Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วินยสงฺคห-อฎฺฐกถา • Vinayasaṅgaha-aṭṭhakathā

    ๒๑. ปวารณาวินิจฺฉยกถา

    21. Pavāraṇāvinicchayakathā

    ๑๑๖. ปฎิเกฺขปปวารณาติ ปญฺจนฺนํ โภชนานํ อญฺญตรํ ภุญฺชมาเนน ยสฺส กสฺสจิ อภิหฎโภชนสฺส ปฎิเกฺขปสงฺขาตา ปวารณาฯ สา จ น เกวลํ ปฎิเกฺขปมเตฺตน โหติ, อถ โข ปญฺจงฺควเสนฯ ตตฺริมานิ ปญฺจงฺคานิ – อสนํ, โภชนํ, ทายกสฺส หตฺถปาเส ฐานํ, อภิหาโร, อภิหฎสฺส ปฎิเกฺขโปติฯ ตตฺถ อสนนฺติ วิปฺปกตโภชนํ, ภุญฺชมาโน เจส ปุคฺคโล โหตีติ อโตฺถฯ โภชนนฺติ ปวารณปฺปโหนกํ โภชนํ, โอทนาทีนญฺจ อญฺญตรํ ปฎิกฺขิปิตพฺพํ โภชนํ โหตีติ อโตฺถฯ ทายกสฺส หตฺถปาเส ฐานนฺติ ปวารณปฺปโหนกํ โภชนํ คณฺหิตฺวา ทายกสฺส อฑฺฒเตยฺยหตฺถปฺปมาเณ โอกาเส อวฎฺฐานํฯ อภิหาโรติ หตฺถปาเส ฐิตสฺส ทายกสฺส กาเยน อภิหาโรฯ อภิหฎสฺส ปฎิเกฺขโปติ เอวํ อภิหฎสฺส กาเยน วา วาจาย วา ปฎิเกฺขโปฯ อิติ อิเมสํ ปญฺจนฺนํ องฺคานํ วเสน ปวารณา โหติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –

    116.Paṭikkhepapavāraṇāti pañcannaṃ bhojanānaṃ aññataraṃ bhuñjamānena yassa kassaci abhihaṭabhojanassa paṭikkhepasaṅkhātā pavāraṇā. Sā ca na kevalaṃ paṭikkhepamattena hoti, atha kho pañcaṅgavasena. Tatrimāni pañcaṅgāni – asanaṃ, bhojanaṃ, dāyakassa hatthapāse ṭhānaṃ, abhihāro, abhihaṭassa paṭikkhepoti. Tattha asananti vippakatabhojanaṃ, bhuñjamāno cesa puggalo hotīti attho. Bhojananti pavāraṇappahonakaṃ bhojanaṃ, odanādīnañca aññataraṃ paṭikkhipitabbaṃ bhojanaṃ hotīti attho. Dāyakassa hatthapāse ṭhānanti pavāraṇappahonakaṃ bhojanaṃ gaṇhitvā dāyakassa aḍḍhateyyahatthappamāṇe okāse avaṭṭhānaṃ. Abhihāroti hatthapāse ṭhitassa dāyakassa kāyena abhihāro. Abhihaṭassa paṭikkhepoti evaṃ abhihaṭassa kāyena vā vācāya vā paṭikkhepo. Iti imesaṃ pañcannaṃ aṅgānaṃ vasena pavāraṇā hoti. Vuttampi cetaṃ –

    ‘‘ปญฺจหิ, อุปาลิ, อากาเรหิ ปวารณา ปญฺญายติ, อสนํ ปญฺญายติ, โภชนํ ปญฺญายติ, หตฺถปาเส ฐิโต, อภิหรติ, ปฎิเกฺขโป ปญฺญายตี’’ติ (ปริ. ๔๒๘)ฯ

    ‘‘Pañcahi, upāli, ākārehi pavāraṇā paññāyati, asanaṃ paññāyati, bhojanaṃ paññāyati, hatthapāse ṭhito, abhiharati, paṭikkhepo paññāyatī’’ti (pari. 428).

    ๑๑๗. ตตฺรายํ วินิจฺฉโย (ปาจิ. อฎฺฐ. ๒๓๘-๙) – ‘‘อสน’’นฺติอาทีสุ ตาว ยํ อสฺนาติ, ยญฺจ โภชนํ หตฺถปาเส ฐิเตน อภิหฎํ ปฎิกฺขิปติ, ตํ โอทโน กุมฺมาโส สตฺตุ มโจฺฉ มํสนฺติ อิเมสํ อญฺญตรเมว เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ โอทโน นาม สาลิ วีหิ ยโว โคธุโม กงฺคุ วรโก กุทฺรูสโกติ สตฺตนฺนํ ธญฺญานํ ตณฺฑุเลหิ นิพฺพโตฺตฯ ตตฺร สาลีติ อนฺตมโส นีวารํ อุปาทาย สพฺพาปิ สาลิชาติฯ วีหีติ สพฺพาปิ วีหิชาติฯ ยวโคธุเมสุ เภโท นตฺถิฯ กงฺคูติ เสตรตฺตกาฬเภทา สพฺพาปิ กงฺคุชาติฯ วรโกติ อนฺตมโส วรกโจรกํ อุปาทาย สพฺพาปิ เสตวณฺณา วรกชาติฯ กุทฺรูสโกติ กาฬกุทฺรูสโก เจว สามากาทิเภทา จ สพฺพาปิ ติณธญฺญชาติฯ นีวารวรกโจรกา เจตฺถ ธญฺญานุโลมาติ วทนฺติ, ธญฺญานิ โหนฺตุ ธญฺญานุโลมานิ วา, เอเตสํ วุตฺตปฺปเภทานํ สตฺตนฺนํ ธญฺญานํ ตณฺฑุเล คเหตฺวา ‘‘ภตฺตํ ปจิสฺสามา’’ติ วา ‘‘ยาคุํ ปจิสฺสามา’’ติ วา ‘‘อมฺพิลปายาสาทีสุ อญฺญตรํ ปจิสฺสามา’’ติ วา ยํ กิญฺจิ สนฺธาย ปจนฺตุ, สเจ อุณฺหํ สีตลํ วา ภุญฺชนฺตานํ โภชนกาเล คหิตคหิตฎฺฐาเน โอธิ ปญฺญายติ, โอทนสงฺคหเมว คจฺฉติ, ปวารณํ ชเนติฯ สเจ โอธิ น ปญฺญายติ, ยาคุสงฺคหํ คจฺฉติ, ปวารณํ น ชเนติฯ

    117. Tatrāyaṃ vinicchayo (pāci. aṭṭha. 238-9) – ‘‘asana’’ntiādīsu tāva yaṃ asnāti, yañca bhojanaṃ hatthapāse ṭhitena abhihaṭaṃ paṭikkhipati, taṃ odano kummāso sattu maccho maṃsanti imesaṃ aññatarameva veditabbaṃ. Tattha odano nāma sāli vīhi yavo godhumo kaṅgu varako kudrūsakoti sattannaṃ dhaññānaṃ taṇḍulehi nibbatto. Tatra sālīti antamaso nīvāraṃ upādāya sabbāpi sālijāti. Vīhīti sabbāpi vīhijāti. Yavagodhumesu bhedo natthi. Kaṅgūti setarattakāḷabhedā sabbāpi kaṅgujāti. Varakoti antamaso varakacorakaṃ upādāya sabbāpi setavaṇṇā varakajāti. Kudrūsakoti kāḷakudrūsako ceva sāmākādibhedā ca sabbāpi tiṇadhaññajāti. Nīvāravarakacorakā cettha dhaññānulomāti vadanti, dhaññāni hontu dhaññānulomāni vā, etesaṃ vuttappabhedānaṃ sattannaṃ dhaññānaṃ taṇḍule gahetvā ‘‘bhattaṃ pacissāmā’’ti vā ‘‘yāguṃ pacissāmā’’ti vā ‘‘ambilapāyāsādīsu aññataraṃ pacissāmā’’ti vā yaṃ kiñci sandhāya pacantu, sace uṇhaṃ sītalaṃ vā bhuñjantānaṃ bhojanakāle gahitagahitaṭṭhāne odhi paññāyati, odanasaṅgahameva gacchati, pavāraṇaṃ janeti. Sace odhi na paññāyati, yāgusaṅgahaṃ gacchati, pavāraṇaṃ na janeti.

