Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Dīgha Nikāya, English translation

    ทีฆ นิกาย ๙

    Long Discourses 9

    โปฏฺฐปาทสุตฺต

    With Poṭṭhapāda

    ๑ฯ โปฏฺฐปาทปริพฺพาชกวตฺถุ

    1. On the Wanderer Poṭṭhapāda

    เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมฯ

    So I have heard. At one time the Buddha was staying near Sāvatthī in Jeta’s Grove, Anāthapiṇḍika’s monastery.

    เตน โข ปน สมเยน โปฏฺฐปาโท ปริพฺพาชโก สมยปฺปวาทเก ตินฺทุกาจีเร เอกสาลเก มลฺลิกาย อาราเม ปฏิวสติ มหติยา ปริพฺพาชกปริสาย สทฺธึ ตึสมตฺเตหิ ปริพฺพาชกสเตหิฯ อถ โข ภควา ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย สาวตฺถึ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ

    Now at that time the wanderer Poṭṭhapāda was residing together with three hundred wanderers in Mallikā’s single-halled monastery for philosophical debates, hedged by pale-moon ebony trees. Then the Buddha robed up in the morning and, taking his bowl and robe, entered Sāvatthī for alms.

    อถ โข ภควโต เอตทโหสิ: “อติปฺปโค โข ตาว สาวตฺถิยํ ปิณฺฑาย จริตุํฯ ยนฺนูนาหํ เยน สมยปฺปวาทโก ตินฺทุกาจีโร เอกสาลโก มลฺลิกาย อาราโม, เยน โปฏฺฐปาโท ปริพฺพาชโก เตนุปสงฺกเมยฺยนฺ”ติฯ อถ โข ภควา เยน สมยปฺปวาทโก ตินฺทุกาจีโร เอกสาลโก มลฺลิกาย อาราโม เตนุปสงฺกมิฯ

    Then it occurred to him, “It’s too early to wander for alms in Sāvatthī. Why don’t I go to Mallikā’s monastery to visit the wanderer Poṭṭhapāda?” So that’s what he did.

    เตน โข ปน สมเยน โปฏฺฐปาโท ปริพฺพาชโก มหติยา ปริพฺพาชกปริสาย สทฺธึ นิสินฺโน โหติ อุนฺนาทินิยา อุจฺจาสทฺทมหาสทฺทาย อเนกวิหิตํ ติรจฺฉานกถํ กเถนฺติยาฯ เสยฺยถิทํ—ราชกถํ โจรกถํ มหามตฺตกถํ เสนากถํ ภยกถํ ยุทฺธกถํ อนฺนกถํ ปานกถํ วตฺถกถํ สยนกถํ มาลากถํ คนฺธกถํ ญาติกถํ ยานกถํ คามกถํ นิคมกถํ นครกถํ ชนปทกถํ อิตฺถิกถํ สูรกถํ วิสิขากถํ กุมฺภฏฺฐานกถํ ปุพฺพเปตกถํ นานตฺตกถํ โลกกฺขายิกํ สมุทฺทกฺขายิกํ อิติภวาภวกถํ อิติ วาฯ

    Now at that time, Poṭṭhapāda was sitting together with a large assembly of wanderers making an uproar, a dreadful racket. They engaged in all kinds of low talk, such as talk about kings, bandits, and ministers; talk about armies, threats, and wars; talk about food, drink, clothes, and beds; talk about garlands and fragrances; talk about family, vehicles, villages, towns, cities, and countries; talk about women and heroes; street talk and well talk; talk about the departed; motley talk; tales of land and sea; and talk about being reborn in this or that state of existence.

    อทฺทสา โข โปฏฺฐปาโท ปริพฺพาชโก ภควนฺตํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํ; ทิสฺวาน สกํ ปริสํ สณฺฐเปสิ: “อปฺปสทฺทา โภนฺโต โหนฺตุ, มา โภนฺโต สทฺทมกตฺถฯ อยํ สมโณ โคตโม อาคจฺฉติฯ อปฺปสทฺทกาโม โข โส อายสฺมา อปฺปสทฺทสฺส วณฺณวาทีฯ อปฺเปว นาม อปฺปสทฺทํ ปริสํ วิทิตฺวา อุปสงฺกมิตพฺพํ มญฺเญยฺยา”ติฯ เอวํ วุตฺเต, เต ปริพฺพาชกา ตุณฺหี อเหสุํฯ

    Poṭṭhapāda saw the Buddha coming off in the distance, and hushed his own assembly, “Be quiet, good sirs, don’t make a sound. Here comes the ascetic Gotama. The venerable likes quiet and praises quiet. Hopefully if he sees that our assembly is quiet he’ll see fit to approach.” Then those wanderers fell silent.

    อถ โข ภควา เยน โปฏฺฐปาโท ปริพฺพาชโก เตนุปสงฺกมิฯ อถ โข โปฏฺฐปาโท ปริพฺพาชโก ภควนฺตํ เอตทโวจ: “เอตุ โข, ภนฺเต, ภควาฯ สฺวาคตํ, ภนฺเต, ภควโตฯ จิรสฺสํ โข, ภนฺเต, ภควา อิมํ ปริยายมกาสิ, ยทิทํ อิธาคมนายฯ นิสีทตุ, ภนฺเต, ภควา, อิทํ อาสนํ ปญฺญตฺตนฺ”ติฯ

    Then the Buddha approached Poṭṭhapāda, who said to him, “Let the Blessed One come, sir! Welcome to the Blessed One, sir! It’s been a long time since you took the opportunity to come here. Please, sir, sit down, this seat is ready.”

    นิสีทิ ภควา ปญฺญตฺเต อาสเนฯ โปฏฺฐปาโทปิ โข ปริพฺพาชโก อญฺญตรํ นีจํ อาสนํ คเหตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข โปฏฺฐปาทํ ปริพฺพาชกํ ภควา เอตทโวจ: “กาย นุตฺถ, โปฏฺฐปาท, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา, กา จ ปน โว อนฺตรากถา วิปฺปกตา”ติ?

    The Buddha sat on the seat spread out, while Poṭṭhapāda took a low seat and sat to one side. The Buddha said to him, “Poṭṭhapāda, what were you sitting talking about just now? What conversation was left unfinished?”

    ๑ฯ๑ฯ อภิสญฺญานิโรธกถา

    1.1. On the Cessation of Perception

    เอวํ วุตฺเต, โปฏฺฐปาโท ปริพฺพาชโก ภควนฺตํ เอตทโวจ: “ติฏฺฐเตสา, ภนฺเต, กถา, ยาย มยํ เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนาฯ เนสา, ภนฺเต, กถา ภควโต ทุลฺลภา ภวิสฺสติ ปจฺฉาปิ สวนายฯ

    When he said this, the wanderer Poṭṭhapāda said to the Buddha, “Sir, leave aside what we were sitting talking about just now. It won’t be hard for you to hear about that later.

    ปุริมานิ, ภนฺเต, ทิวสานิ ปุริมตรานิ, นานาติตฺถิยานํ สมณพฺราหฺมณานํ โกตูหลสาลาย สนฺนิสินฺนานํ สนฺนิปติตานํ อภิสญฺญานิโรเธ กถา อุทปาทิ: ‘กถํ นุ โข, โภ, อภิสญฺญานิโรโธ โหตี'ติ?

    Sir, a few days ago several ascetics and brahmins who follow various other religions were sitting together at the debating hall, and a discussion about the cessation of perception came up among them: ‘How does the cessation of perception happen?’

    ตเตฺรกจฺเจ เอวมาหํสุ: ‘อเหตู อปฺปจฺจยา ปุริสสฺส สญฺญา อุปฺปชฺชนฺติปิ นิรุชฺฌนฺติปิฯ ยสฺมึ สมเย อุปฺปชฺชนฺติ, สญฺญี ตสฺมึ สมเย โหติฯ ยสฺมึ สมเย นิรุชฺฌนฺติ, อสญฺญี ตสฺมึ สมเย โหตี'ติฯ อิตฺเถเก อภิสญฺญานิโรธํ ปญฺญเปนฺติฯ

    Some of them said: ‘A person’s perceptions arise and cease without cause or reason. When they arise, you become percipient. When they cease, you become non-percipient.’ That’s how some describe the cessation of perception.

    ตมญฺโญ เอวมาห: ‘น โข ปน เมตํ, โภ, เอวํ ภวิสฺสติฯ สญฺญา หิ, โภ, ปุริสสฺส อตฺตาฯ สา จ โข อุเปติปิ อเปติปิฯ ยสฺมึ สมเย อุเปติ, สญฺญี ตสฺมึ สมเย โหติฯ ยสฺมึ สมเย อเปติ, อสญฺญี ตสฺมึ สมเย โหตี'ติฯ อิตฺเถเก อภิสญฺญานิโรธํ ปญฺญเปนฺติฯ

    But someone else says: ‘That’s not how it is, good sirs! Perception is a person’s self, which enters and departs. When it enters, you become percipient. When it departs, you become non-percipient.’ That’s how some describe the cessation of perception.

    ตมญฺโญ เอวมาห: ‘น โข ปน เมตํ, โภ, เอวํ ภวิสฺสติฯ สนฺติ หิ, โภ, สมณพฺราหฺมณา มหิทฺธิกา มหานุภาวาฯ เต อิมสฺส ปุริสสฺส สญฺญํ อุปกฑฺฒนฺติปิ อปกฑฺฒนฺติปิฯ ยสฺมึ สมเย อุปกฑฺฒนฺติ, สญฺญี ตสฺมึ สมเย โหติฯ ยสฺมึ สมเย อปกฑฺฒนฺติ, อสญฺญี ตสฺมึ สมเย โหตี'ติฯ อิตฺเถเก อภิสญฺญานิโรธํ ปญฺญเปนฺติฯ

    But someone else says: ‘That’s not how it is, good sirs! There are ascetics and brahmins of great power and might. They insert and extract a person’s perception. When they insert it, you become percipient. When they extract it, you become non-percipient.’ That’s how some describe the cessation of perception.

    ตมญฺโญ เอวมาห: ‘น โข ปน เมตํ, โภ, เอวํ ภวิสฺสติฯ สนฺติ หิ, โภ, เทวตา มหิทฺธิกา มหานุภาวาฯ ตา อิมสฺส ปุริสสฺส สญฺญํ อุปกฑฺฒนฺติปิ อปกฑฺฒนฺติปิฯ ยสฺมึ สมเย อุปกฑฺฒนฺติ, สญฺญี ตสฺมึ สมเย โหติฯ ยสฺมึ สมเย อปกฑฺฒนฺติ, อสญฺญี ตสฺมึ สมเย โหตี'ติฯ อิตฺเถเก อภิสญฺญานิโรธํ ปญฺญเปนฺติฯ

    But someone else says: ‘That’s not how it is, good sirs! There are deities of great power and might. They insert and extract a person’s perception. When they insert it, you become percipient. When they extract it, you become non-percipient.’ That’s how some describe the cessation of perception.

    ตสฺส มยฺหํ, ภนฺเต, ภควนฺตํเยว อารพฺภ สติ อุทปาทิ: ‘อโห นูน ภควา, อโห นูน สุคโต, โย อิเมสํ ธมฺมานํ สุกุสโล'ติฯ ภควา, ภนฺเต, กุสโล, ภควา ปกตญฺญู อภิสญฺญานิโรธสฺสฯ กถํ นุ โข, ภนฺเต, อภิสญฺญานิโรโธ โหตี”ติ?

    That reminded me of the Buddha: ‘Surely it must be the Blessed One, the Holy One who is so very skilled in such matters.’ The Buddha is skilled and well-versed concerning the cessation of perception. How does the cessation of perception happen?”

    ๑ฯ๒ฯ สเหตุกสญฺญุปฺปาทนิโรธกถา

    1.2. Perception Arises With a Cause

    “ตตฺร, โปฏฺฐปาท, เย เต สมณพฺราหฺมณา เอวมาหํสุ: ‘อเหตู อปฺปจฺจยา ปุริสสฺส สญฺญา อุปฺปชฺชนฺติปิ นิรุชฺฌนฺติปี'ติ, อาทิโตว เตสํ อปรทฺธํฯ ตํ กิสฺส เหตุ? สเหตู หิ, โปฏฺฐปาท, สปฺปจฺจยา ปุริสสฺส สญฺญา อุปฺปชฺชนฺติปิ นิรุชฺฌนฺติปิฯ สิกฺขา เอกา สญฺญา อุปฺปชฺชติ, สิกฺขา เอกา สญฺญา นิรุชฺฌติฯ

    “Regarding this, Poṭṭhapāda, those ascetics and brahmins who say that a person’s perceptions arise and cease without cause or reason are wrong from the start. Why is that? Because a person’s perceptions arise and cease with cause and reason. With training, certain perceptions arise and certain perceptions cease.

    กา จ สิกฺขา”ติ? ภควา อโวจฯ

    And what is that training?” said the Buddha.

    “อิธ, โปฏฺฐปาท, ตถาคโต โลเก อุปฺปชฺชติ อรหํ, สมฺมาสมฺพุทฺโธ …เป… เอวํ โข, โปฏฺฐปาท, ภิกฺขุ สีลสมฺปนฺโน โหติ …เป…

    “It’s when a Realized One arises in the world, perfected, a fully awakened Buddha … That’s how a bhikkhu is accomplished in ethics. …

    ตสฺสิเม ปญฺจนีวรเณ ปหีเน อตฺตนิ สมนุปสฺสโต ปาโมชฺชํ ชายติ, ปมุทิตสฺส ปีติ ชายติ, ปีติมนสฺส กาโย ปสฺสมฺภติ, ปสฺสทฺธกาโย สุขํ เวเทติ, สุขิโน จิตฺตํ สมาธิยติฯ

    Seeing that the hindrances have been given up in them, joy springs up. Being joyful, rapture springs up. When the mind is full of rapture, the body becomes tranquil. When the body is tranquil, they feel bliss. And when blissful, the mind becomes immersed.

    โส วิวิจฺเจว กาเมหิ, วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ, สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ ตสฺส ยา ปุริมา กามสญฺญา, สา นิรุชฺฌติฯ วิเวกชปีติสุขสุขุมสจฺจสญฺญา ตสฺมึ สมเย โหติ, วิเวกชปีติสุขสุขุมสจฺจสญฺญีเยว ตสฺมึ สมเย โหติฯ เอวมฺปิ สิกฺขา เอกา สญฺญา อุปฺปชฺชติ, สิกฺขา เอกา สญฺญา นิรุชฺฌติฯ อยํ สิกฺขา”ติ ภควา อโวจฯ

    Quite secluded from sensual pleasures, secluded from unskillful qualities, they enter and remain in the first jhāna, which has the rapture and bliss born of seclusion, while placing the mind and keeping it connected. The sensual perception that they had previously ceases. At that time they have a subtle and true perception of the rapture and bliss born of seclusion. That’s how, with training, certain perceptions arise and certain perceptions cease. And this is that training,” said the Buddha.

    “ปุน จปรํ, โปฏฺฐปาท, ภิกฺขุ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา อชฺฌตฺตํ สมฺปสาทนํ เจตโส เอโกทิภาวํ อวิตกฺกํ อวิจารํ สมาธิชํ ปีติสุขํ ทุติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ ตสฺส ยา ปุริมา วิเวกชปีติสุขสุขุมสจฺจสญฺญา, สา นิรุชฺฌติฯ สมาธิชปีติสุขสุขุมสจฺจสญฺญา ตสฺมึ สมเย โหติ, สมาธิชปีติสุขสุขุมสจฺจสญฺญีเยว ตสฺมึ สมเย โหติฯ เอวมฺปิ สิกฺขา เอกา สญฺญา อุปฺปชฺชติ, สิกฺขา เอกา สญฺญา นิรุชฺฌติฯ อยมฺปิ สิกฺขา”ติ ภควา อโวจฯ

    “Furthermore, as the placing of the mind and keeping it connected are stilled, a bhikkhu enters and remains in the second jhāna, which has the rapture and bliss born of immersion, with internal clarity and mind at one, without placing the mind and keeping it connected. The subtle and true perception of the rapture and bliss born of seclusion that they had previously ceases. At that time they have a subtle and true perception of the rapture and bliss born of immersion. That’s how, with training, certain perceptions arise and certain perceptions cease. And this is that training,” said the Buddha.

    “ปุน จปรํ, โปฏฺฐปาท, ภิกฺขุ ปีติยา จ วิราคา อุเปกฺขโก จ วิหรติ สโต จ สมฺปชาโน, สุขญฺจ กาเยน ปฏิสํเวเทติ, ยํ ตํ อริยา อาจิกฺขนฺติ: ‘อุเปกฺขโก สติมา สุขวิหารี'ติ, ตติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ ตสฺส ยา ปุริมา สมาธิชปีติสุขสุขุมสจฺจสญฺญา, สา นิรุชฺฌติฯ อุเปกฺขาสุขสุขุมสจฺจสญฺญา ตสฺมึ สมเย โหติ, อุเปกฺขาสุขสุขุมสจฺจสญฺญีเยว ตสฺมึ สมเย โหติฯ เอวมฺปิ สิกฺขา เอกา สญฺญา อุปฺปชฺชติ, สิกฺขา เอกา สญฺญา นิรุชฺฌติฯ อยมฺปิ สิกฺขา”ติ ภควา อโวจฯ

    “Furthermore, with the fading away of rapture, a bhikkhu enters and remains in the third jhāna, where they meditate with equanimity, mindful and aware, personally experiencing the bliss of which the noble ones declare, ‘Equanimous and mindful, one meditates in bliss.’ The subtle and true perception of the rapture and bliss born of immersion that they had previously ceases. At that time they have a subtle and true perception of bliss with equanimity. That’s how, with training, certain perceptions arise and certain perceptions cease. And this is that training,” said the Buddha.

    “ปุน จปรํ, โปฏฺฐปาท, ภิกฺขุ สุขสฺส จ ปหานา ทุกฺขสฺส จ ปหานา ปุพฺเพว โสมนสฺสโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมา อทุกฺขมสุขํ อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธึ จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ ตสฺส ยา ปุริมา อุเปกฺขาสุขสุขุมสจฺจสญฺญา, สา นิรุชฺฌติฯ อทุกฺขมสุขสุขุมสจฺจสญฺญา ตสฺมึ สมเย โหติ, อทุกฺขมสุขสุขุมสจฺจสญฺญีเยว ตสฺมึ สมเย โหติฯ เอวมฺปิ สิกฺขา เอกา สญฺญา อุปฺปชฺชติ, สิกฺขา เอกา สญฺญา นิรุชฺฌติฯ อยมฺปิ สิกฺขา”ติ ภควา อโวจฯ

    “Furthermore, giving up pleasure and pain, and ending former happiness and sadness, a bhikkhu enters and remains in the fourth jhāna, without pleasure or pain, with pure equanimity and mindfulness. The subtle and true perception of bliss with equanimity that they had previously ceases. At that time they have a subtle and true perception of neutral feeling. That’s how, with training, certain perceptions arise and certain perceptions cease. And this is that training,” said the Buddha.

    “ปุน จปรํ, โปฏฺฐปาท, ภิกฺขุ สพฺพโส รูปสญฺญานํ สมติกฺกมา ปฏิฆสญฺญานํ อตฺถงฺคมา นานตฺตสญฺญานํ อมนสิการา ‘อนนฺโต อากาโส'ติ อากาสานญฺจายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ ตสฺส ยา ปุริมา รูปสญฺญา, สา นิรุชฺฌติฯ อากาสานญฺจายตนสุขุมสจฺจสญฺญา ตสฺมึ สมเย โหติ, อากาสานญฺจายตนสุขุมสจฺจสญฺญีเยว ตสฺมึ สมเย โหติฯ เอวมฺปิ สิกฺขา เอกา สญฺญา อุปฺปชฺชติ, สิกฺขา เอกา สญฺญา นิรุชฺฌติฯ อยมฺปิ สิกฺขา”ติ ภควา อโวจฯ

    “Furthermore, a bhikkhu, going totally beyond perceptions of form, with the ending of perceptions of impingement, not focusing on perceptions of diversity, aware that ‘space is infinite’, enters and remains in the dimension of infinite space. The perception of luminous form that they had previously ceases. At that time they have a subtle and true perception of the dimension of infinite space. That’s how, with training, certain perceptions arise and certain perceptions cease. And this is that training,” said the Buddha.

    “ปุน จปรํ, โปฏฺฐปาท, ภิกฺขุ สพฺพโส อากาสานญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม ‘อนนฺตํ วิญฺญาณนฺ'ติ วิญฺญาณญฺจายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ ตสฺส ยา ปุริมา อากาสานญฺจายตนสุขุมสจฺจสญฺญา, สา นิรุชฺฌติฯ วิญฺญาณญฺจายตนสุขุมสจฺจสญฺญา ตสฺมึ สมเย โหติ, วิญฺญาณญฺจายตนสุขุมสจฺจสญฺญีเยว ตสฺมึ สมเย โหติฯ เอวมฺปิ สิกฺขา เอกา สญฺญา อุปฺปชฺชติ, สิกฺขา เอกา สญฺญา นิรุชฺฌติฯ อยมฺปิ สิกฺขา”ติ ภควา อโวจฯ

    “Furthermore, a bhikkhu, going totally beyond the dimension of infinite space, aware that ‘consciousness is infinite’, enters and remains in the dimension of infinite consciousness. The subtle and true perception of the dimension of infinite space that they had previously ceases. At that time they have a subtle and true perception of the dimension of infinite consciousness. That’s how, with training, certain perceptions arise and certain perceptions cease. And this is that training,” said the Buddha.

    “ปุน จปรํ, โปฏฺฐปาท, ภิกฺขุ สพฺพโส วิญฺญาณญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม ‘นตฺถิ กิญฺจี'ติ อากิญฺจญฺญายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ ตสฺส ยา ปุริมา วิญฺญาณญฺจายตนสุขุมสจฺจสญฺญา, สา นิรุชฺฌติฯ อากิญฺจญฺญายตนสุขุมสจฺจสญฺญา ตสฺมึ สมเย โหติ, อากิญฺจญฺญายตนสุขุมสจฺจสญฺญีเยว ตสฺมึ สมเย โหติฯ เอวมฺปิ สิกฺขา เอกา สญฺญา อุปฺปชฺชติ, สิกฺขา เอกา สญฺญา นิรุชฺฌติฯ อยมฺปิ สิกฺขา”ติ ภควา อโวจฯ

    “Furthermore, a bhikkhu, going totally beyond the dimension of infinite consciousness, aware that ‘there is nothing at all’, enters and remains in the dimension of nothingness. The subtle and true perception of the dimension of infinite consciousness that they had previously ceases. At that time they have a subtle and true perception of the dimension of nothingness. That’s how, with training, certain perceptions arise and certain perceptions cease. And this is that training,” said the Buddha.

    “ยโต โข, โปฏฺฐปาท, ภิกฺขุ อิธ สกสญฺญี โหติ, โส ตโต อมุตฺร ตโต อมุตฺร อนุปุพฺเพน สญฺญคฺคํ ผุสติฯ ตสฺส สญฺญคฺเค ฐิตสฺส เอวํ โหติ: ‘เจตยมานสฺส เม ปาปิโย, อเจตยมานสฺส เม เสโยฺยฯ อหญฺเจว โข ปน เจเตยฺยํ, อภิสงฺขเรยฺยํ, อิมา จ เม สญฺญา นิรุชฺเฌยฺยุํ, อญฺญา จ โอฬาริกา สญฺญา อุปฺปชฺเชยฺยุํ; ยนฺนูนาหํ น เจว เจเตยฺยํ น จ อภิสงฺขเรยฺยนฺ'ติฯ โส น เจว เจเตติ, น จ อภิสงฺขโรติฯ ตสฺส อเจตยโต อนภิสงฺขโรโต ตา เจว สญฺญา นิรุชฺฌนฺติ, อญฺญา จ โอฬาริกา สญฺญา น อุปฺปชฺชนฺติฯ โส นิโรธํ ผุสติฯ เอวํ โข, โปฏฺฐปาท, อนุปุพฺพาภิสญฺญานิโรธสมฺปชานสมาปตฺติ โหติฯ

    “Poṭṭhapāda, from the time a bhikkhu here takes charge of their own perception, they proceed from one stage to the next, progressively reaching the peak of perception. Standing on the peak of perception they think, ‘Intentionality is bad for me, it’s better to be free of it. For if I were to intend and choose, these perceptions would cease in me, and other coarser perceptions would arise. Why don’t I neither make a choice nor form an intention?’ They neither make a choice nor form an intention. Those perceptions cease in them, and other coarser perceptions don’t arise. They touch cessation. And that, Poṭṭhapāda, is how the progressive cessation of perception is attained with awareness.

    ตํ กึ มญฺญสิ, โปฏฺฐปาท, อปิ นุ เต อิโต ปุพฺเพ เอวรูปา อนุปุพฺพาภิสญฺญานิโรธสมฺปชานสมาปตฺติ สุตปุพฺพา”ติ?

    What do you think, Poṭṭhapāda? Have you ever heard of this before?”

    “โน เหตํ, ภนฺเตฯ เอวํ โข อหํ, ภนฺเต, ภควโต ภาสิตํ อาชานามิ: ‘ยโต โข, โปฏฺฐปาท, ภิกฺขุ อิธ สกสญฺญี โหติ, โส ตโต อมุตฺร ตโต อมุตฺร อนุปุพฺเพน สญฺญคฺคํ ผุสติ, ตสฺส สญฺญคฺเค ฐิตสฺส เอวํ โหติ: “เจตยมานสฺส เม ปาปิโย, อเจตยมานสฺส เม เสโยฺยฯ อหญฺเจว โข ปน เจเตยฺยํ อภิสงฺขเรยฺยํ, อิมา จ เม สญฺญา นิรุชฺเฌยฺยุํ, อญฺญา จ โอฬาริกา สญฺญา อุปฺปชฺเชยฺยุํ; ยนฺนูนาหํ น เจว เจเตยฺยํ, น จ อภิสงฺขเรยฺยนฺ”ติฯ โส น เจว เจเตติ, น จาภิสงฺขโรติ, ตสฺส อเจตยโต อนภิสงฺขโรโต ตา เจว สญฺญา นิรุชฺฌนฺติ, อญฺญา จ โอฬาริกา สญฺญา น อุปฺปชฺชนฺติฯ โส นิโรธํ ผุสติฯ เอวํ โข, โปฏฺฐปาท, อนุปุพฺพาภิสญฺญานิโรธสมฺปชานสมาปตฺติ โหตี'”ติฯ

    “No, sir. This is how I understand what the Buddha said: ‘From the time a bhikkhu here takes charge of their own perception, they proceed from one stage to the next, progressively reaching the peak of perception. Standing on the peak of perception they think, “Intentionality is bad for me, it’s better to be free of it. For if I were to intend and choose, these perceptions would cease in me, and other coarser perceptions would arise. Why don’t I neither make a choice nor form an intention?” Those perceptions cease in them, and other coarser perceptions don’t arise. They touch cessation. And that is how the progressive cessation of perception is attained with awareness.’”

    “เอวํ, โปฏฺฐปาทา”ติฯ

    “That’s right, Poṭṭhapāda.”

    “เอกญฺเญว นุ โข, ภนฺเต, ภควา สญฺญคฺคํ ปญฺญเปติ, อุทาหุ ปุถูปิ สญฺญคฺเค ปญฺญเปตี”ติ?

    “Does the Buddha describe just one peak of perception, or many?”

    “เอกมฺปิ โข อหํ, โปฏฺฐปาท, สญฺญคฺคํ ปญฺญเปมิ, ปุถูปิ สญฺญคฺเค ปญฺญเปมี”ติฯ

    “I describe the peak of perception as both one and many.”

    “ยถา กถํ ปน, ภนฺเต, ภควา เอกมฺปิ สญฺญคฺคํ ปญฺญเปติ, ปุถูปิ สญฺญคฺเค ปญฺญเปตี”ติ?

    “But sir, how do you describe it as one peak and as many?”

    “ยถา ยถา โข, โปฏฺฐปาท, นิโรธํ ผุสติ ตถา ตถาหํ สญฺญคฺคํ ปญฺญเปมิฯ เอวํ โข อหํ, โปฏฺฐปาท, เอกมฺปิ สญฺญคฺคํ ปญฺญเปมิ, ปุถูปิ สญฺญคฺเค ปญฺญเปมี”ติฯ

    “I describe the peak of perception according to the specific manner in which one touches cessation. That’s how I describe the peak of perception as both one and many.”

    “สญฺญา นุ โข, ภนฺเต, ปฐมํ อุปฺปชฺชติ, ปจฺฉา ญาณํ, อุทาหุ ญาณํ ปฐมํ อุปฺปชฺชติ, ปจฺฉา สญฺญา, อุทาหุ สญฺญา จ ญาณญฺจ อปุพฺพํ อจริมํ อุปฺปชฺชนฺตี”ติ?

    “But sir, does perception arise first and knowledge afterwards? Or does knowledge arise first and perception afterwards? Or do they both arise at the same time?”

    “สญฺญา โข, โปฏฺฐปาท, ปฐมํ อุปฺปชฺชติ, ปจฺฉา ญาณํ, สญฺญุปฺปาทา จ ปน ญาณุปฺปาโท โหติฯ โส เอวํ ปชานาติ: ‘อิทปฺปจฺจยา กิร เม ญาณํ อุทปาที'ติฯ อิมินา โข เอตํ, โปฏฺฐปาท, ปริยาเยน เวทิตพฺพํ—ยถา สญฺญา ปฐมํ อุปฺปชฺชติ, ปจฺฉา ญาณํ, สญฺญุปฺปาทา จ ปน ญาณุปฺปาโท โหตี”ติฯ

    “Perception arises first and knowledge afterwards. The arising of perception leads to the arising of knowledge. They understand, ‘My knowledge arose from a specific condition.’ That is a way to understand how perception arises first and knowledge afterwards; that the arising of perception leads to the arising of knowledge.”

    ๑ฯ๓ฯ สญฺญาอตฺตกถา

    1.3. Perception and the Self

    “สญฺญา นุ โข, ภนฺเต, ปุริสสฺส อตฺตา, อุทาหุ อญฺญา สญฺญา อญฺโญ อตฺตา”ติ?

    “Sir, is perception a person’s self, or are perception and self different things?”

    “กํ ปน ตฺวํ, โปฏฺฐปาท, อตฺตานํ ปจฺเจสี”ติ?

    “But Poṭṭhapāda, do you believe in a self?”

    “โอฬาริกํ โข อหํ, ภนฺเต, อตฺตานํ ปจฺเจมิ รูปึ จาตุมหาภูติกํ กพฬีการาหารภกฺขนฺ”ติฯ

    “I believe in a substantial self, sir, which has form, made up of the four primary elements, and consumes solid food.”

    “โอฬาริโก จ หิ เต, โปฏฺฐปาท, อตฺตา อภวิสฺส รูปี จาตุมหาภูติโก กพฬีการาหารภกฺโขฯ เอวํ สนฺตํ โข เต, โปฏฺฐปาท, อญฺญาว สญฺญา ภวิสฺสติ อญฺโญ อตฺตาฯ ตทมินาเปตํ, โปฏฺฐปาท, ปริยาเยน เวทิตพฺพํ ยถา อญฺญาว สญฺญา ภวิสฺสติ อญฺโญ อตฺตาฯ ติฏฺฐเตว สายํ, โปฏฺฐปาท, โอฬาริโก อตฺตา รูปี จาตุมหาภูติโก กพฬีการาหารภกฺโข, อถ อิมสฺส ปุริสสฺส อญฺญา จ สญฺญา อุปฺปชฺชนฺติ, อญฺญา จ สญฺญา นิรุชฺฌนฺติฯ อิมินา โข เอตํ, โปฏฺฐปาท, ปริยาเยน เวทิตพฺพํ ยถา อญฺญาว สญฺญา ภวิสฺสติ อญฺโญ อตฺตา”ติฯ

    “Suppose there were such a substantial self, Poṭṭhapāda. In that case, perception would be one thing, the self another. Here is another way to understand how perception and self are different things. So long as that substantial self remains, still some perceptions arise in a person and others cease. That is a way to understand how perception and self are different things.”

    “มโนมยํ โข อหํ, ภนฺเต, อตฺตานํ ปจฺเจมิ สพฺพงฺคปจฺจงฺคึ อหีนินฺทฺริยนฺ”ติฯ

    “Sir, I believe in a mind-made self which is complete in all its various parts, not deficient in any faculty.”

    “มโนมโย จ หิ เต, โปฏฺฐปาท, อตฺตา อภวิสฺส สพฺพงฺคปจฺจงฺคี อหีนินฺทฺริโย, เอวํ สนฺตมฺปิ โข เต, โปฏฺฐปาท, อญฺญาว สญฺญา ภวิสฺสติ อญฺโญ อตฺตาฯ ตทมินาเปตํ, โปฏฺฐปาท, ปริยาเยน เวทิตพฺพํ ยถา อญฺญาว สญฺญา ภวิสฺสติ อญฺโญ อตฺตาฯ ติฏฺฐเตว สายํ, โปฏฺฐปาท, มโนมโย อตฺตา สพฺพงฺคปจฺจงฺคี อหีนินฺทฺริโย, อถ อิมสฺส ปุริสสฺส อญฺญา จ สญฺญา อุปฺปชฺชนฺติ, อญฺญา จ สญฺญา นิรุชฺฌนฺติฯ อิมินาปิ โข เอตํ, โปฏฺฐปาท, ปริยาเยน เวทิตพฺพํ ยถา อญฺญาว สญฺญา ภวิสฺสติ อญฺโญ อตฺตา”ติฯ

    “Suppose there were such a mind-made self, Poṭṭhapāda. In that case, perception would be one thing, the self another. Here is another way to understand how perception and self are different things. So long as that mind-made self remains, still some perceptions arise in a person and others cease. That too is a way to understand how perception and self are different things.”

    “อรูปึ โข อหํ, ภนฺเต, อตฺตานํ ปจฺเจมิ สญฺญามยนฺ”ติฯ

    “Sir, I believe in a formless self which is made of perception.”

    “อรูปี จ หิ เต, โปฏฺฐปาท, อตฺตา อภวิสฺส สญฺญามโย, เอวํ สนฺตมฺปิ โข เต, โปฏฺฐปาท, อญฺญาว สญฺญา ภวิสฺสติ อญฺโญ อตฺตาฯ ตทมินาเปตํ, โปฏฺฐปาท, ปริยาเยน เวทิตพฺพํ ยถา อญฺญาว สญฺญา ภวิสฺสติ อญฺโญ อตฺตาฯ ติฏฺฐเตว สายํ, โปฏฺฐปาท, อรูปี อตฺตา สญฺญามโย, อถ อิมสฺส ปุริสสฺส อญฺญา จ สญฺญา อุปฺปชฺชนฺติ, อญฺญา จ สญฺญา นิรุชฺฌนฺติฯ อิมินาปิ โข เอตํ, โปฏฺฐปาท, ปริยาเยน เวทิตพฺพํ ยถา อญฺญาว สญฺญา ภวิสฺสติ อญฺโญ อตฺตา”ติฯ

    “Suppose there were such a formless self, Poṭṭhapāda. In that case, perception would be one thing, the self another. Here is another way to understand how perception and self are different things. So long as that formless self remains, still some perceptions arise in a person and others cease. That too is a way to understand how perception and self are different things.”

    “สกฺกา ปเนตํ, ภนฺเต, มยา ญาตุํ: ‘สญฺญา ปุริสสฺส อตฺตา'ติ วา ‘อญฺญาว สญฺญา อญฺโญ อตฺตา'ติ วา”ติ?

    “But, sir, am I able to know whether perception is a person’s self, or whether perception and self are different things?”

    “ทุชฺชานํ โข เอตํ, โปฏฺฐปาท, ตยา อญฺญทิฏฺฐิเกน อญฺญขนฺติเกน อญฺญรุจิเกน อญฺญตฺราโยเคน อญฺญตฺราจริยเกน: ‘สญฺญา ปุริสสฺส อตฺตา'ติ วา, ‘อญฺญาว สญฺญา อญฺโญ อตฺตาติ' วา”ติฯ

    “It’s hard for you to understand this, since you have a different view, creed, and preference, unless you dedicate yourself to practice with the guidance of tradition.”

    “สเจตํ, ภนฺเต, มยา ทุชฺชานํ อญฺญทิฏฺฐิเกน อญฺญขนฺติเกน อญฺญรุจิเกน อญฺญตฺราโยเคน อญฺญตฺราจริยเกน: ‘สญฺญา ปุริสสฺส อตฺตา'ติ วา, ‘อญฺญาว สญฺญา อญฺโญ อตฺตา'ติ วา; กึ ปน, ภนฺเต, ‘สสฺสโต โลโก, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญนฺ'”ติ?

    “Well, if that’s the case, sir, then what do you make of this: ‘The cosmos is eternal. This is the only truth, anything else is wrong’?”

    “อพฺยากตํ โข เอตํ, โปฏฺฐปาท, มยา: ‘สสฺสโต โลโก, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญนฺ'”ติฯ

    “This has not been declared by me, Poṭṭhapāda.”

    “กึ ปน, ภนฺเต, ‘อสสฺสโต โลโก, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญนฺ'”ติ?

    “Then what do you make of this: ‘The cosmos is not eternal. This is the only truth, anything else is wrong’?”

    “เอตมฺปิ โข, โปฏฺฐปาท, มยา อพฺยากตํ: ‘อสสฺสโต โลโก, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญนฺ'”ติฯ

    “This too has not been declared by me.”

    “กึ ปน, ภนฺเต, ‘อนฺตวา โลโก …เป… ‘อนนฺตวา โลโก … ‘ตํ ชีวํ ตํ สรีรํ … ‘อญฺญํ ชีวํ อญฺญํ สรีรํ … ‘โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา … ‘น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา … ‘โหติ จ น จ โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา … ‘เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญนฺ'”ติ?

    “Then what do you make of this: ‘The cosmos is finite …’ … ‘The cosmos is infinite …’ … ‘The soul and the body are the same thing …’ … ‘The soul and the body are different things …’ … ‘A Realized One still exists after death …’ … ‘A Realized One no longer exists after death …’ … ‘A Realized One both still exists and no longer exists after death …’ … ‘A Realized One neither still exists nor no longer exists after death. This is the only truth, anything else is wrong’?”

    “เอตมฺปิ โข, โปฏฺฐปาท, มยา อพฺยากตํ: ‘เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญนฺ'”ติฯ

    “This too has not been declared by me.”

    “กสฺมา ปเนตํ, ภนฺเต, ภควตา อพฺยากตนฺ”ติ?

    “Why haven’t these things been declared by the Buddha?”

    “น เหตํ, โปฏฺฐปาท, อตฺถสํหิตํ น ธมฺมสํหิตํ นาทิพฺรหฺมจริยกํ, น นิพฺพิทาย น วิราคาย น นิโรธาย น อุปสมาย น อภิญฺญาย น สมฺโพธาย น นิพฺพานาย สํวตฺตติ, ตสฺมา เอตํ มยา อพฺยากตนฺ”ติฯ

    “Because they’re not beneficial or relevant to the fundamentals of the spiritual life. They don’t lead to disillusionment, dispassion, cessation, peace, insight, awakening, and Nibbana. That’s why I haven’t declared them.”

    “กึ ปน, ภนฺเต, ภควตา พฺยากตนฺ”ติ?

    “Then what has been declared by the Buddha?”

    “อิทํ ทุกฺขนฺติ โข, โปฏฺฐปาท, มยา พฺยากตํฯ อยํ ทุกฺขสมุทโยติ โข, โปฏฺฐปาท, มยา พฺยากตํฯ อยํ ทุกฺขนิโรโธติ โข, โปฏฺฐปาท, มยา พฺยากตํฯ อยํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฏิปทาติ โข, โปฏฺฐปาท, มยา พฺยากตนฺ”ติฯ

    “I have declared this: ‘This is suffering’ … ‘This is the origin of suffering’ … ‘This is the cessation of suffering’ … ‘This is the practice that leads to the cessation of suffering’.”

    “กสฺมา ปเนตํ, ภนฺเต, ภควตา พฺยากตนฺ”ติ?

    “Why have these things been declared by the Buddha?”

    “เอตญฺหิ, โปฏฺฐปาท, อตฺถสํหิตํ, เอตํ ธมฺมสํหิตํ, เอตํ อาทิพฺรหฺมจริยกํ, เอตํ นิพฺพิทาย วิราคาย นิโรธาย อุปสมาย อภิญฺญาย สมฺโพธาย นิพฺพานาย สํวตฺตติ; ตสฺมา เอตํ มยา พฺยากตนฺ”ติฯ

    “Because they are beneficial and relevant to the fundamentals of the spiritual life. They lead to disillusionment, dispassion, cessation, peace, insight, awakening, and Nibbana. That’s why I have declared them.”

    “เอวเมตํ, ภควา, เอวเมตํ, สุคตฯ ยสฺสทานิ, ภนฺเต, ภควา กาลํ มญฺญตี”ติฯ อถ โข ภควา อุฏฺฐายาสนา ปกฺกามิฯ

    “That’s so true, Blessed One! That’s so true, Holy One! Please, sir, go at your convenience.” Then the Buddha got up from his seat and left.

    อถ โข เต ปริพฺพาชกา อจิรปกฺกนฺตสฺส ภควโต โปฏฺฐปาทํ ปริพฺพาชกํ สมนฺตโต วาจา สนฺนิโตทเกน สญฺฌพฺภริมกํสุ: “เอวเมว ปนายํ ภวํ โปฏฺฐปาโท ยญฺญเทว สมโณ โคตโม ภาสติ, ตํ ตเทวสฺส อพฺภนุโมทติ: ‘เอวเมตํ, ภควา, เอวเมตํ, สุคตา'ติฯ น โข ปน มยํ กิญฺจิ สมณสฺส โคตมสฺส เอกํสิกํ ธมฺมํ เทสิตํ อาชานาม: ‘สสฺสโต โลโก'ติ วา, ‘อสสฺสโต โลโก'ติ วา, ‘อนฺตวา โลโก'ติ วา, ‘อนนฺตวา โลโก'ติ วา, ‘ตํ ชีวํ ตํ สรีรนฺ'ติ วา, ‘อญฺญํ ชีวํ อญฺญํ สรีรนฺ'ติ วา, ‘โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา'ติ วา, ‘น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา'ติ วา, ‘โหติ จ น จ โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา'ติ วา, ‘เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา'ติ วา”ติฯ

    Soon after the Buddha left, those wanderers beset Poṭṭhapāda on all sides with sneering and jeering. “No matter what the ascetic Gotama says, Poṭṭhapāda agrees with him: ‘That’s so true, Blessed One! That’s so true, Holy One!’ We understand that the ascetic Gotama didn’t give any definitive teaching at all regarding whether the cosmos is eternal and so on.”

    เอวํ วุตฺเต, โปฏฺฐปาโท ปริพฺพาชโก เต ปริพฺพาชเก เอตทโวจ: “อหมฺปิ โข, โภ, น กิญฺจิ สมณสฺส โคตมสฺส เอกํสิกํ ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ: ‘สสฺสโต โลโก'ติ วา, ‘อสสฺสโต โลโก'ติ วา …เป… ‘เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา'ติ วา; อปิ จ สมโณ โคตโม ภูตํ ตจฺฉํ ตถํ ปฏิปทํ ปญฺญเปติ ธมฺมฏฺฐิตตํ ธมฺมนิยามตํฯ ภูตํ โข ปน ตจฺฉํ ตถํ ปฏิปทํ ปญฺญเปนฺตสฺส ธมฺมฏฺฐิตตํ ธมฺมนิยามตํ, กถญฺหิ นาม มาทิโส วิญฺญู สมณสฺส โคตมสฺส สุภาสิตํ สุภาสิตโต นาพฺภนุโมเทยฺยา”ติ?

    When they said this, Poṭṭhapāda said to them, “I too understand that the ascetic Gotama didn’t give any definitive teaching at all regarding whether the cosmos is eternal and so on. Nevertheless, the practice that he describes is true, real, and accurate. It is the regularity of natural principles, the invariance of natural principles. So how could a sensible person such as I not agree that what was well spoken by the ascetic Gotama was in fact well spoken?”

    ๒ฯ จิตฺตหตฺถิสาริปุตฺตโปฏฺฐปาทวตฺถุ

    2. On Citta Hatthisāriputta

    อถ โข ทฺวีหตีหสฺส อจฺจเยน จิตฺโต จ หตฺถิสาริปุตฺโต โปฏฺฐปาโท จ ปริพฺพาชโก เยน ภควา เตนุปสงฺกมึสุ; อุปสงฺกมิตฺวา จิตฺโต หตฺถิสาริปุตฺโต ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ โปฏฺฐปาโท ปน ปริพฺพาชโก ภควตา สทฺธึ สมฺโมทิฯ สมฺโมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข โปฏฺฐปาโท ปริพฺพาชโก ภควนฺตํ เอตทโวจ: “ตทา มํ, ภนฺเต, เต ปริพฺพาชกา อจิรปกฺกนฺตสฺส ภควโต สมนฺตโต วาจาสนฺนิโตทเกน สญฺฌพฺภริมกํสุ: ‘เอวเมว ปนายํ ภวํ โปฏฺฐปาโท ยญฺญเทว สมโณ โคตโม ภาสติ, ตํ ตเทวสฺส อพฺภนุโมทติ: “เอวเมตํ, ภควา, เอวเมตํ, สุคตา”ติฯ น โข ปน มยํ กิญฺจิ สมณสฺส โคตมสฺส เอกํสิกํ ธมฺมํ เทสิตํ อาชานาม: “สสฺสโต โลโก”ติ วา, “อสสฺสโต โลโก”ติ วา, “อนฺตวา โลโก”ติ วา, “อนนฺตวา โลโก”ติ วา, “ตํ ชีวํ ตํ สรีรนฺ”ติ วา, “อญฺญํ ชีวํ อญฺญํ สรีรนฺ”ติ วา, “โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา”ติ วา, “น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา”ติ วา, “โหติ จ น จ โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา”ติ วา, “เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา”ติ วา'ติฯ เอวํ วุตฺตาหํ, ภนฺเต, เต ปริพฺพาชเก เอตทโวจํ: ‘อหมฺปิ โข, โภ, น กิญฺจิ สมณสฺส โคตมสฺส เอกํสิกํ ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ: “สสฺสโต โลโก”ติ วา, “อสสฺสโต โลโก”ติ วา …เป… “เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา”ติ วา; อปิ จ สมโณ โคตโม ภูตํ ตจฺฉํ ตถํ ปฏิปทํ ปญฺญเปติ ธมฺมฏฺฐิตตํ ธมฺมนิยามตํฯ ภูตํ โข ปน ตจฺฉํ ตถํ ปฏิปทํ ปญฺญเปนฺตสฺส ธมฺมฏฺฐิตตํ ธมฺมนิยามตํ, กถญฺหิ นาม มาทิโส วิญฺญู สมณสฺส โคตมสฺส สุภาสิตํ สุภาสิตโต นาพฺภนุโมเทยฺยา'”ติ?

    Then after two or three days had passed, Citta Hatthisāriputta and Poṭṭhapāda went to see the Buddha. Citta Hatthisāriputta bowed and sat down to one side. But the wanderer Poṭṭhapāda exchanged greetings with the Buddha, and when the greetings and polite conversation were over, he sat down to one side. Poṭṭhapāda told the Buddha what had happened after he left. The Buddha said:

    “สพฺเพว โข เอเต, โปฏฺฐปาท, ปริพฺพาชกา อนฺธา อจกฺขุกา; ตฺวํเยว เนสํ เอโก จกฺขุมาฯ เอกํสิกาปิ หิ โข, โปฏฺฐปาท, มยา ธมฺมา เทสิตา ปญฺญตฺตา; อเนกํสิกาปิ หิ โข, โปฏฺฐปาท, มยา ธมฺมา เทสิตา ปญฺญตฺตาฯ

    “All those wanderers, Poṭṭhapāda, are blind and sightless. You are the only one whose eyes are clear. For I have taught and pointed out teachings that are definitive and also teachings that are not definitive.

    กตเม จ เต, โปฏฺฐปาท, มยา อเนกํสิกา ธมฺมา เทสิตา ปญฺญตฺตา? ‘สสฺสโต โลโก'ติ โข, โปฏฺฐปาท, มยา อเนกํสิโก ธมฺโม เทสิโต ปญฺญตฺโต; ‘อสสฺสโต โลโก'ติ โข, โปฏฺฐปาท, มยา อเนกํสิโก ธมฺโม เทสิโต ปญฺญตฺโต; ‘อนฺตวา โลโก'ติ โข, โปฏฺฐปาท …เป… ‘อนนฺตวา โลโก'ติ โข, โปฏฺฐปาท … ‘ตํ ชีวํ ตํ สรีรนฺ'ติ โข, โปฏฺฐปาท … ‘อญฺญํ ชีวํ อญฺญํ สรีรนฺ'ติ โข, โปฏฺฐปาท … ‘โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา'ติ โข, โปฏฺฐปาท … น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา'ติ โข, โปฏฺฐปาท … ‘โหติ จ น จ โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา'ติ โข, โปฏฺฐปาท … ‘เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา'ติ โข, โปฏฺฐปาท, มยา อเนกํสิโก ธมฺโม เทสิโต ปญฺญตฺโตฯ

    And what teachings have I taught and pointed out as not definitive? ‘The cosmos is eternal’ … ‘The cosmos is not eternal’ … ‘The cosmos is finite’ … ‘The cosmos is infinite’ … ‘The soul is the same thing as the body’ … ‘The soul and the body are different things’ … ‘A Realized One still exists after death’ … ‘A Realized One no longer exists after death’ … ‘A Realized One both still exists and no longer exists after death’ … ‘A Realized One neither still exists nor no longer exists after death.’

    กสฺมา จ เต, โปฏฺฐปาท, มยา อเนกํสิกา ธมฺมา เทสิตา ปญฺญตฺตา? น เหเต, โปฏฺฐปาท, อตฺถสํหิตา น ธมฺมสํหิตา น อาทิพฺรหฺมจริยกา น นิพฺพิทาย น วิราคาย น นิโรธาย น อุปสมาย น อภิญฺญาย น สมฺโพธาย น นิพฺพานาย สํวตฺตนฺติฯ ตสฺมา เต มยา อเนกํสิกา ธมฺมา เทสิตา ปญฺญตฺตาฯ

    And why have I taught and pointed out such teachings as not definitive? Because those things aren’t beneficial or relevant to the fundamentals of the spiritual life. They don’t lead to disillusionment, dispassion, cessation, peace, insight, awakening, and Nibbana. That’s why I have taught and pointed out such teachings as not definitive.

    ๒ฯ๑ฯ เอกํสิกธมฺมา

    2.1. Teachings That Are Definitive

    กตเม จ เต, โปฏฺฐปาท, มยา เอกํสิกา ธมฺมา เทสิตา ปญฺญตฺตา? อิทํ ทุกฺขนฺติ โข, โปฏฺฐปาท, มยา เอกํสิโก ธมฺโม เทสิโต ปญฺญตฺโตฯ อยํ ทุกฺขสมุทโยติ โข, โปฏฺฐปาท, มยา เอกํสิโก ธมฺโม เทสิโต ปญฺญตฺโตฯ อยํ ทุกฺขนิโรโธติ โข, โปฏฺฐปาท, มยา เอกํสิโก ธมฺโม เทสิโต ปญฺญตฺโตฯ อยํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฏิปทาติ โข, โปฏฺฐปาท, มยา เอกํสิโก ธมฺโม เทสิโต ปญฺญตฺโตฯ

    And what teachings have I taught and pointed out as definitive? ‘This is suffering’ … ‘This is the origin of suffering’ … ‘This is the cessation of suffering’ … ‘This is the practice that leads to the cessation of suffering’.

    กสฺมา จ เต, โปฏฺฐปาท, มยา เอกํสิกา ธมฺมา เทสิตา ปญฺญตฺตา? เอเต หิ, โปฏฺฐปาท, อตฺถสํหิตา, เอเต ธมฺมสํหิตา, เอเต อาทิพฺรหฺมจริยกา เอเต นิพฺพิทาย วิราคาย นิโรธาย อุปสมาย อภิญฺญาย สมฺโพธาย นิพฺพานาย สํวตฺตนฺติฯ ตสฺมา เต มยา เอกํสิกา ธมฺมา เทสิตา ปญฺญตฺตาฯ

    And why have I taught and pointed out such teachings as definitive? Because they are beneficial and relevant to the fundamentals of the spiritual life. They lead to disillusionment, dispassion, cessation, peace, insight, awakening, and Nibbana. That’s why I have taught and pointed out such teachings as definitive.

    สนฺติ, โปฏฺฐปาท, เอเก สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: ‘เอกนฺตสุขี อตฺตา โหติ อโรโค ปรํ มรณา'ติฯ ตฺยาหํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวํ วทามิ: ‘สจฺจํ กิร ตุเมฺห อายสฺมนฺโต เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: “เอกนฺตสุขี อตฺตา โหติ อโรโค ปรํ มรณา”'ติ? เต เจ เม เอวํ ปุฏฺฐา ‘อามา'ติ ปฏิชานนฺติฯ ตฺยาหํ เอวํ วทามิ: ‘อปิ ปน ตุเมฺห อายสฺมนฺโต เอกนฺตสุขํ โลกํ ชานํ ปสฺสํ วิหรถา'ติ? อิติ ปุฏฺฐา ‘โน'ติ วทนฺติฯ

    There are some ascetics and brahmins who have this doctrine and view: ‘The self is exclusively happy and is well after death.’ I go up to them and say, ‘Is it really true that this is the venerables’ view?’ And they answer, ‘Yes’. I say to them, ‘But do you meditate knowing and seeing an exclusively happy world?’ Asked this, they say, ‘No.’

    ตฺยาหํ เอวํ วทามิ: ‘อปิ ปน ตุเมฺห อายสฺมนฺโต เอกํ วา รตฺตึ เอกํ วา ทิวสํ อุปฑฺฒํ วา รตฺตึ อุปฑฺฒํ วา ทิวสํ เอกนฺตสุขึ อตฺตานํ สญฺชานาถา'ติ? อิติ ปุฏฺฐา ‘โน'ติ วทนฺติฯ

    I say to them, ‘But have you perceived an exclusively happy self for a single day or night, or even half a day or night?’ Asked this, they say, ‘No.’

    ตฺยาหํ เอวํ วทามิ: ‘อปิ ปน ตุเมฺห อายสฺมนฺโต ชานาถ: “อยํ มคฺโค อยํ ปฏิปทา เอกนฺตสุขสฺส โลกสฺส สจฺฉิกิริยายา”'ติ? อิติ ปุฏฺฐา ‘โน'ติ วทนฺติฯ

    I say to them, ‘But do you know a path and a practice to realize an exclusively happy world?’ Asked this, they say, ‘No.’

    ตฺยาหํ เอวํ วทามิ: ‘อปิ ปน ตุเมฺห อายสฺมนฺโต ยา ตา เทวตา เอกนฺตสุขํ โลกํ อุปปนฺนา, ตาสํ ภาสมานานํ สทฺทํ สุณาถ: “สุปฺปฏิปนฺนาตฺถ, มาริสา, อุชุปฺปฏิปนฺนาตฺถ, มาริสา, เอกนฺตสุขสฺส โลกสฺส สจฺฉิกิริยาย; มยมฺปิ หิ, มาริสา, เอวํปฏิปนฺนา เอกนฺตสุขํ โลกํ อุปปนฺนา”'ติ? อิติ ปุฏฺฐา ‘โน'ติ วทนฺติฯ

    I say to them, ‘But have you ever heard the voice of the deities reborn in an exclusively happy world saying, “Practice well, dear sirs, practice directly so as to realize an exclusively happy world. For this is how we practiced, and we were reborn in an exclusively happy world”?’ Asked this, they say, ‘No.’

    ตํ กึ มญฺญสิ, โปฏฺฐปาท, นนุ เอวํ สนฺเต เตสํ สมณพฺราหฺมณานํ อปฺปาฏิหีรกตํ ภาสิตํ สมฺปชฺชตี”ติ?

    What do you think, Poṭṭhapāda? This being so, doesn’t what they say turn out to have no demonstrable basis?”

    “อทฺธา โข, ภนฺเต, เอวํ สนฺเต เตสํ สมณพฺราหฺมณานํ อปฺปาฏิหีรกตํ ภาสิตํ สมฺปชฺชตี”ติฯ

    “Clearly that’s the case, sir.”

    “เสยฺยถาปิ, โปฏฺฐปาท, ปุริโส เอวํ วเทยฺย: ‘อหํ ยา อิมสฺมึ ชนปเท ชนปทกลฺยาณี, ตํ อิจฺฉามิ ตํ กาเมมี'ติฯ ตเมนํ เอวํ วเทยฺยุํ: ‘อมฺโภ ปุริส, ยํ ตฺวํ ชนปทกลฺยาณึ อิจฺฉสิ กาเมสิ, ชานาสิ ตํ ชนปทกลฺยาณึ ขตฺติยี วา พฺราหฺมณี วา เวสฺสี วา สุทฺที วา'ติ? อิติ ปุฏฺโฐ ‘โน'ติ วเทยฺยฯ ตเมนํ เอวํ วเทยฺยุํ: ‘อมฺโภ ปุริส, ยํ ตฺวํ ชนปทกลฺยาณึ อิจฺฉสิ กาเมสิ, ชานาสิ ตํ ชนปทกลฺยาณึ เอวํนามา เอวงฺโคตฺตาติ วา, ทีฆา วา รสฺสา วา มชฺฌิมา วา กาฬี วา สามา วา มงฺคุรจฺฉวี วาติ, อมุกสฺมึ คาเม วา นิคเม วา นคเร วา'ติ? อิติ ปุฏฺโฐ ‘โน'ติ วเทยฺยฯ ตเมนํ เอวํ วเทยฺยุํ: ‘อมฺโภ ปุริส, ยํ ตฺวํ น ชานาสิ น ปสฺสสิ, ตํ ตฺวํ อิจฺฉสิ กาเมสี'ติ? อิติ ปุฏฺโฐ ‘อามา'ติ วเทยฺยฯ

    “Suppose, Poṭṭhapāda, a man were to say: ‘Whoever the finest lady in the land is, it is her that I want, her that I desire!’ They’d say to him, ‘Mister, that finest lady in the land who you desire—do you know whether she’s an aristocrat, a brahmin, a peasant, or a menial?’ Asked this, he’d say, ‘No.’ They’d say to him, ‘Mister, that finest lady in the land who you desire—do you know her name or clan? Whether she’s tall or short or medium? Whether her skin is black, brown, or tawny? What village, town, or city she comes from?’ Asked this, he’d say, ‘No.’ They’d say to him, ‘Mister, do you desire someone who you’ve never even known or seen?’ Asked this, he’d say, ‘Yes.’

    ตํ กึ มญฺญสิ, โปฏฺฐปาท, นนุ เอวํ สนฺเต ตสฺส ปุริสสฺส อปฺปาฏิหีรกตํ ภาสิตํ สมฺปชฺชตี”ติ?

    What do you think, Poṭṭhapāda? This being so, doesn’t that man’s statement turn out to have no demonstrable basis?”

    “อทฺธา โข, ภนฺเต, เอวํ สนฺเต ตสฺส ปุริสสฺส อปฺปาฏิหีรกตํ ภาสิตํ สมฺปชฺชตี”ติฯ

    “Clearly that’s the case, sir.”

    “เอวเมว โข, โปฏฺฐปาท, เย เต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: ‘เอกนฺตสุขี อตฺตา โหติ อโรโค ปรํ มรณา'ติฯ ตฺยาหํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวํ วทามิ: ‘สจฺจํ กิร ตุเมฺห อายสฺมนฺโต เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: “เอกนฺตสุขี อตฺตา โหติ อโรโค ปรํ มรณา”'ติ? เต เจ เม เอวํ ปุฏฺฐา ‘อามา'ติ ปฏิชานนฺติฯ ตฺยาหํ เอวํ วทามิ: ‘อปิ ปน ตุเมฺห อายสฺมนฺโต เอกนฺตสุขํ โลกํ ชานํ ปสฺสํ วิหรถา'ติ? อิติ ปุฏฺฐา ‘โน'ติ วทนฺติฯ

    “In the same way, the ascetics and brahmins who have that doctrine and view …

    ตฺยาหํ เอวํ วทามิ: ‘อปิ ปน ตุเมฺห อายสฺมนฺโต เอกํ วา รตฺตึ เอกํ วา ทิวสํ อุปฑฺฒํ วา รตฺตึ อุปฑฺฒํ วา ทิวสํ เอกนฺตสุขึ อตฺตานํ สญฺชานาถา'ติ? อิติ ปุฏฺฐา ‘โน'ติ วทนฺติฯ

    ตฺยาหํ เอวํ วทามิ: ‘อปิ ปน ตุเมฺห อายสฺมนฺโต ชานาถ: “อยํ มคฺโค อยํ ปฏิปทา เอกนฺตสุขสฺส โลกสฺส สจฺฉิกิริยายา”'ติ? อิติ ปุฏฺฐา ‘โน'ติ วทนฺติฯ

    ตฺยาหํ เอวํ วทามิ: ‘อปิ ปน ตุเมฺห อายสฺมนฺโต ยา ตา เทวตา เอกนฺตสุขํ โลกํ อุปปนฺนา, ตาสํ ภาสมานานํ สทฺทํ สุณาถ: “สุปฺปฏิปนฺนาตฺถ, มาริสา, อุชุปฺปฏิปนฺนาตฺถ, มาริสา, เอกนฺตสุขสฺส โลกสฺส สจฺฉิกิริยาย; มยมฺปิ หิ, มาริสา, เอวํปฏิปนฺนา เอกนฺตสุขํ โลกํ อุปปนฺนา”'ติ? อิติ ปุฏฺฐา ‘โน'ติ วทนฺติฯ

    ตํ กึ มญฺญสิ, โปฏฺฐปาท, นนุ เอวํ สนฺเต เตสํ สมณพฺราหฺมณานํ อปฺปาฏิหีรกตํ ภาสิตํ สมฺปชฺชตี”ติ?

    Doesn’t what they say turn out to have no demonstrable basis?”

    “อทฺธา โข, ภนฺเต, เอวํ สนฺเต เตสํ สมณพฺราหฺมณานํ อปฺปาฏิหีรกตํ ภาสิตํ สมฺปชฺชตี”ติฯ

    “Clearly that’s the case, sir.”

    “เสยฺยถาปิ, โปฏฺฐปาท, ปุริโส จาตุมหาปเถ นิเสฺสณึ กเรยฺย ปาสาทสฺส อาโรหณายฯ ตเมนํ เอวํ วเทยฺยุํ: ‘อมฺโภ ปุริส, ยสฺส ตฺวํ ปาสาทสฺส อาโรหณาย นิเสฺสณึ กโรสิ, ชานาสิ ตํ ปาสาทํ ปุรตฺถิมาย วา ทิสาย ทกฺขิณาย วา ทิสาย ปจฺฉิมาย วา ทิสาย อุตฺตราย วา ทิสาย อุจฺโจ วา นีโจ วา มชฺฌิโม วา'ติ? อิติ ปุฏฺโฐ ‘โน'ติ วเทยฺยฯ ตเมนํ เอวํ วเทยฺยุํ: ‘อมฺโภ ปุริส, ยํ ตฺวํ น ชานาสิ น ปสฺสสิ, ตสฺส ตฺวํ ปาสาทสฺส อาโรหณาย นิเสฺสณึ กโรสี'ติ? อิติ ปุฏฺโฐ ‘อามา'ติ วเทยฺยฯ

    “Suppose a man was to build a ladder at the crossroads for climbing up to a stilt longhouse. They’d say to him, ‘Mister, that stilt longhouse that you’re building a ladder for—do you know whether it’s to the north, south, east, or west? Or whether it’s tall or short or medium?’ Asked this, he’d say, ‘No.’ They’d say to him, ‘Mister, are you building a ladder for a longhouse that you’ve never even known or seen?’ Asked this, he’d say, ‘Yes.’

    ตํ กึ มญฺญสิ, โปฏฺฐปาท, นนุ เอวํ สนฺเต ตสฺส ปุริสสฺส อปฺปาฏิหีรกตํ ภาสิตํ สมฺปชฺชตี”ติ?

    What do you think, Poṭṭhapāda? This being so, doesn’t that man’s statement turn out to have no demonstrable basis?”

    “อทฺธา โข, ภนฺเต, เอวํ สนฺเต ตสฺส ปุริสสฺส อปฺปาฏิหีรกตํ ภาสิตํ สมฺปชฺชตี”ติฯ

    “Clearly that’s the case, sir.”

    “เอวเมว โข, โปฏฺฐปาท, เย เต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: ‘เอกนฺตสุขี อตฺตา โหติ อโรโค ปรํ มรณา'ติฯ ตฺยาหํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวํ วทามิ: ‘สจฺจํ กิร ตุเมฺห อายสฺมนฺโต เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: “เอกนฺตสุขี อตฺตา โหติ อโรโค ปรํ มรณา”'ติ? เต เจ เม เอวํ ปุฏฺฐา ‘อามา'ติ ปฏิชานนฺติฯ ตฺยาหํ เอวํ วทามิ: ‘อปิ ปน ตุเมฺห อายสฺมนฺโต เอกนฺตสุขํ โลกํ ชานํ ปสฺสํ วิหรถา'ติ? อิติ ปุฏฺฐา ‘โน'ติ วทนฺติฯ

    “In the same way, the ascetics and brahmins who have those various doctrines and views …

    ตฺยาหํ เอวํ วทามิ: ‘อปิ ปน ตุเมฺห อายสฺมนฺโต เอกํ วา รตฺตึ เอกํ วา ทิวสํ อุปฑฺฒํ วา รตฺตึ อุปฑฺฒํ วา ทิวสํ เอกนฺตสุขึ อตฺตานํ สญฺชานาถา'ติ? อิติ ปุฏฺฐา ‘โน'ติ วทนฺติฯ

    ตฺยาหํ เอวํ วทามิ: ‘อปิ ปน ตุเมฺห อายสฺมนฺโต ชานาถ อยํ มคฺโค อยํ ปฏิปทา เอกนฺตสุขสฺส โลกสฺส สจฺฉิกิริยายา'ติ? อิติ ปุฏฺฐา ‘โน'ติ วทนฺติฯ

    ตฺยาหํ เอวํ วทามิ: ‘อปิ ปน ตุเมฺห อายสฺมนฺโต ยา ตา เทวตา เอกนฺตสุขํ โลกํ อุปปนฺนา ตาสํ เทวตานํ ภาสมานานํ สทฺทํ สุณาถ: “สุปฺปฏิปนฺนาตฺถ, มาริสา, อุชุปฺปฏิปนฺนาตฺถ, มาริสา, เอกนฺตสุขสฺส โลกสฺส สจฺฉิกิริยาย; มยมฺปิ หิ, มาริสา, เอวํ ปฏิปนฺนา เอกนฺตสุขํ โลกํ อุปปนฺนา”'ติ? อิติ ปุฏฺฐา ‘โน'ติ วทนฺติฯ

    ตํ กึ มญฺญสิ, โปฏฺฐปาท, นนุ เอวํ สนฺเต เตสํ สมณพฺราหฺมณานํ อปฺปาฏิหีรกตํ ภาสิตํ สมฺปชฺชตี”ติ?

    Doesn’t what they say turn out to have no demonstrable basis?”

    “อทฺธา โข, ภนฺเต, เอวํ สนฺเต เตสํ สมณพฺราหฺมณานํ อปฺปาฏิหีรกตํ ภาสิตํ สมฺปชฺชตี”ติฯ

    “Clearly that’s the case, sir.”

    ๒ฯ๒ฯ ตโยอตฺตปฏิลาภ

    2.2. Three Kinds of Reincarnation

    “ตโย โข เม, โปฏฺฐปาท, อตฺตปฏิลาภา—โอฬาริโก อตฺตปฏิลาโภ, มโนมโย อตฺตปฏิลาโภ, อรูโป อตฺตปฏิลาโภฯ กตโม จ, โปฏฺฐปาท, โอฬาริโก อตฺตปฏิลาโภ? รูปี จาตุมหาภูติโก กพฬีการาหารภกฺโข, อยํ โอฬาริโก อตฺตปฏิลาโภฯ กตโม มโนมโย อตฺตปฏิลาโภ? รูปี มโนมโย สพฺพงฺคปจฺจงฺคี อหีนินฺทฺริโย, อยํ มโนมโย อตฺตปฏิลาโภฯ กตโม อรูโป อตฺตปฏิลาโภ? อรูปี สญฺญามโย, อยํ อรูโป อตฺตปฏิลาโภฯ

    “Poṭṭhapāda, there are these three kinds of reincarnation: a substantial reincarnation, a mind-made reincarnation, and a formless reincarnation. And what is a substantial reincarnation? It has form, made up of the four primary elements, and consumes solid food. What is a mind-made reincarnation? It has form, mind-made, complete in all its various parts, not deficient in any faculty. What is a formless reincarnation? It is formless, made of perception.

    โอฬาริกสฺสปิ โข อหํ, โปฏฺฐปาท, อตฺตปฏิลาภสฺส ปหานาย ธมฺมํ เทเสมิ: ‘ยถาปฏิปนฺนานํ โว สงฺกิเลสิกา ธมฺมา ปหียิสฺสนฺติ, โวทานิยา ธมฺมา อภิวฑฺฒิสฺสนฺติ, ปญฺญาปาริปูรึ เวปุลฺลตฺตญฺจ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสถา'ติฯ สิยา โข ปน เต, โปฏฺฐปาท, เอวมสฺส: ‘สงฺกิเลสิกา ธมฺมา ปหียิสฺสนฺติ, โวทานิยา ธมฺมา อภิวฑฺฒิสฺสนฺติ, ปญฺญาปาริปูรึ เวปุลฺลตฺตญฺจ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสติ, ทุกฺโข จ โข วิหาโร'ติฯ น โข ปเนตํ, โปฏฺฐปาท, เอวํ ทฏฺฐพฺพํฯ สงฺกิเลสิกา เจว ธมฺมา ปหียิสฺสนฺติ, โวทานิยา จ ธมฺมา อภิวฑฺฒิสฺสนฺติ, ปญฺญาปาริปูรึ เวปุลฺลตฺตญฺจ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสติ, ปามุชฺชญฺเจว ภวิสฺสติ ปีติ จ ปสฺสทฺธิ จ สติ จ สมฺปชญฺญญฺจ สุโข จ วิหาโรฯ

    I teach the Dhamma for the giving up of these three kinds of reincarnation: ‘When you practice accordingly, corrupting qualities will be given up in you and cleansing qualities will grow. You’ll enter and remain in the fullness and abundance of wisdom, having realized it with your own insight in this very life.’ Poṭṭhapāda, you might think: ‘Corrupting qualities will be given up and cleansing qualities will grow. One will enter and remain in the fullness and abundance of wisdom, having realized it with one’s own insight in this very life. But such a life is suffering.’ But you should not see it like this. Corrupting qualities will be given up and cleansing qualities will grow. One will enter and remain in the fullness and abundance of wisdom, having realized it with one’s own insight in this very life. And there will be only joy and happiness, tranquility, mindfulness and awareness. Such a life is blissful.

    มโนมยสฺสปิ โข อหํ, โปฏฺฐปาท, อตฺตปฏิลาภสฺส ปหานาย ธมฺมํ เทเสมิ: ‘ยถาปฏิปนฺนานํ โว สงฺกิเลสิกา ธมฺมา ปหียิสฺสนฺติ, โวทานิยา ธมฺมา อภิวฑฺฒิสฺสนฺติ, ปญฺญาปาริปูรึ เวปุลฺลตฺตญฺจ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสถา'ติฯ สิยา โข ปน เต, โปฏฺฐปาท, เอวมสฺส: ‘สงฺกิเลสิกา ธมฺมา ปหียิสฺสนฺติ, โวทานิยา ธมฺมา อภิวฑฺฒิสฺสนฺติ, ปญฺญาปาริปูรึ เวปุลฺลตฺตญฺจ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสติ, ทุกฺโข จ โข วิหาโร'ติฯ น โข ปเนตํ, โปฏฺฐปาท, เอวํ ทฏฺฐพฺพํฯ สงฺกิเลสิกา เจว ธมฺมา ปหียิสฺสนฺติ, โวทานิยา จ ธมฺมา อภิวฑฺฒิสฺสนฺติ, ปญฺญาปาริปูรึ เวปุลฺลตฺตญฺจ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสติ, ปามุชฺชญฺเจว ภวิสฺสติ ปีติ จ ปสฺสทฺธิ จ สติ จ สมฺปชญฺญญฺจ สุโข จ วิหาโรฯ

    อรูปสฺสปิ โข อหํ, โปฏฺฐปาท, อตฺตปฏิลาภสฺส ปหานาย ธมฺมํ เทเสมิ: ‘ยถาปฏิปนฺนานํ โว สงฺกิเลสิกา ธมฺมา ปหียิสฺสนฺติ, โวทานิยา ธมฺมา อภิวฑฺฒิสฺสนฺติ, ปญฺญาปาริปูรึ เวปุลฺลตฺตญฺจ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสถา'ติฯ สิยา โข ปน เต, โปฏฺฐปาท, เอวมสฺส: ‘สงฺกิเลสิกา ธมฺมา ปหียิสฺสนฺติ, โวทานิยา ธมฺมา อภิวฑฺฒิสฺสนฺติ, ปญฺญาปาริปูรึ เวปุลฺลตฺตญฺจ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสติ, ทุกฺโข จ โข วิหาโร'ติฯ น โข ปเนตํ, โปฏฺฐปาท, เอวํ ทฏฺฐพฺพํฯ สงฺกิเลสิกา เจว ธมฺมา ปหียิสฺสนฺติ, โวทานิยา จ ธมฺมา อภิวฑฺฒิสฺสนฺติ, ปญฺญาปาริปูรึ เวปุลฺลตฺตญฺจ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสติ, ปามุชฺชญฺเจว ภวิสฺสติ ปีติ จ ปสฺสทฺธิ จ สติ จ สมฺปชญฺญญฺจ สุโข จ วิหาโรฯ

    ปเร เจ, โปฏฺฐปาท, อเมฺห เอวํ ปุจฺเฉยฺยุํ: ‘กตโม ปน โส, อาวุโส, โอฬาริโก อตฺตปฏิลาโภ, ยสฺส ตุเมฺห ปหานาย ธมฺมํ เทเสถ, ยถาปฏิปนฺนานํ โว สงฺกิเลสิกา ธมฺมา ปหียิสฺสนฺติ, โวทานิยา ธมฺมา อภิวฑฺฒิสฺสนฺติ, ปญฺญาปาริปูรึ เวปุลฺลตฺตญฺจ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสถา'ติ, เตสํ มยํ เอวํ ปุฏฺฐา เอวํ พฺยากเรยฺยาม: ‘อยํ วา โส, อาวุโส, โอฬาริโก อตฺตปฏิลาโภ, ยสฺส มยํ ปหานาย ธมฺมํ เทเสม, ยถาปฏิปนฺนานํ โว สงฺกิเลสิกา ธมฺมา ปหียิสฺสนฺติ, โวทานิยา ธมฺมา อภิวฑฺฒิสฺสนฺติ, ปญฺญาปาริปูรึ เวปุลฺลตฺตญฺจ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสถา'ติฯ

    Poṭṭhapāda, if others should ask us, ‘But friends, what is that substantial reincarnation for the giving up of which you teach?’ We’d answer like this, ‘This is that substantial reincarnation.’

    ปเร เจ, โปฏฺฐปาท, อเมฺห เอวํ ปุจฺเฉยฺยุํ: ‘กตโม ปน โส, อาวุโส, มโนมโย อตฺตปฏิลาโภ, ยสฺส ตุเมฺห ปหานาย ธมฺมํ เทเสถ, ยถาปฏิปนฺนานํ โว สงฺกิเลสิกา ธมฺมา ปหียิสฺสนฺติ, โวทานิยา ธมฺมา อภิวฑฺฒิสฺสนฺติ, ปญฺญาปาริปูรึ เวปุลฺลตฺตญฺจ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสถา'ติ? เตสํ มยํ เอวํ ปุฏฺฐา เอวํ พฺยากเรยฺยาม: ‘อยํ วา โส, อาวุโส, มโนมโย อตฺตปฏิลาโภ ยสฺส มยํ ปหานาย ธมฺมํ เทเสม, ยถาปฏิปนฺนานํ โว สงฺกิเลสิกา ธมฺมา ปหียิสฺสนฺติ, โวทานิยา ธมฺมา อภิวฑฺฒิสฺสนฺติ, ปญฺญาปาริปูรึ เวปุลฺลตฺตญฺจ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสถา'ติฯ

    If others should ask us, ‘But friends, what is that mind-made reincarnation?’ We’d answer like this, ‘This is that mind-made reincarnation.’

    ปเร เจ, โปฏฺฐปาท, อเมฺห เอวํ ปุจฺเฉยฺยุํ: ‘กตโม ปน โส, อาวุโส, อรูโป อตฺตปฏิลาโภ, ยสฺส ตุเมฺห ปหานาย ธมฺมํ เทเสถ, ยถาปฏิปนฺนานํ โว สงฺกิเลสิกา ธมฺมา ปหียิสฺสนฺติ, โวทานิยา ธมฺมา อภิวฑฺฒิสฺสนฺติ, ปญฺญาปาริปูรึ เวปุลฺลตฺตญฺจ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสถา'ติ? เตสํ มยํ เอวํ ปุฏฺฐา เอวํ พฺยากเรยฺยาม: ‘อยํ วา โส, อาวุโส, อรูโป อตฺตปฏิลาโภ ยสฺส มยํ ปหานาย ธมฺมํ เทเสม, ยถาปฏิปนฺนานํ โว สงฺกิเลสิกา ธมฺมา ปหียิสฺสนฺติ, โวทานิยา ธมฺมา อภิวฑฺฒิสฺสนฺติ, ปญฺญาปาริปูรึ เวปุลฺลตฺตญฺจ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสถา'ติฯ

    If others should ask us, ‘But friends, what is that formless reincarnation?’ We’d answer like this, ‘This is that formless reincarnation.’

    ตํ กึ มญฺญสิ, โปฏฺฐปาท, นนุ เอวํ สนฺเต สปฺปาฏิหีรกตํ ภาสิตํ สมฺปชฺชตี”ติ?

    What do you think, Poṭṭhapāda? This being so, doesn’t that statement turn out to have a demonstrable basis?”

    “อทฺธา โข, ภนฺเต, เอวํ สนฺเต สปฺปาฏิหีรกตํ ภาสิตํ สมฺปชฺชตี”ติฯ

    “Clearly that’s the case, sir.”

    “เสยฺยถาปิ, โปฏฺฐปาท, ปุริโส นิเสฺสณึ กเรยฺย ปาสาทสฺส อาโรหณาย ตเสฺสว ปาสาทสฺส เหฏฺฐาฯ ตเมนํ เอวํ วเทยฺยุํ: ‘อมฺโภ ปุริส, ยสฺส ตฺวํ ปาสาทสฺส อาโรหณาย นิเสฺสณึ กโรสิ, ชานาสิ ตํ ปาสาทํ, ปุรตฺถิมาย วา ทิสาย ทกฺขิณาย วา ทิสาย ปจฺฉิมาย วา ทิสาย อุตฺตราย วา ทิสาย อุจฺโจ วา นีโจ วา มชฺฌิโม วา'ติ? โส เอวํ วเทยฺย: ‘อยํ วา โส, อาวุโส, ปาสาโท, ยสฺสาหํ อาโรหณาย นิเสฺสณึ กโรมิ, ตเสฺสว ปาสาทสฺส เหฏฺฐา'ติฯ

    “Suppose a man were to build a ladder for climbing up to a stilt longhouse right underneath that longhouse. They’d say to him, ‘Mister, that stilt longhouse that you’re building a ladder for—do you know whether it’s to the north, south, east, or west? Or whether it’s tall or short or medium?’ He’d say, ‘This is that stilt longhouse for which I’m building a ladder, right underneath it.’

    ตํ กึ มญฺญสิ, โปฏฺฐปาท, นนุ เอวํ สนฺเต ตสฺส ปุริสสฺส สปฺปาฏิหีรกตํ ภาสิตํ สมฺปชฺชตี”ติ?

    What do you think, Poṭṭhapāda? This being so, doesn’t that man’s statement turn out to have a demonstrable basis?”

    “อทฺธา โข, ภนฺเต, เอวํ สนฺเต ตสฺส ปุริสสฺส สปฺปาฏิหีรกตํ ภาสิตํ สมฺปชฺชตี”ติฯ

    “Clearly that’s the case, sir.”

    “เอวเมว โข, โปฏฺฐปาท, ปเร เจ อเมฺห เอวํ ปุจฺเฉยฺยุํ: ‘กตโม ปน โส, อาวุโส, โอฬาริโก อตฺตปฏิลาโภ …เป… กตโม ปน โส, อาวุโส, มโนมโย อตฺตปฏิลาโภ …เป… กตโม ปน โส, อาวุโส, อรูโป อตฺตปฏิลาโภ, ยสฺส ตุเมฺห ปหานาย ธมฺมํ เทเสถ, ยถาปฏิปนฺนานํ โว สงฺกิเลสิกา ธมฺมา ปหียิสฺสนฺติ, โวทานิยา ธมฺมา อภิวฑฺฒิสฺสนฺติ, ปญฺญาปาริปูรึ เวปุลฺลตฺตญฺจ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสถา'ติ? เตสํ มยํ เอวํ ปุฏฺฐา เอวํ พฺยากเรยฺยาม: ‘อยํ วา โส, อาวุโส, อรูโป อตฺตปฏิลาโภ, ยสฺส มยํ ปหานาย ธมฺมํ เทเสม, ยถาปฏิปนฺนานํ โว สงฺกิเลสิกา ธมฺมา ปหียิสฺสนฺติ, โวทานิยา ธมฺมา อภิวฑฺฒิสฺสนฺติ, ปญฺญาปาริปูรึ เวปุลฺลตฺตญฺจ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสถา'ติฯ

    ตํ กึ มญฺญสิ, โปฏฺฐปาท, นนุ เอวํ สนฺเต สปฺปาฏิหีรกตํ ภาสิตํ สมฺปชฺชตี”ติ? “อทฺธา โข, ภนฺเต, เอวํ สนฺเต สปฺปาฏิหีรกตํ ภาสิตํ สมฺปชฺชตี”ติฯ

    เอวํ วุตฺเต, จิตฺโต หตฺถิสาริปุตฺโต ภควนฺตํ เอตทโวจ: “ยสฺมึ, ภนฺเต, สมเย โอฬาริโก อตฺตปฏิลาโภ โหติ, โมฆสฺส ตสฺมึ สมเย มโนมโย อตฺตปฏิลาโภ โหติ, โมโฆ อรูโป อตฺตปฏิลาโภ โหติ; โอฬาริโก วาสฺส อตฺตปฏิลาโภ ตสฺมึ สมเย สจฺโจ โหติฯ ยสฺมึ, ภนฺเต, สมเย มโนมโย อตฺตปฏิลาโภ โหติ, โมฆสฺส ตสฺมึ สมเย โอฬาริโก อตฺตปฏิลาโภ โหติ, โมโฆ อรูโป อตฺตปฏิลาโภ โหติ; มโนมโย วาสฺส อตฺตปฏิลาโภ ตสฺมึ สมเย สจฺโจ โหติฯ ยสฺมึ, ภนฺเต, สมเย อรูโป อตฺตปฏิลาโภ โหติ, โมฆสฺส ตสฺมึ สมเย โอฬาริโก อตฺตปฏิลาโภ โหติ, โมโฆ มโนมโย อตฺตปฏิลาโภ โหติ; อรูโป วาสฺส อตฺตปฏิลาโภ ตสฺมึ สมเย สจฺโจ โหตี”ติฯ

    When the Buddha had spoken, Citta Hatthisāriputta said, “Sir, while in a substantial reincarnation, are the mind-made and formless reincarnations fictitious, and only the substantial reincarnation real? While in a mind-made reincarnation, are the substantial and formless reincarnations fictitious, and only the mind-made reincarnation real? While in a formless reincarnation, are the substantial and mind-made reincarnations fictitious, and only the formless reincarnation real?”

    “ยสฺมึ, จิตฺต, สมเย โอฬาริโก อตฺตปฏิลาโภ โหติ, เนว ตสฺมึ สมเย มโนมโย อตฺตปฏิลาโภติ สงฺขํ คจฺฉติ, น อรูโป อตฺตปฏิลาโภติ สงฺขํ คจฺฉติ; โอฬาริโก อตฺตปฏิลาโภเตฺวว ตสฺมึ สมเย สงฺขํ คจฺฉติฯ ยสฺมึ, จิตฺต, สมเย มโนมโย อตฺตปฏิลาโภ โหติ, เนว ตสฺมึ สมเย โอฬาริโก อตฺตปฏิลาโภติ สงฺขํ คจฺฉติ, น อรูโป อตฺตปฏิลาโภติ สงฺขํ คจฺฉติ; มโนมโย อตฺตปฏิลาโภเตฺวว ตสฺมึ สมเย สงฺขํ คจฺฉติฯ ยสฺมึ, จิตฺต, สมเย อรูโป อตฺตปฏิลาโภ โหติ, เนว ตสฺมึ สมเย โอฬาริโก อตฺตปฏิลาโภติ สงฺขํ คจฺฉติ, น มโนมโย อตฺตปฏิลาโภติ สงฺขํ คจฺฉติ; อรูโป อตฺตปฏิลาโภเตฺวว ตสฺมึ สมเย สงฺขํ คจฺฉติฯ

    “While in a substantial reincarnation, it’s not referred to as a mind-made or formless reincarnation, only as a substantial reincarnation. While in a mind-made reincarnation, it’s not referred to as a substantial or formless reincarnation, only as a mind-made reincarnation. While in a formless reincarnation, it’s not referred to as a substantial or mind-made reincarnation, only as a formless reincarnation.

    สเจ ตํ, จิตฺต, เอวํ ปุจฺเฉยฺยุํ: ‘อโหสิ ตฺวํ อตีตมทฺธานํ, น ตฺวํ นาโหสิ; ภวิสฺสสิ ตฺวํ อนาคตมทฺธานํ, น ตฺวํ น ภวิสฺสสิ; อตฺถิ ตฺวํ เอตรหิ, น ตฺวํ นตฺถี'ติฯ เอวํ ปุฏฺโฐ ตฺวํ, จิตฺต, กินฺติ พฺยากเรยฺยาสี”ติ?

    Citta, suppose they were to ask you, ‘Did you exist in the past? Will you exist in the future? Do you exist now?’ How would you answer?”

    “สเจ มํ, ภนฺเต, เอวํ ปุจฺเฉยฺยุํ: ‘อโหสิ ตฺวํ อตีตมทฺธานํ, น ตฺวํ น อโหสิ; ภวิสฺสสิ ตฺวํ อนาคตมทฺธานํ, น ตฺวํ น ภวิสฺสสิ; อตฺถิ ตฺวํ เอตรหิ, น ตฺวํ นตฺถี'ติฯ เอวํ ปุฏฺโฐ อหํ, ภนฺเต, เอวํ พฺยากเรยฺยํ: ‘อโหสาหํ อตีตมทฺธานํ, นาหํ น อโหสึ; ภวิสฺสามหํ อนาคตมทฺธานํ, นาหํ น ภวิสฺสามิ; อตฺถาหํ เอตรหิ, นาหํ นตฺถี'ติฯ เอวํ ปุฏฺโฐ อหํ, ภนฺเต, เอวํ พฺยากเรยฺยนฺ”ติฯ

    “Sir, if they were to ask me this, I’d answer like this, ‘I did exist in the past. I will exist in the future. I do exist now.’ That’s how I’d answer.”

    “สเจ ปน ตํ, จิตฺต, เอวํ ปุจฺเฉยฺยุํ: ‘โย เต อโหสิ อตีโต อตฺตปฏิลาโภ, โสว เต อตฺตปฏิลาโภ สจฺโจ, โมโฆ อนาคโต, โมโฆ ปจฺจุปฺปนฺโน? โย เต ภวิสฺสติ อนาคโต อตฺตปฏิลาโภ, โสว เต อตฺตปฏิลาโภ สจฺโจ, โมโฆ อตีโต, โมโฆ ปจฺจุปฺปนฺโน? โย เต เอตรหิ ปจฺจุปฺปนฺโน อตฺตปฏิลาโภ, โสว เต อตฺตปฏิลาโภ สจฺโจ, โมโฆ อตีโต, โมโฆ อนาคโต'ติฯ เอวํ ปุฏฺโฐ ตฺวํ, จิตฺต, กินฺติ พฺยากเรยฺยาสี”ติ?

    “But Citta, suppose they were to ask you, ‘Is the reincarnation you had in the past your only real one, and those of the future and present fictitious? Is the reincarnation you will have in the future your only real one, and those of the past and present fictitious? Is the reincarnation you have now your only real one, and those of the past and future fictitious?’ How would you answer?”

    “สเจ ปน มํ, ภนฺเต, เอวํ ปุจฺเฉยฺยุํ: ‘โย เต อโหสิ อตีโต อตฺตปฏิลาโภ, โสว เต อตฺตปฏิลาโภ สจฺโจ, โมโฆ อนาคโต, โมโฆ ปจฺจุปฺปนฺโนฯ โย เต ภวิสฺสติ อนาคโต อตฺตปฏิลาโภ, โสว เต อตฺตปฏิลาโภ สจฺโจ, โมโฆ อตีโต, โมโฆ ปจฺจุปฺปนฺโนฯ โย เต เอตรหิ ปจฺจุปฺปนฺโน อตฺตปฏิลาโภ, โสว เต อตฺตปฏิลาโภ สจฺโจ, โมโฆ อตีโต, โมโฆ อนาคโต'ติฯ เอวํ ปุฏฺโฐ อหํ, ภนฺเต, เอวํ พฺยากเรยฺยํ: ‘โย เม อโหสิ อตีโต อตฺตปฏิลาโภ, โสว เม อตฺตปฏิลาโภ ตสฺมึ สมเย สจฺโจ อโหสิ, โมโฆ อนาคโต, โมโฆ ปจฺจุปฺปนฺโนฯ โย เม ภวิสฺสติ อนาคโต อตฺตปฏิลาโภ, โสว เม อตฺตปฏิลาโภ ตสฺมึ สมเย สจฺโจ ภวิสฺสติ, โมโฆ อตีโต, โมโฆ ปจฺจุปฺปนฺโนฯ โย เม เอตรหิ ปจฺจุปฺปนฺโน อตฺตปฏิลาโภ, โสว เม อตฺตปฏิลาโภ สจฺโจ, โมโฆ อตีโต, โมโฆ อนาคโต'ติฯ เอวํ ปุฏฺโฐ อหํ, ภนฺเต, เอวํ พฺยากเรยฺยนฺ”ติฯ

    “Sir, if they were to ask me this, I’d answer like this, ‘The reincarnation I had in the past was real at that time, and those of the future and present fictitious. The reincarnation I will have in the future will be real at the time, and those of the past and present fictitious. The reincarnation I have now is real at this time, and those of the past and future fictitious.’ That’s how I’d answer.”

    “เอวเมว โข, จิตฺต, ยสฺมึ สมเย โอฬาริโก อตฺตปฏิลาโภ โหติ, เนว ตสฺมึ สมเย มโนมโย อตฺตปฏิลาโภติ สงฺขํ คจฺฉติ, น อรูโป อตฺตปฏิลาโภติ สงฺขํ คจฺฉติฯ โอฬาริโก อตฺตปฏิลาโภเตฺวว ตสฺมึ สมเย สงฺขํ คจฺฉติฯ ยสฺมึ, จิตฺต, สมเย มโนมโย อตฺตปฏิลาโภ โหติ …เป… ยสฺมึ, จิตฺต, สมเย อรูโป อตฺตปฏิลาโภ โหติ, เนว ตสฺมึ สมเย โอฬาริโก อตฺตปฏิลาโภติ สงฺขํ คจฺฉติ, น มโนมโย อตฺตปฏิลาโภติ สงฺขํ คจฺฉติ; อรูโป อตฺตปฏิลาโภเตฺวว ตสฺมึ สมเย สงฺขํ คจฺฉติฯ

    “In the same way, while in any one of the three reincarnations, it’s not referred to as the other two, only under its own name.

    เสยฺยถาปิ, จิตฺต, ควา ขีรํ, ขีรมฺหา ทธิ, ทธิมฺหา นวนีตํ, นวนีตมฺหา สปฺปิ, สปฺปิมฺหา สปฺปิมณฺโฑฯ ยสฺมึ สมเย ขีรํ โหติ, เนว ตสฺมึ สมเย ทธีติ สงฺขํ คจฺฉติ, น นวนีตนฺติ สงฺขํ คจฺฉติ, น สปฺปีติ สงฺขํ คจฺฉติ, น สปฺปิมณฺโฑติ สงฺขํ คจฺฉติ; ขีรนฺเตฺวว ตสฺมึ สมเย สงฺขํ คจฺฉติฯ ยสฺมึ สมเย ทธิ โหติ …เป… นวนีตํ โหติ … สปฺปิ โหติ … สปฺปิมณฺโฑ โหติ, เนว ตสฺมึ สมเย ขีรนฺติ สงฺขํ คจฺฉติ, น ทธีติ สงฺขํ คจฺฉติ, น นวนีตนฺติ สงฺขํ คจฺฉติ, น สปฺปีติ สงฺขํ คจฺฉติ; สปฺปิมณฺโฑเตฺวว ตสฺมึ สมเย สงฺขํ คจฺฉติฯ เอวเมว โข, จิตฺต, ยสฺมึ สมเย โอฬาริโก อตฺตปฏิลาโภ โหติ …เป… ยสฺมึ, จิตฺต, สมเย มโนมโย อตฺตปฏิลาโภ โหติ …เป… ยสฺมึ, จิตฺต, สมเย อรูโป อตฺตปฏิลาโภ โหติ, เนว ตสฺมึ สมเย โอฬาริโก อตฺตปฏิลาโภติ สงฺขํ คจฺฉติ, น มโนมโย อตฺตปฏิลาโภติ สงฺขํ คจฺฉติ; อรูโป อตฺตปฏิลาโภเตฺวว ตสฺมึ สมเย สงฺขํ คจฺฉติฯ อิมา โข, จิตฺต, โลกสมญฺญา โลกนิรุตฺติโย โลกโวหารา โลกปญฺญตฺติโย, ยาหิ ตถาคโต โวหรติ อปรามสนฺ”ติฯ

    From a cow comes milk, from milk comes curds, from curds come butter, from butter comes ghee, and from ghee comes cream of ghee. And the cream of ghee is said to be the best of these. While it’s milk, it’s not referred to as curds, butter, ghee, or cream of ghee. It’s only referred to as milk. While it’s curd or butter or ghee or cream of ghee, it’s not referred to as anything else, only under its own name. In the same way, while in any one of the three reincarnations, it’s not referred to as the other two, only under its own name. These are the world’s usages, terms, expressions, and descriptions, which the Realized One uses without misapprehending them.”

    เอวํ วุตฺเต, โปฏฺฐปาโท ปริพฺพาชโก ภควนฺตํ เอตทโวจ: “อภิกฺกนฺตํ, ภนฺเต, อภิกฺกนฺตํ, ภนฺเตฯ เสยฺยถาปิ, ภนฺเต, นิกฺกุชฺชิตํ วา อุกฺกุชฺเชยฺย, ปฏิจฺฉนฺนํ วา วิวเรยฺย, มูฬฺหสฺส วา มคฺคํ อาจิกฺเขยฺย, อนฺธกาเร วา เตลปชฺโชตํ ธาเรยฺย: ‘จกฺขุมนฺโต รูปานิ ทกฺขนฺตี'ติ; เอวเมวํ ภควตา อเนกปริยาเยน ธมฺโม ปกาสิโตฯ เอสาหํ, ภนฺเต, ภควนฺตํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจฯ อุปาสกํ มํ ภควา ธาเรตุ อชฺชตคฺเค ปาณุเปตํ สรณํ คตนฺ”ติฯ

    When he had spoken, the wanderer Poṭṭhapāda said to the Buddha, “Excellent, sir! Excellent! As if he were righting the overturned, or revealing the hidden, or pointing out the path to the lost, or lighting a lamp in the dark so people with clear eyes can see what’s there, so too the Buddha has made the teaching clear in many ways. I go for refuge to the Buddha, to the teaching, and to the bhikkhu Saṅgha. From this day forth, may the Buddha remember me as a lay follower who has gone for refuge for life.”

    ๒ฯ๓ฯ จิตฺตหตฺถิสาริปุตฺเตาปสมฺปทา

    2.3. The Ordination of Citta Hatthisāriputta

    จิตฺโต ปน หตฺถิสาริปุตฺโต ภควนฺตํ เอตทโวจ: “อภิกฺกนฺตํ, ภนฺเต, อภิกฺกนฺตํ, ภนฺเตฯ เสยฺยถาปิ, ภนฺเต, นิกฺกุชฺชิตํ วา อุกฺกุชฺเชยฺย, ปฏิจฺฉนฺนํ วา วิวเรยฺย, มูฬฺหสฺส วา มคฺคํ อาจิกฺเขยฺย, อนฺธกาเร วา เตลปชฺโชตํ ธาเรยฺย: ‘จกฺขุมนฺโต รูปานิ ทกฺขนฺตี'ติ; เอวเมวํ ภควตา อเนกปริยาเยน ธมฺโม ปกาสิโตฯ เอสาหํ, ภนฺเต, ภควนฺตํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจฯ ลเภยฺยาหํ, ภนฺเต, ภควโต สนฺติเก ปพฺพชฺชํ, ลเภยฺยํ อุปสมฺปทนฺ”ติฯ

    But Citta Hatthisāriputta said to the Buddha, “Excellent, sir! Excellent! As if he were righting the overturned, or revealing the hidden, or pointing out the path to the lost, or lighting a lamp in the dark so people with clear eyes can see what’s there, so too the Buddha has made the teaching clear in many ways. I go for refuge to the Buddha, to the teaching, and to the bhikkhu Saṅgha. Sir, may I receive the going forth, the ordination in the Buddha’s presence?”

    อลตฺถ โข จิตฺโต หตฺถิสาริปุตฺโต ภควโต สนฺติเก ปพฺพชฺชํ, อลตฺถ อุปสมฺปทํฯ อจิรูปสมฺปนฺโน โข ปนายสฺมา จิตฺโต หตฺถิสาริปุตฺโต เอโก วูปกฏฺโฐ อปฺปมตฺโต อาตาปี ปหิตตฺโต วิหรนฺโต น จิรเสฺสว—ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ, ตทนุตฺตรํ—พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหาสิฯ “ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา”ติ อพฺภญฺญาสิฯ อญฺญตโร โข ปนายสฺมา จิตฺโต หตฺถิสาริปุตฺโต อรหตํ อโหสีติฯ

    And Citta Hatthisāriputta received the going forth, the ordination in the Buddha’s presence. Not long after his ordination, Venerable Citta Hatthisāriputta, living alone, withdrawn, diligent, keen, and resolute, soon realized the supreme end of the spiritual path in this very life. He lived having achieved with his own insight the goal for which gentlemen rightly go forth from the lay life to homelessness. He understood: “Rebirth is ended; the spiritual journey has been completed; what had to be done has been done; there is no return to any state of existence.” And Venerable Citta Hatthisāriputta became one of the perfected.

    โปฏฺฐปาทสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ นวมํฯ





    The authoritative text of the Dīgha Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]


    © 1991-2024 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact