Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Dīgha Nikāya, English translation |
ทีฆ นิกาย ๒๓
Long Discourses 23
ปายาสิสุตฺต
With Pāyāsi
เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ อายสฺมา กุมารกสฺสโป โกสเลสุ จาริกํ จรมาโน มหตา ภิกฺขุสงฺเฆน สทฺธึ ปญฺจมตฺเตหิ ภิกฺขุสเตหิ เยน เสตพฺยา นาม โกสลานํ นครํ ตทวสริฯ ตตฺร สุทํ อายสฺมา กุมารกสฺสโป เสตพฺยายํ วิหรติ อุตฺตเรน เสตพฺยํ สึสปาวเนฯ
So I have heard. At one time Venerable Kassapa the Prince was wandering in the land of the Kosalans together with a large Saṅgha of five hundred bhikkhus when he arrived at a Kosalan citadel named Setavyā. He stayed in the grove of Indian Rosewood to the north of Setavyā.
เตน โข ปน สมเยน ปายาสิ ราชญฺโญ เสตพฺยํ อชฺฌาวสติ สตฺตุสฺสทํ สติณกฏฺโฐทกํ สธญฺญํ ราชโภคฺคํ รญฺญา ปเสนทินา โกสเลน ทินฺนํ ราชทายํ พฺรหฺมเทยฺยํฯ
Now at that time the chieftain Pāyāsi was living in Setavyā. It was a crown property given by King Pasenadi of Kosala, teeming with living creatures, full of hay, wood, water, and grain, a royal park endowed to a brahmin.
๑ฯ ปายาสิราชญฺญวตฺถุ
1. On Pāyāsi
เตน โข ปน สมเยน ปายาสิสฺส ราชญฺญสฺส เอวรูปํ ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ อุปฺปนฺนํ โหติ: “อิติปิ นตฺถิ ปโร โลโก, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก”ติฯ
Now at that time Pāyāsi had the following harmful misconception: “There is no afterlife. No beings are reborn spontaneously. There’s no fruit or result of good and bad deeds.”
อโสฺสสุํ โข เสตพฺยกา พฺราหฺมณคหปติกา: “สมโณ ขลุ โภ กุมารกสฺสโป สมณสฺส โคตมสฺส สาวโก โกสเลสุ จาริกํ จรมาโน มหตา ภิกฺขุสงฺเฆน สทฺธึ ปญฺจมตฺเตหิ ภิกฺขุสเตหิ เสตพฺยํ อนุปฺปตฺโต เสตพฺยายํ วิหรติ อุตฺตเรน เสตพฺยํ สึสปาวเนฯ ตํ โข ปน ภวนฺตํ กุมารกสฺสปํ เอวํ กลฺยาโณ กิตฺติสทฺโท อพฺภุคฺคโต: ‘ปณฺฑิโต พฺยตฺโต เมธาวี พหุสฺสุโต จิตฺตกถี กลฺยาณปฏิภาโน วุทฺโธ เจว อรหา จฯ สาธุ โข ปน ตถารูปานํ อรหตํ ทสฺสนํ โหตี'”ติฯ อถ โข เสตพฺยกา พฺราหฺมณคหปติกา เสตพฺยาย นิกฺขมิตฺวา สงฺฆสงฺฆี คณีภูตา อุตฺตเรนมุขา คจฺฉนฺติ เยน สึสปาวนํฯ
The brahmins and householders of Setavyā heard, “It seems the ascetic Kassapa the Prince—a disciple of the ascetic Gotama—is staying in the grove of Indian Rosewood to the north of Setavyā. He has this good reputation: ‘He is astute, competent, intelligent, learned, a brilliant speaker, eloquent, mature, a perfected one.’ It’s good to see such perfected ones.” Then, having departed Setavyā, they formed into companies and headed north to the grove.
เตน โข ปน สมเยน ปายาสิ ราชญฺโญ อุปริปาสาเท ทิวาเสยฺยํ อุปคโต โหติฯ อทฺทสา โข ปายาสิ ราชญฺโญ เสตพฺยเก พฺราหฺมณคหปติเก เสตพฺยาย นิกฺขมิตฺวา สงฺฆสงฺฆี คณีภูเต อุตฺตเรนมุเข คจฺฉนฺเต เยน สึสปาวนํ, ทิสฺวา ขตฺตํ อามนฺเตสิ: “กึ นุ โข, โภ ขตฺเต, เสตพฺยกา พฺราหฺมณคหปติกา เสตพฺยาย นิกฺขมิตฺวา สงฺฆสงฺฆี คณีภูตา อุตฺตเรนมุขา คจฺฉนฺติ เยน สึสปาวนนฺ”ติ?
Now at that time the chieftain Pāyāsi had retired to the upper floor of his stilt longhouse for his midday nap. He saw the brahmins and householders heading north towards the grove, and addressed his steward, “My steward, why are the brahmins and householders heading north towards the grove?”
“อตฺถิ โข, โภ, สมโณ กุมารกสฺสโป, สมณสฺส โคตมสฺส สาวโก โกสเลสุ จาริกํ จรมาโน มหตา ภิกฺขุสงฺเฆน สทฺธึ ปญฺจมตฺเตหิ ภิกฺขุสเตหิ เสตพฺยํ อนุปฺปตฺโต เสตพฺยายํ วิหรติ อุตฺตเรน เสตพฺยํ สึสปาวเนฯ ตํ โข ปน ภวนฺตํ กุมารกสฺสปํ เอวํ กลฺยาโณ กิตฺติสทฺโท อพฺภุคฺคโต: ‘ปณฺฑิโต พฺยตฺโต เมธาวี พหุสฺสุโต จิตฺตกถี กลฺยาณปฏิภาโน วุทฺโธ เจว อรหา จา'ติฯ ตเมเต ภวนฺตํ กุมารกสฺสปํ ทสฺสนาย อุปสงฺกมนฺตี”ติฯ
“The ascetic Kassapa the Prince—a disciple of the ascetic Gotama—is staying in the grove of Indian Rosewood to the north of Setavyā. He has this good reputation: ‘He is astute, competent, intelligent, learned, a brilliant speaker, eloquent, mature, a perfected one.’ They’re going to see that Kassapa the Prince.”
“เตน หิ, โภ ขตฺเต, เยน เสตพฺยกา พฺราหฺมณคหปติกา เตนุปสงฺกม; อุปสงฺกมิตฺวา เสตพฺยเก พฺราหฺมณคหปติเก เอวํ วเทหิ: ‘ปายาสิ, โภ, ราชญฺโญ เอวมาห—อาคเมนฺตุ กิร ภวนฺโต, ปายาสิปิ ราชญฺโญ สมณํ กุมารกสฺสปํ ทสฺสนาย อุปสงฺกมิสฺสตี'ติฯ ปุรา สมโณ กุมารกสฺสโป เสตพฺยเก พฺราหฺมณคหปติเก พาเล อพฺยตฺเต สญฺญาเปติ: ‘อิติปิ อตฺถิ ปโร โลโก, อตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, อตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก'ติฯ นตฺถิ หิ, โภ ขตฺเต, ปโร โลโก, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก”ติฯ
“Well then, go to the brahmins and householders and say to them: ‘Sirs, the chieftain Pāyāsi asks you to wait, as he will also go to see the ascetic Kassapa the Prince.’ Before Kassapa the Prince convinces those foolish and incompetent brahmins and householders that there is an afterlife, there are beings reborn spontaneously, and there is a fruit or result of good and bad deeds—for none of these things are true!”
“เอวํ, โภ”ติ โข โส ขตฺตา ปายาสิสฺส ราชญฺญสฺส ปฏิสฺสุตฺวา เยน เสตพฺยกา พฺราหฺมณคหปติกา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา เสตพฺยเก พฺราหฺมณคหปติเก เอตทโวจ: “ปายาสิ, โภ, ราชญฺโญ เอวมาห, อาคเมนฺตุ กิร ภวนฺโต, ปายาสิปิ ราชญฺโญ สมณํ กุมารกสฺสปํ ทสฺสนาย อุปสงฺกมิสฺสตี”ติฯ
“Yes, sir,” replied the steward, and did as he was asked.
อถ โข ปายาสิ ราชญฺโญ เสตพฺยเกหิ พฺราหฺมณคหปติเกหิ ปริวุโต เยน สึสปาวนํ เยนายสฺมา กุมารกสฺสโป เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมตา กุมารกสฺสเปน สทฺธึ สมฺโมทิ, สมฺโมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เสตพฺยกาปิ โข พฺราหฺมณคหปติกา อปฺเปกจฺเจ อายสฺมนฺตํ กุมารกสฺสปํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุ; อปฺเปกจฺเจ อายสฺมตา กุมารกสฺสเปน สทฺธึ สมฺโมทึสุ; สมฺโมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุฯ อปฺเปกจฺเจ เยนายสฺมา กุมารกสฺสโป เตนญฺชลึ ปณาเมตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุฯ อปฺเปกจฺเจ นามโคตฺตํ สาเวตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุฯ อปฺเปกจฺเจ ตุณฺหีภูตา เอกมนฺตํ นิสีทึสุฯ
Then Pāyāsi escorted by the brahmins and householders, went up to Kassapa the Prince, and exchanged greetings with him. When the greetings and polite conversation were over, he sat down to one side. Before sitting down to one side, some of the brahmins and householders of Setavyā bowed, some exchanged greetings and polite conversation, some held up their joined palms toward Kassapa the Prince, some announced their name and clan, while some kept silent.
๒ฯ นตฺถิกวาท
2. Nihilism
เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข ปายาสิ ราชญฺโญ อายสฺมนฺตํ กุมารกสฺสปํ เอตทโวจ: “อหญฺหิ, โภ กสฺสป, เอวํวาที เอวํทิฏฺฐี: ‘อิติปิ นตฺถิ ปโร โลโก, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก'”ติฯ
Seated to one side, the chieftain Pāyāsi said to Venerable Kassapa the Prince, “Master Kassapa, this is my doctrine and view: ‘There is no afterlife. No beings are reborn spontaneously. There’s no fruit or result of good and bad deeds.’”
“นาหํ, ราชญฺญ, เอวํวาทึ เอวํทิฏฺฐึ อทฺทสํ วา อโสฺสสึ วาฯ กถญฺหิ นาม เอวํ วเทยฺย: ‘อิติปิ นตฺถิ ปโร โลโก, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก'ติ?
“Chieftain, may I never see or hear of anyone holding such a doctrine or view! For how on earth can anyone say such a thing?
๒ฯ๑ฯ จนฺทิมสูริเยาปมา
2.1. The Simile of the Moon and Sun
เตน หิ, ราชญฺญ, ตญฺเญเวตฺถ ปฏิปุจฺฉิสฺสามิ, ยถา เต ขเมยฺย, ตถา นํ พฺยากเรยฺยาสิฯ ตํ กึ มญฺญสิ, ราชญฺญ, อิเม จนฺทิมสูริยา อิมสฺมึ วา โลเก ปรสฺมึ วา, เทวา วา เต มนุสฺสา วา”ติ?
Well then, chieftain, I’ll ask you about this in return, and you can answer as you like. What do you think, chieftain? Are the moon and sun in this world or the other world? Are they gods or humans?”
“อิเม, โภ กสฺสป, จนฺทิมสูริยา ปรสฺมึ โลเก, น อิมสฺมึ; เทวา เต น มนุสฺสา”ติฯ
“They are in the other world, Master Kassapa, and they are gods, not humans.”
“อิมินาปิ โข เต, ราชญฺญ, ปริยาเยน เอวํ โหตุ—อิติปิ อตฺถิ ปโร โลโก, อตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, อตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก”ติฯ
“By this method it ought to be proven that there is an afterlife, there are beings reborn spontaneously, and there is a fruit or result of good and bad deeds.”
“กิญฺจาปิ ภวํ กสฺสโป เอวมาห, อถ โข เอวํ เม เอตฺถ โหติ: ‘อิติปิ นตฺถิ ปโร โลโก, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก'”ติฯ
“Even though Master Kassapa says this, still I think that there is no afterlife, no beings are reborn spontaneously, and there’s no fruit or result of good and bad deeds.”
“อตฺถิ ปน, ราชญฺญ, ปริยาโย, เยน เต ปริยาเยน เอวํ โหติ: ‘อิติปิ นตฺถิ ปโร โลโก, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก'”ติ?
“Is there a method by which you can prove what you say?”
“อตฺถิ, โภ กสฺสป, ปริยาโย, เยน เม ปริยาเยน เอวํ โหติ: ‘อิติปิ นตฺถิ ปโร โลโก, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก'”ติฯ
“There is, Master Kassapa.”
“ยถา กถํ วิย, ราชญฺญา”ติ?
“How, exactly, chieftain?”
“อิธ เม, โภ กสฺสป, มิตฺตามจฺจา ญาติสาโลหิตา ปาณาติปาตี อทินฺนาทายี กาเมสุมิจฺฉาจารี มุสาวาที ปิสุณวาจา ผรุสวาจา สมฺผปฺปลาปี อภิชฺฌาลู พฺยาปนฺนจิตฺตา มิจฺฉาทิฏฺฐีฯ เต อปเรน สมเยน อาพาธิกา โหนฺติ ทุกฺขิตา พาฬฺหคิลานาฯ ยทาหํ ชานามิ: ‘น ทานิเม อิมมฺหา อาพาธา วุฏฺฐหิสฺสนฺตี'ติ ตฺยาหํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวํ วทามิ: ‘สนฺติ โข, โภ, เอเก สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: “เย เต ปาณาติปาตี อทินฺนาทายี กาเมสุมิจฺฉาจารี มุสาวาที ปิสุณวาจา ผรุสวาจา สมฺผปฺปลาปี อภิชฺฌาลู พฺยาปนฺนจิตฺตา มิจฺฉาทิฏฺฐี, เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชนฺตี”ติฯ ภวนฺโต โข ปาณาติปาตี อทินฺนาทายี กาเมสุมิจฺฉาจารี มุสาวาที ปิสุณวาจา ผรุสวาจา สมฺผปฺปลาปี อภิชฺฌาลู พฺยาปนฺนจิตฺตา มิจฺฉาทิฏฺฐีฯ สเจ เตสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ สจฺจํ วจนํ, ภวนฺโต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชิสฺสนฺติฯ สเจ, โภ, กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺเชยฺยาถ, เยน เม อาคนฺตฺวา อาโรเจยฺยาถ: “อิติปิ อตฺถิ ปโร โลโก, อตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, อตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก”ติฯ ภวนฺโต โข ปน เม สทฺธายิกา ปจฺจยิกา, ยํ ภวนฺเตหิ ทิฏฺฐํ, ยถา สามํ ทิฏฺฐํ เอวเมตํ ภวิสฺสตี'ติฯ เต เม ‘สาธู'ติ ปฏิสฺสุตฺวา เนว อาคนฺตฺวา อาโรเจนฺติ, น ปน ทูตํ ปหิณนฺติฯ อยมฺปิ โข, โภ กสฺสป, ปริยาโย, เยน เม ปริยาเยน เอวํ โหติ: ‘อิติปิ นตฺถิ ปโร โลโก, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก'”ติฯ
“Well, I have friends and colleagues, relatives and kin who kill living creatures, steal, and commit sexual misconduct. They use speech that’s false, divisive, harsh, or nonsensical. And they’re covetous, malicious, with wrong view. Some time later they become sick, suffering, gravely ill. When I know that they will not recover from their illness, I go to them and say, ‘Sirs, there are some ascetics and brahmins who have this doctrine and view: “Those who kill living creatures, steal, and commit sexual misconduct; use speech that’s false, divisive, harsh, or nonsensical; and are covetous, malicious, and have wrong view—when their body breaks up, after death, are reborn in a place of loss, a bad place, the underworld, hell.” You do all these things. If what those ascetics and brahmins say is true, when your body breaks up, after death, you’ll be reborn in a place of loss, a bad place, the underworld, hell. If that happens, sirs, come and tell me that there is an afterlife, there are beings reborn spontaneously, and there is a fruit or result of good and bad deeds. I trust you and believe you. Anything you see will be just as if I’ve seen it for myself.’ They agree to this. But they don’t come back to tell me, nor do they send a messenger. This is the method by which I prove that there is no afterlife, no beings are reborn spontaneously, and there’s no fruit or result of good and bad deeds.”
๒ฯ๒ฯ โจเราปมา
2.2. The Simile of the Bandit
“เตน หิ, ราชญฺญ, ตญฺเญเวตฺถ ปฏิปุจฺฉิสฺสามิฯ ยถา เต ขเมยฺย ตถา นํ พฺยากเรยฺยาสิฯ ตํ กึ มญฺญสิ, ราชญฺญ, อิธ เต ปุริสา โจรํ อาคุจารึ คเหตฺวา ทเสฺสยฺยุํ: ‘อยํ เต, ภนฺเต, โจโร อาคุจารี; อิมสฺส ยํ อิจฺฉสิ, ตํ ทณฺฑํ ปเณหี'ติฯ เต ตฺวํ เอวํ วเทยฺยาสิ: ‘เตน หิ, โภ, อิมํ ปุริสํ ทฬฺหาย รชฺชุยา ปจฺฉาพาหํ คาฬฺหพนฺธนํ พนฺธิตฺวา ขุรมุณฺฑํ กริตฺวา ขรสฺสเรน ปณเวน รถิกาย รถิกํ สิงฺฆาฏเกน สิงฺฆาฏกํ ปริเนตฺวา ทกฺขิเณน ทฺวาเรน นิกฺขมิตฺวา ทกฺขิณโต นครสฺส อาฆาตเน สีสํ ฉินฺทถา'ติฯ เต ‘สาธู'ติ ปฏิสฺสุตฺวา ตํ ปุริสํ ทฬฺหาย รชฺชุยา ปจฺฉาพาหํ คาฬฺหพนฺธนํ พนฺธิตฺวา ขุรมุณฺฑํ กริตฺวา ขรสฺสเรน ปณเวน รถิกาย รถิกํ สิงฺฆาฏเกน สิงฺฆาฏกํ ปริเนตฺวา ทกฺขิเณน ทฺวาเรน นิกฺขมิตฺวา ทกฺขิณโต นครสฺส อาฆาตเน นิสีทาเปยฺยุํฯ ลเภยฺย นุ โข โส โจโร โจรฆาเตสุ: ‘อาคเมนฺตุ ตาว ภวนฺโต โจรฆาตา, อมุกสฺมึ เม คาเม วา นิคเม วา มิตฺตามจฺจา ญาติสาโลหิตา, ยาวาหํ เตสํ อุทฺทิสิตฺวา อาคจฺฉามี'ติ, อุทาหุ วิปฺปลปนฺตเสฺสว โจรฆาตา สีสํ ฉินฺเทยฺยุนฺ”ติ?
“Well then, chieftain, I’ll ask you about this in return, and you can answer as you like. What do you think, chieftain? Suppose they were to arrest a bandit, a criminal and present him to you, saying, ‘Sir, this is a bandit, a criminal. Punish him as you will.’ Then you’d say to them, ‘Well then, my men, tie this man’s arms tightly behind his back with a strong rope. Shave his head and march him from street to street and square to square to the beating of a harsh drum. Then take him out the south gate and there, at the place of execution to the south of the city, chop off his head.’ Saying, ‘Good,’ they’d do as they were told, sitting him down at the place of execution. Could that bandit get the executioners to wait, saying, ‘Please, good executioners! I have friends and colleagues, relatives and kin in such and such village or town. Wait until I’ve visited them, then I’ll come back’? Or would they just chop off his head as he prattled on?”
