English Edition
    Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Majjhima Nikāya, English translation

    มชฺฌิม นิกาย ๘๗

    The Middle-Length Suttas Collection 87

    ปิยชาติกสุตฺต

    Born From the Beloved

    เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมฯ

    So I have heard. At one time the Buddha was staying near Sāvatthī in Jeta’s Grove, Anāthapiṇḍika’s monastery.

    เตน โข ปน สมเยน อญฺญตรสฺส คหปติสฺส เอกปุตฺตโก ปิโย มนาโป กาลงฺกโต โหติฯ ตสฺส กาลงฺกิริยาย เนว กมฺมนฺตา ปฏิภนฺติ น ภตฺตํ ปฏิภาติฯ โส อาฬาหนํ คนฺตฺวา กนฺทติ: “กหํ, เอกปุตฺตก, กหํ, เอกปุตฺตกา”ติฯ

    Now at that time a certain householder’s dear and beloved only child passed away. After their death he didn’t feel like working or eating. He would go to the cemetery and wail, “Where are you, my only child? Where are you, my only child?”

    อถ โข โส คหปติ เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข ตํ คหปตึ ภควา เอตทโวจ: “น โข เต, คหปติ, สเก จิตฺเต ฐิตสฺส อินฺทฺริยานิ, อตฺถิ เต อินฺทฺริยานํ อญฺญถตฺตนฺ”ติฯ

    Then he went to the Buddha, bowed, and sat down to one side. The Buddha said to him, “Householder, you look like someone who’s not in their right mind; your faculties have deteriorated.”

    “กิญฺหิ เม, ภนฺเต, อินฺทฺริยานํ นาญฺญถตฺตํ ภวิสฺสติ; มยฺหญฺหิ, ภนฺเต, เอกปุตฺโต ปิโย มนาโป กาลงฺกโตฯ ตสฺส กาลงฺกิริยาย เนว กมฺมนฺตา ปฏิภนฺติ, น ภตฺตํ ปฏิภาติฯ โสหํ อาฬาหนํ คนฺตฺวา กนฺทามิ: ‘กหํ, เอกปุตฺตก, กหํ, เอกปุตฺตกา'”ติฯ

    “And how, sir, could my faculties not have deteriorated? For my dear and beloved only child has passed away. Since their death I haven’t felt like working or eating. I go to the cemetery and wail: ‘Where are you, my only child? Where are you, my only child?’”

    “เอวเมตํ, คหปติ, เอวเมตํ, คหปติฯ ปิยชาติกา หิ, คหปติ, โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา ปิยปฺปภวิกา”ติฯ

    “That’s so true, householder! That’s so true, householder! For our loved ones are a source of sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress.”

    “กสฺส โข นาเมตํ, ภนฺเต, เอวํ ภวิสฺสติ: ‘ปิยชาติกา โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา ปิยปฺปภวิกา'ติ? ปิยชาติกา หิ โข, ภนฺเต, อานนฺทโสมนสฺสา ปิยปฺปภวิกา”ติฯ อถ โข โส คหปติ ภควโต ภาสิตํ อนภินนฺทิตฺวา ปฏิกฺโกสิตฺวา อุฏฺฐายาสนา ปกฺกามิฯ

    “Sir, who on earth could ever think such a thing! For our loved ones are a source of joy and happiness.” Disagreeing with the Buddha’s statement, rejecting it, he got up from his seat and left.

    เตน โข ปน สมเยน สมฺพหุลา อกฺขธุตฺตา ภควโต อวิทูเร อกฺเขหิ ทิพฺพนฺติฯ อถ โข โส คหปติ เยน เต อกฺขธุตฺตา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อกฺขธุตฺเต เอตทโวจ: “อิธาหํ, โภนฺโต, เยน สมโณ โคตโม เตนุปสงฺกมึ; อุปสงฺกมิตฺวา สมณํ โคตมํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข มํ, โภนฺโต, สมโณ โคตโม เอตทโวจ: ‘น โข เต, คหปติ, สเก จิตฺเต ฐิตสฺส อินฺทฺริยานิ, อตฺถิ เต อินฺทฺริยานํ อญฺญถตฺตนฺ'ติฯ เอวํ วุตฺเต, อหํ, โภนฺโต, สมณํ โคตมํ เอตทโวจํ: ‘กิญฺหิ เม, ภนฺเต, อินฺทฺริยานํ นาญฺญถตฺตํ ภวิสฺสติ; มยฺหญฺหิ, ภนฺเต, เอกปุตฺตโก ปิโย มนาโป กาลงฺกโตฯ ตสฺส กาลงฺกิริยาย เนว กมฺมนฺตา ปฏิภนฺติ, น ภตฺตํ ปฏิภาติฯ โสหํ อาฬาหนํ คนฺตฺวา กนฺทามิ—กหํ, เอกปุตฺตก, กหํ, เอกปุตฺตกา'ติฯ ‘เอวเมตํ, คหปติ, เอวเมตํ, คหปติฯ ปิยชาติกา หิ, คหปติ, โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา ปิยปฺปภวิกา'ติฯ ‘กสฺส โข นาเมตํ, ภนฺเต, เอวํ ภวิสฺสติ—ปิยชาติกา โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา ปิยปฺปภวิกา? ปิยชาติกา หิ โข, ภนฺเต, อานนฺทโสมนสฺสา ปิยปฺปภวิกา'ติฯ อถ ขฺวาหํ, โภนฺโต, สมณสฺส โคตมสฺส ภาสิตํ อนภินนฺทิตฺวา ปฏิกฺโกสิตฺวา อุฏฺฐายาสนา ปกฺกมินฺ”ติฯ

    Now at that time several gamblers were playing dice not far from the Buddha. That householder approached them and told them what had happened.

    “เอวเมตํ, คหปติ, เอวเมตํ, คหปติฯ ปิยชาติกา หิ, คหปติ, อานนฺทโสมนสฺสา ปิยปฺปภวิกา”ติฯ

    “That’s so true, householder! That’s so true, householder! For our loved ones are a source of joy and happiness.”

    อถ โข โส คหปติ “สเมติ เม อกฺขธุตฺเตหี”ติ ปกฺกามิฯ

    Thinking, “The gamblers and I are in agreement,” the householder left.

    อถ โข อิทํ กถาวตฺถุ อนุปุพฺเพน ราชนฺเตปุรํ ปาวิสิฯ อถ โข ราชา ปเสนทิ โกสโล มลฺลิกํ เทวึ อามนฺเตสิ: “อิทํ เต, มลฺลิเก, สมเณน โคตเมน ภาสิตํ: ‘ปิยชาติกา โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา ปิยปฺปภวิกา'”ติฯ

    Eventually that topic of discussion reached the royal compound. Then King Pasenadi addressed Queen Mallikā, “Mallika, your ascetic Gotama said this: ‘Our loved ones are a source of sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress.’”

    “สเจตํ, มหาราช, ภควตา ภาสิตํ, เอวเมตนฺ”ติฯ

    “If that’s what the Buddha said, great king, then that’s how it is.”

    “เอวเมว ปนายํ มลฺลิกา ยญฺญเทว สมโณ โคตโม ภาสติ ตํ ตเทวสฺส อพฺภนุโมทติ: ‘สเจตํ, มหาราช, ภควตา ภาสิตํ เอวเมตนฺ'ติฯ เสยฺยถาปิ นาม, ยญฺญเทว อาจริโย อนฺเตวาสิสฺส ภาสติ ตํ ตเทวสฺส อนฺเตวาสี อพฺภนุโมทติ: ‘เอวเมตํ, อาจริย, เอวเมตํ, อาจริยา'ติฯ เอวเมว โข ตฺวํ, มลฺลิเก, ยญฺญเทว สมโณ โคตโม ภาสติ ตํ ตเทวสฺส อพฺภนุโมทสิ: ‘สเจตํ, มหาราช, ภควตา ภาสิตํ เอวเมตนฺ'ติฯ จร ปิเร, มลฺลิเก, วินสฺสา”ติฯ

    “No matter what the ascetic Gotama says, Mallikā agrees with him: ‘If that’s what the Buddha said, great king, then that’s how it is.’ You’re just like a student who agrees with everything their teacher says. Go away, Mallikā, get out of here!”

    อถ โข มลฺลิกา เทวี นาฬิชงฺฆํ พฺราหฺมณํ อามนฺเตสิ: “เอหิ ตฺวํ, พฺราหฺมณ, เยน ภควา เตนุปสงฺกม; อุปสงฺกมิตฺวา มม วจเนน ภควโต ปาเท สิรสา วนฺทาหิ, อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฏฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉ: ‘มลฺลิกา, ภนฺเต, เทวี ภควโต ปาเท สิรสา วนฺทติ, อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฏฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉตี'ติ; เอวญฺจ วเทหิ: ‘ภาสิตา นุ โข, ภนฺเต, ภควตา เอสา วาจา—ปิยชาติกา โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา ปิยปฺปภวิกา'ติฯ ยถา เต ภควา พฺยากโรติ ตํ สาธุกํ อุคฺคเหตฺวา มม อาโรเจยฺยาสิฯ น หิ ตถาคตา วิตถํ ภณนฺตี”ติฯ

    Then Queen Mallikā addressed the brahmin Nāḷijaṅgha, “Please, brahmin, go to the Buddha, and in my name bow with your head to his feet. Ask him if he is healthy and well, nimble, strong, and living comfortably. And then say: ‘Sir, did the Buddha make this statement: “Our loved ones are a source of sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress”?’ Remember well how the Buddha answers and tell it to me. For Realized Ones say nothing that is not so.”

    “เอวํ, โภตี”ติ โข นาฬิชงฺโฆ พฺราหฺมโณ มลฺลิกาย เทวิยา ปฏิสฺสุตฺวา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควตา สทฺธึ สมฺโมทิฯ สมฺโมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข นาฬิชงฺโฆ พฺราหฺมโณ ภควนฺตํ เอตทโวจ: “มลฺลิกา, โภ โคตม, เทวี โภโต โคตมสฺส ปาเท สิรสา วนฺทติ; อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฏฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉติ; เอวญฺจ วเทติ: ‘ภาสิตา นุ โข, ภนฺเต, ภควตา เอสา วาจา—ปิยชาติกา โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา ปิยปฺปภวิกา'”ติฯ

    “Yes, ma’am,” he replied. He went to the Buddha and exchanged greetings with him. When the greetings and polite conversation were over, he sat down to one side and said to the Buddha, “Master Gotama, Queen Mallikā bows with her head to your feet. She asks if you are healthy and well, nimble, strong, and living comfortably. And she asks whether the Buddha made this statement: ‘Our loved ones are a source of sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress.’”

    “เอวเมตํ, พฺราหฺมณ, เอวเมตํ, พฺราหฺมณฯ ปิยชาติกา หิ, พฺราหฺมณ, โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา ปิยปฺปภวิกาติฯ

    “That’s right, brahmin, that’s right! For our loved ones are a source of sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress.

    ตทมินาเปตํ, พฺราหฺมณ, ปริยาเยน เวทิตพฺพํ ยถา ปิยชาติกา โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา ปิยปฺปภวิกาฯ ภูตปุพฺพํ, พฺราหฺมณ, อิมิสฺสาเยว สาวตฺถิยา อญฺญตริสฺสา อิตฺถิยา มาตา กาลมกาสิฯ สา ตสฺสา กาลกิริยาย อุมฺมตฺติกา ขิตฺตจิตฺตา รถิกาย รถิกํ สิงฺฆาฏเกน สิงฺฆาฏกํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวมาห: ‘อปิ เม มาตรํ อทฺทสฺสถ, อปิ เม มาตรํ อทฺทสฺสถา'ติ?

    And here’s a way to understand how our loved ones are a source of sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress. Once upon a time right here in Sāvatthī a certain woman’s mother passed away. And because of that she went mad and lost her mind. She went from street to street and from square to square saying, ‘Has anyone seen my mother? Has anyone seen my mother?’

    อิมินาปิ โข เอตํ, พฺราหฺมณ, ปริยาเยน เวทิตพฺพํ ยถา ปิยชาติกา โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา ปิยปฺปภวิกาติฯ

    And here’s another way to understand how our loved ones are a source of sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress.

    ภูตปุพฺพํ, พฺราหฺมณ, อิมิสฺสาเยว สาวตฺถิยา อญฺญตริสฺสา อิตฺถิยา ปิตา กาลมกาสิ … ภาตา กาลมกาสิ … ภคินี กาลมกาสิ … ปุตฺโต กาลมกาสิ … ธีตา กาลมกาสิ … สามิโก กาลมกาสิฯ สา ตสฺส กาลกิริยาย อุมฺมตฺติกา ขิตฺตจิตฺตา รถิกาย รถิกํ สิงฺฆาฏเกน สิงฺฆาฏกํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวมาห: ‘อปิ เม สามิกํ อทฺทสฺสถ, อปิ เม สามิกํ อทฺทสฺสถา'ติ?

    Once upon a time right here in Sāvatthī a certain woman’s father … brother … sister … son … daughter … husband passed away. And because of that she went mad and lost her mind. She went from street to street and from square to square saying, ‘Has anyone seen my husband? Has anyone seen my husband?’

    อิมินาปิ โข เอตํ, พฺราหฺมณ, ปริยาเยน เวทิตพฺพํ ยถา ปิยชาติกา โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา ปิยปฺปภวิกาติฯ

    And here’s another way to understand how our loved ones are a source of sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress.

    ภูตปุพฺพํ, พฺราหฺมณ, อิมิสฺสาเยว สาวตฺถิยา อญฺญตรสฺส ปุริสสฺส มาตา กาลมกาสิฯ โส ตสฺสา กาลกิริยาย อุมฺมตฺตโก ขิตฺตจิตฺโต รถิกาย รถิกํ สิงฺฆาฏเกน สิงฺฆาฏกํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวมาห: ‘อปิ เม มาตรํ อทฺทสฺสถ, อปิ เม มาตรํ อทฺทสฺสถา'ติ? อิมินาปิ โข เอตํ, พฺราหฺมณ, ปริยาเยน เวทิตพฺพํ ยถา ปิยชาติกา โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา ปิยปฺปภวิกาติฯ ภูตปุพฺพํ, พฺราหฺมณ, อิมิสฺสาเยว สาวตฺถิยา อญฺญตรสฺส ปุริสสฺส ปิตา กาลมกาสิ … ภาตา กาลมกาสิ … ภคินี กาลมกาสิ … ปุตฺโต กาลมกาสิ … ธีตา กาลมกาสิ … ปชาปติ กาลมกาสิฯ โส ตสฺสา กาลกิริยาย อุมฺมตฺตโก ขิตฺตจิตฺโต รถิกาย รถิกํ สิงฺฆาฏเกน สิงฺฆาฏกํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวมาห: ‘อปิ เม ปชาปตึ อทฺทสฺสถ, อปิ เม ปชาปตึ อทฺทสฺสถา'ติ?

    Once upon a time right here in Sāvatthī a certain man’s mother … father … brother … sister … son … daughter … wife passed away. And because of that he went mad and lost his mind. He went from street to street and from square to square saying, ‘Has anyone seen my wife? Has anyone seen my wife?’

    อิมินาปิ โข เอตํ, พฺราหฺมณ, ปริยาเยน เวทิตพฺพํ ยถา ปิยชาติกา โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา ปิยปฺปภวิกาติฯ

    And here’s another way to understand how our loved ones are a source of sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress.

    ภูตปุพฺพํ, พฺราหฺมณ, อิมิสฺสาเยว สาวตฺถิยา อญฺญตรา อิตฺถี ญาติกุลํ อคมาสิฯ ตสฺสา เต ญาตกา สามิกํ อจฺฉินฺทิตฺวา อญฺญสฺส ทาตุกามาฯ สา จ ตํ น อิจฺฉติฯ อถ โข สา อิตฺถี สามิกํ เอตทโวจ: ‘อิเม, มํ, อยฺยปุตฺต, ญาตกา ตฺวํ อจฺฉินฺทิตฺวา อญฺญสฺส ทาตุกามาฯ อหญฺจ ตํ น อิจฺฉามี'ติฯ อถ โข โส ปุริโส ตํ อิตฺถึ ทฺวิธา เฉตฺวา อตฺตานํ อุปฺผาเลสิ: ‘อุโภ เปจฺจ ภวิสฺสามา'ติฯ อิมินาปิ โข เอตํ, พฺราหฺมณ, ปริยาเยน เวทิตพฺพํ ยถา ปิยชาติกา โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา ปิยปฺปภวิกา”ติฯ

    Once upon a time right here in Sāvatthī a certain woman went to live with her relative’s family. But her relatives wanted to divorce her from her husband and give her to another, who she didn’t want. So she told her husband about this. But he cut her in two and disemboweled himself, thinking, ‘We shall be together after death.’ That’s another way to understand how our loved ones are a source of sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress.”

    อถ โข นาฬิชงฺโฆ พฺราหฺมโณ ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา อุฏฺฐายาสนา เยน มลฺลิกา เทวี เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ยาวตโก อโหสิ ภควตา สทฺธึ กถาสลฺลาโป ตํ สพฺพํ มลฺลิกาย เทวิยา อาโรเจสิฯ อถ โข มลฺลิกา เทวี เยน ราชา ปเสนทิ โกสโล เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ราชานํ ปเสนทึ โกสลํ เอตทโวจ: “ตํ กึ มญฺญสิ, มหาราช, ปิยา เต วชิรี กุมารี”ติ?

    Then Nāḷijaṅgha the brahmin, having approved and agreed with what the Buddha said, got up from his seat, went to Queen Mallikā, and told her of all they had discussed. Then Queen Mallikā approached King Pasenadi and said to him, “What do you think, great king? Do you love Princess Vajirī?”

    “เอวํ, มลฺลิเก, ปิยา เม วชิรี กุมารี”ติฯ

    “Indeed I do, Mallikā.”

    “ตํ กึ มญฺญสิ, มหาราช, วชิริยา เต กุมาริยา วิปริณามญฺญถาภาวา อุปฺปชฺเชยฺยุํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา”ติ?

    “What do you think, great king? If she were to decay and perish, would sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress arise in you?”

    “วชิริยา เม, มลฺลิเก, กุมาริยา วิปริณามญฺญถาภาวา ชีวิตสฺสปิ สิยา อญฺญถตฺตํ, กึ ปน เม น อุปฺปชฺชิสฺสนฺติ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา”ติ?

    “If she were to decay and perish, my life would fall apart. How could sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress not arise in me?”

    “อิทํ โข ตํ, มหาราช, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน สนฺธาย ภาสิตํ: ‘ปิยชาติกา โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา ปิยปฺปภวิกา'ติฯ

    “This is what the Buddha was referring to when he said: ‘Our loved ones are a source of sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress.’

    ตํ กึ มญฺญสิ, มหาราช, ปิยา เต วาสภา ขตฺติยา”ติ? “เอวํ, มลฺลิเก, ปิยา เม วาสภา ขตฺติยา”ติฯ “ตํ กึ มญฺญสิ, มหาราช, วาสภาย เต ขตฺติยาย วิปริณามญฺญถาภาวา อุปฺปชฺเชยฺยุํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา”ติ? “วาสภาย เม, มลฺลิเก, ขตฺติยาย วิปริณามญฺญถาภาวา ชีวิตสฺสปิ สิยา อญฺญถตฺตํ, กึ ปน เม น อุปฺปชฺชิสฺสนฺติ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา”ติ? “อิทํ โข ตํ, มหาราช, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน สนฺธาย ภาสิตํ: ‘ปิยชาติกา โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา ปิยปฺปภวิกา'ติฯ

    What do you think, great king? Do you love Lady Vāsabhā? …

    ตํ กึ มญฺญสิ, มหาราช, ปิโย เต วิฏฏูโภ เสนาปตี”ติ? “เอวํ, มลฺลิเก, ปิโย เม วิฏฏูโภ เสนาปตี”ติฯ “ตํ กึ มญฺญสิ, มหาราช, วิฏฏูภสฺส เต เสนาปติสฺส วิปริณามญฺญถาภาวา อุปฺปชฺเชยฺยุํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา”ติ? “วิฏฏูภสฺส เม, มลฺลิเก, เสนาปติสฺส วิปริณามญฺญถาภาวา ชีวิตสฺสปิ สิยา อญฺญถตฺตํ, กึ ปน เม น อุปฺปชฺชิสฺสนฺติ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา”ติ? “อิทํ โข ตํ, มหาราช, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน สนฺธาย ภาสิตํ: ‘ปิยชาติกา โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา ปิยปฺปภวิกา'ติฯ

    Do you love your son, General Viḍūḍabha? …

    ตํ กึ มญฺญสิ, มหาราช, ปิยา เต อหนฺ”ติ?

    Do you love me?”

    “เอวํ, มลฺลิเก, ปิยา เมสิ ตฺวนฺ”ติฯ

    “Indeed I do love you, Mallikā.”

    “ตํ กึ มญฺญสิ, มหาราช, มยฺหํ เต วิปริณามญฺญถาภาวา อุปฺปชฺเชยฺยุํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา”ติ?

    “What do you think, great king? If I were to decay and perish, would sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress arise in you?”

    “ตุยฺหญฺหิ เม, มลฺลิเก, วิปริณามญฺญถาภาวา ชีวิตสฺสปิ สิยา อญฺญถตฺตํ, กึ ปน เม น อุปฺปชฺชิสฺสนฺติ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา”ติ?

    “If you were to decay and perish, my life would fall apart. How could sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress not arise in me?”

    “อิทํ โข ตํ, มหาราช, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน สนฺธาย ภาสิตํ: ‘ปิยชาติกา โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา ปิยปฺปภวิกา'ติฯ

    “This is what the Buddha was referring to when he said: ‘Our loved ones are a source of sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress.’

    ตํ กึ มญฺญสิ, มหาราช, ปิยา เต กาสิโกสลา”ติ?

    What do you think, great king? Do you love the realms of Kāsi and Kosala?”

    “เอวํ, มลฺลิเก, ปิยา เม กาสิโกสลาฯ กาสิโกสลานํ, มลฺลิเก, อานุภาเวน กาสิกจนฺทนํ ปจฺจนุโภม, มาลาคนฺธวิเลปนํ ธาเรมา”ติฯ

    “Indeed I do, Mallikā. It’s due to the bounty of Kāsi and Kosala that we use sandalwood imported from Kāsi and wear garlands, perfumes, and makeup.”

    “ตํ กึ มญฺญสิ, มหาราช, กาสิโกสลานํ เต วิปริณามญฺญถาภาวา อุปฺปชฺเชยฺยุํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา”ติ?

    “What do you think, great king? If these realms were to decay and perish, would sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress arise in you?”

    “กาสิโกสลานญฺหิ, มลฺลิเก, วิปริณามญฺญถาภาวา ชีวิตสฺสปิ สิยา อญฺญถตฺตํ, กึ ปน เม น อุปฺปชฺชิสฺสนฺติ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา”ติ?

    “If they were to decay and perish, my life would fall apart. How could sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress not arise in me?”

    “อิทํ โข ตํ, มหาราช, เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน สนฺธาย ภาสิตํ: ‘ปิยชาติกา โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา ปิยปฺปภวิกา'”ติฯ

    “This is what the Buddha was referring to when he said: ‘Our loved ones are a source of sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress.’”

    “อจฺฉริยํ, มลฺลิเก, อพฺภุตํ, มลฺลิเกฯ ยาวญฺจ โส ภควา ปญฺญาย อติวิชฺฌ มญฺเญ ปสฺสติฯ เอหิ, มลฺลิเก, อาจเมหี”ติฯ

    “It’s incredible, Mallikā, it’s amazing, how far the Buddha sees with penetrating wisdom, it seems to me. Come, Mallikā, rinse my hands.”

    อถ โข ราชา ปเสนทิ โกสโล อุฏฺฐายาสนา เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา เยน ภควา เตนญฺชลึ ปณาเมตฺวา ติกฺขตฺตุํ อุทานํ อุทาเนสิ:

    Then King Pasenadi got up from his seat, arranged his robe over one shoulder, raised his joined palms toward the Buddha, and expressed this heartfelt sentiment three times:

    “นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ

    “Homage to that Blessed One, the perfected one, the fully awakened Buddha!

    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ

    Homage to that Blessed One, the perfected one, the fully awakened Buddha!

    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสา”ติฯ

    Homage to that Blessed One, the perfected one, the fully awakened Buddha!”

    ปิยชาติกสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ สตฺตมํฯ





    The authoritative text of the Majjhima Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]


    © 1991-2024 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact