Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ธมฺมสงฺคณิ-อฎฺฐกถา • Dhammasaṅgaṇi-aṭṭhakathā

    ธมฺมุเทฺทสวาโร

    Dhammuddesavāro

    ผสฺสปญฺจมกราสิวณฺณนา

    Phassapañcamakarāsivaṇṇanā

    ตสฺมิํ สมเยติ อิทํ อนิยมนิทฺทิฎฺฐสฺส สมยสฺส นิยมโต ปฎินิเทฺทสวจนํฯ ตสฺมา ‘ยสฺมิํ สมเย กามาวจรํ กุสลํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหติ, ตสฺมิํเยว สมเย ผโสฺส โหติ…เป.… อวิเกฺขโป โหตี’ติ อยมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ ยเถว จิตฺตํ เอวํ ผสฺสาทีสุปิ ผโสฺส โหติฯ กิํ โหติ? ‘กามาวจโร โหติ, กุสโล โหติ, อุปฺปโนฺน โหติ, โสมนสฺสสหคโต โหตี’ติอาทินา นเยน ลพฺภมานปทวเสน โยชนา กาตพฺพาฯ เวทนายญฺหิ ‘โสมนสฺสสหคตา’ติ ปญฺญินฺทฺริเย จ ‘ญาณสมฺปยุตฺต’นฺติ น ลพฺภติ, ตสฺมา ‘ลพฺภมานปทวเสนา’ติ วุตฺตํฯ อิทํ อฎฺฐกถามุตฺตกํ อาจริยานํ มตํ; น ปเนตํ สารโต ทฎฺฐพฺพํฯ

    Tasmiṃ samayeti idaṃ aniyamaniddiṭṭhassa samayassa niyamato paṭiniddesavacanaṃ. Tasmā ‘yasmiṃ samaye kāmāvacaraṃ kusalaṃ cittaṃ uppannaṃ hoti, tasmiṃyeva samaye phasso hoti…pe… avikkhepo hotī’ti ayamattho veditabbo. Tattha yatheva cittaṃ evaṃ phassādīsupi phasso hoti. Kiṃ hoti? ‘Kāmāvacaro hoti, kusalo hoti, uppanno hoti, somanassasahagato hotī’tiādinā nayena labbhamānapadavasena yojanā kātabbā. Vedanāyañhi ‘somanassasahagatā’ti paññindriye ca ‘ñāṇasampayutta’nti na labbhati, tasmā ‘labbhamānapadavasenā’ti vuttaṃ. Idaṃ aṭṭhakathāmuttakaṃ ācariyānaṃ mataṃ; na panetaṃ sārato daṭṭhabbaṃ.

    กสฺมา ปเนตฺถ ผโสฺสว ปฐมํ วุโตฺตติ? จิตฺตสฺส ปฐมาภินิปาตตฺตาฯ อารมฺมณสฺมิญฺหิ จิตฺตสฺส ปฐมาภินิปาโต หุตฺวา ผโสฺส อารมฺมณํ ผุสมาโน อุปฺปชฺชติ, ตสฺมา ปฐมํ วุโตฺตฯ ผเสฺสน ปน ผุสิตฺวา เวทนาย เวทยติ, สญฺญาย สญฺชานาติ, เจตนาย เจเตติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ผุโฎฺฐ, ภิกฺขเว, เวเทติ, ผุโฎฺฐ สญฺชานาติ ผุโฎฺฐ เจเตตี’’ติฯ

    Kasmā panettha phassova paṭhamaṃ vuttoti? Cittassa paṭhamābhinipātattā. Ārammaṇasmiñhi cittassa paṭhamābhinipāto hutvā phasso ārammaṇaṃ phusamāno uppajjati, tasmā paṭhamaṃ vutto. Phassena pana phusitvā vedanāya vedayati, saññāya sañjānāti, cetanāya ceteti. Tena vuttaṃ – ‘‘phuṭṭho, bhikkhave, vedeti, phuṭṭho sañjānāti phuṭṭho cetetī’’ti.

    อปิจ , อยํ ผโสฺส นาม ยถา ปาสาทํ ปตฺวา ถโมฺภ นาม เสสทพฺพสมฺภารานํ พลวปจฺจโย, ตุลาสงฺฆาฎภิตฺติปาทกูฎโคปานสีปกฺขปาสกมุขวฎฺฎิโย ถมฺภาพทฺธา ถเมฺภ ปติฎฺฐิตา, เอวเมว สหชาตสมฺปยุตฺตธมฺมานํ พลวปจฺจโย โหติฯ ถมฺภสทิโส หิ เอสฯ อวเสสา ทพฺพสมฺภารสทิสาติฯ ตสฺมาปิ ปฐมํ วุโตฺตฯ อิทํ ปน อการณํฯ เอกจิตฺตสฺมิญฺหิ อุปฺปนฺนธมฺมานํ ‘อยํ ปฐมํ อุปฺปโนฺน อยํ ปจฺฉา’ติ อิทํ วตฺตุํ น ลพฺภาฯ พลวปจฺจยภาเวปิ ผสฺสสฺส การณํ น ทิสฺสติฯ เทสนาวาเรเนว ปน ผโสฺส ปฐมํ วุโตฺตฯ เวทนา โหติ ผโสฺส โหติ, สญฺญา โหติ ผโสฺส โหติ, เจตนา โหติ ผโสฺส โหติ, จิตฺตํ โหติ ผโสฺส โหติ, เวทนา โหติ สญฺญา โหติ, เจตนา โหติ วิตโกฺก โหตีติ อาหริตุมฺปิ หิ วเฎฺฎยฺยฯ เทสนาวาเรน ปน ผโสฺสว ปฐมํ วุโตฺตติ เวทิตโพฺพฯ ยถา เจตฺถ เอวํ เสสธเมฺมสุปิ ปุพฺพาปรกฺกโม นาม น ปริเยสิตโพฺพฯ วจนตฺถลกฺขณรสาทีหิ ปน ธมฺมา เอว ปริเยสิตพฺพาฯ

    Apica , ayaṃ phasso nāma yathā pāsādaṃ patvā thambho nāma sesadabbasambhārānaṃ balavapaccayo, tulāsaṅghāṭabhittipādakūṭagopānasīpakkhapāsakamukhavaṭṭiyo thambhābaddhā thambhe patiṭṭhitā, evameva sahajātasampayuttadhammānaṃ balavapaccayo hoti. Thambhasadiso hi esa. Avasesā dabbasambhārasadisāti. Tasmāpi paṭhamaṃ vutto. Idaṃ pana akāraṇaṃ. Ekacittasmiñhi uppannadhammānaṃ ‘ayaṃ paṭhamaṃ uppanno ayaṃ pacchā’ti idaṃ vattuṃ na labbhā. Balavapaccayabhāvepi phassassa kāraṇaṃ na dissati. Desanāvāreneva pana phasso paṭhamaṃ vutto. Vedanā hoti phasso hoti, saññā hoti phasso hoti, cetanā hoti phasso hoti, cittaṃ hoti phasso hoti, vedanā hoti saññā hoti, cetanā hoti vitakko hotīti āharitumpi hi vaṭṭeyya. Desanāvārena pana phassova paṭhamaṃ vuttoti veditabbo. Yathā cettha evaṃ sesadhammesupi pubbāparakkamo nāma na pariyesitabbo. Vacanatthalakkhaṇarasādīhi pana dhammā eva pariyesitabbā.

