Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) |
๘. ปิโณฺฑลฺยสุตฺตวณฺณนา
8. Piṇḍolyasuttavaṇṇanā
๘๐. อฎฺฐเม กิสฺมิญฺจิเทว ปกรเณติ กิสฺมิญฺจิเทว การเณฯ ปณาเมตฺวาติ นีหริตฺวาฯ กิสฺมิํ ปน การเณ เอเต ภควตา ปณามิตาติ? เอกสฺมิญฺหิ อโนฺตวเสฺส ภควา สาวตฺถิยํ วสิตฺวา วุตฺถวโสฺส ปวาเรตฺวา มหาภิกฺขุสงฺฆปริวาโร สาวตฺถิโต นิกฺขมิตฺวา ชนปทจาริกํ จรโนฺต กปิลวตฺถุํ ปตฺวา นิโคฺรธารามํ ปาวิสิฯ สกฺยราชาโน ‘‘สตฺถา อาคโต’’ติ สุตฺวา ปจฺฉาภเตฺต กปฺปิยานิ เตลมธุผาณิตาทีนิ เจว ปานกานิ จ กาชสเตหิ คาหาเปตฺวา วิหารํ คนฺตฺวา สงฺฆสฺส นิยฺยาเตตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา ปฎิสนฺถารํ กโรนฺตา เอกมเนฺต นิสีทิํสุฯ สตฺถา เตสํ มธุรธมฺมกถํ กเถโนฺต นิสีทิฯ ตสฺมิํ ขเณ เอกเจฺจ ภิกฺขู เสนาสนํ ปฎิชคฺคนฺติ, เอกเจฺจ มญฺจปีฐาทีนิ ปญฺญาเปนฺติ, สามเณรา อปฺปหริตํ กโรนฺติฯ ภาชนียฎฺฐาเน สมฺปตฺตภิกฺขูปิ อตฺถิ, อสมฺปตฺตภิกฺขูปิ อตฺถิฯ สมฺปตฺตา อสมฺปตฺตานํ ลาภํ คณฺหนฺตา, ‘‘อมฺหากํ เทถ, อมฺหากํ อาจริยสฺส เทถ อุปชฺฌายสฺส เทถา’’ติ กเถนฺตา มหาสทฺทมกํสุฯ สตฺถา สุตฺวา เถรํ ปุจฺฉิ ‘‘เก ปน เต, อานนฺท, อุจฺจาสทฺทา มหาสทฺทา เกวฎฺฎา มเญฺญ มจฺฉวิโลเป’’ติ? เถโร เอตมตฺถํ อาโรเจสิฯ สตฺถา สุตฺวา ‘‘อามิสเหตุ, อานนฺท, ภิกฺขู มหาสทฺทํ กโรนฺตี’’ติ อาหฯ ‘‘อาม, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘อนนุจฺฉวิกํ, อานนฺท, อปฺปติรูปํฯ น หิ มยา กปฺปสตสหสฺสาธิกานิ จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ จีวราทิเหตุ ปารมิโย ปูริตา, นาปิ อิเม ภิกฺขู จีวราทิเหตุ อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตา, อรหตฺตเหตุ ปพฺพชิตฺวา อนตฺถํ อตฺถสทิสํ อสารํ สารสทิสํ กโรนฺติ, คจฺฉานนฺท, เต ภิกฺขู ปณาเมหี’’ติฯ
80. Aṭṭhame kismiñcideva pakaraṇeti kismiñcideva kāraṇe. Paṇāmetvāti nīharitvā. Kismiṃ pana kāraṇe ete bhagavatā paṇāmitāti? Ekasmiñhi antovasse bhagavā sāvatthiyaṃ vasitvā vutthavasso pavāretvā mahābhikkhusaṅghaparivāro sāvatthito nikkhamitvā janapadacārikaṃ caranto kapilavatthuṃ patvā nigrodhārāmaṃ pāvisi. Sakyarājāno ‘‘satthā āgato’’ti sutvā pacchābhatte kappiyāni telamadhuphāṇitādīni ceva pānakāni ca kājasatehi gāhāpetvā vihāraṃ gantvā saṅghassa niyyātetvā satthāraṃ vanditvā paṭisanthāraṃ karontā ekamante nisīdiṃsu. Satthā tesaṃ madhuradhammakathaṃ kathento nisīdi. Tasmiṃ khaṇe ekacce bhikkhū senāsanaṃ paṭijagganti, ekacce mañcapīṭhādīni paññāpenti, sāmaṇerā appaharitaṃ karonti. Bhājanīyaṭṭhāne sampattabhikkhūpi atthi, asampattabhikkhūpi atthi. Sampattā asampattānaṃ lābhaṃ gaṇhantā, ‘‘amhākaṃ detha, amhākaṃ ācariyassa detha upajjhāyassa dethā’’ti kathentā mahāsaddamakaṃsu. Satthā sutvā theraṃ pucchi ‘‘ke pana te, ānanda, uccāsaddā mahāsaddā kevaṭṭā maññe macchavilope’’ti? Thero etamatthaṃ ārocesi. Satthā sutvā ‘‘āmisahetu, ānanda, bhikkhū mahāsaddaṃ karontī’’ti āha. ‘‘Āma, bhante’’ti. ‘‘Ananucchavikaṃ, ānanda, appatirūpaṃ. Na hi mayā kappasatasahassādhikāni cattāri asaṅkhyeyyāni cīvarādihetu pāramiyo pūritā, nāpi ime bhikkhū cīvarādihetu agārasmā anagāriyaṃ pabbajitā, arahattahetu pabbajitvā anatthaṃ atthasadisaṃ asāraṃ sārasadisaṃ karonti, gacchānanda, te bhikkhū paṇāmehī’’ti.
ปุพฺพณฺหสมยนฺติ ทุติยทิวเส ปุพฺพณฺหสมยํฯ เพลุวลฎฺฐิกาย มูเลติ ตรุณเพลุวรุกฺขมูเลฯ ปพาโฬฺหติ ปพาหิโตฯ ปวาโฬฺหติปิ ปาโฐ, ปวาหิโตติ อโตฺถฯ อุภยมฺปิ นีหฎภาวเมว ทีเปติฯ สิยา อญฺญถตฺตนฺติ ปสาทญฺญถตฺตํ วา ภาวญฺญถตฺตํ วา ภเวยฺยฯ กถํ? ‘‘สมฺมาสมฺพุเทฺธน มยํ ลหุเก การเณ ปณามิตา’’ติ ปสาทํ มนฺทํ กโรนฺตานํ ปสาทญฺญถตฺตํ นาม โหติฯ สลิเงฺคเนว ติตฺถายตนํ ปกฺกมนฺตานํ ภาวญฺญถตฺตํ นามฯ สิยา วิปริณาโมติ เอตฺถ ปน ‘‘มยํ สตฺถุ อชฺฌาสยํ คณฺหิตุํ สกฺขิสฺสามาติ ปพฺพชิตา, นํ คเหตุํ อสโกฺกนฺตานํ กิํ อมฺหากํ ปพฺพชฺชายา’’ติ? สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย หีนายาวตฺตนํ วิปริณาโมติ เวทิตโพฺพฯ วจฺฉสฺสาติ ขีรูปกวจฺฉสฺสฯ อญฺญถตฺตนฺติ มิลายนอญฺญถตฺตํฯ ขีรูปโก หิ วโจฺฉ มาตุ อทสฺสเนน ขีรํ อลภโนฺต มิลายติ กมฺปติ ปเวธติฯ วิปริณาโมติ มรณํฯ โส หิ ขีรํ อลภมาโน ขีรปิปาสาย สุสฺสโนฺต ปติตฺวา มรติฯ
Pubbaṇhasamayanti dutiyadivase pubbaṇhasamayaṃ. Beluvalaṭṭhikāya mūleti taruṇabeluvarukkhamūle. Pabāḷhoti pabāhito. Pavāḷhotipi pāṭho, pavāhitoti attho. Ubhayampi nīhaṭabhāvameva dīpeti. Siyā aññathattanti pasādaññathattaṃ vā bhāvaññathattaṃ vā bhaveyya. Kathaṃ? ‘‘Sammāsambuddhena mayaṃ lahuke kāraṇe paṇāmitā’’ti pasādaṃ mandaṃ karontānaṃ pasādaññathattaṃ nāma hoti. Saliṅgeneva titthāyatanaṃ pakkamantānaṃ bhāvaññathattaṃ nāma. Siyā vipariṇāmoti ettha pana ‘‘mayaṃ satthu ajjhāsayaṃ gaṇhituṃ sakkhissāmāti pabbajitā, naṃ gahetuṃ asakkontānaṃ kiṃ amhākaṃ pabbajjāyā’’ti? Sikkhaṃ paccakkhāya hīnāyāvattanaṃ vipariṇāmoti veditabbo. Vacchassāti khīrūpakavacchassa. Aññathattanti milāyanaaññathattaṃ. Khīrūpako hi vaccho mātu adassanena khīraṃ alabhanto milāyati kampati pavedhati. Vipariṇāmoti maraṇaṃ. So hi khīraṃ alabhamāno khīrapipāsāya sussanto patitvā marati.
พีชานํ ตรุณานนฺติ อุทเกน อนุคฺคเหตพฺพานํ วิรูฬฺหพีชานํฯ อญฺญถตฺตนฺติ มิลายนญฺญถตฺตเมวฯ ตานิ หิ อุทกํ อลภนฺตานิ มิลายนฺติฯ วิปริณาโมติ วินาโสฯ ตานิ หิ อุทกํ อลภนฺตานิ สุกฺขิตฺวา วินสฺสนฺติ, ปลาลเมว โหนฺติฯ อนุคฺคหิโตติ อามิสานุคฺคเหน เจว ธมฺมานุคฺคเหน จ อนุคฺคหิโตฯ อนุคฺคเณฺหยฺยนฺติ ทฺวีหิปิ เอเตหิ อนุคฺคเหหิ อนุคฺคเณฺหยฺยํฯ อจิรปพฺพชิตา หิ สามเณรา เจว ทหรภิกฺขู จ จีวราทิปจฺจยเวกเลฺล วา สติ เคลเญฺญ วา สตฺถารา วา อาจริยุปชฺฌาเยหิ วา อามิสานุคฺคเหน อนนุคฺคหิตา กิลมนฺตา น สโกฺกนฺติ สชฺฌายํ วา มนสิการํ วา กาตุํ, ธมฺมานุคฺคเหน อนนุคฺคหิตา อุเทฺทเสน เจว โอวาทานุสาสนิยา จ ปริหายมานา น สโกฺกนฺติ อกุสลํ ปริวเชฺชตฺวา กุสลํ ภาเวตุํฯ อิเมหิ ปน ทฺวีหิ อนุคฺคเหหิ อนุคฺคหิตา กาเยน อกิลมนฺตา สชฺฌายมนสิกาเร ปวตฺติตฺวา ยถานุสิฎฺฐํ ปฎิปชฺชมานา อปรภาเค ตํ อนุคฺคหํ อลภนฺตาปิ เตเนว ปุริมานุคฺคเหน ลทฺธพลา สาสเน ปติฎฺฐหนฺติ, ตสฺมา ภควโต เอวํ ปริวิตโกฺก อุทปาทิฯ
Bījānaṃ taruṇānanti udakena anuggahetabbānaṃ virūḷhabījānaṃ. Aññathattanti milāyanaññathattameva. Tāni hi udakaṃ alabhantāni milāyanti. Vipariṇāmoti vināso. Tāni hi udakaṃ alabhantāni sukkhitvā vinassanti, palālameva honti. Anuggahitoti āmisānuggahena ceva dhammānuggahena ca anuggahito. Anuggaṇheyyanti dvīhipi etehi anuggahehi anuggaṇheyyaṃ. Acirapabbajitā hi sāmaṇerā ceva daharabhikkhū ca cīvarādipaccayavekalle vā sati gelaññe vā satthārā vā ācariyupajjhāyehi vā āmisānuggahena ananuggahitā kilamantā na sakkonti sajjhāyaṃ vā manasikāraṃ vā kātuṃ, dhammānuggahena ananuggahitā uddesena ceva ovādānusāsaniyā ca parihāyamānā na sakkonti akusalaṃ parivajjetvā kusalaṃ bhāvetuṃ. Imehi pana dvīhi anuggahehi anuggahitā kāyena akilamantā sajjhāyamanasikāre pavattitvā yathānusiṭṭhaṃ paṭipajjamānā aparabhāge taṃ anuggahaṃ alabhantāpi teneva purimānuggahena laddhabalā sāsane patiṭṭhahanti, tasmā bhagavato evaṃ parivitakko udapādi.
ภควโต ปุรโต ปาตุรโหสีติ สตฺถุ จิตฺตํ ญตฺวา – ‘‘อิเม ภิกฺขู ภควตา ปณามิตา, อิทานิ เนสํ อนุคฺคหํ กาตุกาโม เอวํ จิเนฺตสิ, การณํ ภควา จิเนฺตสิ, อหเมตฺถ อุสฺสาหํ ชเนสฺสามี’’ติ ปุรโต ปากโฎ อโหสิฯ สเนฺตตฺถ ภิกฺขูติ อิทํ โส มหาพฺรหฺมา ยถา นาม พฺยโตฺต สูโท ยเทว อมฺพิลคฺคาทีสุ รสชาตํ รโญฺญ รุจฺจติ, ตํ อภิสงฺขาเรน สาทุตรํ กตฺวา ปุนทิวเส อุปนาเมติ, เอวเมว อตฺตโน พฺยตฺตตาย ภควตา อาหฎอุปมํเยว เอวเมตํ ภควาติอาทิวจเนหิ อภิสงฺขริตฺวา ภควนฺตํ ยาจโนฺต ภิกฺขุสงฺฆสฺส อนุคฺคหกรณตฺถํ วทติ ฯ ตตฺถ อภินนฺทตูติ ‘‘มม สนฺติกํ ภิกฺขุสโงฺฆ อาคจฺฉตู’’ติฯ เอวมสฺส อาคมนํ สมฺปิยายมาโน อภินนฺทตุฯ อภิวทตูติ อาคตสฺส จ โอวาทานุสาสนิํ ททโนฺต อภิวทตุฯ
Bhagavato purato pāturahosīti satthu cittaṃ ñatvā – ‘‘ime bhikkhū bhagavatā paṇāmitā, idāni nesaṃ anuggahaṃ kātukāmo evaṃ cintesi, kāraṇaṃ bhagavā cintesi, ahamettha ussāhaṃ janessāmī’’ti purato pākaṭo ahosi. Santettha bhikkhūti idaṃ so mahābrahmā yathā nāma byatto sūdo yadeva ambilaggādīsu rasajātaṃ rañño ruccati, taṃ abhisaṅkhārena sādutaraṃ katvā punadivase upanāmeti, evameva attano byattatāya bhagavatā āhaṭaupamaṃyeva evametaṃ bhagavātiādivacanehi abhisaṅkharitvā bhagavantaṃ yācanto bhikkhusaṅghassa anuggahakaraṇatthaṃ vadati . Tattha abhinandatūti ‘‘mama santikaṃ bhikkhusaṅgho āgacchatū’’ti. Evamassa āgamanaṃ sampiyāyamāno abhinandatu. Abhivadatūti āgatassa ca ovādānusāsaniṃ dadanto abhivadatu.
ปฎิสลฺลานาติ เอกีภาวาฯ อิทฺธาภิสงฺขารํ อภิสงฺขาสีติ อิทฺธิํ อกาสิฯ เอกทฺวีหิกายาติ เอเกโก เจว เทฺว เทฺว จ หุตฺวาฯ สารชฺชมานรูปาติ โอตฺตปฺปมานสภาวา ภายมานาฯ กสฺมา ปน ภควา เตสํ ตถา อุปสงฺกมนาย อิทฺธิมกาสีติ? หิตปตฺถนายฯ ยทิ หิ เต วคฺควคฺคา หุตฺวา อาคเจฺฉยฺยุํ, ‘‘ภควา ภิกฺขุสงฺฆํ ปณาเมตฺวา อรญฺญํ ปวิโฎฺฐ เอกทิวสมฺปิ ตตฺถ วสิตุํ นาสกฺขิ, เวเคเนว อาคโต’’ติ เกฬิมฺปิ กเรยฺยุํฯ อถ เนสํ เนว พุทฺธคารวํ ปจฺจุปฎฺฐเหยฺย, น ธมฺมเทสนํ สมฺปฎิจฺฉิตุํ สมตฺถา ภเวยฺยุํฯ สภยานํ ปน สสารชฺชานํ เอกทฺวีหิกาย อาคจฺฉนฺตานํ พุทฺธคารวเญฺจว ปจฺจุปฎฺฐิตํ ภวิสฺสติ, ธมฺมเทสนญฺจ สมฺปฎิจฺฉิตุํ สกฺขิสฺสนฺตีติ จิเนฺตตฺวา เตสํ หิตปตฺถนาย ตถารูปํ อิทฺธิํ อกาสิฯ
Paṭisallānāti ekībhāvā. Iddhābhisaṅkhāraṃ abhisaṅkhāsīti iddhiṃ akāsi. Ekadvīhikāyāti ekeko ceva dve dve ca hutvā. Sārajjamānarūpāti ottappamānasabhāvā bhāyamānā. Kasmā pana bhagavā tesaṃ tathā upasaṅkamanāya iddhimakāsīti? Hitapatthanāya. Yadi hi te vaggavaggā hutvā āgaccheyyuṃ, ‘‘bhagavā bhikkhusaṅghaṃ paṇāmetvā araññaṃ paviṭṭho ekadivasampi tattha vasituṃ nāsakkhi, vegeneva āgato’’ti keḷimpi kareyyuṃ. Atha nesaṃ neva buddhagāravaṃ paccupaṭṭhaheyya, na dhammadesanaṃ sampaṭicchituṃ samatthā bhaveyyuṃ. Sabhayānaṃ pana sasārajjānaṃ ekadvīhikāya āgacchantānaṃ buddhagāravañceva paccupaṭṭhitaṃ bhavissati, dhammadesanañca sampaṭicchituṃ sakkhissantīti cintetvā tesaṃ hitapatthanāya tathārūpaṃ iddhiṃ akāsi.
นิสีทิํสูติ เตสุ หิ สารชฺชมานรูเปสุ อาคจฺฉเนฺตสุ เอโก ภิกฺขุ ‘‘มมํเยว สตฺถา โอโลเกติ, มํเยว มเญฺญ นิคฺคณฺหิตุกาโม’’ติ สณิกํ อาคนฺตฺวา วนฺทิตฺวา นิสีทิ, อถโญฺญ อถโญฺญติ เอวํ ปญฺจภิกฺขุสตานิ นิสีทิํสุฯ เอวํ นิสินฺนํ ปน ภิกฺขุสงฺฆํ สีทนฺตเร สนฺนิสินฺนํ มหาสมุทฺทํ วิย นิวาเต ปทีปํ วิย จ นิจฺจลํ ทิสฺวา สตฺถา จิเนฺตสิ – ‘‘อิเมสํ ภิกฺขูนํ กีทิสี ธมฺมเทสนา วฎฺฎตี’’ติ? อถสฺส เอตทโหสิ – ‘‘อิเม อาหารเหตุ ปณามิตา, ปิณฺฑิยาโลปธมฺมเทสนาว เนสํ สปฺปายา, ตํ ทเสฺสตฺวา มตฺถเก ติปริวฎฺฎเทสนํ เทเสสฺสามิ, เทสนาปริโยสาเน สเพฺพ อรหตฺตํ ปาปุณิสฺสนฺตี’’ติฯ อถ เนสํ ตํ ธมฺมเทสนํ เทเสโนฺต อนฺตมิทํ, ภิกฺขเวติอาทิมาหฯ
Nisīdiṃsūti tesu hi sārajjamānarūpesu āgacchantesu eko bhikkhu ‘‘mamaṃyeva satthā oloketi, maṃyeva maññe niggaṇhitukāmo’’ti saṇikaṃ āgantvā vanditvā nisīdi, athañño athaññoti evaṃ pañcabhikkhusatāni nisīdiṃsu. Evaṃ nisinnaṃ pana bhikkhusaṅghaṃ sīdantare sannisinnaṃ mahāsamuddaṃ viya nivāte padīpaṃ viya ca niccalaṃ disvā satthā cintesi – ‘‘imesaṃ bhikkhūnaṃ kīdisī dhammadesanā vaṭṭatī’’ti? Athassa etadahosi – ‘‘ime āhārahetu paṇāmitā, piṇḍiyālopadhammadesanāva nesaṃ sappāyā, taṃ dassetvā matthake tiparivaṭṭadesanaṃ desessāmi, desanāpariyosāne sabbe arahattaṃ pāpuṇissantī’’ti. Atha nesaṃ taṃ dhammadesanaṃ desento antamidaṃ, bhikkhavetiādimāha.
ตตฺถ อนฺตนฺติ ปจฺฉิมํ ลามกํฯ ยทิทํ ปิโณฺฑลฺยนฺติ ยํ เอวํ ปิณฺฑปริเยสเนน ชีวิกํ กเปฺปนฺตสฺส ชีวิตํฯ อยํ ปเนตฺถ ปทโตฺถ – ปิณฺฑาย อุลตีติ ปิโณฺฑโล, ปิโณฺฑลสฺส กมฺมํ ปิโณฺฑลฺยํ, ปิณฺฑปริเยสเนน นิปฺผาทิตชีวิตนฺติ อโตฺถฯ อภิสาโปติ อโกฺกโสฯ กุปิตา หิ มนุสฺสา อตฺตโน ปจฺจตฺถิกํ ‘‘จีวรํ นิวาเสตฺวา กปาลํ คเหตฺวา ปิณฺฑํ ปริเยสมาโน จริสฺสตี’’ติ อโกฺกสนฺติฯ อถ วา ปน ‘‘กิํ ตุยฺหํ อกาตพฺพํ อตฺถิ, โย ตฺวํ เอวํ พลวา วีริยสมฺปโนฺนปิ หิโรตฺตปฺปํ ปหาย กปโณ วิย ปิโณฺฑโล วิจรสิ ปตฺตปาณี’’ติ? เอวมฺปิ อโกฺกสนฺติเยวฯ ตญฺจ โข เอตนฺติ เอวํ ตํ อภิสาปํ สมานมฺปิ ปิโณฺฑลฺยํฯ กุลปุตฺตา อุเปนฺติ อตฺถวสิกาติ มม สาสเน ชาติกุลปุตฺตา จ อาจารกุลปุตฺตา จ อตฺถวสิกา การณวสิกา หุตฺวา การณวสํ ปฎิจฺจ อุเปนฺติฯ
Tattha antanti pacchimaṃ lāmakaṃ. Yadidaṃ piṇḍolyanti yaṃ evaṃ piṇḍapariyesanena jīvikaṃ kappentassa jīvitaṃ. Ayaṃ panettha padattho – piṇḍāya ulatīti piṇḍolo, piṇḍolassa kammaṃ piṇḍolyaṃ, piṇḍapariyesanena nipphāditajīvitanti attho. Abhisāpoti akkoso. Kupitā hi manussā attano paccatthikaṃ ‘‘cīvaraṃ nivāsetvā kapālaṃ gahetvā piṇḍaṃ pariyesamāno carissatī’’ti akkosanti. Atha vā pana ‘‘kiṃ tuyhaṃ akātabbaṃ atthi, yo tvaṃ evaṃ balavā vīriyasampannopi hirottappaṃ pahāya kapaṇo viya piṇḍolo vicarasi pattapāṇī’’ti? Evampi akkosantiyeva. Tañca kho etanti evaṃ taṃ abhisāpaṃ samānampi piṇḍolyaṃ. Kulaputtā upenti atthavasikāti mama sāsane jātikulaputtā ca ācārakulaputtā ca atthavasikā kāraṇavasikā hutvā kāraṇavasaṃ paṭicca upenti.
ราชาภินีตาติอาทีสุ เย รโญฺญ สนฺตกํ ขาทิตฺวา รญฺญา พนฺธนาคาเร พนฺธาปิตา ปลายิตฺวา ปพฺพชนฺติ, เต ราชาภินีตา นามฯ เต หิ รญฺญา พนฺธนํ อภินีตตฺตา ราชาภินีตา นามฯ เย ปน โจเรหิ อฎวิยํ คเหตฺวา เอกเจฺจสุ มาริยมาเนสุ เอกเจฺจ ‘‘มยํ สามิ ตุเมฺหหิ วิสฺสฎฺฐา เคหํ อนชฺฌาวสิตฺวา ปพฺพชิสฺสาม, ตตฺถ ยํ ยํ พุทฺธปูชาทิปุญฺญํ กริสฺสาม, ตโต ตุมฺหากํ ปตฺติํ ทสฺสามา’’ติ เตหิ วิสฺสฎฺฐา ปพฺพชนฺติ, เต โจราภินีตา นามฯ เตปิ หิ โจเรหิ มาเรตพฺพตํ อภินีตาติ โจราภินีตา นามฯ เย ปน อิณํ คเหตฺวา ปฎิทาตุํ อสโกฺกนฺตา ปลายิตฺวา ปพฺพชนฺติ, เต อิณฎฺฎา นาม, อิณปีฬิตาติ อโตฺถ ฯ อิณฎฺฐาติปิ ปาโฐ, อิเณ ฐิตาติ อโตฺถฯ เย ราชโจรฉาตกโรคภยานํ อญฺญตเรน อภิภูตา อุปทฺทุตา ปพฺพชนฺติ, เต ภยฎฺฎา นาม, ภยปีฬิตาติ อโตฺถฯ ภยฎฺฐาติปิ ปาโฐ, ภเย ฐิตาติ อโตฺถฯ อาชีวิกาปกตาติ อาชีวิกาย อุปทฺทุตา อภิภูตา, ปุตฺตทารํ โปเสตุํ อสโกฺกนฺตาติ อโตฺถฯ โอติณฺณามฺหาติ อโนฺต อนุปวิฎฺฐาฯ
Rājābhinītātiādīsu ye rañño santakaṃ khāditvā raññā bandhanāgāre bandhāpitā palāyitvā pabbajanti, te rājābhinītā nāma. Te hi raññā bandhanaṃ abhinītattā rājābhinītā nāma. Ye pana corehi aṭaviyaṃ gahetvā ekaccesu māriyamānesu ekacce ‘‘mayaṃ sāmi tumhehi vissaṭṭhā gehaṃ anajjhāvasitvā pabbajissāma, tattha yaṃ yaṃ buddhapūjādipuññaṃ karissāma, tato tumhākaṃ pattiṃ dassāmā’’ti tehi vissaṭṭhā pabbajanti, te corābhinītā nāma. Tepi hi corehi māretabbataṃ abhinītāti corābhinītā nāma. Ye pana iṇaṃ gahetvā paṭidātuṃ asakkontā palāyitvā pabbajanti, te iṇaṭṭā nāma, iṇapīḷitāti attho . Iṇaṭṭhātipi pāṭho, iṇe ṭhitāti attho. Ye rājacorachātakarogabhayānaṃ aññatarena abhibhūtā upaddutā pabbajanti, te bhayaṭṭā nāma, bhayapīḷitāti attho. Bhayaṭṭhātipi pāṭho, bhaye ṭhitāti attho. Ājīvikāpakatāti ājīvikāya upaddutā abhibhūtā, puttadāraṃ posetuṃ asakkontāti attho. Otiṇṇāmhāti anto anupaviṭṭhā.
โส จ โหติ อภิชฺฌาลูติ อิทํ โส กุลปุโตฺต ‘‘ทุกฺขสฺส อนฺตํ กริสฺสามี’’ติอาทิวเสน จิตฺตํ อุปฺปาเทตฺวา ปพฺพชิโต, อปรภาเค, ตํ ปพฺพชฺชํ ตถารูปํ กาตุํ น สโกฺกติ, ตํ ทเสฺสตุํ วุตฺตํฯ ตตฺถ อภิชฺฌาลูติ ปรภณฺฑานํ อภิชฺฌายิตาฯ ติพฺพสาราโคติ พหลราโคฯ พฺยาปนฺนจิโตฺตติ ปูติภาเวน วิปนฺนจิโตฺตฯ ปทุฎฺฐมนสงฺกโปฺปติ ติขิณสิโงฺค วิย โคโณ ทุฎฺฐจิโตฺตฯ มุฎฺฐสฺสตีติ ภตฺตนิกฺขิตฺตกาโก วิย นฎฺฐสฺสติ, อิธ กตํ เอตฺถ นสฺสติฯ อสมฺปชาโนติ นิปฺปโญฺญฯ ขนฺธาทิปริเจฺฉทรหิโตฯ อสมาหิโตติ จณฺฑโสเต พทฺธนาวา วิย อุปจารปฺปนาภาเวน อสณฺฐิโตฯ วิพฺภนฺตจิโตฺตติ พนฺธารุฬฺหมโค วิย สนฺตมโนฯ ปากตินฺทฺริโยติ ยถา คิหี ปุตฺตธีตโร โอโลเกโนฺต อสํวุตินฺทฺริโย โหติ, เอวํ อสํวุตินฺทฺริโยฯ
So ca hoti abhijjhālūti idaṃ so kulaputto ‘‘dukkhassa antaṃ karissāmī’’tiādivasena cittaṃ uppādetvā pabbajito, aparabhāge, taṃ pabbajjaṃ tathārūpaṃ kātuṃ na sakkoti, taṃ dassetuṃ vuttaṃ. Tattha abhijjhālūti parabhaṇḍānaṃ abhijjhāyitā. Tibbasārāgoti bahalarāgo. Byāpannacittoti pūtibhāvena vipannacitto. Paduṭṭhamanasaṅkappoti tikhiṇasiṅgo viya goṇo duṭṭhacitto. Muṭṭhassatīti bhattanikkhittakāko viya naṭṭhassati, idha kataṃ ettha nassati. Asampajānoti nippañño. Khandhādiparicchedarahito. Asamāhitoti caṇḍasote baddhanāvā viya upacārappanābhāvena asaṇṭhito. Vibbhantacittoti bandhāruḷhamago viya santamano. Pākatindriyoti yathā gihī puttadhītaro olokento asaṃvutindriyo hoti, evaṃ asaṃvutindriyo.
ฉวาลาตนฺติ ฉวานํ ทฑฺฒฎฺฐาเน อลาตํฯ อุภโตปทิตฺตํ มเชฺฌ คูถคตนฺติ ปมาเณน อฎฺฐงฺคุลมตฺตํ ทฺวีสุ ฐาเนสุ อาทิตฺตํ มเชฺฌ คูถมกฺขิตํฯ เนว คาเมติ สเจ หิ ตํ ยุคนงฺคลโคปานสิปกฺขปาสกาทีนํ อตฺถาย อุปเนตุํ สกฺกา อสฺส, คาเม กฎฺฐตฺถํ ผเรยฺยฯ สเจ เขตฺตกุฎิยํ กฎฺฐตฺถรมญฺจกาทีนํ อตฺถาย อุปเนตุํ สกฺกา, อรเญฺญ กฎฺฐตฺถํ ผเรยฺยฯ ยสฺมา ปน อุภยถาปิ น สกฺกา, ตสฺมา เอวํ วุตฺตํฯ คิหิโภคา จ ปริหีโนติ โย อคาเร วสเนฺตหิ คิหีหิ ทายเชฺช ภาชิยมาเน โภโค ลทฺธโพฺพ อสฺส, ตโต จ ปริหีโนฯ สามญฺญตฺถญฺจาติ อาจริยุปชฺฌายานํ โอวาเท ฐตฺวา ปริยตฺติปฎิเวธวเสน ปตฺตพฺพํ สามญฺญตฺถญฺจฯ อิมญฺจ ปน อุปมํ สตฺถา น ทุสฺสีลสฺส วเสน อาหริ, ปริสุทฺธสีลสฺส ปน อลสสฺส อภิชฺฌาทีหิ โทเสหิ อุปหตสฺส ปุคฺคลสฺส อิมํ อุปมํ อาหริฯ
Chavālātanti chavānaṃ daḍḍhaṭṭhāne alātaṃ. Ubhatopadittaṃ majjhe gūthagatanti pamāṇena aṭṭhaṅgulamattaṃ dvīsu ṭhānesu ādittaṃ majjhe gūthamakkhitaṃ. Neva gāmeti sace hi taṃ yuganaṅgalagopānasipakkhapāsakādīnaṃ atthāya upanetuṃ sakkā assa, gāme kaṭṭhatthaṃ phareyya. Sace khettakuṭiyaṃ kaṭṭhattharamañcakādīnaṃ atthāya upanetuṃ sakkā, araññe kaṭṭhatthaṃ phareyya. Yasmā pana ubhayathāpi na sakkā, tasmā evaṃ vuttaṃ. Gihibhogā ca parihīnoti yo agāre vasantehi gihīhi dāyajje bhājiyamāne bhogo laddhabbo assa, tato ca parihīno. Sāmaññatthañcāti ācariyupajjhāyānaṃ ovāde ṭhatvā pariyattipaṭivedhavasena pattabbaṃ sāmaññatthañca. Imañca pana upamaṃ satthā na dussīlassa vasena āhari, parisuddhasīlassa pana alasassa abhijjhādīhi dosehi upahatassa puggalassa imaṃ upamaṃ āhari.
ตโยเม, ภิกฺขเวติ กสฺมา อารทฺธํ? อิมสฺส ปุคฺคลสฺส ฉวาลาตสทิสภาโว เนว มาตาปิตูหิ กโต, น อาจริยุปชฺฌาเยหิ, อิเมหิ ปน ปาปวิตเกฺกหิ กโตติ ทสฺสนตฺถํ อารทฺธํฯ อนิมิตฺตํ วา สมาธินฺติ วิปสฺสนาสมาธิํฯ โส หิ นิจฺจนิมิตฺตาทีนํ สมุคฺฆาตเนน อนิมิโตฺตติ วุจฺจติฯ เอตฺถ จ จตฺตาโร สติปฎฺฐานา มิสฺสกา, อนิมิตฺตสมาธิ ปุพฺพภาโคฯ อนิมิตฺตสมาธิ วา มิสฺสโก, สติปฎฺฐานา ปุพฺพภาคาติ เวทิตพฺพาฯ
Tayome, bhikkhaveti kasmā āraddhaṃ? Imassa puggalassa chavālātasadisabhāvo neva mātāpitūhi kato, na ācariyupajjhāyehi, imehi pana pāpavitakkehi katoti dassanatthaṃ āraddhaṃ. Animittaṃ vā samādhinti vipassanāsamādhiṃ. So hi niccanimittādīnaṃ samugghātanena animittoti vuccati. Ettha ca cattāro satipaṭṭhānā missakā, animittasamādhi pubbabhāgo. Animittasamādhi vā missako, satipaṭṭhānā pubbabhāgāti veditabbā.
เทฺวมา, ภิกฺขเว, ทิฎฺฐิโยติ อิทํ ปน น เกวลํ อนิมิตฺตสมาธิภาวนา อิเมสํเยว ติณฺณํ มหาวิตกฺกานํ ปหานาย สํวตฺตติ, สสฺสตุเจฺฉททิฎฺฐีนมฺปิ ปน สมุคฺฆาตํ กโรตีติ ทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ น วชฺชวา อสฺสนฺติ นิโทฺทโส ภเวยฺยํฯ เสสเมตฺถ อุตฺตานเมวฯ อิติ ภควา อิมสฺมิมฺปิ สุเตฺต เทสนํ ตีหิ ภเวหิ วินิวเตฺตตฺวา อรหเตฺตน กูฎํ คณฺหิฯ เทสนาวสาเน ปญฺจสตา ภิกฺขู สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิํสูติฯ อฎฺฐมํฯ
Dvemā, bhikkhave, diṭṭhiyoti idaṃ pana na kevalaṃ animittasamādhibhāvanā imesaṃyeva tiṇṇaṃ mahāvitakkānaṃ pahānāya saṃvattati, sassatucchedadiṭṭhīnampi pana samugghātaṃ karotīti dassanatthaṃ vuttaṃ. Na vajjavā assanti niddoso bhaveyyaṃ. Sesamettha uttānameva. Iti bhagavā imasmimpi sutte desanaṃ tīhi bhavehi vinivattetvā arahattena kūṭaṃ gaṇhi. Desanāvasāne pañcasatā bhikkhū saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇiṃsūti. Aṭṭhamaṃ.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๘. ปิโณฺฑลฺยสุตฺตํ • 8. Piṇḍolyasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๘. ปิโณฺฑลฺยสุตฺตวณฺณนา • 8. Piṇḍolyasuttavaṇṇanā