    โยปิ ปายาโส วา ปณฺณผลกฬีรมิสฺสกา อมฺพิลยาคุ วา อุทฺธนโต โอตาริตมตฺตา อพฺภุณฺหา โหติ อาวชฺชิตฺวา ปิวิตุํ สกฺกา, หเตฺถน คหิโตกาเสปิ โอธิํ น ทเสฺสติ, ปวารณํ น ชเนติฯ สเจ ปน อุสุมาย วิคตาย สีตลภูตา ฆนภาวํ คจฺฉติ, โอธิํ ทเสฺสติ, ปุน ปวารณํ ชเนติ, ปุเพฺพ ตนุภาโว น รกฺขติฯ สเจปิ ทธิตกฺกาทีนิ อาโรเปตฺวา พหู ปณฺณผลกฬีเร ปกฺขิปิตฺวา มุฎฺฐิมตฺตาปิ ตณฺฑุลา ปกฺขิตฺตา โหนฺติ, โภชนกาเล เจ โอธิ ปญฺญายติ, ปวารณํ ชเนติฯ อยาคุเก นิมนฺตเน ‘‘ยาคุํ ทสฺสามา’’ติ ภเตฺต อุทกกญฺชิกขีราทีนิ อากิริตฺวา ‘‘ยาคุํ คณฺหถา’’ติ เทนฺติฯ กิญฺจาปิ ตนุโก โหติ, ปวารณํ ชเนติเยวฯ สเจ ปน ปกฺกุถิเตสุ อุทกาทีสุ ปกฺขิปิตฺวา ปจิตฺวา เทนฺติ, ยาคุสงฺคหเมว คจฺฉติฯ ยาคุสงฺคหํ คเตปิ ตสฺมิํ วา อญฺญสฺมิํ วา ยตฺถ มจฺฉมํสํ ปกฺขิปนฺติ, สเจ สาสปมตฺตมฺปิ มจฺฉมํสขณฺฑํ วา นฺหารุ วา ปญฺญายติ, ปวารณํ ชเนติ, สุทฺธรสโก ปน รสกยาคุ วา น ชเนติฯ ฐเปตฺวา วุตฺตธญฺญตณฺฑุเล อเญฺญหิ เวณุตณฺฑุลาทีหิ วา กณฺฑมูลผเลหิ วา เยหิ เกหิจิ กตํ ภตฺตมฺปิ ปวารณํ น ชเนติ, ปเคว ฆนยาคุฯ สเจ ปเนตฺถ มจฺฉมํสํ ปกฺขิปนฺติ, ชเนติฯ มหาปจฺจริยํ ‘‘ปุปฺผิอตฺถาย ภตฺตมฺปิ ปวารณํ ชเนตี’’ติ วุตฺตํฯ ปุปฺผิอตฺถาย ภตฺตํ นาม ปุปฺผิขชฺชกตฺถาย กุถิตุทเก ปกฺขิปิตฺวา เสทิตตณฺฑุลา วุจฺจนฺติฯ สเจ ปน เต ตณฺฑุเล สุกฺขาเปตฺวา ขาทนฺติ, วฎฺฎติ, เนว สตฺตุสงฺขฺยํ, น ภตฺตสงฺขฺยํ คจฺฉนฺติฯ ปุน เตหิ กตภตฺตํ ปวาเรติเยวฯ เต ตณฺฑุเล สปฺปิเตลาทีสุ วา ปจนฺติ, ปูวํ วา กโรนฺติ, น ปวาเรนฺติฯ ปุถุกา วา ตาหิ กตสตฺตุภตฺตาทีนิ วา น ปวาเรนฺติฯ

    Yopi pāyāso vā paṇṇaphalakaḷīramissakā ambilayāgu vā uddhanato otāritamattā abbhuṇhā hoti āvajjitvā pivituṃ sakkā, hatthena gahitokāsepi odhiṃ na dasseti, pavāraṇaṃ na janeti. Sace pana usumāya vigatāya sītalabhūtā ghanabhāvaṃ gacchati, odhiṃ dasseti, puna pavāraṇaṃ janeti, pubbe tanubhāvo na rakkhati. Sacepi dadhitakkādīni āropetvā bahū paṇṇaphalakaḷīre pakkhipitvā muṭṭhimattāpi taṇḍulā pakkhittā honti, bhojanakāle ce odhi paññāyati, pavāraṇaṃ janeti. Ayāguke nimantane ‘‘yāguṃ dassāmā’’ti bhatte udakakañjikakhīrādīni ākiritvā ‘‘yāguṃ gaṇhathā’’ti denti. Kiñcāpi tanuko hoti, pavāraṇaṃ janetiyeva. Sace pana pakkuthitesu udakādīsu pakkhipitvā pacitvā denti, yāgusaṅgahameva gacchati. Yāgusaṅgahaṃ gatepi tasmiṃ vā aññasmiṃ vā yattha macchamaṃsaṃ pakkhipanti, sace sāsapamattampi macchamaṃsakhaṇḍaṃ vā nhāru vā paññāyati, pavāraṇaṃ janeti, suddharasako pana rasakayāgu vā na janeti. Ṭhapetvā vuttadhaññataṇḍule aññehi veṇutaṇḍulādīhi vā kaṇḍamūlaphalehi vā yehi kehici kataṃ bhattampi pavāraṇaṃ na janeti, pageva ghanayāgu. Sace panettha macchamaṃsaṃ pakkhipanti, janeti. Mahāpaccariyaṃ ‘‘pupphiatthāya bhattampi pavāraṇaṃ janetī’’ti vuttaṃ. Pupphiatthāya bhattaṃ nāma pupphikhajjakatthāya kuthitudake pakkhipitvā seditataṇḍulā vuccanti. Sace pana te taṇḍule sukkhāpetvā khādanti, vaṭṭati, neva sattusaṅkhyaṃ, na bhattasaṅkhyaṃ gacchanti. Puna tehi katabhattaṃ pavāretiyeva. Te taṇḍule sappitelādīsu vā pacanti, pūvaṃ vā karonti, na pavārenti. Puthukā vā tāhi katasattubhattādīni vā na pavārenti.

    กุมฺมาโส นาม ยเวหิ กตกุมฺมาโสฯ อเญฺญหิ ปน มุคฺคาทีหิ กตกุมฺมาโส ปวารณํ น ชเนติฯ

    Kummāso nāma yavehi katakummāso. Aññehi pana muggādīhi katakummāso pavāraṇaṃ na janeti.

    สตฺตุ นาม สาลิวีหิยเวหิ กตสตฺตุฯ กงฺคุวรกกุทฺรูสกสีสานิปิ ภชฺชิตฺวา อีสกํ โกเฎฺฎตฺวา ถุเส ปลาเปตฺวา ปุน ทฬฺหํ โกเฎฺฎตฺวา จุณฺณํ กโรนฺติฯ สเจปิ ตํ อลฺลตฺตา เอกพทฺธํ โหติ, สตฺตุสงฺคหเมว คจฺฉติฯ ขรปากภชฺชิตานํ วีหีนํ ตณฺฑุเล โกเฎฺฎตฺวา เทนฺติ, ตมฺปิ จุณฺณํ สตฺตุสงฺคหเมว คจฺฉติฯ สมปากภชฺชิตานํ ปน วีหีนํ วา วีหิปลาสานํ วา ตณฺฑุลา ภชฺชิตตณฺฑุลา เอว วา น ปวาเรนฺติฯ เตสํ ปน ตณฺฑุลานํ จุณฺณํ ปวาเรติ, ขรปากภชฺชิตานํ วีหีนํ กุณฺฑกมฺปิ ปวาเรติฯ สมปากภชฺชิตานํ ปน อาตปสุกฺขานํ วา กุณฺฑกํ น ปวาเรติฯ ลาชา วา เตหิ กตภตฺตสตฺตุอาทีนิ วา น ปวาเรนฺติ, ภชฺชิตปิฎฺฐํ วา ยํ กิญฺจิ สุทฺธขชฺชกํ วา น ปวาเรติฯ มจฺฉมํสปูริตขชฺชกํ ปน สตฺตุโมทโก วา ปวาเรติฯ มโจฺฉ มํสญฺจ ปากฎเมวฯ

    Sattu nāma sālivīhiyavehi katasattu. Kaṅguvarakakudrūsakasīsānipi bhajjitvā īsakaṃ koṭṭetvā thuse palāpetvā puna daḷhaṃ koṭṭetvā cuṇṇaṃ karonti. Sacepi taṃ allattā ekabaddhaṃ hoti, sattusaṅgahameva gacchati. Kharapākabhajjitānaṃ vīhīnaṃ taṇḍule koṭṭetvā denti, tampi cuṇṇaṃ sattusaṅgahameva gacchati. Samapākabhajjitānaṃ pana vīhīnaṃ vā vīhipalāsānaṃ vā taṇḍulā bhajjitataṇḍulā eva vā na pavārenti. Tesaṃ pana taṇḍulānaṃ cuṇṇaṃ pavāreti, kharapākabhajjitānaṃ vīhīnaṃ kuṇḍakampi pavāreti. Samapākabhajjitānaṃ pana ātapasukkhānaṃ vā kuṇḍakaṃ na pavāreti. Lājā vā tehi katabhattasattuādīni vā na pavārenti, bhajjitapiṭṭhaṃ vā yaṃ kiñci suddhakhajjakaṃ vā na pavāreti. Macchamaṃsapūritakhajjakaṃ pana sattumodako vā pavāreti. Maccho maṃsañca pākaṭameva.

    อยํ ปน วิเสโส – สเจ ยาคุํ ปิวนฺตสฺส ยาคุสิตฺถมตฺตาเนว เทฺว มจฺฉขณฺฑานิ วา มํสขณฺฑานิ วา เอกภาชเน วา นานาภาชเน วา เทนฺติ, ตานิ เจ อขาทโนฺต อญฺญํ ยํ กิญฺจิ ปวารณปฺปโหนกํ ปฎิกฺขิปติ, น ปวาเรติฯ ตโต เอกํ ขาทิตํ, เอกํ หเตฺถ วา ปเตฺต วา โหติ, โส เจ อญฺญํ ปฎิกฺขิปติ, ปวาเรติฯ เทฺวปิ ขาทิตานิ โหนฺติ, มุเข สาสปมตฺตมฺปิ อวสิฎฺฐํ นตฺถิ, สเจปิ อญฺญํ ปฎิกฺขิปติ, น ปวาเรติฯ กปฺปิยมํสํ ขาทโนฺต กปฺปิยมํสํ ปฎิกฺขิปติ, ปวาเรติฯ กปฺปิยมํสํ ขาทโนฺต อกปฺปิยมํสํ ปฎิกฺขิปติ, น ปวาเรติฯ กสฺมา? อวตฺถุตายฯ ยญฺหิ ภิกฺขุโน ขาทิตุํ วฎฺฎติ, ตํเยว ปฎิกฺขิปโต ปวารณา โหติฯ อิทํ ปน ชานโนฺต อกปฺปิยตฺตา ปฎิกฺขิปติ, อชานโนฺตปิ ปฎิกฺขิปิตพฺพฎฺฐาเน ฐิตเมว ปฎิกฺขิปติ นาม, ตสฺมา น ปวาเรติฯ สเจ ปน อกปฺปิยมํสํ ขาทโนฺต กปฺปิยมํสํ ปฎิกฺขิปติ, ปวาเรติฯ กสฺมา? วตฺถุตายฯ ยญฺหิ เตน ปฎิกฺขิตฺตํ, ตํ ปวารณาย วตฺถุ, ยํ ปน ขาทติ, ตํ กิญฺจาปิ ปฎิกฺขิปิตพฺพฎฺฐาเน ฐิตํ, ขาทิยมานํ ปน มํสภาวํ น ชหติ, ตสฺมา ปวาเรติฯ อกปฺปิยมํสํ วา ขาทโนฺต อกปฺปิยมํสํ ปฎิกฺขิปติ, ปุริมนเยเนว น ปวาเรติฯ กปฺปิยมํสํ วา อกปฺปิยมํสํ วา ขาทโนฺต ปญฺจนฺนํ โภชนานํ ยํ กิญฺจิ กปฺปิยโภชนํ ปฎิกฺขิปติ, ปวาเรติฯ กุลทูสกเวชฺชกมฺมอุตฺตริมนุสฺสธมฺมาโรจนสาทิตรูปิยาทีหิ นิพฺพตฺตํ พุทฺธปฎิกุฎฺฐํ อเนสนาย อุปฺปนฺนํ อกปฺปิยโภชนํ ปฎิกฺขิปติ, น ปวาเรติฯ กปฺปิยโภชนํ วา อกปฺปิยโภชนํ ปฎิกฺขิปติ, น ปวาเรติฯ กปฺปิยโภชนํ วา อกปฺปิยโภชนํ วา ภุญฺชโนฺตปิ กปฺปิยโภชนํ ปฎิกฺขิปติ, ปวาเรติฯ อกปฺปิยโภชนํ ปฎิกฺขิปติ, น ปวาเรตีติ สพฺพตฺถ วุตฺตนเยเนว การณํ เวทิตพฺพํฯ

    Ayaṃ pana viseso – sace yāguṃ pivantassa yāgusitthamattāneva dve macchakhaṇḍāni vā maṃsakhaṇḍāni vā ekabhājane vā nānābhājane vā denti, tāni ce akhādanto aññaṃ yaṃ kiñci pavāraṇappahonakaṃ paṭikkhipati, na pavāreti. Tato ekaṃ khāditaṃ, ekaṃ hatthe vā patte vā hoti, so ce aññaṃ paṭikkhipati, pavāreti. Dvepi khāditāni honti, mukhe sāsapamattampi avasiṭṭhaṃ natthi, sacepi aññaṃ paṭikkhipati, na pavāreti. Kappiyamaṃsaṃ khādanto kappiyamaṃsaṃ paṭikkhipati, pavāreti. Kappiyamaṃsaṃ khādanto akappiyamaṃsaṃ paṭikkhipati, na pavāreti. Kasmā? Avatthutāya. Yañhi bhikkhuno khādituṃ vaṭṭati, taṃyeva paṭikkhipato pavāraṇā hoti. Idaṃ pana jānanto akappiyattā paṭikkhipati, ajānantopi paṭikkhipitabbaṭṭhāne ṭhitameva paṭikkhipati nāma, tasmā na pavāreti. Sace pana akappiyamaṃsaṃ khādanto kappiyamaṃsaṃ paṭikkhipati, pavāreti. Kasmā? Vatthutāya. Yañhi tena paṭikkhittaṃ, taṃ pavāraṇāya vatthu, yaṃ pana khādati, taṃ kiñcāpi paṭikkhipitabbaṭṭhāne ṭhitaṃ, khādiyamānaṃ pana maṃsabhāvaṃ na jahati, tasmā pavāreti. Akappiyamaṃsaṃ vā khādanto akappiyamaṃsaṃ paṭikkhipati, purimanayeneva na pavāreti. Kappiyamaṃsaṃ vā akappiyamaṃsaṃ vā khādanto pañcannaṃ bhojanānaṃ yaṃ kiñci kappiyabhojanaṃ paṭikkhipati, pavāreti. Kuladūsakavejjakammauttarimanussadhammārocanasāditarūpiyādīhi nibbattaṃ buddhapaṭikuṭṭhaṃ anesanāya uppannaṃ akappiyabhojanaṃ paṭikkhipati, na pavāreti. Kappiyabhojanaṃ vā akappiyabhojanaṃ paṭikkhipati, na pavāreti. Kappiyabhojanaṃ vā akappiyabhojanaṃ vā bhuñjantopi kappiyabhojanaṃ paṭikkhipati, pavāreti. Akappiyabhojanaṃ paṭikkhipati, na pavāretīti sabbattha vuttanayeneva kāraṇaṃ veditabbaṃ.

    ๑๑๘. เอวํ ‘‘อสน’’นฺติอาทีสุ ยญฺจ อสฺนาติ, ยญฺจ โภชนํ หตฺถปาเส ฐิเตน อภิหฎํ ปฎิกฺขิปโนฺต ปวารณํ อาปชฺชติ, ตํ อุตฺวา อิทานิ ยถา อาปชฺชติ, ตสฺส ชานนตฺถํ อยํ วินิจฺฉโย – อสนํ โภชนนฺติ เอตฺถ ตาว เยน เอกสิตฺถมฺปิ อโชฺฌหฎํ โหติ โส สเจ ปตฺตมุขหตฺถานํ ยตฺถ กตฺถจิ ปญฺจสุ โภชเนสุ เอกสฺมิมฺปิ สติ อญฺญํ ปญฺจสุ โภชเนสุ เอกมฺปิ ปฎิกฺขิปติ, ปวาเรติฯ กตฺถจิ โภชนํ นตฺถิ, อามิสคนฺธมตฺตํ ปญฺญายติ, น ปวาเรติฯ มุเข จ หเตฺถ จ โภชนํ นตฺถิ, ปเตฺต อตฺถิ, ตสฺมิํ ปน อาสเน อภุญฺชิตุกาโม, วิหารํ วา ปวิสิตฺวา ภุญฺชิตุกาโม, อญฺญสฺส วา ทาตุกาโม ตสฺมิํ เจ อนฺตเร โภชนํ ปฎิกฺขิปติ, น ปวาเรติฯ กสฺมา? วิปฺปกตโภชนภาวสฺส อุปจฺฉินฺนตฺตาฯ ‘‘โยปิ อญฺญตฺร คนฺตฺวา ภุญฺชิตุกาโม มุเข ภตฺตํ คิลิตฺวา เสสํ อาทาย คจฺฉโนฺต อนฺตรามเคฺค อญฺญํ โภชนํ ปฎิกฺขิปติ, ตสฺสปิ ปวารณา น โหตี’’ติ มหาปจฺจริยํ วุตฺตํฯ ยถา จ ปเตฺต, เอวํ หเตฺถปิฯ มุเขปิ วา วิชฺชมานํ โภชนํ สเจ อนโชฺฌหริตุกาโม โหติ, ตสฺมิญฺจ ขเณ อญฺญํ ปฎิกฺขิปติ, น ปวาเรติฯ เอกสฺมิญฺหิ ปเท วุตฺตํ ลกฺขณํ สพฺพตฺถ เวทิตพฺพํ โหติฯ อปิจ กุรุนฺทิยํ เอส นโย ทสฺสิโตเยวฯ วุตฺตญฺหิ ตตฺถ ‘‘มุเข ภตฺตํ คิลิตํ, หเตฺถ ภตฺตํ วิฆาสาทสฺส ทาตุกาโม, ปเตฺต ภตฺตํ ภิกฺขุสฺส ทาตุกาโม, สเจ ตสฺมิํ ขเณ ปฎิกฺขิปติ, น ปวาเรตี’’ติฯ

