Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๔๗๕] ๒. ผนฺทนชาตกวณฺณนา
[475] 2. Phandanajātakavaṇṇanā
กุฐาริหโตฺถ ปุริโสติ อิทํ สตฺถา โรหิณีนทีตีเร วิหรโนฺต ญาตกานํ กลหํ อารพฺภ กเถสิฯ วตฺถุ ปน กุณาลชาตเก (ชา. ๒.๒๑.กุณาลชาตก) อาวิ ภวิสฺสติฯ ตทา ปน สตฺถา ญาตเก อามเนฺตตฺวา – มหาราชา, อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต พหินคเร วฑฺฒกิคาโม อโหสิฯ ตเตฺรโก พฺราหฺมณวฑฺฒกี อรญฺญโต ทารูนิ อาหริตฺวา รถํ กตฺวา ชีวิกํ กเปฺปสิฯ ตทา หิมวนฺตปเทเส มหาผนฺทนรุโกฺข อโหสิ ฯ เอโก กาฬสีโห โคจรํ ปริเยสิตฺวา อาคนฺตฺวา ตสฺส มูเล นิปชฺชิฯ อถสฺส เอกทิวสํ วาเต ปหรเนฺต เอโก สุกฺขทณฺฑโก ปติตฺวา ขเนฺธ อวตฺถาสิฯ โส โถกํ ขเนฺธน รุชเนฺตน ภีตตสิโต อุฎฺฐาย ปกฺขนฺทิตฺวา ปุน นิวโตฺต อาคตมคฺคํ โอโลเกโนฺต กิญฺจิ อทิสฺวา ‘‘อโญฺญ มํ สีโห วา พฺยโคฺฆ วา อนุพนฺธโนฺต นตฺถิ, อิมสฺมิํ ปน รุเกฺข นิพฺพตฺตเทวตา มํ เอตฺถ นิปชฺชนฺตํ น สหติ มเญฺญ, โหตุ ชานิสฺสามี’’ติ อฎฺฐาเน โกปํ พนฺธิตฺวา รุกฺขํ ปหริตฺวา ‘‘เนว ตว รุกฺขสฺส ปตฺตํ ขาทามิ, น สาขํ ภญฺชามิ, อิธ อเญฺญ มิเค วสเนฺต สหสิ, มํ น สหสิ, โก มยฺหํ โทโส อตฺถิ, กติปาหํ อาคเมหิ, สมูลํ เต รุกฺขํ อุปฺปาเฎตฺวา ขณฺฑาขณฺฑิกํ เฉทาเปสฺสามี’’ติ รุกฺขเทวตํ ตเชฺชตฺวา เอกํ ปุริสํ อุปธาเรโนฺต วิจริฯ ตทา โส พฺราหฺมณวฑฺฒกี เทฺว ตโย มนุเสฺส อาทาย รถทารูนํ อตฺถาย ยานเกน ตํ ปเทสํ คนฺตฺวา เอกสฺมิํ ฐาเน ยานกํ ฐเปตฺวา วาสิผรสุหโตฺถ รุเกฺข อุปธาเรโนฺต ผนฺทนสมีปํ อคมาสิฯ กาฬสีโห ตํ ทิสฺวา ‘‘อชฺช, มยา ปจฺจามิตฺตสฺส ปิฎฺฐิํ ทฎฺฐุํ วฎฺฎตี’’ติ คนฺตฺวา รุกฺขมูเล อฎฺฐาสิ ฯ วฑฺฒกี จ อิโต จิโต โอโลเกตฺวา ผนฺทนสมีเปน ปายาสิฯ โส ‘‘ยาว เอโส นาติกฺกมติ, ตาวเทวสฺส กเถสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ปฐมํ คาถมาห –
Kuṭhārihattho purisoti idaṃ satthā rohiṇīnadītīre viharanto ñātakānaṃ kalahaṃ ārabbha kathesi. Vatthu pana kuṇālajātake (jā. 2.21.kuṇālajātaka) āvi bhavissati. Tadā pana satthā ñātake āmantetvā – mahārājā, atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bahinagare vaḍḍhakigāmo ahosi. Tatreko brāhmaṇavaḍḍhakī araññato dārūni āharitvā rathaṃ katvā jīvikaṃ kappesi. Tadā himavantapadese mahāphandanarukkho ahosi . Eko kāḷasīho gocaraṃ pariyesitvā āgantvā tassa mūle nipajji. Athassa ekadivasaṃ vāte paharante eko sukkhadaṇḍako patitvā khandhe avatthāsi. So thokaṃ khandhena rujantena bhītatasito uṭṭhāya pakkhanditvā puna nivatto āgatamaggaṃ olokento kiñci adisvā ‘‘añño maṃ sīho vā byaggho vā anubandhanto natthi, imasmiṃ pana rukkhe nibbattadevatā maṃ ettha nipajjantaṃ na sahati maññe, hotu jānissāmī’’ti aṭṭhāne kopaṃ bandhitvā rukkhaṃ paharitvā ‘‘neva tava rukkhassa pattaṃ khādāmi, na sākhaṃ bhañjāmi, idha aññe mige vasante sahasi, maṃ na sahasi, ko mayhaṃ doso atthi, katipāhaṃ āgamehi, samūlaṃ te rukkhaṃ uppāṭetvā khaṇḍākhaṇḍikaṃ chedāpessāmī’’ti rukkhadevataṃ tajjetvā ekaṃ purisaṃ upadhārento vicari. Tadā so brāhmaṇavaḍḍhakī dve tayo manusse ādāya rathadārūnaṃ atthāya yānakena taṃ padesaṃ gantvā ekasmiṃ ṭhāne yānakaṃ ṭhapetvā vāsipharasuhattho rukkhe upadhārento phandanasamīpaṃ agamāsi. Kāḷasīho taṃ disvā ‘‘ajja, mayā paccāmittassa piṭṭhiṃ daṭṭhuṃ vaṭṭatī’’ti gantvā rukkhamūle aṭṭhāsi . Vaḍḍhakī ca ito cito oloketvā phandanasamīpena pāyāsi. So ‘‘yāva eso nātikkamati, tāvadevassa kathessāmī’’ti cintetvā paṭhamaṃ gāthamāha –
๑๔.
14.
‘‘กุฐาริหโตฺถ ปุริโส, วนโมคยฺห ติฎฺฐสิ;
‘‘Kuṭhārihattho puriso, vanamogayha tiṭṭhasi;
ปุโฎฺฐ เม สมฺม อกฺขาหิ, กิํ ทารุํ เฉตุมิจฺฉสี’’ติฯ
Puṭṭho me samma akkhāhi, kiṃ dāruṃ chetumicchasī’’ti.
ตตฺถ ปุริโสติ ตฺวํ กุฐาริหโตฺถ เอโก ปุริโส อิมํ วนํ โอคยฺห ติฎฺฐสีติฯ
Tattha purisoti tvaṃ kuṭhārihattho eko puriso imaṃ vanaṃ ogayha tiṭṭhasīti.
โส ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘อจฺฉริยํ วต โภ, น วต เม อิโต ปุเพฺพ มิโค มนุสฺสวาจํ ภาสโนฺต ทิฎฺฐปุโพฺพ, เอส รถานุจฺฉวิกํ ทารุํ ชานิสฺสติ, ปุจฺฉิสฺสามิ น’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ทุติยํ คาถมาห –
So tassa vacanaṃ sutvā ‘‘acchariyaṃ vata bho, na vata me ito pubbe migo manussavācaṃ bhāsanto diṭṭhapubbo, esa rathānucchavikaṃ dāruṃ jānissati, pucchissāmi na’’nti cintetvā dutiyaṃ gāthamāha –
๑๕.
15.
‘‘อิโสฺส วนานิ จรสิ, สมานิ วิสมานิ จ;
‘‘Isso vanāni carasi, samāni visamāni ca;
ปุโฎฺฐ เม สมฺม อกฺขาหิ, กิํ ทารุํ เนมิยา ทฬฺห’’นฺติฯ
Puṭṭho me samma akkhāhi, kiṃ dāruṃ nemiyā daḷha’’nti.
ตตฺถ อิโสฺสติ ตฺวมฺปิ เอโก กาฬสีโห วนานิ จรสิ, ตฺวํ รถานุจฺฉวิกํ ทารุํ ชานิสฺสสีติฯ
Tattha issoti tvampi eko kāḷasīho vanāni carasi, tvaṃ rathānucchavikaṃ dāruṃ jānissasīti.
ตํ สุตฺวา กาฬสีโห ‘‘อิทานิ เม มโนรโถ มตฺถกํ ปาปุณิสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ตติยํ คาถมาห –
Taṃ sutvā kāḷasīho ‘‘idāni me manoratho matthakaṃ pāpuṇissatī’’ti cintetvā tatiyaṃ gāthamāha –
๑๖.
16.
‘‘เนว สาโล น ขทิโร, นาสฺสกโณฺณ กุโต ธโว;
‘‘Neva sālo na khadiro, nāssakaṇṇo kuto dhavo;
รุโกฺข จ ผนฺทโน นาม, ตํ ทารุํ เนมิยา ทฬฺห’’นฺติฯ
Rukkho ca phandano nāma, taṃ dāruṃ nemiyā daḷha’’nti.
โส ตํ สุตฺวา โสมนสฺสชาโต ‘‘สุทิวเสน วตมฺหิ อชฺช อรญฺญํ ปวิโฎฺฐ, ติรจฺฉานคโต เม รถานุจฺฉวิกํ ทารุํ อาจิกฺขติ, อโห สาธู’’ติ ปุจฺฉโนฺต จตุตฺถํ คาถมาห –
So taṃ sutvā somanassajāto ‘‘sudivasena vatamhi ajja araññaṃ paviṭṭho, tiracchānagato me rathānucchavikaṃ dāruṃ ācikkhati, aho sādhū’’ti pucchanto catutthaṃ gāthamāha –
๑๗.
17.
‘‘กีทิสานิสฺส ปตฺตานิ, ขโนฺธ วา ปน กีทิโส;
‘‘Kīdisānissa pattāni, khandho vā pana kīdiso;
ปุโฎฺฐ เม สมฺม อกฺขาหิ, ยถา ชาเนมุ ผนฺทน’’นฺติฯ
Puṭṭho me samma akkhāhi, yathā jānemu phandana’’nti.
อถสฺส โส อาจิกฺขโนฺต เทฺว คาถา อภาสิ –
Athassa so ācikkhanto dve gāthā abhāsi –
๑๘.
18.
‘‘ยสฺส สาขา ปลมฺพนฺติ, นมนฺติ น จ ภญฺชเร;
‘‘Yassa sākhā palambanti, namanti na ca bhañjare;
โส รุโกฺข ผนฺทโน นาม, ยสฺส มูเล อหํ ฐิโตฯ
So rukkho phandano nāma, yassa mūle ahaṃ ṭhito.
๑๙.
19.
‘‘อรานํ จกฺกนาภีนํ, อีสาเนมิรถสฺส จ;
‘‘Arānaṃ cakkanābhīnaṃ, īsānemirathassa ca;
สพฺพสฺส เต กมฺมนิโย, อยํ เหสฺสติ ผนฺทโน’’ติฯ
Sabbassa te kammaniyo, ayaṃ hessati phandano’’ti.
ตตฺถ ‘‘อราน’’นฺติ อิทํ โส ‘‘กทาเจส อิมํ รุกฺขํ น คเณฺหยฺย, คุณมฺปิสฺส กเถสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา เอวมาหฯ ตตฺถ อีสาเนมิรถสฺส จาติ อีสาย จ เนมิยา จ เสสสฺส จ รถสฺส สพฺพสฺส เต เอส กมฺมนิโย กมฺมกฺขโม ภวิสฺสตีติฯ
Tattha ‘‘arāna’’nti idaṃ so ‘‘kadācesa imaṃ rukkhaṃ na gaṇheyya, guṇampissa kathessāmī’’ti cintetvā evamāha. Tattha īsānemirathassa cāti īsāya ca nemiyā ca sesassa ca rathassa sabbassa te esa kammaniyo kammakkhamo bhavissatīti.
โส เอวํ อาจิกฺขิตฺวา ตุฎฺฐมานโส เอกมเนฺต วิจริ, วฑฺฒกีปิ รุกฺขํ ฉินฺทิตุํ อารภิฯ รุกฺขเทวตา จิเนฺตสิ ‘‘มยา เอตสฺส อุปริ น กิญฺจิ ปาติตํ, อยํ อฎฺฐาเน อาฆาตํ พนฺธิตฺวา มม วิมานํ นาเสติ, อหญฺจ วินสฺสิสฺสามิ, เอเกนุปาเยน อิมญฺจ อิสฺสํ วินาเสสฺสามี’’ติฯ สา วนกมฺมิกปุริโส วิย หุตฺวา ตสฺส สนฺติกํ อาคนฺตฺวา ปุจฺฉิ ‘‘โภ ปุริส มนาโป เต รุโกฺข ลโทฺธ, อิมํ ฉินฺทิตฺวา กิํ กริสฺสสี’’ติ? ‘‘รถเนมิํ กริสฺสามี’’ติฯ ‘‘อิมินา รุเกฺขน รโถ ภวิสฺสตี’’ติ เกน เต อกฺขาตนฺติฯ ‘‘เอเกน กาฬสีเหนา’’ติฯ ‘‘สาธุ สุฎฺฐุ เตน อกฺขาตํ, อิมินา รุเกฺขน รโถ สุนฺทโร ภวิสฺสติ, กาฬสีหสฺส คลจมฺมํ อุปฺปาเฎตฺวา จตุรงฺคุลมเตฺต ฐาเน อยปเฎฺฎน วิย เนมิมณฺฑเล ปริกฺขิเตฺต เนมิ จ ถิรา ภวิสฺสติ, พหุญฺจ ธนํ ลภิสฺสสี’’ติฯ ‘‘กาฬสีหจมฺมํ กุโต ลจฺฉามี’’ติ? ‘‘ตฺวํ พาลโกสิ, อยํ ตว รุโกฺข วเน ฐิโต น ปลายติ, ตฺวํ เยน เต รุโกฺข อกฺขาโต, ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘สามิ ตยา ทสฺสิตรุกฺขํ กตรฎฺฐาเน ฉินฺทามี’ติ วเญฺจตฺวา อาเนหิ, อถ นํ นิราสงฺกํ ‘อิธ จ เอตฺถ จ ฉินฺทา’ติ มุขตุณฺฑํ ปสาเรตฺวา อาจิกฺขนฺตํ ติขิเณน มหาผรสุนา โกเฎฺฎตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาเปตฺวา จมฺมํ อาทาย วรมํสํ ขาทิตฺวา รุกฺขํ ฉินฺทา’’ติ เวรํ อเปฺปสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อิมา คาถา อาห –
So evaṃ ācikkhitvā tuṭṭhamānaso ekamante vicari, vaḍḍhakīpi rukkhaṃ chindituṃ ārabhi. Rukkhadevatā cintesi ‘‘mayā etassa upari na kiñci pātitaṃ, ayaṃ aṭṭhāne āghātaṃ bandhitvā mama vimānaṃ nāseti, ahañca vinassissāmi, ekenupāyena imañca issaṃ vināsessāmī’’ti. Sā vanakammikapuriso viya hutvā tassa santikaṃ āgantvā pucchi ‘‘bho purisa manāpo te rukkho laddho, imaṃ chinditvā kiṃ karissasī’’ti? ‘‘Rathanemiṃ karissāmī’’ti. ‘‘Iminā rukkhena ratho bhavissatī’’ti kena te akkhātanti. ‘‘Ekena kāḷasīhenā’’ti. ‘‘Sādhu suṭṭhu tena akkhātaṃ, iminā rukkhena ratho sundaro bhavissati, kāḷasīhassa galacammaṃ uppāṭetvā caturaṅgulamatte ṭhāne ayapaṭṭena viya nemimaṇḍale parikkhitte nemi ca thirā bhavissati, bahuñca dhanaṃ labhissasī’’ti. ‘‘Kāḷasīhacammaṃ kuto lacchāmī’’ti? ‘‘Tvaṃ bālakosi, ayaṃ tava rukkho vane ṭhito na palāyati, tvaṃ yena te rukkho akkhāto, tassa santikaṃ gantvā ‘sāmi tayā dassitarukkhaṃ kataraṭṭhāne chindāmī’ti vañcetvā ānehi, atha naṃ nirāsaṅkaṃ ‘idha ca ettha ca chindā’ti mukhatuṇḍaṃ pasāretvā ācikkhantaṃ tikhiṇena mahāpharasunā koṭṭetvā jīvitakkhayaṃ pāpetvā cammaṃ ādāya varamaṃsaṃ khāditvā rukkhaṃ chindā’’ti veraṃ appesi. Tamatthaṃ pakāsento satthā imā gāthā āha –
๒๐.
20.
‘‘อิติ ผนฺทนรุโกฺขปิ, ตาวเท อชฺฌภาสถ;
‘‘Iti phandanarukkhopi, tāvade ajjhabhāsatha;
มยฺหมฺปิ วจนํ อตฺถิ, ภารทฺวาช สุโณหิ เมฯ
Mayhampi vacanaṃ atthi, bhāradvāja suṇohi me.
๒๑.
21.
‘‘อิสฺสสฺส อุปกฺขนฺธมฺหา, อุกฺกจฺจ จตุรงฺคุลํ;
‘‘Issassa upakkhandhamhā, ukkacca caturaṅgulaṃ;
เตน เนมิํ ปสาเรสิ, เอวํ ทฬฺหตรํ สิยาฯ
Tena nemiṃ pasāresi, evaṃ daḷhataraṃ siyā.
๒๒.
22.
‘‘อิติ ผนฺทนรุโกฺขปิ, เวรํ อเปฺปสิ ตาวเท;
‘‘Iti phandanarukkhopi, veraṃ appesi tāvade;
ชาตานญฺจ อชาตานํ, อิสฺสานํ ทุกฺขมาวหี’’ติฯ
Jātānañca ajātānaṃ, issānaṃ dukkhamāvahī’’ti.
ตตฺถ ภารทฺวาชาติ ตํ โคเตฺตน อาลปติฯ อุปกฺขนฺธมฺหาติ ขนฺธโตฯ อุกฺกจฺจาติ อุกฺกนฺติตฺวาฯ
Tattha bhāradvājāti taṃ gottena ālapati. Upakkhandhamhāti khandhato. Ukkaccāti ukkantitvā.
วฑฺฒกี รุกฺขเทวตาย วจนํ สุตฺวา ‘‘อโห อชฺช มยฺหํ มงฺคลทิวโส’’ติ กาฬสีหํ ฆาเตตฺวา รุกฺขํ เฉตฺวา ปกฺกามิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –
Vaḍḍhakī rukkhadevatāya vacanaṃ sutvā ‘‘aho ajja mayhaṃ maṅgaladivaso’’ti kāḷasīhaṃ ghātetvā rukkhaṃ chetvā pakkāmi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –
๒๓.
23.
‘‘อิเจฺจวํ ผนฺทโน อิสฺสํ, อิโสฺส จ ปน ผนฺทนํ;
‘‘Iccevaṃ phandano issaṃ, isso ca pana phandanaṃ;
อญฺญมญฺญํ วิวาเทน, อญฺญมญฺญมฆาตยุํฯ
Aññamaññaṃ vivādena, aññamaññamaghātayuṃ.
๒๔.
24.
‘‘เอวเมว มนุสฺสานํ, วิวาโท ยตฺถ ชายติ;
‘‘Evameva manussānaṃ, vivādo yattha jāyati;
มยูรนจฺจํ นจฺจนฺติ, ยถา เต อิสฺสผนฺทนาฯ
Mayūranaccaṃ naccanti, yathā te issaphandanā.
๒๕.
25.
‘‘ตํ โว วทามิ ภทฺทํ โว, ยาวเนฺตตฺถ สมาคตา;
‘‘Taṃ vo vadāmi bhaddaṃ vo, yāvantettha samāgatā;
สโมฺมทถ มา วิวทถ, มา โหถ อิสฺสผนฺทนาฯ
Sammodatha mā vivadatha, mā hotha issaphandanā.
๒๖.
26.
‘‘สามคฺคิเมว สิเกฺขถ, พุเทฺธเหตํ ปสํสิตํ;
‘‘Sāmaggimeva sikkhetha, buddhehetaṃ pasaṃsitaṃ;
สามคฺคิรโต ธมฺมโฎฺฐ, โยคเกฺขมา น ธํสตี’’ติฯ
Sāmaggirato dhammaṭṭho, yogakkhemā na dhaṃsatī’’ti.
ตตฺถ อฆาตยุนฺติ ฆาตาเปสุํฯ มยูรนจฺจํ นจฺจนฺตีติ มหาราชา ยตฺถ หิ มนุสฺสานํ วิวาโท โหติ, ตตฺถ ยถา นาม มยูรา นจฺจนฺตา ปฎิจฺฉาเทตพฺพํ รหสฺสงฺคํ ปากฎํ กโรนฺติ, เอวํ มนุสฺสา อญฺญมญฺญสฺส รนฺธํ ปกาเสนฺตา มยูรนจฺจํ นจฺจนฺติ นามฯ ยถา เต อิสฺสผนฺทนา อญฺญมญฺญสฺส รนฺธํ ปกาเสนฺตา นจฺจิํสุ นามฯ ตํ โวติ เตน การเณน ตุเมฺห วทามิฯ ภทฺทํ โวติ ภทฺทํ ตุมฺหากํ โหตุฯ ยาวเนฺตตฺถาติ ยาวโนฺต เอตฺถ อิสฺสผนฺทนสทิสา มา อหุวตฺถฯ สามคฺคิเมว สิเกฺขถาติ สมคฺคภาวเมว ตุเมฺห สิกฺขถ, อิทํ ปญฺญาวุเทฺธหิ ปณฺฑิเตหิ ปสํสิตํ ฯ ธมฺมโฎฺฐติ สุจริตธเมฺม ฐิโตฯ โยคเกฺขมา น ธํสตีติ โยเคหิ เขมา นิพฺพานา น ปริหายตีติ นิพฺพาเนน เทสนากูฎํ คณฺหิฯ สกฺยราชาโน ธมฺมกถํ สุตฺวา สมคฺคา ชาตาฯ
Tattha aghātayunti ghātāpesuṃ. Mayūranaccaṃ naccantīti mahārājā yattha hi manussānaṃ vivādo hoti, tattha yathā nāma mayūrā naccantā paṭicchādetabbaṃ rahassaṅgaṃ pākaṭaṃ karonti, evaṃ manussā aññamaññassa randhaṃ pakāsentā mayūranaccaṃ naccanti nāma. Yathā te issaphandanā aññamaññassa randhaṃ pakāsentā nacciṃsu nāma. Taṃ voti tena kāraṇena tumhe vadāmi. Bhaddaṃ voti bhaddaṃ tumhākaṃ hotu. Yāvantetthāti yāvanto ettha issaphandanasadisā mā ahuvattha. Sāmaggimeva sikkhethāti samaggabhāvameva tumhe sikkhatha, idaṃ paññāvuddhehi paṇḍitehi pasaṃsitaṃ . Dhammaṭṭhoti sucaritadhamme ṭhito. Yogakkhemā na dhaṃsatīti yogehi khemā nibbānā na parihāyatīti nibbānena desanākūṭaṃ gaṇhi. Sakyarājāno dhammakathaṃ sutvā samaggā jātā.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ ‘‘ตทา ตํ การณํ วิทิตฺวา ตสฺมิํ วนสเณฺฑ นิวุตฺถเทวตา อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi ‘‘tadā taṃ kāraṇaṃ viditvā tasmiṃ vanasaṇḍe nivutthadevatā ahameva ahosi’’nti.
ผนฺทนชาตกวณฺณนา ทุติยาฯ
Phandanajātakavaṇṇanā dutiyā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๗๕. ผนฺทนชาตกํ • 475. Phandanajātakaṃ