    เสยฺยถิทํ – ผุสตีติ ผโสฺสฯ สฺวายํ ผุสนลกฺขโณ, สงฺฆฎฺฎนรโส, สนฺนิปาตปจฺจุปฎฺฐาโน, อาปาถคตวิสยปทฎฺฐาโนฯ

    Seyyathidaṃ – phusatīti phasso. Svāyaṃ phusanalakkhaṇo, saṅghaṭṭanaraso, sannipātapaccupaṭṭhāno, āpāthagatavisayapadaṭṭhāno.

    อยญฺหิ อรูปธโมฺมปิ สมาโน อารมฺมเณ ผุสนากาเรเนว ปวตฺตตีติ ผุสนลกฺขโณฯ เอกเทเสน จ อนลฺลียมาโนปิ รูปํ วิย จกฺขุํ, สโทฺท วิย จ โสตํ, จิตฺตํ อารมฺมณญฺจ สงฺฆเฎฺฎตีติ สงฺฆฎฺฎนรโสฯ วตฺถารมฺมณสงฺฆฎฺฎนโต วา อุปฺปนฺนตฺตา สมฺปตฺติอเตฺถนปิ รเสน สงฺฆฎฺฎนรโสติ เวทิตโพฺพฯ วุตฺตเญฺหตํ อฎฺฐกถายํ – ‘‘จตุภูมกผโสฺส หิ โนผุสนลกฺขโณ นาม นตฺถิฯ สงฺฆฎฺฎนรโส ปน ปญฺจทฺวาริโกว โหติฯ ปญฺจทฺวาริกสฺส หิ ผุสนลกฺขโณติปิ สงฺฆฎฺฎนรโสติปิ นามํ; มโนทฺวาริกสฺส ผุสนลกฺขโณเตฺวว นามํ, น สงฺฆฎฺฎนรโส’’ติฯ

    Ayañhi arūpadhammopi samāno ārammaṇe phusanākāreneva pavattatīti phusanalakkhaṇo. Ekadesena ca anallīyamānopi rūpaṃ viya cakkhuṃ, saddo viya ca sotaṃ, cittaṃ ārammaṇañca saṅghaṭṭetīti saṅghaṭṭanaraso. Vatthārammaṇasaṅghaṭṭanato vā uppannattā sampattiatthenapi rasena saṅghaṭṭanarasoti veditabbo. Vuttañhetaṃ aṭṭhakathāyaṃ – ‘‘catubhūmakaphasso hi nophusanalakkhaṇo nāma natthi. Saṅghaṭṭanaraso pana pañcadvārikova hoti. Pañcadvārikassa hi phusanalakkhaṇotipi saṅghaṭṭanarasotipi nāmaṃ; manodvārikassa phusanalakkhaṇotveva nāmaṃ, na saṅghaṭṭanaraso’’ti.

    อิทญฺจ วตฺวา อิทํ สุตฺตํ อาภตํ – ‘‘ยถา, มหาราช, เทฺว เมณฺฑา ยุเชฺฌยฺยุํ, เตสุ ยถา เอโก เมโณฺฑ เอวํ จกฺขุ ทฎฺฐพฺพํ, ยถา ทุติโย เมโณฺฑ เอวํ รูปํ ทฎฺฐพฺพํ; ยถา เตสํ สนฺนิปาโต เอวํ ผโสฺส ทฎฺฐโพฺพ’’ฯ เอวํ ผุสนลกฺขโณ จ ผโสฺส, สงฺฆฎฺฎนรโส จฯ ‘‘ยถา, มหาราช, เทฺว สมฺมา วเชฺชยฺยุํ…เป.… เทฺว ปาณี วเชฺชยฺยุํ, ยถา เอโก ปาณิ เอวํ จกฺขุ ทฎฺฐพฺพํ, ยถา ทุติโย ปาณิ เอวํ รูปํ ทฎฺฐพฺพํ, ยถา เตสํ สนฺนิปาโต เอวํ ผโสฺส ทฎฺฐโพฺพฯ เอวํ ผุสนลกฺขโณ จ ผโสฺส สงฺฆฎฺฎนรโส จา’’ติ (มิ. ป. ๒.๓.๘) วิตฺถาโรฯ

    Idañca vatvā idaṃ suttaṃ ābhataṃ – ‘‘yathā, mahārāja, dve meṇḍā yujjheyyuṃ, tesu yathā eko meṇḍo evaṃ cakkhu daṭṭhabbaṃ, yathā dutiyo meṇḍo evaṃ rūpaṃ daṭṭhabbaṃ; yathā tesaṃ sannipāto evaṃ phasso daṭṭhabbo’’. Evaṃ phusanalakkhaṇo ca phasso, saṅghaṭṭanaraso ca. ‘‘Yathā, mahārāja, dve sammā vajjeyyuṃ…pe… dve pāṇī vajjeyyuṃ, yathā eko pāṇi evaṃ cakkhu daṭṭhabbaṃ, yathā dutiyo pāṇi evaṃ rūpaṃ daṭṭhabbaṃ, yathā tesaṃ sannipāto evaṃ phasso daṭṭhabbo. Evaṃ phusanalakkhaṇo ca phasso saṅghaṭṭanaraso cā’’ti (mi. pa. 2.3.8) vitthāro.