    118. Evaṃ ‘‘asana’’ntiādīsu yañca asnāti, yañca bhojanaṃ hatthapāse ṭhitena abhihaṭaṃ paṭikkhipanto pavāraṇaṃ āpajjati, taṃ utvā idāni yathā āpajjati, tassa jānanatthaṃ ayaṃ vinicchayo – asanaṃ bhojananti ettha tāva yena ekasitthampi ajjhohaṭaṃ hoti so sace pattamukhahatthānaṃ yattha katthaci pañcasu bhojanesu ekasmimpi sati aññaṃ pañcasu bhojanesu ekampi paṭikkhipati, pavāreti. Katthaci bhojanaṃ natthi, āmisagandhamattaṃ paññāyati, na pavāreti. Mukhe ca hatthe ca bhojanaṃ natthi, patte atthi, tasmiṃ pana āsane abhuñjitukāmo, vihāraṃ vā pavisitvā bhuñjitukāmo, aññassa vā dātukāmo tasmiṃ ce antare bhojanaṃ paṭikkhipati, na pavāreti. Kasmā? Vippakatabhojanabhāvassa upacchinnattā. ‘‘Yopi aññatra gantvā bhuñjitukāmo mukhe bhattaṃ gilitvā sesaṃ ādāya gacchanto antarāmagge aññaṃ bhojanaṃ paṭikkhipati, tassapi pavāraṇā na hotī’’ti mahāpaccariyaṃ vuttaṃ. Yathā ca patte, evaṃ hatthepi. Mukhepi vā vijjamānaṃ bhojanaṃ sace anajjhoharitukāmo hoti, tasmiñca khaṇe aññaṃ paṭikkhipati, na pavāreti. Ekasmiñhi pade vuttaṃ lakkhaṇaṃ sabbattha veditabbaṃ hoti. Apica kurundiyaṃ esa nayo dassitoyeva. Vuttañhi tattha ‘‘mukhe bhattaṃ gilitaṃ, hatthe bhattaṃ vighāsādassa dātukāmo, patte bhattaṃ bhikkhussa dātukāmo, sace tasmiṃ khaṇe paṭikkhipati, na pavāretī’’ti.

    หตฺถปาเส ฐิโตติ เอตฺถ ปน สเจ ภิกฺขุ นิสิโนฺน โหติ, อาสนสฺส ปจฺฉิมนฺตโต ปฎฺฐาย, สเจ ฐิโต, ปณฺหิอนฺตโต ปฎฺฐาย, สเจ นิปโนฺน, เยน ปเสฺสน นิปโนฺน, ตสฺส ปาริมนฺตโต ปฎฺฐาย, ทายกสฺส นิสินฺนสฺส วา ฐิตสฺส วา นิปนฺนสฺส วา ฐเปตฺวา ปสาริตหตฺถํ ยํ อาสนฺนตรํ องฺคํ, ตสฺส โอริมเนฺตน ปริจฺฉินฺทิตฺวา อฑฺฒเตยฺยหโตฺถ ‘‘หตฺถปาโส’’ติ เวทิตโพฺพฯ ตสฺมิํ ฐตฺวา อภิหฎํ ปฎิกฺขิปนฺตเสฺสว ปวารณา โหติ, น ตโต ปรํฯ

    Hatthapāse ṭhitoti ettha pana sace bhikkhu nisinno hoti, āsanassa pacchimantato paṭṭhāya, sace ṭhito, paṇhiantato paṭṭhāya, sace nipanno, yena passena nipanno, tassa pārimantato paṭṭhāya, dāyakassa nisinnassa vā ṭhitassa vā nipannassa vā ṭhapetvā pasāritahatthaṃ yaṃ āsannataraṃ aṅgaṃ, tassa orimantena paricchinditvā aḍḍhateyyahattho ‘‘hatthapāso’’ti veditabbo. Tasmiṃ ṭhatvā abhihaṭaṃ paṭikkhipantasseva pavāraṇā hoti, na tato paraṃ.

    อภิหรตีติ หตฺถปาสพฺภนฺตเร ฐิโต คหณตฺถํ อุปนาเมติฯ สเจ ปน อนนฺตรนิสิโนฺนปิ ภิกฺขุ หเตฺถ วา อูรูสุ วา อาธารเก วา ฐิตํ ปตฺตํ อนภิหริตฺวา ‘‘ภตฺตํ คณฺหาหี’’ติ วทติ, ตํ ปฎิกฺขิปโต ปวารณา นตฺถิฯ ภตฺตปจฺฉิํ อาเนตฺวา ปุรโต ภูมิยํ ฐเปตฺวา ‘‘คณฺหาหี’’ติ วุเตฺตปิ เอเสว นโยฯ อีสกํ ปน อุทฺธริตฺวา วา อปนาเมตฺวา วา ‘‘คณฺหถา’’ติ วุเตฺต ปฎิกฺขิปโต ปวารณา โหติฯ เถราสเน นิสิโนฺน เถโร ทูเร นิสินฺนสฺส ทหรภิกฺขุสฺส ปตฺตํ เปเสตฺวา ‘‘อิโต โอทนํ คณฺหาหี’’ติ วทติ, คณฺหิตฺวา ปน คโต ตุณฺหี ติฎฺฐติ, ทหโร ‘‘อลํ มยฺห’’นฺติ ปฎิกฺขิปติ, น ปวาเรติฯ กสฺมา? เถรสฺส ทูรภาวโต ทูตสฺส จ อนภิหรณโตฯ สเจ ปน คเหตฺวา อาคโต ภิกฺขุ ‘‘อิทํ ภตฺตํ คณฺหา’’ติ วทติ, ตํ ปฎิกฺขิปโต ปวารณา โหติฯ ปริเวสนายเอโก เอเกน หเตฺถน โอทนปจฺฉิํ, เอเกน กฎจฺฉุํ คเหตฺวา ภิกฺขุํ ปริวิสติ, ตตฺร เจ อโญฺญ อาคนฺตฺวา ‘‘อหํ ปจฺฉิํ ธาเรสฺสามิ, ตฺวํ โอทนํ เทหี’’ติ วตฺวา คหิตมตฺตเมว กโรติ, ปริเวสโก เอว ปน ตํ ธาเรติ, ตสฺมา สา อภิหฎาว โหติ, ตโต ทาตุกามตาย คณฺหนฺตํ ปฎิกฺขิปนฺตสฺส ปวารณา โหติฯ สเจ ปน ปริเวสเกน ผุฎฺฐมตฺตาว โหติ, อิตโรว นํ ธาเรติ, ตโต ทาตุกามตาย คณฺหนฺตํ ปฎิกฺขิปนฺตสฺส ปวารณา น โหติ, กฎจฺฉุนา อุทฺธฎภเตฺต ปน โหติฯ กฎจฺฉุนา อภิหาโรเยว หิ ตสฺส อภิหาโรฯ ‘‘ทฺวินฺนํ สมภาเรปิ ปฎิกฺขิปโนฺต ปวาเรติเยวา’’ติ มหาปจฺจริยํ วุตฺตํฯ อนนฺตรสฺส ภิกฺขุโน ภเตฺต ทียมาเน อิตโร ปตฺตํ หเตฺถน ปิทหติ, ปวารณา นตฺถิฯ กสฺมา? อญฺญสฺส อภิหเฎ ปฎิกฺขิตฺตตฺตาฯ

    Abhiharatīti hatthapāsabbhantare ṭhito gahaṇatthaṃ upanāmeti. Sace pana anantaranisinnopi bhikkhu hatthe vā ūrūsu vā ādhārake vā ṭhitaṃ pattaṃ anabhiharitvā ‘‘bhattaṃ gaṇhāhī’’ti vadati, taṃ paṭikkhipato pavāraṇā natthi. Bhattapacchiṃ ānetvā purato bhūmiyaṃ ṭhapetvā ‘‘gaṇhāhī’’ti vuttepi eseva nayo. Īsakaṃ pana uddharitvā vā apanāmetvā vā ‘‘gaṇhathā’’ti vutte paṭikkhipato pavāraṇā hoti. Therāsane nisinno thero dūre nisinnassa daharabhikkhussa pattaṃ pesetvā ‘‘ito odanaṃ gaṇhāhī’’ti vadati, gaṇhitvā pana gato tuṇhī tiṭṭhati, daharo ‘‘alaṃ mayha’’nti paṭikkhipati, na pavāreti. Kasmā? Therassa dūrabhāvato dūtassa ca anabhiharaṇato. Sace pana gahetvā āgato bhikkhu ‘‘idaṃ bhattaṃ gaṇhā’’ti vadati, taṃ paṭikkhipato pavāraṇā hoti. Parivesanāyaeko ekena hatthena odanapacchiṃ, ekena kaṭacchuṃ gahetvā bhikkhuṃ parivisati, tatra ce añño āgantvā ‘‘ahaṃ pacchiṃ dhāressāmi, tvaṃ odanaṃ dehī’’ti vatvā gahitamattameva karoti, parivesako eva pana taṃ dhāreti, tasmā sā abhihaṭāva hoti, tato dātukāmatāya gaṇhantaṃ paṭikkhipantassa pavāraṇā hoti. Sace pana parivesakena phuṭṭhamattāva hoti, itarova naṃ dhāreti, tato dātukāmatāya gaṇhantaṃ paṭikkhipantassa pavāraṇā na hoti, kaṭacchunā uddhaṭabhatte pana hoti. Kaṭacchunā abhihāroyeva hi tassa abhihāro. ‘‘Dvinnaṃ samabhārepi paṭikkhipanto pavāretiyevā’’ti mahāpaccariyaṃ vuttaṃ. Anantarassa bhikkhuno bhatte dīyamāne itaro pattaṃ hatthena pidahati, pavāraṇā natthi. Kasmā? Aññassa abhihaṭe paṭikkhittattā.

    ปฎิเกฺขโป ปญฺญายตีติ เอตฺถ วาจาย อภิหฎํ ปฎิกฺขิปโต ปวารณา นตฺถิ, กาเยน อภิหฎํ ปน เยน เกนจิ อากาเรน กาเยน วา วาจาย วา ปฎิกฺขิปนฺตสฺส ปวารณา โหตีติ เวทิตโพฺพฯ ตตฺร กาเยน ปฎิเกฺขโป นาม องฺคุลิํ วา หตฺถํ วา มกฺขิกาพีชนิํ วา จีวรกณฺณํ วา จาเลติ, ภมุกาย วา อาการํ กโรติ, กุโทฺธ วา โอโลเกติฯ วาจาย ปฎิเกฺขโป นาม ‘‘อล’’นฺติ วา ‘‘น คณฺหามี’’ติ วา ‘‘มา อากิรา’’ติ วา ‘‘อปคจฺฉา’’ติ วา วทติฯ เอวํ เยน เกนจิ อากาเรน กาเยน วา วาจาย วา ปฎิกฺขิเตฺต ปวารณา โหติฯ

    Paṭikkhepo paññāyatīti ettha vācāya abhihaṭaṃ paṭikkhipato pavāraṇā natthi, kāyena abhihaṭaṃ pana yena kenaci ākārena kāyena vā vācāya vā paṭikkhipantassa pavāraṇā hotīti veditabbo. Tatra kāyena paṭikkhepo nāma aṅguliṃ vā hatthaṃ vā makkhikābījaniṃ vā cīvarakaṇṇaṃ vā cāleti, bhamukāya vā ākāraṃ karoti, kuddho vā oloketi. Vācāya paṭikkhepo nāma ‘‘ala’’nti vā ‘‘na gaṇhāmī’’ti vā ‘‘mā ākirā’’ti vā ‘‘apagacchā’’ti vā vadati. Evaṃ yena kenaci ākārena kāyena vā vācāya vā paṭikkhitte pavāraṇā hoti.

    ๑๑๙. เอโก อภิหเฎ ภเตฺต ปวารณาย ภีโต หเตฺถ อปเนตฺวา ปุนปฺปุนํ ปเตฺต โอทนํ อากิรนฺตํ ‘‘อากิร อากิร, โกเฎฺฎตฺวา โกเฎฺฎตฺวา ปูเรหี’’ติ วทติ, เอตฺถ กถนฺติ? มหาสุมเตฺถโร ตาว ‘‘อนากิรณตฺถาย วุตฺตตฺตา ปวารณา โหตี’’ติ อาหฯ มหาปทุมเตฺถโร ปน ‘‘อากิร ปูเรหีติ วทนฺตสฺส นาม กสฺสจิ ปวารณา อตฺถี’’ติ วตฺวา ‘‘น ปวาเรตี’’ติ อาหฯ

    119. Eko abhihaṭe bhatte pavāraṇāya bhīto hatthe apanetvā punappunaṃ patte odanaṃ ākirantaṃ ‘‘ākira ākira, koṭṭetvā koṭṭetvā pūrehī’’ti vadati, ettha kathanti? Mahāsumatthero tāva ‘‘anākiraṇatthāya vuttattā pavāraṇā hotī’’ti āha. Mahāpadumatthero pana ‘‘ākira pūrehīti vadantassa nāma kassaci pavāraṇā atthī’’ti vatvā ‘‘na pavāretī’’ti āha.

    อปโร ภตฺตํ อภิหรนฺตํ ภิกฺขุํ สลฺลเกฺขตฺวา ‘‘กิํ, อาวุโส, อิโตปิ กิญฺจิ คณฺหิสฺสสิ, ทมฺมิ เต กิญฺจี’’ติ อาห, ตตฺราปิ ‘‘เอวํ นาคมิสฺสตีติ วุตฺตตฺตา ปวารณา โหตี’’ติ มหาสุมเตฺถโร อาหฯ มหาปทุมเตฺถโร ปน ‘‘คณฺหิสฺสสีติ วทนฺตสฺส นาม กสฺสจิ ปวารณา อตฺถี’’ติ วตฺวา ‘‘น ปวาเรตี’’ติ อาหฯ

    Aparo bhattaṃ abhiharantaṃ bhikkhuṃ sallakkhetvā ‘‘kiṃ, āvuso, itopi kiñci gaṇhissasi, dammi te kiñcī’’ti āha, tatrāpi ‘‘evaṃ nāgamissatīti vuttattā pavāraṇā hotī’’ti mahāsumatthero āha. Mahāpadumatthero pana ‘‘gaṇhissasīti vadantassa nāma kassaci pavāraṇā atthī’’ti vatvā ‘‘na pavāretī’’ti āha.

    เอโก สมํสกํ รสํ อภิหริตฺวา ‘‘รสํ คณฺหถา’’ติ วทติ, ตํ สุตฺวา ปฎิกฺขิปโต ปวารณา นตฺถิฯ ‘‘มจฺฉมํสรส’’นฺติ วุเตฺต ปฎิกฺขิปโต ปวารณา โหติ, ‘‘อิทํ คณฺหถา’’ติ วุเตฺตปิ โหติเยวฯ มํสํ วิสุํ กตฺวา ‘‘มํสรสํ คณฺหถา’’ติ วทติ, ‘‘ตตฺถ เจ สาสปมตฺตมฺปิ มํสขณฺฑํ อตฺถิ, ตํ ปฎิกฺขิปโต ปวารณา โหติฯ สเจ ปน ปริสฺสาวิโต โหติ, วฎฺฎตี’’ติ อภยเตฺถโร อาหฯ

    Eko samaṃsakaṃ rasaṃ abhiharitvā ‘‘rasaṃ gaṇhathā’’ti vadati, taṃ sutvā paṭikkhipato pavāraṇā natthi. ‘‘Macchamaṃsarasa’’nti vutte paṭikkhipato pavāraṇā hoti, ‘‘idaṃ gaṇhathā’’ti vuttepi hotiyeva. Maṃsaṃ visuṃ katvā ‘‘maṃsarasaṃ gaṇhathā’’ti vadati, ‘‘tattha ce sāsapamattampi maṃsakhaṇḍaṃ atthi, taṃ paṭikkhipato pavāraṇā hoti. Sace pana parissāvito hoti, vaṭṭatī’’ti abhayatthero āha.

    มํสรเสน อาปุจฺฉนฺตํ มหาเถโร ‘‘มุหุตฺตํ อาคเมหี’’ติ วตฺวา ‘‘ถาลกํ, อาวุโส, อาหรา’’ติ อาห, เอตฺถ กถนฺติ? มหาสุมเตฺถโร ตาว ‘‘อภิหารกสฺส คมนํ อุปจฺฉินฺนํ, ตสฺมา ปวาเรตี’’ติ อาหฯ มหาปทุมเตฺถโร ปน ‘‘อยํ กุหิํ คจฺฉติ, กีทิสํ เอตสฺส คมนํ, คณฺหนฺตสฺสปิ นาม กสฺสจิ ปวารณา อตฺถี’’ติ วตฺวา ‘‘น ปวาเรตี’’ติ อาหฯ

    Maṃsarasena āpucchantaṃ mahāthero ‘‘muhuttaṃ āgamehī’’ti vatvā ‘‘thālakaṃ, āvuso, āharā’’ti āha, ettha kathanti? Mahāsumatthero tāva ‘‘abhihārakassa gamanaṃ upacchinnaṃ, tasmā pavāretī’’ti āha. Mahāpadumatthero pana ‘‘ayaṃ kuhiṃ gacchati, kīdisaṃ etassa gamanaṃ, gaṇhantassapi nāma kassaci pavāraṇā atthī’’ti vatvā ‘‘na pavāretī’’ti āha.

    กฬีรปนสาทีหิ มิเสฺสตฺวา มํสํ ปจนฺติ, ตํ คเหตฺวา ‘‘กฬีรสูปํ คณฺหถ, ปนสพฺยญฺชนํ คณฺหถา’’ติ วทนฺติ, เอวมฺปิ น ปวาเรติฯ กสฺมา? อปวารณารหสฺส นาเมน วุตฺตตฺตาฯ สเจ ปน ‘‘มจฺฉสูปํ มํสสูป’’นฺติ วา ‘‘อิทํ คณฺหถา’’ติ วา วทนฺติ, ปวาเรติ, มํสกรมฺพโก นาม โหติฯ ตํ ทาตุกาโมปิ ‘‘กรมฺพกํ คณฺหถา’’ติ วทติ, วฎฺฎติ, น ปวาเรติ, ‘‘มํสกรมฺพก’’นฺติ วา ‘‘อิท’’นฺติ วา วุเตฺต ปน ปวาเรติฯ เอส นโย สเพฺพสุ มจฺฉมํสมิสฺสเกสุฯ

    Kaḷīrapanasādīhi missetvā maṃsaṃ pacanti, taṃ gahetvā ‘‘kaḷīrasūpaṃ gaṇhatha, panasabyañjanaṃ gaṇhathā’’ti vadanti, evampi na pavāreti. Kasmā? Apavāraṇārahassa nāmena vuttattā. Sace pana ‘‘macchasūpaṃ maṃsasūpa’’nti vā ‘‘idaṃ gaṇhathā’’ti vā vadanti, pavāreti, maṃsakarambako nāma hoti. Taṃ dātukāmopi ‘‘karambakaṃ gaṇhathā’’ti vadati, vaṭṭati, na pavāreti, ‘‘maṃsakarambaka’’nti vā ‘‘ida’’nti vā vutte pana pavāreti. Esa nayo sabbesu macchamaṃsamissakesu.

    ๑๒๐. ‘‘โย ปน นิมนฺตเน ภุญฺชมาโน มํสํ อภิหฎํ ‘อุทฺทิสฺสกต’นฺติ มญฺญมาโน ปฎิกฺขิปติ, ปวาริโตว โหตี’’ติ มหาปจฺจริยํ วุตฺตํฯ มิสฺสกกถา ปน กุรุนฺทิยํ สุฎฺฐุ วุตฺตาฯ เอวญฺหิ ตตฺถ วุตฺตํ – ปิณฺฑจาริโก ภิกฺขุ ภตฺตมิสฺสกํ ยาคุํ อาหริตฺวา ‘‘ยาคุํ คณฺหถา’’ติ วทติ, น ปวาเรติ, ‘‘ภตฺตํ คณฺหถา’’ติ วุเตฺต ปวาเรติฯ กสฺมา? เยนาปุจฺฉิโต, ตสฺส อตฺถิตายฯ อยเมตฺถ อธิปฺปาโย – ‘‘ยาคุมิสฺสกํ คณฺหถา’’ติ วทติ, ตตฺร เจ ยาคุ พหุตรา วา โหติ สมสมา วา, น ปวาเรติฯ ยาคุ มนฺทา, ภตฺตํ พหุตรํ, ปวาเรติฯ อิทญฺจ สพฺพอฎฺฐกถาสุ วุตฺตตฺตา น สกฺกา ปฎิกฺขิปิตุํ, การณํ ปเนตฺถ ทุทฺทสํฯ ‘‘ภตฺตมิสฺสกํ คณฺหถา’’ติ วทติ, ภตฺตํ พหุตรํ วา สมํ วา อปฺปตรํ วา โหติ, ปวาเรติเยว ฯ ภตฺตํ วา ยาคุํ วา อนามสิตฺวา ‘‘มิสฺสกํ คณฺหถา’’ติ วทติ, ตตฺร เจ ภตฺตํ พหุตรํ วา สมกํ วา โหติ, ปวาเรติ, อปฺปตรํ น ปวาเรติ, อิทญฺจ กรมฺพเกน น สมาเนตพฺพํฯ กรมฺพโก หิ มํสมิสฺสโกปิ โหติ อมํสมิสฺสโกปิ, ตสฺมา กรมฺพกนฺติ วุเตฺต ปวารณา นตฺถิ, อิทํ ปน ภตฺตมิสฺสกเมวฯ เอตฺถ วุตฺตนเยเนว ปวารณา โหติฯ พหุรเส ภเตฺต รสํ, พหุขีเร ขีรํ, พหุสปฺปิมฺหิ จ ปายาเส สปฺปิํ คณฺหถาติ วิสุํ กตฺวา เทติ, ตํ ปฎิกฺขิปโต ปวารณา นตฺถิฯ

    120. ‘‘Yo pana nimantane bhuñjamāno maṃsaṃ abhihaṭaṃ ‘uddissakata’nti maññamāno paṭikkhipati, pavāritova hotī’’ti mahāpaccariyaṃ vuttaṃ. Missakakathā pana kurundiyaṃ suṭṭhu vuttā. Evañhi tattha vuttaṃ – piṇḍacāriko bhikkhu bhattamissakaṃ yāguṃ āharitvā ‘‘yāguṃ gaṇhathā’’ti vadati, na pavāreti, ‘‘bhattaṃ gaṇhathā’’ti vutte pavāreti. Kasmā? Yenāpucchito, tassa atthitāya. Ayamettha adhippāyo – ‘‘yāgumissakaṃ gaṇhathā’’ti vadati, tatra ce yāgu bahutarā vā hoti samasamā vā, na pavāreti. Yāgu mandā, bhattaṃ bahutaraṃ, pavāreti. Idañca sabbaaṭṭhakathāsu vuttattā na sakkā paṭikkhipituṃ, kāraṇaṃ panettha duddasaṃ. ‘‘Bhattamissakaṃ gaṇhathā’’ti vadati, bhattaṃ bahutaraṃ vā samaṃ vā appataraṃ vā hoti, pavāretiyeva . Bhattaṃ vā yāguṃ vā anāmasitvā ‘‘missakaṃ gaṇhathā’’ti vadati, tatra ce bhattaṃ bahutaraṃ vā samakaṃ vā hoti, pavāreti, appataraṃ na pavāreti, idañca karambakena na samānetabbaṃ. Karambako hi maṃsamissakopi hoti amaṃsamissakopi, tasmā karambakanti vutte pavāraṇā natthi, idaṃ pana bhattamissakameva. Ettha vuttanayeneva pavāraṇā hoti. Bahurase bhatte rasaṃ, bahukhīre khīraṃ, bahusappimhi ca pāyāse sappiṃ gaṇhathāti visuṃ katvā deti, taṃ paṭikkhipato pavāraṇā natthi.

    โย ปน คจฺฉโนฺต ปวาเรติ, โส คจฺฉโนฺตว ภุญฺชิตุํ ลภติฯ กทฺทมํ วา อุทกํ วา ปตฺวา ฐิเตน อติริตฺตํ กาเรตพฺพํฯ สเจ อนฺตรา นที ปูรา โหติ, นทีตีเร คุมฺพํ อนุปริยายเนฺตน ภุญฺชิตพฺพํฯ อถ นาวา วา เสตุ วา อตฺถิ, ตํ อภิรุหิตฺวาปิ จงฺกมเนฺตเนว ภุญฺชิตพฺพํ, คมนํ น อุปจฺฉินฺทิตพฺพํฯ ยาเน วา หตฺถิอสฺสปิเฎฺฐ วา จนฺทมณฺฑเล วา สูริยมณฺฑเล วา นิสีทิตฺวา ปวาริเตน ยาว มชฺฌนฺหิกํ, ตาว เตสุ คจฺฉเนฺตสุปิ นิสิเนฺนเนว ภุญฺชิตพฺพํฯ โย ฐิโต ปวาเรติ, ฐิเตเนว, โย นิสิโนฺน ปวาเรติ, นิสิเนฺนเนว ปริภุญฺชิตพฺพํ, ตํ ตํ อิริยาปถํ วิโกเปเนฺตน อติริตฺตํ กาเรตพฺพํฯ โย อุกฺกุฎิโก นิสีทิตฺวา ปวาเรติ, เตน อุกฺกุฎิเกเนว ภุญฺชิตพฺพํฯ ตสฺส ปน เหฎฺฐา ปลาลปีฐํ วา กิญฺจิ วา นิสีทนกํ ทาตพฺพํฯ ปีฐเก นิสีทิตฺวา ปวาริเตน อาสนํ อจาเลตฺวาว จตโสฺส ทิสา ปริวตฺตเนฺตน ภุญฺชิตุํ ลพฺภติฯ มเญฺจ นิสีทิตฺวา ปวาริเตน อิโต วา เอโตฺต วา สญฺจริตุํ น ลพฺภติฯ สเจ ปน นํ สห มเญฺจน อุกฺขิปิตฺวา อญฺญตฺร เนนฺติ, วฎฺฎติฯ นิปชฺชิตฺวา ปวาริเตน นิปเนฺนเนว ปริภุญฺชิตพฺพํฯ ปริวตฺตเนฺตน เยน ปเสฺสน นิปโนฺน, ตสฺส ฐานํ นาติกฺกเมตพฺพํฯ

    Yo pana gacchanto pavāreti, so gacchantova bhuñjituṃ labhati. Kaddamaṃ vā udakaṃ vā patvā ṭhitena atirittaṃ kāretabbaṃ. Sace antarā nadī pūrā hoti, nadītīre gumbaṃ anupariyāyantena bhuñjitabbaṃ. Atha nāvā vā setu vā atthi, taṃ abhiruhitvāpi caṅkamanteneva bhuñjitabbaṃ, gamanaṃ na upacchinditabbaṃ. Yāne vā hatthiassapiṭṭhe vā candamaṇḍale vā sūriyamaṇḍale vā nisīditvā pavāritena yāva majjhanhikaṃ, tāva tesu gacchantesupi nisinneneva bhuñjitabbaṃ. Yo ṭhito pavāreti, ṭhiteneva, yo nisinno pavāreti, nisinneneva paribhuñjitabbaṃ, taṃ taṃ iriyāpathaṃ vikopentena atirittaṃ kāretabbaṃ. Yo ukkuṭiko nisīditvā pavāreti, tena ukkuṭikeneva bhuñjitabbaṃ. Tassa pana heṭṭhā palālapīṭhaṃ vā kiñci vā nisīdanakaṃ dātabbaṃ. Pīṭhake nisīditvā pavāritena āsanaṃ acāletvāva catasso disā parivattantena bhuñjituṃ labbhati. Mañce nisīditvā pavāritena ito vā etto vā sañcarituṃ na labbhati. Sace pana naṃ saha mañcena ukkhipitvā aññatra nenti, vaṭṭati. Nipajjitvā pavāritena nipanneneva paribhuñjitabbaṃ. Parivattantena yena passena nipanno, tassa ṭhānaṃ nātikkametabbaṃ.

    ๑๒๑. ปวาริเตน ปน กิํกาตพฺพนฺติ? เยน อิริยาปเถน ปวาริโต โหติ, ตํ วิโกเปตฺวา อเญฺญน อิริยาปเถน เจ ภุญฺชติ, อติริตฺตํ การาเปตฺวา ภุญฺชิตพฺพํฯ อนติริตฺตํ ปน ยํ กิญฺจิ ยาวกาลิกสงฺคหิตํ ขาทนียํ วา โภชนียํ วา ขาทติ วา ภุญฺชติ วา, อโชฺฌหาเร อโชฺฌหาเร ปาจิตฺติยํฯ

    121. Pavāritena pana kiṃkātabbanti? Yena iriyāpathena pavārito hoti, taṃ vikopetvā aññena iriyāpathena ce bhuñjati, atirittaṃ kārāpetvā bhuñjitabbaṃ. Anatirittaṃ pana yaṃ kiñci yāvakālikasaṅgahitaṃ khādanīyaṃ vā bhojanīyaṃ vā khādati vā bhuñjati vā, ajjhohāre ajjhohāre pācittiyaṃ.

    ตตฺถ อนติริตฺตํ นาม นาติริตฺตํ, น อธิกนฺติ อโตฺถฯ ตํ ปน ยสฺมา กปฺปิยกตาทีหิ สตฺตหิ วินยกมฺมากาเรหิ อกตํ วา คิลานสฺส อนธิกํ วา โหติ, ตสฺมา ปทภาชเน วุตฺตํ –

    Tattha anatirittaṃ nāma nātirittaṃ, na adhikanti attho. Taṃ pana yasmā kappiyakatādīhi sattahi vinayakammākārehi akataṃ vā gilānassa anadhikaṃ vā hoti, tasmā padabhājane vuttaṃ –

    ‘‘อนติริตฺตํ นาม อกปฺปิยกตํ โหติ, อปฺปฎิคฺคหิตกตํ โหติ, อนุจฺจาริตกตํ โหติ, อหตฺถปาเส กตํ โหติ, อภุตฺตาวินา กตํ โหติ, ภุตฺตาวินา จ ปวาริเตน อาสนา วุฎฺฐิเตน กตํ โหติ, ‘อลเมตํ สพฺพ’นฺติ อวุตฺตํ โหติ, น คิลานาติริตฺตํ โหติ, เอตํ อนติริตฺตํ นามา’’ติ (ปาจิ. ๒๓๙)ฯ

    ‘‘Anatirittaṃ nāma akappiyakataṃ hoti, appaṭiggahitakataṃ hoti, anuccāritakataṃ hoti, ahatthapāse kataṃ hoti, abhuttāvinā kataṃ hoti, bhuttāvinā ca pavāritena āsanā vuṭṭhitena kataṃ hoti, ‘alametaṃ sabba’nti avuttaṃ hoti, na gilānātirittaṃ hoti, etaṃ anatirittaṃ nāmā’’ti (pāci. 239).

    ตตฺถ อกปฺปิยกตนฺติ ยํ ตตฺถ ผลํ วา กนฺทมูลาทิํ วา ปญฺจหิ สมณกเปฺปหิ กปฺปิยํ อกตํ, ยญฺจ อกปฺปิยมํสํ วา อกปฺปิยโภชนํ วา, เอตํ อกปฺปิยํ นามฯ ตํ อกปฺปิยํ ‘‘อลเมตํ สพฺพ’’นฺติ เอวํ อติริตฺตํ กตมฺปิ ‘‘อกปฺปิยกต’’นฺติ เวทิตพฺพํฯ อปฺปฎิคฺคหิตกตนฺติ ภิกฺขุนา อปฺปฎิคฺคหิตํเยว ปุริมนเยน อติริตฺตํ กตํฯ อนุจฺจาริตกตนฺติ กปฺปิยํ กาเรตุํ อาคเตน ภิกฺขุนา อีสกมฺปิ อนุกฺขิตฺตํ วา อนปนามิตํ วา กตํฯ อหตฺถปาเส กตนฺติ กปฺปิยํ กาเรตุํ อาคตสฺส หตฺถปาสโต พหิ ฐิเตน กตํฯ อภุตฺตาวินา กตนฺติ โย ‘‘อลเมตํ สพฺพ’’นฺติ อติริตฺตํ กโรติ, เตน ปวารณปฺปโหนกโภชนํ อภุเตฺตน กตํฯ ภุตฺตาวินา ปวาริเตน อาสนา วุฎฺฐิเตน กตนฺติ อิทํ อุตฺตานเมวฯ ‘‘อลเมตํ สพฺพ’’นฺติ อวุตฺตนฺติ วจีเภทํ กตฺวา เอวํ อวุตฺตํ โหติฯ อิติ อิเมหิ สตฺตหิ วินยกมฺมากาเรหิ ยํ อติริตฺตํ กปฺปิยํ อกตํ, ยญฺจ น คิลานาติริตฺตํ, ตทุภยมฺปิ ‘‘อนติริตฺต’’นฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Tattha akappiyakatanti yaṃ tattha phalaṃ vā kandamūlādiṃ vā pañcahi samaṇakappehi kappiyaṃ akataṃ, yañca akappiyamaṃsaṃ vā akappiyabhojanaṃ vā, etaṃ akappiyaṃ nāma. Taṃ akappiyaṃ ‘‘alametaṃ sabba’’nti evaṃ atirittaṃ katampi ‘‘akappiyakata’’nti veditabbaṃ. Appaṭiggahitakatanti bhikkhunā appaṭiggahitaṃyeva purimanayena atirittaṃ kataṃ. Anuccāritakatanti kappiyaṃ kāretuṃ āgatena bhikkhunā īsakampi anukkhittaṃ vā anapanāmitaṃ vā kataṃ. Ahatthapāse katanti kappiyaṃ kāretuṃ āgatassa hatthapāsato bahi ṭhitena kataṃ. Abhuttāvinā katanti yo ‘‘alametaṃ sabba’’nti atirittaṃ karoti, tena pavāraṇappahonakabhojanaṃ abhuttena kataṃ. Bhuttāvinā pavāritena āsanā vuṭṭhitena katanti idaṃ uttānameva. ‘‘Alametaṃ sabba’’nti avuttanti vacībhedaṃ katvā evaṃ avuttaṃ hoti. Iti imehi sattahi vinayakammākārehi yaṃ atirittaṃ kappiyaṃ akataṃ, yañca na gilānātirittaṃ, tadubhayampi ‘‘anatiritta’’nti veditabbaṃ.

    ๑๒๒. อติริตฺตํ ปน ตเสฺสว ปฎิปกฺขนเยน เวทิตพฺพํฯ เตเนว วุตฺตํ ปทภาชเน –

    122. Atirittaṃ pana tasseva paṭipakkhanayena veditabbaṃ. Teneva vuttaṃ padabhājane –

    ‘‘อติริตฺตํ นาม กปฺปิยกตํ โหติ, ปฎิคฺคหิตกตํ โหติ, อุจฺจาริตกตํ โหติ, หตฺถปาเส กตํ โหติ, ภุตฺตาวินา กตํ โหติ, ภุตฺตาวินา ปวาริเตน อาสนา อวุฎฺฐิเตน กตํ โหติ, ‘อลเมตํ สพฺพ’นฺติ วุตฺตํ โหติ, คิลานาติริตฺตํ โหติ, เอตํ อติริตฺตํ นามา’’ติ (ปาจิ. ๒๓๙)ฯ

    ‘‘Atirittaṃ nāma kappiyakataṃ hoti, paṭiggahitakataṃ hoti, uccāritakataṃ hoti, hatthapāse kataṃ hoti, bhuttāvinā kataṃ hoti, bhuttāvinā pavāritena āsanā avuṭṭhitena kataṃ hoti, ‘alametaṃ sabba’nti vuttaṃ hoti, gilānātirittaṃ hoti, etaṃ atirittaṃ nāmā’’ti (pāci. 239).

    อปิเจตฺถ ภุตฺตาวินา กตํ โหตีติ อนนฺตรนิสินฺนสฺส สภาคสฺส ภิกฺขุโน ปตฺตโต เอกมฺปิ สิตฺถํ วา มํสหีรํ วา ขาทิตฺวา กตมฺปิ ‘‘ภุตฺตาวินาว กตํ โหตี’’ติ เวทิตพฺพํฯ อาสนา อวุฎฺฐิเตนาติ เอตฺถ ปน อสโมฺมหตฺถํ อยํ วินิจฺฉโย – เทฺว ภิกฺขู ปาโตเยว ภุญฺชมานา ปวาริตา โหนฺติ, เอเกน ตเตฺถว นิสีทิตพฺพํ, อิตเรน นิจฺจภตฺตํ วา สลากภตฺตํ วา อาเนตฺวา อุปฑฺฒํ ตสฺส ภิกฺขุโน ปเตฺต อากิริตฺวา หตฺถํ โธวิตฺวา เสสํ เตน ภิกฺขุนา กปฺปิยํ การาเปตฺวา ภุญฺชิตพฺพํฯ กสฺมา? ยญฺหิ ตสฺส หเตฺถ ลคฺคํ, ตํ อกปฺปิยํ โหติฯ สเจ ปน ปฐมํ นิสิโนฺน ภิกฺขุ สยเมว ตสฺส ปตฺตโต หเตฺถน คณฺหาติ, หตฺถโธวนกิจฺจํ นตฺถิฯ สเจ ปน เอวํ ‘กปฺปิยํ กาเรตฺวา ภุญฺชนฺตสฺส ปุน กิญฺจิ พฺยญฺชนํ วา ขาทนียํ วา ปเตฺต อากิร’นฺติ เยน ปฐมํ กปฺปิยํ กตํ โหติ, โส ปุน กาตุํ น ลภติฯ เยน อกตํ, เตน กาตพฺพํ, ยญฺจ อกตํ, ตํ กาตพฺพํฯ เยน อกตนฺติ อเญฺญน ภิกฺขุนา เยน ปฐมํ น กตํ, เตน กาตพฺพํฯ ยญฺจ อกตนฺติ เยน ปฐมํ กปฺปิยํ กตํ, เตนปิ ยํ อกตํ, ตํ กาตพฺพํฯ ปฐมภาชเน ปน กาตุํ น ลพฺภติฯ ตตฺถ หิ กริยมาเน ปฐมํ กเตน สทฺธิํ กตํ โหติ, ตสฺมา อญฺญสฺมิํ ภาชเน กาตุํ วฎฺฎตีติ อธิปฺปาโยฯ เอวํ กตํ ปน เตน ภิกฺขุนา ปฐมํ กเตน สทฺธิํ ภุญฺชิตุํ วฎฺฎติฯ

    Apicettha bhuttāvinā kataṃ hotīti anantaranisinnassa sabhāgassa bhikkhuno pattato ekampi sitthaṃ vā maṃsahīraṃ vā khāditvā katampi ‘‘bhuttāvināva kataṃ hotī’’ti veditabbaṃ. Āsanā avuṭṭhitenāti ettha pana asammohatthaṃ ayaṃ vinicchayo – dve bhikkhū pātoyeva bhuñjamānā pavāritā honti, ekena tattheva nisīditabbaṃ, itarena niccabhattaṃ vā salākabhattaṃ vā ānetvā upaḍḍhaṃ tassa bhikkhuno patte ākiritvā hatthaṃ dhovitvā sesaṃ tena bhikkhunā kappiyaṃ kārāpetvā bhuñjitabbaṃ. Kasmā? Yañhi tassa hatthe laggaṃ, taṃ akappiyaṃ hoti. Sace pana paṭhamaṃ nisinno bhikkhu sayameva tassa pattato hatthena gaṇhāti, hatthadhovanakiccaṃ natthi. Sace pana evaṃ ‘kappiyaṃ kāretvā bhuñjantassa puna kiñci byañjanaṃ vā khādanīyaṃ vā patte ākira’nti yena paṭhamaṃ kappiyaṃ kataṃ hoti, so puna kātuṃ na labhati. Yena akataṃ, tena kātabbaṃ, yañca akataṃ, taṃ kātabbaṃ. Yena akatanti aññena bhikkhunā yena paṭhamaṃ na kataṃ, tena kātabbaṃ. Yañca akatanti yena paṭhamaṃ kappiyaṃ kataṃ, tenapi yaṃ akataṃ, taṃ kātabbaṃ. Paṭhamabhājane pana kātuṃ na labbhati. Tattha hi kariyamāne paṭhamaṃ katena saddhiṃ kataṃ hoti, tasmā aññasmiṃ bhājane kātuṃ vaṭṭatīti adhippāyo. Evaṃ kataṃ pana tena bhikkhunā paṭhamaṃ katena saddhiṃ bhuñjituṃ vaṭṭati.

    กปฺปิยํ กโรเนฺตน จ น เกวลํ ปเตฺตเยว, กุเณฺฑปิ ปจฺฉิยมฺปิ ยตฺถ กตฺถจิ ปุรโต ฐเปตฺวา โอนามิตภาชเน กาตพฺพํฯ ตํ สเจ ภิกฺขุสตํ ปวาริตํ โหติ, สเพฺพสํ ภุญฺชิตุํ วฎฺฎติ, อปฺปวาริตานมฺปิ วฎฺฎติฯ เยน ปน กปฺปิยํ กตํ, ตสฺส น วฎฺฎติฯ สเจปิ ปวาเรตฺวา ปิณฺฑาย ปวิฎฺฐํ ภิกฺขุํ ปตฺตํ คเหตฺวา อวสฺสํ ภุญฺชนเก มงฺคลนิมนฺตเน นิสีทาเปนฺติ, อติริตฺตํ การาเปตฺวาว ภุญฺชิตพฺพํฯ สเจ ตตฺถ อโญฺญ ภิกฺขุ นตฺถิ, อาสนสาลํ วา วิหารํ วา ปตฺตํ เปเสตฺวา กาเรตพฺพํ, กปฺปิยํ กโรเนฺตน ปน อนุปสมฺปนฺนสฺส หเตฺถ ฐิตํ น กาตพฺพํฯ สเจ อาสนสาลายํ อพฺยโตฺต ภิกฺขุ โหติ, สยํ คนฺตฺวา กปฺปิยํ การาเปตฺวา อาเนตฺวา ภุญฺชิตพฺพํฯ

    Kappiyaṃ karontena ca na kevalaṃ patteyeva, kuṇḍepi pacchiyampi yattha katthaci purato ṭhapetvā onāmitabhājane kātabbaṃ. Taṃ sace bhikkhusataṃ pavāritaṃ hoti, sabbesaṃ bhuñjituṃ vaṭṭati, appavāritānampi vaṭṭati. Yena pana kappiyaṃ kataṃ, tassa na vaṭṭati. Sacepi pavāretvā piṇḍāya paviṭṭhaṃ bhikkhuṃ pattaṃ gahetvā avassaṃ bhuñjanake maṅgalanimantane nisīdāpenti, atirittaṃ kārāpetvāva bhuñjitabbaṃ. Sace tattha añño bhikkhu natthi, āsanasālaṃ vā vihāraṃ vā pattaṃ pesetvā kāretabbaṃ, kappiyaṃ karontena pana anupasampannassa hatthe ṭhitaṃ na kātabbaṃ. Sace āsanasālāyaṃ abyatto bhikkhu hoti, sayaṃ gantvā kappiyaṃ kārāpetvā ānetvā bhuñjitabbaṃ.

    คิลานาติริตฺตนฺติ เอตฺถ น เกวลํ ยํ คิลานสฺส ภุตฺตาวเสสํ โหติ, ตํ คิลานาติริตฺตํ, อถ โข ยํ กิญฺจิ คิลานํ อุทฺทิสฺส ‘‘อชฺช วา ยทา วา อิจฺฉติ, ตทา ขาทิสฺสตี’’ติ อาหฎํ, ตํ สพฺพํ คิลานาติริตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ยามกาลิกํ ปน สตฺตาหกาลิกํ ยาวชีวิกํ วา ยํ กิญฺจิ อนติริตฺตํ อาหารตฺถาย ปริภุญฺชนฺตสฺส อโชฺฌหาเร อโชฺฌหาเร ทุกฺกฎํฯ สเจ ปน ยามกาลิกาทีนิ อามิสสํสฎฺฐานิ โหนฺติ, อาหารตฺถายปิ อนาหารตฺถายปิ ปฎิคฺคเหตฺวา อโชฺฌหรนฺตสฺส ปาจิตฺติยเมว, อสํสฎฺฐานิ ปน สติ ปจฺจเย ภุญฺชนฺตสฺส อนาปตฺติฯ

    Gilānātirittanti ettha na kevalaṃ yaṃ gilānassa bhuttāvasesaṃ hoti, taṃ gilānātirittaṃ, atha kho yaṃ kiñci gilānaṃ uddissa ‘‘ajja vā yadā vā icchati, tadā khādissatī’’ti āhaṭaṃ, taṃ sabbaṃ gilānātirittanti veditabbaṃ. Yāmakālikaṃ pana sattāhakālikaṃ yāvajīvikaṃ vā yaṃ kiñci anatirittaṃ āhāratthāya paribhuñjantassa ajjhohāre ajjhohāre dukkaṭaṃ. Sace pana yāmakālikādīni āmisasaṃsaṭṭhāni honti, āhāratthāyapi anāhāratthāyapi paṭiggahetvā ajjhoharantassa pācittiyameva, asaṃsaṭṭhāni pana sati paccaye bhuñjantassa anāpatti.

    อิติ ปาฬิมุตฺตกวินยวินิจฺฉยสงฺคเห

    Iti pāḷimuttakavinayavinicchayasaṅgahe

    ปวารณาวินิจฺฉยกถา สมตฺตาฯ

    Pavāraṇāvinicchayakathā samattā.





    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact