Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya |
๙. ปิณฺฑปาตปาริสุทฺธิสุตฺตํ
9. Piṇḍapātapārisuddhisuttaṃ
๔๓๘. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา ราชคเห วิหรติ เวฬุวเน กลนฺทกนิวาเปฯ อถ โข อายสฺมา สาริปุโตฺต สายนฺหสมยํ ปฎิสลฺลานา วุฎฺฐิโต เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตํ ภควา เอตทโวจ –
438. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā rājagahe viharati veḷuvane kalandakanivāpe. Atha kho āyasmā sāriputto sāyanhasamayaṃ paṭisallānā vuṭṭhito yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinnaṃ kho āyasmantaṃ sāriputtaṃ bhagavā etadavoca –
‘‘วิปฺปสนฺนานิ โข เต, สาริปุตฺต, อินฺทฺริยานิ, ปริสุโทฺธ ฉวิวโณฺณ ปริโยทาโตฯ กตเมน โข ตฺวํ, สาริปุตฺต, วิหาเรน เอตรหิ พหุลํ วิหรสี’’ติ? ‘‘สุญฺญตาวิหาเรน โข อหํ, ภเนฺต, เอตรหิ พหุลํ วิหรามี’’ติฯ ‘‘สาธุ, สาธุ, สาริปุตฺต! มหาปุริสวิหาเรน กิร ตฺวํ, สาริปุตฺต, เอตรหิ พหุลํ วิหรสิฯ มหาปุริสวิหาโร เอโส 1, สาริปุตฺต, ยทิทํ – สุญฺญตาฯ ตสฺมาติห, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ สเจ อากเงฺขยฺย – ‘สุญฺญตาวิหาเรน พหุลํ 2 วิหเรยฺย’นฺติ, เตน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา อิติ ปฎิสญฺจิกฺขิตพฺพํ – ‘เยน จาหํ มเคฺคน คามํ ปิณฺฑาย ปาวิสิํ, ยสฺมิญฺจ ปเทเส ปิณฺฑาย อจริํ, เยน จ มเคฺคน คามโต ปิณฺฑาย ปฎิกฺกมิํ, อตฺถิ นุ โข เม ตตฺถ จกฺขุวิเญฺญเยฺยสุ รูเปสุ ฉโนฺท วา ราโค วา โทโส วา โมโห วา ปฎิฆํ วาปิ เจตโส’ติ? สเจ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชานาติ – ‘เยน จาหํ มเคฺคน คามํ ปิณฺฑาย ปาวิสิํ, ยสฺมิญฺจ ปเทเส ปิณฺฑาย อจริํ, เยน จ มเคฺคน คามโต ปิณฺฑาย ปฎิกฺกมิํ, อตฺถิ เม ตตฺถ จกฺขุวิเญฺญเยฺยสุ รูเปสุ ฉโนฺท วา ราโค วา โทโส วา โมโห วา ปฎิฆํ วาปิ เจตโส’ติ, เตน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา เตสํเยว ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ ปหานาย วายมิตพฺพํฯ สเจ ปน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชานาติ – ‘เยน จาหํ มเคฺคน คามํ ปิณฺฑาย ปาวิสิํ, ยสฺมิญฺจ ปเทเส ปิณฺฑาย อจริํ, เยน จ มเคฺคน คามโต ปิณฺฑาย ปฎิกฺกมิํ, นตฺถิ เม ตตฺถ จกฺขุวิเญฺญเยฺยสุ รูเปสุ ฉโนฺท วา ราโค วา โทโส วา โมโห วา ปฎิฆํ วาปิ เจตโส’ติ, เตน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา เตเนว ปีติปาโมเชฺชน วิหาตพฺพํ อโหรตฺตานุสิกฺขินา กุสเลสุ ธเมฺมสุฯ
‘‘Vippasannāni kho te, sāriputta, indriyāni, parisuddho chavivaṇṇo pariyodāto. Katamena kho tvaṃ, sāriputta, vihārena etarahi bahulaṃ viharasī’’ti? ‘‘Suññatāvihārena kho ahaṃ, bhante, etarahi bahulaṃ viharāmī’’ti. ‘‘Sādhu, sādhu, sāriputta! Mahāpurisavihārena kira tvaṃ, sāriputta, etarahi bahulaṃ viharasi. Mahāpurisavihāro eso 3, sāriputta, yadidaṃ – suññatā. Tasmātiha, sāriputta, bhikkhu sace ākaṅkheyya – ‘suññatāvihārena bahulaṃ 4 vihareyya’nti, tena, sāriputta, bhikkhunā iti paṭisañcikkhitabbaṃ – ‘yena cāhaṃ maggena gāmaṃ piṇḍāya pāvisiṃ, yasmiñca padese piṇḍāya acariṃ, yena ca maggena gāmato piṇḍāya paṭikkamiṃ, atthi nu kho me tattha cakkhuviññeyyesu rūpesu chando vā rāgo vā doso vā moho vā paṭighaṃ vāpi cetaso’ti? Sace, sāriputta, bhikkhu paccavekkhamāno evaṃ jānāti – ‘yena cāhaṃ maggena gāmaṃ piṇḍāya pāvisiṃ, yasmiñca padese piṇḍāya acariṃ, yena ca maggena gāmato piṇḍāya paṭikkamiṃ, atthi me tattha cakkhuviññeyyesu rūpesu chando vā rāgo vā doso vā moho vā paṭighaṃ vāpi cetaso’ti, tena, sāriputta, bhikkhunā tesaṃyeva pāpakānaṃ akusalānaṃ dhammānaṃ pahānāya vāyamitabbaṃ. Sace pana, sāriputta, bhikkhu paccavekkhamāno evaṃ jānāti – ‘yena cāhaṃ maggena gāmaṃ piṇḍāya pāvisiṃ, yasmiñca padese piṇḍāya acariṃ, yena ca maggena gāmato piṇḍāya paṭikkamiṃ, natthi me tattha cakkhuviññeyyesu rūpesu chando vā rāgo vā doso vā moho vā paṭighaṃ vāpi cetaso’ti, tena, sāriputta, bhikkhunā teneva pītipāmojjena vihātabbaṃ ahorattānusikkhinā kusalesu dhammesu.
๔๓๙. ‘‘ปุน จปรํ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา อิติ ปฎิสญฺจิกฺขิตพฺพํ – ‘เยน จาหํ มเคฺคน คามํ ปิณฺฑาย ปาวิสิํ, ยสฺมิญฺจ ปเทเส ปิณฺฑาย อจริํ, เยน จ มเคฺคน คามโต ปิณฺฑาย ปฎิกฺกมิํ, อตฺถิ นุ โข เม ตตฺถ โสตวิเญฺญเยฺยสุ สเทฺทสุ…เป.… ฆานวิเญฺญเยฺยสุ คเนฺธสุ… ชิวฺหาวิเญฺญเยฺยสุ รเสสุ … กายวิเญฺญเยฺยสุ โผฎฺฐเพฺพสุ… มโนวิเญฺญเยฺยสุ ธเมฺมสุ ฉโนฺท วา ราโค วา โทโส วา โมโห วา ปฎิฆํ วาปิ เจตโส’ติ? สเจ , สาริปุตฺต, ภิกฺขุ ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชานาติ – ‘เยน จาหํ มเคฺคน คามํ ปิณฺฑาย ปาวิสิํ, ยสฺมิญฺจ ปเทเส ปิณฺฑาย อจริํ, เยน จ มเคฺคน คามโต ปิณฺฑาย ปฎิกฺกมิํ, อตฺถิ เม ตตฺถ มโนวิเญฺญเยฺยสุ ธเมฺมสุ ฉโนฺท วา ราโค วา โทโส วา โมโห วา ปฎิฆํ วาปิ เจตโส’ติ, เตน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา เตสํเยว ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ ปหานาย วายมิตพฺพํฯ สเจ ปน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชานาติ – ‘เยน จาหํ มเคฺคน คามํ ปิณฺฑาย ปาวิสิํ, ยสฺมิญฺจ ปเทเส ปิณฺฑาย อจริํ, เยน จ มเคฺคน คามโต ปิณฺฑาย ปฎิกฺกมิํ, นตฺถิ เม ตตฺถ มโนวิเญฺญเยฺยสุ ธเมฺมสุ ฉโนฺท วา ราโค วา โทโส วา โมโห วา ปฎิฆํ วาปิ เจตโส’ติ, เตน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา เตเนว ปีติปาโมเชฺชน วิหาตพฺพํ อโหรตฺตานุสิกฺขินา กุสเลสุ ธเมฺมสุฯ
439. ‘‘Puna caparaṃ, sāriputta, bhikkhunā iti paṭisañcikkhitabbaṃ – ‘yena cāhaṃ maggena gāmaṃ piṇḍāya pāvisiṃ, yasmiñca padese piṇḍāya acariṃ, yena ca maggena gāmato piṇḍāya paṭikkamiṃ, atthi nu kho me tattha sotaviññeyyesu saddesu…pe… ghānaviññeyyesu gandhesu… jivhāviññeyyesu rasesu … kāyaviññeyyesu phoṭṭhabbesu… manoviññeyyesu dhammesu chando vā rāgo vā doso vā moho vā paṭighaṃ vāpi cetaso’ti? Sace , sāriputta, bhikkhu paccavekkhamāno evaṃ jānāti – ‘yena cāhaṃ maggena gāmaṃ piṇḍāya pāvisiṃ, yasmiñca padese piṇḍāya acariṃ, yena ca maggena gāmato piṇḍāya paṭikkamiṃ, atthi me tattha manoviññeyyesu dhammesu chando vā rāgo vā doso vā moho vā paṭighaṃ vāpi cetaso’ti, tena, sāriputta, bhikkhunā tesaṃyeva pāpakānaṃ akusalānaṃ dhammānaṃ pahānāya vāyamitabbaṃ. Sace pana, sāriputta, bhikkhu paccavekkhamāno evaṃ jānāti – ‘yena cāhaṃ maggena gāmaṃ piṇḍāya pāvisiṃ, yasmiñca padese piṇḍāya acariṃ, yena ca maggena gāmato piṇḍāya paṭikkamiṃ, natthi me tattha manoviññeyyesu dhammesu chando vā rāgo vā doso vā moho vā paṭighaṃ vāpi cetaso’ti, tena, sāriputta, bhikkhunā teneva pītipāmojjena vihātabbaṃ ahorattānusikkhinā kusalesu dhammesu.
๔๔๐. ‘‘ปุน จปรํ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา อิติ ปฎิสญฺจิกฺขิตพฺพํ – ‘ปหีนา นุ โข เม ปญฺจ กามคุณา’ติ? สเจ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชานาติ – ‘อปฺปหีนา โข เม ปญฺจ กามคุณา’ติ, เตน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา ปญฺจนฺนํ กามคุณานํ ปหานาย วายมิตพฺพํฯ สเจ ปน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชานาติ – ‘ปหีนา โข เม ปญฺจ กามคุณา’ติ, เตน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา เตเนว ปีติปาโมเชฺชน วิหาตพฺพํ อโหรตฺตานุสิกฺขินา กุสเลสุ ธเมฺมสุฯ
440. ‘‘Puna caparaṃ, sāriputta, bhikkhunā iti paṭisañcikkhitabbaṃ – ‘pahīnā nu kho me pañca kāmaguṇā’ti? Sace, sāriputta, bhikkhu paccavekkhamāno evaṃ jānāti – ‘appahīnā kho me pañca kāmaguṇā’ti, tena, sāriputta, bhikkhunā pañcannaṃ kāmaguṇānaṃ pahānāya vāyamitabbaṃ. Sace pana, sāriputta, bhikkhu paccavekkhamāno evaṃ jānāti – ‘pahīnā kho me pañca kāmaguṇā’ti, tena, sāriputta, bhikkhunā teneva pītipāmojjena vihātabbaṃ ahorattānusikkhinā kusalesu dhammesu.
๔๔๑. ‘‘ปุน จปรํ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา อิติ ปฎิสญฺจิกฺขิตพฺพํ – ‘ปหีนา นุ โข เม ปญฺจ นีวรณา’ติ? สเจ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชานาติ – ‘อปฺปหีนา โข เม ปญฺจ นีวรณา’ติ, เตน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา ปญฺจนฺนํ นีวรณานํ ปหานาย วายมิตพฺพํฯ สเจ ปน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชานาติ – ‘ปหีนา โข เม ปญฺจ นีวรณา’ติ, เตน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา เตเนว ปีติปาโมเชฺชน วิหาตพฺพํ อโหรตฺตานุสิกฺขินา กุสเลสุ ธเมฺมสุฯ
441. ‘‘Puna caparaṃ, sāriputta, bhikkhunā iti paṭisañcikkhitabbaṃ – ‘pahīnā nu kho me pañca nīvaraṇā’ti? Sace, sāriputta, bhikkhu paccavekkhamāno evaṃ jānāti – ‘appahīnā kho me pañca nīvaraṇā’ti, tena, sāriputta, bhikkhunā pañcannaṃ nīvaraṇānaṃ pahānāya vāyamitabbaṃ. Sace pana, sāriputta, bhikkhu paccavekkhamāno evaṃ jānāti – ‘pahīnā kho me pañca nīvaraṇā’ti, tena, sāriputta, bhikkhunā teneva pītipāmojjena vihātabbaṃ ahorattānusikkhinā kusalesu dhammesu.
๔๔๒. ‘‘ปุน จปรํ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา อิติ ปฎิสญฺจิกฺขิตพฺพํ – ‘ปริญฺญาตา นุ โข เม ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา’ติ? สเจ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชานาติ – ‘อปริญฺญาตา โข เม ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา’ติ, เตน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา ปญฺจนฺนํ อุปาทานกฺขนฺธานํ ปริญฺญาย วายมิตพฺพํฯ สเจ ปน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชานาติ – ‘ปริญฺญาตา โข เม ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา’ติ, เตน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา เตเนว ปีติปาโมเชฺชน วิหาตพฺพํ อโหรตฺตานุสิกฺขินา กุสเลสุ ธเมฺมสุฯ
442. ‘‘Puna caparaṃ, sāriputta, bhikkhunā iti paṭisañcikkhitabbaṃ – ‘pariññātā nu kho me pañcupādānakkhandhā’ti? Sace, sāriputta, bhikkhu paccavekkhamāno evaṃ jānāti – ‘apariññātā kho me pañcupādānakkhandhā’ti, tena, sāriputta, bhikkhunā pañcannaṃ upādānakkhandhānaṃ pariññāya vāyamitabbaṃ. Sace pana, sāriputta, bhikkhu paccavekkhamāno evaṃ jānāti – ‘pariññātā kho me pañcupādānakkhandhā’ti, tena, sāriputta, bhikkhunā teneva pītipāmojjena vihātabbaṃ ahorattānusikkhinā kusalesu dhammesu.
๔๔๓. ‘‘ปุน จปรํ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา อิติ ปฎิสญฺจิกฺขิตพฺพํ – ‘ภาวิตา นุ โข เม จตฺตาโร สติปฎฺฐานา’ติ? สเจ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชานาติ – ‘อภาวิตา โข เม จตฺตาโร สติปฎฺฐานา’ติ, เตน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา จตุนฺนํ สติปฎฺฐานานํ ภาวนาย วายมิตพฺพํฯ สเจ ปน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชานาติ – ‘ภาวิตา โข เม จตฺตาโร สติปฎฺฐานา’ติ, เตน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา เตเนว ปีติปาโมเชฺชน วิหาตพฺพํ อโหรตฺตานุสิกฺขินา กุสเลสุ ธเมฺมสุฯ
443. ‘‘Puna caparaṃ, sāriputta, bhikkhunā iti paṭisañcikkhitabbaṃ – ‘bhāvitā nu kho me cattāro satipaṭṭhānā’ti? Sace, sāriputta, bhikkhu paccavekkhamāno evaṃ jānāti – ‘abhāvitā kho me cattāro satipaṭṭhānā’ti, tena, sāriputta, bhikkhunā catunnaṃ satipaṭṭhānānaṃ bhāvanāya vāyamitabbaṃ. Sace pana, sāriputta, bhikkhu paccavekkhamāno evaṃ jānāti – ‘bhāvitā kho me cattāro satipaṭṭhānā’ti, tena, sāriputta, bhikkhunā teneva pītipāmojjena vihātabbaṃ ahorattānusikkhinā kusalesu dhammesu.
๔๔๔. ‘‘ปุน จปรํ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา อิติ ปฎิสญฺจิกฺขิตพฺพํ – ‘ภาวิตา นุ โข เม จตฺตาโร สมฺมปฺปธานา’ติ? สเจ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชานาติ – ‘อภาวิตา โข เม จตฺตาโร สมฺมปฺปธานา’ติ, เตน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา จตุนฺนํ สมฺมปฺปธานานํ ภาวนาย วายมิตพฺพํฯ สเจ ปน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชานาติ – ‘ภาวิตา โข เม จตฺตาโร สมฺมปฺปธานา’ติ , เตน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา เตเนว ปีติปาโมเชฺชน วิหาตพฺพํ อโหรตฺตานุสิกฺขินา กุสเลสุ ธเมฺมสุฯ
444. ‘‘Puna caparaṃ, sāriputta, bhikkhunā iti paṭisañcikkhitabbaṃ – ‘bhāvitā nu kho me cattāro sammappadhānā’ti? Sace, sāriputta, bhikkhu paccavekkhamāno evaṃ jānāti – ‘abhāvitā kho me cattāro sammappadhānā’ti, tena, sāriputta, bhikkhunā catunnaṃ sammappadhānānaṃ bhāvanāya vāyamitabbaṃ. Sace pana, sāriputta, bhikkhu paccavekkhamāno evaṃ jānāti – ‘bhāvitā kho me cattāro sammappadhānā’ti , tena, sāriputta, bhikkhunā teneva pītipāmojjena vihātabbaṃ ahorattānusikkhinā kusalesu dhammesu.
๔๔๕. ‘‘ปุน จปรํ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา อิติ ปฎิสญฺจิกฺขิตพฺพํ – ‘ภาวิตา นุ โข เม จตฺตาโร อิทฺธิปาทา’ติ? สเจ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชานาติ – ‘อภาวิตา โข เม จตฺตาโร อิทฺธิปาทา’ติ, เตน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา จตุนฺนํ อิทฺธิปาทานํ ภาวนาย วายมิตพฺพํฯ สเจ ปน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชานาติ – ‘ภาวิตา โข เม จตฺตาโร อิทฺธิปาทา’ติ, เตน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา เตเนว ปีติปาโมเชฺชน วิหาตพฺพํ อโหรตฺตานุสิกฺขินา กุสเลสุ ธเมฺมสุฯ
445. ‘‘Puna caparaṃ, sāriputta, bhikkhunā iti paṭisañcikkhitabbaṃ – ‘bhāvitā nu kho me cattāro iddhipādā’ti? Sace, sāriputta, bhikkhu paccavekkhamāno evaṃ jānāti – ‘abhāvitā kho me cattāro iddhipādā’ti, tena, sāriputta, bhikkhunā catunnaṃ iddhipādānaṃ bhāvanāya vāyamitabbaṃ. Sace pana, sāriputta, bhikkhu paccavekkhamāno evaṃ jānāti – ‘bhāvitā kho me cattāro iddhipādā’ti, tena, sāriputta, bhikkhunā teneva pītipāmojjena vihātabbaṃ ahorattānusikkhinā kusalesu dhammesu.
๔๔๖. ‘‘ปุน จปรํ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา อิติ ปฎิสญฺจิกฺขิตพฺพํ – ‘ภาวิตานิ นุ โข เม ปญฺจินฺทฺริยานี’ติ? สเจ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชานาติ – ‘อภาวิตานิ โข เม ปญฺจินฺทฺริยานี’ติ, เตน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา ปญฺจนฺนํ อินฺทฺริยานํ ภาวนาย วายมิตพฺพํฯ สเจ ปน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชานาติ – ‘ภาวิตานิ โข เม ปญฺจินฺทฺริยานี’ติ, เตน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา เตเนว ปีติปาโมเชฺชน วิหาตพฺพํ อโหรตฺตานุสิกฺขินา กุสเลสุ ธเมฺมสุฯ
446. ‘‘Puna caparaṃ, sāriputta, bhikkhunā iti paṭisañcikkhitabbaṃ – ‘bhāvitāni nu kho me pañcindriyānī’ti? Sace, sāriputta, bhikkhu paccavekkhamāno evaṃ jānāti – ‘abhāvitāni kho me pañcindriyānī’ti, tena, sāriputta, bhikkhunā pañcannaṃ indriyānaṃ bhāvanāya vāyamitabbaṃ. Sace pana, sāriputta, bhikkhu paccavekkhamāno evaṃ jānāti – ‘bhāvitāni kho me pañcindriyānī’ti, tena, sāriputta, bhikkhunā teneva pītipāmojjena vihātabbaṃ ahorattānusikkhinā kusalesu dhammesu.
๔๔๗. ‘‘ปุน จปรํ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา อิติ ปฎิสญฺจิกฺขิตพฺพํ – ‘ภาวิตานิ นุ โข เม ปญฺจ พลานี’ติ? สเจ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชานาติ – ‘อภาวิตานิ โข เม ปญฺจ พลานี’ติ, เตน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา ปญฺจนฺนํ พลานํ ภาวนาย วายมิตพฺพํฯ สเจ ปน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชานาติ – ‘ภาวิตานิ โข เม ปญฺจ พลานี’ติ, เตน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา เตเนว ปีติปาโมเชฺชน วิหาตพฺพํ อโหรตฺตานุสิกฺขินา กุสเลสุ ธเมฺมสุฯ
447. ‘‘Puna caparaṃ, sāriputta, bhikkhunā iti paṭisañcikkhitabbaṃ – ‘bhāvitāni nu kho me pañca balānī’ti? Sace, sāriputta, bhikkhu paccavekkhamāno evaṃ jānāti – ‘abhāvitāni kho me pañca balānī’ti, tena, sāriputta, bhikkhunā pañcannaṃ balānaṃ bhāvanāya vāyamitabbaṃ. Sace pana, sāriputta, bhikkhu paccavekkhamāno evaṃ jānāti – ‘bhāvitāni kho me pañca balānī’ti, tena, sāriputta, bhikkhunā teneva pītipāmojjena vihātabbaṃ ahorattānusikkhinā kusalesu dhammesu.
๔๔๘. ‘‘ปุน จปรํ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา อิติ ปฎิสญฺจิกฺขิตพฺพํ – ‘ภาวิตา นุ โข เม สตฺต โพชฺฌงฺคา’ติ? สเจ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชานาติ – ‘อภาวิตา โข เม สตฺต โพชฺฌงฺคา’ติ, เตน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา สตฺตนฺนํ โพชฺฌงฺคานํ ภาวนาย วายมิตพฺพํฯ สเจ ปน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชานาติ – ‘ภาวิตา โข เม สตฺต โพชฺฌงฺคา’ติ, เตน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา เตเนว ปีติปาโมเชฺชน วิหาตพฺพํ อโหรตฺตานุสิกฺขินา กุสเลสุ ธเมฺมสุฯ
448. ‘‘Puna caparaṃ, sāriputta, bhikkhunā iti paṭisañcikkhitabbaṃ – ‘bhāvitā nu kho me satta bojjhaṅgā’ti? Sace, sāriputta, bhikkhu paccavekkhamāno evaṃ jānāti – ‘abhāvitā kho me satta bojjhaṅgā’ti, tena, sāriputta, bhikkhunā sattannaṃ bojjhaṅgānaṃ bhāvanāya vāyamitabbaṃ. Sace pana, sāriputta, bhikkhu paccavekkhamāno evaṃ jānāti – ‘bhāvitā kho me satta bojjhaṅgā’ti, tena, sāriputta, bhikkhunā teneva pītipāmojjena vihātabbaṃ ahorattānusikkhinā kusalesu dhammesu.
๔๔๙. ‘‘ปุน จปรํ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา อิติ ปฎิสญฺจิกฺขิตพฺพํ – ‘ภาวิโต นุ โข เม อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค’ติ? สเจ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชานาติ – ‘อภาวิโต โข เม อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค’ติ, เตน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา อริยสฺส อฎฺฐงฺคิกสฺส มคฺคสฺส ภาวนาย วายมิตพฺพํฯ สเจ ปน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชานาติ – ‘ภาวิโต โข เม อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค’ติ , เตน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา เตเนว ปีติปาโมเชฺชน วิหาตพฺพํ อโหรตฺตานุสิกฺขินา กุสเลสุ ธเมฺมสุฯ
449. ‘‘Puna caparaṃ, sāriputta, bhikkhunā iti paṭisañcikkhitabbaṃ – ‘bhāvito nu kho me ariyo aṭṭhaṅgiko maggo’ti? Sace, sāriputta, bhikkhu paccavekkhamāno evaṃ jānāti – ‘abhāvito kho me ariyo aṭṭhaṅgiko maggo’ti, tena, sāriputta, bhikkhunā ariyassa aṭṭhaṅgikassa maggassa bhāvanāya vāyamitabbaṃ. Sace pana, sāriputta, bhikkhu paccavekkhamāno evaṃ jānāti – ‘bhāvito kho me ariyo aṭṭhaṅgiko maggo’ti , tena, sāriputta, bhikkhunā teneva pītipāmojjena vihātabbaṃ ahorattānusikkhinā kusalesu dhammesu.
๔๕๐. ‘‘ปุน จปรํ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา อิติ ปฎิสญฺจิกฺขิตพฺพํ – ‘ภาวิตา นุ โข เม สมโถ จ วิปสฺสนา จา’ติ? สเจ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชานาติ – ‘อภาวิตา โข เม สมโถ จ วิปสฺสนา จา’ติ, เตน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา สมถวิปสฺสนานํ ภาวนาย วายมิตพฺพํฯ สเจ ปน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชานาติ – ‘ภาวิตา โข เม สมโถ จ วิปสฺสนา จา’ติ, เตน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา เตเนว ปีติปาโมเชฺชน วิหาตพฺพํ อโหรตฺตานุสิกฺขินา กุสเลสุ ธเมฺมสุฯ
450. ‘‘Puna caparaṃ, sāriputta, bhikkhunā iti paṭisañcikkhitabbaṃ – ‘bhāvitā nu kho me samatho ca vipassanā cā’ti? Sace, sāriputta, bhikkhu paccavekkhamāno evaṃ jānāti – ‘abhāvitā kho me samatho ca vipassanā cā’ti, tena, sāriputta, bhikkhunā samathavipassanānaṃ bhāvanāya vāyamitabbaṃ. Sace pana, sāriputta, bhikkhu paccavekkhamāno evaṃ jānāti – ‘bhāvitā kho me samatho ca vipassanā cā’ti, tena, sāriputta, bhikkhunā teneva pītipāmojjena vihātabbaṃ ahorattānusikkhinā kusalesu dhammesu.
๔๕๑. ‘‘ปุน จปรํ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา อิติ ปฎิสญฺจิกฺขิตพฺพํ – ‘สจฺฉิกตา นุ โข เม วิชฺชา จ วิมุตฺติ จา’ติ? สเจ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชานาติ – ‘อสจฺฉิกตา โข เม วิชฺชา จ วิมุตฺติ จา’ติ, เตน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา วิชฺชาย วิมุตฺติยา สจฺฉิกิริยาย วายมิตพฺพํฯ สเจ ปน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ ปจฺจเวกฺขมาโน เอวํ ชานาติ – ‘สจฺฉิกตา โข เม วิชฺชา จ วิมุตฺติ จา’ติ, เตน, สาริปุตฺต, ภิกฺขุนา เตเนว ปีติปาโมเชฺชน วิหาตพฺพํ อโหรตฺตานุสิกฺขินา กุสเลสุ ธเมฺมสุฯ
451. ‘‘Puna caparaṃ, sāriputta, bhikkhunā iti paṭisañcikkhitabbaṃ – ‘sacchikatā nu kho me vijjā ca vimutti cā’ti? Sace, sāriputta, bhikkhu paccavekkhamāno evaṃ jānāti – ‘asacchikatā kho me vijjā ca vimutti cā’ti, tena, sāriputta, bhikkhunā vijjāya vimuttiyā sacchikiriyāya vāyamitabbaṃ. Sace pana, sāriputta, bhikkhu paccavekkhamāno evaṃ jānāti – ‘sacchikatā kho me vijjā ca vimutti cā’ti, tena, sāriputta, bhikkhunā teneva pītipāmojjena vihātabbaṃ ahorattānusikkhinā kusalesu dhammesu.
๔๕๒. ‘‘เย หิ เกจิ, สาริปุตฺต, อตีตมทฺธานํ สมณา วา พฺราหฺมณา วา ปิณฺฑปาตํ ปริโสเธสุํ, สเพฺพ เต เอวเมว ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปิณฺฑปาตํ ปริโสเธสุํฯ เยปิ หิ เกจิ, สาริปุตฺต, อนาคตมทฺธานํ สมณา วา พฺราหฺมณา วา ปิณฺฑปาตํ ปริโสเธสฺสนฺติ, สเพฺพ เต เอวเมว ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปิณฺฑปาตํ ปริโสเธสฺสนฺติฯ เยปิ หิ เกจิ, สาริปุตฺต, เอตรหิ สมณา วา พฺราหฺมณา วา ปิณฺฑปาตํ ปริโสเธนฺติ, สเพฺพ เต เอวเมว ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปิณฺฑปาตํ ปริโสเธนฺติฯ ตสฺมาติห, สาริปุตฺต 5, ‘ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปิณฺฑปาตํ ปริโสเธสฺสามา’ติ – เอวญฺหิ โว, สาริปุตฺต, สิกฺขิตพฺพ’’นฺติฯ
452. ‘‘Ye hi keci, sāriputta, atītamaddhānaṃ samaṇā vā brāhmaṇā vā piṇḍapātaṃ parisodhesuṃ, sabbe te evameva paccavekkhitvā paccavekkhitvā piṇḍapātaṃ parisodhesuṃ. Yepi hi keci, sāriputta, anāgatamaddhānaṃ samaṇā vā brāhmaṇā vā piṇḍapātaṃ parisodhessanti, sabbe te evameva paccavekkhitvā paccavekkhitvā piṇḍapātaṃ parisodhessanti. Yepi hi keci, sāriputta, etarahi samaṇā vā brāhmaṇā vā piṇḍapātaṃ parisodhenti, sabbe te evameva paccavekkhitvā paccavekkhitvā piṇḍapātaṃ parisodhenti. Tasmātiha, sāriputta 6, ‘paccavekkhitvā paccavekkhitvā piṇḍapātaṃ parisodhessāmā’ti – evañhi vo, sāriputta, sikkhitabba’’nti.
อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมโน อายสฺมา สาริปุโตฺต ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทีติฯ
Idamavoca bhagavā. Attamano āyasmā sāriputto bhagavato bhāsitaṃ abhinandīti.
ปิณฺฑปาตปาริสุทฺธิสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ นวมํฯ
Piṇḍapātapārisuddhisuttaṃ niṭṭhitaṃ navamaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๙. ปิณฺฑปาตปาริสุทฺธิสุตฺตวณฺณนา • 9. Piṇḍapātapārisuddhisuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๙. ปิณฺฑปาตปาริสุทฺธิสุตฺตวณฺณนา • 9. Piṇḍapātapārisuddhisuttavaṇṇanā