    ยถา วา ‘‘จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๑๓๕๒, ๑๓๕๔) จกฺขุวิญฺญาณาทีนิ จกฺขุอาทินาเมน วุตฺตานิ, เอวมิธาปิ ตานิ จกฺขุอาทินาเมน วุตฺตานีติ เวทิตพฺพานิฯ ตสฺมา ‘เอวํ จกฺขุ ทฎฺฐพฺพ’นฺติอาทีสุ เอวํ จกฺขุวิญฺญาณํ ทฎฺฐพฺพนฺติ อิมินา นเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ เอวํ สเนฺต จิตฺตารมฺมณสงฺฆฎฺฎนโต อิมสฺมิมฺปิ สุเตฺต กิจฺจเฎฺฐเนว รเสน สงฺฆฎฺฎนรโสติ สิโทฺธ โหติฯ

    Yathā vā ‘‘cakkhunā rūpaṃ disvā’’tiādīsu (dha. sa. 1352, 1354) cakkhuviññāṇādīni cakkhuādināmena vuttāni, evamidhāpi tāni cakkhuādināmena vuttānīti veditabbāni. Tasmā ‘evaṃ cakkhu daṭṭhabba’ntiādīsu evaṃ cakkhuviññāṇaṃ daṭṭhabbanti iminā nayena attho veditabbo. Evaṃ sante cittārammaṇasaṅghaṭṭanato imasmimpi sutte kiccaṭṭheneva rasena saṅghaṭṭanarasoti siddho hoti.

    ติกสนฺนิปาตสงฺขาตสฺส ปน อตฺตโน การณสฺส วเสน ปเวทิตตฺตา สนฺนิปาตปจฺจุปฎฺฐาโนฯ อยญฺหิ ตตฺถ ตตฺถ ‘‘ติณฺณํ สงฺคติ ผโสฺส’’ติ เอวํ การณสฺส วเสน ปเวทิโตติฯ อิมสฺส จ สุตฺตปทสฺส ติณฺณํ สงฺคติยา ผโสฺสติ อยมโตฺถ; น สงฺคติมตฺตเมว ผโสฺสติฯ

    Tikasannipātasaṅkhātassa pana attano kāraṇassa vasena paveditattā sannipātapaccupaṭṭhāno. Ayañhi tattha tattha ‘‘tiṇṇaṃ saṅgati phasso’’ti evaṃ kāraṇassa vasena paveditoti. Imassa ca suttapadassa tiṇṇaṃ saṅgatiyā phassoti ayamattho; na saṅgatimattameva phassoti.

    เอวํ ปเวทิตตฺตา ปน เตเนวากาเรน ปจฺจุปฎฺฐาตีติ สนฺนิปาตปจฺจุปฎฺฐาโนติ วุโตฺตฯ ผลเฎฺฐน ปน ปจฺจุปฎฺฐาเนเนส เวทนาปจฺจุปฎฺฐาโน นาม โหติฯ เวทนเญฺหส ปจฺจุปฎฺฐาเปติ อุปฺปาเทตีติ อโตฺถฯ อุปฺปาทยมาโน จ ยถา พหิทฺธา อุณฺหปจฺจยาปิ ลาขาสงฺขาตธาตุนิสฺสิตา อุสฺมา อตฺตโน นิสฺสเย มุทุภาวการี โหติ, น อตฺตโน ปจฺจยภูเตปิ พหิทฺธา วีตจฺจิตงฺคารสงฺขาเต อุณฺหภาเว, เอวํ วตฺถารมฺมณสงฺขาตอญฺญปจฺจโยปิ สมาโน, จิตฺตนิสฺสิตตฺตา อตฺตโน นิสฺสยภูเต จิเตฺต เอว เอส เวทนุปฺปาทโก โหติ, น อตฺตโน ปจฺจยภูเตปิ วตฺถุมฺหิ อารมฺมเณ วาติ เวทิตโพฺพฯ ตชฺชาสมนฺนาหาเรน ปน อินฺทฺริเยน จ ปริกฺขเต วิสเย อนนฺตราเยน อุปฺปชฺชนโต เอส อาปาถคตวิสยปทฎฺฐาโนติ วุจฺจติฯ

    Evaṃ paveditattā pana tenevākārena paccupaṭṭhātīti sannipātapaccupaṭṭhānoti vutto. Phalaṭṭhena pana paccupaṭṭhānenesa vedanāpaccupaṭṭhāno nāma hoti. Vedanañhesa paccupaṭṭhāpeti uppādetīti attho. Uppādayamāno ca yathā bahiddhā uṇhapaccayāpi lākhāsaṅkhātadhātunissitā usmā attano nissaye mudubhāvakārī hoti, na attano paccayabhūtepi bahiddhā vītaccitaṅgārasaṅkhāte uṇhabhāve, evaṃ vatthārammaṇasaṅkhātaaññapaccayopi samāno, cittanissitattā attano nissayabhūte citte eva esa vedanuppādako hoti, na attano paccayabhūtepi vatthumhi ārammaṇe vāti veditabbo. Tajjāsamannāhārena pana indriyena ca parikkhate visaye anantarāyena uppajjanato esa āpāthagatavisayapadaṭṭhānoti vuccati.

    เวทยตีติ เวทนาฯ สา เวทยิตลกฺขณา, อนุภวนรสา อิฎฺฐาการสโมฺภครสา วา, เจตสิกอสฺสาทปจฺจุปฎฺฐานา, ปสฺสทฺธิปทฎฺฐานาฯ

    Vedayatīti vedanā. Sā vedayitalakkhaṇā, anubhavanarasā iṭṭhākārasambhogarasā vā, cetasikaassādapaccupaṭṭhānā, passaddhipadaṭṭhānā.

    ‘จตุภูมิกเวทนา หิ โนเวทยิตลกฺขณา นาม นตฺถิฯ อนุภวนรสตา ปน สุขเวทนายเมว ลพฺภตี’ติ วตฺวา ปุน ตํ วาทํ ปฎิกฺขิปิตฺวา ‘สุขเวทนา วา โหตุ, ทุกฺขเวทนา วา, อทุกฺขมสุขเวทนา วา, สพฺพา อนุภวนรสา’ติ วตฺวา อยมโตฺถ ทีปิโต – อารมฺมณรสานุภวนฎฺฐานํ ปตฺวา เสสสมฺปยุตฺตธมฺมา เอกเทสมตฺตกเมว อนุภวนฺติฯ ผสฺสสฺส หิ ผุสนมตฺตกเมว โหติ, สญฺญาย สญฺชานนมตฺตกเมว, เจตนาย เจตนามตฺตกเมว, วิญฺญาณสฺส วิชานนมตฺตกเมวฯ เอกํสโต ปน อิสฺสรวตาย วิสฺสวิตาย สามิภาเวน เวทนาว อารมฺมณรสํ อนุภวติฯ

    ‘Catubhūmikavedanā hi novedayitalakkhaṇā nāma natthi. Anubhavanarasatā pana sukhavedanāyameva labbhatī’ti vatvā puna taṃ vādaṃ paṭikkhipitvā ‘sukhavedanā vā hotu, dukkhavedanā vā, adukkhamasukhavedanā vā, sabbā anubhavanarasā’ti vatvā ayamattho dīpito – ārammaṇarasānubhavanaṭṭhānaṃ patvā sesasampayuttadhammā ekadesamattakameva anubhavanti. Phassassa hi phusanamattakameva hoti, saññāya sañjānanamattakameva, cetanāya cetanāmattakameva, viññāṇassa vijānanamattakameva. Ekaṃsato pana issaravatāya vissavitāya sāmibhāvena vedanāva ārammaṇarasaṃ anubhavati.

    ราชา วิย หิ เวทนา, สูโท วิย เสสธมฺมาฯ ยถา สูโท นานารสโภชนํ สมฺปาเทตฺวา เปฬาย ปกฺขิปิตฺวา ลญฺฉนํ ทตฺวา รโญฺญ สนฺติเก โอตาเรตฺวา ลญฺฉนํ ภินฺทิตฺวา เปฬํ วิวริตฺวา สพฺพสูปพฺยญฺชเนหิ อคฺคคฺคํ อาทาย ภาชเน ปกฺขิปิตฺวา สโทสนิโทฺทสภาววีมํสนตฺถํ อโชฺฌหรติ, ตโต รโญฺญ นานคฺครสโภชนํ อุปนาเมติฯ ราชา อิสฺสรวตาย วิสฺสวิตาย สามี หุตฺวา อิจฺฉิติจฺฉิตํ ภุญฺชติฯ ตตฺถ หิ สูทสฺส ภตฺตวีมํสนมตฺตมิว อวเสสธมฺมานํ อารมฺมณรสสฺส เอกเทสานุภวนํฯ ยถา หิ สูโท ภเตฺตกเทสมตฺตเมว วีมํสติ เอวํ เสสธมฺมาปิ อารมฺมณรเสกเทสเมว อนุภวนฺติฯ ยถา ปน ราชา อิสฺสรวตาย วิสฺสวิตาย สามี หุตฺวา ยทิจฺฉกํ ภุญฺชติ, เอวํ เวทนาปิ อิสฺสรวตาย วิสฺสวิตาย สามิภาเวน อารมฺมณรสํ อนุภวติฯ ตสฺมา อนุภวนรสาติ วุจฺจติฯ

    Rājā viya hi vedanā, sūdo viya sesadhammā. Yathā sūdo nānārasabhojanaṃ sampādetvā peḷāya pakkhipitvā lañchanaṃ datvā rañño santike otāretvā lañchanaṃ bhinditvā peḷaṃ vivaritvā sabbasūpabyañjanehi aggaggaṃ ādāya bhājane pakkhipitvā sadosaniddosabhāvavīmaṃsanatthaṃ ajjhoharati, tato rañño nānaggarasabhojanaṃ upanāmeti. Rājā issaravatāya vissavitāya sāmī hutvā icchiticchitaṃ bhuñjati. Tattha hi sūdassa bhattavīmaṃsanamattamiva avasesadhammānaṃ ārammaṇarasassa ekadesānubhavanaṃ. Yathā hi sūdo bhattekadesamattameva vīmaṃsati evaṃ sesadhammāpi ārammaṇarasekadesameva anubhavanti. Yathā pana rājā issaravatāya vissavitāya sāmī hutvā yadicchakaṃ bhuñjati, evaṃ vedanāpi issaravatāya vissavitāya sāmibhāvena ārammaṇarasaṃ anubhavati. Tasmā anubhavanarasāti vuccati.

    ทุติเย อตฺถวิกเปฺป อยํ อิธ อธิเปฺปตา เวทนา ยถา วา ตถา วา อารมฺมณสฺส อิฎฺฐาการเมว สมฺภุญฺชตีติ อิฎฺฐาการสโมฺภครสาติ วุตฺตาฯ เจตสิกอสฺสาทโต ปเนสา อตฺตโน สภาเวเนว อุปฎฺฐานํ สนฺธาย เจตสิกอสฺสาทปจฺจุปฎฺฐานาติ วุตฺตาฯ ยสฺมา ปน ‘‘ปสฺสทฺธิกาโย สุขํ เวเทติ’’ ตสฺมา ปสฺสทฺธิปทฎฺฐานาติ เวทิตพฺพาฯ

    Dutiye atthavikappe ayaṃ idha adhippetā vedanā yathā vā tathā vā ārammaṇassa iṭṭhākārameva sambhuñjatīti iṭṭhākārasambhogarasāti vuttā. Cetasikaassādato panesā attano sabhāveneva upaṭṭhānaṃ sandhāya cetasikaassādapaccupaṭṭhānāti vuttā. Yasmā pana ‘‘passaddhikāyo sukhaṃ vedeti’’ tasmā passaddhipadaṭṭhānāti veditabbā.

    นีลาทิเภทํ อารมฺมณํ สญฺชานาตีติ สญฺญาฯ สา สญฺชานนลกฺขณา ปจฺจาภิญฺญาณรสาฯ จตุภูมิกสญฺญา หิ โนสญฺชานนลกฺขณา นาม นตฺถิ ฯ สพฺพา สญฺชานนลกฺขณาวฯ ยา ปเนตฺถ อภิญฺญาเณน สญฺชานาติ สา ปจฺจาภิญฺญาณรสา นาม โหติฯ

    Nīlādibhedaṃ ārammaṇaṃ sañjānātīti saññā. Sā sañjānanalakkhaṇā paccābhiññāṇarasā. Catubhūmikasaññā hi nosañjānanalakkhaṇā nāma natthi . Sabbā sañjānanalakkhaṇāva. Yā panettha abhiññāṇena sañjānāti sā paccābhiññāṇarasā nāma hoti.

    ตสฺสา, วฑฺฒกิสฺส ทารุมฺหิ อภิญฺญาณํ กตฺวา ปุน เตน อภิญฺญาเณน ตํ ปจฺจาภิชานนกาเล, ปุริสสฺส กาฬติลกาทิอภิญฺญาณํ สลฺลเกฺขตฺวา ปุน เตน อภิญฺญาเณน อสุโก นาม เอโสติ ตสฺส ปจฺจาภิชานนกาเล, รโญฺญ ปิฬนฺธนโคปกภณฺฑาคาริกสฺส ตสฺมิํ ตสฺมิํ ปิฬนฺธเน นามปณฺณกํ พนฺธิตฺวา ‘อสุกํ ปิฬนฺธนํ นาม อาหรา’ติ วุเตฺต ทีปํ ชาเลตฺวา รตนคพฺภํ ปวิสิตฺวา ปณฺณํ วาเจตฺวา ตสฺส ตเสฺสว ปิฬนฺธนสฺส อาหรณกาเล จ ปวตฺติ เวทิตพฺพาฯ

    Tassā, vaḍḍhakissa dārumhi abhiññāṇaṃ katvā puna tena abhiññāṇena taṃ paccābhijānanakāle, purisassa kāḷatilakādiabhiññāṇaṃ sallakkhetvā puna tena abhiññāṇena asuko nāma esoti tassa paccābhijānanakāle, rañño piḷandhanagopakabhaṇḍāgārikassa tasmiṃ tasmiṃ piḷandhane nāmapaṇṇakaṃ bandhitvā ‘asukaṃ piḷandhanaṃ nāma āharā’ti vutte dīpaṃ jāletvā ratanagabbhaṃ pavisitvā paṇṇaṃ vācetvā tassa tasseva piḷandhanassa āharaṇakāle ca pavatti veditabbā.

    อปโร นโย – สพฺพสงฺคาหิกวเสน หิ สญฺชานนลกฺขณา สญฺญาฯ ปุนสญฺชานนปจฺจยนิมิตฺตกรณรสา, ทารุอาทีสุ ตจฺฉกาทโย วิยฯ ยถาคหิตนิมิตฺตวเสน อภินิเวสกรณปจฺจุปฎฺฐานา, หตฺถิทสฺสกอนฺธา วิยฯ อารมฺมเณ อโนคาฬฺหวุตฺติตาย อจิรฎฺฐานปจฺจุปฎฺฐานา วา, วิชฺชุ วิยฯ ยถาอุปฎฺฐิตวิสยปทฎฺฐานา, ติณปุริสเกสุ มิคโปตกานํ ‘ปุริสา’ติ อุปฺปนฺนสญฺญา วิยฯ ยา ปเนตฺถ ญาณสมฺปยุตฺตา โหติ สา สญฺญา ญาณเมว อนุวตฺตติฯ สสมฺภารปถวีอาทีสุ เสสธมฺมา ปถวีอาทีนิ วิยาติ เวทิตพฺพาฯ

    Aparo nayo – sabbasaṅgāhikavasena hi sañjānanalakkhaṇā saññā. Punasañjānanapaccayanimittakaraṇarasā, dāruādīsu tacchakādayo viya. Yathāgahitanimittavasena abhinivesakaraṇapaccupaṭṭhānā, hatthidassakaandhā viya. Ārammaṇe anogāḷhavuttitāya aciraṭṭhānapaccupaṭṭhānā vā, vijju viya. Yathāupaṭṭhitavisayapadaṭṭhānā, tiṇapurisakesu migapotakānaṃ ‘purisā’ti uppannasaññā viya. Yā panettha ñāṇasampayuttā hoti sā saññā ñāṇameva anuvattati. Sasambhārapathavīādīsu sesadhammā pathavīādīni viyāti veditabbā.

    เจตยตีติ เจตนา สทฺธิํ อตฺตนา สมฺปยุตฺตธเมฺม อารมฺมเณ อภิสนฺทหตีติ อโตฺถฯ สา เจตยิตลกฺขณา, เจตนาภาวลกฺขณาติ อโตฺถฯ อายูหนรสาฯ จตุภูมิกเจตนา หิ โนเจตยิตลกฺขณา นาม นตฺถิฯ สพฺพา เจตยิตลกฺขณาวฯ อายูหนรสตา ปน กุสลากุสเลสุ เอว โหติฯ กุสลากุสลกมฺมายูหนฎฺฐานญฺหิ ปตฺวา เสสสมฺปยุตฺตธมฺมานํ เอกเทสมตฺตกเมว กิจฺจํ โหติฯ เจตนา ปน อติเรกอุสฺสาหา อติเรกวายามา, ทิคุณุสฺสาหา ทิคุณวายามาฯ เตนาหุ โปราณา – ‘‘ถาวริยสภาวสณฺฐิตา จ ปเนสา เจตนา’’ติฯ ถาวริโยติ เขตฺตสามี วุจฺจติฯ ยถา เขตฺตสามี ปุริโส ปญฺจปณฺณาส พลิปุริเส คเหตฺวา ‘ลายิสฺสามี’ติ เอกโต เขตฺตํ โอตรติฯ ตสฺส อติเรโก อุสฺสาโห อติเรโก วายาโม, ทิคุโณ อุสฺสาโห ทิคุโณ วายาโม โหติ, ‘นิรนฺตรํ คณฺหถา’ติอาทีนิ วทติ, สีมํ อาจิกฺขติ, เตสํ สุราภตฺตคนฺธมาลาทีนิ ชานาติ, มคฺคํ สมกํ หรติฯ เอวํสมฺปทมิทํ เวทิตพฺพํ ฯ เขตฺตสามิปุริโส วิย หิ เจตนาฯ ปญฺจปณฺณาส พลิปุริสา วิย จิตฺตงฺควเสน อุปฺปนฺนา ปญฺจปณฺณาส กุสลา ธมฺมาฯ เขตฺตสามิปุริสสฺส ทิคุณุสฺสาหทิคุณวายามกรณกาโล วิย กุสลากุสลกมฺมายูหนฎฺฐานํ ปตฺวา เจตนาย ทิคุณุสฺสาโห ทิคุณวายาโม โหติฯ เอวมสฺสา อายูหนรสตา เวทิตพฺพาฯ

    Cetayatīti cetanā saddhiṃ attanā sampayuttadhamme ārammaṇe abhisandahatīti attho. Sā cetayitalakkhaṇā, cetanābhāvalakkhaṇāti attho. Āyūhanarasā. Catubhūmikacetanā hi nocetayitalakkhaṇā nāma natthi. Sabbā cetayitalakkhaṇāva. Āyūhanarasatā pana kusalākusalesu eva hoti. Kusalākusalakammāyūhanaṭṭhānañhi patvā sesasampayuttadhammānaṃ ekadesamattakameva kiccaṃ hoti. Cetanā pana atirekaussāhā atirekavāyāmā, diguṇussāhā diguṇavāyāmā. Tenāhu porāṇā – ‘‘thāvariyasabhāvasaṇṭhitā ca panesā cetanā’’ti. Thāvariyoti khettasāmī vuccati. Yathā khettasāmī puriso pañcapaṇṇāsa balipurise gahetvā ‘lāyissāmī’ti ekato khettaṃ otarati. Tassa atireko ussāho atireko vāyāmo, diguṇo ussāho diguṇo vāyāmo hoti, ‘nirantaraṃ gaṇhathā’tiādīni vadati, sīmaṃ ācikkhati, tesaṃ surābhattagandhamālādīni jānāti, maggaṃ samakaṃ harati. Evaṃsampadamidaṃ veditabbaṃ . Khettasāmipuriso viya hi cetanā. Pañcapaṇṇāsa balipurisā viya cittaṅgavasena uppannā pañcapaṇṇāsa kusalā dhammā. Khettasāmipurisassa diguṇussāhadiguṇavāyāmakaraṇakālo viya kusalākusalakammāyūhanaṭṭhānaṃ patvā cetanāya diguṇussāho diguṇavāyāmo hoti. Evamassā āyūhanarasatā veditabbā.

    สา ปเนสา สํวิทหนปจฺจุปฎฺฐานาฯ สํวิทหมานา หิ อยํ อุปฎฺฐาติ, สกิจฺจปรกิจฺจสาธกา, เชฎฺฐสิสฺสมหาวฑฺฒกีอาทโย วิยฯ ยถา หิ เชฎฺฐสิโสฺส อุปชฺฌายํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา สยํ อธียมาโน อิตเรปิ ทารเก อตฺตโน อตฺตโน อชฺฌยนกเมฺม ปวตฺตยติ, ตสฺมิญฺหิ อธียิตุํ อารเทฺธ เตปิ อธียนฺติ, ตทนุวตฺติตายฯ ยถา จ มหาวฑฺฒกี สยํ ตจฺฉโนฺต อิตเรปิ ตจฺฉเก อตฺตโน อตฺตโน ตจฺฉนกเมฺม ปวตฺตยติ, ตสฺมิญฺหิ ตจฺฉิตุํ อารเทฺธ เตปิ ตจฺฉนฺติ, ตทนุวตฺติตายฯ ยถา จ โยธนายโก สยํ ยุชฺฌมาโน อิตเรปิ โยเธ สมฺปหารวุตฺติยํ ปวตฺตยติ, ตสฺมิญฺหิ ยุชฺฌิตุํ อารเทฺธ เตปิ อนิวตฺตมานา ยุชฺฌนฺติ, ตทนุวตฺติตายฯ เอวเมสาปิ อตฺตโน กิเจฺจน อารมฺมเณ ปวตฺตมานา อเญฺญปิ สมฺปยุตฺตธเมฺม อตฺตโน อตฺตโน กิริยาย ปวเตฺตติฯ ตสฺสา หิ อตฺตโน กิจฺจํ อารทฺธาย, ตํสมฺปยุตฺตาปิ อารภนฺติฯ เตน วุตฺตํ – ‘สกิจฺจปรกิจฺจสาธกา, เชฎฺฐสิสฺสมหาวฑฺฒกีอาทโย วิยา’ติฯ อจฺจายิกกมฺมานุสฺสรณาทีสุ จ ปนายํ สมฺปยุตฺตานํ อุสฺสาหนภาเวน ปวตฺตมานา ปากฎา โหตีติ เวทิตพฺพาฯ

    Sā panesā saṃvidahanapaccupaṭṭhānā. Saṃvidahamānā hi ayaṃ upaṭṭhāti, sakiccaparakiccasādhakā, jeṭṭhasissamahāvaḍḍhakīādayo viya. Yathā hi jeṭṭhasisso upajjhāyaṃ dūratova āgacchantaṃ disvā sayaṃ adhīyamāno itarepi dārake attano attano ajjhayanakamme pavattayati, tasmiñhi adhīyituṃ āraddhe tepi adhīyanti, tadanuvattitāya. Yathā ca mahāvaḍḍhakī sayaṃ tacchanto itarepi tacchake attano attano tacchanakamme pavattayati, tasmiñhi tacchituṃ āraddhe tepi tacchanti, tadanuvattitāya. Yathā ca yodhanāyako sayaṃ yujjhamāno itarepi yodhe sampahāravuttiyaṃ pavattayati, tasmiñhi yujjhituṃ āraddhe tepi anivattamānā yujjhanti, tadanuvattitāya. Evamesāpi attano kiccena ārammaṇe pavattamānā aññepi sampayuttadhamme attano attano kiriyāya pavatteti. Tassā hi attano kiccaṃ āraddhāya, taṃsampayuttāpi ārabhanti. Tena vuttaṃ – ‘sakiccaparakiccasādhakā, jeṭṭhasissamahāvaḍḍhakīādayo viyā’ti. Accāyikakammānussaraṇādīsu ca panāyaṃ sampayuttānaṃ ussāhanabhāvena pavattamānā pākaṭā hotīti veditabbā.

    ‘อารมฺมณํ จิเนฺตตี’ติ จิตฺตนฺติ นเยน จิตฺตสฺส วจนโตฺถ วุโตฺต เอวฯ ลกฺขณาทิโต ปน วิชานนลกฺขณํ จิตฺตํ, ปุพฺพงฺคมรสํ, สนฺทหนปจฺจุปฎฺฐานํ, นามรูปปทฎฺฐานํฯ จตุภูมกจิตฺตญฺหิ โนวิชานนลกฺขณํ นาม นตฺถิฯ สพฺพํ วิชานนลกฺขณเมวฯ ทฺวารํ ปน ปตฺวา อารมฺมณวิภาวนฎฺฐาเน จิตฺตํ ปุพฺพงฺคมํ ปุเรจาริกํ โหติฯ จกฺขุนา หิ ทิฎฺฐํ รูปารมฺมณํ จิเตฺตเนว วิชานาติ…เป.… มเนน วิญฺญาตํ ธมฺมารมฺมณํ จิเตฺตเนว วิชานาติฯ ยถา หิ นครคุตฺติโก นาม นครมเชฺฌ สิงฺฆาฎเก นิสีทิตฺวา ‘อยํ เนวาสิโก อยํ อาคนฺตุโก’ติ อาคตาคตํ ชนํ อุปธาเรติ ววตฺถเปติ – เอวํสมฺปทมิทํ ทฎฺฐพฺพํฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ มหาเถเรน – ‘‘ยถา, มหาราช , นครคุตฺติโก นาม มเชฺฌ นครสฺส สิงฺฆาฎเก นิสิโนฺน ปุรตฺถิมโต ทิสโต ปุริสํ อาคจฺฉนฺตํ ปเสฺสยฺย… ปจฺฉิมโต… ทกฺขิณโต… อุตฺตรโต ทิสโต ปุริสํ อาคจฺฉนฺตํ ปเสฺสยฺย, เอวเมว โข, มหาราช, ยํ จกฺขุนา รูปํ ปสฺสติ ตํ วิญฺญาเณน วิชานาติ, ยํ โสเตน สทฺทํ สุณาติ, ฆาเนน คนฺธํ ฆายติ, ชิวฺหาย รสํ สายติ, กาเยน โผฎฺฐพฺพํ ผุสติ, มนสา ธมฺมํ วิชานาติ, ตํ วิญฺญาเณน วิชานาตี’’ติ (มิ. ป. ๒.๓.๑๒)ฯ เอวํ ทฺวารํ ปตฺวา อารมฺมณวิภาวนฎฺฐาเน จิตฺตเมว ปุพฺพงฺคมํ ปุเรจาริกํฯ ตสฺมา ปุพฺพงฺคมรสนฺติ วุจฺจติฯ

    ‘Ārammaṇaṃ cintetī’ti cittanti nayena cittassa vacanattho vutto eva. Lakkhaṇādito pana vijānanalakkhaṇaṃ cittaṃ, pubbaṅgamarasaṃ, sandahanapaccupaṭṭhānaṃ, nāmarūpapadaṭṭhānaṃ. Catubhūmakacittañhi novijānanalakkhaṇaṃ nāma natthi. Sabbaṃ vijānanalakkhaṇameva. Dvāraṃ pana patvā ārammaṇavibhāvanaṭṭhāne cittaṃ pubbaṅgamaṃ purecārikaṃ hoti. Cakkhunā hi diṭṭhaṃ rūpārammaṇaṃ citteneva vijānāti…pe… manena viññātaṃ dhammārammaṇaṃ citteneva vijānāti. Yathā hi nagaraguttiko nāma nagaramajjhe siṅghāṭake nisīditvā ‘ayaṃ nevāsiko ayaṃ āgantuko’ti āgatāgataṃ janaṃ upadhāreti vavatthapeti – evaṃsampadamidaṃ daṭṭhabbaṃ. Vuttampi cetaṃ mahātherena – ‘‘yathā, mahārāja , nagaraguttiko nāma majjhe nagarassa siṅghāṭake nisinno puratthimato disato purisaṃ āgacchantaṃ passeyya… pacchimato… dakkhiṇato… uttarato disato purisaṃ āgacchantaṃ passeyya, evameva kho, mahārāja, yaṃ cakkhunā rūpaṃ passati taṃ viññāṇena vijānāti, yaṃ sotena saddaṃ suṇāti, ghānena gandhaṃ ghāyati, jivhāya rasaṃ sāyati, kāyena phoṭṭhabbaṃ phusati, manasā dhammaṃ vijānāti, taṃ viññāṇena vijānātī’’ti (mi. pa. 2.3.12). Evaṃ dvāraṃ patvā ārammaṇavibhāvanaṭṭhāne cittameva pubbaṅgamaṃ purecārikaṃ. Tasmā pubbaṅgamarasanti vuccati.

    ตเทตํ ปจฺฉิมํ ปจฺฉิมํ อุปฺปชฺชมานํ ปุริมํ ปุริมํ นิรนฺตรํ กตฺวา สนฺทหนเมว อุปฎฺฐาตีติ สนฺทหนปจฺจุปฎฺฐานํฯ ปญฺจโวการภเว ปนสฺส นิยมโต นามรูปํ, จตุโวการภเว นามเมว ปทฎฺฐานํฯ ตสฺมา นามรูปปทฎฺฐานนฺติ วุตฺตํฯ

    Tadetaṃ pacchimaṃ pacchimaṃ uppajjamānaṃ purimaṃ purimaṃ nirantaraṃ katvā sandahanameva upaṭṭhātīti sandahanapaccupaṭṭhānaṃ. Pañcavokārabhave panassa niyamato nāmarūpaṃ, catuvokārabhave nāmameva padaṭṭhānaṃ. Tasmā nāmarūpapadaṭṭhānanti vuttaṃ.

    กิํ ปเนตํ จิตฺตํ ปุริมนิทฺทิฎฺฐจิเตฺตน สทฺธิํ เอกเมว อุทาหุ อญฺญนฺติ? เอกเมวฯ อถ กสฺมา ปุริมนิทฺทิฎฺฐํ ปุน วุตฺตนฺติ? อวิจาริตํ เอตํ อฎฺฐกถายํฯ อยํ ปเนตฺถ ยุตฺติ – ยถา หิ รูปาทีนิ อุปาทาย ปญฺญตฺตา สูริยาทโย น อตฺถโต รูปาทีหิ อเญฺญ โหนฺติ, เตเนว ยสฺมิํ สมเย สูริโย อุเทติ ตสฺมิํ สมเย ตสฺส เตชสงฺขาตํ รูปมฺปีติฯ เอวํ วุจฺจมาเนปิ น รูปาทีหิ อโญฺญ สูริโย นาม อตฺถิฯ น ตถา จิตฺตํ; ผสฺสาทโย ธเมฺม อุปาทาย ปญฺญาปิยติ; อตฺถโต ปเนตํ เตหิ อญฺญเมวฯ เตน ‘ยสฺมิํ สมเย จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหติ เอกํเสเนว ตสฺมิํ สมเย ผสฺสาทีหิ อตฺถโต อญฺญเมว ตํ โหตี’ติ อิมสฺสตฺถสฺส ทีปนตฺถาย เอตํ ปุน วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Kiṃ panetaṃ cittaṃ purimaniddiṭṭhacittena saddhiṃ ekameva udāhu aññanti? Ekameva. Atha kasmā purimaniddiṭṭhaṃ puna vuttanti? Avicāritaṃ etaṃ aṭṭhakathāyaṃ. Ayaṃ panettha yutti – yathā hi rūpādīni upādāya paññattā sūriyādayo na atthato rūpādīhi aññe honti, teneva yasmiṃ samaye sūriyo udeti tasmiṃ samaye tassa tejasaṅkhātaṃ rūpampīti. Evaṃ vuccamānepi na rūpādīhi añño sūriyo nāma atthi. Na tathā cittaṃ; phassādayo dhamme upādāya paññāpiyati; atthato panetaṃ tehi aññameva. Tena ‘yasmiṃ samaye cittaṃ uppannaṃ hoti ekaṃseneva tasmiṃ samaye phassādīhi atthato aññameva taṃ hotī’ti imassatthassa dīpanatthāya etaṃ puna vuttanti veditabbaṃ.

    ยถา จ ‘‘ยสฺมิํ สมเย รูปูปปตฺติยา มคฺคํ ภาเวติ…เป.… ปถวีกสิณํ, ตสฺมิํ สมเย ผโสฺส โหติ เวทนา โหตี’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๑๖๐) ปน ภาเวเนฺตน ววตฺถาปิเต สมเย โย ภาเวติ น โส อตฺถโต อุปฺปชฺชติ นาม, เตเนว ตตฺถ ยถา ‘‘ผโสฺส โหติ เวทนา โหตี’’ติ วุตฺตํ, น เอวํ ‘‘โย ภาเวติ โส โหตี’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘ยสฺมิํ สมเย กามาวจรํ กุสลํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหตี’’ติอาทีสุ ปน จิเตฺตน ววตฺถาปิเต สมเย สมยววตฺถาปิตํ จิตฺตํ น ตถา อตฺถโต นุปฺปชฺชติ ฯ ยเถว ปน ตทา ‘ผโสฺส โหติ เวทนา โหติ’, ตถา ‘จิตฺตมฺปิ โหตี’ติ อิมสฺสปิ อตฺถสฺส ทีปนตฺถมิทํ ปุน วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อิทํ ปเนตฺถ สนฺนิฎฺฐานํ – อุเทฺทสวาเร สงฺคณฺหนตฺถํ นิเทฺทสวาเร จ วิภชนตฺถํ ปุริเมน หิ ‘จิตฺต’-สเทฺทน เกวลํ สมโย ววตฺถาปิโตฯ ตสฺมิํ ปน จิเตฺตน ววตฺถาปิตสมเย เย ธมฺมา โหนฺติ เตสํ ทสฺสนตฺถํ ‘‘ผโสฺส โหตี’’ติอาทิ อารทฺธํฯ จิตฺตญฺจาปิ ตสฺมิํ สมเย โหติเยวฯ ตสฺมา ตสฺสาปิ สงฺคณฺหนตฺถเมตํ ปุน วุตฺตํฯ อิมสฺมิญฺจ ฐาเน เอตสฺมิํ อวุจฺจมาเน ‘‘กตมํ ตสฺมิํ สมเย จิตฺต’’นฺติ น สกฺกา ภเวยฺย นิเทฺทสวาเร วิภชิตุํฯ เอวมสฺส วิภชนํเยว ปริหาเยถฯ ตสฺมา ตสฺส นิเทฺทสวาเร วิภชนตฺถมฺปิ เอตญฺจ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Yathā ca ‘‘yasmiṃ samaye rūpūpapattiyā maggaṃ bhāveti…pe… pathavīkasiṇaṃ, tasmiṃ samaye phasso hoti vedanā hotī’’tiādīsu (dha. sa. 160) pana bhāventena vavatthāpite samaye yo bhāveti na so atthato uppajjati nāma, teneva tattha yathā ‘‘phasso hoti vedanā hotī’’ti vuttaṃ, na evaṃ ‘‘yo bhāveti so hotī’’ti vuttaṃ. ‘‘Yasmiṃ samaye kāmāvacaraṃ kusalaṃ cittaṃ uppannaṃ hotī’’tiādīsu pana cittena vavatthāpite samaye samayavavatthāpitaṃ cittaṃ na tathā atthato nuppajjati . Yatheva pana tadā ‘phasso hoti vedanā hoti’, tathā ‘cittampi hotī’ti imassapi atthassa dīpanatthamidaṃ puna vuttanti veditabbaṃ. Idaṃ panettha sanniṭṭhānaṃ – uddesavāre saṅgaṇhanatthaṃ niddesavāre ca vibhajanatthaṃ purimena hi ‘citta’-saddena kevalaṃ samayo vavatthāpito. Tasmiṃ pana cittena vavatthāpitasamaye ye dhammā honti tesaṃ dassanatthaṃ ‘‘phasso hotī’’tiādi āraddhaṃ. Cittañcāpi tasmiṃ samaye hotiyeva. Tasmā tassāpi saṅgaṇhanatthametaṃ puna vuttaṃ. Imasmiñca ṭhāne etasmiṃ avuccamāne ‘‘katamaṃ tasmiṃ samaye citta’’nti na sakkā bhaveyya niddesavāre vibhajituṃ. Evamassa vibhajanaṃyeva parihāyetha. Tasmā tassa niddesavāre vibhajanatthampi etañca vuttanti veditabbaṃ.

    ยสฺมา วา ‘‘อุปฺปนฺนํ โหตี’’ติ เอตฺถ จิตฺตํ อุปฺปนฺนนฺติ เอตํ เทสนาสีสเมว, ‘น ปน จิตฺตํ เอกเมว อุปฺปชฺชตี’ติ อฎฺฐกถายํ วิจาริตํ, ตสฺมา จิตฺตํ ‘‘อุปฺปนฺน’’นฺติ เอตฺถาปิ จิตฺตมตฺตเมว อคฺคเหตฺวา ปโรปณฺณาสกุสลธเมฺมหิ สทฺธิํเยว จิตฺตํ คหิตํฯ เอวํ ตตฺถ สเงฺขปโต สเพฺพปิ จิตฺตเจตสิกธเมฺม คเหตฺวา อิธ สรูเปน ปเภทโต ทเสฺสตุํ ‘‘ผโสฺส โหตี’’ติอาทิ อารทฺธํฯ อิติ ผสฺสาทโย วิย จิตฺตมฺปิ วุตฺตเมวาติ เวทิตพฺพํฯ

    Yasmā vā ‘‘uppannaṃ hotī’’ti ettha cittaṃ uppannanti etaṃ desanāsīsameva, ‘na pana cittaṃ ekameva uppajjatī’ti aṭṭhakathāyaṃ vicāritaṃ, tasmā cittaṃ ‘‘uppanna’’nti etthāpi cittamattameva aggahetvā paropaṇṇāsakusaladhammehi saddhiṃyeva cittaṃ gahitaṃ. Evaṃ tattha saṅkhepato sabbepi cittacetasikadhamme gahetvā idha sarūpena pabhedato dassetuṃ ‘‘phasso hotī’’tiādi āraddhaṃ. Iti phassādayo viya cittampi vuttamevāti veditabbaṃ.





    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact