Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อุทาน-อฎฺฐกถา • Udāna-aṭṭhakathā

    ๖. ปิโณฺฑลสุตฺตวณฺณนา

    6. Piṇḍolasuttavaṇṇanā

    ๓๖. ฉเฎฺฐ ปิโณฺฑลภารทฺวาโชติ ปิณฺฑํ อุลมาโน ปริเยสมาโน ปพฺพชิโตติ ปิโณฺฑโลฯ โส กิร ปริชิณฺณโภโค พฺราหฺมโณ หุตฺวา มหนฺตํ ภิกฺขุสงฺฆสฺส ลาภสกฺการํ ทิสฺวา ปิณฺฑตฺถาย นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิโตฯ โส มหนฺตํ กปลฺลํ ‘‘ปตฺต’’นฺติ คเหตฺวา จรติ, กปลฺลปูรํ ยาคุํ ปิวติ, ภตฺตํ ภุญฺชติ, ปูวขชฺชกญฺจ ขาทติฯ อถสฺส มหคฺฆสภาวํ สตฺถุ อาโรเจสุํฯ สตฺถา ตสฺส ปตฺตตฺถวิกํ นานุชานิ, เหฎฺฐามเญฺจ ปตฺตํ นิกฺกุชฺชิตฺวา ฐเปติ, โส ฐเปโนฺตปิ ฆํเสโนฺตว ปณาเมตฺวา ฐเปติ, คณฺหโนฺตปิ ฆํเสโนฺตว อากฑฺฒิตฺวา คณฺหาติฯ ตํ คจฺฉเนฺต คจฺฉเนฺต กาเล ฆํสเนน ปริกฺขีณํ, นาฬิโกทนมตฺตเสฺสว คณฺหนกํ ชาตํฯ ตโต สตฺถุ อาโรเจสุํ, อถสฺส สตฺถา ปตฺตตฺถวิกํ อนุชานิฯ เถโร อปเรน สมเยน อินฺทฺริยภาวนํ ภาเวโนฺต อคฺคผเล อรหเตฺต ปติฎฺฐาสิฯ อิติ โส ปุเพฺพ สวิเสสํ ปิณฺฑตฺถาย อุลตีติ ปิโณฺฑโล, โคเตฺตน ปน ภารทฺวาโชติ อุภยํ เอกโต กตฺวา ‘‘ปิโณฺฑลภารทฺวาโช’’ติ วุจฺจติฯ

    36. Chaṭṭhe piṇḍolabhāradvājoti piṇḍaṃ ulamāno pariyesamāno pabbajitoti piṇḍolo. So kira parijiṇṇabhogo brāhmaṇo hutvā mahantaṃ bhikkhusaṅghassa lābhasakkāraṃ disvā piṇḍatthāya nikkhamitvā pabbajito. So mahantaṃ kapallaṃ ‘‘patta’’nti gahetvā carati, kapallapūraṃ yāguṃ pivati, bhattaṃ bhuñjati, pūvakhajjakañca khādati. Athassa mahagghasabhāvaṃ satthu ārocesuṃ. Satthā tassa pattatthavikaṃ nānujāni, heṭṭhāmañce pattaṃ nikkujjitvā ṭhapeti, so ṭhapentopi ghaṃsentova paṇāmetvā ṭhapeti, gaṇhantopi ghaṃsentova ākaḍḍhitvā gaṇhāti. Taṃ gacchante gacchante kāle ghaṃsanena parikkhīṇaṃ, nāḷikodanamattasseva gaṇhanakaṃ jātaṃ. Tato satthu ārocesuṃ, athassa satthā pattatthavikaṃ anujāni. Thero aparena samayena indriyabhāvanaṃ bhāvento aggaphale arahatte patiṭṭhāsi. Iti so pubbe savisesaṃ piṇḍatthāya ulatīti piṇḍolo, gottena pana bhāradvājoti ubhayaṃ ekato katvā ‘‘piṇḍolabhāradvājo’’ti vuccati.

    อารญฺญโกติ คามนฺตเสนาสนปฎิกฺขิปเนน อรเญฺญ นิวาโส อสฺสาติ อารญฺญโก, อารญฺญกธุตงฺคํ สมาทาย วตฺตนฺตเสฺสตํ นามํฯ ตถา ภิกฺขาสงฺขาตานํ อามิสปิณฺฑานํ ปาโต ปิณฺฑปาโต, ปเรหิ ทินฺนานํ ปิณฺฑานํ ปเตฺต นิปตนนฺติ อโตฺถฯ ปิณฺฑปาตํ อุญฺฉติ ตํ ตํ กุลํ อุปสงฺกมโนฺต คเวสตีติ ปิณฺฑปาติโก, ปิณฺฑาย วา ปติตุํ จริตุํ วตเมตสฺสาติ ปิณฺฑปาตี, ปิณฺฑปาตีเยว ปิณฺฑปาติโกฯ สงฺการกูฎาทีสุ ปํสูนํ อุปริ ฐิตตฺตา อพฺภุคฺคตเฎฺฐน ปํสุกูลํ วิยาติ ปํสุกูลํ, ปํสุ วิย วา กุจฺฉิตภาวํ อุลติ คจฺฉตีติ ปํสุกูลํ, ปํสุกูลสฺส ธารณํ ปํสุกูลํ, ตํ สีลํ เอตสฺสาติ ปํสุกูลิโกฯ สงฺฆาฎิอุตฺตราสงฺคอนฺตรวาสกสงฺขาตานิ ตีณิ จีวรานิ ติจีวรํ, ติจีวรสฺส ธารณํ ติจีวรํ, ตํ สีลํ เอตสฺสาติ เตจีวริโกฯ อปฺปิโจฺฉติอาทีนํ ปทานํ อโตฺถ เหฎฺฐา วุโตฺตเยวฯ

    Āraññakoti gāmantasenāsanapaṭikkhipanena araññe nivāso assāti āraññako, āraññakadhutaṅgaṃ samādāya vattantassetaṃ nāmaṃ. Tathā bhikkhāsaṅkhātānaṃ āmisapiṇḍānaṃ pāto piṇḍapāto, parehi dinnānaṃ piṇḍānaṃ patte nipatananti attho. Piṇḍapātaṃ uñchati taṃ taṃ kulaṃ upasaṅkamanto gavesatīti piṇḍapātiko, piṇḍāya vā patituṃ carituṃ vatametassāti piṇḍapātī, piṇḍapātīyeva piṇḍapātiko. Saṅkārakūṭādīsu paṃsūnaṃ upari ṭhitattā abbhuggataṭṭhena paṃsukūlaṃ viyāti paṃsukūlaṃ, paṃsu viya vā kucchitabhāvaṃ ulati gacchatīti paṃsukūlaṃ, paṃsukūlassa dhāraṇaṃ paṃsukūlaṃ, taṃ sīlaṃ etassāti paṃsukūliko. Saṅghāṭiuttarāsaṅgaantaravāsakasaṅkhātāni tīṇi cīvarāni ticīvaraṃ, ticīvarassa dhāraṇaṃ ticīvaraṃ, taṃ sīlaṃ etassāti tecīvariko. Appicchotiādīnaṃ padānaṃ attho heṭṭhā vuttoyeva.

    ธุตวาโทติ ธุโต วุจฺจติ ธุตกิเลโส ปุคฺคโล, กิเลสธุนนกธโมฺม วาฯ ตตฺถ อตฺถิ ธุโต, น ธุตวาโท, อตฺถิ น ธุโต, ธุตวาโท, อตฺถิ เนว ธุโต, น ธุตวาโท, อตฺถิ ธุโต เจว, ธุตวาโท จาติ อิทํ จตุกฺกํ เวทิตพฺพํฯ เตสุ โย สยํ ธุตธเมฺม สมาทาย วตฺตติ, น ปรํ ตทตฺถาย สมาทเปติ, อยํ ปฐโมฯ โย ปน สยํ น ธุตธเมฺม สมาทาย วตฺตติ, ปรํ สมาทเปติ, อยํ ทุติโยฯ โย อุภยรหิโต, อยํ ตติโยฯ โย ปน อุภยสมฺปโนฺน, อยํ จตุโตฺถฯ เอวรูโป จ อายสฺมา ปิโณฺฑลภารทฺวาโชติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ธุตวาโท’’ติฯ เอกเทสสรูเปกเสสวเสน หิ อยํ นิเทฺทโส ยถา ตํ ‘‘นามรูป’’นฺติฯ

    Dhutavādoti dhuto vuccati dhutakileso puggalo, kilesadhunanakadhammo vā. Tattha atthi dhuto, na dhutavādo, atthi na dhuto, dhutavādo, atthi neva dhuto, na dhutavādo, atthi dhuto ceva, dhutavādo cāti idaṃ catukkaṃ veditabbaṃ. Tesu yo sayaṃ dhutadhamme samādāya vattati, na paraṃ tadatthāya samādapeti, ayaṃ paṭhamo. Yo pana sayaṃ na dhutadhamme samādāya vattati, paraṃ samādapeti, ayaṃ dutiyo. Yo ubhayarahito, ayaṃ tatiyo. Yo pana ubhayasampanno, ayaṃ catuttho. Evarūpo ca āyasmā piṇḍolabhāradvājoti. Tena vuttaṃ ‘‘dhutavādo’’ti. Ekadesasarūpekasesavasena hi ayaṃ niddeso yathā taṃ ‘‘nāmarūpa’’nti.

    อธิจิตฺตมนุยุโตฺตติ เอตฺถ อฎฺฐสมาปตฺติสมฺปโยคโต อรหตฺตผลสมาปตฺติสมฺปโยคโต วา จิตฺตสฺส อธิจิตฺตภาโว เวทิตโพฺพ, อิธ ปน ‘‘อรหตฺตผลจิตฺต’’นฺติ วทนฺติฯ ตํตํสมาปตฺตีสุ สมาธิ เอว อธิจิตฺตํ, อิธ ปน อรหตฺตผลสมาธิ เวทิตโพฺพฯ เกจิ ปน ‘‘อธิจิตฺตมนุยุเตฺตน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุนา กาเลน กาลํ ตีณิ นิมิตฺตานิ มนสิ กาตพฺพานีติ เอตสฺมิํ อธิจิตฺตสุเตฺต (อ. นิ. ๓.๑๐๓) วิย สมถวิปสฺสนาจิตฺตํ อธิจิตฺตนฺติ อิธาธิเปฺปต’’นฺติ วทนฺติ, ตํ น สุนฺทรํฯ ปุริโมเยวโตฺถ คเหตโพฺพฯ

    Adhicittamanuyuttoti ettha aṭṭhasamāpattisampayogato arahattaphalasamāpattisampayogato vā cittassa adhicittabhāvo veditabbo, idha pana ‘‘arahattaphalacitta’’nti vadanti. Taṃtaṃsamāpattīsu samādhi eva adhicittaṃ, idha pana arahattaphalasamādhi veditabbo. Keci pana ‘‘adhicittamanuyuttena, bhikkhave, bhikkhunā kālena kālaṃ tīṇi nimittāni manasi kātabbānīti etasmiṃ adhicittasutte (a. ni. 3.103) viya samathavipassanācittaṃ adhicittanti idhādhippeta’’nti vadanti, taṃ na sundaraṃ. Purimoyevattho gahetabbo.

    เอตมตฺถํ วิทิตฺวาติ เอตํ อายสฺมโต ปิโณฺฑลภารทฺวาชสฺส อธิฎฺฐานปริกฺขารสมฺปทาสมฺปนฺนํ อธิจิตฺตานุโยคสงฺขาตํ อตฺถํ สพฺพาการโต วิทิตฺวาฯ เอวํ ‘‘อธิจิตฺตานุโยโค มม สาสนานุฎฺฐาน’’นฺติ ทีเปโนฺต อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ

    Etamatthaṃviditvāti etaṃ āyasmato piṇḍolabhāradvājassa adhiṭṭhānaparikkhārasampadāsampannaṃ adhicittānuyogasaṅkhātaṃ atthaṃ sabbākārato viditvā. Evaṃ ‘‘adhicittānuyogo mama sāsanānuṭṭhāna’’nti dīpento imaṃ udānaṃ udānesi.

    ตตฺถ อนูปวาโทติ วาจาย กสฺสจิปิ อนุปวทนํฯ อนูปฆาโตติ กาเยน กสฺสจิ อุปฆาตากรณํฯ ปาติโมเกฺขติ เอตฺถ ปาติโมกฺขปทสฺส อโตฺถ เหฎฺฐา นานปฺปกาเรหิ วุโตฺต, ตสฺมิํ ปาติโมเกฺขฯ สตฺตนฺนํ อาปตฺติกฺขนฺธานํ อวีติกฺกมลกฺขโณ สํวโรฯ มตฺตญฺญุตาติ ปฎิคฺคหณปริโภควเสน ปมาณญฺญุตาฯ ปนฺตญฺจ สยนาสนนฺติ วิวิตฺตํ สงฺฆฎฺฎนวิรหิตํ เสนาสนํฯ อธิจิเตฺต จ อาโยโคติ อฎฺฐนฺนํ สมาปตฺตีนํ อธิคมาย ภาวนานุโยโคฯ

    Tattha anūpavādoti vācāya kassacipi anupavadanaṃ. Anūpaghātoti kāyena kassaci upaghātākaraṇaṃ. Pātimokkheti ettha pātimokkhapadassa attho heṭṭhā nānappakārehi vutto, tasmiṃ pātimokkhe. Sattannaṃ āpattikkhandhānaṃ avītikkamalakkhaṇo saṃvaro. Mattaññutāti paṭiggahaṇaparibhogavasena pamāṇaññutā. Pantañca sayanāsananti vivittaṃ saṅghaṭṭanavirahitaṃ senāsanaṃ. Adhicitte ca āyogoti aṭṭhannaṃ samāpattīnaṃ adhigamāya bhāvanānuyogo.

    อปโร นโย – อนูปวาโทติ กสฺสจิปิ อุปรุชฺฌนวจนสฺส อวทนํฯ เตน สพฺพมฺปิ วาจสิกํ สีลํ สงฺคณฺหาติฯ อนูปฆาโตติ กาเยน กสฺสจิ อุปฆาตสฺส ปรวิเหฐนสฺส อกรณํฯ เตน สพฺพมฺปิ กายิกํ สีลํ สงฺคณฺหาติฯ ยาทิสํ ปนิทํ อุภยํ พุทฺธานํ สาสนโนฺตคธํ โหติ, ตํ ทเสฺสตุํ – ‘‘ปาติโมเกฺข จ สํวโร’’ติ วุตฺตํฯ สโทฺท นิปาตมตฺตํฯ ปาติโมเกฺข จ สํวโรติ ปาติโมกฺขสํวรภูโต อนูปวาโท อนูปฆาโต จาติ อโตฺถฯ

    Aparo nayo – anūpavādoti kassacipi uparujjhanavacanassa avadanaṃ. Tena sabbampi vācasikaṃ sīlaṃ saṅgaṇhāti. Anūpaghātoti kāyena kassaci upaghātassa paraviheṭhanassa akaraṇaṃ. Tena sabbampi kāyikaṃ sīlaṃ saṅgaṇhāti. Yādisaṃ panidaṃ ubhayaṃ buddhānaṃ sāsanantogadhaṃ hoti, taṃ dassetuṃ – ‘‘pātimokkhe ca saṃvaro’’ti vuttaṃ. Casaddo nipātamattaṃ. Pātimokkhe ca saṃvaroti pātimokkhasaṃvarabhūto anūpavādo anūpaghāto cāti attho.

    อถ วา ปาติโมเกฺขติ อธิกรเณ ภุมฺมํฯ ปาติโมเกฺข นิสฺสยภูเต สํวโรฯ โก ปน โสติ? อนูปวาโท อนูปฆาโตฯ อุปสมฺปทเวลายญฺหิ อวิเสเสน ปาติโมกฺขสีลํ สมาทินฺนํ นาม โหติ, ตสฺมิํ ปาติโมเกฺข ฐิตสฺส ตโต ปรํ อุปวาทูปฆาตานํ อกรณวเสน สํวโร, โส อนูปวาโท อนูปฆาโต จาติ วุโตฺตฯ

    Atha vā pātimokkheti adhikaraṇe bhummaṃ. Pātimokkhe nissayabhūte saṃvaro. Ko pana soti? Anūpavādo anūpaghāto. Upasampadavelāyañhi avisesena pātimokkhasīlaṃ samādinnaṃ nāma hoti, tasmiṃ pātimokkhe ṭhitassa tato paraṃ upavādūpaghātānaṃ akaraṇavasena saṃvaro, so anūpavādo anūpaghāto cāti vutto.

    อถ วา ปาติโมเกฺขติ นิปฺผาเทตเพฺพ ภุมฺมํ ยถา ‘‘เจตโส อวูปสโม อโยนิโสมนสิการปทฎฺฐาน’’นฺติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๒)ฯ เตน ปาติโมเกฺขน สาเธตโพฺพ อนูปวาโท อนูปฆาโต, ปาติโมกฺขสํวรสงฺคหิโต อนูปวาโท อนูปฆาโตอิเจฺจว อโตฺถฯ สํวโรติ อิมินา ปน สติสํวโร , ญาณสํวโร, ขนฺติสํวโร, วีริยสํวโรติ อิเมสํ จตุนฺนํ สํวรานํ คหณํ, ปาติโมกฺขสาธนํ อิทํ สํวรจตุกฺกํฯ

    Atha vā pātimokkheti nipphādetabbe bhummaṃ yathā ‘‘cetaso avūpasamo ayonisomanasikārapadaṭṭhāna’’nti (saṃ. ni. 5.232). Tena pātimokkhena sādhetabbo anūpavādo anūpaghāto, pātimokkhasaṃvarasaṅgahito anūpavādo anūpaghātoicceva attho. Saṃvaroti iminā pana satisaṃvaro , ñāṇasaṃvaro, khantisaṃvaro, vīriyasaṃvaroti imesaṃ catunnaṃ saṃvarānaṃ gahaṇaṃ, pātimokkhasādhanaṃ idaṃ saṃvaracatukkaṃ.

    มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมินฺติ ปริเยสนปฎิคฺคหณปริโภควิสฺสชฺชนานํ วเสน โภชเน ปมาณญฺญุตาฯ ปนฺตญฺจ สยนาสนนฺติ ภาวนานุกูลํ อรญฺญรุกฺขมูลาทิวิวิตฺตเสนาสนํฯ อธิจิเตฺต จ อาโยโคติ สพฺพจิตฺตานํ อธิกตฺตา อุตฺตมตฺตา อธิจิตฺตสงฺขาเต อรหตฺตผลจิเตฺต สาเธตเพฺพ ตสฺส นิปฺผาทนตฺถํ สมถวิปสฺสนาภาวนาวเสน อาโยโคฯ เอตํ พุทฺธาน สาสนนฺติ เอตํ ปรสฺส อนูปวทนํ, อนูปฆาตนํ, ปาติโมกฺขสํวโร , ปริเยสนปฎิคฺคหณาทีสุ มตฺตญฺญุตา, วิวิตฺตวาโส, ยถาวุตฺตอธิจิตฺตานุโยโค จ พุทฺธานํ สาสนํ โอวาโท อนุสิฎฺฐีติ อโตฺถฯ เอวํ อิมาย คาถาย ติโสฺส สิกฺขา กถิตาติ เวทิตพฺพาฯ

    Mattaññutā ca bhattasminti pariyesanapaṭiggahaṇaparibhogavissajjanānaṃ vasena bhojane pamāṇaññutā. Pantañca sayanāsananti bhāvanānukūlaṃ araññarukkhamūlādivivittasenāsanaṃ. Adhicitte ca āyogoti sabbacittānaṃ adhikattā uttamattā adhicittasaṅkhāte arahattaphalacitte sādhetabbe tassa nipphādanatthaṃ samathavipassanābhāvanāvasena āyogo. Etaṃ buddhāna sāsananti etaṃ parassa anūpavadanaṃ, anūpaghātanaṃ, pātimokkhasaṃvaro , pariyesanapaṭiggahaṇādīsu mattaññutā, vivittavāso, yathāvuttaadhicittānuyogo ca buddhānaṃ sāsanaṃ ovādo anusiṭṭhīti attho. Evaṃ imāya gāthāya tisso sikkhā kathitāti veditabbā.

    ฉฎฺฐสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Chaṭṭhasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อุทานปาฬิ • Udānapāḷi / ๖. ปิโณฺฑลสุตฺตํ • 6. Piṇḍolasuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact