānabhedaṃ akatvāti attho. Upādānabhedākaraṇeneva ca dvādasappabhedassa saṅgahavasena saṅgahato ‘‘cha bhavā’’ti vuttaṃ.
โคสีเลน กุกฺกุรสีเลน จ สมเตฺตน สมาทิเนฺนน คุนฺนํ กุกฺกุรานญฺจ สหพฺยตา วุตฺตาติ สีลพฺพตุปาทานวโต ฌานภาวนา น อิชฺฌตีติ มญฺญมานา เตน รูปารูปภวา น โหนฺตีติ เกจิ วทนฺติ, วกฺขมาเนน ปน ปกาเรน ปจฺจยภาวโต ‘‘ตํ น คเหตพฺพ’’นฺติ อาหฯ อสุทฺธิมเคฺค จ สุทฺธิมคฺคปรามสนํ สีลพฺพตุปาทานนฺติ สุทฺธิมคฺคปรามสเนน รูปารูปาวจรชฺฌานานํ นิพฺพตฺตนํ น ยุชฺชตีติฯ ปุราณภารตสีตาหรณปสุพนฺธวิธิอาทิสวนํ อสทฺธมฺมสวนํฯ อาทิ-สเทฺทน อสปฺปุริสูปนิสฺสยํ ปุเพฺพ จ อกตปุญฺญตํ อตฺตมิจฺฉาปณิธิตญฺจ สงฺคณฺหาติฯ ตทโนฺตคธา เอวาติ ตสฺมิํ ทุจฺจริตนิพฺพเตฺต สุจริตนิพฺพเตฺต จ กามภเว อโนฺตคธา เอวาติ อโตฺถฯ
Gosīlena kukkurasīlena ca samattena samādinnena gunnaṃ kukkurānañca sahabyatā vuttāti sīlabbatupādānavato jhānabhāvanā na ijjhatīti maññamānā tena rūpārūpabhavā na hontīti keci vadanti, vakkhamānena pana pakārena paccayabhāvato ‘‘taṃ na gahetabba’’nti āha. Asuddhimagge ca suddhimaggaparāmasanaṃ sīlabbatupādānanti suddhimaggaparāmasanena rūpārūpāvacarajjhānānaṃ nibbattanaṃ na yujjatīti. Purāṇabhāratasītāharaṇapasubandhavidhiādisavanaṃ asaddhammasavanaṃ. Ādi-saddena asappurisūpanissayaṃ pubbe ca akatapuññataṃ attamicchāpaṇidhitañca saṅgaṇhāti. Tadantogadhā evāti tasmiṃ duccaritanibbatte sucaritanibbatte ca kāmabhave antogadhā evāti attho.
อโนฺตคธาติ จ สญฺญาภวปญฺจโวการภวานํ เอกเทเสน อโนฺตคธตฺตา วุตฺตํฯ น หิ เต นิรวเสสา กามภเว อโนฺตคธาติฯ สปฺปเภทสฺสาติ สุคติทุคฺคติมนุสฺสาทิปฺปเภทวโตฯ กเมน จ อวตฺวา สีลพฺพตุปาทานสฺส อเนฺต ภวปจฺจยภาววจนํ อตฺตวาทุปาทานํ วิย อภิณฺหํ อสมุทาจรณโต อตฺตวาทุปาทานนิมิตฺตตฺตา จฯ
Antogadhāti ca saññābhavapañcavokārabhavānaṃ ekadesena antogadhattā vuttaṃ. Na hi te niravasesā kāmabhave antogadhāti. Sappabhedassāti sugatiduggatimanussādippabhedavato. Kamena ca avatvā sīlabbatupādānassa ante bhavapaccayabhāvavacanaṃ attavādupādānaṃ viya abhiṇhaṃ asamudācaraṇato attavādupādānanimittattā ca.
เหตุปจฺจยปฺปเภเทหีติ เอตฺถ มคฺคปจฺจโย จ วตฺตโพฺพฯ ทิฎฺฐุปาทานาทีนิ หิ มคฺคปจฺจยา โหนฺตีติฯ
Hetupaccayappabhedehīti ettha maggapaccayo ca vattabbo. Diṭṭhupādānādīni hi maggapaccayā hontīti.
ภวปทนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Bhavapadaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.
ชาติชรามรณาทิปทนิเทฺทสวณฺณนา
Jātijarāmaraṇādipadaniddesavaṇṇanā
๒๓๕. อุปปตฺติภวุปฺปตฺติเยว ชาตีติ อาห ‘‘น อุปปตฺติภโว’’ติฯ ชายมานสฺส ปน ชาติ ชาตีติ อุปปตฺติภโวปิ อสติ อภาวา ชาติยา ปจฺจโยติ สกฺกา วตฺตุํฯ ชายมานรูปปทฎฺฐานตาปิ หิ รูปชาติยา วุตฺตา ‘‘อุปจิตรูปปทฎฺฐาโน (ธ. ส. อฎฺฐ. ๖๔๑) อุปจโย, อนุปฺปพนฺธรูปปทฎฺฐานา สนฺตตี’’ติฯ
235. Upapattibhavuppattiyeva jātīti āha ‘‘na upapattibhavo’’ti. Jāyamānassa pana jāti jātīti upapattibhavopi asati abhāvā jātiyā paccayoti sakkā vattuṃ. Jāyamānarūpapadaṭṭhānatāpi hi rūpajātiyā vuttā ‘‘upacitarūpapadaṭṭhāno (dha. sa. aṭṭha. 641) upacayo, anuppabandharūpapadaṭṭhānā santatī’’ti.
ขนฺธานํ ชาตานํ อุญฺญาตตานุญฺญาตตาจ หีนปณีตตาฯ อาทิ-สเทฺทน สุวณฺณทุพฺพณฺณาทิวิเสสํ สงฺคณฺหาติฯ อชฺฌตฺตสนฺตานคตโต อญฺญสฺส วิเสสการกสฺส การณสฺส อภาวา ‘‘อชฺฌตฺตสนฺตาเน’’ติ อาหฯ
Khandhānaṃ jātānaṃ uññātatānuññātatāca hīnapaṇītatā. Ādi-saddena suvaṇṇadubbaṇṇādivisesaṃ saṅgaṇhāti. Ajjhattasantānagatato aññassa visesakārakassa kāraṇassa abhāvā ‘‘ajjhattasantāne’’ti āha.
เตน เตนาติ ญาติพฺยสนาทินา ชรามรณโต อเญฺญน ทุกฺขธเมฺมนฯ อุปนิสฺสยโกฎิยาติ อุปนิสฺสยํเสน, อุปนิสฺสยเลเสนาติ อโตฺถฯ โย หิ ปฎฺฐาเน อนาคโต สติ ภาวา อสติ จ อภาวา สุตฺตนฺติกปริยาเยน อุปนิสฺสโย, โส ‘‘อุปนิสฺสยโกฎี’’ติ วุจฺจติฯ
Tena tenāti ñātibyasanādinā jarāmaraṇato aññena dukkhadhammena. Upanissayakoṭiyāti upanissayaṃsena, upanissayalesenāti attho. Yo hi paṭṭhāne anāgato sati bhāvā asati ca abhāvā suttantikapariyāyena upanissayo, so ‘‘upanissayakoṭī’’ti vuccati.
ชาติชรามรณาทิปทนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Jātijarāmaraṇādipadaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.
ภวจกฺกกถาวณฺณนา
Bhavacakkakathāvaṇṇanā
๒๔๒. สมิตนฺติ สงฺคตํ, อโพฺพจฺฉินฺนนฺติ อโตฺถฯ กามยานสฺสาติ กามยมานสฺส, กาโม ยานํ เอตสฺสาติ วา กามยาโน, ตสฺส กามยานสฺสฯ รุปฺปตีติ โสเกน รุปฺปติฯ
242. Samitanti saṅgataṃ, abbocchinnanti attho. Kāmayānassāti kāmayamānassa, kāmo yānaṃ etassāti vā kāmayāno, tassa kāmayānassa. Ruppatīti sokena ruppati.
ปริยุฎฺฐานตาย ติฎฺฐนสีโล ปริยุฎฺฐานฎฺฐายีฯ ‘‘ปริยุฎฺฐฎฺฐายิโน’’ติ วา ปาโฐ, ตตฺถ ปริยุฎฺฐาตีติ ปริยุฎฺฐํ, ทิฎฺฐิปริยุฎฺฐํ, เตน ติฎฺฐตีติ ปริยุฎฺฐฎฺฐายีติ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ปญฺจ ปุพฺพนิมิตฺตานีติ ‘‘มาลา มิลายนฺติ, วตฺถานิ กิลิสฺสนฺติ, กเจฺฉหิ เสทา มุจฺจนฺติ, กาเย เววณฺณิยํ โอกฺกมติ, เทโว เทวาสเน นาภิรมตี’’ติ (อิติวุ. ๘๓) วุตฺตานิ ปญฺจ มรณปุพฺพนิมิตฺตานีติ อโตฺถฯ ตานิ หิ ทิสฺวา กมฺมนิพฺพตฺตกฺขนฺธสงฺขาเต อุปปตฺติภเว ภวฉนฺทพเลน เทวานํ พลวโสโก อุปฺปชฺชตีติฯ พาโลติ อวิทฺวาฯ เตน อวิชฺชาย การณภาวํ ทเสฺสติฯ ติวิธนฺติ ตสฺสารุปฺปกถาสวนกมฺมการณาทสฺสนมรณกาลกโมฺมปฎฺฐานนิทานํ โสกาทิทุกฺขํฯ อาสเว สาเธนฺตีติ อาสเว คเมนฺติ โพเธนฺตีติ อโตฺถฯ
Pariyuṭṭhānatāya tiṭṭhanasīlo pariyuṭṭhānaṭṭhāyī. ‘‘Pariyuṭṭhaṭṭhāyino’’ti vā pāṭho, tattha pariyuṭṭhātīti pariyuṭṭhaṃ, diṭṭhipariyuṭṭhaṃ, tena tiṭṭhatīti pariyuṭṭhaṭṭhāyīti attho daṭṭhabbo. Pañca pubbanimittānīti ‘‘mālā milāyanti, vatthāni kilissanti, kacchehi sedā muccanti, kāye vevaṇṇiyaṃ okkamati, devo devāsane nābhiramatī’’ti (itivu. 83) vuttāni pañca maraṇapubbanimittānīti attho. Tāni hi disvā kammanibbattakkhandhasaṅkhāte upapattibhave bhavachandabalena devānaṃ balavasoko uppajjatīti. Bāloti avidvā. Tena avijjāya kāraṇabhāvaṃ dasseti. Tividhanti tassāruppakathāsavanakammakāraṇādassanamaraṇakālakammopaṭṭhānanidānaṃ sokādidukkhaṃ. Āsave sādhentīti āsave gamenti bodhentīti attho.
เอวํ สตีติ อวิทิตาทิตาย อนาทิภาเว สติฯ อาทิมตฺตกถนนฺติอาทิ เอตสฺส อตฺถีติ อาทิมํ, ภวจกฺกํฯ ตสฺส ภาโว อาทิมตฺตํ, ตสฺส กถนํ อาทิมตฺตกถนํฯ วิเสสนิวตฺติอโตฺถ วา มตฺต-สโทฺท, สติ อนาทิภาเว อวิชฺชา อาทิมฺหิ มเชฺฌ ปริโยสาเน จ สพฺพตฺถ สิยาติ อาทิมตฺตาย อวิชฺชาย กถนํ วิรุชฺฌตีติ อโตฺถฯ อวิชฺชาคฺคหเณนาติ อวิชฺชาย อุปฺปาทเนน กถเนน, อปฺปหาเนน วา, อตฺตโน สนฺตาเน สนฺนิหิตภาวกรเณนาติ อโตฺถฯ กมฺมาทีนีติ กมฺมวิปากวฎฺฎานิฯ วฎฺฎการณภาเวน ปธานตฺตา ‘‘ปธานธโมฺม’’ติ อวิชฺชา กถิตาฯ วทตีติ วโทฯ เวเทติ, เวทิยตีติ วา เวเทโยฺย, สุขาทิํ อนุภวติ, สพฺพวิสเย วา ชานาติ, ‘‘สุขิโต’’ติอาทินา อตฺตนา ปเรหิ จ ชานาติ ญายติ จาติ อโตฺถฯ พฺรหฺมาทินา วา อตฺตนา วาติ วา-สโทฺท จ-สทฺทโตฺถฯ เตนาห ‘‘การกเวทกรหิต’’นฺติ จ-สทฺทตฺถสมาสํฯ
Evaṃ satīti aviditāditāya anādibhāve sati. Ādimattakathanantiādi etassa atthīti ādimaṃ, bhavacakkaṃ. Tassa bhāvo ādimattaṃ, tassa kathanaṃ ādimattakathanaṃ. Visesanivattiattho vā matta-saddo, sati anādibhāve avijjā ādimhi majjhe pariyosāne ca sabbattha siyāti ādimattāya avijjāya kathanaṃ virujjhatīti attho. Avijjāggahaṇenāti avijjāya uppādanena kathanena, appahānena vā, attano santāne sannihitabhāvakaraṇenāti attho. Kammādīnīti kammavipākavaṭṭāni. Vaṭṭakāraṇabhāvena padhānattā ‘‘padhānadhammo’’ti avijjā kathitā. Vadatīti vado. Vedeti, vediyatīti vā vedeyyo, sukhādiṃ anubhavati, sabbavisaye vā jānāti, ‘‘sukhito’’tiādinā attanā parehi ca jānāti ñāyati cāti attho. Brahmādinā vā attanā vāti vā-saddo ca-saddattho. Tenāha ‘‘kārakavedakarahita’’nti ca-saddatthasamāsaṃ.
ทฺวาทสวิธสุญฺญตาสุญฺญนฺติ อวิชฺชาทีนํ ทฺวาทสวิธานํ สุญฺญตาย สุญฺญํ, จตุพฺพิธมฺปิ วา สุญฺญตํ เอกํ กตฺวา ทฺวาทสงฺคตาย ทฺวาทสวิธาติ ตาย ทฺวาทสวิธาย สุญฺญตาย สุญฺญนฺติ อโตฺถฯ
Dvādasavidhasuññatāsuññanti avijjādīnaṃ dvādasavidhānaṃ suññatāya suññaṃ, catubbidhampi vā suññataṃ ekaṃ katvā dvādasaṅgatāya dvādasavidhāti tāya dvādasavidhāya suññatāya suññanti attho.
ปุพฺพนฺตาหรณโตติ ปุพฺพนฺตโต ปจฺจุปฺปนฺนวิปากสฺส อาหรณโต ปริจฺฉินฺนเวทนาวสานํ เอตํ ภวจกฺกนฺติ อโตฺถฯ ภวจเกฺกกเทโสปิ หิ ภวจกฺกนฺติ วุจฺจติฯ เวทนา วา ตณฺหาสหายาย อวิชฺชาย ปจฺจโย โหตีติ เวทนาโต อวิชฺชา, ตโต สงฺขาราติ สมฺพชฺฌนโต เวทนาวสานํ ภวจกฺกนฺติ ยุตฺตเมตํ, เอวํ ตณฺหามูลเก จ โยเชตพฺพํฯ ทฺวินฺนมฺปิ หิ อญฺญมญฺญํ อนุปฺปเวโส โหตีติฯ อวิชฺชา ธมฺมสภาวํ ปฎิจฺฉาเทตฺวา วิปรีตาภินิเวสํ กโรนฺตี ทิฎฺฐิจริเต สํสาเร นยติ, เตสํ วา สํสารํ สงฺขาราทิปวตฺติํ นยติ ปวเตฺตตีติ ‘‘สํสารนายิกา’’ติ วุตฺตาฯ ผลุปฺปตฺติยาติ กตฺตุนิเทฺทโสฯ วิญฺญาณาทิปจฺจุปฺปนฺนผลุปฺปตฺติ หิ อิธ ทิฎฺฐา, อทิฎฺฐานญฺจ ปุริมภเว อตฺตโน เหตูนํ อวิชฺชาสงฺขารานํ ผลํ อชเนตฺวา อนุปจฺฉิชฺชนํ ปกาเสติฯ อถ วา ปุริมภวจกฺกํ ทุติเยน สมฺพนฺธํ วุตฺตนฺติ เวทนาสงฺขาตสฺส ผลสฺส อุปฺปตฺติยา ตณฺหาทีนํ เหตูนํ อนุปเจฺฉทํ ปกาเสติ, ตสฺมา ผลุปฺปตฺติยา การณภูตาย ปฐมสฺส ภวจกฺกสฺส เหตูนํ อนุปเจฺฉทปฺปกาสนโตติ อโตฺถฯ สงฺขาราทีนเมว วา ผลานํ อุปฺปตฺติยา อวิชฺชาทีนํ เหตูนํ ผลํ อชเนตฺวา อนุปเจฺฉทเมว, วิญฺญาณาทิเหตูนํ วา สงฺขาราทีนํ อนุพนฺธนเมว ปกาเสติ ปฐมํ ภวจกฺกํ, น ทุติยํ วิย ปริโยสานมฺปีติ ‘‘ผลุปฺปตฺติยา เหตูนํ อนุปเจฺฉทปฺปกาสนโต’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘วิญฺญาณปจฺจยา นามรูป’’นฺติ เอตฺถ อปริปุณฺณายตนกลลรูปํ วตฺวา ตโต อุทฺธํ ‘‘นามรูปปจฺจยา สฬายตน’’นฺติ สฬายตนปฺปวตฺติ วุตฺตาติ อาห ‘‘อนุปุพฺพปวตฺติทีปนโต’’ติฯ ‘‘ภวปจฺจยา ชาตี’’ติ เอตฺถ น อายตนานํ กเมน อุปฺปตฺติ วุตฺตาติ อาห ‘‘สหุปฺปตฺติทีปนโต’’ติฯ
Pubbantāharaṇatoti pubbantato paccuppannavipākassa āharaṇato paricchinnavedanāvasānaṃ etaṃ bhavacakkanti attho. Bhavacakkekadesopi hi bhavacakkanti vuccati. Vedanā vā taṇhāsahāyāya avijjāya paccayo hotīti vedanāto avijjā, tato saṅkhārāti sambajjhanato vedanāvasānaṃ bhavacakkanti yuttametaṃ, evaṃ taṇhāmūlake ca yojetabbaṃ. Dvinnampi hi aññamaññaṃ anuppaveso hotīti. Avijjā dhammasabhāvaṃ paṭicchādetvā viparītābhinivesaṃ karontī diṭṭhicarite saṃsāre nayati, tesaṃ vā saṃsāraṃ saṅkhārādipavattiṃ nayati pavattetīti ‘‘saṃsāranāyikā’’ti vuttā. Phaluppattiyāti kattuniddeso. Viññāṇādipaccuppannaphaluppatti hi idha diṭṭhā, adiṭṭhānañca purimabhave attano hetūnaṃ avijjāsaṅkhārānaṃ phalaṃ ajanetvā anupacchijjanaṃ pakāseti. Atha vā purimabhavacakkaṃ dutiyena sambandhaṃ vuttanti vedanāsaṅkhātassa phalassa uppattiyā taṇhādīnaṃ hetūnaṃ anupacchedaṃ pakāseti, tasmā phaluppattiyā kāraṇabhūtāya paṭhamassa bhavacakkassa hetūnaṃ anupacchedappakāsanatoti attho. Saṅkhārādīnameva vā phalānaṃ uppattiyā avijjādīnaṃ hetūnaṃ phalaṃ ajanetvā anupacchedameva, viññāṇādihetūnaṃ vā saṅkhārādīnaṃ anubandhanameva pakāseti paṭhamaṃ bhavacakkaṃ, na dutiyaṃ viya pariyosānampīti ‘‘phaluppattiyā hetūnaṃ anupacchedappakāsanato’’ti vuttaṃ. ‘‘Viññāṇapaccayā nāmarūpa’’nti ettha aparipuṇṇāyatanakalalarūpaṃ vatvā tato uddhaṃ ‘‘nāmarūpapaccayā saḷāyatana’’nti saḷāyatanappavatti vuttāti āha ‘‘anupubbapavattidīpanato’’ti. ‘‘Bhavapaccayā jātī’’ti ettha na āyatanānaṃ kamena uppatti vuttāti āha ‘‘sahuppattidīpanato’’ti.
เหตุอาทิปุพฺพกา ตโย สนฺธี เอตสฺสาติ เหตุผลเหตุปุพฺพกติสนฺธิ, ภวจกฺกํฯ เหตุผลเหตุผลวเสน จตุปฺปเภโท องฺคานํ สงฺคโห เอตสฺสาติ จตุเภทสงฺคหํฯ สรูปโต อวุตฺตาปิ ตสฺมิํ ตสฺมิํ สงฺคเห อากิรียนฺติ อวิชฺชาสงฺขาราทิคฺคหเณหิ ปกาสียนฺตีติ อาการา, อตีตเหตุอาทีนํ วา ปการา อาการาฯ กิเลสกมฺมวิปากา วิปากกิเลสกเมฺมหิ สมฺพนฺธา หุตฺวา ปุนปฺปุนํ ปริวตฺตนฺตีติ เตสุ วฎฺฎนามํ อาโรเปตฺวา ‘‘ติวฎฺฎ’’นฺติ วุตฺตํ, วเฎฺฎกเทสตฺตา วา ‘‘วฎฺฎานี’’ติ วุตฺตานิฯ
Hetuādipubbakā tayo sandhī etassāti hetuphalahetupubbakatisandhi, bhavacakkaṃ. Hetuphalahetuphalavasena catuppabhedo aṅgānaṃ saṅgaho etassāti catubhedasaṅgahaṃ. Sarūpato avuttāpi tasmiṃ tasmiṃ saṅgahe ākirīyanti avijjāsaṅkhārādiggahaṇehi pakāsīyantīti ākārā, atītahetuādīnaṃ vā pakārā ākārā. Kilesakammavipākā vipākakilesakammehi sambandhā hutvā punappunaṃ parivattantīti tesu vaṭṭanāmaṃ āropetvā ‘‘tivaṭṭa’’nti vuttaṃ, vaṭṭekadesattā vā ‘‘vaṭṭānī’’ti vuttāni.
สนฺธีนํ อาทิปริโยสานววตฺถิตาติ สนฺธีนํ ปุพฺพาปรววตฺถิตาติ อโตฺถฯ
Sandhīnaṃ ādipariyosānavavatthitāti sandhīnaṃ pubbāparavavatthitāti attho.
‘‘ยา กาจิ วา ปน เจตนา ภโว, เจตนาสมฺปยุตฺตา อายูหนสงฺขารา’’ติ อิทํ อิมิสฺสา ธมฺมฎฺฐิติญาณภาชนีเย วุตฺตาย ปฎิสมฺภิทาปาฬิยา (ปฎิ. ม. ๑.๔๗) วเสน วุตฺตํฯ เอตฺถ หิ ‘‘เจตนา ภโว’’ติ อาคตาติฯ ภวนิเทฺทเส ปน ‘‘สาตฺถโต’’ติ เอตฺถ ‘‘เจตนาว สงฺขารา, ภโว ปน เจตนาสมฺปยุตฺตาปี’’ติ วิภงฺคปาฬิยา วเสน ทสฺสิตํฯ ‘‘ตตฺถ กตโม ปุญฺญาภิสงฺขาโร? กุสลา เจตนา กามาวจรา’’ติอาทินา หิ สงฺขารานํ เจตนาภาโว วิภงฺคปาฬิยํ (วิภ. ๒๒๖) วุโตฺตติฯ ตตฺถ ปฎิสมฺภิทาปาฬิยํ ‘‘เจตนาสมฺปยุตฺตา วิปากธมฺมตฺตา สวิปาเกน อายูหนสงฺขาเตน สงฺขตาภิสงฺขรณกิเจฺจน สงฺขารา’’ติ วุตฺตาฯ วิภงฺคปาฬิยํ (วิภ. ๒๓๔) ‘‘สพฺพมฺปิ ภวคามิกมฺมํ กมฺมภโว’’ติ ภวสฺส ปจฺจยภาเวน ภวคามิภาวโต กมฺมสํสฎฺฐสหายตาย กมฺมภาวโต จ อุปปตฺติภวํ ภาเวนฺตีติ ภโวติ วุตฺตา, อุปปตฺติภวภาวนกิจฺจํ ปน เจตนาย สาติสยนฺติ ปฎิสมฺภิทาปาฬิยํ เจตนา ‘‘ภโว’’ติ วุตฺตา, ภวาภิสงฺขรณกิจฺจํ เจตนาย สาติสยนฺติ วิภงฺคปาฬิยํ ‘‘กุสลา เจตนา’’ติอาทินา เจตนา ‘‘สงฺขารา’’ติ วุตฺตา, ตสฺมา เตน เตน ปริยาเยน อุภยํ อุภยตฺถ วตฺตุํ ยุตฺตนฺติ นเตฺถตฺถ วิโรโธ ฯ คหณนฺติ กามุปาทานํ กิเจฺจนาหฯ ปรามสนนฺติ อิตรานิฯ อายูหนาวสาเนติ ตีสุปิ อตฺถวิกเปฺปสุ วุตฺตสฺส อายูหนสฺส อวสาเนฯ
‘‘Yākāci vā pana cetanā bhavo, cetanāsampayuttā āyūhanasaṅkhārā’’ti idaṃ imissā dhammaṭṭhitiñāṇabhājanīye vuttāya paṭisambhidāpāḷiyā (paṭi. ma. 1.47) vasena vuttaṃ. Ettha hi ‘‘cetanā bhavo’’ti āgatāti. Bhavaniddese pana ‘‘sātthato’’ti ettha ‘‘cetanāva saṅkhārā, bhavo pana cetanāsampayuttāpī’’ti vibhaṅgapāḷiyā vasena dassitaṃ. ‘‘Tattha katamo puññābhisaṅkhāro? Kusalā cetanā kāmāvacarā’’tiādinā hi saṅkhārānaṃ cetanābhāvo vibhaṅgapāḷiyaṃ (vibha. 226) vuttoti. Tattha paṭisambhidāpāḷiyaṃ ‘‘cetanāsampayuttā vipākadhammattā savipākena āyūhanasaṅkhātena saṅkhatābhisaṅkharaṇakiccena saṅkhārā’’ti vuttā. Vibhaṅgapāḷiyaṃ (vibha. 234) ‘‘sabbampi bhavagāmikammaṃ kammabhavo’’ti bhavassa paccayabhāvena bhavagāmibhāvato kammasaṃsaṭṭhasahāyatāya kammabhāvato ca upapattibhavaṃ bhāventīti bhavoti vuttā, upapattibhavabhāvanakiccaṃ pana cetanāya sātisayanti paṭisambhidāpāḷiyaṃ cetanā ‘‘bhavo’’ti vuttā, bhavābhisaṅkharaṇakiccaṃ cetanāya sātisayanti vibhaṅgapāḷiyaṃ ‘‘kusalā cetanā’’tiādinā cetanā ‘‘saṅkhārā’’ti vuttā, tasmā tena tena pariyāyena ubhayaṃ ubhayattha vattuṃ yuttanti natthettha virodho . Gahaṇanti kāmupādānaṃ kiccenāha. Parāmasananti itarāni. Āyūhanāvasāneti tīsupi atthavikappesu vuttassa āyūhanassa avasāne.
ทฺวีสุ อตฺถวิกเปฺปสุ วุเตฺต อายูหนสงฺขาเร ‘‘ตสฺส ปุพฺพภาคา’’ติ อาห, ตติเย วุเตฺต ‘‘ตํสมฺปยุตฺตา’’ติฯ ทหรสฺส จิตฺตปฺปวตฺติ ภวงฺคพหุลา เยภุเยฺยน ภวนฺตรชนกกมฺมายูหนสมตฺถา น โหตีติ ‘‘อิธ ปริปกฺกตฺตา อายตนาน’’นฺติ วุตฺตํฯ กมฺมกรณกาเล สโมฺมโหติ เอเตน กมฺมสฺส ปจฺจยภูตํ สโมฺมหํ ทเสฺสติ, น กมฺมสมฺปยุตฺตเมวฯ
Dvīsu atthavikappesu vutte āyūhanasaṅkhāre ‘‘tassa pubbabhāgā’’ti āha, tatiye vutte ‘‘taṃsampayuttā’’ti. Daharassa cittappavatti bhavaṅgabahulā yebhuyyena bhavantarajanakakammāyūhanasamatthā na hotīti ‘‘idha paripakkattā āyatanāna’’nti vuttaṃ. Kammakaraṇakāle sammohoti etena kammassa paccayabhūtaṃ sammohaṃ dasseti, na kammasampayuttameva.
กมฺมาเนว วิปากํ สมฺภรนฺติ วเฑฺฒนฺตีติ กมฺมสมฺภารา, กมฺมํ วา สงฺขารภวา, ตทุปการกานิ อวิชฺชาตณฺหุปาทานานิ กมฺมสมฺภารา, ปฎิสนฺธิทายโก วา ภโว กมฺมํ, ตทุปการกา ยถาวุตฺตอายูหนสงฺขารา อวิชฺชาทโย จ กมฺมสมฺภาราติ กมฺมญฺจ กมฺมสมฺภารา จ กมฺมสมฺภาราติ เอกเสสํ กตฺวา ‘‘กมฺมสมฺภารา’’ติ อาหฯ ทส ธมฺมา กมฺมนฺติ อวิชฺชาทโยปิ กมฺมสหายตาย กมฺมสริกฺขกา ตทุปการกา จาติ ‘‘กมฺม’’นฺติ วุตฺตาฯ
Kammāneva vipākaṃ sambharanti vaḍḍhentīti kammasambhārā, kammaṃ vā saṅkhārabhavā, tadupakārakāni avijjātaṇhupādānāni kammasambhārā, paṭisandhidāyako vā bhavo kammaṃ, tadupakārakā yathāvuttaāyūhanasaṅkhārā avijjādayo ca kammasambhārāti kammañca kammasambhārā ca kammasambhārāti ekasesaṃ katvā ‘‘kammasambhārā’’ti āha. Dasa dhammā kammanti avijjādayopi kammasahāyatāya kammasarikkhakā tadupakārakā cāti ‘‘kamma’’nti vuttā.
สงฺขิปฺปนฺติ เอตฺถ อวิชฺชาทโย วิญฺญาณาทโย จาติ สเงฺขโป, กมฺมํ วิปาโก จฯ กมฺมํ วิปาโกติ เอวํ สงฺขิปียตีติ วา สเงฺขโป, อวิชฺชาทโย วิญฺญาณาทโย จฯ สเงฺขปภาวสามเญฺญน ปน เอกวจนํ กตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ สเงฺขปสโทฺท วา ภาคาธิวจนนฺติ กมฺมภาโค กมฺมสเงฺขโปฯ
Saṅkhippanti ettha avijjādayo viññāṇādayo cāti saṅkhepo, kammaṃ vipāko ca. Kammaṃ vipākoti evaṃ saṅkhipīyatīti vā saṅkhepo, avijjādayo viññāṇādayo ca. Saṅkhepabhāvasāmaññena pana ekavacanaṃ katanti daṭṭhabbaṃ. Saṅkhepasaddo vā bhāgādhivacananti kammabhāgo kammasaṅkhepo.
เอวํ สมุปฺปนฺนนฺติ กมฺมโต วิปาโกฯ ตตฺถาปิ อวิชฺชาโต สงฺขาราติ เอวํ สมุปฺปนฺนํ, ติสนฺธิอาทิวเสน วา สมุปฺปนฺนํ อิทํ ภวจกฺกนฺติ อโตฺถฯ อิตฺตรนฺติ คมนธมฺมํ, วินสฺสธมฺมนฺติ อโตฺถฯ เตน อุปฺปาทวยวนฺตตาทีปเกน อนิจฺจ-สเทฺทน วิการาปตฺติทีปเกน จล-สเทฺทน จ อทีปิตํ กาลนฺตรฎฺฐายิตาปฎิเกฺขปํ ทีเปติ, อธุวนฺติ เอเตน ถิรภาวปฎิเกฺขปํ นิสฺสารตํฯ เหตู เอว สมฺภารา เหตุสมฺภาราฯ ‘‘ฐานโส เหตุโส’’ติ เอตฺถ เอวํ วุตฺตํ วา ฐานํ, อญฺญมฺปิ ตสฺส ตสฺส สาธารณํ การณํ สมฺภาโร, อสาธารณํ เหตุฯ เอวนฺติ เอวํ เหตุโต ธมฺมมตฺตสมฺภเว เหตุนิโรธา จ วฎฺฎุปเจฺฉเท ธเมฺม จ ตํนิโรธาย เทสิเต สตีติ อโตฺถฯ พฺรหฺมจริยํ อิธ พฺรหฺมจริยิธฯ สเตฺต จาติ เอตฺถ จ-สโทฺท เอวํ พฺรหฺมจริยญฺจ วิชฺชติ, สสฺสตุเจฺฉทา จ น โหนฺตีติ สมุจฺจยโตฺถฯ เอวญฺหิ เหตุอายเตฺต ธมฺมมตฺตสมฺภเว สโตฺต นุปลพฺภติ, ตสฺมิญฺจ อุปลพฺภเนฺต สสฺสโต อุเจฺฉโท วา สิยา, นุปลพฺภเนฺต ตสฺมิํ เนวุเจฺฉโท น สสฺสตนฺติ วุตฺตํ โหติฯ
Evaṃ samuppannanti kammato vipāko. Tatthāpi avijjāto saṅkhārāti evaṃ samuppannaṃ, tisandhiādivasena vā samuppannaṃ idaṃ bhavacakkanti attho. Ittaranti gamanadhammaṃ, vinassadhammanti attho. Tena uppādavayavantatādīpakena anicca-saddena vikārāpattidīpakena cala-saddena ca adīpitaṃ kālantaraṭṭhāyitāpaṭikkhepaṃ dīpeti, adhuvanti etena thirabhāvapaṭikkhepaṃ nissārataṃ. Hetū eva sambhārā hetusambhārā. ‘‘Ṭhānaso hetuso’’ti ettha evaṃ vuttaṃ vā ṭhānaṃ, aññampi tassa tassa sādhāraṇaṃ kāraṇaṃ sambhāro, asādhāraṇaṃ hetu. Evanti evaṃ hetuto dhammamattasambhave hetunirodhā ca vaṭṭupacchede dhamme ca taṃnirodhāya desite satīti attho. Brahmacariyaṃ idha brahmacariyidha. Satte cāti ettha ca-saddo evaṃ brahmacariyañca vijjati, sassatucchedā ca na hontīti samuccayattho. Evañhi hetuāyatte dhammamattasambhave satto nupalabbhati, tasmiñca upalabbhante sassato ucchedo vā siyā, nupalabbhante tasmiṃ nevucchedo na sassatanti vuttaṃ hoti.
สจฺจปฺปภวโตติ สจฺจโต, สจฺจานํ วา ปภวโตฯ กุสลากุสลํ กมฺมนฺติ วฎฺฎกถาย วตฺตมานตฺตา สาสวนฺติ วิญฺญายติฯ อวิเสเสนาติ เจตนา เจตนาสมฺปยุตฺตกาติ วิเสสํ อกตฺวา สพฺพมฺปิ ตํ กุสลากุสลํ กมฺมํ ‘‘สมุทยสจฺจ’’นฺติ วุตฺตนฺติ อโตฺถฯ ‘‘ตณฺหา จ…เป.… อวเสสา จ สาสวา กุสลา ธมฺมา’’ติ หิ เจตนาเจตนาสมฺปยุตฺตวิเสสํ อกตฺวา วุตฺตนฺติ, อริยสจฺจวิเสสํ วา อกตฺวา สมุทยสจฺจนฺติ วุตฺตนฺติ อโตฺถฯ
Saccappabhavatoti saccato, saccānaṃ vā pabhavato. Kusalākusalaṃ kammanti vaṭṭakathāya vattamānattā sāsavanti viññāyati. Avisesenāti cetanā cetanāsampayuttakāti visesaṃ akatvā sabbampi taṃ kusalākusalaṃ kammaṃ ‘‘samudayasacca’’nti vuttanti attho. ‘‘Taṇhā ca…pe… avasesā ca sāsavā kusalā dhammā’’ti hi cetanācetanāsampayuttavisesaṃ akatvā vuttanti, ariyasaccavisesaṃ vā akatvā samudayasaccanti vuttanti attho.
วตฺถูสูติ อารมฺมเณสุ, จกฺขาทีสุ วา ปฎิจฺฉาเทตเพฺพสุ วตฺถูสุฯ โสกาทีนํ อธิฎฺฐานตฺตาติ เตสํ การณตฺตา, เตหิ สิทฺธาย อวิชฺชาย สหิเตหิ สงฺขาเรหิ ปจฺจโย จ โหติ ภวนฺตรปาตุภาวายาติ อธิปฺปาโยฯ จุติจิตฺตํ วา ปฎิสนฺธิวิญฺญาณสฺส อนนฺตรปจฺจโย โหตีติ ‘‘ปจฺจโย จ โหติ ภวนฺตรปาตุภาวายา’’ติ วุตฺตํ ฯ ตํ ปน จุติจิตฺตํ อวิชฺชาสงฺขารรหิตํ ภวนฺตรสฺส ปจฺจโย น โหตีติ ตสฺส สหายทสฺสนตฺถมาห ‘‘โสกาทีนํ อธิฎฺฐานตฺตา’’ติฯ ทฺวิธาติ อตฺตโนเยว สรเสน ธมฺมนฺตรปจฺจยภาเวน จาติ ทฺวิธาฯ
Vatthūsūti ārammaṇesu, cakkhādīsu vā paṭicchādetabbesu vatthūsu. Sokādīnaṃ adhiṭṭhānattāti tesaṃ kāraṇattā, tehi siddhāya avijjāya sahitehi saṅkhārehi paccayo ca hoti bhavantarapātubhāvāyāti adhippāyo. Cuticittaṃ vā paṭisandhiviññāṇassa anantarapaccayo hotīti ‘‘paccayo ca hoti bhavantarapātubhāvāyā’’ti vuttaṃ . Taṃ pana cuticittaṃ avijjāsaṅkhārarahitaṃ bhavantarassa paccayo na hotīti tassa sahāyadassanatthamāha ‘‘sokādīnaṃ adhiṭṭhānattā’’ti. Dvidhāti attanoyeva sarasena dhammantarapaccayabhāvena cāti dvidhā.
อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขาราติ เอเตน สงฺขารานํ ปจฺจยุปฺปนฺนตาทสฺสเนน ‘‘โก นุ โข อภิสงฺขโรตีติ เอส โน กโลฺล ปโญฺห’’ติ ทเสฺสติฯ เตเนตํ การกทสฺสนนิวารณนฺติฯ เอวมาทิทสฺสนนิวารณนฺติ เอเตน ‘‘โสจติ ปริเทวติ ทุกฺขิโต’’ติอาทิทสฺสนนิวารณมาหฯ โสกาทโยปิ หิ ปจฺจยายตฺตา อวสวตฺติโนติ ‘‘ชาติปจฺจยา ชรามรณํ โสก…เป.… สมฺภวนฺตี’’ติ เอเตน วุตฺตนฺติฯ
Avijjāpaccayā saṅkhārāti etena saṅkhārānaṃ paccayuppannatādassanena ‘‘ko nu kho abhisaṅkharotīti esa no kallo pañho’’ti dasseti. Tenetaṃ kārakadassananivāraṇanti. Evamādidassananivāraṇanti etena ‘‘socati paridevati dukkhito’’tiādidassananivāraṇamāha. Sokādayopi hi paccayāyattā avasavattinoti ‘‘jātipaccayā jarāmaraṇaṃ soka…pe… sambhavantī’’ti etena vuttanti.
คณฺฑเภทปีฬกา วิยาติ คณฺฑเภทนตฺถํ ปจฺจมาเน คเณฺฑ ตสฺสปิ อุปริ ชายมานขุทฺทกปีฬกา วิย, คณฺฑสฺส วา อเนกธาเภเท ปีฬกา วิยฯ คณฺฑวิการา สูนตาสราคปุพฺพคหณาทโยฯ
Gaṇḍabhedapīḷakā viyāti gaṇḍabhedanatthaṃ paccamāne gaṇḍe tassapi upari jāyamānakhuddakapīḷakā viya, gaṇḍassa vā anekadhābhede pīḷakā viya. Gaṇḍavikārā sūnatāsarāgapubbagahaṇādayo.
ปฎลาภิภูตจกฺขุโก รูปานิ น ปสฺสติ, กิญฺจิปิ ปสฺสโนฺต จ วิปรีตํ ปสฺสติ, เอวํ อวิชฺชาภิภูโต ทุกฺขาทีนิ น ปฎิปชฺชติ น ปสฺสติ, มิจฺฉา วา ปฎิปชฺชตีติ ปฎลํ วิย อวิชฺชา , กิมินา วิย อตฺตนา กตตฺตา วฎฺฎสฺส อตฺตโนเยว ปริพฺภมนการณตฺตา จ โกสปฺปเทสา วิย สงฺขารา, สงฺขารปริคฺคหํ วินา ปติฎฺฐํ อลภมานํ วิญฺญาณํ ปริณายกปริคฺคหํ วินา ปติฎฺฐํ อลภมาโน ราชกุมาโร วิยาติ ปริคฺคเหน วินา ปติฎฺฐาลาโภ เอตฺถ สามญฺญํฯ อุปปตฺตินิมิตฺตนฺติ กมฺมาทิอารมฺมณมาหฯ ปริกปฺปนโตติ อารมฺมณกรณโต, สมฺปยุเตฺตน วา วิตเกฺกน วิตกฺกนโตฯ เทวมนุสฺสมิควิหงฺคาทิวิวิธปฺปการตาย มายา วิย นามรูปํ, ปติฎฺฐาวิเสเสน วุฑฺฒิวิเสสาปตฺติโต วนปฺปคุโมฺพ วิย สฬายตนํฯ อายตนานํ วิสยิวิสยภูตานํ อญฺญมญฺญาภิมุขภาวโต อายตนฆฎฺฎนโตฯ เอตฺถ จ สงฺขาราทีนํ โกสปฺปเทสปริณายกาทีหิ ทฺวีหิ ทฺวีหิ สทิสตาย เทฺว เทฺว อุปมา วุตฺตาติ ทฎฺฐพฺพาฯ
Paṭalābhibhūtacakkhuko rūpāni na passati, kiñcipi passanto ca viparītaṃ passati, evaṃ avijjābhibhūto dukkhādīni na paṭipajjati na passati, micchā vā paṭipajjatīti paṭalaṃ viya avijjā, kiminā viya attanā katattā vaṭṭassa attanoyeva paribbhamanakāraṇattā ca kosappadesā viya saṅkhārā, saṅkhārapariggahaṃ vinā patiṭṭhaṃ alabhamānaṃ viññāṇaṃ pariṇāyakapariggahaṃ vinā patiṭṭhaṃ alabhamāno rājakumāro viyāti pariggahena vinā patiṭṭhālābho ettha sāmaññaṃ. Upapattinimittanti kammādiārammaṇamāha. Parikappanatoti ārammaṇakaraṇato, sampayuttena vā vitakkena vitakkanato. Devamanussamigavihaṅgādivividhappakāratāya māyā viya nāmarūpaṃ, patiṭṭhāvisesena vuḍḍhivisesāpattito vanappagumbo viya saḷāyatanaṃ. Āyatanānaṃ visayivisayabhūtānaṃ aññamaññābhimukhabhāvato āyatanaghaṭṭanato. Ettha ca saṅkhārādīnaṃ kosappadesapariṇāyakādīhi dvīhi dvīhi sadisatāya dve dve upamā vuttāti daṭṭhabbā.
คมฺภีโร เอว หุตฺวา โอภาสติ ปกาสติ ทิสฺสตีติ คมฺภีราวภาโสฯ ชาติปจฺจยสมฺภูตสมุทาคตโฎฺฐติ ชาติปจฺจยา สมฺภูตํ หุตฺวา สหิตสฺส อตฺตโน ปจฺจยานุรูปสฺส อุทฺธํ อุทฺธํ อาคตภาโว, อนุปฺปพโนฺธติ อโตฺถฯ อถ วา สมฺภูตโฎฺฐ จ สมุทาคตโฎฺฐ จ สมฺภูตสมุทาคตโฎฺฐฯ ‘‘น ชาติโต ชรามรณํ น โหติ, น จ ชาติํ วินา อญฺญโต โหตี’’ติ หิ ชาติปจฺจยสมฺภูตโฎฺฐ วุโตฺตฯ อิตฺถญฺจ ชาติโต สมุทาคจฺฉตีติ ปจฺจยสมุทาคตโฎฺฐ, ยา ยา ชาติ ยถา ยถา ปจฺจโย โหติ, ตทนุรูปปาตุภาโวติ อโตฺถฯ
Gambhīro eva hutvā obhāsati pakāsati dissatīti gambhīrāvabhāso. Jātipaccayasambhūtasamudāgataṭṭhoti jātipaccayā sambhūtaṃ hutvā sahitassa attano paccayānurūpassa uddhaṃ uddhaṃ āgatabhāvo, anuppabandhoti attho. Atha vā sambhūtaṭṭho ca samudāgataṭṭho ca sambhūtasamudāgataṭṭho. ‘‘Na jātito jarāmaraṇaṃ na hoti, na ca jātiṃ vinā aññato hotī’’ti hi jātipaccayasambhūtaṭṭho vutto. Itthañca jātito samudāgacchatīti paccayasamudāgataṭṭho, yā yā jāti yathā yathā paccayo hoti, tadanurūpapātubhāvoti attho.
อนุโลมปฎิโลมโตติ อิธ ปน ปจฺจยุปฺปาทา ปจฺจยุปฺปนฺนุปฺปาทสงฺขาตํ อนุโลมํ, นิโรธา นิโรธสงฺขาตํ ปฎิโลมญฺจาหฯ อาทิโต ปน อนฺตคมนํ อนุโลมํ, อนฺตโต จ อาทิคมนํ ปฎิโลมมาหาติฯ ‘‘อิเม จตฺตาโร อาหารา กิํนิทานา’’ติอาทิกาย (สํ. นิ. ๒.๑๑) เวมชฺฌโต ปฎฺฐาย ปฎิโลมเทสนาย, ‘‘จกฺขุํ ปฎิจฺจ รูเป จ อุปฺปชฺชติ จกฺขุวิญฺญาณํ, ติณฺณํ สงฺคติ ผโสฺส, ผสฺสปจฺจยา เวทนา’’ติอาทิกาย (สํ. นิ. ๒.๔๓-๔๔; ๒.๔.๖๐) อนุโลมเทสนาย จ ทฺวิสนฺธิติสเงฺขปํ, ‘‘สํโยชนีเยสุ, ภิกฺขเว, ธเมฺมสุ อสฺสาทานุปสฺสิโน วิหรโต ตณฺหา ปวฑฺฒติ, ตณฺหาปจฺจยา อุปาทาน’’นฺติอาทีสุ (สํ. นิ. ๒.๕๓-๕๔) เอกสนฺธิทฺวิสเงฺขปํฯ
Anulomapaṭilomatoti idha pana paccayuppādā paccayuppannuppādasaṅkhātaṃ anulomaṃ, nirodhā nirodhasaṅkhātaṃ paṭilomañcāha. Ādito pana antagamanaṃ anulomaṃ, antato ca ādigamanaṃ paṭilomamāhāti. ‘‘Ime cattāro āhārā kiṃnidānā’’tiādikāya (saṃ. ni. 2.11) vemajjhato paṭṭhāya paṭilomadesanāya, ‘‘cakkhuṃ paṭicca rūpe ca uppajjati cakkhuviññāṇaṃ, tiṇṇaṃ saṅgati phasso, phassapaccayā vedanā’’tiādikāya (saṃ. ni. 2.43-44; 2.4.60) anulomadesanāya ca dvisandhitisaṅkhepaṃ, ‘‘saṃyojanīyesu, bhikkhave, dhammesu assādānupassino viharato taṇhā pavaḍḍhati, taṇhāpaccayā upādāna’’ntiādīsu (saṃ. ni. 2.53-54) ekasandhidvisaṅkhepaṃ.
อวิชฺชาทีนํ สภาโว ปฎิวิชฺฌียตีติ ปฎิเวโธฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘เตสํ เตสํ วา ตตฺถ ตตฺถ วุตฺตธมฺมานํ ปฎิวิชฺฌิตโพฺพ สลกฺขณสงฺขาโต อวิปรีตสภาโว ปฎิเวโธ’’ติ (ธ. ส. อฎฺฐ. นิทานกถา)ฯ อปุญฺญาภิสงฺขาเรกเทโส สราโค, อโญฺญ วิราโค, ราคสฺส วา อปฎิปกฺขภาวโต ราคปฺปวฑฺฒโก สโพฺพปิ อปุญฺญาภิสงฺขาโร สราโค, อิตโร ปฎิปกฺขภาวโต วิราโคฯ ‘‘ทีฆรตฺตเญฺหตํ, ภิกฺขเว, อสฺสุตวโต ปุถุชฺชนสฺส อโชฺฌสิตํ มมายิตํ ปรามฎฺฐํ ‘เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา’’ติ (สํ. นิ. ๒.๖๒) อตฺตปรามาสสฺส วิญฺญาณํ วิสิฎฺฐํ วตฺถุ วุตฺตนฺติ วิญฺญาณสฺส สุญฺญตโฎฺฐ คมฺภีโร, อตฺตา วิชานาติ สํสรตีติ สพฺยาปารตาสงฺกนฺติอภินิเวสพลวตาย อพฺยาปารฎฺฐอสงฺกนฺติปฎิสนฺธิปาตุภาวฎฺฐา จ คมฺภีรา, นามสฺส รูเปน, รูปสฺส จ นาเมน อสมฺปโยคโต วินิโพฺภโค, นามสฺส นาเมน อวินิโพฺภโค โยเชตโพฺพฯ เอกุปฺปาเทกนิโรเธหิ อวินิโพฺภเค อธิเปฺปเต รูปสฺส จ รูเปน ลพฺภติฯ อถ วา เอกจตุโวการภเวสุ นามรูปานํ อสหวตฺตนโต อญฺญมญฺญวินิโพฺภโค, ปญฺจโวการภเว สหวตฺตนโต อวินิโพฺภโค จ เวทิตโพฺพฯ
Avijjādīnaṃ sabhāvo paṭivijjhīyatīti paṭivedho. Vuttañhi ‘‘tesaṃ tesaṃ vā tattha tattha vuttadhammānaṃ paṭivijjhitabbo salakkhaṇasaṅkhāto aviparītasabhāvo paṭivedho’’ti (dha. sa. aṭṭha. nidānakathā). Apuññābhisaṅkhārekadeso sarāgo, añño virāgo, rāgassa vā apaṭipakkhabhāvato rāgappavaḍḍhako sabbopi apuññābhisaṅkhāro sarāgo, itaro paṭipakkhabhāvato virāgo. ‘‘Dīgharattañhetaṃ, bhikkhave, assutavato puthujjanassa ajjhositaṃ mamāyitaṃ parāmaṭṭhaṃ ‘etaṃ mama, esohamasmi, eso me attā’’ti (saṃ. ni. 2.62) attaparāmāsassa viññāṇaṃ visiṭṭhaṃ vatthu vuttanti viññāṇassa suññataṭṭho gambhīro, attā vijānāti saṃsaratīti sabyāpāratāsaṅkantiabhinivesabalavatāya abyāpāraṭṭhaasaṅkantipaṭisandhipātubhāvaṭṭhā ca gambhīrā, nāmassa rūpena, rūpassa ca nāmena asampayogato vinibbhogo, nāmassa nāmena avinibbhogo yojetabbo. Ekuppādekanirodhehi avinibbhoge adhippete rūpassa ca rūpena labbhati. Atha vā ekacatuvokārabhavesu nāmarūpānaṃ asahavattanato aññamaññavinibbhogo, pañcavokārabhave sahavattanato avinibbhogo ca veditabbo.
อธิปติยโฎฺฐ นาม อินฺทฺริยปจฺจยภาโวฯ ‘‘โลโกเปโส ทฺวาราเปสา เขตฺตเมฺปต’’นฺติ (ธ. ส. ๕๙๘-๕๙๙) วุตฺตา โลกาทิอตฺถา จกฺขาทีสุ ปญฺจสุ โยเชตพฺพาฯ มนายตนสฺสปิ ลุชฺชนโต มโนสมฺผสฺสาทีนํ ทฺวารเขตฺตภาวโต จ เอเต อตฺถา สมฺภวเนฺตวฯ อาปาถคตานํ รูปาทีนํ ปกาสนโยคฺยตาลกฺขณํ โอภาสนํ จกฺขาทีนํ วิสยิภาโว, มนายตนสฺส วิชานนํฯ สงฺฆฎฺฎนโฎฺฐ วิเสเสน จกฺขุสมฺผสฺสาทีนํ ปญฺจนฺนํ, อิตเร ฉนฺนมฺปิ โยเชตพฺพาฯ ผุสนญฺจ ผสฺสสฺส สภาโว, สงฺฆฎฺฎนํ รโส, อิตเร อุปฎฺฐานาการาฯ อารมฺมณรสานุภวนโฎฺฐ รสวเสน วุโตฺต, เวทยิตโฎฺฐ ลกฺขณวเสนฯ อตฺตา เวทยตีติ อภินิเวสสฺส พลวตาย นิชฺชีวโฎฺฐ เวทนาย คมฺภีโรฯ นิชฺชีวาย เวทนาย เวทยิตํ นิชฺชีวเวทยิตํ, นิชฺชีวเวทยิตเมว อโตฺถ นิชฺชีวเวทยิตโฎฺฐฯ
Adhipatiyaṭṭho nāma indriyapaccayabhāvo. ‘‘Lokopeso dvārāpesā khettampeta’’nti (dha. sa. 598-599) vuttā lokādiatthā cakkhādīsu pañcasu yojetabbā. Manāyatanassapi lujjanato manosamphassādīnaṃ dvārakhettabhāvato ca ete atthā sambhavanteva. Āpāthagatānaṃ rūpādīnaṃ pakāsanayogyatālakkhaṇaṃ obhāsanaṃ cakkhādīnaṃ visayibhāvo, manāyatanassa vijānanaṃ. Saṅghaṭṭanaṭṭho visesena cakkhusamphassādīnaṃ pañcannaṃ, itare channampi yojetabbā. Phusanañca phassassa sabhāvo, saṅghaṭṭanaṃ raso, itare upaṭṭhānākārā. Ārammaṇarasānubhavanaṭṭho rasavasena vutto, vedayitaṭṭho lakkhaṇavasena. Attā vedayatīti abhinivesassa balavatāya nijjīvaṭṭho vedanāya gambhīro. Nijjīvāya vedanāya vedayitaṃ nijjīvavedayitaṃ, nijjīvavedayitameva attho nijjīvavedayitaṭṭho.
อาทานโฎฺฐ จตุนฺนมฺปิ อุปาทานานํ สมาโน, คหณโฎฺฐ กามุปาทานสฺส, อิตเรสํ ติณฺณํ อภินิเวสาทิอโตฺถฯ ‘‘ทิฎฺฐิกนฺตาโร’’ติ หิ วจนโต ทิฎฺฐีนํ ทุรติกฺกมนโฎฺฐปีติฯ ทฬฺหคหณตฺตา วา จตุนฺนมฺปิ ทุรติกฺกมนโฎฺฐ โยเชตโพฺพฯ โยนิคติฐิตินิวาเสสุขิปนนฺติ สมาเส ภุมฺมวจนสฺส อโลโป ทฎฺฐโพฺพ, ตสฺมา เตน อายูหนาภิสงฺขรณปทานํ สมาโส โหติฯ ชรามรณงฺคํ มรณปฺปธานนฺติ มรณฎฺฐา เอว ขยาทโย คมฺภีรา ทสฺสิตาฯ นวนวานญฺหิ ปริกฺขเยน ขณฺฑิจฺจาทิปริปกฺกปฺปวตฺติ ชราติ, ขยโฎฺฐ วา ชราย วุโตฺตติ ทฎฺฐโพฺพฯ นวภาวาปคโม หิ ขโยติ วตฺตุํ ยุโตฺตติฯ วิปริณามโฎฺฐ ทฺวินฺนมฺปิฯ สนฺตติวเสน วา ชราย ขยวยภาโว, สมฺมุติขณิกวเสน มรณสฺส เภทวิปริณามตา โยเชตพฺพาฯ
Ādānaṭṭho catunnampi upādānānaṃ samāno, gahaṇaṭṭho kāmupādānassa, itaresaṃ tiṇṇaṃ abhinivesādiattho. ‘‘Diṭṭhikantāro’’ti hi vacanato diṭṭhīnaṃ duratikkamanaṭṭhopīti. Daḷhagahaṇattā vā catunnampi duratikkamanaṭṭho yojetabbo. Yonigatiṭhitinivāsesukhipananti samāse bhummavacanassa alopo daṭṭhabbo, tasmā tena āyūhanābhisaṅkharaṇapadānaṃ samāso hoti. Jarāmaraṇaṅgaṃ maraṇappadhānanti maraṇaṭṭhā eva khayādayo gambhīrā dassitā. Navanavānañhi parikkhayena khaṇḍiccādiparipakkappavatti jarāti, khayaṭṭho vā jarāya vuttoti daṭṭhabbo. Navabhāvāpagamo hi khayoti vattuṃ yuttoti. Vipariṇāmaṭṭho dvinnampi. Santativasena vā jarāya khayavayabhāvo, sammutikhaṇikavasena maraṇassa bhedavipariṇāmatā yojetabbā.
อตฺถนยาติ อตฺถานํ นยาฯ อวิชฺชาทิอเตฺถหิ เอกตฺตาที เสน ภาเวน นียนฺติ คเมฺมนฺตีติ เอกตฺตาทโย เตสํ นยาติ วุตฺตาฯ นียนฺตีติ หิ นยาติฯ อตฺถา เอว วา เอกตฺตาทิภาเวน นียมานา ญายมานา ‘‘อตฺถนยา’’ติ วุตฺตาฯ นียนฺติ เอเตหีติ วา นยา, เอกตฺตาทีหิ จ อตฺถา ‘‘เอก’’นฺติอาทินา นียนฺติ, ตสฺมา เอกตฺตาทโย อตฺถานํ นยาติ อตฺถนยาฯ สนฺตานานุปเจฺฉเทน พีชํ รุกฺขภาวํ ปตฺตํ รุกฺขภาเวน ปวตฺตนฺติ เอกเตฺตน วุจฺจตีติ สนฺตานานุปเจฺฉโท เอกตฺตํ, เอวมิธาปิ อวิชฺชาทีนํ สนฺตานานุปเจฺฉโท เอกตฺตนฺติ ทเสฺสติฯ
Atthanayāti atthānaṃ nayā. Avijjādiatthehi ekattādī sena bhāvena nīyanti gammentīti ekattādayo tesaṃ nayāti vuttā. Nīyantīti hi nayāti. Atthā eva vā ekattādibhāvena nīyamānā ñāyamānā ‘‘atthanayā’’ti vuttā. Nīyanti etehīti vā nayā, ekattādīhi ca atthā ‘‘eka’’ntiādinā nīyanti, tasmā ekattādayo atthānaṃ nayāti atthanayā. Santānānupacchedena bījaṃ rukkhabhāvaṃ pattaṃ rukkhabhāvena pavattanti ekattena vuccatīti santānānupacchedo ekattaṃ, evamidhāpi avijjādīnaṃ santānānupacchedo ekattanti dasseti.
ภินฺนสนฺตานเสฺสวาติ สมฺพนฺธรหิตสฺส นานตฺตสฺส คหณโต สตฺตนฺตโร อุจฺฉิโนฺน สตฺตนฺตโร อุปฺปโนฺนติ คณฺหโนฺต อุเจฺฉททิฎฺฐิมุปาทิยติฯ
Bhinnasantānassevāti sambandharahitassa nānattassa gahaṇato sattantaro ucchinno sattantaro uppannoti gaṇhanto ucchedadiṭṭhimupādiyati.
ยโต กุโตจีติ ยทิ อญฺญสฺมา อญฺญสฺสุปฺปตฺติ สิยา, วาลิกโต เตลสฺส, อุจฺฉุโต ขีรสฺส กสฺมา อุปฺปตฺติ น สิยา, ตสฺมา น โกจิ กสฺสจิ เหตุ อตฺถีติ อเหตุกทิฎฺฐิํ, อวิชฺชมาเนปิ เหตุมฺหิ นิยตตาย ติลคาวีสุกฺกโสณิตาทีหิ เตลขีรสรีราทีนิ ปวตฺตนฺตีติ นิยติวาทญฺจ อุปาทิยตีติ วิญฺญาตพฺพํ ยถารหํฯ
Yato kutocīti yadi aññasmā aññassuppatti siyā, vālikato telassa, ucchuto khīrassa kasmā uppatti na siyā, tasmā na koci kassaci hetu atthīti ahetukadiṭṭhiṃ, avijjamānepi hetumhi niyatatāya tilagāvīsukkasoṇitādīhi telakhīrasarīrādīni pavattantīti niyativādañca upādiyatīti viññātabbaṃ yathārahaṃ.
กสฺมา? ยสฺมา อิทญฺหิ ภวจกฺกํ อปทาเลตฺวา สํสารภยมตีโต น โกจิ สุปินนฺตเรปิ อตฺถีติ สมฺพโนฺธฯ ทุรภิยานนฺติ ทุรติกฺกมํฯ อสนิวิจกฺกมิวาติ อสนิมณฺฑลมิวฯ ตญฺหิ นิมฺมถนเมว, นานิมฺมถนํ ปวตฺตมานํ อตฺถิ, เอวํ ภวจกฺกมฺปิ เอกนฺตํ ทุกฺขุปฺปาทนโต ‘‘นิจฺจนิมฺมถน’’นฺติ วุตฺตํฯ
Kasmā? Yasmā idañhi bhavacakkaṃ apadāletvā saṃsārabhayamatīto na koci supinantarepi atthīti sambandho. Durabhiyānanti duratikkamaṃ. Asanivicakkamivāti asanimaṇḍalamiva. Tañhi nimmathanameva, nānimmathanaṃ pavattamānaṃ atthi, evaṃ bhavacakkampi ekantaṃ dukkhuppādanato ‘‘niccanimmathana’’nti vuttaṃ.
ญาณาสินา อปทาเลตฺวา สํสารภยํ อตีโต นตฺถีติ เอตสฺส สาธกํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘วุตฺตมฺปิ เจต’’นฺติอาทิฯ ตนฺตูนํ อากุลกํ ตนฺตากุลกํ, ตนฺตากุลกมิว ชาตา ตนฺตากุลกชาตา, กิเลสกมฺมวิปาเกหิ อตีว ชฎิตาติ อโตฺถฯ คุณาย สกุณิยา นีฑํ คุณาคุณฺฑิกํฯ วฑฺฒิอภาวโต อปายํ ทุกฺขคติภาวโต ทุคฺคติํ สุขสมุสฺสยโต วินิปาตตฺตา วินิปาตญฺจ จตุพฺพิธํ อปายํ, ‘‘ขนฺธานญฺจ ปฎิปาฎี’’ติอาทินา วุตฺตํ สํสารญฺจ นาติวตฺตติฯ สํสาโร เอว วา สโพฺพ อิธ วฑฺฒิอปคมาทีหิ อเตฺถหิ อปายาทินามโก วุโตฺต เกวลํ ทุกฺขกฺขนฺธภาวโตฯ
Ñāṇāsinā apadāletvā saṃsārabhayaṃ atīto natthīti etassa sādhakaṃ dassento āha ‘‘vuttampi ceta’’ntiādi. Tantūnaṃ ākulakaṃ tantākulakaṃ, tantākulakamiva jātā tantākulakajātā, kilesakammavipākehi atīva jaṭitāti attho. Guṇāya sakuṇiyā nīḍaṃ guṇāguṇḍikaṃ. Vaḍḍhiabhāvato apāyaṃ dukkhagatibhāvato duggatiṃ sukhasamussayato vinipātattā vinipātañca catubbidhaṃ apāyaṃ, ‘‘khandhānañca paṭipāṭī’’tiādinā vuttaṃ saṃsārañca nātivattati. Saṃsāro eva vā sabbo idha vaḍḍhiapagamādīhi atthehi apāyādināmako vutto kevalaṃ dukkhakkhandhabhāvato.
ภวจกฺกกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Bhavacakkakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.
สุตฺตนฺตภาชนียวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Suttantabhājanīyavaṇṇanā niṭṭhitā.
๒. อภิธมฺมภาชนียวณฺณนา
2. Abhidhammabhājanīyavaṇṇanā
๒๔๓. ปถวีอากาสา วิย ปฎิจฺจสมุปฺปาโท มหาปตฺถฎวิตฺถาริตานํ อตฺถานํ ปริกปฺปวเสน กถิโตฯ ตญฺหิ อปตฺถฎํ อวิตฺถตญฺจ ปถวิํ อากาสญฺจ ปตฺถรโนฺต วิตฺถารยโนฺต วิย จ เอเกกจิตฺตาวรุทฺธํ อกตฺวา สพฺพสตฺตสพฺพจิตฺตสาธารณวเสน ปตฺถฎวิตฺถตํ กตฺวา สุตฺตนฺตภาชนีเยน ภควา ทเสฺสติฯ ตตฺถ นานาจิตฺตวเสนาติ อสหชาตานํ สหชาตานญฺจ ปจฺจยปจฺจยุปฺปนฺนานํ นานาจิตฺตคตานํ ทสฺสิตภาวํ สนฺธาย วุตฺตํฯ นว มูลปทานิ เอเตสนฺติ นวมูลปทา, นยาฯ ‘‘เอเกเกน นเยน จตุนฺนํ จตุนฺนํ วารานํ สงฺคหิตตฺตา’’ติ วุตฺตํ, เอตฺถ ‘‘เอเกเกน จตุเกฺกนา’’ติ วตฺตพฺพํฯ นยจตุกฺกวารา หิ เอตฺถ ววตฺถิตา ทสฺสิตานํ จตุกฺกานํ นยภาวาติฯ
243. Pathavīākāsā viya paṭiccasamuppādo mahāpatthaṭavitthāritānaṃ atthānaṃ parikappavasena kathito. Tañhi apatthaṭaṃ avitthatañca pathaviṃ ākāsañca pattharanto vitthārayanto viya ca ekekacittāvaruddhaṃ akatvā sabbasattasabbacittasādhāraṇavasena patthaṭavitthataṃ katvā suttantabhājanīyena bhagavā dasseti. Tattha nānācittavasenāti asahajātānaṃ sahajātānañca paccayapaccayuppannānaṃ nānācittagatānaṃ dassitabhāvaṃ sandhāya vuttaṃ. Nava mūlapadāni etesanti navamūlapadā, nayā. ‘‘Ekekena nayena catunnaṃ catunnaṃ vārānaṃ saṅgahitattā’’ti vuttaṃ, ettha ‘‘ekekena catukkenā’’ti vattabbaṃ. Nayacatukkavārā hi ettha vavatthitā dassitānaṃ catukkānaṃ nayabhāvāti.
๑. ปจฺจยจตุกฺกวณฺณนา
1. Paccayacatukkavaṇṇanā
อวิชฺชํ องฺคํ อคฺคเหตฺวา ตโต ปรํ ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขาโร’’ติอาทีนิ ปจฺจยสหิตานิ ปจฺจยุปฺปนฺนานิ องฺคภาเวน วุตฺตานีติ อาห ‘‘น, ตสฺส อนงฺคตฺตา’’ติฯ เอวญฺจ กตฺวา นิเทฺทเส (วิภ. ๒๒๖) ‘‘ตตฺถ กตมา อวิชฺชา’’ติ อวิชฺชํ วิสุํ วิสฺสเชฺชตฺวา ‘‘ตตฺถ กตโม อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขาโร’’ติอาทินา ตํตํปจฺจยวโนฺต สงฺขาราทโย วิสฺสชฺชิตาติฯ ตีสุ ปกาเรสุ ปฐมปฐมวาโร ทุติยวาราทีสุ ปวิสโนฺต ปจฺจยวิเสสาทิสพฺพนานตฺตสาธารณตฺตา เต วารวิเสเส คณฺหาตีติ ‘‘สพฺพสงฺคาหโก’’ติ วุโตฺตฯ ปฐมวาโร เอว หิ น เกวลํ ฉฎฺฐายตนเมว, อถ โข นามญฺจ ผสฺสสฺส ปจฺจโย, นามํ วา น เกวลํ ฉฎฺฐายตนเสฺสว, อถ โข ผสฺสสฺสาปีติ ปจฺจยวิเสสทสฺสนตฺถํ, เยน อตฺถวิเสเสน มหานิทานสุตฺตเทสนา ปวตฺตา, ตํทสฺสนตฺถญฺจ ฉฎฺฐายตนงฺคํ ปริหาเปตฺวา วุโตฺตติ ตสฺส ทุติยวาเร จ ปเวโส วุโตฺต, น สพฺพงฺคสโมโรธโตฯ
Avijjaṃ aṅgaṃ aggahetvā tato paraṃ ‘‘avijjāpaccayā saṅkhāro’’tiādīni paccayasahitāni paccayuppannāni aṅgabhāvena vuttānīti āha ‘‘na, tassa anaṅgattā’’ti. Evañca katvā niddese (vibha. 226) ‘‘tattha katamā avijjā’’ti avijjaṃ visuṃ vissajjetvā ‘‘tattha katamo avijjāpaccayā saṅkhāro’’tiādinā taṃtaṃpaccayavanto saṅkhārādayo vissajjitāti. Tīsu pakāresu paṭhamapaṭhamavāro dutiyavārādīsu pavisanto paccayavisesādisabbanānattasādhāraṇattā te vāravisese gaṇhātīti ‘‘sabbasaṅgāhako’’ti vutto. Paṭhamavāro eva hi na kevalaṃ chaṭṭhāyatanameva, atha kho nāmañca phassassa paccayo, nāmaṃ vā na kevalaṃ chaṭṭhāyatanasseva, atha kho phassassāpīti paccayavisesadassanatthaṃ, yena atthavisesena mahānidānasuttadesanā pavattā, taṃdassanatthañca chaṭṭhāyatanaṅgaṃ parihāpetvā vuttoti tassa dutiyavāre ca paveso vutto, na sabbaṅgasamorodhato.
ยตฺถาติ วารจตุเกฺก เอเกกวาเร จฯ อญฺญถาติ สุตฺตนฺตภาชนียโต อญฺญถา สงฺขาโรติ วุตฺตํฯ อวุตฺตนฺติ ‘‘รูปํ สฬายตน’’นฺติ, เตสุปิ จ วาเรสุ จตูสุปิ โสกาทโย อวุตฺตา สุตฺตนฺตภาชนีเยสุ วุตฺตาฯ ตตฺถ จ วุตฺตเมว อิธ ‘‘ฉฎฺฐายตน’’นฺติ อญฺญถา วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Yatthāti vāracatukke ekekavāre ca. Aññathāti suttantabhājanīyato aññathā saṅkhāroti vuttaṃ. Avuttanti ‘‘rūpaṃ saḷāyatana’’nti, tesupi ca vāresu catūsupi sokādayo avuttā suttantabhājanīyesu vuttā. Tattha ca vuttameva idha ‘‘chaṭṭhāyatana’’nti aññathā vuttanti daṭṭhabbaṃ.
สพฺพฎฺฐานสาธารณโตติ วุตฺตนเยน สพฺพวารสาธารณโต, สพฺพวิญฺญาณปวตฺติฎฺฐานภวสาธารณโต วาฯ วินา อภาเวน วิญฺญาณสฺส ขนฺธตฺตยมฺปิ สมานํ ผลํ ปจฺจโย จาติ อาห ‘‘อวิเสเสนา’’ติฯ ‘‘ติณฺณํ สงฺคติ ผโสฺส’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๐๔; สํ. นิ. ๒.๔๓) วจนโต ปน วิญฺญาณํ ผสฺสสฺส วิเสสปจฺจโยติ ตสฺส ผโสฺส วิสิฎฺฐํ ผลํ, สติปิ ปจฺจยสมฺปยุตฺตานํ อาหารปจฺจยภาเว มโนสเญฺจตนาย วิญฺญาณาหรณํ วิสิฎฺฐํ กิจฺจนฺติ สงฺขาโร จสฺส วิสิโฎฺฐ ปจฺจโยฯ อจิตฺตกฺขณมตฺตานีติ จิตฺตกฺขณปฺปมาณรหิตานิฯ ตสฺสโตฺถติ ตสฺส วุตฺตสฺส อวิชฺชาทิกสฺส อโตฺถ สุตฺตนฺตภาชนียวณฺณนายํ วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ
Sabbaṭṭhānasādhāraṇatoti vuttanayena sabbavārasādhāraṇato, sabbaviññāṇapavattiṭṭhānabhavasādhāraṇato vā. Vinā abhāvena viññāṇassa khandhattayampi samānaṃ phalaṃ paccayo cāti āha ‘‘avisesenā’’ti. ‘‘Tiṇṇaṃ saṅgati phasso’’ti (ma. ni. 1.204; saṃ. ni. 2.43) vacanato pana viññāṇaṃ phassassa visesapaccayoti tassa phasso visiṭṭhaṃ phalaṃ, satipi paccayasampayuttānaṃ āhārapaccayabhāve manosañcetanāya viññāṇāharaṇaṃ visiṭṭhaṃ kiccanti saṅkhāro cassa visiṭṭho paccayo. Acittakkhaṇamattānīti cittakkhaṇappamāṇarahitāni. Tassatthoti tassa vuttassa avijjādikassa attho suttantabhājanīyavaṇṇanāyaṃ vuttanayeneva veditabbo.
เหตุกาทีนีติ เอตฺถ ยสฺมิํ จตุเกฺก เหตุก-สโทฺท วุโตฺต, ตํ เหตุก-สทฺทสหจริตตฺตา ‘‘เหตุก’’นฺติ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ เหตุ-สโทฺท คติสูจโก อวิคตตา จ วิคตตานิวารณวเสน คติ เอว โหตีติ เหตุกจตุกฺกํ อวิคตปจฺจยวเสน วุตฺตนฺติ วุตฺตํฯ
Hetukādīnīti ettha yasmiṃ catukke hetuka-saddo vutto, taṃ hetuka-saddasahacaritattā ‘‘hetuka’’nti vuttanti veditabbaṃ. Hetu-saddo gatisūcako avigatatā ca vigatatānivāraṇavasena gati eva hotīti hetukacatukkaṃ avigatapaccayavasena vuttanti vuttaṃ.
ติธา จตุธา ปญฺจธา วาติ วา-สโทฺท ‘‘ฉธา วา’’ติปิ วิกเปฺปตีติ ทฎฺฐโพฺพฯ สมาธิ หิ สาธารเณหิ ตีหิ ฌานินฺทฺริยมคฺคปจฺจเยหิ จ ปจฺจโยติฯ อุปาทานํ ภวสฺส มคฺคปจฺจเยน จาติ สตฺตธาติ กามุปาทานวชฺชานํ วเสน วทติฯ กามุปาทานํ ปน ยถา ภวสฺส ปจฺจโย โหติ, โส ปกาโร ตณฺหายํ วุโตฺต เอวาติ น วุโตฺตฯ
Tidhā catudhā pañcadhā vāti vā-saddo ‘‘chadhā vā’’tipi vikappetīti daṭṭhabbo. Samādhi hi sādhāraṇehi tīhi jhānindriyamaggapaccayehi ca paccayoti. Upādānaṃ bhavassa maggapaccayena cāti sattadhāti kāmupādānavajjānaṃ vasena vadati. Kāmupādānaṃ pana yathā bhavassa paccayo hoti, so pakāro taṇhāyaṃ vutto evāti na vutto.
อิมสฺมิํ จตุเกฺก สหชาตปจฺจเยน ปจฺจยา โหนฺตีติ วจนวเสนาติ อธิปฺปาโยฯ อโตฺถ หิ น กตฺถจิ อตฺตโน ปจฺจยุปฺปนฺนสฺส ยถาสเกหิ ปจฺจโย น โหติ, สหชาตปจฺจยวเสเนว ปน อิมสฺส จตุกฺกสฺส วุตฺตตฺตา โสเยเวตฺถ โหตีติ วทนฺติฯ ปฐมวาโรติ ปฐมจตุโกฺกติ เอวํ วตฺตพฺพํฯ ภวาทีนํ ตถา อภาวนฺติ ยทิ สหชาตปจฺจยวเสเนว ปฐมจตุโกฺก วุโตฺต, ภโว ชาติยา, ชาติ จ มรณสฺส สหชาตปจฺจโย น โหตีติ ยถา อวิคตจตุกฺกาทีสุ ‘‘ภวปจฺจยา ชาติ ภวเหตุกา’’ติอาทิ น วุตฺตํ ภวาทีนํ อวิคตาทิปจฺจยตาย อภาวโต, เอวมิธาปิ ‘‘ภวปจฺจยา ชาตี’’ติอาทิ น วตฺตพฺพํ สิยาฯ ปจฺจยวจนเมว หิ เตสํ สหชาตสูจกํ อาปนฺนํ อวิคตจตุกฺกาทีสุ วิย อิธ ปจฺจยวิเสสสูจกสฺส วจนนฺตรสฺส อภาวา, น จ ตํ น วุตฺตํ, น จ ภวาทโย สหชาตปจฺจยา โหนฺติ, ตสฺมา น สหชาตปจฺจยวเสเนวายํ จตุโกฺก วุโตฺตฯ เสสปจฺจยานญฺจ สมฺภวนฺติ อิทํ ‘‘ภวาทีน’’นฺติ เอเตน สห อโยเชตฺวา สามเญฺญน อวิชฺชาทีนํ สหชาเตน สห เสสปจฺจยภาวานญฺจ สมฺภวํ สนฺธาย วุตฺตํฯ อยเญฺหตฺถ อโตฺถ – ปจฺจยวิเสสสูจกสฺส วจนนฺตรสฺส อภาวา สหชาตโต อเญฺญ ปจฺจยภาวา อวิชฺชาทีนํ น สมฺภวนฺตีติ สหชาตปจฺจยวเสเนวายํ จตุโกฺก อารโทฺธติ วุเจฺจยฺย, น จ เต น สมฺภวนฺติ, ตสฺมา นายํ ตถา อารโทฺธติฯ
Imasmiṃ catukke sahajātapaccayena paccayā hontīti vacanavasenāti adhippāyo. Attho hi na katthaci attano paccayuppannassa yathāsakehi paccayo na hoti, sahajātapaccayavaseneva pana imassa catukkassa vuttattā soyevettha hotīti vadanti. Paṭhamavāroti paṭhamacatukkoti evaṃ vattabbaṃ. Bhavādīnaṃ tathā abhāvanti yadi sahajātapaccayavaseneva paṭhamacatukko vutto, bhavo jātiyā, jāti ca maraṇassa sahajātapaccayo na hotīti yathā avigatacatukkādīsu ‘‘bhavapaccayā jāti bhavahetukā’’tiādi na vuttaṃ bhavādīnaṃ avigatādipaccayatāya abhāvato, evamidhāpi ‘‘bhavapaccayā jātī’’tiādi na vattabbaṃ siyā. Paccayavacanameva hi tesaṃ sahajātasūcakaṃ āpannaṃ avigatacatukkādīsu viya idha paccayavisesasūcakassa vacanantarassa abhāvā, na ca taṃ na vuttaṃ, na ca bhavādayo sahajātapaccayā honti, tasmā na sahajātapaccayavasenevāyaṃ catukko vutto. Sesapaccayānañca sambhavanti idaṃ ‘‘bhavādīna’’nti etena saha ayojetvā sāmaññena avijjādīnaṃ sahajātena saha sesapaccayabhāvānañca sambhavaṃ sandhāya vuttaṃ. Ayañhettha attho – paccayavisesasūcakassa vacanantarassa abhāvā sahajātato aññe paccayabhāvā avijjādīnaṃ na sambhavantīti sahajātapaccayavasenevāyaṃ catukko āraddhoti vucceyya, na ca te na sambhavanti, tasmā nāyaṃ tathā āraddhoti.
‘‘มหานิทานสุตฺตเนฺต เอกาทสงฺคิโก ปฎิจฺจสมุปฺปาโท วุโตฺต’’ติ วุตฺตํ, ตตฺถ ปน ‘‘นามรูปปจฺจยา วิญฺญาณํ, วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ, นามปจฺจยา ผโสฺส’’ติอาทินา (ที. นิ. ๒.๙๗) ทฺวิกฺขตฺตุํ อาคเต นามรูเป เอกธา คหิเต นวงฺคิโก, ทฺวิธา คหิเต ทสงฺคิโก วุโตฺต, อญฺญตฺถ ปน วุเตฺตสุ อวิชฺชาสงฺขาเรสุ อทฺธตฺตยทสฺสนตฺถํ โยชิยมาเนสุ เอกาทสงฺคิโก โหตีติ กตฺวา เอวํ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ มหานิทานสุตฺตนฺตเทสนาย ปริคฺคหตฺถนฺติ ตตฺถ หิ จกฺขายตนาทีนิ วิย รูเป ฉฎฺฐายตนญฺจ นาเม อโนฺตคธํ กตฺวา ผสฺสสฺส นิรวเสสรูปปจฺจยํ วิย นิรวเสสนามปจฺจยญฺจ ทเสฺสตุํ ‘‘นามรูปปจฺจยา ผโสฺส’’ติ วุตฺตํ, เอวมิธาปิ ตตฺถ ทสฺสิตวิเสสทสฺสเนน ตํเทสนาปริคฺคหตฺถํ เอกจิตฺตกฺขณิเก ปฎิจฺจสมุปฺปาเท ฉฎฺฐายตนํ นามโนฺตคธํ กตฺวา ‘‘นามปจฺจยา ผโสฺส’’ติ วุตฺตนฺติ อโตฺถฯ
‘‘Mahānidānasuttante ekādasaṅgiko paṭiccasamuppādo vutto’’ti vuttaṃ, tattha pana ‘‘nāmarūpapaccayā viññāṇaṃ, viññāṇapaccayā nāmarūpaṃ, nāmapaccayā phasso’’tiādinā (dī. ni. 2.97) dvikkhattuṃ āgate nāmarūpe ekadhā gahite navaṅgiko, dvidhā gahite dasaṅgiko vutto, aññattha pana vuttesu avijjāsaṅkhāresu addhattayadassanatthaṃ yojiyamānesu ekādasaṅgiko hotīti katvā evaṃ vuttanti daṭṭhabbaṃ. Mahānidānasuttantadesanāya pariggahatthanti tattha hi cakkhāyatanādīni viya rūpe chaṭṭhāyatanañca nāme antogadhaṃ katvā phassassa niravasesarūpapaccayaṃ viya niravasesanāmapaccayañca dassetuṃ ‘‘nāmarūpapaccayā phasso’’ti vuttaṃ, evamidhāpi tattha dassitavisesadassanena taṃdesanāpariggahatthaṃ ekacittakkhaṇike paṭiccasamuppāde chaṭṭhāyatanaṃ nāmantogadhaṃ katvā ‘‘nāmapaccayā phasso’’ti vuttanti attho.
รูปปฺปวตฺติเทสํ สนฺธาย เทสิตตฺตา ‘‘อิมสฺสา’’ติ วจนเสโส, น ปุริมานนฺติ, เตเนว ‘‘อยญฺหี’’ติอาทิมาหฯ
Rūpappavattidesaṃ sandhāya desitattā ‘‘imassā’’ti vacanaseso, na purimānanti, teneva ‘‘ayañhī’’tiādimāha.
โยนิวเสน โอปปาติกานนฺติ เจตฺถ สํเสทชโยนิกาปิ ปริปุณฺณายตนภาเวน โอปปาติกสงฺคหํ กตฺวา วุตฺตาติ ทฎฺฐพฺพาฯ ปธานาย วา โยนิยา สพฺพปริปุณฺณายตนโยนิํ ทเสฺสตุํ ‘‘โอปปาติกาน’’นฺติ วุตฺตํฯ เอวํ สงฺคหนิทสฺสนวเสเนว หิ ธมฺมหทยวิภเงฺคปิ (วิภ. ๑๐๐๙) ‘‘โอปปาติกานํ เปตาน’’นฺติอาทินา โอปปาติกคฺคหณเมว กตํ, น สํเสทชคฺคหณนฺติฯ เอกจิตฺตกฺขเณ ฉหายตเนหิ ผสฺสสฺส ปวตฺติ นตฺถิ, น เจกสฺส อกุสลผสฺสสฺส ฉฎฺฐายตนวชฺชํ อายตนํ สมานกฺขเณ ปวตฺตมานํ ปจฺจยภูตํ อตฺถิ, อารมฺมณปจฺจโย เจตฺถ ปวตฺตโก น โหตีติ น คยฺหติ, ตสฺมา ‘‘สฬายตนปจฺจยา ผโสฺส’’ติ น สกฺกา วตฺตุนฺติ ทสฺสนตฺถํ ‘‘ยสฺมา ปเนโส’’ติอาทิมาหฯ
Yonivasena opapātikānanti cettha saṃsedajayonikāpi paripuṇṇāyatanabhāvena opapātikasaṅgahaṃ katvā vuttāti daṭṭhabbā. Padhānāya vā yoniyā sabbaparipuṇṇāyatanayoniṃ dassetuṃ ‘‘opapātikāna’’nti vuttaṃ. Evaṃ saṅgahanidassanavaseneva hi dhammahadayavibhaṅgepi (vibha. 1009) ‘‘opapātikānaṃ petāna’’ntiādinā opapātikaggahaṇameva kataṃ, na saṃsedajaggahaṇanti. Ekacittakkhaṇe chahāyatanehi phassassa pavatti natthi, na cekassa akusalaphassassa chaṭṭhāyatanavajjaṃ āyatanaṃ samānakkhaṇe pavattamānaṃ paccayabhūtaṃ atthi, ārammaṇapaccayo cettha pavattako na hotīti na gayhati, tasmā ‘‘saḷāyatanapaccayā phasso’’ti na sakkā vattunti dassanatthaṃ ‘‘yasmā paneso’’tiādimāha.
ปุริมโยนิทฺวเย สมฺภวนฺตมฺปิ เกสญฺจิ สฬายตนํ กลลาทิกาเล น สมฺภวตีติ ‘‘สทา อสมฺภวโต’’ติ อาหฯ ปจฺฉิมโยนิทฺวเย ปน เยสํ สมฺภวติ, เตสํ สทา สมฺภวตีติฯ อิโตติ อิมสฺมา จตุกฺกโต, นยโต วา, โย วิเสโสฯ
Purimayonidvaye sambhavantampi kesañci saḷāyatanaṃ kalalādikāle na sambhavatīti ‘‘sadā asambhavato’’ti āha. Pacchimayonidvaye pana yesaṃ sambhavati, tesaṃ sadā sambhavatīti. Itoti imasmā catukkato, nayato vā, yo viseso.
ปจฺจยจตุกฺกวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Paccayacatukkavaṇṇanā niṭṭhitā.
๒. เหตุจตุกฺกวณฺณนา
2. Hetucatukkavaṇṇanā
๒๔๔. ชาติกฺขณมเตฺต เอว อภาวโตติ ตโต อุทฺธํ ภาวโตติ อโตฺถฯ อวิคตปจฺจยนิยมาภาวโต ภเว อุปาทานเหตุกคฺคหณํ น กตํ, อภาวโต อวิคตปจฺจยสฺส ชาติอาทีสุ ภวเหตุกาทิคฺคหณํ น กตนฺติ โยเชตพฺพํฯ ยถา ปน ยาว วตฺถุ, ตาว อนุปลพฺภมานสฺส วิญฺญาณสฺส วตฺถุ อวิคตปจฺจโย โหติ วิญฺญาณโต อุทฺธํ ปวตฺตนกมฺปิ, เอวํ อุปาทานํ ภวสงฺคหิตานํ ชาติอาทีนํ, ภโว จ ชาติยา อวิคตปจฺจโย สิยาฯ อถ น สิยา, สงฺขารกฺขเนฺธ ชาติอาทีนํ สงฺคหิตตฺตา วิญฺญาณํ นามสฺส, นามญฺจ อตกฺขณิกสมฺภวา ฉฎฺฐายตนสฺส อวิคตปจฺจโย น สิยาติ อิธ วิย ตตฺถาปิ เหตุกคฺคหณํ น กตฺตพฺพํ สิยา, ตสฺมา ยาว อุปาทานํ, ตาว ชาติอาทีนํ อนุปลโพฺภ, ชาติกฺขณมเตฺต เอว ภวสฺส อภาโว จ การณนฺติ น สกฺกา กาตุํฯ สงฺขตลกฺขณานํ ปน ชาติอาทีนํ อสภาวธมฺมานํ ภเวน สงฺคหิตตฺตา อสภาวธมฺมสฺส จ ปรมตฺถโต ภวนฺตรสฺส อภาวโต เหตุอาทิปจฺจยา น สนฺตีติ ภวสฺส อุปาทานํ น นิยเมน อวิคตปจฺจโย, ภโว ปน ชาติยา, ชาติ ชรามรณสฺส เนว อวิคตปจฺจโยติ อวิคตปจฺจยนิยมาภาวโต อภาวโต จ อวิคตปจฺจยสฺส ภวาทีสุ เหตุกคฺคหณํ น กตนฺติ ยุตฺตํฯ
244. Jātikkhaṇamatte eva abhāvatoti tato uddhaṃ bhāvatoti attho. Avigatapaccayaniyamābhāvato bhave upādānahetukaggahaṇaṃ na kataṃ, abhāvato avigatapaccayassa jātiādīsu bhavahetukādiggahaṇaṃ na katanti yojetabbaṃ. Yathā pana yāva vatthu, tāva anupalabbhamānassa viññāṇassa vatthu avigatapaccayo hoti viññāṇato uddhaṃ pavattanakampi, evaṃ upādānaṃ bhavasaṅgahitānaṃ jātiādīnaṃ, bhavo ca jātiyā avigatapaccayo siyā. Atha na siyā, saṅkhārakkhandhe jātiādīnaṃ saṅgahitattā viññāṇaṃ nāmassa, nāmañca atakkhaṇikasambhavā chaṭṭhāyatanassa avigatapaccayo na siyāti idha viya tatthāpi hetukaggahaṇaṃ na kattabbaṃ siyā, tasmā yāva upādānaṃ, tāva jātiādīnaṃ anupalabbho, jātikkhaṇamatte eva bhavassa abhāvo ca kāraṇanti na sakkā kātuṃ. Saṅkhatalakkhaṇānaṃ pana jātiādīnaṃ asabhāvadhammānaṃ bhavena saṅgahitattā asabhāvadhammassa ca paramatthato bhavantarassa abhāvato hetuādipaccayā na santīti bhavassa upādānaṃ na niyamena avigatapaccayo, bhavo pana jātiyā, jāti jarāmaraṇassa neva avigatapaccayoti avigatapaccayaniyamābhāvato abhāvato ca avigatapaccayassa bhavādīsu hetukaggahaṇaṃ na katanti yuttaṃ.
นนุ เอวํ ‘‘นามํ วิญฺญาณเหตุกํ ฉฎฺฐายตนํ นามเหตุก’’นฺติ วจนํ น วตฺตพฺพํฯ น หิ นามสงฺคหิตานํ ชาติอาทีนํ อวิคตปจฺจโย อญฺญสฺส อวิคตปจฺจยภาโว จ อตฺถิ อสภาวธมฺมตฺตาติ? น, เตสํ นาเมน อสงฺคหิตตฺตาฯ นมนกิจฺจปริจฺฉินฺนญฺหิ นามํ, ตญฺจ กิจฺจํ สภาวธมฺมานเมว โหตีติ สภาวธมฺมภูตา เอว ตโย ขนฺธา ‘‘นาม’’นฺติ วุตฺตา, ตสฺมา ตตฺถ เหตุกคฺคหณํ ยุตฺตํ, อิธ ปน ภวตีติ ภโว, น จ ชาติอาทีนิ น ภวนฺติ ‘‘ภวปจฺจยา ชาติ สมฺภวติ, ชาติปจฺจยา ชรามรณํ สมฺภวตี’’ติ โยชนโต , ตสฺมา สงฺขรณโต สงฺขาเร วิย ภวนโต ภเว ชาติอาทีนิ สงฺคหิตานีติ นิยมาภาวาภาเวหิ ยถาวุเตฺตหิ เหตุกคฺคหณํ น กตนฺติฯ
Nanu evaṃ ‘‘nāmaṃ viññāṇahetukaṃ chaṭṭhāyatanaṃ nāmahetuka’’nti vacanaṃ na vattabbaṃ. Na hi nāmasaṅgahitānaṃ jātiādīnaṃ avigatapaccayo aññassa avigatapaccayabhāvo ca atthi asabhāvadhammattāti? Na, tesaṃ nāmena asaṅgahitattā. Namanakiccaparicchinnañhi nāmaṃ, tañca kiccaṃ sabhāvadhammānameva hotīti sabhāvadhammabhūtā eva tayo khandhā ‘‘nāma’’nti vuttā, tasmā tattha hetukaggahaṇaṃ yuttaṃ, idha pana bhavatīti bhavo, na ca jātiādīni na bhavanti ‘‘bhavapaccayā jāti sambhavati, jātipaccayā jarāmaraṇaṃ sambhavatī’’ti yojanato , tasmā saṅkharaṇato saṅkhāre viya bhavanato bhave jātiādīni saṅgahitānīti niyamābhāvābhāvehi yathāvuttehi hetukaggahaṇaṃ na katanti.
เกจิ ปนาติอาทินา เรวตเตฺถรมตํ วทติฯ อรูปกฺขนฺธา หิ อิธ ภโวติ อาคตาฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘ตตฺถ กตโม อุปาทานปจฺจยา ภโว, ฐเปตฺวา อุปาทานํ เวทนากฺขโนฺธ…เป.… วิญฺญาณกฺขโนฺธ’’ติ (วิภ. ๒๔๙)ฯ
Keci panātiādinā revatattheramataṃ vadati. Arūpakkhandhā hi idha bhavoti āgatā. Vuttañhi ‘‘tattha katamo upādānapaccayā bhavo, ṭhapetvā upādānaṃ vedanākkhandho…pe… viññāṇakkhandho’’ti (vibha. 249).
‘‘วตฺตพฺพปเทสาภาวโต’’ติ วุตฺตํ, สติปิ ปน ปเทเส อุปาทานํ วิย สภาวานิ ชาติอาทีนิ น โหนฺตีติ ฐเปตพฺพสฺส ภาวนฺตรสฺส อภาวโต เอว ฐปนํ น กาตพฺพนฺติ ยุตฺตํฯ ชายมานานํ ปน ชาติ, ชาตานญฺจ ชรามรณนฺติ ‘‘ภวปจฺจยา ชาติ, ชาติปจฺจยา ชรามรณ’’นฺติ (วิภ. ๒๒๕) วุตฺตํฯ ยถา ปน ‘‘นามปจฺจยา ผโสฺสติ ตตฺถ กตมํ นามํ? ฐเปตฺวา ผสฺสํ เวทนากฺขโนฺธ…เป.… วิญฺญาณกฺขโนฺธฯ อิทํ วุจฺจติ นาม’’นฺติ (วิภ. ๒๕๙), ‘‘นามรูปปจฺจยา สฬายตนนฺติ อตฺถิ นามํ อตฺถิ รูปํฯ ตตฺถ กตมํ นามํ? เวทนากฺขโนฺธ สญฺญากฺขโนฺธ สงฺขารกฺขโนฺธฯ อิทํ วุจฺจติ นามํฯ ตตฺถ กตมํ รูปํ? จตฺตาโร มหาภูตา ยญฺจ รูปํ นิสฺสาย มโนธาตุ มโนวิญฺญาณธาตุ วตฺตติ, อิทํ วุจฺจติ รูป’’นฺติ (วิภ. ๒๖๑) จ ยํ นามรูปญฺจ ผสฺสสฺส สฬายตนสฺส ปจฺจโย, ตสฺส วตฺตพฺพปเทโส นิทฺทิโฎฺฐ, เอวํ โย ภโว ชาติยา ปจฺจโย, ตสฺสปิ ฐเปตพฺพคเหตพฺพวิเสเส สติ น สกฺกา วตฺตพฺพปเทโส นตฺถีติ วตฺตุนฺติฯ
‘‘Vattabbapadesābhāvato’’ti vuttaṃ, satipi pana padese upādānaṃ viya sabhāvāni jātiādīni na hontīti ṭhapetabbassa bhāvantarassa abhāvato eva ṭhapanaṃ na kātabbanti yuttaṃ. Jāyamānānaṃ pana jāti, jātānañca jarāmaraṇanti ‘‘bhavapaccayā jāti, jātipaccayā jarāmaraṇa’’nti (vibha. 225) vuttaṃ. Yathā pana ‘‘nāmapaccayā phassoti tattha katamaṃ nāmaṃ? Ṭhapetvā phassaṃ vedanākkhandho…pe… viññāṇakkhandho. Idaṃ vuccati nāma’’nti (vibha. 259), ‘‘nāmarūpapaccayā saḷāyatananti atthi nāmaṃ atthi rūpaṃ. Tattha katamaṃ nāmaṃ? Vedanākkhandho saññākkhandho saṅkhārakkhandho. Idaṃ vuccati nāmaṃ. Tattha katamaṃ rūpaṃ? Cattāro mahābhūtā yañca rūpaṃ nissāya manodhātu manoviññāṇadhātu vattati, idaṃ vuccati rūpa’’nti (vibha. 261) ca yaṃ nāmarūpañca phassassa saḷāyatanassa paccayo, tassa vattabbapadeso niddiṭṭho, evaṃ yo bhavo jātiyā paccayo, tassapi ṭhapetabbagahetabbavisese sati na sakkā vattabbapadeso natthīti vattunti.
เหตุจตุกฺกวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Hetucatukkavaṇṇanā niṭṭhitā.
๔. อญฺญมญฺญจตุกฺกวณฺณนา
4. Aññamaññacatukkavaṇṇanā
๒๔๖. นิปฺปเทสตฺตา ภเวน อุปาทานํ สงฺคหิตนฺติ ปจฺจยุปฺปนฺนสฺส อุปาทานสฺส วิสุํ ฐิตสฺส อภาวา ‘‘ภวปจฺจยาปิ อุปาทาน’’นฺติ น สกฺกา วตฺตุนฺติ ทเสฺสตุํ ‘‘ยสฺมา ปน ภโว นิปฺปเทโส’’ติอาทิมาหฯ เอวํ สติ ‘‘นามปจฺจยาปิ วิญฺญาณ’’นฺติ น วตฺตพฺพํ สิยา, นามํ ปน ปจฺจยุปฺปนฺนภูตํ ปจฺจยภูตญฺจ สปฺปเทสเมว คหิตนฺติ อธิปฺปาโยฯ ยถา ปน ‘‘นามปจฺจยา ฉฎฺฐายตนํ, นามปจฺจยา ผโสฺส’’ติอาทีสุ (วิภ. ๑๕๐-๑๕๔) ปจฺจยุปฺปนฺนํ ฐเปตฺวา นามํ คหิตํ, เอวํ ‘‘ภวปจฺจยาปิ อุปาทาน’’นฺติ อิธาปิ ปจฺจยุปฺปนฺนํ ฐเปตฺวา ภวสฺส คหณํ น น สกฺกา กาตุํ, ตสฺมา อุปาทานสฺส อวิคตปจฺจยนิยมาภาโว วิย อญฺญมญฺญปจฺจยนิยมาภาโว ภเว ปุเพฺพ วุตฺตนเยน อตฺถีติ ‘‘ภวปจฺจยาปิ อุปาทาน’’นฺติ น วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
246. Nippadesattā bhavena upādānaṃ saṅgahitanti paccayuppannassa upādānassa visuṃ ṭhitassa abhāvā ‘‘bhavapaccayāpi upādāna’’nti na sakkā vattunti dassetuṃ ‘‘yasmā pana bhavonippadeso’’tiādimāha. Evaṃ sati ‘‘nāmapaccayāpi viññāṇa’’nti na vattabbaṃ siyā, nāmaṃ pana paccayuppannabhūtaṃ paccayabhūtañca sappadesameva gahitanti adhippāyo. Yathā pana ‘‘nāmapaccayā chaṭṭhāyatanaṃ, nāmapaccayā phasso’’tiādīsu (vibha. 150-154) paccayuppannaṃ ṭhapetvā nāmaṃ gahitaṃ, evaṃ ‘‘bhavapaccayāpi upādāna’’nti idhāpi paccayuppannaṃ ṭhapetvā bhavassa gahaṇaṃ na na sakkā kātuṃ, tasmā upādānassa avigatapaccayaniyamābhāvo viya aññamaññapaccayaniyamābhāvo bhave pubbe vuttanayena atthīti ‘‘bhavapaccayāpi upādāna’’nti na vuttanti veditabbaṃ.
อญฺญมญฺญปจฺจโยติ เจตฺถ สมฺปยุตฺตวิปฺปยุตฺตอตฺถิปจฺจโย อธิเปฺปโต สิยาฯ ‘‘นามรูปปจฺจยาปิ วิญฺญาณ’’นฺติ หิ วุตฺตํ, น จ วตฺถุ อกุสลวิญฺญาณสฺส อญฺญมญฺญปจฺจโย โหติ, ปุเรชาตวิปฺปยุโตฺต ปน โหตีติฯ ตถา ‘‘ฉฎฺฐายตนปจฺจยาปิ นามรูป’’นฺติ วุตฺตํ, น จ ฉฎฺฐายตนํ จกฺขายตนุปจยาทีนํ จิตฺตสมุฎฺฐานรูปสฺส จ อญฺญมญฺญปจฺจโย โหติ, ปจฺฉาชาตวิปฺปยุโตฺต ปน โหตีติฯ
Aññamaññapaccayoti cettha sampayuttavippayuttaatthipaccayo adhippeto siyā. ‘‘Nāmarūpapaccayāpi viññāṇa’’nti hi vuttaṃ, na ca vatthu akusalaviññāṇassa aññamaññapaccayo hoti, purejātavippayutto pana hotīti. Tathā ‘‘chaṭṭhāyatanapaccayāpi nāmarūpa’’nti vuttaṃ, na ca chaṭṭhāyatanaṃ cakkhāyatanupacayādīnaṃ cittasamuṭṭhānarūpassa ca aññamaññapaccayo hoti, pacchājātavippayutto pana hotīti.
อญฺญมญฺญจตุกฺกวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Aññamaññacatukkavaṇṇanā niṭṭhitā.
สงฺขาราทิมูลกนยมาติกาวณฺณนา
Saṅkhārādimūlakanayamātikāvaṇṇanā
๒๔๗. ‘‘อปุพฺพสฺส อญฺญสฺส อวิชฺชาปจฺจยสฺส วตฺตพฺพสฺส อภาวโต ภวมูลกนโย น วุโตฺต’’ติ วุตฺตํ, เอวํ สติ ‘‘ฉฎฺฐายตนปจฺจยา อวิชฺชา’’ติอาทิกา ฉฎฺฐายตนาทิมูลกา จ น วตฺตพฺพา สิยุํฯ ‘‘นามปจฺจยา อวิชฺชา’’ติ เอตฺถ หิ อวิชฺชาปจฺจยา สเพฺพ จตฺตาโร ขนฺธา นามนฺติ วุตฺตาติฯ ตตฺถายํ อธิปฺปาโย สิยา – นามวิเสสานํ ฉฎฺฐายตนาทีนํ อวิชฺชาย ปจฺจยภาโว วตฺตโพฺพติ ฉฎฺฐายตนาทิมูลกา วุตฺตาฯ ยเทว ปน นามํ อวิชฺชาย ปจฺจโย, ตเทว ภวปจฺจยา อวิชฺชาติ เอตฺถาปิ วุเจฺจยฺย, น วตฺตพฺพวิเสโส โกจิ, ตสฺมา อปุพฺพาภาวโต น วุโตฺตติฯ ภวคฺคหเณน จ อิธ อวิชฺชาย ปจฺจยภูตา สภาวธมฺมา คเณฺหยฺยํอุ, น ชาติอาทีนีติ อปุพฺพาภาวโต น วุโตฺตติ ทฎฺฐโพฺพฯ ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา อวิชฺชาติปิ วุตฺตํ สิยา’’ติ วุตฺตํ, ยถา ปน ‘‘นามปจฺจยา ผโสฺส’’ติ วุเตฺต ‘‘ผสฺสปจฺจยา ผโสฺส’’ติ วุตฺตํ น โหติ ปจฺจยุปฺปนฺนํ ฐเปตฺวา ปจฺจยสฺส คหณโต, เอวมิธาปิ น สิยา, ตสฺมา ภวนวเสน สภาวธมฺมาสภาวธเมฺมสุ สามเญฺญน ปวโตฺต ภว-สโทฺทติ น โส อวิชฺชาย ปจฺจโยติ สกฺกา วตฺตุํฯ เตน ภวมูลกนโย น วุโตฺตติ เวทิตโพฺพฯ
247. ‘‘Apubbassa aññassa avijjāpaccayassa vattabbassa abhāvato bhavamūlakanayo na vutto’’ti vuttaṃ, evaṃ sati ‘‘chaṭṭhāyatanapaccayā avijjā’’tiādikā chaṭṭhāyatanādimūlakā ca na vattabbā siyuṃ. ‘‘Nāmapaccayā avijjā’’ti ettha hi avijjāpaccayā sabbe cattāro khandhā nāmanti vuttāti. Tatthāyaṃ adhippāyo siyā – nāmavisesānaṃ chaṭṭhāyatanādīnaṃ avijjāya paccayabhāvo vattabboti chaṭṭhāyatanādimūlakā vuttā. Yadeva pana nāmaṃ avijjāya paccayo, tadeva bhavapaccayā avijjāti etthāpi vucceyya, na vattabbaviseso koci, tasmā apubbābhāvato na vuttoti. Bhavaggahaṇena ca idha avijjāya paccayabhūtā sabhāvadhammā gaṇheyyaṃu, na jātiādīnīti apubbābhāvato na vuttoti daṭṭhabbo. ‘‘Avijjāpaccayā avijjātipivuttaṃ siyā’’ti vuttaṃ, yathā pana ‘‘nāmapaccayā phasso’’ti vutte ‘‘phassapaccayā phasso’’ti vuttaṃ na hoti paccayuppannaṃ ṭhapetvā paccayassa gahaṇato, evamidhāpi na siyā, tasmā bhavanavasena sabhāvadhammāsabhāvadhammesu sāmaññena pavatto bhava-saddoti na so avijjāya paccayoti sakkā vattuṃ. Tena bhavamūlakanayo na vuttoti veditabbo.
‘‘อุปาทานปจฺจยา ภโว’’ติ เอตฺถ วิย ภเวกเทเส วิสุํ ปุเพฺพ อคฺคหิเต ภว-สโทฺท ปจฺจยโสธนตฺถํ อาทิโต วุจฺจมาโน นิรวเสสโพธโก โหติ, น นาม-สโทฺทฯ เอวํสภาวา หิ เอตา นิรุตฺติโยติ อิมินาวา อธิปฺปาเยน ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา อวิชฺชาติปิ วุตฺตํ สิยา’’ติ อาหาติ ทฎฺฐพฺพํ, อิมินาว อธิปฺปาเยน ‘‘ภวสฺส นิปฺปเทสตฺตา ภวปจฺจยาปิ อุปาทานนฺติ น วุตฺต’’นฺติ อยมโตฺถ อญฺญมญฺญปจฺจยวาเร วุโตฺตติ ทฎฺฐโพฺพฯ ตตฺถ ปจฺฉินฺนตฺตาติ เอเตน ชาติชรามรณานํ อวิชฺชาย ปจฺจยภาโว อนุญฺญาโต วิย โหติฯ ชายมานานํ ปน ชาติ, น ชาติยา ชายมานา, ชียมานมียมานญฺจ ชรามรณํ, น ชรามรณสฺส ชียมานมียมานาติ ชาติอาทีนิ เอกจิตฺตกฺขเณ น อวิชฺชาย ปจฺจโย โหนฺติ, ตสฺมา อสมฺภวโต เอว ตมฺมูลกา นยา น คหิตา, ปเจฺฉโทปิ ปน อตฺถีติ ‘‘ตตฺถ ปจฺฉินฺนตฺตา’’ติ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ เตเนว ‘‘อปิจา’’ติอาทิมาหฯ
‘‘Upādānapaccayā bhavo’’ti ettha viya bhavekadese visuṃ pubbe aggahite bhava-saddo paccayasodhanatthaṃ ādito vuccamāno niravasesabodhako hoti, na nāma-saddo. Evaṃsabhāvā hi etā niruttiyoti imināvā adhippāyena ‘‘avijjāpaccayā avijjātipi vuttaṃ siyā’’ti āhāti daṭṭhabbaṃ, imināva adhippāyena ‘‘bhavassa nippadesattā bhavapaccayāpi upādānanti na vutta’’nti ayamattho aññamaññapaccayavāre vuttoti daṭṭhabbo. Tattha pacchinnattāti etena jātijarāmaraṇānaṃ avijjāya paccayabhāvo anuññāto viya hoti. Jāyamānānaṃ pana jāti, na jātiyā jāyamānā, jīyamānamīyamānañca jarāmaraṇaṃ, na jarāmaraṇassa jīyamānamīyamānāti jātiādīni ekacittakkhaṇe na avijjāya paccayo honti, tasmā asambhavato eva tammūlakā nayā na gahitā, pacchedopi pana atthīti ‘‘tattha pacchinnattā’’ti vuttanti daṭṭhabbaṃ. Teneva ‘‘apicā’’tiādimāha.
มาติกาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Mātikāvaṇṇanā niṭṭhitā.
อกุสลนิเทฺทสวณฺณนา
Akusalaniddesavaṇṇanā
๒๔๘-๒๔๙. อุปาทานสฺส อุปาทานปจฺจยตฺตํ อาปเชฺชยฺยาติ นนุ นายํ โทโสฯ กามุปาทานญฺหิ ทิฎฺฐุปาทานสฺส, ตญฺจ อิตรสฺส ปจฺจโย โหตีติ? สจฺจํ, กามุปาทานสฺส ปน ตณฺหาคหเณน คหิตตฺตา นาเม วิย วิเสสปจฺจยตฺตาภาวา จ อุปาทานคฺคหเณน ตณฺหาปจฺจยา ภวสฺส จ ปจฺจยภูตา ทิฎฺฐิ เอว คหิตาติ อยํ โทโส วุโตฺตติ ทฎฺฐโพฺพฯ ยสฺมา จ อุปาทานฎฺฐาเน ปจฺจยุปฺปนฺนํ ปจฺจโย จ เอกเมว, ตสฺมา ‘‘นามปจฺจยา ผโสฺส, นามรูปปจฺจยา สฬายตน’’นฺติ เอเตสํ นิเทฺทเสสุ วิย ‘‘อุปาทานปจฺจยา ภโว’’ติ เอตสฺส นิเทฺทเส ปจฺจโย วิสุํ น วิภโตฺตฯ สติปิ วา ภวสฺส ปจฺจยภาเวน กามุปาทานสฺสปิ คหเณ ‘‘ฐเปตฺวา อุปาทาน’’นฺติ อวุจฺจมาเน กามุปาทานํ กามุปาทานสฺส, ทิฎฺฐิ จ ทิฎฺฐิยา ปจฺจโยติ อาปเชฺชยฺยาติ ปจฺจยปจฺจยุปฺปนฺนตานิวารณตฺถํ ‘‘ฐเปตฺวา อุปาทาน’’นฺติ วุตฺตนฺติ ทเสฺสติฯ
248-249. Upādānassa upādānapaccayattaṃ āpajjeyyāti nanu nāyaṃ doso. Kāmupādānañhi diṭṭhupādānassa, tañca itarassa paccayo hotīti? Saccaṃ, kāmupādānassa pana taṇhāgahaṇena gahitattā nāme viya visesapaccayattābhāvā ca upādānaggahaṇena taṇhāpaccayā bhavassa ca paccayabhūtā diṭṭhi eva gahitāti ayaṃ doso vuttoti daṭṭhabbo. Yasmā ca upādānaṭṭhāne paccayuppannaṃ paccayo ca ekameva, tasmā ‘‘nāmapaccayā phasso, nāmarūpapaccayā saḷāyatana’’nti etesaṃ niddesesu viya ‘‘upādānapaccayā bhavo’’ti etassa niddese paccayo visuṃ na vibhatto. Satipi vā bhavassa paccayabhāvena kāmupādānassapi gahaṇe ‘‘ṭhapetvā upādāna’’nti avuccamāne kāmupādānaṃ kāmupādānassa, diṭṭhi ca diṭṭhiyā paccayoti āpajjeyyāti paccayapaccayuppannatānivāraṇatthaṃ ‘‘ṭhapetvā upādāna’’nti vuttanti dasseti.
๒๕๒. จกฺขายตนาทิอุปตฺถมฺภกสฺส จิตฺตสมุฎฺฐานรูปสฺส ชนกํ วิญฺญาณํ จกฺขายตนุปจยาทีนํ ปจฺจโยติ วุตฺตํ ตทชนกมฺปีติ อธิปฺปาเยน ‘‘ยสฺส จิตฺตสมุฎฺฐานรูปสฺสา’’ติอาทิมาหฯ ตาสมฺปิ หีติ อุตุอาหารชสนฺตตีนมฺปิ หิ อุปตฺถมฺภกสมุฎฺฐาปนปจฺฉาชาตปจฺจยวเสน วิญฺญาณํ ปจฺจโย โหติ เอวาติ อโตฺถฯ
252. Cakkhāyatanādiupatthambhakassa cittasamuṭṭhānarūpassa janakaṃ viññāṇaṃ cakkhāyatanupacayādīnaṃ paccayoti vuttaṃ tadajanakampīti adhippāyena ‘‘yassa cittasamuṭṭhānarūpassā’’tiādimāha. Tāsampi hīti utuāhārajasantatīnampi hi upatthambhakasamuṭṭhāpanapacchājātapaccayavasena viññāṇaṃ paccayo hoti evāti attho.
๒๕๔. ยถานุรูปนฺติ มหาภูตสงฺขาตํ ปญฺจนฺนํ สหชาตาทิปจฺจโย, วตฺถุสงฺขาตํ ฉฎฺฐสฺส ปุเรชาตาทิปจฺจโย, นามํ ปญฺจนฺนํ ปจฺฉาชาตาทิปจฺจโย, ฉฎฺฐสฺส สหชาตาทิปจฺจโยติ เอสา ยถานุรูปตาฯ
254. Yathānurūpanti mahābhūtasaṅkhātaṃ pañcannaṃ sahajātādipaccayo, vatthusaṅkhātaṃ chaṭṭhassa purejātādipaccayo, nāmaṃ pañcannaṃ pacchājātādipaccayo, chaṭṭhassa sahajātādipaccayoti esā yathānurūpatā.
๒๖๔. ยสฺสาติ ยสฺส ปจฺจยุปฺปนฺนสฺส นามสฺส วิญฺญาณสฺส สมฺปยุตฺตปจฺจยภาโว โหตีติ โยเชตพฺพํฯ
264. Yassāti yassa paccayuppannassa nāmassa viññāṇassa sampayuttapaccayabhāvo hotīti yojetabbaṃ.
๒๗๒. ‘‘ผสฺสปจฺจยาปิ นาม’’นฺติ ผสฺสปจฺจยภาเวน วตฺตพฺพเสฺสว นามสฺส อตฺตโน ปจฺจยุปฺปเนฺนน ปวตฺติ ทสฺสิตาติ ‘‘ฐเปตฺวา ผสฺส’’นฺติ ปุน วจเน โกจิ อโตฺถ อตฺถีติ น วุตฺตนฺติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ตถาปี’’ติอาทิมาหฯ
272. ‘‘Phassapaccayāpi nāma’’nti phassapaccayabhāvena vattabbasseva nāmassa attano paccayuppannena pavatti dassitāti ‘‘ṭhapetvā phassa’’nti puna vacane koci attho atthīti na vuttanti dassento ‘‘tathāpī’’tiādimāha.
๒๘๐. ยสฺมา อธิโมโกฺขปิ นตฺถิ, ตสฺมา อุปาทานฎฺฐานํ ปริหีนเมวาติ สมฺพโนฺธฯ พลวกิเลเสน ปน ปทปูรณสฺส การณํ ตณฺหาย อภาโว โทมนสฺสสหคเตสุ วุโตฺต เอวาติ ตสฺส เตน สมฺพโนฺธ โยเชตโพฺพฯ สพฺพตฺถาติ ตติยจิตฺตาทีสุ ‘‘ตณฺหาปจฺจยา อธิโมโกฺข’’ติอาทิมฺหิ วิสฺสชฺชนเมว วิเสสํ ทเสฺสตฺวา ปาฬิ สํขิตฺตาฯ เหฎฺฐาติ จิตฺตุปฺปาทกณฺฑาทีสุฯ
280. Yasmā adhimokkhopi natthi, tasmā upādānaṭṭhānaṃ parihīnamevāti sambandho. Balavakilesena pana padapūraṇassa kāraṇaṃ taṇhāya abhāvo domanassasahagatesu vutto evāti tassa tena sambandho yojetabbo. Sabbatthāti tatiyacittādīsu ‘‘taṇhāpaccayā adhimokkho’’tiādimhi vissajjanameva visesaṃ dassetvā pāḷi saṃkhittā. Heṭṭhāti cittuppādakaṇḍādīsu.
อกุสลนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Akusalaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.
กุสลาพฺยากตนิเทฺทสวณฺณนา
Kusalābyākataniddesavaṇṇanā
๒๙๒. ปสาโทติ สทฺธาฯ
292. Pasādoti saddhā.
๓๐๖. ‘‘อโลโภ นิทานํ กมฺมานํ สมุทยายา’’ติอาทิวจนโต (อ. นิ. ๓.๓๔) สพฺยาปารานิ กุสลมูลานิ สงฺขารานํ นิทานานิ โหนฺติ, น กมฺมเวคกฺขิเตฺตสุ วิปาเกสุ อโลภาทิสหคตกมฺมปฎิพิมฺพภูตา วิย ปวตฺตมานา อโลภาทโยติ ปญฺจวิญฺญาเณสุ วิย นิทานรหิตตา โสตปติตตาติ ทฎฺฐพฺพาฯ กิริยธมฺมา กิริยมตฺตตฺตา กมฺมนิทานรหิตาอิเจฺจว ปริหีนาวิชฺชาฎฺฐานา เวทิตพฺพาฯ
306. ‘‘Alobho nidānaṃ kammānaṃ samudayāyā’’tiādivacanato (a. ni. 3.34) sabyāpārāni kusalamūlāni saṅkhārānaṃ nidānāni honti, na kammavegakkhittesu vipākesu alobhādisahagatakammapaṭibimbabhūtā viya pavattamānā alobhādayoti pañcaviññāṇesu viya nidānarahitatā sotapatitatāti daṭṭhabbā. Kiriyadhammā kiriyamattattā kammanidānarahitāicceva parihīnāvijjāṭṭhānā veditabbā.
ตติยจตุตฺถวารา อสมฺภวโต เอวาติ กสฺมา วุตฺตํ, กิํ จกฺขุวิญฺญาณาทีนิ จกฺขายตนุปจยาทีนํ ปจฺฉาชาตปจฺจยา น โหนฺตีติ? โหนฺติ, ตทุปตฺถมฺภกสฺส ปน จิตฺตสมุฎฺฐานสฺส อสมุฎฺฐาปนํ สนฺธาย ‘‘อสมฺภวโต’’ติ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ สหชาตปจฺฉาชาตวิญฺญาณสฺส ปน วเสน ตทาปิ วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ, ปจฺฉาชาตสหชาตนามสฺส สหชาตปุเรชาตภูตจกฺขาทิรูปสฺส จ วเสน นามรูปปจฺจยา สฬายตนญฺจ ลพฺภตีติ ตติยจตุตฺถวารา น น สมฺภวนฺตีติฯ
Tatiyacatutthavārā asambhavato evāti kasmā vuttaṃ, kiṃ cakkhuviññāṇādīni cakkhāyatanupacayādīnaṃ pacchājātapaccayā na hontīti? Honti, tadupatthambhakassa pana cittasamuṭṭhānassa asamuṭṭhāpanaṃ sandhāya ‘‘asambhavato’’ti vuttanti daṭṭhabbaṃ. Sahajātapacchājātaviññāṇassa pana vasena tadāpi viññāṇapaccayā nāmarūpaṃ, pacchājātasahajātanāmassa sahajātapurejātabhūtacakkhādirūpassa ca vasena nāmarūpapaccayā saḷāyatanañca labbhatīti tatiyacatutthavārā na na sambhavantīti.
กุสลาพฺยากตนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Kusalābyākataniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.
อวิชฺชามูลกกุสลนิเทฺทสวณฺณนา
Avijjāmūlakakusalaniddesavaṇṇanā
๓๓๔. สโมฺมหวเสนาติ กุสลผเล อนิจฺจาทิตาย สภเย สาทุรสวิสรุกฺขพีชสทิเส ตํนิพฺพตฺตกกุสเล จ อนาทีนวทสฺสิตาวเสนฯ สมติกฺกมตฺถํ ภาวนา สมติกฺกมภาวนา, ตทงฺควิกฺขมฺภนวเสน สมติกฺกมภูตา วา ภาวนา สมติกฺกมภาวนาฯ
334. Sammohavasenāti kusalaphale aniccāditāya sabhaye sādurasavisarukkhabījasadise taṃnibbattakakusale ca anādīnavadassitāvasena. Samatikkamatthaṃ bhāvanā samatikkamabhāvanā, tadaṅgavikkhambhanavasena samatikkamabhūtā vā bhāvanā samatikkamabhāvanā.
ตถา อิธ น ลพฺภนฺตีติ อวิชฺชาย เอว สงฺขารานํ อวิคตาทิปจฺจยตฺตาภาวํ สนฺธาย วุตฺตํ, วิญฺญาณาทีนํ ปน สงฺขาราทโย อวิคตาทิปจฺจยา โหนฺตีติ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขาโร, สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ สงฺขารเหตุกนฺติอาทินา โยชนา น น สกฺกา กาตุนฺติ อวิคตจตุกฺกาทีนิปิ น อิธ ลพฺภนฺติฯ วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ วิญฺญาณสมฺปยุตฺตํ นามนฺติอาทินา หิ ยถาลาภโยชนาย นโย ทสฺสิโตติฯ
Tathā idha na labbhantīti avijjāya eva saṅkhārānaṃ avigatādipaccayattābhāvaṃ sandhāya vuttaṃ, viññāṇādīnaṃ pana saṅkhārādayo avigatādipaccayā hontīti avijjāpaccayā saṅkhāro, saṅkhārapaccayā viññāṇaṃ saṅkhārahetukantiādinā yojanā na na sakkā kātunti avigatacatukkādīnipi na idha labbhanti. Viññāṇapaccayā nāmarūpaṃ viññāṇasampayuttaṃ nāmantiādinā hi yathālābhayojanāya nayo dassitoti.
อวิชฺชามูลกกุสลนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Avijjāmūlakakusalaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.
กุสลมูลกวิปากนิเทฺทสวณฺณนา
Kusalamūlakavipākaniddesavaṇṇanā
๓๔๓. ‘‘นานากฺขณิกกมฺมปจฺจเย ปน วตฺตพฺพเมว นตฺถี’’ติ วุตฺตํ, กิํ กุสลมูลํ อกุสลมูลญฺจ กมฺมปจฺจโย โหตีติ? น โหติ, กมฺมปจฺจยภูตาย ปน เจตนาย สํสฎฺฐํ กมฺมํ วิย ปจฺจโย โหติฯ เตน เอกีภาวมิว คตตฺตาติ เอวํ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ ยถา กุสลากุสลมูเลหิ วินา กมฺมํ วิปากํ น ชเนตีติ ตานิ วิปากสฺส ปริยาเยน อุปนิสฺสโยติ วุตฺตานิ, เอวํ กเมฺมน เอกีภูตานิ สํสฎฺฐานิ หุตฺวา กมฺมชานํ ปจฺจยา โหนฺตีติ ปริยาเยน เตสํ กมฺมปจฺจยตา วุตฺตาฯ เอสาติ เอส กุสลมูลปจฺจโย อกุสลมูลปจฺจโย จาติ โยเชตพฺพํฯ
343. ‘‘Nānākkhaṇikakammapaccayepana vattabbameva natthī’’ti vuttaṃ, kiṃ kusalamūlaṃ akusalamūlañca kammapaccayo hotīti? Na hoti, kammapaccayabhūtāya pana cetanāya saṃsaṭṭhaṃ kammaṃ viya paccayo hoti. Tena ekībhāvamiva gatattāti evaṃ vuttanti daṭṭhabbaṃ. Yathā kusalākusalamūlehi vinā kammaṃ vipākaṃ na janetīti tāni vipākassa pariyāyena upanissayoti vuttāni, evaṃ kammena ekībhūtāni saṃsaṭṭhāni hutvā kammajānaṃ paccayā hontīti pariyāyena tesaṃ kammapaccayatā vuttā. Esāti esa kusalamūlapaccayo akusalamūlapaccayo cāti yojetabbaṃ.
กุสลากุสลวิปากานํ วิย กิริยานํ อุปฺปาทกานิ อวิชฺชากุสลากุสลมูลานิ จ น โหนฺตีติ อาห ‘‘อุปนิสฺสยตํ น ลภนฺตี’’ติฯ มนสิกาโรปิ ชวนวีถิปฎิปาทกมตฺตตฺตา กุสลากุสลานิ วิย อวิชฺชํ อุปนิสฺสยํ น กโรติ, อวิชฺชูปนิสฺสยานํ ปน ปวตฺติอตฺถํ ภวงฺคาวฎฺฎนมตฺตํ โหติ, ปหีนาวิชฺชานญฺจ กิริยานํ อวิชฺชา เนวุปฺปาทิกา, อารมฺมณมตฺตเมว ปน โหติฯ เอวญฺจ กตฺวา ‘‘กุสโล ธโมฺม อพฺยากตสฺส ธมฺมสฺส อุปนิสฺสยปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ (ปฎฺฐา. ๑.๑.๔๒๓), ‘‘วิปากธมฺมธโมฺม เนววิปากนวิปากธมฺมธมฺมสฺส อุปนิสฺสยปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ (ปฎฺฐา. ๑.๓.๑๐๓) จ เอวมาทีสุ กิริยานํ อกุสลา อุปนิสฺสยปจฺจยภาเวน น อุทฺธฎาติฯ อปิจ ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา’’ติ เอตสฺส วเสน อวิชฺชามูลโก กุสลนโย วุโตฺต, ‘‘สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณ’’นฺติ เอตสฺส วเสน กุสลากุสลมูลโก วิปากนโย, กิริยานํ ปน เนว สงฺขารคฺคหเณน, น จ วิญฺญาณคฺคหเณน คหณํ คจฺฉตีติ ตํมูลโก กิริยานโย น ลพฺภตีติ น วุโตฺตติ ทฎฺฐโพฺพฯ
Kusalākusalavipākānaṃ viya kiriyānaṃ uppādakāni avijjākusalākusalamūlāni ca na hontīti āha ‘‘upanissayataṃ na labhantī’’ti. Manasikāropi javanavīthipaṭipādakamattattā kusalākusalāni viya avijjaṃ upanissayaṃ na karoti, avijjūpanissayānaṃ pana pavattiatthaṃ bhavaṅgāvaṭṭanamattaṃ hoti, pahīnāvijjānañca kiriyānaṃ avijjā nevuppādikā, ārammaṇamattameva pana hoti. Evañca katvā ‘‘kusalo dhammo abyākatassa dhammassa upanissayapaccayena paccayo’’ti (paṭṭhā. 1.1.423), ‘‘vipākadhammadhammo nevavipākanavipākadhammadhammassa upanissayapaccayena paccayo’’ti (paṭṭhā. 1.3.103) ca evamādīsu kiriyānaṃ akusalā upanissayapaccayabhāvena na uddhaṭāti. Apica ‘‘avijjāpaccayā saṅkhārā’’ti etassa vasena avijjāmūlako kusalanayo vutto, ‘‘saṅkhārapaccayā viññāṇa’’nti etassa vasena kusalākusalamūlako vipākanayo, kiriyānaṃ pana neva saṅkhāraggahaṇena, na ca viññāṇaggahaṇena gahaṇaṃ gacchatīti taṃmūlako kiriyānayo na labbhatīti na vuttoti daṭṭhabbo.
อเนกเภทโตติ อวิชฺชาทีนํ มูลปทานํ เอกจิตฺตกฺขณิกานํ กิริยเนฺต ปฐมนเย สหชาตาทิอเนกปจฺจยภาเวน คหิตตฺตา เตสํ ปจฺจยานํ วเสน นวาทิมูลปทานํ นยานํ วเสน, อเนกปฺปการโต จตุนฺนํ จตุกฺกานํ วเสนาติ วา อธิปฺปาโยฯ กุสลากุสลานํ ปน วิปาเก จาติ เอตฺถ กุสลากุสเลสุ กุสลากุสลานํ วิปาเก จาติ วตฺตพฺพํฯ ปุริมปจฺฉิเมสุ หิ นเยสุ ยถา ปจฺจยากาโร วุโตฺต, ตํทสฺสนตฺถํ ‘‘อเนกเภทโต เอกธาวา’’ติ วุตฺตํ, น จ ปจฺฉิมนเย กุสเล อเนกเภทโต ปจฺจยากาโร วุโตฺต, อถ โข ‘‘เอกธาวา’’ติฯ เอกธาวาติ จ มูลปเทกปจฺจยตาวเสน, เอกเสฺสว วา นยสฺส วเสน เอกปฺปกาเรนาติ อโตฺถ, ปฐมจตุกฺกเสฺสว วเสนาติ วา อธิปฺปาโยฯ ธมฺมปจฺจยเภเทติ อวิชฺชาทีนํ ธมฺมานํ ปจฺจยภาวเภเท ชรามรณาทีนํ ธมฺมานํ ชาติอาทิปจฺจยเภเท, ตํตํจิตฺตุปฺปาทสมยปริจฺฉินฺนานํ วา ผสฺสาทีนํ ธมฺมานํ เอกกฺขณิกาวิชฺชาทิปจฺจยเภเทฯ ปริยตฺติอาทีนํ กโม ปริยตฺติ…เป.… ปฎิปตฺติกฺกโมฯ ปจฺจยากาเร หิ ปาฬิปริยาปุณนตทตฺถสวนปาฬิอตฺถจินฺตนานิ ‘‘ชรามรณํ อนิจฺจํ สงฺขตํ…เป.… นิโรธธมฺม’’นฺติอาทินา ภาวนาปฎิปตฺติ จ กเมน กาตพฺพาติ กม-คฺคหณํ กโรติฯ ตโตติ ญาณปฺปเภทชนกโต กมโตฯ อญฺญํ กรณียตรํ นตฺถิฯ ตทายตฺตา หิ ทุกฺขนฺตกิริยาติฯ
Anekabhedatoti avijjādīnaṃ mūlapadānaṃ ekacittakkhaṇikānaṃ kiriyante paṭhamanaye sahajātādianekapaccayabhāvena gahitattā tesaṃ paccayānaṃ vasena navādimūlapadānaṃ nayānaṃ vasena, anekappakārato catunnaṃ catukkānaṃ vasenāti vā adhippāyo. Kusalākusalānaṃ pana vipāke cāti ettha kusalākusalesu kusalākusalānaṃ vipāke cāti vattabbaṃ. Purimapacchimesu hi nayesu yathā paccayākāro vutto, taṃdassanatthaṃ ‘‘anekabhedato ekadhāvā’’ti vuttaṃ, na ca pacchimanaye kusale anekabhedato paccayākāro vutto, atha kho ‘‘ekadhāvā’’ti. Ekadhāvāti ca mūlapadekapaccayatāvasena, ekasseva vā nayassa vasena ekappakārenāti attho, paṭhamacatukkasseva vasenāti vā adhippāyo. Dhammapaccayabhedeti avijjādīnaṃ dhammānaṃ paccayabhāvabhede jarāmaraṇādīnaṃ dhammānaṃ jātiādipaccayabhede, taṃtaṃcittuppādasamayaparicchinnānaṃ vā phassādīnaṃ dhammānaṃ ekakkhaṇikāvijjādipaccayabhede. Pariyattiādīnaṃ kamo pariyatti…pe… paṭipattikkamo. Paccayākāre hi pāḷipariyāpuṇanatadatthasavanapāḷiatthacintanāni ‘‘jarāmaraṇaṃ aniccaṃ saṅkhataṃ…pe… nirodhadhamma’’ntiādinā bhāvanāpaṭipatti ca kamena kātabbāti kama-ggahaṇaṃ karoti. Tatoti ñāṇappabhedajanakato kamato. Aññaṃ karaṇīyataraṃ natthi. Tadāyattā hi dukkhantakiriyāti.
กุสลมูลกวิปากนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Kusalamūlakavipākaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.
อภิธมฺมภาชนียวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Abhidhammabhājanīyavaṇṇanā niṭṭhitā.
ปฎิจฺจสมุปฺปาทวิภงฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Paṭiccasamuppādavibhaṅgavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / วิภงฺคปาฬิ • Vibhaṅgapāḷi / ๖. ปฎิจฺจสมุปฺปาทวิภโงฺค • 6. Paṭiccasamuppādavibhaṅgo
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / อภิธมฺมปิฎก (อฎฺฐกถา) • Abhidhammapiṭaka (aṭṭhakathā) / สโมฺมหวิโนทนี-อฎฺฐกถา • Sammohavinodanī-aṭṭhakathā
๑. สุตฺตนฺตภาชนียํ อุเทฺทสวารวณฺณนา • 1. Suttantabhājanīyaṃ uddesavāravaṇṇanā
๒. อภิธมฺมภาชนียวณฺณนา • 2. Abhidhammabhājanīyavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / วิภงฺค-อนุฎีกา • Vibhaṅga-anuṭīkā / ๖. ปฎิจฺจสมุปฺปาทวิภโงฺค • 6. Paṭiccasamuppādavibhaṅgo