“น หิ โส, โภ กสฺสป, โจโร ลเภยฺย โจรฆาเตสุ: ‘อาคเมนฺตุ ตาว ภวนฺโต โจรฆาตา อมุกสฺมึ เม คาเม วา นิคเม วา มิตฺตามจฺจา ญาติสาโลหิตา, ยาวาหํ เตสํ อุทฺทิสิตฺวา อาคจฺฉามี'ติฯ
อถ โข นํ วิปฺปลปนฺตเสฺสว โจรฆาตา สีสํ ฉินฺเทยฺยุนฺ”ติฯ
“They’d just chop off his head.”
“โส หิ นาม, ราชญฺญ, โจโร มนุโสฺส มนุสฺสภูเตสุ โจรฆาเตสุ น ลภิสฺสติ: ‘อาคเมนฺตุ ตาว ภวนฺโต โจรฆาตา, อมุกสฺมึ เม คาเม วา นิคเม วา มิตฺตามจฺจา ญาติสาโลหิตา, ยาวาหํ เตสํ อุทฺทิสิตฺวา อาคจฺฉามี'ติฯ กึ ปน เต มิตฺตามจฺจา ญาติสาโลหิตา ปาณาติปาตี อทินฺนาทายี กาเมสุมิจฺฉาจารี มุสาวาที ปิสุณวาจา ผรุสวาจา สมฺผปฺปลาปี อภิชฺฌาลู พฺยาปนฺนจิตฺตา มิจฺฉาทิฏฺฐี, เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปนฺนา ลภิสฺสนฺติ นิรยปาเลสุ: ‘อาคเมนฺตุ ตาว ภวนฺโต นิรยปาลา, ยาว มยํ ปายาสิสฺส ราชญฺญสฺส คนฺตฺวา อาโรเจม: “อิติปิ อตฺถิ ปโร โลโก, อตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, อตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก”'ติ? อิมินาปิ โข เต, ราชญฺญ, ปริยาเยน เอวํ โหตุ: ‘อิติปิ อตฺถิ ปโร โลโก, อตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, อตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก'”ติฯ
“So even a human bandit couldn’t get his human executioners to stay his execution. What then of your friends and colleagues, relatives and kin who are reborn in a lower realm after doing bad things? Could they get the wardens of hell to wait, saying, ‘Please, good wardens of hell! Wait until I’ve gone to the chieftain Pāyāsi to tell him that there is an afterlife, there are beings reborn spontaneously, and there is a fruit or result of good and bad deeds’? By this method, too, it ought to be proven that there is an afterlife, there are beings reborn spontaneously, and there is a fruit or result of good and bad deeds.”
“กิญฺจาปิ ภวํ กสฺสโป เอวมาห, อถ โข เอวํ เม เอตฺถ โหติ: ‘อิติปิ นตฺถิ ปโร โลโก, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก'”ติฯ
“Even though Master Kassapa says this, still I think that there is no afterlife.”
“อตฺถิ ปน, ราชญฺญ, ปริยาโย เยน เต ปริยาเยน เอวํ โหติ: ‘อิติปิ นตฺถิ ปโร โลโก, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก'”ติ?
“Is there a method by which you can prove what you say?”
“อตฺถิ, โภ กสฺสป, ปริยาโย, เยน เม ปริยาเยน เอวํ โหติ: ‘อิติปิ นตฺถิ ปโร โลโก, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก'”ติฯ
“There is, Master Kassapa.”
“ยถา กถํ วิย, ราชญฺญา”ติ?
“How, exactly, chieftain?”
“อิธ เม, โภ กสฺสป, มิตฺตามจฺจา ญาติสาโลหิตา ปาณาติปาตา ปฏิวิรตา อทินฺนาทานา ปฏิวิรตา กาเมสุมิจฺฉาจารา ปฏิวิรตา มุสาวาทา ปฏิวิรตา ปิสุณาย วาจาย ปฏิวิรตา ผรุสาย วาจาย ปฏิวิรตา สมฺผปฺปลาปา ปฏิวิรตา อนภิชฺฌาลู อพฺยาปนฺนจิตฺตา สมฺมาทิฏฺฐีฯ เต อปเรน สมเยน อาพาธิกา โหนฺติ ทุกฺขิตา พาฬฺหคิลานาฯ ยทาหํ ชานามิ: ‘น ทานิเม อิมมฺหา อาพาธา วุฏฺฐหิสฺสนฺตี'ติ ตฺยาหํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวํ วทามิ: ‘สนฺติ โข, โภ, เอเก สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: “เย เต ปาณาติปาตา ปฏิวิรตา อทินฺนาทานา ปฏิวิรตา กาเมสุมิจฺฉาจารา ปฏิวิรตา มุสาวาทา ปฏิวิรตา ปิสุณาย วาจาย ปฏิวิรตา ผรุสาย วาจาย ปฏิวิรตา สมฺผปฺปลาปา ปฏิวิรตา อนภิชฺฌาลู อพฺยาปนฺนจิตฺตา สมฺมาทิฏฺฐี เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชนฺตี”ติฯ ภวนฺโต โข ปาณาติปาตา ปฏิวิรตา อทินฺนาทานา ปฏิวิรตา กาเมสุมิจฺฉาจารา ปฏิวิรตา มุสาวาทา ปฏิวิรตา ปิสุณาย วาจาย ปฏิวิรตา ผรุสาย วาจาย ปฏิวิรตา สมฺผปฺปลาปา ปฏิวิรตา อนภิชฺฌาลู อพฺยาปนฺนจิตฺตา สมฺมาทิฏฺฐีฯ สเจ เตสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ สจฺจํ วจนํ, ภวนฺโต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชิสฺสนฺติฯ สเจ, โภ, กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺเชยฺยาถ, เยน เม อาคนฺตฺวา อาโรเจยฺยาถ: “อิติปิ อตฺถิ ปโร โลโก, อตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, อตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก”ติฯ ภวนฺโต โข ปน เม สทฺธายิกา ปจฺจยิกา, ยํ ภวนฺเตหิ ทิฏฺฐํ, ยถา สามํ ทิฏฺฐํ เอวเมตํ ภวิสฺสตี'ติฯ เต เม ‘สาธู'ติ ปฏิสฺสุตฺวา เนว อาคนฺตฺวา อาโรเจนฺติ, น ปน ทูตํ ปหิณนฺติฯ อยมฺปิ โข, โภ กสฺสป, ปริยาโย, เยน เม ปริยาเยน เอวํ โหติ: ‘อิติปิ นตฺถิ ปโร โลโก, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก'”ติฯ
“Well, I have friends and colleagues, relatives and kin who refrain from killing living creatures, stealing, and committing sexual misconduct. They refrain from speech that’s false, divisive, harsh, or nonsensical. And they’re content, kind-hearted, with right view. Some time later they become sick, suffering, gravely ill. When I know that they will not recover from their illness, I go to them and say, ‘Sirs, there are some ascetics and brahmins who have this doctrine and view: “Those who refrain from killing living creatures, stealing, and committing sexual misconduct; who refrain from speech that’s false, divisive, harsh, or nonsensical; and are content, kind-hearted, with right view—when their body breaks up, after death, are reborn in a good place, a heavenly realm.” You do all these things. If what those ascetics and brahmins say is true, when your body breaks up, after death, you’ll be reborn in a good place, a heavenly realm. If that happens, sirs, come and tell me that there is an afterlife. I trust you and believe you. Anything you see will be just as if I’ve seen it for myself.’ They agree to this. But they don’t come back to tell me, nor do they send a messenger. This is the method by which I prove that there is no afterlife.”
๒ฯ๓ฯ คูถกูปปุริเสาปมา
2.3. The Simile of the Sewer
“เตน หิ, ราชญฺญ, อุปมํ เต กริสฺสามิฯ อุปมาย มฺ'อิเธกจฺเจ วิญฺญู ปุริสา ภาสิตสฺส อตฺถํ อาชานนฺติฯ เสยฺยถาปิ, ราชญฺญ, ปุริโส คูถกูเป สสีสกํ นิมุคฺโค อสฺสฯ อถ ตฺวํ ปุริเส อาณาเปยฺยาสิ: ‘เตน หิ, โภ, ตํ ปุริสํ ตมฺหา คูถกูปา อุทฺธรถา'ติฯ เต ‘สาธู'ติ ปฏิสฺสุตฺวา ตํ ปุริสํ ตมฺหา คูถกูปา อุทฺธเรยฺยุํฯ เต ตฺวํ เอวํ วเทยฺยาสิ: ‘เตน หิ, โภ, ตสฺส ปุริสสฺส กายา เวฬุเปสิกาหิ คูถํ สุนิมฺมชฺชิตํ นิมฺมชฺชถา'ติฯ เต ‘สาธู'ติ ปฏิสฺสุตฺวา ตสฺส ปุริสสฺส กายา เวฬุเปสิกาหิ คูถํ สุนิมฺมชฺชิตํ นิมฺมชฺเชยฺยุํฯ เต ตฺวํ เอวํ วเทยฺยาสิ: ‘เตน หิ, โภ, ตสฺส ปุริสสฺส กายํ ปณฺฑุมตฺติกาย ติกฺขตฺตุํ สุพฺพฏฺฏิตํ อุพฺพฏฺเฏถา'ติฯ เต ตสฺส ปุริสสฺส กายํ ปณฺฑุมตฺติกาย ติกฺขตฺตุํ สุพฺพฏฺฏิตํ อุพฺพฏฺเฏยฺยุํฯ เต ตฺวํ เอวํ วเทยฺยาสิ: ‘เตน หิ, โภ, ตํ ปุริสํ เตเลน อพฺภญฺชิตฺวา สุขุเมน จุณฺเณน ติกฺขตฺตุํ สุปฺปโธตํ กโรถา'ติฯ เต ตํ ปุริสํ เตเลน อพฺภญฺชิตฺวา สุขุเมน จุณฺเณน ติกฺขตฺตุํ สุปฺปโธตํ กเรยฺยุํฯ เต ตฺวํ เอวํ วเทยฺยาสิ: ‘เตน หิ, โภ, ตสฺส ปุริสสฺส เกสมสฺสุํ กปฺเปถา'ติฯ เต ตสฺส ปุริสสฺส เกสมสฺสุํ กปฺเปยฺยุํฯ เต ตฺวํ เอวํ วเทยฺยาสิ: ‘เตน หิ, โภ, ตสฺส ปุริสสฺส มหคฺฆญฺจ มาลํ มหคฺฆญฺจ วิเลปนํ มหคฺฆานิ จ วตฺถานิ อุปหรถา'ติฯ เต ตสฺส ปุริสสฺส มหคฺฆญฺจ มาลํ มหคฺฆญฺจ วิเลปนํ มหคฺฆานิ จ วตฺถานิ อุปหเรยฺยุํฯ เต ตฺวํ เอวํ วเทยฺยาสิ: ‘เตน หิ, โภ, ตํ ปุริสํ ปาสาทํ อาโรเปตฺวา ปญฺจกามคุณานิ อุปฏฺฐาเปถา'ติฯ เต ตํ ปุริสํ ปาสาทํ อาโรเปตฺวา ปญฺจกามคุณานิ อุปฏฺฐาเปยฺยุํฯ
“Well then, chieftain, I shall give you a simile. For by means of a simile some sensible people understand the meaning of what is said. Suppose there were a man sunk over his head in a sewer. Then you were to order someone to pull him out of the sewer, and they’d agree to do so. Then you’d tell them to carefully scrape the dung off that man’s body with bamboo scrapers, and they’d agree to do so. Then you’d tell them to carefully scrub that man’s body down with pale clay three times, and they’d do so. Then you’d tell them to smear that man’s body with oil, and carefully wash him down with fine paste three times, and they’d do so. Then you’d tell them to dress that man’s hair and beard, and they’d do so. Then you’d tell them to provide that man with costly garlands, makeup, and clothes, and they’d do so. Then you’d tell them to bring that man up to the stilt longhouse and set him up with the five kinds of sensual stimulation, and they’d do so.
ตํ กึ มญฺญสิ, ราชญฺญ, อปิ นุ ตสฺส ปุริสสฺส สุนฺหาตสฺส สุวิลิตฺตสฺส สุกปฺปิตเกสมสฺสุสฺส อามุกฺกมาลาภรณสฺส โอทาตวตฺถวสนสฺส อุปริปาสาทวรคตสฺส ปญฺจหิ กามคุเณหิ สมปฺปิตสฺส สมงฺคีภูตสฺส ปริจารยมานสฺส ปุนเทว ตสฺมึ คูถกูเป นิมุชฺชิตุกามตา อสฺสา”ติ?
What do you think, chieftain? Now that man is nicely bathed and anointed, with hair and beard dressed, bedecked with garlands and bracelets, dressed in white, supplied and provided with the five kinds of sensual stimulation upstairs in the royal longhouse. Would he want to dive back into that sewer again?”
“โน หิทํ, โภ กสฺสป”ฯ “ตํ กิสฺส เหตุ”? “อสุจิ, โภ กสฺสป, คูถกูโป อสุจิ เจว อสุจิสงฺขาโต จ ทุคฺคนฺโธ จ ทุคฺคนฺธสงฺขาโต จ เชคุจฺโฉ จ เชคุจฺฉสงฺขาโต จ ปฏิกูโล จ ปฏิกูลสงฺขาโต จา”ติฯ
“No, Master Kassapa. Why is that? Because that sewer is filthy, stinking, disgusting, and repulsive, and it’s regarded as such.”
“เอวเมว โข, ราชญฺญ, มนุสฺสา เทวานํ อสุจี เจว อสุจิสงฺขาตา จ, ทุคฺคนฺธา จ ทุคฺคนฺธสงฺขาตา จ, เชคุจฺฉา จ เชคุจฺฉสงฺขาตา จ, ปฏิกูลา จ ปฏิกูลสงฺขาตา จฯ โยชนสตํ โข, ราชญฺญ, มนุสฺสคนฺโธ เทเว อุพฺพาธติฯ กึ ปน เต มิตฺตามจฺจา ญาติสาโลหิตา ปาณาติปาตา ปฏิวิรตา อทินฺนาทานา ปฏิวิรตา กาเมสุมิจฺฉาจารา ปฏิวิรตา มุสาวาทา ปฏิวิรตา ปิสุณาย วาจาย ปฏิวิรตา ผรุสาย วาจาย ปฏิวิรตา สมฺผปฺปลาปา ปฏิวิรตา อนภิชฺฌาลู อพฺยาปนฺนจิตฺตา สมฺมาทิฏฺฐี, กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปนฺนา เต อาคนฺตฺวา อาโรเจสฺสนฺติ: ‘อิติปิ อตฺถิ ปโร โลโก, อตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, อตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก'ติ? อิมินาปิ โข เต, ราชญฺญ, ปริยาเยน เอวํ โหตุ: ‘อิติปิ อตฺถิ ปโร โลโก, อตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, อตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก'”ติฯ
“In the same way, chieftain, to the gods, human beings are filthy, stinking, disgusting, and repulsive, and are regarded as such. The smell of humans reaches the gods even a hundred leagues away. What then of your friends and colleagues, relatives and kin who are reborn in a higher realm after doing good things? Will they come back to tell you that there is an afterlife? By this method, too, it ought to be proven that there is an afterlife.”
“กิญฺจาปิ ภวํ กสฺสโป เอวมาห, อถ โข เอวํ เม เอตฺถ โหติ: ‘อิติปิ นตฺถิ ปโร โลโก, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก'”ติฯ
“Even though Master Kassapa says this, still I think that there is no afterlife.”
“อตฺถิ ปน, ราชญฺญ, ปริยาโย …เป…
“Can you prove it?”
“อตฺถิ, โภ กสฺสป, ปริยาโย …เป…
“I can.”
ยถา กถํ วิย, ราชญฺญาติ?
“How, exactly, chieftain?”
“อิธ เม, โภ กสฺสป, มิตฺตามจฺจา ญาติสาโลหิตา ปาณาติปาตา ปฏิวิรตา อทินฺนาทานา ปฏิวิรตา กาเมสุมิจฺฉาจารา ปฏิวิรตา มุสาวาทา ปฏิวิรตา สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา ปฏิวิรตา, เต อปเรน สมเยน อาพาธิกา โหนฺติ ทุกฺขิตา พาฬฺหคิลานาฯ ยทาหํ ชานามิ: ‘น ทานิเม อิมมฺหา อาพาธา วุฏฺฐหิสฺสนฺตี'ติ ตฺยาหํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวํ วทามิ: ‘สนฺติ โข, โภ, เอเก สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: “เย เต ปาณาติปาตา ปฏิวิรตา อทินฺนาทานา ปฏิวิรตา กาเมสุมิจฺฉาจารา ปฏิวิรตา มุสาวาทา ปฏิวิรตา สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา ปฏิวิรตา, เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชนฺติ เทวานํ ตาวตึสานํ สหพฺยตนฺ”ติฯ ภวนฺโต โข ปาณาติปาตา ปฏิวิรตา อทินฺนาทานา ปฏิวิรตา กาเมสุมิจฺฉาจารา ปฏิวิรตา มุสาวาทา ปฏิวิรตา สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา ปฏิวิรตาฯ สเจ เตสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ สจฺจํ วจนํ, ภวนฺโต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชิสฺสนฺติ, เทวานํ ตาวตึสานํ สหพฺยตํฯ สเจ, โภ, กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺเชยฺยาถ เทวานํ ตาวตึสานํ สหพฺยตํ, เยน เม อาคนฺตฺวา อาโรเจยฺยาถ: “อิติปิ อตฺถิ ปโร โลโก, อตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, อตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก”ติฯ ภวนฺโต โข ปน เม สทฺธายิกา ปจฺจยิกา, ยํ ภวนฺเตหิ ทิฏฺฐํ, ยถา สามํ ทิฏฺฐํ เอวเมตํ ภวิสฺสตี'ติฯ เต เม ‘สาธู'ติ ปฏิสฺสุตฺวา เนว อาคนฺตฺวา อาโรเจนฺติ, น ปน ทูตํ ปหิณนฺติฯ อยมฺปิ โข, โภ กสฺสป, ปริยาโย, เยน เม ปริยาเยน เอวํ โหติ: ‘อิติปิ นตฺถิ ปโร โลโก, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก'”ติฯ
“Well, I have friends and colleagues, relatives and kin who refrain from killing living creatures and so on. Some time later they become sick, suffering, gravely ill. When I know that they will not recover from their illness, I go to them and say, ‘Sirs, there are some ascetics and brahmins who have this doctrine and view: “Those who refrain from killing living creatures and so on are reborn in a good place, a heavenly realm, in the company of the gods of the Thirty-Three.” You do all these things. If what those ascetics and brahmins say is true, when your body breaks up, after death, you’ll be reborn in the company of the gods of the Thirty-Three. If that happens, sirs, come and tell me that there is an afterlife. I trust you and believe you. Anything you see will be just as if I’ve seen it for myself.’ They agree to this. But they don’t come back to tell me, nor do they send a messenger. This is how I prove that there is no afterlife.”
๒ฯ๔ฯ ตาวตึสเทเวาปมา
2.4. The Simile of the Gods of the Thirty-Three
“เตน หิ, ราชญฺญ, ตญฺเญเวตฺถ ปฏิปุจฺฉิสฺสามิ; ยถา เต ขเมยฺย, ตถา นํ พฺยากเรยฺยาสิฯ ยํ โข ปน, ราชญฺญ, มานุสฺสกํ วสฺสสตํ, เทวานํ ตาวตึสานํ เอโส เอโก รตฺตินฺทิโว, ตาย รตฺติยา ตึสรตฺติโย มาโส, เตน มาเสน ทฺวาทสมาสิโย สํวจฺฉโร, เตน สํวจฺฉเรน ทิพฺพํ วสฺสสหสฺสํ เทวานํ ตาวตึสานํ อายุปฺปมาณํฯ เย เต มิตฺตามจฺจา ญาติสาโลหิตา ปาณาติปาตา ปฏิวิรตา อทินฺนาทานา ปฏิวิรตา กาเมสุมิจฺฉาจารา ปฏิวิรตา มุสาวาทา ปฏิวิรตา สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา ปฏิวิรตา, เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปนฺนา เทวานํ ตาวตึสานํ สหพฺยตํฯ สเจ ปน เตสํ เอวํ ภวิสฺสติ: ‘ยาว มยํ เทฺว วา ตีณิ วา รตฺตินฺทิวา ทิพฺเพหิ ปญฺจหิ กามคุเณหิ สมปฺปิตา สมงฺคีภูตา ปริจาเรม, อถ มยํ ปายาสิสฺส ราชญฺญสฺส คนฺตฺวา อาโรเจยฺยาม: “อิติปิ อตฺถิ ปโร โลโก, อตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, อตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก”ติฯ อปิ นุ เต อาคนฺตฺวา อาโรเจยฺยุํ—อิติปิ อตฺถิ ปโร โลโก, อตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, อตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก'”ติ?
“Well then, chieftain, I’ll ask you about this in return, and you can answer as you like. A hundred human years are equivalent to one day and night for the gods of the Thirty-Three. Thirty such days make a month, and twelve months make a year. The gods of the Thirty-Three have a lifespan of a thousand such years. Now, as to your friends who are reborn in the company of the gods of the Thirty-Three after doing good things. If they think, ‘First I’ll amuse myself for two or three days, supplied and provided with the five kinds of heavenly sensual stimulation. Then I’ll go back to Pāyāsi and tell him that there is an afterlife.’ Would they come back to tell you that there is an afterlife?”
“โน หิทํ, โภ กสฺสปฯ อปิ หิ มยํ, โภ กสฺสป, จิรํ กาลงฺกตาปิ ภเวยฺยามฯ โก ปเนตํ โภโต กสฺสปสฺส อาโรเจติ: ‘อตฺถิ เทวา ตาวตึสา'ติ วา ‘เอวํทีฆายุกา เทวา ตาวตึสา'ติ วาฯ น มยํ โภโต กสฺสปสฺส สทฺทหาม: ‘อตฺถิ เทวา ตาวตึสา'ติ วา ‘เอวํทีฆายุกา เทวา ตาวตึสา'ติ วา”ติฯ
“No, Master Kassapa. For I would be long dead by then. But Master Kassapa, who has told you that the gods of the Thirty-Three exist, or that they have such a long life span? I don’t believe you.”
๒ฯ๕ฯ ชจฺจนฺเธาปมา
2.5. Blind From Birth
“เสยฺยถาปิ, ราชญฺญ, ชจฺจนฺโธ ปุริโส น ปเสฺสยฺย กณฺห—สุกฺกานิ รูปานิ, น ปเสฺสยฺย นีลกานิ รูปานิ, น ปเสฺสยฺย ปีตกานิ รูปานิ, น ปเสฺสยฺย โลหิตกานิ รูปานิ, น ปเสฺสยฺย มญฺชิฏฺฐกานิ รูปานิ, น ปเสฺสยฺย สมวิสมํ, น ปเสฺสยฺย ตารกานิ รูปานิ, น ปเสฺสยฺย จนฺทิมสูริเยฯ โส เอวํ วเทยฺย: ‘นตฺถิ กณฺหสุกฺกานิ รูปานิ, นตฺถิ กณฺหสุกฺกานํ รูปานํ ทสฺสาวีฯ นตฺถิ นีลกานิ รูปานิ, นตฺถิ นีลกานํ รูปานํ ทสฺสาวีฯ นตฺถิ ปีตกานิ รูปานิ, นตฺถิ ปีตกานํ รูปานํ ทสฺสาวีฯ นตฺถิ โลหิตกานิ รูปานิ, นตฺถิ โลหิตกานํ รูปานํ ทสฺสาวีฯ นตฺถิ มญฺชิฏฺฐกานิ รูปานิ, นตฺถิ มญฺชิฏฺฐกานํ รูปานํ ทสฺสาวีฯ นตฺถิ สมวิสมํ, นตฺถิ สมวิสมสฺส ทสฺสาวีฯ นตฺถิ ตารกานิ รูปานิ, นตฺถิ ตารกานํ รูปานํ ทสฺสาวีฯ นตฺถิ จนฺทิมสูริยา, นตฺถิ จนฺทิมสูริยานํ ทสฺสาวีฯ อหเมตํ น ชานามิ, อหเมตํ น ปสฺสามิ, ตสฺมา ตํ นตฺถี'ติฯ สมฺมา นุ โข โส, ราชญฺญ, วทมาโน วเทยฺยา”ติ?
“Chieftain, suppose there was a person blind from birth. They couldn’t see sights that are dark or bright, or blue, yellow, red, or magenta. They couldn’t see even and uneven ground, or the stars, or the moon and sun. They’d say, ‘There’s no such thing as dark and bright sights, and no-one who sees them. There’s no such thing as blue, yellow, red, magenta, even and uneven ground, stars, moon and sun, and no-one who sees these things. I don’t know it or see it, therefore it doesn’t exist.’ Would they be speaking rightly?”
“โน หิทํ, โภ กสฺสปฯ อตฺถิ กณฺหสุกฺกานิ รูปานิ, อตฺถิ กณฺหสุกฺกานํ รูปานํ ทสฺสาวีฯ อตฺถิ นีลกานิ รูปานิ, อตฺถิ นีลกานํ รูปานํ ทสฺสาวี …เป… อตฺถิ สมวิสมํ, อตฺถิ สมวิสมสฺส ทสฺสาวีฯ อตฺถิ ตารกานิ รูปานิ, อตฺถิ ตารกานํ รูปานํ ทสฺสาวีฯ อตฺถิ จนฺทิมสูริยา, อตฺถิ จนฺทิมสูริยานํ ทสฺสาวีฯ ‘อหเมตํ น ชานามิ, อหเมตํ น ปสฺสามิ, ตสฺมา ตํ นตฺถี'ติฯ น หิ โส, โภ กสฺสป, สมฺมา วทมาโน วเทยฺยา”ติฯ
“No, Master Kassapa. There are such things as dark and bright sights, and one who sees them. And those other things are real, too, as is the one who sees them. So it’s not right to say this: ‘I don’t know it or see it, therefore it doesn’t exist.’”
“เอวเมว โข ตฺวํ, ราชญฺญ, ชจฺจนฺธูปโม มญฺเญ ปฏิภาสิ ยํ มํ ตฺวํ เอวํ วเทสิฯ โก ปเนตํ โภโต กสฺสปสฺส อาโรเจติ: ‘อตฺถิ เทวา ตาวตึสา'ติ วา, ‘เอวํทีฆายุกา เทวา ตาวตึสา'ติ วา? น มยํ โภโต กสฺสปสฺส สทฺทหาม: ‘อตฺถิ เทวา ตาวตึสา'ติ วา ‘เอวํทีฆายุกา เทวา ตาวตึสา'ติ วา”ติฯ “น โข, ราชญฺญ, เอวํ ปโร โลโก ทฏฺฐพฺโพ, ยถา ตฺวํ มญฺญสิ อิมินา มํสจกฺขุนาฯ เย โข เต, ราชญฺญ, สมณพฺราหฺมณา อรญฺญวนปตฺถานิ ปนฺตานิ เสนาสนานิ ปฏิเสวนฺติ, เต ตตฺถ อปฺปมตฺตา อาตาปิโน ปหิตตฺตา วิหรนฺตา ทิพฺพจกฺขุํ วิโสเธนฺติฯ เต ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน อิมญฺเจว โลกํ ปสฺสนฺติ ปรญฺจ สตฺเต จ โอปปาติเกฯ เอวญฺจ โข, ราชญฺญ, ปโร โลโก ทฏฺฐพฺโพ; น เตฺวว ยถา ตฺวํ มญฺญสิ อิมินา มํสจกฺขุนาฯ อิมินาปิ โข เต, ราชญฺญ, ปริยาเยน เอวํ โหตุ: ‘อิติปิ อตฺถิ ปโร โลโก, อตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, อตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก'”ติฯ
“In the same way, chieftain, when you tell me you don’t believe me you seem like the blind man in the simile. You can’t see the other world the way you think, with the eye of the flesh. There are ascetics and brahmins who live in the wilderness, frequenting remote lodgings in the wilderness and the forest. Meditating diligent, keen, and resolute, they purify the divine eye, the power of clairvoyance. With clairvoyance that is purified and superhuman, they see this world and the other world, and sentient beings who are spontaneously reborn. That’s how to see the other world, not how you think, with the eye of the flesh. By this method, too, it ought to be proven that there is an afterlife.”
“กิญฺจาปิ ภวํ กสฺสโป เอวมาห, อถ โข เอวํ เม เอตฺถ โหติ: ‘อิติปิ นตฺถิ ปโร โลโก, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก'”ติฯ
“Even though Master Kassapa says this, still I think that there is no afterlife.”
“อตฺถิ ปน, ราชญฺญ, ปริยาโย …เป…
“Can you prove it?”
อตฺถิ, โภ กสฺสป, ปริยาโย …เป…
“I can.”
ยถา กถํ วิย, ราชญฺญา”ติ?
“How, exactly, chieftain?”
“อิธาหํ, โภ กสฺสป, ปสฺสามิ สมณพฺราหฺมเณ สีลวนฺเต กลฺยาณธมฺเม ชีวิตุกาเม อมริตุกาเม สุขกาเม ทุกฺขปฏิกูเลฯ ตสฺส มยฺหํ, โภ กสฺสป, เอวํ โหติ—สเจ โข อิเม โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สีลวนฺโต กลฺยาณธมฺมา เอวํ ชาเนยฺยุํ: ‘อิโต โน มตานํ เสโยฺย ภวิสฺสตี'ติฯ อิทานิเม โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สีลวนฺโต กลฺยาณธมฺมา วิสํ วา ขาเทยฺยุํ, สตฺถํ วา อาหเรยฺยุํ, อุพฺพนฺธิตฺวา วา กาลํ กเรยฺยุํ, ปปาเต วา ปปเตยฺยุํฯ ยสฺมา จ โข อิเม โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สีลวนฺโต กลฺยาณธมฺมา น เอวํ ชานนฺติ: ‘อิโต โน มตานํ เสโยฺย ภวิสฺสตี'ติ, ตสฺมา อิเม โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สีลวนฺโต กลฺยาณธมฺมา ชีวิตุกามา อมริตุกามา สุขกามา ทุกฺขปฏิกูลา อตฺตานํ น มาเรนฺติฯ อยมฺปิ โข, โภ กสฺสป, ปริยาโย, เยน เม ปริยาเยน เอวํ โหติ: ‘อิติปิ นตฺถิ ปโร โลโก, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก'”ติฯ
“Well, I see ascetics and brahmins who are ethical, of good character, who want to live and don’t want to die, who want to be happy and recoil from pain. I think to myself, ‘If those ascetics and brahmins knew that things were going to be better for them after death, they’d drink poison, slit their wrists, hang themselves, or throw themselves off a cliff. They mustn’t know that things are going to be better for them after death. That’s why they are ethical, of good character, wanting to live and not wanting to die, wanting to be happy and recoiling from pain.’ This is the method by which I prove that there is no afterlife.”
๒ฯ๖ฯ คพฺภินีอุปมา
2.6. The Simile of the Pregnant Woman
“เตน หิ, ราชญฺญ, อุปมํ เต กริสฺสามิฯ อุปมาย มฺ'อิเธกจฺเจ วิญฺญู ปุริสา ภาสิตสฺส อตฺถํ อาชานนฺติฯ
“Well then, chieftain, I shall give you a simile. For by means of a simile some sensible people understand the meaning of what is said.
ภูตปุพฺพํ, ราชญฺญ, อญฺญตรสฺส พฺราหฺมณสฺส เทฺว ปชาปติโย อเหสุํฯ เอกิสฺสา ปุตฺโต อโหสิ ทสวสฺสุทฺเทสิโก วา ทฺวาทสวสฺสุทฺเทสิโก วา, เอกา คพฺภินี อุปวิชญฺญาฯ อถ โข โส พฺราหฺมโณ กาลมกาสิฯ
Once upon a time, a certain brahmin had two wives. One had a son ten or twelve years of age, while the other was pregnant and about to give birth. Then the brahmin passed away.
อถ โข โส มาณวโก มาตุสปตฺตึ เอตทโวจ: ‘ยมิทํ, โภติ, ธนํ วา ธญฺญํ วา รชตํ วา ชาตรูปํ วา, สพฺพํ ตํ มยฺหํ; นตฺถิ ตุเยฺหตฺถ กิญฺจิฯ ปิตุ เม, โภติ, ทายชฺชํ นิยฺยาเทหี'ติฯ
So the youth said to his mother’s co-wife, ‘Madam, all the wealth, grain, silver, and gold is mine, and you get nothing. Transfer to me my father’s inheritance.’
เอวํ วุตฺเต, สา พฺราหฺมณี ตํ มาณวกํ เอตทโวจ: ‘อาคเมหิ ตาว, ตาต, ยาว วิชายามิฯ สเจ กุมารโก ภวิสฺสติ, ตสฺสปิ เอกเทโส ภวิสฺสติ; สเจ กุมาริกา ภวิสฺสติ, สาปิ เต โอปโภคฺคา ภวิสฺสตี'ติฯ
But the brahmin lady said, ‘Wait, my dear, until I give birth. If it’s a boy, one portion shall be his. If it’s a girl, she will be your reward.’
ทุติยมฺปิ โข โส มาณวโก มาตุสปตฺตึ เอตทโวจ: ‘ยมิทํ, โภติ, ธนํ วา ธญฺญํ วา รชตํ วา ชาตรูปํ วา, สพฺพํ ตํ มยฺหํ; นตฺถิ ตุเยฺหตฺถ กิญฺจิฯ ปิตุ เม, โภติ, ทายชฺชํ นิยฺยาเทหี'ติฯ ทุติยมฺปิ โข สา พฺราหฺมณี ตํ มาณวกํ เอตทโวจ: ‘อาคเมหิ ตาว, ตาต, ยาว วิชายามิฯ สเจ กุมารโก ภวิสฺสติ, ตสฺสปิ เอกเทโส ภวิสฺสติ; สเจ กุมาริกา ภวิสฺสติ สาปิ เต โอปโภคฺคา ภวิสฺสตี'ติฯ ตติยมฺปิ โข โส มาณวโก มาตุสปตฺตึ เอตทโวจ: ‘ยมิทํ, โภติ, ธนํ วา ธญฺญํ วา รชตํ วา ชาตรูปํ วา, สพฺพํ ตํ มยฺหํ; นตฺถิ ตุเยฺหตฺถ กิญฺจิฯ ปิตุ เม, โภติ, ทายชฺชํ นิยฺยาเทหี'ติฯ
But for a second time, and a third time, the youth insisted that the entire inheritance must be his.
อถ โข สา พฺราหฺมณี สตฺถํ คเหตฺวา โอวรกํ ปวิสิตฺวา อุทรํ โอปาเทสิ: ‘ยาว วิชายามิ ยทิ วา กุมารโก ยทิ วา กุมาริกา'ติฯ สา อตฺตานญฺเจว ชีวิตญฺจ คพฺภญฺจ สาปเตยฺยญฺจ วินาเสสิฯ
So the brahmin lady took a knife, went to her bedroom, and sliced open her belly, thinking, ‘Until I give birth—whether it’s a boy or a girl!’ She destroyed her own life and that of the fetus, as well as any wealth.
ยถา ตํ พาลา อพฺยตฺตา อนยพฺยสนํ อาปนฺนา อโยนิโส ทายชฺชํ คเวสนฺตี, เอวเมว โข ตฺวํ, ราชญฺญ, พาโล อพฺยตฺโต อนยพฺยสนํ อาปชฺชิสฺสสิ อโยนิโส ปรโลกํ คเวสนฺโต; เสยฺยถาปิ สา พฺราหฺมณี พาลา อพฺยตฺตา อนยพฺยสนํ อาปนฺนา อโยนิโส ทายชฺชํ คเวสนฺตีฯ น โข, ราชญฺญ, สมณพฺราหฺมณา สีลวนฺโต กลฺยาณธมฺมา อปกฺกํ ปริปาเจนฺติ; อปิ จ ปริปากํ อาคเมนฺติฯ ปณฺฑิตานํ อตฺโถ หิ, ราชญฺญ, สมณพฺราหฺมณานํ สีลวนฺตานํ กลฺยาณธมฺมานํ ชีวิเตนฯ ยถา ยถา โข, ราชญฺญ, สมณพฺราหฺมณา สีลวนฺโต กลฺยาณธมฺมา จิรํ ทีฆมทฺธานํ ติฏฺฐนฺติ ตถา ตถา พหุํ ปุญฺญํ ปสวนฺติ, พหุชนหิตาย จ ปฏิปชฺชนฺติ พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานํฯ อิมินาปิ โข เต, ราชญฺญ, ปริยาเยน เอวํ โหตุ: ‘อิติปิ อตฺถิ ปโร โลโก, อตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, อตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก'”ติฯ
Being foolish and incompetent, she sought an inheritance irrationally and fell to ruin and disaster. In the same way, chieftain, being foolish and incompetent, you’re seeking the other world irrationally and will fall to ruin and disaster, just like that brahmin lady. Good ascetics and brahmins don’t force what is unripe to ripen; rather, they wait for it to ripen. For the life of clever ascetics and brahmins is beneficial. So long as they remain, good ascetics and brahmins make much merit, and act for the welfare and happiness of the people, out of compassion for the world, for the benefit, welfare, and happiness of gods and humans. By this method, too, it ought to be proven that there is an afterlife.”
“กิญฺจาปิ ภวํ กสฺสโป เอวมาห, อถ โข เอวํ เม เอตฺถ โหติ: ‘อิติปิ นตฺถิ ปโร โลโก, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก'”ติฯ
“Even though Master Kassapa says this, still I think that there is no afterlife.”
“อตฺถิ ปน, ราชญฺญ, ปริยาโย …เป…
“Can you prove it?”
อตฺถิ, โภ กสฺสป, ปริยาโย …เป…
“I can.”
ยถา กถํ วิย, ราชญฺญา”ติ?
“How, exactly, chieftain?”
“อิธ เม, โภ กสฺสป, ปุริสา โจรํ อาคุจารึ คเหตฺวา ทเสฺสนฺติ: ‘อยํ เต, ภนฺเต, โจโร อาคุจารี; อิมสฺส ยํ อิจฺฉสิ, ตํ ทณฺฑํ ปเณหี'ติฯ ตฺยาหํ เอวํ วทามิ: ‘เตน หิ, โภ, อิมํ ปุริสํ ชีวนฺตํเยว กุมฺภิยา ปกฺขิปิตฺวา มุขํ ปิทหิตฺวา อเลฺลน จมฺเมน โอนนฺธิตฺวา อลฺลาย มตฺติกาย พหลาวเลปนํ กริตฺวา อุทฺธนํ อาโรเปตฺวา อคฺคึ เทถา'ติฯ เต เม ‘สาธู'ติ ปฏิสฺสุตฺวา ตํ ปุริสํ ชีวนฺตํเยว กุมฺภิยา ปกฺขิปิตฺวา มุขํ ปิทหิตฺวา อเลฺลน จมฺเมน โอนนฺธิตฺวา อลฺลาย มตฺติกาย พหลาวเลปนํ กริตฺวา อุทฺธนํ อาโรเปตฺวา อคฺคึ เทนฺติฯ ยทา มยํ ชานาม ‘กาลงฺกโต โส ปุริโส'ติ, อถ นํ กุมฺภึ โอโรเปตฺวา อุพฺภินฺทิตฺวา มุขํ วิวริตฺวา สณิกํ นิโลฺลเกม: ‘อปฺเปว นามสฺส ชีวํ นิกฺขมนฺตํ ปเสฺสยฺยามา'ติฯ เนวสฺส มยํ ชีวํ นิกฺขมนฺตํ ปสฺสามฯ อยมฺปิ โข, โภ กสฺสป, ปริยาโย, เยน เม ปริยาเยน เอวํ โหติ: ‘อิติปิ นตฺถิ ปโร โลโก, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก'”ติฯ
“Suppose they were to arrest a bandit, a criminal and present him to me, saying, ‘Sir, this is a bandit, a criminal. Punish him as you will.’ I say to them, ‘Well then, sirs, place this man in a pot while he’s still alive. Close up the mouth, bind it up with damp leather, and seal it with a thick coat of damp clay. Then lift it up on a stove and light the fire.’ They agree, and do what I ask. When we know that that man has passed away, we lift down the pot and break it open, uncover the mouth, and slowly peek inside, thinking, ‘Hopefully we’ll see his soul escaping.’ But we don’t see his soul escaping. This is how I prove that there is no afterlife.”
๒ฯ๗ฯ สุปินเกาปมา
2.7. The Simile of the Dream
“เตน หิ, ราชญฺญ, ตญฺเญเวตฺถ ปฏิปุจฺฉิสฺสามิ, ยถา เต ขเมยฺย, ตถา นํ พฺยากเรยฺยาสิฯ อภิชานาสิ โน ตฺวํ, ราชญฺญ, ทิวา เสยฺยํ อุปคโต สุปินกํ ปสฺสิตา อารามรามเณยฺยกํ วนรามเณยฺยกํ ภูมิรามเณยฺยกํ โปกฺขรณีรามเณยฺยกนฺ”ติ?
“Well then, chieftain, I’ll ask you about this in return, and you can answer as you like. Do you recall ever having a midday nap and seeing delightful parks, woods, meadows, and lotus ponds in a dream?”
“อภิชานามหํ, โภ กสฺสป, ทิวาเสยฺยํ อุปคโต สุปินกํ ปสฺสิตา อารามรามเณยฺยกํ วนรามเณยฺยกํ ภูมิรามเณยฺยกํ โปกฺขรณีรามเณยฺยกนฺ”ติฯ
“I do, sir.”
“รกฺขนฺติ ตํ ตมฺหิ สมเย ขุชฺชาปิ วามนกาปิ เวลาสิกาปิ โกมาริกาปี”ติ?
“At that time were you guarded by hunchbacks, dwarves, midgets, and younglings?”
“เอวํ, โภ กสฺสป, รกฺขนฺติ มํ ตมฺหิ สมเย ขุชฺชาปิ วามนกาปิ เวลาสิกาปิ โกมาริกาปี”ติฯ
“I was.”
“อปิ นุ ตา ตุยฺหํ ชีวํ ปสฺสนฺติ ปวิสนฺตํ วา นิกฺขมนฺตํ วา”ติ?
“But did they see your soul entering or leaving?”
“โน หิทํ, โภ กสฺสป”ฯ
“No they did not.”
“ตา หิ นาม, ราชญฺญ, ตุยฺหํ ชีวนฺตสฺส ชีวนฺติโย ชีวํ น ปสฺสิสฺสนฺติ ปวิสนฺตํ วา นิกฺขมนฺตํ วาฯ กึ ปน ตฺวํ กาลงฺกตสฺส ชีวํ ปสฺสิสฺสสิ ปวิสนฺตํ วา นิกฺขมนฺตํ วาฯ อิมินาปิ โข เต, ราชญฺญ, ปริยาเยน เอวํ โหตุ: ‘อิติปิ อตฺถิ ปโร โลโก, อตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, อตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก'”ติฯ
“So if they couldn’t even see your soul entering or leaving while you were still alive, how could you see the soul of a dead man? By this method, too, it ought to be proven that there is an afterlife, there are beings reborn spontaneously, and there is a fruit or result of good and bad deeds.”
“กิญฺจาปิ ภวํ กสฺสโป เอวมาห, อถ โข เอวํ เม เอตฺถ โหติ: ‘อิติปิ นตฺถิ ปโร โลโก, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก'”ติฯ
“Even though Master Kassapa says this, still I think that there is no afterlife.”
“อตฺถิ ปน, ราชญฺญ, ปริยาโย …เป…
“Can you prove it?”
“อตฺถิ, โภ กสฺสป, ปริยาโย …เป…
“I can.”
ยถา กถํ วิย, ราชญฺญา”ติ?
“How, exactly, chieftain?”
“อิธ เม, โภ กสฺสป, ปุริสา โจรํ อาคุจารึ คเหตฺวา ทเสฺสนฺติ: ‘อยํ เต, ภนฺเต, โจโร อาคุจารี; อิมสฺส ยํ อิจฺฉสิ, ตํ ทณฺฑํ ปเณหี'ติฯ ตฺยาหํ เอวํ วทามิ: ‘เตน หิ, โภ, อิมํ ปุริสํ ชีวนฺตํเยว ตุลาย ตุเลตฺวา ชิยาย อนสฺสาสกํ มาเรตฺวา ปุนเทว ตุลาย ตุเลถา'ติฯ เต เม ‘สาธู'ติ ปฏิสฺสุตฺวา ตํ ปุริสํ ชีวนฺตํเยว ตุลาย ตุเลตฺวา ชิยาย อนสฺสาสกํ มาเรตฺวา ปุนเทว ตุลาย ตุเลนฺติฯ ยทา โส ชีวติ, ตทา ลหุตโร จ โหติ มุทุตโร จ กมฺมญฺญตโร จฯ ยทา ปน โส กาลงฺกโต โหติ ตทา ครุตโร จ โหติ ปตฺถินฺนตโร จ อกมฺมญฺญตโร จฯ อยมฺปิ โข, โภ กสฺสป, ปริยาโย, เยน เม ปริยาเยน เอวํ โหติ: ‘อิติปิ นตฺถิ ปโร โลโก, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก'”ติฯ
“Suppose they were to arrest a bandit, a criminal and present him to me, saying, ‘Sir, this is a bandit, a criminal. Punish him as you will.’ I say to them, ‘Well then, sirs, weigh this man with scales while he’s still alive. Then strangle him with a bowstring, and when he’s dead, weigh him again.’ They agree, and do what I ask. So long as they are alive, they’re lighter, softer, more flexible. But when they die they become heavier, stiffer, less flexible. This is how I prove that there is no afterlife.”
๒ฯ๘ฯ สนฺตตฺตอโยคุเฬาปมา
2.8. The Simile of the Hot Iron Ball
“เตน หิ, ราชญฺญ, อุปมํ เต กริสฺสามิฯ อุปมาย มฺ'อิเธกจฺเจ วิญฺญู ปุริสา ภาสิตสฺส อตฺถํ อาชานนฺติฯ เสยฺยถาปิ, ราชญฺญ, ปุริโส ทิวสํ สนฺตตฺตํ อโยคุฬํ อาทิตฺตํ สมฺปชฺชลิตํ สโชติภูตํ ตุลาย ตุเลยฺยฯ ตเมนํ อปเรน สมเยน สีตํ นิพฺพุตํ ตุลาย ตุเลยฺยฯ กทา นุ โข โส อโยคุโฬ ลหุตโร วา โหติ มุทุตโร วา กมฺมญฺญตโร วา, ยทา วา อาทิตฺโต สมฺปชฺชลิโต สโชติภูโต, ยทา วา สีโต นิพฺพุโต”ติ?
“Well then, chieftain, I shall give you a simile. For by means of a simile some sensible people understand the meaning of what is said. Suppose a person was to heat an iron ball all day until it was burning, blazing, and glowing, and then they weigh it with scales. After some time, when it had cooled and become extinguished, they’d weigh it again. When would that iron ball be lighter, softer, and more workable—when it’s burning or when it’s cool?”
“ยทา โส, โภ กสฺสป, อโยคุโฬ เตโชสหคโต จ โหติ วาโยสหคโต จ อาทิตฺโต สมฺปชฺชลิโต สโชติภูโต, ตทา ลหุตโร จ โหติ มุทุตโร จ กมฺมญฺญตโร จฯ ยทา ปน โส อโยคุโฬ เนว เตโชสหคโต โหติ น วาโยสหคโต สีโต นิพฺพุโต, ตทา ครุตโร จ โหติ ปตฺถินฺนตโร จ อกมฺมญฺญตโร จา”ติฯ
“So long as the iron ball is full of heat and air—burning, blazing, and glowing—it’s lighter, softer, and more workable. But when it lacks heat and air—cooled and extinguished—it’s heavier, stiffer, and less workable.”
“เอวเมว โข, ราชญฺญ, ยทายํ กาโย อายุสหคโต จ โหติ อุสฺมาสหคโต จ วิญฺญาณสหคโต จ, ตทา ลหุตโร จ โหติ มุทุตโร จ กมฺมญฺญตโร จฯ ยทา ปนายํ กาโย เนว อายุสหคโต โหติ น อุสฺมาสหคโต น วิญฺญาณสหคโต ตทา ครุตโร จ โหติ ปตฺถินฺนตโร จ อกมฺมญฺญตโร จฯ อิมินาปิ โข เต, ราชญฺญ, ปริยาเยน เอวํ โหตุ: ‘อิติปิ อตฺถิ ปโร โลโก, อตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, อตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก'”ติฯ
“In the same way, so long as this body is full of life and warmth and consciousness it’s lighter, softer, and more flexible. But when it lacks life and warmth and consciousness it’s heavier, stiffer, and less flexible. By this method, too, it ought to be proven that there is an afterlife.”
“กิญฺจาปิ ภวํ กสฺสโป เอวมาห, อถ โข เอวํ เม เอตฺถ โหติ: ‘อิติปิ นตฺถิ ปโร โลโก, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก'”ติฯ
“Even though Master Kassapa says this, still I think that there is no afterlife.”
“อตฺถิ ปน, ราชญฺญ, ปริยาโย …เป…
“Can you prove it?”
อตฺถิ, โภ กสฺสป, ปริยาโย …เป…
“I can.”
ยถา กถํ วิย, ราชญฺญา”ติ?
“How, exactly, chieftain?”
“อิธ เม, โภ กสฺสป, ปุริสา โจรํ อาคุจารึ คเหตฺวา ทเสฺสนฺติ: ‘อยํ เต, ภนฺเต, โจโร อาคุจารี; อิมสฺส ยํ อิจฺฉสิ, ตํ ทณฺฑํ ปเณหี'ติฯ ตฺยาหํ เอวํ วทามิ: ‘เตน หิ, โภ, อิมํ ปุริสํ อนุปหจฺจ ฉวิญฺจ จมฺมญฺจ มํสญฺจ นฺหารุญฺจ อฏฺฐิญฺจ อฏฺฐิมิญฺชญฺจ ชีวิตา โวโรเปถ, อปฺเปว นามสฺส ชีวํ นิกฺขมนฺตํ ปเสฺสยฺยามา'ติฯ เต เม ‘สาธู'ติ ปฏิสฺสุตฺวา ตํ ปุริสํ อนุปหจฺจ ฉวิญฺจ …เป… ชีวิตา โวโรเปนฺติฯ ยทา โส อามโต โหติ, ตฺยาหํ เอวํ วทามิ: ‘เตน หิ, โภ, อิมํ ปุริสํ อุตฺตานํ นิปาเตถ, อปฺเปว นามสฺส ชีวํ นิกฺขมนฺตํ ปเสฺสยฺยามา'ติฯ เต ตํ ปุริสํ อุตฺตานํ นิปาเตนฺติฯ เนวสฺส มยํ ชีวํ นิกฺขมนฺตํ ปสฺสามฯ ตฺยาหํ เอวํ วทามิ: ‘เตน หิ, โภ, อิมํ ปุริสํ อวกุชฺชํ นิปาเตถ … ปเสฺสน นิปาเตถ … ทุติเยน ปเสฺสน นิปาเตถ … อุทฺธํ ฐเปถ … โอมุทฺธกํ ฐเปถ … ปาณินา อาโกเฏถ … เลฑฺฑุนา อาโกเฏถ … ทณฺเฑน อาโกเฏถ … สตฺเถน อาโกเฏถ … โอธุนาถ สนฺธุนาถ นิทฺธุนาถ, อปฺเปว นามสฺส ชีวํ นิกฺขมนฺตํ ปเสฺสยฺยามา'ติฯ เต ตํ ปุริสํ โอธุนนฺติ สนฺธุนนฺติ นิทฺธุนนฺติฯ เนวสฺส มยํ ชีวํ นิกฺขมนฺตํ ปสฺสามฯ ตสฺส ตเทว จกฺขุ โหติ เต รูปา, ตญฺจายตนํ นปฺปฏิสํเวเทติฯ ตเทว โสตํ โหติ เต สทฺทา, ตญฺจายตนํ นปฺปฏิสํเวเทติฯ ตเทว ฆานํ โหติ เต คนฺธา, ตญฺจายตนํ นปฺปฏิสํเวเทติฯ สาว ชิวฺหา โหติ เต รสา, ตญฺจายตนํ นปฺปฏิสํเวเทติฯ เสฺวว กาโย โหติ เต โผฏฺฐพฺพา, ตญฺจายตนํ นปฺปฏิสํเวเทติฯ อยมฺปิ โข, โภ กสฺสป, ปริยาโย, เยน เม ปริยาเยน เอวํ โหติ: ‘อิติปิ นตฺถิ ปโร โลโก, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก'”ติฯ
“Suppose they were to arrest a bandit, a criminal and present him to me, saying, ‘Sir, this is a bandit, a criminal. Punish him as you will.’ I say to them, ‘Well then, sirs, take this man’s life without injuring his outer skin, inner skin, flesh, sinews, bones, or marrow. Hopefully we’ll see his soul escaping.’ They agree, and do what I ask. When he’s nearly dead, I tell them to lay him on his back in hope of seeing his soul escape. They do so. But we don’t see his soul escaping. I tell them to lay him bent over, to lay him on his side, to lay him on the other side; to stand him upright, to stand him upside down; to strike him with fists, stones, rods, and swords; and to give him a good shaking in hope of seeing his soul escape. They do all these things. But we don’t see his soul escaping. For him the eye itself is present, and so are those sights. Yet he does not experience that sense-field. The ear itself is present, and so are those sounds. Yet he does not experience that sense-field. The nose itself is present, and so are those smells. Yet he does not experience that sense-field. The tongue itself is present, and so are those tastes. Yet he does not experience that sense-field. The body itself is present, and so are those touches. Yet he does not experience that sense-field. This is how I prove that there is no afterlife.”
๒ฯ๙ฯ สงฺขธเมาปมา
2.9. The Simile of the Horn Blower
“เตน หิ, ราชญฺญ, อุปมํ เต กริสฺสามิฯ อุปมาย มฺ'อิเธกจฺเจ วิญฺญู ปุริสา ภาสิตสฺส อตฺถํ อาชานนฺติฯ
“Well then, chieftain, I shall give you a simile. For by means of a simile some sensible people understand the meaning of what is said.
ภูตปุพฺพํ, ราชญฺญ, อญฺญตโร สงฺขธโม สงฺขํ อาทาย ปจฺจนฺติมํ ชนปทํ อคมาสิฯ โส เยน อญฺญตโร คาโม เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา มชฺเฌ คามสฺส ฐิโต ติกฺขตฺตุํ สงฺขํ อุปลาเปตฺวา สงฺขํ ภูมิยํ นิกฺขิปิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ
Once upon a time, a certain horn blower took his horn and traveled to a borderland, where he went to a certain village. Standing in the middle of the village, he sounded his horn three times, then placed it on the ground and sat down to one side.
อถ โข, ราชญฺญ, เตสํ ปจฺจนฺตชนปทานํ มนุสฺสานํ เอตทโหสิ: ‘อมฺโภ กสฺส นุ โข เอโส สทฺโท เอวํรชนีโย เอวงฺกมนีโย เอวํมทนีโย เอวมฺพนฺธนีโย เอวํมุจฺฉนีโย'ติฯ สนฺนิปติตฺวา ตํ สงฺขธมํ เอตทโวจุํ: ‘อมฺโภ, กสฺส นุ โข เอโส สทฺโท เอวํรชนีโย เอวงฺกมนีโย เอวํมทนีโย เอวมฺพนฺธนีโย เอวํมุจฺฉนีโย'ติฯ
Then the people of the borderland thought, ‘What is making this sound, so arousing, sensuous, intoxicating, infatuating, and captivating?’ They gathered around the horn blower and said, ‘Mister, what is making this sound, so arousing, sensuous, intoxicating, infatuating, and captivating?’
‘เอโส โข, โภ, สงฺโข นาม ยเสฺสโส สทฺโท เอวํรชนีโย เอวงฺกมนีโย เอวํมทนีโย เอวมฺพนฺธนีโย เอวํมุจฺฉนีโย'ติฯ
‘The sound is made by this, which is called a horn.’
เต ตํ สงฺขํ อุตฺตานํ นิปาเตสุํ: ‘วเทหิ, โภ สงฺข, วเทหิ, โภ สงฺขา'ติฯ เนว โส สงฺโข สทฺทมกาสิฯ
They laid that horn on its back, saying, ‘Speak, good horn! Speak, good horn!’ But still the horn made no sound.
เต ตํ สงฺขํ อวกุชฺชํ นิปาเตสุํ, ปเสฺสน นิปาเตสุํ, ทุติเยน ปเสฺสน นิปาเตสุํ, อุทฺธํ ฐเปสุํ, โอมุทฺธกํ ฐเปสุํ, ปาณินา อาโกเฏสุํ, เลฑฺฑุนา อาโกเฏสุํ, ทณฺเฑน อาโกเฏสุํ, สตฺเถน อาโกเฏสุํ, โอธุนึสุ สนฺธุนึสุ นิทฺธุนึสุ: ‘วเทหิ, โภ สงฺข, วเทหิ, โภ สงฺขา'ติฯ เนว โส สงฺโข สทฺทมกาสิฯ
Then they lay the horn bent over, they lay it on its side, they lay it on its other side; they stood it upright, they stood it upside down; they struck it with fists, stones, rods, and swords; and they gave it a good shake, saying, ‘Speak, good horn! Speak, good horn!’ But still the horn made no sound.
อถ โข, ราชญฺญ, ตสฺส สงฺขธมสฺส เอตทโหสิ: ‘ยาว พาลา อิเม ปจฺจนฺตชนปทา มนุสฺสา, กถญฺหิ นาม อโยนิโส สงฺขสทฺทํ คเวสิสฺสนฺตี'ติฯ เตสํ เปกฺขมานานํ สงฺขํ คเหตฺวา ติกฺขตฺตุํ สงฺขํ อุปลาเปตฺวา สงฺขํ อาทาย ปกฺกามิฯ
So the horn blower thought, ‘How foolish are these borderland folk! For how can they seek the sound of a horn so irrationally?’ And as they looked on, he picked up the horn, sounded it three times, and took it away with him.
อถ โข, ราชญฺญ, เตสํ ปจฺจนฺตชนปทานํ มนุสฺสานํ เอตทโหสิ: ‘ยทา กิร, โภ, อยํ สงฺโข นาม ปุริสสหคโต จ โหติ วายามสหคโต จ วายุสหคโต จ, ตทายํ สงฺโข สทฺทํ กโรติ, ยทา ปนายํ สงฺโข เนว ปุริสสหคโต โหติ น วายามสหคโต น วายุสหคโต, นายํ สงฺโข สทฺทํ กโรตี'ติฯ
Then the people of the borderland thought, ‘So, it seems, when what is called a horn is accompanied by a person, effort, and wind, it makes a sound. But when these things are absent it makes no sound.’
เอวเมว โข, ราชญฺญ, ยทายํ กาโย อายุสหคโต จ โหติ อุสฺมาสหคโต จ วิญฺญาณสหคโต จ, ตทา อภิกฺกมติปิ ปฏิกฺกมติปิ ติฏฺฐติปิ นิสีทติปิ เสยฺยมฺปิ กปฺเปติ, จกฺขุนาปิ รูปํ ปสฺสติ, โสเตนปิ สทฺทํ สุณาติ, ฆาเนนปิ คนฺธํ ฆายติ, ชิวฺหายปิ รสํ สายติ, กาเยนปิ โผฏฺฐพฺพํ ผุสติ, มนสาปิ ธมฺมํ วิชานาติฯ ยทา ปนายํ กาโย เนว อายุสหคโต โหติ, น อุสฺมาสหคโต, น วิญฺญาณสหคโต, ตทา เนว อภิกฺกมติ น ปฏิกฺกมติ น ติฏฺฐติ น นิสีทติ น เสยฺยํ กปฺเปติ, จกฺขุนาปิ รูปํ น ปสฺสติ, โสเตนปิ สทฺทํ น สุณาติ, ฆาเนนปิ คนฺธํ น ฆายติ, ชิวฺหายปิ รสํ น สายติ, กาเยนปิ โผฏฺฐพฺพํ น ผุสติ, มนสาปิ ธมฺมํ น วิชานาติฯ อิมินาปิ โข เต, ราชญฺญ, ปริยาเยน เอวํ โหตุ: ‘อิติปิ อตฺถิ ปโร โลโก, อตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, อตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก'”ติฯ
In the same way, so long as this body is full of life and warmth and consciousness it walks back and forth, stands, sits, and lies down. It sees sights with the eye, hears sounds with the ear, smells odors with the nose, tastes flavors with the tongue, feels touches with the body, and knows thoughts with the mind. But when it lacks life and warmth and consciousness it does none of these things. By this method, too, it ought to be proven that there is an afterlife.”
“กิญฺจาปิ ภวํ กสฺสโป เอวมาห, อถ โข เอวํ เม เอตฺถ โหติ: ‘อิติปิ นตฺถิ ปโร โลโก, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก'”ติฯ
“Even though Master Kassapa says this, still I think that there is no afterlife.”
“อตฺถิ ปน, ราชญฺญ, ปริยาโย …เป…
“Can you prove it?”
อตฺถิ, โภ กสฺสป, ปริยาโย …เป…
“I can.”
ยถา กถํ วิย, ราชญฺญา”ติ?
“How, exactly, chieftain?”
“อิธ เม, โภ กสฺสป, ปุริสา โจรํ อาคุจารึ คเหตฺวา ทเสฺสนฺติ: ‘อยํ เต, ภนฺเต, โจโร อาคุจารี, อิมสฺส ยํ อิจฺฉสิ, ตํ ทณฺฑํ ปเณหี'ติฯ ตฺยาหํ เอวํ วทามิ: ‘เตน หิ, โภ, อิมสฺส ปุริสสฺส ฉวึ ฉินฺทถ, อปฺเปว นามสฺส ชีวํ ปเสฺสยฺยามา'ติฯ เต ตสฺส ปุริสสฺส ฉวึ ฉินฺทนฺติฯ เนวสฺส มยํ ชีวํ ปสฺสามฯ ตฺยาหํ เอวํ วทามิ: ‘เตน หิ, โภ, อิมสฺส ปุริสสฺส จมฺมํ ฉินฺทถ, มํสํ ฉินฺทถ, นฺหารุํ ฉินฺทถ, อฏฺฐึ ฉินฺทถ, อฏฺฐิมิญฺชํ ฉินฺทถ, อปฺเปว นามสฺส ชีวํ ปเสฺสยฺยามา'ติฯ เต ตสฺส ปุริสสฺส อฏฺฐิมิญฺชํ ฉินฺทนฺติ, เนวสฺส มยํ ชีวํ ปเสฺสยฺยามฯ อยมฺปิ โข, โภ กสฺสป, ปริยาโย, เยน เม ปริยาเยน เอวํ โหติ: ‘อิติปิ นตฺถิ ปโร โลโก, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก'”ติฯ
“Suppose they were to arrest a bandit, a criminal and present him to me, saying, ‘Sir, this is a bandit, a criminal. Punish him as you will.’ I say to them, ‘Well then, sirs, cut open this man’s outer skin. Hopefully we might see his soul.’ They cut open his outer skin, but we see no soul. I say to them, ‘Well then, sirs, cut open his inner skin, flesh, sinews, bones, or marrow. Hopefully we’ll see his soul.’ They do so, but we see no soul. This is how I prove that there is no afterlife.”
๒ฯ๑๐ฯ อคฺคิกชฏิเลาปมา
2.10. The Simile of the Fire-Worshiping Matted-Hair Ascetic
“เตน หิ, ราชญฺญ, อุปมํ เต กริสฺสามิฯ อุปมาย มฺ'อิเธกจฺเจ วิญฺญู ปุริสา ภาสิตสฺส อตฺถํ อาชานนฺติฯ
“Well then, chieftain, I shall give you a simile. For by means of a simile some sensible people understand the meaning of what is said.
ภูตปุพฺพํ, ราชญฺญ, อญฺญตโร อคฺคิโก ชฏิโล อรญฺญายตเน ปณฺณกุฏิยา สมฺมติฯ อถ โข, ราชญฺญ, อญฺญตโร ชนปเท สตฺโถ วุฏฺฐาสิฯ อถ โข โส สตฺโถ ตสฺส อคฺคิกสฺส ชฏิลสฺส อสฺสมสฺส สามนฺตา เอกรตฺตึ วสิตฺวา ปกฺกามิฯ อถ โข, ราชญฺญ, ตสฺส อคฺคิกสฺส ชฏิลสฺส เอตทโหสิ: ‘ยนฺนูนาหํ เยน โส สตฺถวาโส เตนุปสงฺกเมยฺยํ, อปฺเปว นาเมตฺถ กิญฺจิ อุปกรณํ อธิคจฺเฉยฺยนฺ'ติฯ
Once upon a time, a certain fire-worshiping matted-hair ascetic settled in a leaf hut in a wilderness region. Then a caravan came out from a certain country. It stayed for one night not far from that ascetic’s hermitage, and then moved on. The ascetic thought, ‘Why don’t I go to that caravan’s campsite? Hopefully I’ll find something useful there.’
อถ โข โส อคฺคิโก ชฏิโล กาลเสฺสว วุฏฺฐาย เยน โส สตฺถวาโส เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อทฺทส ตสฺมึ สตฺถวาเส ทหรํ กุมารํ มนฺทํ อุตฺตานเสยฺยกํ ฉฑฺฑิตํฯ ทิสฺวานสฺส เอตทโหสิ: ‘น โข เม ตํ ปติรูปํ ยํ เม เปกฺขมานสฺส มนุสฺสภูโต กาลงฺกเรยฺย; ยนฺนูนาหํ อิมํ ทารกํ อสฺสมํ เนตฺวา อาปาเทยฺยํ โปเสยฺยํ วฑฺเฒยฺยนฺ'ติฯ อถ โข โส อคฺคิโก ชฏิโล ตํ ทารกํ อสฺสมํ เนตฺวา อาปาเทสิ โปเสสิ วฑฺเฒสิฯ
So he went, and he saw a little baby boy abandoned there. When he saw this he thought, ‘It’s not proper for me to look on while a human being dies. Why don’t I bring this boy back to my hermitage, nurse him, nourish him, and raise him?’ So that’s what he did.
ยทา โส ทารโก ทสวสฺสุทฺเทสิโก วา โหติ ทฺวาทสวสฺสุทฺเทสิโก วา, อถ โข ตสฺส อคฺคิกสฺส ชฏิลสฺส ชนปเท กญฺจิเทว กรณียํ อุปฺปชฺชิฯ อถ โข โส อคฺคิโก ชฏิโล ตํ ทารกํ เอตทโวจ: ‘อิจฺฉามหํ, ตาต, ชนปทํ คนฺตุํ; อคฺคึ, ตาต, ปริจเรยฺยาสิฯ มา จ เต อคฺคิ นิพฺพายิฯ สเจ จ เต อคฺคิ นิพฺพาเยยฺย, อยํ วาสี อิมานิ กฏฺฐานิ อิทํ อรณิสหิตํ, อคฺคึ นิพฺพตฺเตตฺวา อคฺคึ ปริจเรยฺยาสี'ติฯ อถ โข โส อคฺคิโก ชฏิโล ตํ ทารกํ เอวํ อนุสาสิตฺวา ชนปทํ อคมาสิฯ
When the boy was ten or twelve years old, the ascetic had some business come up in the country. So he said to the boy, ‘My dear, I wish to go to the country. Serve the sacred flame. Do not extinguish it. But if you should extinguish it, here is the hatchet, the firewood, and the bundle of drill-sticks. Light the fire and serve it.’ And having instructed the boy, the ascetic went to the country.
ตสฺส ขิฑฺฑาปสุตสฺส อคฺคิ นิพฺพายิฯ อถ โข ตสฺส ทารกสฺส เอตทโหสิ: ‘ปิตา โข มํ เอวํ อวจ: “อคฺคึ, ตาต, ปริจเรยฺยาสิฯ มา จ เต อคฺคิ นิพฺพายิฯ สเจ จ เต อคฺคิ นิพฺพาเยยฺย, อยํ วาสี อิมานิ กฏฺฐานิ อิทํ อรณิสหิตํ, อคฺคึ นิพฺพตฺเตตฺวา อคฺคึ ปริจเรยฺยาสี”ติฯ ยนฺนูนาหํ อคฺคึ นิพฺพตฺเตตฺวา อคฺคึ ปริจเรยฺยนฺ'ติฯ
But the boy was so engrossed in his play, the fire went out. He thought, ‘My father told me to serve the sacred flame. Why don’t I light it again and serve it?’
อถ โข โส ทารโก อรณิสหิตํ วาสิยา ตจฺฉิ: ‘อปฺเปว นาม อคฺคึ อธิคจฺเฉยฺยนฺ'ติฯ เนว โส อคฺคึ อธิคจฺฉิฯ
So he chopped the bundle of drill-sticks with the hatchet, thinking, ‘Hopefully I’ll get a fire!’ But he still got no fire.
อรณิสหิตํ ทฺวิธา ผาเลสิ, ติธา ผาเลสิ, จตุธา ผาเลสิ, ปญฺจธา ผาเลสิ, ทสธา ผาเลสิ, สตธา ผาเลสิ, สกลิกํ สกลิกํ อกาสิ, สกลิกํ สกลิกํ กริตฺวา อุทุกฺขเล โกฏฺเฏสิ, อุทุกฺขเล โกฏฺเฏตฺวา มหาวาเต โอปุนิ: ‘อปฺเปว นาม อคฺคึ อธิคจฺเฉยฺยนฺ'ติฯ เนว โส อคฺคึ อธิคจฺฉิฯ
He split the bundle of drill-sticks into two, three, four, five, ten, or a hundred parts. He chopped them into splinters, pounded them in a mortar, and swept them away in a strong wind, thinking, ‘Hopefully I’ll get a fire!’ But he still got no fire.
อถ โข โส อคฺคิโก ชฏิโล ชนปเท ตํ กรณียํ ตีเรตฺวา เยน สโก อสฺสโม เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ตํ ทารกํ เอตทโวจ: ‘กจฺจิ เต, ตาต, อคฺคิ น นิพฺพุโต'ติ? ‘อิธ เม, ตาต, ขิฑฺฑาปสุตสฺส อคฺคิ นิพฺพายิฯ ตสฺส เม เอตทโหสิ: “ปิตา โข มํ เอวํ อวจ อคฺคึ, ตาต, ปริจเรยฺยาสิฯ มา จ เต, ตาต, อคฺคิ นิพฺพายิฯ สเจ จ เต อคฺคิ นิพฺพาเยยฺย, อยํ วาสี อิมานิ กฏฺฐานิ อิทํ อรณิสหิตํ, อคฺคึ นิพฺพตฺเตตฺวา อคฺคึ ปริจเรยฺยาสีติฯ ยนฺนูนาหํ อคฺคึ นิพฺพตฺเตตฺวา อคฺคึ ปริจเรยฺยนฺ”ติฯ อถ ขฺวาหํ, ตาต, อรณิสหิตํ วาสิยา ตจฺฉึ: “อปฺเปว นาม อคฺคึ อธิคจฺเฉยฺยนฺ”ติฯ เนวาหํ อคฺคึ อธิคจฺฉึฯ อรณิสหิตํ ทฺวิธา ผาเลสึ, ติธา ผาเลสึ, จตุธา ผาเลสึ, ปญฺจธา ผาเลสึ, ทสธา ผาเลสึ, สตธา ผาเลสึ, สกลิกํ สกลิกํ อกาสึ, สกลิกํ สกลิกํ กริตฺวา อุทุกฺขเล โกฏฺเฏสึ, อุทุกฺขเล โกฏฺเฏตฺวา มหาวาเต โอปุนึ: “อปฺเปว นาม อคฺคึ อธิคจฺเฉยฺยนฺ”ติฯ เนวาหํ อคฺคึ อธิคจฺฉินฺ'ติฯ อถ โข ตสฺส อคฺคิกสฺส ชฏิลสฺส เอตทโหสิ: ‘ยาว พาโล อยํ ทารโก อพฺยตฺโต, กถญฺหิ นาม อโยนิโส อคฺคึ คเวสิสฺสตี'ติฯ
Then the matted-hair ascetic, having concluded his business in the country, returned to his own hermitage, and said to the boy, ‘I trust, my dear, that the fire didn’t go out?’ And the boy told him what had happened. Then the ascetic thought, ‘How foolish is this boy, how incompetent! For how can he seek a fire so irrationally?’
ตสฺส เปกฺขมานสฺส อรณิสหิตํ คเหตฺวา อคฺคึ นิพฺพตฺเตตฺวา ตํ ทารกํ เอตทโวจ: ‘เอวํ โข, ตาต, อคฺคิ นิพฺพตฺเตตพฺโพฯ น เตฺวว ยถา ตฺวํ พาโล อพฺยตฺโต อโยนิโส อคฺคึ คเวสี'ติฯ เอวเมว โข ตฺวํ, ราชญฺญ, พาโล อพฺยตฺโต อโยนิโส ปรโลกํ คเวสิสฺสสิฯ ปฏินิสฺสชฺเชตํ, ราชญฺญ, ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ; ปฏินิสฺสชฺเชตํ, ราชญฺญ, ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํฯ มา เต อโหสิ ทีฆรตฺตํ อหิตาย ทุกฺขายา”ติฯ
So while the boy looked on, he took a bundle of fire-sticks, lit the fire, and said, ‘Dear boy, this is how to light a fire. Not the foolish and incompetent way you sought it so irrationally.’ In the same way, chieftain, being foolish and incompetent, you seek the other world irrationally. Let go of this harmful misconception, chieftain, let go of it! Don’t create lasting harm and suffering for yourself!”
“กิญฺจาปิ ภวํ กสฺสโป เอวมาห, อถ โข เนวาหํ สกฺโกมิ อิทํ ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ ปฏินิสฺสชฺชิตุํฯ ราชาปิ มํ ปเสนทิ โกสโล ชานาติ ติโรราชาโนปิ: ‘ปายาสิ ราชญฺโญ เอวํวาที เอวํทิฏฺฐี: “อิติปิ นตฺถิ ปโร โลโก, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก”'ติฯ สจาหํ, โภ กสฺสป, อิทํ ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ ปฏินิสฺสชฺชิสฺสามิ, ภวิสฺสนฺติ เม วตฺตาโร: ‘ยาว พาโล ปายาสิ ราชญฺโญ อพฺยตฺโต ทุคฺคหิตคาหี'ติฯ โกเปนปิ นํ หริสฺสามิ, มกฺเขนปิ นํ หริสฺสามิ, ปลาเสนปิ นํ หริสฺสามี”ติฯ
“Even though Master Kassapa says this, still I’m not able to let go of that harmful misconception. King Pasenadi of Kosala knows my views, and so do foreign kings. If I let go of this harmful misconception, people will say, ‘How foolish is the chieftain Pāyāsi, how incompetent, that he should hold on to a mistake!’ I shall carry on with this view out of anger, contempt, and spite!”
๒ฯ๑๑ฯ เทฺวสตฺถวาเหาปมา
2.11. The Simile of the Two Caravan Leaders
“เตน หิ, ราชญฺญ, อุปมํ เต กริสฺสามิฯ อุปมาย มฺ'อิเธกจฺเจ วิญฺญู ปุริสา ภาสิตสฺส อตฺถํ อาชานนฺติฯ
“Well then, chieftain, I shall give you a simile. For by means of a simile some sensible people understand the meaning of what is said.
ภูตปุพฺพํ, ราชญฺญ, มหาสกฏสตฺโถ สกฏสหสฺสํ ปุรตฺถิมา ชนปทา ปจฺฉิมํ ชนปทํ อคมาสิฯ โส เยน เยน คจฺฉิ, ขิปฺปํเยว ปริยาทิยติ ติณกฏฺโฐทกํ หริตกปณฺณํฯ ตสฺมึ โข ปน สตฺเถ เทฺว สตฺถวาหา อเหสุํ เอโก ปญฺจนฺนํ สกฏสตานํ, เอโก ปญฺจนฺนํ สกฏสตานํฯ อถ โข เตสํ สตฺถวาหานํ เอตทโหสิ: ‘อยํ โข มหาสกฏสตฺโถ สกฏสหสฺสํ; เต มยํ เยน เยน คจฺฉาม, ขิปฺปเมว ปริยาทิยติ ติณกฏฺโฐทกํ หริตกปณฺณํฯ ยนฺนูน มยํ อิมํ สตฺถํ ทฺวิธา วิภเชยฺยาม—เอกโต ปญฺจ สกฏสตานิ เอกโต ปญฺจ สกฏสตานี'ติฯ เต ตํ สตฺถํ ทฺวิธา วิภชึสุ เอกโต ปญฺจ สกฏสตานิ, เอกโต ปญฺจ สกฏสตานิฯ
Once upon a time, a large caravan of a thousand wagons traveled from a country in the east to the west. Wherever they went they quickly used up the grass, wood, water, and the green foliage. Now, that caravan had two leaders, each in charge of five hundred wagons. They thought, ‘This is a large caravan of a thousand wagons. Wherever we go we quickly use up the grass, wood, water, and the green foliage. Why don’t we split the caravan in two halves?’ So that’s what they did.
เอโก สตฺถวาโห พหุํ ติณญฺจ กฏฺฐญฺจ อุทกญฺจ อาโรเปตฺวา สตฺถํ ปยาเปสิฯ ทฺวีหตีหปยาโต โข ปน โส สตฺโถ อทฺทส ปุริสํ กาฬํ โลหิตกฺขํ สนฺนทฺธกลาปํ กุมุทมาลึ อลฺลวตฺถํ อลฺลเกสํ กทฺทมมกฺขิเตหิ จกฺเกหิ ภเทฺรน รเถน ปฏิปถํ อาคจฺฉนฺตํ, ทิสฺวา เอตทโวจ: ‘กุโต, โภ, อาคจฺฉสี'ติ?
One caravan leader, having prepared much grass, wood, and water, started the caravan. After two or three days’ journey he saw a dark man with red eyes coming the other way in a donkey cart with muddy wheels. He was armored with a quiver and wreathed with yellow lotus, his clothes and hair all wet. Seeing him, he said, ‘Sir, where do you come from?’
‘อมุกมฺหา ชนปทา'ติฯ
‘From such and such a country.’
‘กุหึ คมิสฺสสี'ติ?
‘And where are you going?’
‘อมุกํ นาม ชนปทนฺ'ติฯ
‘To the country named so and so.’
‘กจฺจิ, โภ, ปุรโต กนฺตาเร มหาเมโฆ อภิปฺปวุฏฺโฐ'ติ?
‘But has there been much rain in the desert up ahead?’
‘เอวํ, โภ, ปุรโต กนฺตาเร มหาเมโฆ อภิปฺปวุฏฺโฐ, อาสิตฺโตทกานิ วฏุมานิ, พหุ ติณญฺจ กฏฺฐญฺจ อุทกญฺจฯ ฉฑฺเฑถ, โภ, ปุราณานิ ติณานิ กฏฺฐานิ อุทกานิ, ลหุภาเรหิ สกเฏหิ สีฆํ สีฆํ คจฺฉถ, มา โยคฺคานิ กิลมิตฺถา'ติฯ
‘Indeed there has, sir. The paths are sprinkled with water, and there is much grass, wood, and water. Toss out your grass, wood, and water. Your wagons will move swiftly when lightly-laden, so don’t tire your draught teams.’
อถ โข โส สตฺถวาโห สตฺถิเก อามนฺเตสิ: ‘อยํ, โภ, ปุริโส เอวมาห: “ปุรโต กนฺตาเร มหาเมโฆ อภิปฺปวุฏฺโฐ, อาสิตฺโตทกานิ วฏุมานิ, พหุ ติณญฺจ กฏฺฐญฺจ อุทกญฺจฯ ฉฑฺเฑถ, โภ, ปุราณานิ ติณานิ กฏฺฐานิ อุทกานิ, ลหุภาเรหิ สกเฏหิ สีฆํ สีฆํ คจฺฉถ, มา โยคฺคานิ กิลมิตฺถา”ติฯ ฉฑฺเฑถ, โภ, ปุราณานิ ติณานิ กฏฺฐานิ อุทกานิ, ลหุภาเรหิ สกเฏหิ สตฺถํ ปยาเปถา'ติฯ
So the caravan leader addressed his drivers, ‘This man says that there has been much rain in the desert up ahead. He advises us to toss out the grass, wood, and water. The wagons will move swiftly when lightly-laden, and won’t tire our draught teams. So let’s toss out the grass, wood, and water and restart the caravan with lightly-laden wagons.’
‘เอวํ, โภ'ติ โข เต สตฺถิกา ตสฺส สตฺถวาหสฺส ปฏิสฺสุตฺวา ฉฑฺเฑตฺวา ปุราณานิ ติณานิ กฏฺฐานิ อุทกานิ ลหุภาเรหิ สกเฏหิ สตฺถํ ปยาเปสุํฯ
‘Yes, sir,’ the drivers replied, and that’s what they did.
เต ปฐเมปิ สตฺถวาเส น อทฺทสํสุ ติณํ วา กฏฺฐํ วา อุทกํ วาฯ ทุติเยปิ สตฺถวาเส … ตติเยปิ สตฺถวาเส … จตุตฺเถปิ สตฺถวาเส … ปญฺจเมปิ สตฺถวาเส … ฉฏฺเฐปิ สตฺถวาเส … สตฺตเมปิ สตฺถวาเส น อทฺทสํสุ ติณํ วา กฏฺฐํ วา อุทกํ วาฯ สพฺเพว อนยพฺยสนํ อาปชฺชึสุฯ เย จ ตสฺมึ สตฺเถ อเหสุํ มนุสฺสา วา ปสู วา, สพฺเพ โส ยกฺโข อมนุโสฺส ภกฺเขสิฯ อฏฺฐิกาเนว เสสานิฯ
But in the caravan’s first campsite they saw no grass, wood, or water. And in the second, third, fourth, fifth, sixth, and seventh campsites they saw no grass, wood, or water. And all fell to ruin and disaster. And the men and beasts in that caravan were all devoured by that non-human spirit. Only their bones remained.
ยทา อญฺญาสิ ทุติโย สตฺถวาโห: ‘พหุนิกฺขนฺโต โข, โภ, ทานิ โส สตฺโถ'ติ พหุํ ติณญฺจ กฏฺฐญฺจ อุทกญฺจ อาโรเปตฺวา สตฺถํ ปยาเปสิฯ ทฺวีหตีหปยาโต โข ปน โส สตฺโถ อทฺทส ปุริสํ กาฬํ โลหิตกฺขํ สนฺนทฺธกลาปํ กุมุทมาลึ อลฺลวตฺถํ อลฺลเกสํ กทฺทมมกฺขิเตหิ จกฺเกหิ ภเทฺรน รเถน ปฏิปถํ อาคจฺฉนฺตํ, ทิสฺวา เอตทโวจ: ‘กุโต, โภ, อาคจฺฉสี'ติ?
Now, when the second caravan leader knew that the first caravan was well underway, he prepared much grass, wood, and water and started the caravan. After two or three days’ journey he saw a dark man with red eyes coming the other way in a donkey cart with muddy wheels. He was armored with a quiver and wreathed with yellow lotus, his clothes and hair all wet. Seeing him, he said, ‘Sir, where do you come from?’
‘อมุกมฺหา ชนปทา'ติฯ
‘From such and such a country.’
‘กุหึ คมิสฺสสี'ติ?
‘And where are you going?’
‘อมุกํ นาม ชนปทนฺ'ติฯ
‘To the country named so and so.’
‘กจฺจิ, โภ, ปุรโต กนฺตาเร มหาเมโฆ อภิปฺปวุฏฺโฐ'ติ?
‘But has there been much rain in the desert up ahead?’
‘เอวํ, โภ, ปุรโต กนฺตาเร มหาเมโฆ อภิปฺปวุฏฺโฐฯ อาสิตฺโตทกานิ วฏุมานิ, พหุ ติณญฺจ กฏฺฐญฺจ อุทกญฺจฯ ฉฑฺเฑถ, โภ, ปุราณานิ ติณานิ กฏฺฐานิ อุทกานิ, ลหุภาเรหิ สกเฏหิ สีฆํ สีฆํ คจฺฉถ, มา โยคฺคานิ กิลมิตฺถา'ติฯ
‘Indeed there has, sir. The paths are sprinkled with water, and there is much grass, wood, and water. Toss out your grass, wood, and water. Your wagons will move swiftly when lightly-laden, so don’t tire your draught teams.’
อถ โข โส สตฺถวาโห สตฺถิเก อามนฺเตสิ: ‘อยํ, โภ, ปุริโส เอวมาห: “ปุรโต กนฺตาเร มหาเมโฆ อภิปฺปวุฏฺโฐ, อาสิตฺโตทกานิ วฏุมานิ, พหุ ติณญฺจ กฏฺฐญฺจ อุทกญฺจฯ ฉฑฺเฑถ, โภ, ปุราณานิ ติณานิ กฏฺฐานิ อุทกานิ, ลหุภาเรหิ สกเฏหิ สีฆํ สีฆํ คจฺฉถ; มา โยคฺคานิ กิลมิตฺถา”ติฯ อยํ โภ ปุริโส เนว อมฺหากํ มิตฺโต, น ญาติสาโลหิโต, กถํ มยํ อิมสฺส สทฺธาย คมิสฺสามฯ น โว ฉฑฺเฑตพฺพานิ ปุราณานิ ติณานิ กฏฺฐานิ อุทกานิ, ยถาภเตน ภณฺเฑน สตฺถํ ปยาเปถฯ น โน ปุราณํ ฉฑฺเฑสฺสามา'ติฯ
So the caravan leader addressed his drivers, ‘This man says that there has been much rain in the desert up ahead. He advises us to toss out the grass, wood, and water. The wagons will move swiftly when lightly-laden, and won’t tire our draught teams. But this person is neither our friend nor relative. How can we proceed out of trust in him? We shouldn’t toss out any grass, wood, or water, but continue with our goods laden as before. We shall not toss out any old stock.’
‘เอวํ, โภ'ติ โข เต สตฺถิกา ตสฺส สตฺถวาหสฺส ปฏิสฺสุตฺวา ยถาภเตน ภณฺเฑน สตฺถํ ปยาเปสุํฯ
‘Yes, sir,’ the drivers replied, and they restarted the caravan with the goods laden as before.
เต ปฐเมปิ สตฺถวาเส น อทฺทสํสุ ติณํ วา กฏฺฐํ วา อุทกํ วาฯ ทุติเยปิ สตฺถวาเส … ตติเยปิ สตฺถวาเส … จตุตฺเถปิ สตฺถวาเส … ปญฺจเมปิ สตฺถวาเส … ฉฏฺเฐปิ สตฺถวาเส … สตฺตเมปิ สตฺถวาเส น อทฺทสํสุ ติณํ วา กฏฺฐํ วา อุทกํ วาฯ ตญฺจ สตฺถํ อทฺทสํสุ อนยพฺยสนํ อาปนฺนํฯ เย จ ตสฺมึ สตฺเถปิ อเหสุํ มนุสฺสา วา ปสู วา, เตสญฺจ อฏฺฐิกาเนว อทฺทสํสุ เตน ยกฺเขน อมนุเสฺสน ภกฺขิตานํฯ
And in the caravan’s first campsite they saw no grass, wood, or water. And in the second, third, fourth, fifth, sixth, and seventh campsites they saw no grass, wood, or water. And they saw the other caravan that had come to ruin. And they saw the bones of the men and beasts who had been devoured by that non-human spirit.
อถ โข โส สตฺถวาโห สตฺถิเก อามนฺเตสิ: ‘อยํ โข, โภ, สตฺโถ อนยพฺยสนํ อาปนฺโน, ยถา ตํ เตน พาเลน สตฺถวาเหน ปริณายเกนฯ เตน หิ, โภ, ยานมฺหากํ สตฺเถ อปฺปสารานิ ปณิยานิ, ตานิ ฉฑฺเฑตฺวา, ยานิ อิมสฺมึ สตฺเถ มหาสารานิ ปณิยานิ, ตานิ อาทิยถา'ติฯ
So the caravan leader addressed his drivers, ‘This caravan came to ruin, as happens when guided by a foolish caravan leader. Well then, sirs, toss out any of our merchandise that’s of little value, and take what’s valuable from this caravan.’
‘เอวํ, โภ'ติ โข เต สตฺถิกา ตสฺส สตฺถวาหสฺส ปฏิสฺสุตฺวา ยานิ สกสฺมึ สตฺเถ อปฺปสารานิ ปณิยานิ, ตานิ ฉฑฺเฑตฺวา ยานิ ตสฺมึ สตฺเถ มหาสารานิ ปณิยานิ, ตานิ อาทิยิตฺวา โสตฺถินา ตํ กนฺตารํ นิตฺถรึสุ, ยถา ตํ ปณฺฑิเตน สตฺถวาเหน ปริณายเกนฯ
‘Yes, sir’ replied the drivers, and that’s what they did. They crossed over the desert safely, as happens when guided by an astute caravan leader.
เอวเมว โข ตฺวํ, ราชญฺญ, พาโล อพฺยตฺโต อนยพฺยสนํ อาปชฺชิสฺสสิ อโยนิโส ปรโลกํ คเวสนฺโต, เสยฺยถาปิ โส ปุริโม สตฺถวาโหฯ เยปิ ตว โสตพฺพํ สทฺธาตพฺพํ มญฺญิสฺสนฺติ, เตปิ อนยพฺยสนํ อาปชฺชิสฺสนฺติ, เสยฺยถาปิ เต สตฺถิกาฯ ปฏินิสฺสชฺเชตํ, ราชญฺญ, ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ; ปฏินิสฺสชฺเชตํ, ราชญฺญ, ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํฯ มา เต อโหสิ ทีฆรตฺตํ อหิตาย ทุกฺขายา”ติฯ
In the same way, chieftain, being foolish and incompetent, you will come to ruin seeking the other world irrationally, like the first caravan leader. And those who think you’re worth listening to and trusting will also come to ruin, like the drivers. Let go of this harmful misconception, chieftain, let go of it! Don’t create lasting harm and suffering for yourself!”
“กิญฺจาปิ ภวํ กสฺสโป เอวมาห, อถ โข เนวาหํ สกฺโกมิ อิทํ ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ ปฏินิสฺสชฺชิตุํฯ ราชาปิ มํ ปเสนทิ โกสโล ชานาติ ติโรราชาโนปิ: ‘ปายาสิ ราชญฺโญ เอวํวาที เอวํทิฏฺฐี: “อิติปิ นตฺถิ ปโร โลโก …เป… วิปาโก”'ติฯ สจาหํ, โภ กสฺสป, อิทํ ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ ปฏินิสฺสชฺชิสฺสามิ, ภวิสฺสนฺติ เม วตฺตาโร: ‘ยาว พาโล ปายาสิ ราชญฺโญ, อพฺยตฺโต ทุคฺคหิตคาหี'ติฯ โกเปนปิ นํ หริสฺสามิ, มกฺเขนปิ นํ หริสฺสามิ, ปลาเสนปิ นํ หริสฺสามี”ติฯ
“Even though Master Kassapa says this, still I’m not able to let go of that harmful misconception. King Pasenadi of Kosala knows my views, and so do foreign kings. I shall carry on with this view out of anger, contempt, and spite!”
๒ฯ๑๒ฯ คูถภาริเกาปมา
2.12. The Simile of the Dung-Carrier
“เตน หิ, ราชญฺญ, อุปมํ เต กริสฺสามิฯ อุปมาย มฺ'อิเธกจฺเจ วิญฺญู ปุริสา ภาสิตสฺส อตฺถํ อาชานนฺติฯ
“Well then, chieftain, I shall give you a simile. For by means of a simile some sensible people understand the meaning of what is said.
ภูตปุพฺพํ, ราชญฺญ, อญฺญตโร สูกรโปสโก ปุริโส สกมฺหา คามา อญฺญํ คามํ อคมาสิฯ ตตฺถ อทฺทส ปหูตํ สุกฺขคูถํ ฉฑฺฑิตํฯ ทิสฺวานสฺส เอตทโหสิ: ‘อยํ โข ปหูโต สุกฺขคูโถ ฉฑฺฑิโต, มม จ สูกรภตฺตํ; ยนฺนูนาหํ อิโต สุกฺขคูถํ หเรยฺยนฺ'ติฯ โส อุตฺตราสงฺคํ ปตฺถริตฺวา ปหูตํ สุกฺขคูถํ อากิริตฺวา ภณฺฑิกํ พนฺธิตฺวา สีเส อุพฺพาเหตฺวา อคมาสิฯ ตสฺส อนฺตรามคฺเค มหาอกาลเมโฆ ปาวสฺสิฯ โส อุคฺฆรนฺตํ ปคฺฆรนฺตํ ยาว อคฺคนขา คูเถน มกฺขิโต คูถภารํ อาทาย อคมาสิฯ
Once upon a time, a certain swineherd went from his own village to another village. There he saw a large pile of dry dung abandoned. He thought, ‘This pile of dry dung can serve as food for my pigs. Why don’t I carry it off?’ So he spread out his upper robe, shoveled the dry dung onto it, tied it up into a bundle, lifted it on to his head, and went on his way. While on his way a large sudden storm poured down. Smeared with leaking, oozing dung down to his fingernails, he kept on carrying the load of dung.
ตเมนํ มนุสฺสา ทิสฺวา เอวมาหํสุ: ‘กจฺจิ โน ตฺวํ, ภเณ, อุมฺมตฺโต, กจฺจิ วิเจโต, กถญฺหิ นาม อุคฺฆรนฺตํ ปคฺฆรนฺตํ ยาว อคฺคนขา คูเถน มกฺขิโต คูถภารํ หริสฺสสี'ติฯ
When people saw him they said, ‘Have you gone mad, sir? Have you lost your mind? For how can you, smeared with leaking, oozing dung down to your fingernails, keep on carrying that load of dung?’
‘ตุเมฺห เขฺวตฺถ, ภเณ, อุมฺมตฺตา, ตุเมฺห วิเจตา, ตถา หิ ปน เม สูกรภตฺตนฺ'ติฯ
‘You’re the mad ones, sirs! You’re the ones who’ve lost your minds! For this will serve as food for my pigs.’
เอวเมว โข ตฺวํ, ราชญฺญ, คูถภาริกูปโม มญฺเญ ปฏิภาสิฯ ปฏินิสฺสชฺเชตํ, ราชญฺญ, ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ; ปฏินิสฺสชฺเชตํ, ราชญฺญ, ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํฯ มา เต อโหสิ ทีฆรตฺตํ อหิตาย ทุกฺขายา”ติฯ
In the same way, chieftain, you seem like the dung carrier in the simile. Let go of this harmful misconception, chieftain, let go of it! Don’t create lasting harm and suffering for yourself!”
“กิญฺจาปิ ภวํ กสฺสโป เอวมาห, อถ โข เนวาหํ สกฺโกมิ อิทํ ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ ปฏินิสฺสชฺชิตุํฯ ราชาปิ มํ ปเสนทิ โกสโล ชานาติ ติโรราชาโนปิ: ‘ปายาสิ ราชญฺโญ เอวํวาที เอวํทิฏฺฐี: “อิติปิ นตฺถิ ปโร โลโก …เป… วิปาโก”'ติฯ สจาหํ, โภ กสฺสป, อิทํ ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ ปฏินิสฺสชฺชิสฺสามิ, ภวิสฺสนฺติ เม วตฺตาโร: ‘ยาว พาโล ปายาสิ ราชญฺโญ อพฺยตฺโต ทุคฺคหิตคาหี'ติฯ โกเปนปิ นํ หริสฺสามิ, มกฺเขนปิ นํ หริสฺสามิ, ปลาเสนปิ นํ หริสฺสามี”ติฯ
“Even though Master Kassapa says this, still I’m not able to let go of that harmful misconception. King Pasenadi of Kosala knows my views, and so do foreign kings. I shall carry on with this view out of anger, contempt, and spite!”
๒ฯ๑๓ฯ อกฺขธุตฺตเกาปมา
2.13. The Simile of the Gamblers
“เตน หิ, ราชญฺญ, อุปมํ เต กริสฺสามิ, อุปมาย มฺ'อิเธกจฺเจ วิญฺญู ปุริสา ภาสิตสฺส อตฺถํ อาชานนฺติฯ
“Well then, chieftain, I shall give you a simile. For by means of a simile some sensible people understand the meaning of what is said.
ภูตปุพฺพํ, ราชญฺญ, เทฺว อกฺขธุตฺตา อกฺเขหิ ทิพฺพึสุฯ เอโก อกฺขธุตฺโต อาคตาคตํ กลึ คิลติฯ
Once upon a time, two gamblers were playing with dice. One gambler, every time they made a bad throw, swallowed the dice.
อทฺทสา โข ทุติโย อกฺขธุตฺโต ตํ อกฺขธุตฺตํ อาคตาคตํ กลึ คิลนฺตํ, ทิสฺวา ตํ อกฺขธุตฺตํ เอตทโวจ: ‘ตฺวํ โข, สมฺม, เอกนฺติเกน ชินาสิ, เทหิ เม, สมฺม, อกฺเข ปโชหิสฺสามี'ติฯ
The second gambler saw him, and said, ‘Well, my friend, you’ve won it all! Give me the dice, I will roll them.’
‘เอวํ, สมฺมา'ติ โข โส อกฺขธุตฺโต ตสฺส อกฺขธุตฺตสฺส อกฺเข ปาทาสิฯ
‘Yes, my friend,’ the gambler replied, and gave them.
อถ โข โส อกฺขธุตฺโต อกฺเข วิเสน ปริภาเวตฺวา ตํ อกฺขธุตฺตํ เอตทโวจ: ‘เอหิ โข, สมฺม, อกฺเขหิ ทิพฺพิสฺสามา'ติฯ
Then the gambler soaked the dice in poison and said to the other, ‘Come, my friend, let’s play dice.’
‘เอวํ, สมฺมา'ติ โข โส อกฺขธุตฺโต ตสฺส อกฺขธุตฺตสฺส ปจฺจโสฺสสิฯ
‘Yes, my friend,’ the other gambler replied.
ทุติยมฺปิ โข เต อกฺขธุตฺตา อกฺเขหิ ทิพฺพึสุฯ ทุติยมฺปิ โข โส อกฺขธุตฺโต อาคตาคตํ กลึ คิลติฯ
And for a second time the gamblers played with dice. And for the second time, every time they made a bad throw, that gambler swallowed the dice.
อทฺทสา โข ทุติโย อกฺขธุตฺโต ตํ อกฺขธุตฺตํ ทุติยมฺปิ อาคตาคตํ กลึ คิลนฺตํ, ทิสฺวา ตํ อกฺขธุตฺตํ เอตทโวจ:
The second gambler saw him, and said,
‘ลิตฺตํ ปรเมน เตชสา, คิลมกฺขํ ปุริโส น พุชฺฌติ; คิล เร คิล ปาปธุตฺตก, ปจฺฉา เต กฏุกํ ภวิสฺสตี'ติฯ
‘The man swallows the dice without realizing they’re smeared with burning poison. Swallow, you damn cheat, swallow! Soon you’ll know the bitter fruit!’
เอวเมว โข ตฺวํ, ราชญฺญ, อกฺขธุตฺตกูปโม มญฺเญ ปฏิภาสิฯ ปฏินิสฺสชฺเชตํ, ราชญฺญ, ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ; ปฏินิสฺสชฺเชตํ, ราชญฺญ, ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํฯ มา เต อโหสิ ทีฆรตฺตํ อหิตาย ทุกฺขายา”ติฯ
In the same way, chieftain, you seem like the gambler in the simile. Let go of this harmful misconception, chieftain, let go of it! Don’t create lasting harm and suffering for yourself!”
“กิญฺจาปิ ภวํ กสฺสโป เอวมาห, อถ โข เนวาหํ สกฺโกมิ อิทํ ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ ปฏินิสฺสชฺชิตุํฯ ราชาปิ มํ ปเสนทิ โกสโล ชานาติ ติโรราชาโนปิ: ‘ปายาสิ ราชญฺโญ เอวํวาที เอวํทิฏฺฐี: “อิติปิ นตฺถิ ปโร โลโก …เป… วิปาโก”'ติฯ สจาหํ, โภ กสฺสป, อิทํ ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ ปฏินิสฺสชฺชิสฺสามิ, ภวิสฺสนฺติ เม วตฺตาโร: ‘ยาว พาโล ปายาสิ ราชญฺโญ อพฺยตฺโต ทุคฺคหิตคาหี'ติฯ โกเปนปิ นํ หริสฺสามิ, มกฺเขนปิ นํ หริสฺสามิ, ปลาเสนปิ นํ หริสฺสามี”ติฯ
“Even though Master Kassapa says this, still I’m not able to let go of that harmful misconception. King Pasenadi of Kosala knows my views, and so do foreign kings. I shall carry on with this view out of anger, contempt, and spite!”
๒ฯ๑๔ฯ สาณภาริเกาปมา
2.14. The Simile of the Man Who Carried Hemp
“เตน หิ, ราชญฺญ, อุปมํ เต กริสฺสามิ, อุปมาย มฺ'อิเธกจฺเจ วิญฺญู ปุริสา ภาสิตสฺส อตฺถํ อาชานนฺติฯ
“Well then, chieftain, I shall give you a simile. For by means of a simile some sensible people understand the meaning of what is said.
ภูตปุพฺพํ, ราชญฺญ, อญฺญตโร ชนปโท วุฏฺฐาสิฯ อถ โข สหายโก สหายกํ อามนฺเตสิ: ‘อายาม, สมฺม, เยน โส ชนปโท เตนุปสงฺกมิสฺสาม, อปฺเปว นาเมตฺถ กิญฺจิ ธนํ อธิคจฺเฉยฺยามา'ติฯ
Once upon a time, the inhabitants of a certain country emigrated. Then one friend said to another, ‘Come, my friend, let’s go to that country. Hopefully we’ll get some riches there!’
‘เอวํ, สมฺมา'ติ โข สหายโก สหายกสฺส ปจฺจโสฺสสิฯ
‘Yes, my friend,’ the other replied.
เต เยน โส ชนปโท, เยน อญฺญตรํ คามปฏฺฏํ เตนุปสงฺกมึสุ, ตตฺถ อทฺทสํสุ ปหูตํ สาณํ ฉฑฺฑิตํ, ทิสฺวา สหายโก สหายกํ อามนฺเตสิ: ‘อิทํ โข, สมฺม, ปหูตํ สาณํ ฉฑฺฑิตํ, เตน หิ, สมฺม, ตฺวญฺจ สาณภารํ พนฺธ, อหญฺจ สาณภารํ พนฺธิสฺสามิ, อุโภ สาณภารํ อาทาย คมิสฺสามา'ติฯ
They went to that country, and to a certain deserted village. There they saw a pile of abandoned sunn hemp. Seeing it, one friend said to the other, ‘This is a pile of abandoned sunn hemp. Well then, my friend, you make up a bundle of hemp, and I’ll make one too. Let’s both take a bundle of hemp and go on.’
‘เอวํ, สมฺมา'ติ โข สหายโก สหายกสฺส ปฏิสฺสุตฺวา สาณภารํ พนฺธิตฺวา เต อุโภ สาณภารํ อาทาย เยน อญฺญตรํ คามปฏฺฏํ เตนุปสงฺกมึสุฯ
‘Yes, my friend,’ he said. Carrying their bundles of hemp they went to another deserted village.
ตตฺถ อทฺทสํสุ ปหูตํ สาณสุตฺตํ ฉฑฺฑิตํ, ทิสฺวา สหายโก สหายกํ อามนฺเตสิ: ‘ยสฺส โข, สมฺม, อตฺถาย อิจฺเฉยฺยาม สาณํ, อิทํ ปหูตํ สาณสุตฺตํ ฉฑฺฑิตํฯ เตน หิ, สมฺม, ตฺวญฺจ สาณภารํ ฉฑฺเฑหิ, อหญฺจ สาณภารํ ฉฑฺเฑสฺสามิ, อุโภ สาณสุตฺตภารํ อาทาย คมิสฺสามา'ติฯ
There they saw much sunn hemp thread abandoned. Seeing it, one friend said to the other, ‘This pile of abandoned sunn hemp thread is just what we wanted the hemp for! Well then, my friend, let’s abandon our bundles of hemp, and both take a bundle of hemp thread and go on.’
‘อยํ โข เม, สมฺม, สาณภาโร ทูราภโต จ สุสนฺนทฺโธ จ, อลํ เม, ตฺวํ ปชานาหี'ติฯ อถ โข โส สหายโก สาณภารํ ฉฑฺเฑตฺวา สาณสุตฺตภารํ อาทิยิฯ
‘I’ve already carried this bundle of hemp a long way, and it’s well tied up. It’s good enough for me, you understand.’ So one friend abandoned their bundle of hemp and picked up a bundle of hemp thread.
เต เยน อญฺญตรํ คามปฏฺฏํ เตนุปสงฺกมึสุฯ ตตฺถ อทฺทสํสุ ปหูตา สาณิโย ฉฑฺฑิตา, ทิสฺวา สหายโก สหายกํ อามนฺเตสิ: ‘ยสฺส โข, สมฺม, อตฺถาย อิจฺเฉยฺยาม สาณํ วา สาณสุตฺตํ วา, อิมา ปหูตา สาณิโย ฉฑฺฑิตาฯ เตน หิ, สมฺม, ตฺวญฺจ สาณภารํ ฉฑฺเฑหิ, อหญฺจ สาณสุตฺตภารํ ฉฑฺเฑสฺสามิ, อุโภ สาณิภารํ อาทาย คมิสฺสามา'ติฯ
They went to another deserted village. There they saw much sunn hemp cloth abandoned. Seeing it, one friend said to the other, ‘This pile of abandoned sunn hemp cloth is just what we wanted the hemp and hemp thread for! Well then, my friend, let’s abandon our bundles, and both take a bundle of hemp cloth and go on.’
‘อยํ โข เม, สมฺม, สาณภาโร ทูราภโต จ สุสนฺนทฺโธ จ, อลํ เม, ตฺวํ ปชานาหี'ติฯ อถ โข โส สหายโก สาณสุตฺตภารํ ฉฑฺเฑตฺวา สาณิภารํ อาทิยิฯ
‘I’ve already carried this bundle of hemp a long way, and it’s well tied up. It’s good enough for me, you understand.’ So one friend abandoned their bundle of hemp thread and picked up a bundle of hemp cloth.
เต เยน อญฺญตรํ คามปฏฺฏํ เตนุปสงฺกมึสุฯ ตตฺถ อทฺทสํสุ ปหูตํ โขมํ ฉฑฺฑิตํ, ทิสฺวา …เป… ปหูตํ โขมสุตฺตํ ฉฑฺฑิตํ, ทิสฺวา … ปหูตํ โขมทุสฺสํ ฉฑฺฑิตํ, ทิสฺวา … ปหูตํ กปฺปาสํ ฉฑฺฑิตํ, ทิสฺวา … ปหูตํ กปฺปาสิกสุตฺตํ ฉฑฺฑิตํ, ทิสฺวา … ปหูตํ กปฺปาสิกทุสฺสํ ฉฑฺฑิตํ, ทิสฺวา … ปหูตํ อยํ ฉฑฺฑิตํ, ทิสฺวา … ปหูตํ โลหํ ฉฑฺฑิตํ, ทิสฺวา … ปหูตํ ติปุํ ฉฑฺฑิตํ, ทิสฺวา … ปหูตํ สีสํ ฉฑฺฑิตํ, ทิสฺวา … ปหูตํ สชฺฌํ ฉฑฺฑิตํ, ทิสฺวา … ปหูตํ สุวณฺณํ ฉฑฺฑิตํ, ทิสฺวา สหายโก สหายกํ อามนฺเตสิ: ‘ยสฺส โข, สมฺม, อตฺถาย อิจฺเฉยฺยาม สาณํ วา สาณสุตฺตํ วา สาณิโย วา โขมํ วา โขมสุตฺตํ วา โขมทุสฺสํ วา กปฺปาสํ วา กปฺปาสิกสุตฺตํ วา กปฺปาสิกทุสฺสํ วา อยํ วา โลหํ วา ติปุํ วา สีสํ วา สชฺฌํ วา, อิทํ ปหูตํ สุวณฺณํ ฉฑฺฑิตํฯ เตน หิ, สมฺม, ตฺวญฺจ สาณภารํ ฉฑฺเฑหิ, อหญฺจ สชฺฌภารํ ฉฑฺเฑสฺสามิ, อุโภ สุวณฺณภารํ อาทาย คมิสฺสามา'ติฯ
They went to another deserted village. There they saw a pile of flax, and by turn, linen thread, linen cloth, silk, silk thread, silk cloth, iron, copper, tin, lead, silver, and gold abandoned. Seeing it, one friend said to the other, ‘This pile of gold is just what we wanted all those other things for! Well then, my friend, let’s abandon our bundles, and both take a bundle of gold and go on.’
‘อยํ โข เม, สมฺม, สาณภาโร ทูราภโต จ สุสนฺนทฺโธ จ, อลํ เม ตฺวํ ปชานาหี'ติฯ อถ โข โส สหายโก สชฺฌภารํ ฉฑฺเฑตฺวา สุวณฺณภารํ อาทิยิฯ
‘I’ve already carried this bundle of hemp a long way, and it’s well tied up. It’s good enough for me, you understand.’ So one friend abandoned their bundle of silver and picked up a bundle of gold.
เต เยน สโก คาโม เตนุปสงฺกมึสุฯ ตตฺถ โย โส สหายโก สาณภารํ อาทาย อคมาสิ, ตสฺส เนว มาตาปิตโร อภินนฺทึสุ, น ปุตฺตทารา อภินนฺทึสุ, น มิตฺตามจฺจา อภินนฺทึสุ, น จ ตโตนิทานํ สุขํ โสมนสฺสํ อธิคจฺฉิฯ โย ปน โส สหายโก สุวณฺณภารํ อาทาย อคมาสิ, ตสฺส มาตาปิตโรปิ อภินนฺทึสุ, ปุตฺตทาราปิ อภินนฺทึสุ, มิตฺตามจฺจาปิ อภินนฺทึสุ, ตโตนิทานญฺจ สุขํ โสมนสฺสํ อธิคจฺฉิฯ
Then they returned to their own village. When one friend returned with a bundle of sunn hemp, they didn’t please their parents, their partners and children, or their friends and colleagues. And they got no pleasure and happiness on that account. But when the other friend returned with a bundle of gold, they pleased their parents, their partners and children, and their friends and colleagues. And they got much pleasure and happiness on that account.
เอวเมว โข ตฺวํ, ราชญฺญ, สาณภาริกูปโม มญฺเญ ปฏิภาสิฯ ปฏินิสฺสชฺเชตํ, ราชญฺญ, ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ; ปฏินิสฺสชฺเชตํ, ราชญฺญ, ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํฯ มา เต อโหสิ ทีฆรตฺตํ อหิตาย ทุกฺขายา”ติฯ
In the same way, chieftain, you seem like the hemp-carrier in the simile. Let go of this harmful misconception, chieftain, let go of it! Don’t create lasting harm and suffering for yourself!”
๓ฯ สรณคมน
3. Going for Refuge
“ปุริเมเนว อหํ โอปมฺเมน โภโต กสฺสปสฺส อตฺตมโน อภิรทฺโธฯ อปิ จาหํ อิมานิ วิจิตฺรานิ ปญฺหาปฏิภานานิ โสตุกาโม เอวาหํ ภวนฺตํ กสฺสปํ ปจฺจนีกํ กาตพฺพํ อมญฺญิสฺสํฯ อภิกฺกนฺตํ, โภ กสฺสป, อภิกฺกนฺตํ, โภ กสฺสปฯ เสยฺยถาปิ, โภ กสฺสป, นิกฺกุชฺชิตํ วา อุกฺกุชฺเชยฺย, ปฏิจฺฉนฺนํ วา วิวเรยฺย, มูฬฺหสฺส วา มคฺคํ อาจิกฺเขยฺย, อนฺธกาเร วา เตลปชฺโชตํ ธาเรยฺย: ‘จกฺขุมนฺโต รูปานิ ทกฺขนฺตี'ติ; เอวเมวํ โภตา กสฺสเปน อเนกปริยาเยน ธมฺโม ปกาสิโตฯ เอสาหํ, โภ กสฺสป, ตํ ภวนฺตํ โคตมํ สรณํ คจฺฉามิ, ธมฺมญฺจ, ภิกฺขุสงฺฆญฺจฯ อุปาสกํ มํ ภวํ กสฺสโป ธาเรตุ อชฺชตคฺเค ปาณุเปตํ สรณํ คตํฯ
“I was delighted and satisfied with your very first simile, Master Kassapa! Nevertheless, I wanted to hear your various solutions to the problem, so I thought I’d oppose you in this way. Excellent, Master Kassapa! Excellent! As if he were righting the overturned, or revealing the hidden, or pointing out the path to the lost, or lighting a lamp in the dark so people with clear eyes can see what’s there, Master Kassapa has made the teaching clear in many ways. I go for refuge to Master Gotama, to the teaching, and to the bhikkhu Saṅgha. From this day forth, may Master Kassapa remember me as a lay follower who has gone for refuge for life.
อิจฺฉามิ จาหํ, โภ กสฺสป, มหายญฺญํ ยชิตุํ, อนุสาสตุ มํ ภวํ กสฺสโป, ยํ มมสฺส ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขายา”ติฯ
Master Kassapa, I wish to perform a great sacrifice. Please instruct me so it will be for my lasting welfare and happiness.”
๔ฯ ยญฺญกถา
4. On Sacrifice
“ยถารูเป โข, ราชญฺญ, ยญฺเญ คาโว วา หญฺญนฺติ อเชฬกา วา หญฺญนฺติ, กุกฺกุฏสูกรา วา หญฺญนฺติ, วิวิธา วา ปาณา สงฺฆาตํ อาปชฺชนฺติ, ปฏิคฺคาหกา จ โหนฺติ มิจฺฉาทิฏฺฐี มิจฺฉาสงฺกปฺปา มิจฺฉาวาจา มิจฺฉากมฺมนฺตา มิจฺฉาอาชีวา มิจฺฉาวายามา มิจฺฉาสตี มิจฺฉาสมาธี, เอวรูโป โข, ราชญฺญ, ยญฺโญ น มหปฺผโล โหติ น มหานิสํโส น มหาชุติโก น มหาวิปฺผาโรฯ
“Chieftain, take the kind of sacrifice where cattle, goats and sheep, chickens and pigs, and various kinds of creatures are slaughtered. And the recipients have wrong view, wrong thought, wrong speech, wrong action, wrong livelihood, wrong effort, wrong mindfulness, and wrong immersion. That kind of sacrifice is not very fruitful or beneficial or splendid or bountiful.
เสยฺยถาปิ, ราชญฺญ, กสฺสโก พีชนงฺคลํ อาทาย วนํ ปวิเสยฺยฯ โส ตตฺถ ทุกฺเขตฺเต ทุพฺภูเม อวิหตขาณุกณฺฏเก พีชานิ ปติฏฺฐาเปยฺย ขณฺฑานิ ปูตีนิ วาตาตปหตานิ อสารทานิ อสุขสยิตานิฯ เทโว จ น กาเลน กาลํ สมฺมาธารํ อนุปฺปเวจฺเฉยฺยฯ อปิ นุ ตานิ พีชานิ วุทฺธึ วิรูฬฺหึ เวปุลฺลํ อาปชฺเชยฺยุํ, กสฺสโก วา วิปุลํ ผลํ อธิคจฺเฉยฺยา”ติ?
Suppose a farmer was to enter a wood taking seed and plough. And on that barren field, that barren ground, with uncleared stumps he sowed seeds that were broken, spoiled, weather-damaged, infertile, and ill kept. And the heavens don’t provide enough rain when needed. Would those seeds grow, increase, and mature, and would the farmer get abundant fruit?”
“โน หิทํ, โภ กสฺสป”ฯ
“No, Master Kassapa.”
“เอวเมว โข, ราชญฺญ, ยถารูเป ยญฺเญ คาโว วา หญฺญนฺติ, อเชฬกา วา หญฺญนฺติ, กุกฺกุฏสูกรา วา หญฺญนฺติ, วิวิธา วา ปาณา สงฺฆาตํ อาปชฺชนฺติ, ปฏิคฺคาหกา จ โหนฺติ มิจฺฉาทิฏฺฐี มิจฺฉาสงฺกปฺปา มิจฺฉาวาจา มิจฺฉากมฺมนฺตา มิจฺฉาอาชีวา มิจฺฉาวายามา มิจฺฉาสตี มิจฺฉาสมาธี, เอวรูโป โข, ราชญฺญ, ยญฺโญ น มหปฺผโล โหติ น มหานิสํโส น มหาชุติโก น มหาวิปฺผาโรฯ
“In the same way, chieftain, take the kind of sacrifice where cattle, goats and sheep, chickens and pigs, and various kinds of creatures are slaughtered. And the recipients have wrong view, wrong thought, wrong speech, wrong action, wrong livelihood, wrong effort, wrong mindfulness, and wrong immersion. That kind of sacrifice is not very fruitful or beneficial or splendid or bountiful.
ยถารูเป จ โข, ราชญฺญ, ยญฺเญ เนว คาโว หญฺญนฺติ, น อเชฬกา หญฺญนฺติ, น กุกฺกุฏสูกรา หญฺญนฺติ, น วิวิธา วา ปาณา สงฺฆาตํ อาปชฺชนฺติ, ปฏิคฺคาหกา จ โหนฺติ สมฺมาทิฏฺฐี สมฺมาสงฺกปฺปา สมฺมาวาจา สมฺมากมฺมนฺตา สมฺมาอาชีวา สมฺมาวายามา สมฺมาสตี สมฺมาสมาธี, เอวรูโป โข, ราชญฺญ, ยญฺโญ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโส มหาชุติโก มหาวิปฺผาโรฯ
But take the kind of sacrifice where cattle, goats and sheep, chickens and pigs, and various kinds of creatures are not slaughtered. And the recipients have right view, right thought, right speech, right action, right livelihood, right effort, right mindfulness, and right immersion. That kind of sacrifice is very fruitful and beneficial and splendid and bountiful.
เสยฺยถาปิ, ราชญฺญ, กสฺสโก พีชนงฺคลํ อาทาย วนํ ปวิเสยฺยฯ โส ตตฺถ สุเขตฺเต สุภูเม สุวิหตขาณุกณฺฏเก พีชานิ ปติฏฺฐเปยฺย อขณฺฑานิ อปูตีนิ อวาตาตปหตานิ สารทานิ สุขสยิตานิฯ เทโว จ กาเลน กาลํ สมฺมาธารํ อนุปฺปเวจฺเฉยฺยฯ อปิ นุ ตานิ พีชานิ วุทฺธึ วิรูฬฺหึ เวปุลฺลํ อาปชฺเชยฺยุํ, กสฺสโก วา วิปุลํ ผลํ อธิคจฺเฉยฺยา”ติ?
Suppose a farmer was to enter a wood taking seed and plough. And on that fertile field, that fertile ground, with well-cleared stumps he sowed seeds that were intact, unspoiled, not weather-damaged, fertile, and well kept. And the heavens provide plenty of rain when needed. Would those seeds grow, increase, and mature, and would the farmer get abundant fruit?”
“เอวํ, โภ กสฺสป”ฯ
“Yes, Master Kassapa.”
“เอวเมว โข, ราชญฺญ, ยถารูเป ยญฺเญ เนว คาโว หญฺญนฺติ, น อเชฬกา หญฺญนฺติ, น กุกฺกุฏสูกรา หญฺญนฺติ, น วิวิธา วา ปาณา สงฺฆาตํ อาปชฺชนฺติ, ปฏิคฺคาหกา จ โหนฺติ สมฺมาทิฏฺฐี สมฺมาสงฺกปฺปา สมฺมาวาจา สมฺมากมฺมนฺตา สมฺมาอาชีวา สมฺมาวายามา สมฺมาสตี สมฺมาสมาธี, เอวรูโป โข, ราชญฺญ, ยญฺโญ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโส มหาชุติโก มหาวิปฺผาโร”ติฯ
“In the same way, chieftain, take the kind of sacrifice where cattle, goats and sheep, chickens and pigs, and various kinds of creatures are not slaughtered. And the recipients have right view, right thought, right speech, right action, right livelihood, right effort, right mindfulness, and right immersion. That kind of sacrifice is very fruitful and beneficial and splendid and bountiful.”
๕ฯ อุตฺตรมาณววตฺถุ
5. On the Brahmin Student Uttara
อถ โข ปายาสิ ราชญฺโญ ทานํ ปฏฺฐเปสิ สมณพฺราหฺมณกปณทฺธิกวณิพฺพกยาจกานํฯ ตสฺมึ โข ปน ทาเน เอวรูปํ โภชนํ ทียติ กณาชกํ พิลงฺคทุติยํ, โธรกานิ จ วตฺถานิ คุฬวาลกานิฯ ตสฺมึ โข ปน ทาเน อุตฺตโร นาม มาณโว วาวโฏ อโหสิฯ
Then the chieftain Pāyāsi set up an offering for ascetics and brahmins, for paupers, vagrants, nomads, and beggars. At that offering such food as rough gruel with pickles was given, and rough clothes with knotted fringes. Now, it was a brahmin student named Uttara who organized that offering.
โส ทานํ ทตฺวา เอวํ อนุทฺทิสติ: “อิมินาหํ ทาเนน ปายาสึ ราชญฺญเมว อิมสฺมึ โลเก สมาคจฺฉึ, มา ปรสฺมินฺ”ติฯ
When the offering was over he referred to it like this, “Through this offering may I be together with the chieftain Pāyāsi in this world, but not in the next.”
อโสฺสสิ โข ปายาสิ ราชญฺโญ: “อุตฺตโร กิร มาณโว ทานํ ทตฺวา เอวํ อนุทฺทิสติ: ‘อิมินาหํ ทาเนน ปายาสึ ราชญฺญเมว อิมสฺมึ โลเก สมาคจฺฉึ, มา ปรสฺมินฺ'”ติฯ อถ โข ปายาสิ ราชญฺโญ อุตฺตรํ มาณวํ อามนฺตาเปตฺวา เอตทโวจ: “สจฺจํ กิร ตฺวํ, ตาต อุตฺตร, ทานํ ทตฺวา เอวํ อนุทฺทิสสิ: ‘อิมินาหํ ทาเนน ปายาสึ ราชญฺญเมว อิมสฺมึ โลเก สมาคจฺฉึ, มา ปรสฺมินฺ'”ติ?
Pāyāsi heard of this, so he summoned Uttara and said, “Is it really true, dear Uttara, that you referred to the offering in this way?”
“เอวํ, โภ”ฯ
“Yes, sir.”
“กิสฺส ปน ตฺวํ, ตาต อุตฺตร, ทานํ ทตฺวา เอวํ อนุทฺทิสสิ: ‘อิมินาหํ ทาเนน ปายาสึ ราชญฺญเมว อิมสฺมึ โลเก สมาคจฺฉึ, มา ปรสฺมินฺ'ติ? นนุ มยํ, ตาต อุตฺตร, ปุญฺญตฺถิกา ทานเสฺสว ผลํ ปาฏิกงฺขิโน”ติ?
“But why? Don’t we who seek merit expect some result from the offering?”
“โภโต โข ทาเน เอวรูปํ โภชนํ ทียติ กณาชกํ พิลงฺคทุติยํ, ยํ ภวํ ปาทาปิ น อิจฺเฉยฺย สมฺผุสิตุํ, กุโต ภุญฺชิตุํ, โธรกานิ จ วตฺถานิ คุฬวาลกานิ, ยานิ ภวํ ปาทาปิ น อิจฺเฉยฺย สมฺผุสิตุํ, กุโต ปริทหิตุํฯ ภวํ โข ปนมฺหากํ ปิโย มนาโป, กถํ มยํ มนาปํ อมนาเปน สํโยเชมา”ติ?
“At your offering such food as rough gruel with pickles was given, which you wouldn’t even want to touch with your foot, much less eat. And also rough clothes with knotted fringes, which you also wouldn’t want to touch with your foot, much less wear. Sir, you’re dear and beloved to me. But how can I reconcile one so dear with something so disagreeable?”
“เตน หิ ตฺวํ, ตาต อุตฺตร, ยาทิสาหํ โภชนํ ภุญฺชามิ, ตาทิสํ โภชนํ ปฏฺฐเปหิฯ ยาทิสานิ จาหํ วตฺถานิ ปริทหามิ, ตาทิสานิ จ วตฺถานิ ปฏฺฐเปหี”ติฯ
“Well then, dear Uttara, set up an offering with the same kind of food that I eat, and the same kind of clothes that I wear.”
“เอวํ, โภ”ติ โข อุตฺตโร มาณโว ปายาสิสฺส ราชญฺญสฺส ปฏิสฺสุตฺวา ยาทิสํ โภชนํ ปายาสิ ราชญฺโญ ภุญฺชติ, ตาทิสํ โภชนํ ปฏฺฐเปสิฯ ยาทิสานิ จ วตฺถานิ ปายาสิ ราชญฺโญ ปริทหติ, ตาทิสานิ จ วตฺถานิ ปฏฺฐเปสิฯ
“Yes, sir,” replied Uttara, and did so.
อถ โข ปายาสิ ราชญฺโญ อสกฺกจฺจํ ทานํ ทตฺวา อสหตฺถา ทานํ ทตฺวา อจิตฺตีกตํ ทานํ ทตฺวา อปวิทฺธํ ทานํ ทตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา จาตุมหาราชิกานํ เทวานํ สหพฺยตํ อุปปชฺชิ สุญฺญํ เสรีสกํ วิมานํฯ โย ปน ตสฺส ทาเน วาวโฏ อโหสิ อุตฺตโร นาม มาณโวฯ โส สกฺกจฺจํ ทานํ ทตฺวา สหตฺถา ทานํ ทตฺวา จิตฺตีกตํ ทานํ ทตฺวา อนปวิทฺธํ ทานํ ทตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชิ เทวานํ ตาวตึสานํ สหพฺยตํฯ
So the chieftain Pāyāsi gave gifts carelessly, thoughtlessly, not with his own hands, giving the dregs. When his body broke up, after death, he was reborn in company with the gods of the Four Great Kings, in an empty palace of sirisa wood. But the brahmin student Uttara who organized the offering gave gifts carefully, thoughtfully, with his own hands, not giving the dregs. When his body broke up, after death, he was reborn in company with the gods of the Thirty-Three.
๖ฯ ปายาสิเทวปุตฺต
6. The God Pāyāsi
เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา ควมฺปติ อภิกฺขณํ สุญฺญํ เสรีสกํ วิมานํ ทิวาวิหารํ คจฺฉติฯ อถ โข ปายาสิ เทวปุตฺโต เยนายสฺมา ควมฺปติ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ ควมฺปตึ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฏฺฐาสิฯ เอกมนฺตํ ฐิตํ โข ปายาสึ เทวปุตฺตํ อายสฺมา ควมฺปติ เอตทโวจ: “โกสิ ตฺวํ, อาวุโส”ติ?
Now at that time Venerable Gavampati would often go to that empty sirisa palace for the day’s meditation. Then the god Pāyāsi went up to him, bowed, and stood to one side. Gavampati said to him, “Who are you, friend?”
“อหํ, ภนฺเต, ปายาสิ ราชญฺโญ”ติฯ
“Sir, I am the chieftain Pāyāsi.”
“นนุ ตฺวํ, อาวุโส, เอวํทิฏฺฐิโก อโหสิ: ‘อิติปิ นตฺถิ ปโร โลโก, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก'”ติ?
“Didn’t you have the view that there is no afterlife, no beings are reborn spontaneously, and there’s no fruit or result of good and bad deeds?”
“สจฺจาหํ, ภนฺเต, เอวํทิฏฺฐิโก อโหสึ: ‘อิติปิ นตฺถิ ปโร โลโก, นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา, นตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก'ติฯ อปิ จาหํ อเยฺยน กุมารกสฺสเปน เอตสฺมา ปาปกา ทิฏฺฐิคตา วิเวจิโต”ติฯ
“It’s true, sir, I did have such a view. But Venerable Kassapa the Prince dissuaded me from that harmful misconception.”
“โย ปน เต, อาวุโส, ทาเน วาวโฏ อโหสิ อุตฺตโร นาม มาณโว, โส กุหึ อุปปนฺโน”ติ?
“But the student named Uttara who organized that offering for you—where has he been reborn?”
“โย เม, ภนฺเต, ทาเน วาวโฏ อโหสิ อุตฺตโร นาม มาณโว, โส สกฺกจฺจํ ทานํ ทตฺวา สหตฺถา ทานํ ทตฺวา จิตฺตีกตํ ทานํ ทตฺวา อนปวิทฺธํ ทานํ ทตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปนฺโน เทวานํ ตาวตึสานํ สหพฺยตํฯ อหํ ปน, ภนฺเต, อสกฺกจฺจํ ทานํ ทตฺวา อสหตฺถา ทานํ ทตฺวา อจิตฺตีกตํ ทานํ ทตฺวา อปวิทฺธํ ทานํ ทตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา จาตุมหาราชิกานํ เทวานํ สหพฺยตํ อุปปนฺโน สุญฺญํ เสรีสกํ วิมานํฯ
“Sir, Uttara gave gifts carefully, thoughtfully, with his own hands, not giving the dregs. When his body broke up, after death, he was reborn in company with the gods of the Thirty-Three. But I gave gifts carelessly, thoughtlessly, not with my own hands, giving the dregs. When my body broke up, after death, I was reborn in company with the gods of the Four Great Kings, in an empty sirisa palace.
เตน หิ, ภนฺเต ควมฺปติ, มนุสฺสโลกํ คนฺตฺวา เอวมาโรเจหิ: ‘สกฺกจฺจํ ทานํ เทถ, สหตฺถา ทานํ เทถ, จิตฺตีกตํ ทานํ เทถ, อนปวิทฺธํ ทานํ เทถฯ ปายาสิ ราชญฺโญ อสกฺกจฺจํ ทานํ ทตฺวา อสหตฺถา ทานํ ทตฺวา อจิตฺตีกตํ ทานํ ทตฺวา อปวิทฺธํ ทานํ ทตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา จาตุมหาราชิกานํ เทวานํ สหพฺยตํ อุปปนฺโน สุญฺญํ เสรีสกํ วิมานํฯ โย ปน ตสฺส ทาเน วาวโฏ อโหสิ อุตฺตโร นาม มาณโว, โส สกฺกจฺจํ ทานํ ทตฺวา สหตฺถา ทานํ ทตฺวา จิตฺตีกตํ ทานํ ทตฺวา อนปวิทฺธํ ทานํ ทตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปนฺโน เทวานํ ตาวตึสานํ สหพฺยตนฺ'”ติฯ
So, sir, when you’ve returned to the human realm, please announce this: ‘Give gifts carefully, thoughtfully, with your own hands, not giving the dregs. The chieftain Pāyāsi gave gifts carelessly, thoughtlessly, not with his own hands, giving the dregs. When his body broke up, after death, he was reborn in company with the gods of the Four Great Kings, in an empty palace of sirisa. But the brahmin student Uttara who organized the offering gave gifts carefully, thoughtfully, with his own hands, not giving the dregs. When his body broke up, after death, he was reborn in company with the gods of the Thirty-Three.’”
อถ โข อายสฺมา ควมฺปติ มนุสฺสโลกํ อาคนฺตฺวา เอวมาโรเจสิ: “สกฺกจฺจํ ทานํ เทถ, สหตฺถา ทานํ เทถ, จิตฺตีกตํ ทานํ เทถ, อนปวิทฺธํ ทานํ เทถฯ ปายาสิ ราชญฺโญ อสกฺกจฺจํ ทานํ ทตฺวา อสหตฺถา ทานํ ทตฺวา อจิตฺตีกตํ ทานํ ทตฺวา อปวิทฺธํ ทานํ ทตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา จาตุมหาราชิกานํ เทวานํ สหพฺยตํ อุปปนฺโน สุญฺญํ เสรีสกํ วิมานํฯ โย ปน ตสฺส ทาเน วาวโฏ อโหสิ อุตฺตโร นาม มาณโว, โส สกฺกจฺจํ ทานํ ทตฺวา สหตฺถา ทานํ ทตฺวา จิตฺตีกตํ ทานํ ทตฺวา อนปวิทฺธํ ทานํ ทตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปนฺโน เทวานํ ตาวตึสานํ สหพฺยตนฺ”ติฯ
So when Venerable Gavampati returned to the human realm he made that announcement.
ปายาสิสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ ทสมํฯ
มหาวคฺโค นิฏฺฐิโตฯ
ตสฺสุทฺทานํ
มหาปทาน นิทานํ, นิพฺพานญฺจ สุทสฺสนํ; ชนวสภ โควินฺทํ, สมยํ สกฺกปญฺหกํ; มหาสติปฏฺฐานญฺจ, ปายาสิ ทสมํ ภเวฯ
มหาวคฺคปาฬิ นิฏฺฐิตาฯ
The authoritative text of the Dīgha Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]