Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ทีฆ นิกาย (อฎฺฐกถา) • Dīgha nikāya (aṭṭhakathā) |
๙. โปฎฺฐปาทสุตฺตวณฺณนา
9. Poṭṭhapādasuttavaṇṇanā
โปฎฺฐปาทปริพฺพาชกวตฺถุวณฺณนา
Poṭṭhapādaparibbājakavatthuvaṇṇanā
๔๐๖. เอวํ เม สุตฺตํ…เป.… สาวตฺถิยนฺติ โปฎฺฐปาทสุตฺตํฯ ตตฺรายํ อปุพฺพปทวณฺณนาฯ สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมติ สาวตฺถิํ อุปนิสฺสาย โย เชตสฺส กุมารสฺส วเน อนาถปิณฺฑิเกน คหปตินา อาราโม การิโต, ตตฺถ วิหรติฯ โปฎฺฐปาโท ปริพฺพาชโกติ นาเมน โปฎฺฐปาโท นาม ฉนฺนปริพฺพาชโกฯ โส กิร คิหิกาเล พฺราหฺมณมหาสาโล กาเมสุอาทีนวํ ทิสฺวา จตฺตาลีสโกฎิปริมาณํ โภคกฺขนฺธํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา ติตฺถิยานํ คณาจริโย ชาโตฯ สมยํ ปวทนฺติ เอตฺถาติ สมยปฺปวาทโก, ตสฺมิํ กิร ฐาเน จงฺกีตารุกฺขโปกฺขรสาติปฺปภุตโย พฺราหฺมณา นิคณฺฐอเจลกปริพฺพาชกาทโย จ ปพฺพชิตา สนฺนิปติตฺวา อตฺตโน อตฺตโน สมยํ วทนฺติ กเถนฺติ ทีเปนฺติ, ตสฺมา โส อาราโม สมยปฺปวาทโกติ วุจฺจติฯ เสฺวว จ ตินฺทุกาจีรสงฺขาตาย ติมฺพรูรุกฺขปนฺติยา ปริกฺขิตฺตตฺตา ตินฺทุกาจีโรฯ ยสฺมา ปเนตฺถ ปฐมํ เอกาว สาลา อโหสิ, ปจฺฉา มหาปุญฺญํ ปริพฺพาชกํ นิสฺสาย พหู สาลา กตาฯ ตสฺมา ตเมว เอกํ สาลํ อุปาทาย ลทฺธนามวเสน เอกสาลโกติ วุจฺจติฯ มลฺลิกาย ปน ปเสนทิรโญฺญ เทวิยา อุยฺยานภูโต โส ปุปฺผผลสมฺปโนฺน อาราโมติ กตฺวา มลฺลิกาย อาราโมติ สงฺขฺยํ คโตฯ ตสฺมิํ สมยปฺปวาทเก ตินฺทุกาจีเร เอกสาลเก มลฺลิกาย อาราเมฯ
406.Evaṃme suttaṃ…pe… sāvatthiyanti poṭṭhapādasuttaṃ. Tatrāyaṃ apubbapadavaṇṇanā. Sāvatthiyaṃ viharati jetavane anāthapiṇḍikassa ārāmeti sāvatthiṃ upanissāya yo jetassa kumārassa vane anāthapiṇḍikena gahapatinā ārāmo kārito, tattha viharati. Poṭṭhapādo paribbājakoti nāmena poṭṭhapādo nāma channaparibbājako. So kira gihikāle brāhmaṇamahāsālo kāmesuādīnavaṃ disvā cattālīsakoṭiparimāṇaṃ bhogakkhandhaṃ pahāya pabbajitvā titthiyānaṃ gaṇācariyo jāto. Samayaṃ pavadanti etthāti samayappavādako, tasmiṃ kira ṭhāne caṅkītārukkhapokkharasātippabhutayo brāhmaṇā nigaṇṭhaacelakaparibbājakādayo ca pabbajitā sannipatitvā attano attano samayaṃ vadanti kathenti dīpenti, tasmā so ārāmo samayappavādakoti vuccati. Sveva ca tindukācīrasaṅkhātāya timbarūrukkhapantiyā parikkhittattā tindukācīro. Yasmā panettha paṭhamaṃ ekāva sālā ahosi, pacchā mahāpuññaṃ paribbājakaṃ nissāya bahū sālā katā. Tasmā tameva ekaṃ sālaṃ upādāya laddhanāmavasena ekasālakoti vuccati. Mallikāya pana pasenadirañño deviyā uyyānabhūto so pupphaphalasampanno ārāmoti katvā mallikāya ārāmoti saṅkhyaṃ gato. Tasmiṃ samayappavādake tindukācīre ekasālake mallikāya ārāme.
ปฎิวสตีติ นิวาสผาสุตาย วสติฯ อเถกทิวสํ ภควา ปจฺจูสสมเย สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ปตฺถริตฺวา โลกํ ปริคฺคณฺหโนฺต ญาณชาลสฺส อโนฺตคตํ ปริพฺพาชกํ ทิสฺวา – ‘‘อยํ โปฎฺฐปาโท มยฺหํ ญาณชาเล ปญฺญายติ, กินฺนุ โข ภวิสฺสตี’’ติ อุปปริกฺขโนฺต อทฺทส – ‘‘อหํ อชฺช ตตฺถ คมิสฺสามิ, อถ มํ โปฎฺฐปาโท นิโรธญฺจ นิโรธวุฎฺฐานญฺจ ปุจฺฉิสฺสติ, ตสฺสาหํ สพฺพพุทฺธานํ ญาเณน สํสนฺทิตฺวา ตทุภยํ กเถสฺสามิ, อถ โส กติปาหจฺจเยน จิตฺตํ หตฺถิสาริปุตฺตํ คเหตฺวา มม สนฺติกํ อาคมิสฺสติ, เตสมหํ ธมฺมํ เทเสสฺสามิ, เทสนาวสาเน โปฎฺฐปาโท มํ สรณํ คมิสฺสติ, จิโตฺต หตฺถิสาริปุโตฺต มม สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิสฺสตี’’ติฯ ตโต ปาโตว สรีรปฎิชคฺคนํ กตฺวา สุรตฺตทุปฎฺฎํ นิวาเสตฺวา วิชฺชุลตาสทิสํ กายพนฺธนํ พนฺธิตฺวา ยุคนฺธรปพฺพตํ ปริกฺขิปิตฺวา ฐิตมหาเมฆํ วิย เมฆวณฺณํ ปํสุกูลํ เอกํสวรคตํ กตฺวา ปจฺจคฺฆํ เสลมยปตฺตํ วามอํสกูเฎ ลเคฺคตฺวา สาวตฺถิํ ปิณฺฑาย ปวิสิสฺสามีติ สีโห วิย หิมวนฺตปาทา วิหารา นิกฺขมิฯ อิมมตฺถํ สนฺธาย – ‘‘อถ โข ภควา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ
Paṭivasatīti nivāsaphāsutāya vasati. Athekadivasaṃ bhagavā paccūsasamaye sabbaññutaññāṇaṃ pattharitvā lokaṃ pariggaṇhanto ñāṇajālassa antogataṃ paribbājakaṃ disvā – ‘‘ayaṃ poṭṭhapādo mayhaṃ ñāṇajāle paññāyati, kinnu kho bhavissatī’’ti upaparikkhanto addasa – ‘‘ahaṃ ajja tattha gamissāmi, atha maṃ poṭṭhapādo nirodhañca nirodhavuṭṭhānañca pucchissati, tassāhaṃ sabbabuddhānaṃ ñāṇena saṃsanditvā tadubhayaṃ kathessāmi, atha so katipāhaccayena cittaṃ hatthisāriputtaṃ gahetvā mama santikaṃ āgamissati, tesamahaṃ dhammaṃ desessāmi, desanāvasāne poṭṭhapādo maṃ saraṇaṃ gamissati, citto hatthisāriputto mama santike pabbajitvā arahattaṃ pāpuṇissatī’’ti. Tato pātova sarīrapaṭijagganaṃ katvā surattadupaṭṭaṃ nivāsetvā vijjulatāsadisaṃ kāyabandhanaṃ bandhitvā yugandharapabbataṃ parikkhipitvā ṭhitamahāmeghaṃ viya meghavaṇṇaṃ paṃsukūlaṃ ekaṃsavaragataṃ katvā paccagghaṃ selamayapattaṃ vāmaaṃsakūṭe laggetvā sāvatthiṃ piṇḍāya pavisissāmīti sīho viya himavantapādā vihārā nikkhami. Imamatthaṃ sandhāya – ‘‘atha kho bhagavā’’tiādi vuttaṃ.
๔๐๗. เอตทโหสีติ นครทฺวารสมีปํ คนฺตฺวา อตฺตโน รุจิวเสน สูริยํ โอโลเกตฺวา อติปฺปคภาวเมว ทิสฺวา เอตํ อโหสิฯ ยํนูนาหนฺติ สํสยปริทีปโน วิย นิปาโต, พุทฺธานญฺจ สํสโย นาม นตฺถิ – ‘‘อิทํ กริสฺสาม, อิทํ น กริสฺสาม, อิมสฺส ธมฺมํ เทเสสฺสาม, อิมสฺส น เทเสสฺสามา’’ติ เอวํ ปริวิตกฺกปุพฺพภาโค ปเนส สพฺพพุทฺธานํ ลพฺภติฯ เตนาห – ‘‘ยํนูนาห’’นฺติ, ยทิ ปนาหนฺติ อโตฺถฯ
407.Etadahosīti nagaradvārasamīpaṃ gantvā attano rucivasena sūriyaṃ oloketvā atippagabhāvameva disvā etaṃ ahosi. Yaṃnūnāhanti saṃsayaparidīpano viya nipāto, buddhānañca saṃsayo nāma natthi – ‘‘idaṃ karissāma, idaṃ na karissāma, imassa dhammaṃ desessāma, imassa na desessāmā’’ti evaṃ parivitakkapubbabhāgo panesa sabbabuddhānaṃ labbhati. Tenāha – ‘‘yaṃnūnāha’’nti, yadi panāhanti attho.
๔๐๘. อุนฺนาทินิยาติ อุจฺจํ นทมานาย, เอวํ นทมานาย จสฺสา อุทฺธํ คมนวเสน อุโจฺจ, ทิสาสุ ปตฺถฎวเสน มหา สโทฺทติ อุจฺจาสทฺทมหาสทฺทาย, เตสญฺหิ ปริพฺพาชกานํ ปาโตว วุฎฺฐาย กตฺตพฺพํ นาม เจติยวตฺตํ วา โพธิวตฺตํ วา อาจริยุปชฺฌายวตฺตํ วา โยนิโส มนสิกาโร วา นตฺถิฯ เตน เต ปาโตว วุฎฺฐาย พาลาตเป นิสินฺนา – ‘‘อิมสฺส หโตฺถ โสภโน, อิมสฺส ปาโท’’ติ เอวํ อญฺญมญฺญสฺส หตฺถปาทาทีนิ วา อารพฺภ, อิตฺถิปุริสทารกทาริกาทีนํ วเณฺณ วา, อญฺญํ วา กามสฺสาทภวสฺสาทาทิวตฺถุํ อารพฺภ กถํ สมุฎฺฐาเปตฺวา อนุปุเพฺพน ราชกถาทิอเนกวิธํ ติรจฺฉานกถํ กเถนฺติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อุนฺนาทินิยา อุจฺจาสทฺทมหาสทฺทาย อเนกวิหิตํ ติรจฺฉานกถํ กเถนฺติยา’’ติฯ
408.Unnādiniyāti uccaṃ nadamānāya, evaṃ nadamānāya cassā uddhaṃ gamanavasena ucco, disāsu patthaṭavasena mahā saddoti uccāsaddamahāsaddāya, tesañhi paribbājakānaṃ pātova vuṭṭhāya kattabbaṃ nāma cetiyavattaṃ vā bodhivattaṃ vā ācariyupajjhāyavattaṃ vā yoniso manasikāro vā natthi. Tena te pātova vuṭṭhāya bālātape nisinnā – ‘‘imassa hattho sobhano, imassa pādo’’ti evaṃ aññamaññassa hatthapādādīni vā ārabbha, itthipurisadārakadārikādīnaṃ vaṇṇe vā, aññaṃ vā kāmassādabhavassādādivatthuṃ ārabbha kathaṃ samuṭṭhāpetvā anupubbena rājakathādianekavidhaṃ tiracchānakathaṃ kathenti. Tena vuttaṃ – ‘‘unnādiniyā uccāsaddamahāsaddāya anekavihitaṃ tiracchānakathaṃ kathentiyā’’ti.
ตโต โปฎฺฐปาโท ปริพฺพาชโก เต ปริพฺพาชเก โอโลเกตฺวา – ‘‘อิเม ปริพฺพาชกา อติวิย อญฺญมญฺญํ อคารวา, มยญฺจ สมณสฺส โคตมสฺส ปาตุภาวโต ปฎฺฐาย สูริยุคฺคมเน ขโชฺชปนกูปมา ชาตา, ลาภสกฺกาโรปิ โน ปริหีโนฯ สเจ ปนิมํ ฐานํ สมโณ โคตโม วา โคตมสฺส สาวโก วา คิหี อุปฎฺฐาโก วา ตสฺส อาคเจฺฉยฺย , อติวิย ลชฺชนียํ ภวิสฺสติ, ปริสโทโส โข ปน ปริสเชฎฺฐกเสฺสว อุปริ อาโรหตี’’ติ อิโตจิโต จ วิโลเกโนฺต ภควนฺตํ อทฺทสฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อทฺทสา โข โปฎฺฐปาโท ปริพฺพาชโก…เป.… ตุณฺหี อเหสุ’’นฺติฯ
Tato poṭṭhapādo paribbājako te paribbājake oloketvā – ‘‘ime paribbājakā ativiya aññamaññaṃ agāravā, mayañca samaṇassa gotamassa pātubhāvato paṭṭhāya sūriyuggamane khajjopanakūpamā jātā, lābhasakkāropi no parihīno. Sace panimaṃ ṭhānaṃ samaṇo gotamo vā gotamassa sāvako vā gihī upaṭṭhāko vā tassa āgaccheyya , ativiya lajjanīyaṃ bhavissati, parisadoso kho pana parisajeṭṭhakasseva upari ārohatī’’ti itocito ca vilokento bhagavantaṃ addasa. Tena vuttaṃ – ‘‘addasā kho poṭṭhapādo paribbājako…pe… tuṇhī ahesu’’nti.
๔๐๙. ตตฺถ สณฺฐเปสีติ สิกฺขาเปสิ, วชฺชมสฺสา ปฎิจฺฉาเทสิฯ ยถา สุสณฺฐิตา โหติ, ตถา นํ ฐเปสิฯ ยถา นาม ปริสมชฺฌํ ปวิสโนฺต ปุริโส วชฺชปฎิจฺฉาทนตฺถํ นิวาสนํ สณฺฐเปติ, ปารุปนํ สณฺฐเปติ, รโชกิณฺณฎฺฐานํ ปุญฺฉติ; เอวมสฺสา วชฺชปฎิจฺฉาทนตฺถํ – ‘‘อปฺปสทฺทา โภโนฺต’’ติ สิกฺขาเปโนฺต ยถา สุสณฺฐิตา โหติ, ตถา นํ ฐเปสีติ อโตฺถฯ อปฺปสทฺทกาโมติ อปฺปสทฺทํ อิจฺฉติ, เอโก นิสีทติ, เอโก ติฎฺฐติ, น คณสงฺคณิกาย ยาเปติฯ อุปสงฺกมิตพฺพํ มเญฺญยฺยาติ อิธาคนฺตพฺพํ มเญฺญยฺยฯ กสฺมา ปเนส ภควโต อุปสงฺกมนํ ปจฺจาสีสตีติ? อตฺตโน วุทฺธิํ ปตฺถยมาโนฯ ปริพฺพาชกา กิร พุเทฺธสุ วา พุทฺธสาวเกสุ วา อตฺตโน สนฺติกํ อาคเตสุ – ‘‘อชฺช อมฺหากํ สนฺติกํ สมโณ โคตโม อาคโต , สาริปุโตฺต อาคโต, น โข ปน เต ยสฺส วา ตสฺส วา สนฺติกํ คจฺฉนฺติ, ปสฺสถ อมฺหากํ อุตฺตมภาว’’นฺติ อตฺตโน อุปฎฺฐากานํ สนฺติเก อตฺตานํ อุกฺขิปนฺติ, อุเจฺจ ฐาเน ฐเปนฺติ, ภควโตปิ อุปฎฺฐาเก คณฺหิตุํ วายมนฺติฯ เต กิร ภควโต อุปฎฺฐาเก ทิสฺวา เอวํ วทนฺติ – ‘‘ตุมฺหากํ สตฺถา ภวํ โคตโมปิ โคตมสาวกาปิ อมฺหากํ สนฺติกํ อาคจฺฉนฺติ, มยํ อญฺญมญฺญํ สมคฺคาฯ ตุเมฺห ปน อเมฺห อกฺขีหิปิ ปสฺสิตุํ น อิจฺฉถ, สามีจิกมฺมํ น กโรถ, กิํ โว อเมฺหหิ อปรทฺธ’’นฺติฯ อเถกเจฺจ มนุสฺสา – ‘‘พุทฺธาปิ เอเตสํ สนฺติกํ คจฺฉนฺติ กิํ อมฺหาก’’นฺติ ตโต ปฎฺฐาย เต ทิสฺวา นปฺปมชฺชนฺติฯ ตุณฺหี อเหสุนฺติ โปฎฺฐปาทํ ปริวาเรตฺวา นิสฺสทฺทา นิสีทิํสุฯ
409. Tattha saṇṭhapesīti sikkhāpesi, vajjamassā paṭicchādesi. Yathā susaṇṭhitā hoti, tathā naṃ ṭhapesi. Yathā nāma parisamajjhaṃ pavisanto puriso vajjapaṭicchādanatthaṃ nivāsanaṃ saṇṭhapeti, pārupanaṃ saṇṭhapeti, rajokiṇṇaṭṭhānaṃ puñchati; evamassā vajjapaṭicchādanatthaṃ – ‘‘appasaddā bhonto’’ti sikkhāpento yathā susaṇṭhitā hoti, tathā naṃ ṭhapesīti attho. Appasaddakāmoti appasaddaṃ icchati, eko nisīdati, eko tiṭṭhati, na gaṇasaṅgaṇikāya yāpeti. Upasaṅkamitabbaṃ maññeyyāti idhāgantabbaṃ maññeyya. Kasmā panesa bhagavato upasaṅkamanaṃ paccāsīsatīti? Attano vuddhiṃ patthayamāno. Paribbājakā kira buddhesu vā buddhasāvakesu vā attano santikaṃ āgatesu – ‘‘ajja amhākaṃ santikaṃ samaṇo gotamo āgato , sāriputto āgato, na kho pana te yassa vā tassa vā santikaṃ gacchanti, passatha amhākaṃ uttamabhāva’’nti attano upaṭṭhākānaṃ santike attānaṃ ukkhipanti, ucce ṭhāne ṭhapenti, bhagavatopi upaṭṭhāke gaṇhituṃ vāyamanti. Te kira bhagavato upaṭṭhāke disvā evaṃ vadanti – ‘‘tumhākaṃ satthā bhavaṃ gotamopi gotamasāvakāpi amhākaṃ santikaṃ āgacchanti, mayaṃ aññamaññaṃ samaggā. Tumhe pana amhe akkhīhipi passituṃ na icchatha, sāmīcikammaṃ na karotha, kiṃ vo amhehi aparaddha’’nti. Athekacce manussā – ‘‘buddhāpi etesaṃ santikaṃ gacchanti kiṃ amhāka’’nti tato paṭṭhāya te disvā nappamajjanti. Tuṇhī ahesunti poṭṭhapādaṃ parivāretvā nissaddā nisīdiṃsu.
๔๑๐. สฺวาคตํ, ภเนฺตติ สุฎฺฐุ อาคมนํ, ภเนฺต, ภควโต; ภควติ หิ โน อาคเต อานโนฺท โหติ, คเต โสโกติ ทีเปติฯ จิรสฺสํ โข, ภเนฺตติ กสฺมา อาห? กิํ ภควา ปุเพฺพปิ ตตฺถ คตปุโพฺพติ, น คตปุโพฺพฯ มนุสฺสานํ ปน – ‘‘กุหิํ คจฺฉนฺตา, กุโต อาคตตฺถ, กิํ มคฺคมูฬฺหตฺถ, จิรสฺสํ อาคตตฺถา’’ติ เอวมาทโย ปิยสมุทาจารา โหนฺติ, ตสฺมา เอวมาหฯ เอวญฺจ ปน วตฺวา น มานถโทฺธ หุตฺวา นิสีทิ, อุฎฺฐายาสนา ภควโต ปจฺจุคฺคมนมกาสิฯ ภควนฺตญฺหิ อุปคตํ ทิสฺวา อาสเนน อนิมเนฺตโนฺต วา อปจิติํ อกโรโนฺต วา ทุลฺลโภฯ กสฺมา? อุจฺจากุลีนตายฯ อยมฺปิ ปริพฺพาชโก อตฺตโน นิสินฺนาสนํ ปโปฺผเฎตฺวา ภควนฺตํ อาสเนน นิมเนฺตโนฺต – ‘‘นิสีทตุ, ภเนฺต, ภควา อิทมาสนํ ปญฺญตฺต’’นฺติ อาหฯ อนฺตรากถา วิปฺปกตาติ นิสินฺนานํ โว อาทิโต ปฎฺฐาย ยาว มมาคมนํ, เอตสฺมิํ อนฺตเร กา นาม กถา วิปฺปกตา, มมาคมนปจฺจยา กตมา กถา ปริยนฺตํ น คตา, วทถ, ยาว นํ ปริยนฺตํ เนตฺวา เทมีติ สพฺพญฺญุปวารณํ ปวาเรสิฯ อถ ปริพฺพาชโก – ‘‘นิรตฺถกกถา เอสา นิสฺสารา วฎฺฎสนฺนิสฺสิตา, น ตุมฺหากํ ปุรโต วตฺตพฺพตํ อรหตี’’ติ ทีเปโนฺต ‘‘ติฎฺฐเตสา , ภเนฺต’’ติอาทิมาหฯ
410.Svāgataṃ, bhanteti suṭṭhu āgamanaṃ, bhante, bhagavato; bhagavati hi no āgate ānando hoti, gate sokoti dīpeti. Cirassaṃ kho, bhanteti kasmā āha? Kiṃ bhagavā pubbepi tattha gatapubboti, na gatapubbo. Manussānaṃ pana – ‘‘kuhiṃ gacchantā, kuto āgatattha, kiṃ maggamūḷhattha, cirassaṃ āgatatthā’’ti evamādayo piyasamudācārā honti, tasmā evamāha. Evañca pana vatvā na mānathaddho hutvā nisīdi, uṭṭhāyāsanā bhagavato paccuggamanamakāsi. Bhagavantañhi upagataṃ disvā āsanena animantento vā apacitiṃ akaronto vā dullabho. Kasmā? Uccākulīnatāya. Ayampi paribbājako attano nisinnāsanaṃ papphoṭetvā bhagavantaṃ āsanena nimantento – ‘‘nisīdatu, bhante, bhagavā idamāsanaṃ paññatta’’nti āha. Antarākathā vippakatāti nisinnānaṃ vo ādito paṭṭhāya yāva mamāgamanaṃ, etasmiṃ antare kā nāma kathā vippakatā, mamāgamanapaccayā katamā kathā pariyantaṃ na gatā, vadatha, yāva naṃ pariyantaṃ netvā demīti sabbaññupavāraṇaṃ pavāresi. Atha paribbājako – ‘‘niratthakakathā esā nissārā vaṭṭasannissitā, na tumhākaṃ purato vattabbataṃ arahatī’’ti dīpento ‘‘tiṭṭhatesā , bhante’’tiādimāha.
อภิสญฺญานิโรธกถาวณฺณนา
Abhisaññānirodhakathāvaṇṇanā
๔๑๑. ติฎฺฐเตสา , ภเนฺตติ สเจ ภควา โสตุกาโม ภวิสฺสติ, ปจฺฉาเปสา กถา น ทุลฺลภา ภวิสฺสติ, อมฺหากํ ปนิมาย กถาย อโตฺถ นตฺถิฯ ภควโต ปนาคมนํ ลภิตฺวา มยํ อญฺญเทว สุการณํ ปุจฺฉามาติ ทีเปติฯ ตโต ตํ ปุจฺฉโนฺต – ‘‘ปุริมานิ, ภเนฺต’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ โกตูหลสาลายนฺติ โกตูหลสาลา นาม ปเจฺจกสาลา นตฺถิฯ ยตฺถ ปน นานาติตฺถิยา สมณพฺราหฺมณา นานาวิธํ กถํ ปวเตฺตนฺติ, สา พหูนํ – ‘‘อยํ กิํ วทติ, อยํ กิํ วทตี’’ติ โกตูหลุปฺปตฺติฎฺฐานโต โกตูหลสาลาติ วุจฺจติฯ อภิสญฺญานิโรเธติ เอตฺถ อภีติ อุปสคฺคมตฺตํฯ สญฺญานิโรเธติ จิตฺตนิโรเธ, ขณิกนิโรเธ กถา อุปฺปนฺนาติ อโตฺถฯ อิทํ ปน ตสฺสา อุปฺปตฺติการณํฯ ยทา กิร ภควา ชาตกํ วา กเถติ, สิกฺขาปทํ วา ปญฺญเปติ ตทา สกลชมฺพุทีเป ภควโต กิตฺติโฆโส ปตฺถรติ, ติตฺถิยา ตํ สุตฺวา – ‘‘ภวํ กิร โคตโม ปุพฺพจริยํ กเถสิ, มยํ กิํ น สโกฺกม ตาทิสํ กิญฺจิ กเถตุ’’นฺติ ภควโต ปฎิภาคกิริยํ กโรนฺตา เอกํ ภวนฺตรสมยํ กเถนฺติ – ‘‘ภวํ โคตโม สิกฺขาปทํ ปญฺญเปสิ, มยํ กิํ น สโกฺกม ปญฺญเปตุ’’นฺติ อตฺตโน สาวกานํ กิญฺจิเทว สิกฺขาปทํ ปญฺญเปนฺติฯ ตทา ปน ภควา อฎฺฐวิธปริสมเชฺฌ นิสีทิตฺวา นิโรธกถํ กเถสิฯ ติตฺถิยา ตํ สุตฺวา – ‘‘ภวํ กิร โคตโม นิโรธํ นาม กเถสิ, มยมฺปิ ตํ กเถสฺสามา’’ติ สนฺนิปติตฺวา กถยิํสุฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อภิสญฺญานิโรเธ กถา อุทปาที’’ติฯ
411.Tiṭṭhatesā, bhanteti sace bhagavā sotukāmo bhavissati, pacchāpesā kathā na dullabhā bhavissati, amhākaṃ panimāya kathāya attho natthi. Bhagavato panāgamanaṃ labhitvā mayaṃ aññadeva sukāraṇaṃ pucchāmāti dīpeti. Tato taṃ pucchanto – ‘‘purimāni, bhante’’tiādimāha. Tattha kotūhalasālāyanti kotūhalasālā nāma paccekasālā natthi. Yattha pana nānātitthiyā samaṇabrāhmaṇā nānāvidhaṃ kathaṃ pavattenti, sā bahūnaṃ – ‘‘ayaṃ kiṃ vadati, ayaṃ kiṃ vadatī’’ti kotūhaluppattiṭṭhānato kotūhalasālāti vuccati. Abhisaññānirodheti ettha abhīti upasaggamattaṃ. Saññānirodheti cittanirodhe, khaṇikanirodhe kathā uppannāti attho. Idaṃ pana tassā uppattikāraṇaṃ. Yadā kira bhagavā jātakaṃ vā katheti, sikkhāpadaṃ vā paññapeti tadā sakalajambudīpe bhagavato kittighoso pattharati, titthiyā taṃ sutvā – ‘‘bhavaṃ kira gotamo pubbacariyaṃ kathesi, mayaṃ kiṃ na sakkoma tādisaṃ kiñci kathetu’’nti bhagavato paṭibhāgakiriyaṃ karontā ekaṃ bhavantarasamayaṃ kathenti – ‘‘bhavaṃ gotamo sikkhāpadaṃ paññapesi, mayaṃ kiṃ na sakkoma paññapetu’’nti attano sāvakānaṃ kiñcideva sikkhāpadaṃ paññapenti. Tadā pana bhagavā aṭṭhavidhaparisamajjhe nisīditvā nirodhakathaṃ kathesi. Titthiyā taṃ sutvā – ‘‘bhavaṃ kira gotamo nirodhaṃ nāma kathesi, mayampi taṃ kathessāmā’’ti sannipatitvā kathayiṃsu. Tena vuttaṃ – ‘‘abhisaññānirodhe kathā udapādī’’ti.
ตเตฺรกเจฺจติ เตสุ เอกเจฺจฯ ปุริโม เจตฺถ ยฺวายํ พาหิเร ติตฺถายตเน ปพฺพชิโต จิตฺตปฺปวตฺติยํ โทสํ ทิสฺวา อจิตฺตกภาโว สโนฺตติ สมาปตฺติํ ภาเวตฺวา อิโต จุโต ปญฺจ กปฺปสตานิ อสญฺญีภเว ฐตฺวา ปุน อิธ อุปฺปชฺชติฯ ตสฺส สญฺญุปฺปาเท จ นิโรเธ จ เหตุํ อปสฺสโนฺต – อเหตู อปฺปจฺจยาติ อาหฯ
Tatrekacceti tesu ekacce. Purimo cettha yvāyaṃ bāhire titthāyatane pabbajito cittappavattiyaṃ dosaṃ disvā acittakabhāvo santoti samāpattiṃ bhāvetvā ito cuto pañca kappasatāni asaññībhave ṭhatvā puna idha uppajjati. Tassa saññuppāde ca nirodhe ca hetuṃ apassanto – ahetū appaccayāti āha.
ทุติโย นํ นิเสเธตฺวา มิคสิงฺคตาปสสฺส อสญฺญกภาวํ คเหตฺวา – ‘‘อุเปติปิ อเปติปี’’ติ อาหฯ มิคสิงฺคตาปโส กิร อตฺตนฺตโป โฆรตโป ปรมธิตินฺทฺริโย อโหสิฯ ตสฺส สีลเตเชน สกฺกวิมานํ อุณฺหํ อโหสิฯ สโกฺก เทวราชา ‘‘สกฺกฎฺฐานํ นุ โข ตาปโส ปเตฺถตี’’ติ อลมฺพุสํ นาม เทวกญฺญํ – ‘ตาปสสฺส ตปํ ภินฺทิตฺวา เอหี’ติ เปเสสิฯ สา ตตฺถ คตาฯ ตาปโส ปฐมทิวเส ตํ ทิสฺวาว ปลายิตฺวา ปณฺณสาลํ ปาวิสิฯ ทุติยทิวเส กามจฺฉนฺทนีวรเณน ภโคฺค ตํ หเตฺถ อคฺคเหสิ, โส เตน ทิพฺพผเสฺสน ผุโฎฺฐ วิสญฺญี หุตฺวา ติณฺณํ สํวจฺฉรานํ อจฺจเยน สญฺญํ ปฎิลภิฯ ตํ โส ทิฎฺฐิคติโก – ‘‘ติณฺณํ สํวจฺฉรานํ อจฺจเยน นิโรธา วุฎฺฐิโต’’ติ มญฺญมาโน เอวมาหฯ
Dutiyo naṃ nisedhetvā migasiṅgatāpasassa asaññakabhāvaṃ gahetvā – ‘‘upetipi apetipī’’ti āha. Migasiṅgatāpaso kira attantapo ghoratapo paramadhitindriyo ahosi. Tassa sīlatejena sakkavimānaṃ uṇhaṃ ahosi. Sakko devarājā ‘‘sakkaṭṭhānaṃ nu kho tāpaso patthetī’’ti alambusaṃ nāma devakaññaṃ – ‘tāpasassa tapaṃ bhinditvā ehī’ti pesesi. Sā tattha gatā. Tāpaso paṭhamadivase taṃ disvāva palāyitvā paṇṇasālaṃ pāvisi. Dutiyadivase kāmacchandanīvaraṇena bhaggo taṃ hatthe aggahesi, so tena dibbaphassena phuṭṭho visaññī hutvā tiṇṇaṃ saṃvaccharānaṃ accayena saññaṃ paṭilabhi. Taṃ so diṭṭhigatiko – ‘‘tiṇṇaṃ saṃvaccharānaṃ accayena nirodhā vuṭṭhito’’ti maññamāno evamāha.
ตติโย นํ นิเสเธตฺวา อาถพฺพณปโยคํ สนฺธาย ‘‘อุปกฑฺฒนฺติปิ อปกฑฺฒนฺติปี’’ติ อาหฯ อาถพฺพณิกา กิร อาถพฺพณํ ปโยเชตฺวา สตฺตํ สีสจฺฉินฺนํ วิย หตฺถจฺฉินฺนํ วิย มตํ วิย จ กตฺวา ทเสฺสนฺติฯ ตสฺส ปุน ปากติกภาวํ ทิสฺวา โส ทิฎฺฐิคติโก – ‘‘นิโรธา วุฎฺฐิโต อย’’นฺติ มญฺญมาโน เอวมาหฯ
Tatiyo naṃ nisedhetvā āthabbaṇapayogaṃ sandhāya ‘‘upakaḍḍhantipi apakaḍḍhantipī’’ti āha. Āthabbaṇikā kira āthabbaṇaṃ payojetvā sattaṃ sīsacchinnaṃ viya hatthacchinnaṃ viya mataṃ viya ca katvā dassenti. Tassa puna pākatikabhāvaṃ disvā so diṭṭhigatiko – ‘‘nirodhā vuṭṭhito aya’’nti maññamāno evamāha.
จตุโตฺถ นํ นิเสเธตฺวา ยกฺขทาสีนํ มทนิทฺทํ สนฺธาย ‘‘สนฺติ หิ โภ เทวตา’’ติอาทิมาหฯ ยกฺขทาสิโย กิร สพฺพรตฺติํ เทวตูปหารํ กุรุมานา นจฺจิตฺวา คายิตฺวา อรุโณทเย เอกํ สุราปาติํ ปิวิตฺวา ปริวตฺติตฺวา สุปิตฺวา ทิวา วุฎฺฐหนฺติฯ ตํ ทิสฺวา โส ทิฎฺฐิคติโก – ‘‘สุตฺตกาเล นิโรธํ สมาปนฺนา, ปพุทฺธกาเล นิโรธา วุฎฺฐิตา’’ติ มญฺญมาโน เอวมาหฯ
Catuttho naṃ nisedhetvā yakkhadāsīnaṃ madaniddaṃ sandhāya ‘‘santi hi bho devatā’’tiādimāha. Yakkhadāsiyo kira sabbarattiṃ devatūpahāraṃ kurumānā naccitvā gāyitvā aruṇodaye ekaṃ surāpātiṃ pivitvā parivattitvā supitvā divā vuṭṭhahanti. Taṃ disvā so diṭṭhigatiko – ‘‘suttakāle nirodhaṃ samāpannā, pabuddhakāle nirodhā vuṭṭhitā’’ti maññamāno evamāha.
อยํ ปน โปฎฺฐปาโท ปริพฺพาชโก ปณฺฑิตชาติโกฯ เตนสฺส ตํ กถํ สุตฺวา วิปฺปฎิสาโร อุปฺปชฺชิฯ ‘‘อิเมสํ กถา เอฬมูคกถา วิย จตฺตาโร หิ นิโรเธ เอเต ปญฺญเปนฺติ, อิมินา จ นิโรเธน นาม เอเกน ภวิตพฺพํ, น พหุนาฯ เตนาปิ เอเกน อเญฺญเนว ภวิตพฺพํ, โส ปน อเญฺญน ญาตุํ น สกฺกา อญฺญตฺร สพฺพญฺญุนาฯ สเจ ภควา อิธ อภวิสฺส ‘อยํ นิโรโธ อยํ น นิโรโธ’ติ ทีปสหสฺสํ วิย อุชฺชาเลตฺวา อชฺชเมว ปากฎํ อกริสฺสา’’ติ ทสพลเญฺญว อนุสฺสริฯ ตสฺมา ‘‘ตสฺส มยฺหํ ภเนฺต’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อโห นูนาติ อนุสฺสรณเตฺถ นิปาตทฺวยํ, เตน ตสฺส ภควนฺตํ อนุสฺสรนฺตสฺส เอตทโหสิ ‘‘อโห นูน ภควา อโห นูน สุคโต’’ติฯ โย อิเมสนฺติ โย เอเตสํ นิโรธธมฺมานํ สุกุสโล นิปุโณ เฉโก, โส ภควา อโห นูน กเถยฺย, สุคโต อโห นูน กเถยฺยาติ อยเมตฺถ อธิปฺปาโยฯ ปกตญฺญูติ จิณฺณวสิตาย ปกติํ สภาวํ ชานาตีติ ปกตญฺญูฯ กถํ นุ โขติ อิทํ ปริพฺพาชโก ‘‘มยํ ภควา น ชานาม, ตุเมฺห ชานาถ, กเถถ โน’’ติ อายาจโนฺต วทติฯ อถ ภควา กเถโนฺต ‘‘ตตฺร โปฎฺฐปาทา’’ติอาทิมาหฯ
Ayaṃ pana poṭṭhapādo paribbājako paṇḍitajātiko. Tenassa taṃ kathaṃ sutvā vippaṭisāro uppajji. ‘‘Imesaṃ kathā eḷamūgakathā viya cattāro hi nirodhe ete paññapenti, iminā ca nirodhena nāma ekena bhavitabbaṃ, na bahunā. Tenāpi ekena aññeneva bhavitabbaṃ, so pana aññena ñātuṃ na sakkā aññatra sabbaññunā. Sace bhagavā idha abhavissa ‘ayaṃ nirodho ayaṃ na nirodho’ti dīpasahassaṃ viya ujjāletvā ajjameva pākaṭaṃ akarissā’’ti dasabalaññeva anussari. Tasmā ‘‘tassa mayhaṃ bhante’’tiādimāha. Tattha aho nūnāti anussaraṇatthe nipātadvayaṃ, tena tassa bhagavantaṃ anussarantassa etadahosi ‘‘aho nūna bhagavā aho nūna sugato’’ti. Yo imesanti yo etesaṃ nirodhadhammānaṃ sukusalo nipuṇo cheko, so bhagavā aho nūna katheyya, sugato aho nūna katheyyāti ayamettha adhippāyo. Pakataññūti ciṇṇavasitāya pakatiṃ sabhāvaṃ jānātīti pakataññū. Kathaṃ nu khoti idaṃ paribbājako ‘‘mayaṃ bhagavā na jānāma, tumhe jānātha, kathetha no’’ti āyācanto vadati. Atha bhagavā kathento ‘‘tatra poṭṭhapādā’’tiādimāha.
อเหตุกสญฺญุปฺปาทนิโรธกถาวณฺณนา
Ahetukasaññuppādanirodhakathāvaṇṇanā
๔๑๒. ตตฺถ ตตฺราติ เตสุ สมณพฺราหฺมเณสุฯ อาทิโตว เตสํ อปรทฺธนฺติ เตสํ อาทิมฺหิเยว วิรทฺธํ, ฆรมเชฺฌเยว ปกฺขลิตาติ ทีเปติฯ สเหตู สปฺปจฺจยาติ เอตฺถ เหตุปิ ปจฺจโยปิ การณเสฺสว นามํ, สการณาติ อโตฺถฯ ตํ ปน การณํ ทเสฺสโนฺต ‘‘สิกฺขา เอกา’’ติ อาหฯ ตตฺถ สิกฺขา เอกา สญฺญา อุปฺปชฺชนฺตีติ สิกฺขาย เอกจฺจา สญฺญา ชายนฺตีติ อโตฺถฯ
412. Tattha tatrāti tesu samaṇabrāhmaṇesu. Āditova tesaṃ aparaddhanti tesaṃ ādimhiyeva viraddhaṃ, gharamajjheyeva pakkhalitāti dīpeti. Sahetū sappaccayāti ettha hetupi paccayopi kāraṇasseva nāmaṃ, sakāraṇāti attho. Taṃ pana kāraṇaṃ dassento ‘‘sikkhā ekā’’ti āha. Tattha sikkhā ekā saññā uppajjantīti sikkhāya ekaccā saññā jāyantīti attho.
๔๑๓. กา จ สิกฺขาติ ภควา อโวจาติ กตมา จ สา สิกฺขาติ ภควา วิตฺถาเรตุกมฺยตาปุจฺฉาวเสน อโวจฯ อถ ยสฺมา อธิสีลสิกฺขา อธิจิตฺตสิกฺขา อธิปญฺญาสิกฺขาติ ติโสฺส สิกฺขา โหนฺติฯ ตสฺมา ตา ทเสฺสโนฺต ภควา สญฺญาย สเหตุกํ อุปฺปาทนิโรธํ ทีเปตุํ พุทฺธุปฺปาทโต ปภุติ ตนฺติธมฺมํ ฐเปโนฺต ‘‘อิธ โปฎฺฐปาท, ตถาคโต โลเก’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อธิสีลสิกฺขา อธิจิตฺตสิกฺขาติ เทฺว เอว สิกฺขา สรูเปน อาคตา, ตติยา ปน ‘‘อยํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฎิปทาติ โข โปฎฺฐปาท มยา เอกํสิโก ธโมฺม เทสิโต’’ติ เอตฺถ สมฺมาทิฎฺฐิสมฺมาสงฺกปฺปวเสน ปริยาปนฺนตฺตา อาคตาติ เวทิตพฺพาฯ กามสญฺญาติ ปญฺจกามคุณิกราโคปิ อสมุปฺปนฺนกามจาโรปิ ฯ ตตฺถ ปญฺจกามคุณิกราโค อนาคามิมเคฺคน สมุคฺฆาตํ คจฺฉติ, อสมุปฺปนฺนกามจาโร ปน อิมสฺมิํ ฐาเน วฎฺฎติฯ ตสฺมา ตสฺส ยา ปุริมา กามสญฺญาติ ตสฺส ปฐมชฺฌานสมงฺคิโน ยา ปุเพฺพ อุปฺปนฺนปุพฺพาย กามสญฺญาย สทิสตฺตา ปุริมา กามสญฺญาติ วุเจฺจยฺย, สา นิรุชฺฌติ, อนุปฺปนฺนาว นุปฺปชฺชตีติ อโตฺถฯ
413.Kā ca sikkhāti bhagavā avocāti katamā ca sā sikkhāti bhagavā vitthāretukamyatāpucchāvasena avoca. Atha yasmā adhisīlasikkhā adhicittasikkhā adhipaññāsikkhāti tisso sikkhā honti. Tasmā tā dassento bhagavā saññāya sahetukaṃ uppādanirodhaṃ dīpetuṃ buddhuppādato pabhuti tantidhammaṃ ṭhapento ‘‘idha poṭṭhapāda, tathāgato loke’’tiādimāha. Tattha adhisīlasikkhā adhicittasikkhāti dve eva sikkhā sarūpena āgatā, tatiyā pana ‘‘ayaṃ dukkhanirodhagāminī paṭipadāti kho poṭṭhapāda mayā ekaṃsiko dhammo desito’’ti ettha sammādiṭṭhisammāsaṅkappavasena pariyāpannattā āgatāti veditabbā. Kāmasaññāti pañcakāmaguṇikarāgopi asamuppannakāmacāropi . Tattha pañcakāmaguṇikarāgo anāgāmimaggena samugghātaṃ gacchati, asamuppannakāmacāro pana imasmiṃ ṭhāne vaṭṭati. Tasmā tassa yā purimā kāmasaññāti tassa paṭhamajjhānasamaṅgino yā pubbe uppannapubbāya kāmasaññāya sadisattā purimā kāmasaññāti vucceyya, sā nirujjhati, anuppannāva nuppajjatīti attho.
วิเวกชปีติสุขสุขุมสจฺจสญฺญีเยว ตสฺมิํ สมเย โหตีติ ตสฺมิํ ปฐมชฺฌานสมเย วิเวกชปีติสุขสงฺขาตา สุขุมสญฺญา สจฺจา โหติ, ภูตา โหตีติ อโตฺถฯ อถ วา กามจฺฉนฺทาทิโอฬาริกงฺคปฺปหานวเสน สุขุมา จ สา ภูตตาย สจฺจา จ สญฺญาติ สุขุมสจฺจสญฺญา, วิเวกเชหิ ปีติสุเขหิ สมฺปยุตฺตา สุขุมสจฺจสญฺญาติ วิเวกชปีติสุขสุขุมสจฺจสญฺญา สา อสฺส อตฺถีติ วิเวกชปีติสุขสุขุมสจฺจสญฺญีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ เอวมฺปิ สิกฺขาติ เอตฺถ ยสฺมา ปฐมชฺฌานํ สมาปชฺชโนฺต อธิฎฺฐหโนฺต, วุฎฺฐหโนฺต จ สิกฺขติ, ตสฺมา ตํ เอวํ สิกฺขิตพฺพโต สิกฺขาติ วุจฺจติฯ เตนปิ สิกฺขาสงฺขาเตน ปฐมชฺฌาเนน เอวํ เอกา วิเวกชปีติสุขสุขุมสจฺจสญฺญา อุปฺปชฺชติฯ เอวํ เอกา กามสญฺญา นิรุชฺฌตีติ อโตฺถฯ อยํ สิกฺขาติ ภควา อโวจาติ อยํ ปฐมชฺฌานสงฺขาตา เอกา สิกฺขาติ, ภควา อาหฯ เอเตนุปาเยน สพฺพตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ
Vivekajapītisukhasukhumasaccasaññīyeva tasmiṃ samaye hotīti tasmiṃ paṭhamajjhānasamaye vivekajapītisukhasaṅkhātā sukhumasaññā saccā hoti, bhūtā hotīti attho. Atha vā kāmacchandādioḷārikaṅgappahānavasena sukhumā ca sā bhūtatāya saccā ca saññāti sukhumasaccasaññā, vivekajehi pītisukhehi sampayuttā sukhumasaccasaññāti vivekajapītisukhasukhumasaccasaññā sā assa atthīti vivekajapītisukhasukhumasaccasaññīti evamettha attho daṭṭhabbo. Esa nayo sabbattha. Evampi sikkhāti ettha yasmā paṭhamajjhānaṃ samāpajjanto adhiṭṭhahanto, vuṭṭhahanto ca sikkhati, tasmā taṃ evaṃ sikkhitabbato sikkhāti vuccati. Tenapi sikkhāsaṅkhātena paṭhamajjhānena evaṃ ekā vivekajapītisukhasukhumasaccasaññā uppajjati. Evaṃ ekā kāmasaññā nirujjhatīti attho. Ayaṃ sikkhāti bhagavā avocāti ayaṃ paṭhamajjhānasaṅkhātā ekā sikkhāti, bhagavā āha. Etenupāyena sabbattha attho daṭṭhabbo.
ยสฺมา ปน อฎฺฐมสมาปตฺติยา องฺคโต สมฺมสนํ พุทฺธานํเยว โหติ, สาวเกสุ สาริปุตฺตสทิสานมฺปิ นตฺถิ, กลาปโต สมฺมสนํเยว ปน สาวกานํ โหติ, อิทญฺจ ‘‘สญฺญา สญฺญา’’ติ, เอวํ องฺคโต สมฺมสนํ อุทฺธฎํฯ ตสฺมา อากิญฺจญฺญายตนปรมํเยว สญฺญํ ทเสฺสตฺวา ปุน ตเทว สญฺญคฺคนฺติ ทเสฺสตุํ ‘‘ยโต โข โปฎฺฐปาท…เป.… สญฺญคฺคํ ผุสตี’’ติ อาหฯ
Yasmā pana aṭṭhamasamāpattiyā aṅgato sammasanaṃ buddhānaṃyeva hoti, sāvakesu sāriputtasadisānampi natthi, kalāpato sammasanaṃyeva pana sāvakānaṃ hoti, idañca ‘‘saññā saññā’’ti, evaṃ aṅgato sammasanaṃ uddhaṭaṃ. Tasmā ākiñcaññāyatanaparamaṃyeva saññaṃ dassetvā puna tadeva saññagganti dassetuṃ ‘‘yato kho poṭṭhapāda…pe… saññaggaṃ phusatī’’ti āha.
๔๑๔. ตตฺถ ยโต โข โปฎฺฐปาท ภิกฺขูติ โย นาม โปฎฺฐปาท ภิกฺขุฯ อิธ สกสญฺญี โหตีติ อิธ สาสเน สกสญฺญี โหติ, อยเมว วา ปาโฐ, อตฺตโน ปฐมชฺฌานสญฺญาย สญฺญวา โหตีติ อโตฺถฯ โส ตโต อมุตฺร ตโต อมุตฺราติ โส ภิกฺขุ ตโต ปฐมชฺฌานโต อมุตฺร ทุติยชฺฌาเน, ตโตปิ อมุตฺร ตติยชฺฌาเนติ เอวํ ตาย ตาย ฌานสญฺญาย สกสญฺญี สกสญฺญี หุตฺวา อนุปุเพฺพน สญฺญคฺคํ ผุสติฯ สญฺญคฺคนฺติ อากิญฺจญฺญายตนํ วุจฺจติฯ กสฺมา? โลกิยานํ กิจฺจการกสมาปตฺตีนํ อคฺคตฺตาฯ อากิญฺจญฺญายตนสมาปตฺติยญฺหิ ฐตฺวา เนวสญฺญานาสญฺญายตนมฺปิ นิโรธมฺปิ สมาปชฺชนฺติฯ อิติ สา โลกิยานํ กิจฺจการกสมาปตฺตีนํ อคฺคตฺตา สญฺญคฺคนฺติ วุจฺจติ, ตํ ผุสติ ปาปุณาตีติ อโตฺถฯ
414. Tattha yato kho poṭṭhapāda bhikkhūti yo nāma poṭṭhapāda bhikkhu. Idha sakasaññī hotīti idha sāsane sakasaññī hoti, ayameva vā pāṭho, attano paṭhamajjhānasaññāya saññavā hotīti attho. So tato amutra tato amutrāti so bhikkhu tato paṭhamajjhānato amutra dutiyajjhāne, tatopi amutra tatiyajjhāneti evaṃ tāya tāya jhānasaññāya sakasaññī sakasaññī hutvā anupubbena saññaggaṃ phusati. Saññagganti ākiñcaññāyatanaṃ vuccati. Kasmā? Lokiyānaṃ kiccakārakasamāpattīnaṃ aggattā. Ākiñcaññāyatanasamāpattiyañhi ṭhatvā nevasaññānāsaññāyatanampi nirodhampi samāpajjanti. Iti sā lokiyānaṃ kiccakārakasamāpattīnaṃ aggattā saññagganti vuccati, taṃ phusati pāpuṇātīti attho.
อิทานิ อภิสญฺญานิโรธํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตสฺส สญฺญเคฺค ฐิตสฺสา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ เจเตยฺยํ, อภิสงฺขเรยฺยนฺติ ปททฺวเย จ ฌานํ สมาปชฺชโนฺต เจเตติ นาม, ปุนปฺปุนํ กเปฺปตีติ อโตฺถฯ อุปริสมาปตฺติอตฺถาย นิกนฺติํ กุรุมาโน อภิสงฺขโรติ นามฯ อิมา จ เม สญฺญา นิรุเชฺฌยฺยุนฺติ อิมา อากิญฺจญฺญายตนสญฺญา นิรุเชฺฌยฺยุํฯ อญฺญา จ โอฬาริกาติ อญฺญา จ โอฬาริกา ภวงฺคสญฺญา อุปฺปเชฺชยฺยุํฯ โส น เจว เจเตติ น อภิสงฺขโรตีติ เอตฺถ กามํ เจส เจเตโนฺตว น เจเตติ, อภิสงฺขโรโนฺตว นาภิสงฺขโรติฯ อิมสฺส ภิกฺขุโน อากิญฺจญฺญายตนโต วุฎฺฐาย เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ สมาปชฺชิตฺวา ‘‘เอกํ เทฺว จิตฺตวาเร ฐสฺสามี’’ติ อาโภคสมนฺนาหาโร นตฺถิฯ อุปรินิโรธสมาปตฺตตฺถาย เอว ปน อาโภคสมนฺนาหาโร อตฺถิ, สฺวายมโตฺถ ปุตฺตฆราจิกฺขเณน ทีเปตโพฺพฯ
Idāni abhisaññānirodhaṃ dassetuṃ ‘‘tassa saññagge ṭhitassā’’tiādimāha. Tattha ceteyyaṃ, abhisaṅkhareyyanti padadvaye ca jhānaṃ samāpajjanto ceteti nāma, punappunaṃ kappetīti attho. Uparisamāpattiatthāya nikantiṃ kurumāno abhisaṅkharoti nāma. Imā ca me saññā nirujjheyyunti imā ākiñcaññāyatanasaññā nirujjheyyuṃ. Aññā ca oḷārikāti aññā ca oḷārikā bhavaṅgasaññā uppajjeyyuṃ. So na ceva ceteti na abhisaṅkharotīti ettha kāmaṃ cesa cetentova na ceteti, abhisaṅkharontova nābhisaṅkharoti. Imassa bhikkhuno ākiñcaññāyatanato vuṭṭhāya nevasaññānāsaññāyatanaṃ samāpajjitvā ‘‘ekaṃ dve cittavāre ṭhassāmī’’ti ābhogasamannāhāro natthi. Uparinirodhasamāpattatthāya eva pana ābhogasamannāhāro atthi, svāyamattho puttagharācikkhaṇena dīpetabbo.
ปิตุฆรมเชฺฌน กิร คนฺตฺวา ปจฺฉาภาเค ปุตฺตสฺส ฆรํ โหติ, ตโต ปณีตํ โภชนํ อาทาย อาสนสาลํ อาคตํ ทหรํ เถโร – ‘‘มนาโป ปิณฺฑปาโต กุโต อาภโต’’ติ ปุจฺฉิฯ โส ‘‘อสุกสฺส ฆรโต’’ติ ลทฺธฆรเมว อาจิกฺขิฯ เยน ปนสฺส ปิตุฆรมเชฺฌน คโตปิ อาคโตปิ ตตฺถ อาโภโคปิ นตฺถิฯ ตตฺถ อาสนสาลา วิย อากิญฺจญฺญายตนสมาปตฺติ ทฎฺฐพฺพา, ปิตุเคหํ วิย เนวสญฺญานาสญฺญายตนสมาปตฺติ, ปุตฺตเคหํ วิย นิโรธสมาปตฺติ, อาสนสาลาย ฐตฺวา ปิตุฆรํ อมนสิกริตฺวา ปุตฺตฆราจิกฺขณํ วิย อากิญฺจญฺญายตนโต วุฎฺฐาย เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ สมาปชฺชิตฺวา ‘‘เอกํ เทฺว จิตฺตวาเร ฐสฺสามี’’ติ ปิตุฆรํ อมนสิกริตฺวาว อุปรินิโรธสมาปตฺตตฺถาย มนสิกาโร, เอวเมส เจเตโนฺตว น เจเตติ, อภิสงฺขโรโนฺตว นาภิสงฺขโรติฯ ตา เจว สญฺญาติ ตา ฌานสญฺญา นิรุชฺฌนฺติฯ อญฺญา จาติ อญฺญา จ โอฬาริกา ภวงฺคสญฺญา นุปฺปชฺชนฺติฯ โส นิโรธํ ผุสตีติ โส เอวํ ปฎิปโนฺน ภิกฺขุ สญฺญาเวทยิตนิโรธํ ผุสติ วินฺทติ ปฎิลภติฯ
Pitugharamajjhena kira gantvā pacchābhāge puttassa gharaṃ hoti, tato paṇītaṃ bhojanaṃ ādāya āsanasālaṃ āgataṃ daharaṃ thero – ‘‘manāpo piṇḍapāto kuto ābhato’’ti pucchi. So ‘‘asukassa gharato’’ti laddhagharameva ācikkhi. Yena panassa pitugharamajjhena gatopi āgatopi tattha ābhogopi natthi. Tattha āsanasālā viya ākiñcaññāyatanasamāpatti daṭṭhabbā, pitugehaṃ viya nevasaññānāsaññāyatanasamāpatti, puttagehaṃ viya nirodhasamāpatti, āsanasālāya ṭhatvā pitugharaṃ amanasikaritvā puttagharācikkhaṇaṃ viya ākiñcaññāyatanato vuṭṭhāya nevasaññānāsaññāyatanaṃ samāpajjitvā ‘‘ekaṃ dve cittavāre ṭhassāmī’’ti pitugharaṃ amanasikaritvāva uparinirodhasamāpattatthāya manasikāro, evamesa cetentova na ceteti, abhisaṅkharontova nābhisaṅkharoti. Tā ceva saññāti tā jhānasaññā nirujjhanti. Aññā cāti aññā ca oḷārikā bhavaṅgasaññā nuppajjanti. So nirodhaṃ phusatīti so evaṃ paṭipanno bhikkhu saññāvedayitanirodhaṃ phusati vindati paṭilabhati.
อนุปุพฺพาภิสญฺญานิโรธสมฺปชานสมาปตฺตินฺติ เอตฺถ อภีติ อุปสคฺคมตฺตํ, สมฺปชานปทํ นิโรธปเทน อนฺตริกํ กตฺวา วุตฺตํฯ อนุปฎิปาฎิยา สมฺปชานสญฺญานิโรธสมาปตฺตีติ อยํ ปเนตฺถโตฺถฯ ตตฺราปิ สมฺปชานสญฺญานิโรธสมาปตฺตีติ สมฺปชานนฺตสฺส อเนฺต สญฺญา นิโรธสมาปตฺติ สมฺปชานนฺตสฺส วา ปณฺฑิตสฺส ภิกฺขุโน สญฺญานิโรธสมาปตฺตีติ อยํ วิเสสโตฺถฯ
Anupubbābhisaññānirodhasampajānasamāpattinti ettha abhīti upasaggamattaṃ, sampajānapadaṃ nirodhapadena antarikaṃ katvā vuttaṃ. Anupaṭipāṭiyā sampajānasaññānirodhasamāpattīti ayaṃ panetthattho. Tatrāpi sampajānasaññānirodhasamāpattīti sampajānantassa ante saññā nirodhasamāpatti sampajānantassa vā paṇḍitassa bhikkhuno saññānirodhasamāpattīti ayaṃ visesattho.
อิทานิ อิธ ฐตฺวา นิโรธสมาปตฺติกถา กเถตพฺพาฯ สา ปเนสา สพฺพากาเรน วิสุทฺธิมเคฺค ปญฺญาภาวนานิสํสาธิกาเร กถิตา, ตสฺมา ตตฺถ กถิตโตว คเหตพฺพาฯ
Idāni idha ṭhatvā nirodhasamāpattikathā kathetabbā. Sā panesā sabbākārena visuddhimagge paññābhāvanānisaṃsādhikāre kathitā, tasmā tattha kathitatova gahetabbā.
เอวํ ภควา โปฎฺฐปาทสฺส ปริพฺพาชกสฺส นิโรธกถํ กเถตฺวา – อถ นํ ตาทิสาย กถาย อญฺญตฺถ อภาวํ ปฎิชานาเปตุํ ‘‘ตํ กิํ มญฺญสี’’ติอาทิมาหฯ ปริพฺพาชโกปิ ‘‘ภควา อชฺช ตุมฺหากํ กถํ ฐเปตฺวา น มยา เอวรูปา กถา สุตปุพฺพา’’ติ ปฎิชานโนฺต, ‘‘โน เหตํ ภเนฺต’’ติ วตฺวา ปุน สกฺกจฺจํ ภควโต กถาย อุคฺคหิตภาวํ ทเสฺสโนฺต ‘‘เอวํ โข อหํ ภเนฺต’’ติอาทิมาหฯ อถสฺส ภควา ‘‘สุอุคฺคหิตํ ตยา’’ติ อนุชานโนฺต ‘‘เอวํ โปฎฺฐปาทา’’ติ อาหฯ
Evaṃ bhagavā poṭṭhapādassa paribbājakassa nirodhakathaṃ kathetvā – atha naṃ tādisāya kathāya aññattha abhāvaṃ paṭijānāpetuṃ ‘‘taṃ kiṃ maññasī’’tiādimāha. Paribbājakopi ‘‘bhagavā ajja tumhākaṃ kathaṃ ṭhapetvā na mayā evarūpā kathā sutapubbā’’ti paṭijānanto, ‘‘no hetaṃ bhante’’ti vatvā puna sakkaccaṃ bhagavato kathāya uggahitabhāvaṃ dassento ‘‘evaṃ kho ahaṃ bhante’’tiādimāha. Athassa bhagavā ‘‘suuggahitaṃ tayā’’ti anujānanto ‘‘evaṃ poṭṭhapādā’’ti āha.
๔๑๕. อถ ปริพฺพาชโก ‘‘ภควตา ‘อากิญฺจญฺญายตนํ สญฺญคฺค’นฺติ วุตฺตํฯ เอตเทว นุ โข สญฺญคฺคํ, อุทาหุ อวเสสสมาปตฺตีสุปิ สญฺญคฺคํ อตฺถี’’ติ จิเนฺตตฺวา ตมตฺถํ ปุจฺฉโนฺต ‘‘เอกเญฺญว นุ โข’’ติอาทิมาหฯ ภควาปิสฺส วิสฺสเชฺชสิฯ ตตฺถ ปุถูปีติ พหูนิปิฯ ยถา ยถา โข, โปฎฺฐปาท, นิโรธํ ผุสตีติ ปถวีกสิณาทีสุ เยน เยน กสิเณน, ปฐมชฺฌานาทีนํ วา เยน เยน ฌาเนนฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – สเจ หิ ปถวีกสิเณน กรณภูเตน ปถวีกสิณสมาปตฺติํ เอกวารํ สมาปชฺชโนฺต ปุริมสญฺญานิโรธํ ผุสติ เอกํ สญฺญคฺคํ, อถ เทฺว วาเร, ตโย วาเร, วารสตํ, วารสหสฺสํ, วารสตสหสฺสํ วา สมาปชฺชโนฺต ปุริมสญฺญานิโรธํ ผุสติ, สตสหสฺสํ, สญฺญคฺคานิฯ เอส นโย เสสกสิเณสุฯ ฌาเนสุปิ สเจ ปฐมชฺฌาเนน กรณภูเตน เอกวารํ ปุริมสญฺญานิโรธํ ผุสติ เอกํ สญฺญคฺคํฯ อถ เทฺว วาเร , ตโย วาเร, วารสตํ, วารสหสฺสํ, วารสตสหสฺสํ วา ปุริมสญฺญานิโรธํ ผุสติ, สตสหสฺสํ สญฺญคฺคานิฯ เอส นโย เสสชฺฌานสมาปตฺตีสุปิฯ อิติ เอกวารํ สมาปชฺชนวเสน วา สพฺพมฺปิ สญฺชานนลกฺขเณน สงฺคเหตฺวา วา เอกํ สญฺญคฺคํ โหติ, อปราปรํ สมาปชฺชนวเสน พหูนิฯ
415. Atha paribbājako ‘‘bhagavatā ‘ākiñcaññāyatanaṃ saññagga’nti vuttaṃ. Etadeva nu kho saññaggaṃ, udāhu avasesasamāpattīsupi saññaggaṃ atthī’’ti cintetvā tamatthaṃ pucchanto ‘‘ekaññeva nu kho’’tiādimāha. Bhagavāpissa vissajjesi. Tattha puthūpīti bahūnipi. Yathā yathā kho, poṭṭhapāda, nirodhaṃphusatīti pathavīkasiṇādīsu yena yena kasiṇena, paṭhamajjhānādīnaṃ vā yena yena jhānena. Idaṃ vuttaṃ hoti – sace hi pathavīkasiṇena karaṇabhūtena pathavīkasiṇasamāpattiṃ ekavāraṃ samāpajjanto purimasaññānirodhaṃ phusati ekaṃ saññaggaṃ, atha dve vāre, tayo vāre, vārasataṃ, vārasahassaṃ, vārasatasahassaṃ vā samāpajjanto purimasaññānirodhaṃ phusati, satasahassaṃ, saññaggāni. Esa nayo sesakasiṇesu. Jhānesupi sace paṭhamajjhānena karaṇabhūtena ekavāraṃ purimasaññānirodhaṃ phusati ekaṃ saññaggaṃ. Atha dve vāre , tayo vāre, vārasataṃ, vārasahassaṃ, vārasatasahassaṃ vā purimasaññānirodhaṃ phusati, satasahassaṃ saññaggāni. Esa nayo sesajjhānasamāpattīsupi. Iti ekavāraṃ samāpajjanavasena vā sabbampi sañjānanalakkhaṇena saṅgahetvā vā ekaṃ saññaggaṃ hoti, aparāparaṃ samāpajjanavasena bahūni.
๔๑๖. สญฺญา นุ โข, ภเนฺตติ ภเนฺต นิโรธสมาปชฺชนกสฺส ภิกฺขุโน ‘‘สญฺญา นุ โข ปฐมํ อุปฺปชฺชตี’’ติ ปุจฺฉติฯ ตสฺส ภควา ‘‘สญฺญา โข, โปฎฺฐปาทา’’ติ พฺยากาสิฯ ตตฺถ สญฺญาติ ฌานสญฺญาฯ ญาณนฺติ วิปสฺสนาญาณํฯ อปโร นโย, สญฺญาติ วิปสฺสนา สญฺญาฯ ญาณนฺติ มคฺคญาณํฯ อปโร นโย, สญฺญาติ มคฺคสญฺญาฯ ญาณนฺติ ผลญาณํฯ ติปิฎกมหาสิวเตฺถโร ปนาห –
416.Saññā nu kho, bhanteti bhante nirodhasamāpajjanakassa bhikkhuno ‘‘saññā nu kho paṭhamaṃ uppajjatī’’ti pucchati. Tassa bhagavā ‘‘saññā kho, poṭṭhapādā’’ti byākāsi. Tattha saññāti jhānasaññā. Ñāṇanti vipassanāñāṇaṃ. Aparo nayo, saññāti vipassanā saññā. Ñāṇanti maggañāṇaṃ. Aparo nayo, saññāti maggasaññā. Ñāṇanti phalañāṇaṃ. Tipiṭakamahāsivatthero panāha –
กิํ อิเม ภิกฺขู ภณนฺติ, โปฎฺฐปาโท เหฎฺฐา ภควนฺตํ นิโรธํ ปุจฺฉิฯ อิทานิ นิโรธา วุฎฺฐานํ ปุจฺฉโนฺต ‘‘ภควา นิโรธา วุฎฺฐหนฺตสฺส กิํ ปฐมํ อรหตฺตผลสญฺญา อุปฺปชฺชติ, อุทาหุ ปจฺจเวกฺขณญาณ’’นฺติ วทติฯ อถสฺส ภควา ยสฺมา ผลสญฺญา ปฐมํ อุปฺปชฺชติ, ปจฺฉา ปจฺจเวกฺขณญาณํ ฯ ตสฺมา ‘‘สญฺญา โข โปฎฺฐปาทา’’ติ อาหฯ ตตฺถ สญฺญุปฺปาทาติ อรหตฺตผลสญฺญาย อุปฺปาทา, ปจฺฉา ‘‘อิทํ อรหตฺตผล’’นฺติ เอวํ ปจฺจเวกฺขณญาณุปฺปาโท โหติฯ อิทปฺปจฺจยา กิร เมติ ผลสมาธิสญฺญาปจฺจยา กิร มยฺหํ ปจฺจเวกฺขณญาณํ อุปฺปนฺนนฺติฯ
Kiṃ ime bhikkhū bhaṇanti, poṭṭhapādo heṭṭhā bhagavantaṃ nirodhaṃ pucchi. Idāni nirodhā vuṭṭhānaṃ pucchanto ‘‘bhagavā nirodhā vuṭṭhahantassa kiṃ paṭhamaṃ arahattaphalasaññā uppajjati, udāhu paccavekkhaṇañāṇa’’nti vadati. Athassa bhagavā yasmā phalasaññā paṭhamaṃ uppajjati, pacchā paccavekkhaṇañāṇaṃ . Tasmā ‘‘saññā kho poṭṭhapādā’’ti āha. Tattha saññuppādāti arahattaphalasaññāya uppādā, pacchā ‘‘idaṃ arahattaphala’’nti evaṃ paccavekkhaṇañāṇuppādo hoti. Idappaccayā kira meti phalasamādhisaññāpaccayā kira mayhaṃ paccavekkhaṇañāṇaṃ uppannanti.
สญฺญาอตฺตกถาวณฺณนา
Saññāattakathāvaṇṇanā
๔๑๗. อิทานิ ปริพฺพาชโก ยถา นาม คามสูกโร คโนฺธทเกน นฺหาเปตฺวา คเนฺธหิ อนุลิมฺปิตฺวา มาลาทามํ ปิฬนฺธิตฺวา สิริสยเน อาโรปิโตปิ สุขํ น วินฺทติ, เวเคน คูถฎฺฐานเมว คนฺตฺวา สุขํ วินฺทติฯ เอวเมว ภควตา สณฺหสุขุมติลกฺขณพฺภาหตาย เทสนาย นฺหาปิตวิลิตฺตมณฺฑิโตปิ นิโรธกถาสิริสยนํ อาโรปิโตปิ ตตฺถ สุขํ น วินฺทโนฺต คูถฎฺฐานสทิสํ อตฺตโน ลทฺธิํ คเหตฺวา ตเมว ปุจฺฉโนฺต ‘‘สญฺญา นุ โข, ภเนฺต, ปุริสสฺส อตฺตา’’ติอาทิมาหฯ อถสฺสานุมติํ คเหตฺวา พฺยากาตุกาโม ภควา – ‘‘กํ ปน ตฺว’’นฺติอาทิมาหฯ ตโต โส ‘‘อรูปี อตฺตา’’ติ เอวํ ลทฺธิโก สมาโนปิ ‘‘ภควา เทสนาย สุกุสโล, โส เม อาทิโตว ลทฺธิํ มา วิทฺธํเสตู’’ติ จิเนฺตตฺวา อตฺตโน ลทฺธิํ ปริหรโนฺต ‘‘โอฬาริกํ โข’’ติอาทิมาหฯ อถสฺส ภควา ตตฺถ โทสํ ทเสฺสโนฺต ‘‘โอฬาริโก จ หิ เต’’ติอาทิมาห ฯ ตตฺถ เอวํ สนฺตนฺติ เอวํ สเนฺตฯ ภุมฺมเตฺถ หิ เอตํ อุปโยควจนํฯ เอวํ สนฺตํ อตฺตานํ ปจฺจาคจฺฉโต ตวาติ อยํ วา เอตฺถ อโตฺถฯ จตุนฺนํ ขนฺธานํ เอกุปฺปาเทกนิโรธตฺตา กิญฺจาปิ ยา สญฺญา อุปฺปชฺชติ, สาว นิรุชฺฌติฯ อปราปรํ อุปาทาย ปน ‘‘อญฺญา จ สญฺญา อุปฺปชฺชนฺติ, อญฺญา จ สญฺญา นิรุชฺฌนฺตี’’ติ วุตฺตํฯ
417. Idāni paribbājako yathā nāma gāmasūkaro gandhodakena nhāpetvā gandhehi anulimpitvā mālādāmaṃ piḷandhitvā sirisayane āropitopi sukhaṃ na vindati, vegena gūthaṭṭhānameva gantvā sukhaṃ vindati. Evameva bhagavatā saṇhasukhumatilakkhaṇabbhāhatāya desanāya nhāpitavilittamaṇḍitopi nirodhakathāsirisayanaṃ āropitopi tattha sukhaṃ na vindanto gūthaṭṭhānasadisaṃ attano laddhiṃ gahetvā tameva pucchanto ‘‘saññā nu kho, bhante, purisassa attā’’tiādimāha. Athassānumatiṃ gahetvā byākātukāmo bhagavā – ‘‘kaṃ pana tva’’ntiādimāha. Tato so ‘‘arūpī attā’’ti evaṃ laddhiko samānopi ‘‘bhagavā desanāya sukusalo, so me āditova laddhiṃ mā viddhaṃsetū’’ti cintetvā attano laddhiṃ pariharanto ‘‘oḷārikaṃ kho’’tiādimāha. Athassa bhagavā tattha dosaṃ dassento ‘‘oḷāriko ca hi te’’tiādimāha . Tattha evaṃ santanti evaṃ sante. Bhummatthe hi etaṃ upayogavacanaṃ. Evaṃ santaṃ attānaṃ paccāgacchato tavāti ayaṃ vā ettha attho. Catunnaṃ khandhānaṃ ekuppādekanirodhattā kiñcāpi yā saññā uppajjati, sāva nirujjhati. Aparāparaṃ upādāya pana ‘‘aññā ca saññā uppajjanti, aññā ca saññā nirujjhantī’’ti vuttaṃ.
๔๑๘-๔๒๐. อิทานิ อญฺญํ ลทฺธิํ ทเสฺสโนฺต – ‘‘มโนมยํ โข อหํ, ภเนฺต’’ติอาทิํ วตฺวา ตตฺราปิ โทเส ทิเนฺน ยถา นาม อุมฺมตฺตโก ยาวสฺส สญฺญา นปฺปติฎฺฐาติ, ตาว อญฺญํ คเหตฺวา อญฺญํ วิสฺสเชฺชติ, สญฺญาปติฎฺฐานกาเล ปน วตฺตพฺพเมว วทติ, เอวเมว อญฺญํ คเหตฺวา อญฺญํ วิสฺสเชฺชตฺวา อิทานิ อตฺตโน ลทฺธิํเยว วทโนฺต ‘‘อรูปี โข’’ติอาทิมาหฯ ตตฺราปิ ยสฺมา โส สญฺญาย อุปฺปาทนิโรธํ อิจฺฉติ, อตฺตานํ ปน สสฺสตํ มญฺญติฯ ตสฺมา ตเถวสฺส โทสํ ทเสฺสโนฺต ภควา ‘‘เอวํ สนฺตมฺปี’’ติอาทิมาหฯ ตโต ปริพฺพาชโก มิจฺฉาทสฺสเนน อภิภูตตฺตา ภควตา วุจฺจมานมฺปิ ตํ นานตฺตํ อชานโนฺต ‘‘สกฺกา ปเนตํ, ภเนฺต, มยา’’ติอาทิมาหฯ อถสฺส ภควา ยสฺมา โส สญฺญาย อุปฺปาทนิโรธํ ปสฺสโนฺตปิ สญฺญามยํ อตฺตานํ นิจฺจเมว มญฺญติฯ ตสฺมา ‘‘ทุชฺชานํ โข’’ติอาทิมาหฯ
418-420. Idāni aññaṃ laddhiṃ dassento – ‘‘manomayaṃ kho ahaṃ, bhante’’tiādiṃ vatvā tatrāpi dose dinne yathā nāma ummattako yāvassa saññā nappatiṭṭhāti, tāva aññaṃ gahetvā aññaṃ vissajjeti, saññāpatiṭṭhānakāle pana vattabbameva vadati, evameva aññaṃ gahetvā aññaṃ vissajjetvā idāni attano laddhiṃyeva vadanto ‘‘arūpī kho’’tiādimāha. Tatrāpi yasmā so saññāya uppādanirodhaṃ icchati, attānaṃ pana sassataṃ maññati. Tasmā tathevassa dosaṃ dassento bhagavā ‘‘evaṃ santampī’’tiādimāha. Tato paribbājako micchādassanena abhibhūtattā bhagavatā vuccamānampi taṃ nānattaṃ ajānanto ‘‘sakkā panetaṃ, bhante, mayā’’tiādimāha. Athassa bhagavā yasmā so saññāya uppādanirodhaṃ passantopi saññāmayaṃ attānaṃ niccameva maññati. Tasmā ‘‘dujjānaṃ kho’’tiādimāha.
ตตฺถายํ สเงฺขปโตฺถ – ตว อญฺญา ทิฎฺฐิ, อญฺญา ขนฺติ, อญฺญา รุจิ, อญฺญถาเยว เต ทสฺสนํ ปวตฺตํ, อญฺญเทว จ เต ขมติ เจว รุจฺจติ จ, อญฺญตฺร จ เต อาโยโค, อญฺญิสฺสาเยว ปฎิปตฺติยา ยุตฺตปยุตฺตตา, อญฺญตฺถ จ เต อาจริยกํ, อญฺญสฺมิํ ติตฺถายตเน อาจริยภาโวฯ เตน ตยา เอวํ อญฺญทิฎฺฐิเกน อญฺญขนฺติเกน อญฺญรุจิเกน อญฺญตฺราโยเคน อญฺญตฺราจริยเกน ทุชฺชานํ เอตนฺติฯ อถ ปริพฺพาชโก – ‘‘สญฺญา วา ปุริสสฺส อตฺตา โหตุ, อญฺญา วา สญฺญา, ตํ สสฺสตาทิ ภาวมสฺส ปุจฺฉิสฺส’’นฺติ ปุน ‘‘กิํ ปน ภเนฺต’’ติอาทิมาหฯ
Tatthāyaṃ saṅkhepattho – tava aññā diṭṭhi, aññā khanti, aññā ruci, aññathāyeva te dassanaṃ pavattaṃ, aññadeva ca te khamati ceva ruccati ca, aññatra ca te āyogo, aññissāyeva paṭipattiyā yuttapayuttatā, aññattha ca te ācariyakaṃ, aññasmiṃ titthāyatane ācariyabhāvo. Tena tayā evaṃ aññadiṭṭhikena aññakhantikena aññarucikena aññatrāyogena aññatrācariyakena dujjānaṃ etanti. Atha paribbājako – ‘‘saññā vā purisassa attā hotu, aññā vā saññā, taṃ sassatādi bhāvamassa pucchissa’’nti puna ‘‘kiṃ pana bhante’’tiādimāha.
ตตฺถ โลโกติ อตฺตานํ สนฺธาย วทติฯ น เหตํ โปฎฺฐปาท อตฺถสญฺหิตนฺติ โปฎฺฐปาท เอตํ ทิฎฺฐิคตํ น อิธโลกปรโลกอตฺถนิสฺสิตํ, น อตฺตตฺถปรตฺถนิสฺสิตํฯ น ธมฺมสํหิตนฺติ น นวโลกุตฺตรธมฺมนิสฺสิตํฯ นาทิพฺรหฺมจริยกนฺติ สิกฺขตฺตยสงฺขาตสฺส สาสนพฺรหฺมจริยกสฺส น อาทิมตฺตํ, อธิสีลสิกฺขามตฺตมฺปิ น โหติฯ น นิพฺพิทายาติ สํสารวเฎฺฎ นิพฺพินฺทนตฺถาย น สํวตฺตติฯ น วิราคายาติ วฎฺฎวิราคตฺถาย น สํวตฺตติฯ น นิโรธายาติ วฎฺฎสฺส นิโรธกรณตฺถาย น สํวตฺตติฯ น อุปสมายาติ วฎฺฎสฺส วูปสมนตฺถาย น สํวตฺตติฯ น อภิญฺญายาติ วฎฺฎาภิชานนาย ปจฺจกฺขกิริยาย น สํวตฺตติฯ น สโมฺพธายาติ วฎฺฎสมฺพุชฺฌนตฺถาย น สํวตฺตติฯ น นิพฺพานายาติ อมตมหานิพฺพานสฺส ปจฺจกฺขกิริยาย น สํวตฺตติฯ
Tattha lokoti attānaṃ sandhāya vadati. Na hetaṃ poṭṭhapāda atthasañhitanti poṭṭhapāda etaṃ diṭṭhigataṃ na idhalokaparalokaatthanissitaṃ, na attatthaparatthanissitaṃ. Na dhammasaṃhitanti na navalokuttaradhammanissitaṃ. Nādibrahmacariyakanti sikkhattayasaṅkhātassa sāsanabrahmacariyakassa na ādimattaṃ, adhisīlasikkhāmattampi na hoti. Na nibbidāyāti saṃsāravaṭṭe nibbindanatthāya na saṃvattati. Navirāgāyāti vaṭṭavirāgatthāya na saṃvattati. Na nirodhāyāti vaṭṭassa nirodhakaraṇatthāya na saṃvattati. Na upasamāyāti vaṭṭassa vūpasamanatthāya na saṃvattati. Na abhiññāyāti vaṭṭābhijānanāya paccakkhakiriyāya na saṃvattati. Na sambodhāyāti vaṭṭasambujjhanatthāya na saṃvattati. Na nibbānāyāti amatamahānibbānassa paccakkhakiriyāya na saṃvattati.
อิทํ ทุกฺขนฺติอาทีสุ ตณฺหํ ฐเปตฺวา เตภูมกา ปญฺจกฺขนฺธา ทุกฺขนฺติ, ตเสฺสว ทุกฺขสฺส ปภาวนโต สปฺปจฺจยา ตณฺหา ทุกฺขสมุทโยติฯ อุภินฺนํ อปฺปวตฺติ ทุกฺขนิโรโธติ, อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค ทุกฺขนิโรธคามินี ปฎิปทาติ มยา พฺยากตนฺติ อโตฺถฯ เอวญฺจ ปน วตฺวา ภควา ‘‘อิมสฺส ปริพฺพาชกสฺส มคฺคปาตุภาโว วา ผลสจฺฉิกิริยา วา นตฺถิ, มยฺหญฺจ ภิกฺขาจารเวลา’’ติ จิเนฺตตฺวา ตุณฺหี อโหสิฯ ปริพฺพาชโกปิ ตํ อาการํ ญตฺวา ภควโต คมนกาลํ อาโรเจโนฺต วิย ‘‘เอวเมต’’นฺติอาทิมาหฯ
Idaṃ dukkhantiādīsu taṇhaṃ ṭhapetvā tebhūmakā pañcakkhandhā dukkhanti, tasseva dukkhassa pabhāvanato sappaccayā taṇhā dukkhasamudayoti. Ubhinnaṃ appavatti dukkhanirodhoti, ariyo aṭṭhaṅgiko maggo dukkhanirodhagāminī paṭipadāti mayā byākatanti attho. Evañca pana vatvā bhagavā ‘‘imassa paribbājakassa maggapātubhāvo vā phalasacchikiriyā vā natthi, mayhañca bhikkhācāravelā’’ti cintetvā tuṇhī ahosi. Paribbājakopi taṃ ākāraṃ ñatvā bhagavato gamanakālaṃ ārocento viya ‘‘evameta’’ntiādimāha.
๔๒๑. วาจาสนฺนิโตทเกนาติ วจนปโตเทนฯ สญฺฌพฺภริมกํสูติ สญฺฌพฺภริตํ นิรนฺตรํ ผุฎฺฐํ อกํสุ, อุปริ วิชฺฌิํสูติ วุตฺตํ โหติฯ ภูตนฺติ สภาวโต วิชฺชมานํฯ ตจฺฉํ, ตถนฺติ ตเสฺสว เววจนํฯ ธมฺมฎฺฐิตตนฺติ นวโลกุตฺตรธเมฺมสุ ฐิตสภาวํฯ ธมฺมนิยามตนฺติ โลกุตฺตรธมฺมนิยามตํฯ พุทฺธานญฺหิ จตุสจฺจวินิมุตฺตา กถา นาม นตฺถิฯ ตสฺมา สา เอทิสา โหติฯ
421.Vācāsannitodakenāti vacanapatodena. Sañjhabbharimakaṃsūti sañjhabbharitaṃ nirantaraṃ phuṭṭhaṃ akaṃsu, upari vijjhiṃsūti vuttaṃ hoti. Bhūtanti sabhāvato vijjamānaṃ. Tacchaṃ, tathanti tasseva vevacanaṃ. Dhammaṭṭhitatanti navalokuttaradhammesu ṭhitasabhāvaṃ. Dhammaniyāmatanti lokuttaradhammaniyāmataṃ. Buddhānañhi catusaccavinimuttā kathā nāma natthi. Tasmā sā edisā hoti.
จิตฺตหตฺถิสาริปุตฺตโปฎฺฐปาทวตฺถุวณฺณนา
Cittahatthisāriputtapoṭṭhapādavatthuvaṇṇanā
๔๒๒. จิโตฺต จ หตฺถิสาริปุโตฺตติ โส กิร สาวตฺถิยํ หตฺถิอาจริยสฺส ปุโตฺต ภควโต สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา ตีณิ ปิฎกานิ อุคฺคเหตฺวา สุขุเมสุ อตฺถนฺตเรสุ กุสโล อโหสิ, ปุเพฺพ กตปาปกมฺมวเสน ปน สตฺตวาเร วิพฺภมิตฺวา คิหิ ชาโตฯ กสฺสปสมฺมาสมฺพุทฺธสฺส กิร สาสเน เทฺว สหายกา อเหสุํ, อญฺญมญฺญํ สมคฺคา เอกโตว สชฺฌายนฺติฯ เตสุ เอโก อนภิรโต คิหิภาเว จิตฺตํ อุปฺปาเทตฺวา อิตรสฺส อาโรเจสิฯ โส คิหิภาเว อาทีนวํ ปพฺพชฺชาย อานิสํสํ ทเสฺสตฺวา ตํ โอวทิฯ โส ตํ สุตฺวา อภิรมิตฺวา ปุเนกทิวสํ ตาทิเส จิเตฺต อุปฺปเนฺน ตํ เอตทโวจ ‘‘มยฺหํ อาวุโส เอวรูปํ จิตฺตํ อุปฺปชฺชติ – ‘อิมาหํ ปตฺตจีวรํ ตุยฺหํ ทสฺสามี’ติ’’ฯ โส ปตฺตจีวรโลเภน ตสฺส คิหิภาเว อานิสํสํ ทเสฺสตฺวา ปพฺพชฺชาย อาทีนวํ กเถสิฯ อถสฺส ตํ สุตฺวาว คิหิภาวโต จิตฺตํ วิรชฺชิตฺวา ปพฺพชฺชายเมว อภิรมิฯ เอวเมส ตทา สีลวนฺตสฺส ภิกฺขุโน คิหิภาเว อานิสํสกถาย กถิตตฺตา อิทานิ ฉ วาเร วิพฺภมิตฺวา สตฺตเม วาเร ปพฺพชิโตฯ มหาโมคฺคลฺลานสฺส, มหาโกฎฺฐิกเตฺถรสฺส จ อภิธมฺมกถํ กเถนฺตานํ อนฺตรนฺตรา กถํ โอปาเตติฯ อถ นํ มหาโกฎฺฐิกเตฺถโร อปสาเทติฯ โส มหาสาวกสฺส กถิเต ปติฎฺฐาตุํ อสโกฺกโนฺต วิพฺภมิตฺวา คิหิ ชาโตฯ โปฎฺฐปาทสฺส ปนายํ คิหิสหายโก โหติฯ ตสฺมา วิพฺภมิตฺวา ทฺวีหตีหจฺจเยน โปฎฺฐปาทสฺส สนฺติกํ คโตฯ อถ นํ โส ทิสฺวา ‘‘สมฺม กิํ ตยา กตํ, เอวรูปสฺส นาม สตฺถุ สาสนา อปสกฺกโนฺตสิ, เอหิ ปพฺพชิตุํ อิทานิ เต วฎฺฎตี’’ติ ตํ คเหตฺวา ภควโต สนฺติกํ อคมาสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘จิโตฺต จ หตฺถิสาริปุโตฺต โปฎฺฐปาโท จ ปริพฺพาชโก’’ติฯ
422.Citto ca hatthisāriputtoti so kira sāvatthiyaṃ hatthiācariyassa putto bhagavato santike pabbajitvā tīṇi piṭakāni uggahetvā sukhumesu atthantaresu kusalo ahosi, pubbe katapāpakammavasena pana sattavāre vibbhamitvā gihi jāto. Kassapasammāsambuddhassa kira sāsane dve sahāyakā ahesuṃ, aññamaññaṃ samaggā ekatova sajjhāyanti. Tesu eko anabhirato gihibhāve cittaṃ uppādetvā itarassa ārocesi. So gihibhāve ādīnavaṃ pabbajjāya ānisaṃsaṃ dassetvā taṃ ovadi. So taṃ sutvā abhiramitvā punekadivasaṃ tādise citte uppanne taṃ etadavoca ‘‘mayhaṃ āvuso evarūpaṃ cittaṃ uppajjati – ‘imāhaṃ pattacīvaraṃ tuyhaṃ dassāmī’ti’’. So pattacīvaralobhena tassa gihibhāve ānisaṃsaṃ dassetvā pabbajjāya ādīnavaṃ kathesi. Athassa taṃ sutvāva gihibhāvato cittaṃ virajjitvā pabbajjāyameva abhirami. Evamesa tadā sīlavantassa bhikkhuno gihibhāve ānisaṃsakathāya kathitattā idāni cha vāre vibbhamitvā sattame vāre pabbajito. Mahāmoggallānassa, mahākoṭṭhikattherassa ca abhidhammakathaṃ kathentānaṃ antarantarā kathaṃ opāteti. Atha naṃ mahākoṭṭhikatthero apasādeti. So mahāsāvakassa kathite patiṭṭhātuṃ asakkonto vibbhamitvā gihi jāto. Poṭṭhapādassa panāyaṃ gihisahāyako hoti. Tasmā vibbhamitvā dvīhatīhaccayena poṭṭhapādassa santikaṃ gato. Atha naṃ so disvā ‘‘samma kiṃ tayā kataṃ, evarūpassa nāma satthu sāsanā apasakkantosi, ehi pabbajituṃ idāni te vaṭṭatī’’ti taṃ gahetvā bhagavato santikaṃ agamāsi. Tena vuttaṃ ‘‘citto ca hatthisāriputto poṭṭhapādo ca paribbājako’’ti.
๔๒๓. อนฺธาติ ปญฺญาจกฺขุโน นตฺถิตาย อนฺธา, ตเสฺสว อภาเวน อจกฺขุกาฯ ตฺวํเยว เนสํ เอโก จกฺขุมาติ สุภาสิตทุพฺภาสิตชานนภาวมเตฺตน ปญฺญาจกฺขุนา จกฺขุมาฯ เอกํสิกาติ เอกโกฎฺฐาสาฯ ปญฺญตฺตาติ ฐปิตาฯ อเนกํสิกาติ น เอกโกฎฺฐาสา เอเกเนว โกฎฺฐาเสน สสฺสตาติ วา อสสฺสตาติ วา น วุตฺตาติ อโตฺถฯ
423.Andhāti paññācakkhuno natthitāya andhā, tasseva abhāvena acakkhukā. Tvaṃyeva nesaṃ eko cakkhumāti subhāsitadubbhāsitajānanabhāvamattena paññācakkhunā cakkhumā. Ekaṃsikāti ekakoṭṭhāsā. Paññattāti ṭhapitā. Anekaṃsikāti na ekakoṭṭhāsā ekeneva koṭṭhāsena sassatāti vā asassatāti vā na vuttāti attho.
เอกํสิกธมฺมวณฺณนา
Ekaṃsikadhammavaṇṇanā
๔๒๔-๔๒๕. สนฺติ โปฎฺฐปาทาติ อิทํ ภควา กสฺมา อารภิ? พาหิรเกหิ ปญฺญาปิตนิฎฺฐาย อนิยฺยานิกภาวทสฺสนตฺถํฯ สเพฺพ หิ ติตฺถิยา ยถา ภควา อมตํ นิพฺพานํ, เอวํ อตฺตโน อตฺตโน สมเย โลกถุปิกาทิวเสน นิฎฺฐํ ปญฺญเปนฺติ, สา จ น นิยฺยานิกาฯ ยถา ปญฺญตฺตา หุตฺวา น นิยฺยาติ น คจฺฉติ, อญฺญทตฺถุ ปณฺฑิเตหิ ปฎิกฺขิตฺตา นิวตฺตติ, ตํ ทเสฺสตุํ ภควา เอวมาหฯ ตตฺถ เอกนฺตสุขํ โลกํ ชานํ ปสฺสนฺติ ปุรตฺถิมาย ทิสาย เอกนฺตสุโข โลโก ปจฺฉิมาทีนํ วา อญฺญตรายาติ เอวํ ชานนฺตา เอวํ ปสฺสนฺตา วิหรถฯ ทิฎฺฐปุพฺพานิ โข ตสฺมิํ โลเก มนุสฺสานํ สรีรสณฺฐานาทีนีติฯ อปฺปาฎิหีรกตนฺติ อปฺปาฎิหีรกตํ ปฎิหรณวิรหิตํ, อนิยฺยานิกนฺติ วุตฺตํ โหติฯ
424-425.Santi poṭṭhapādāti idaṃ bhagavā kasmā ārabhi? Bāhirakehi paññāpitaniṭṭhāya aniyyānikabhāvadassanatthaṃ. Sabbe hi titthiyā yathā bhagavā amataṃ nibbānaṃ, evaṃ attano attano samaye lokathupikādivasena niṭṭhaṃ paññapenti, sā ca na niyyānikā. Yathā paññattā hutvā na niyyāti na gacchati, aññadatthu paṇḍitehi paṭikkhittā nivattati, taṃ dassetuṃ bhagavā evamāha. Tattha ekantasukhaṃ lokaṃ jānaṃ passanti puratthimāya disāya ekantasukho loko pacchimādīnaṃ vā aññatarāyāti evaṃ jānantā evaṃ passantā viharatha. Diṭṭhapubbāni kho tasmiṃ loke manussānaṃ sarīrasaṇṭhānādīnīti. Appāṭihīrakatanti appāṭihīrakataṃ paṭiharaṇavirahitaṃ, aniyyānikanti vuttaṃ hoti.
๔๒๖-๔๒๗. ชนปทกลฺยาณีติ ชนปเท อญฺญาหิ อิตฺถีหิ วณฺณสณฺฐานวิลาสากปฺปาทีหิ อสทิสาฯ
426-427.Janapadakalyāṇīti janapade aññāhi itthīhi vaṇṇasaṇṭhānavilāsākappādīhi asadisā.
ตโยอตฺตปฎิลาภวณฺณนา
Tayoattapaṭilābhavaṇṇanā
๔๒๘. เอวํ ภควา ปเรสํ นิฎฺฐาย อนิยฺยานิกตฺตํ ทเสฺสตฺวา อตฺตโน นิฎฺฐาย นิยฺยานิกภาวํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตโย โข เม โปฎฺฐปาทา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อตฺตปฎิลาโภติ อตฺตภาวปฎิลาโภ, เอตฺถ จ ภควา ตีหิ อตฺตภาวปฎิลาเภหิ ตโย ภเว ทเสฺสสิฯ โอฬาริกตฺตภาวปฎิลาเภน อวีจิโต ปฎฺฐาย ปรนิมฺมิตวสวตฺติปริโยสานํ กามภวํ ทเสฺสสิฯ มโนมยอตฺตภาวปฎิลาเภน ปฐมชฺฌานภูมิโต ปฎฺฐาย อกนิฎฺฐพฺรหฺมโลกปริโยสานํ รูปภวํ ทเสฺสสิฯ อรูปอตฺตภาวปฎิลาเภน อากาสานญฺจายตนพฺรหฺมโลกโต ปฎฺฐาย เนวสญฺญานาสญฺญายตนพฺรหฺมโลกปริโยสานํ อรูปภวํ ทเสฺสสิฯ สํกิเลสิกา ธมฺมา นาม ทฺวาทส อกุสลจิตฺตุปฺปาทาฯ โวทานิยา ธมฺมา นาม สมถวิปสฺสนาฯ
428. Evaṃ bhagavā paresaṃ niṭṭhāya aniyyānikattaṃ dassetvā attano niṭṭhāya niyyānikabhāvaṃ dassetuṃ ‘‘tayo kho me poṭṭhapādā’’tiādimāha. Tattha attapaṭilābhoti attabhāvapaṭilābho, ettha ca bhagavā tīhi attabhāvapaṭilābhehi tayo bhave dassesi. Oḷārikattabhāvapaṭilābhena avīcito paṭṭhāya paranimmitavasavattipariyosānaṃ kāmabhavaṃ dassesi. Manomayaattabhāvapaṭilābhena paṭhamajjhānabhūmito paṭṭhāya akaniṭṭhabrahmalokapariyosānaṃ rūpabhavaṃ dassesi. Arūpaattabhāvapaṭilābhena ākāsānañcāyatanabrahmalokato paṭṭhāya nevasaññānāsaññāyatanabrahmalokapariyosānaṃ arūpabhavaṃ dassesi. Saṃkilesikā dhammā nāma dvādasa akusalacittuppādā. Vodāniyā dhammā nāma samathavipassanā.
๔๒๙. ปญฺญาปาริปูริํ เวปุลฺลตฺตนฺติ มคฺคปญฺญาผลปญฺญานํ ปาริปูริเญฺจว วิปุลภาวญฺจฯ ปามุชฺชนฺติ ตรุณปีติฯ ปีตีติ พลวตุฎฺฐิฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ยํ อโวจุมฺห ‘‘สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหิรตี’’ติ, ตตฺถ ตสฺส เอวํ วิหรโต ตํ ปาโมชฺชเญฺจว ภวิสฺสติ, ปีติ จ นามกายปสฺสทฺธิ จ สติ จ สูปฎฺฐิตา อุตฺตมญาณญฺจ สุโข จ วิหาโรฯ สพฺพวิหาเรสุ จ อยเมว วิหาโร ‘‘สุโข’’ติ วตฺตุํ ยุโตฺต ‘‘อุปสโนฺต ปรมมธุโร’’ติฯ ตตฺถ ปฐมชฺฌาเน ปาโมชฺชาทโย ฉปิ ธมฺมา ลพฺภนฺติ, ทุติยชฺฌาเน ทุพฺพลปีติสงฺขาตํ ปาโมชฺชํ นิวตฺตติ, เสสา ปญฺจ ลพฺภนฺติฯ ตติเย ปีติ นิวตฺตติ, เสสา จตฺตาโร ลพฺภนฺติฯ ตถา จตุเตฺถฯ อิเมสุ จตูสุ ฌาเนสุ สมฺปสาทนสุเตฺต สุทฺธวิปสฺสนา ปาทกชฺฌานเมว กถิตํฯ ปาสาทิกสุเตฺต จตูหิ มเคฺคหิ สทฺธิํ วิปสฺสนา กถิตาฯ ทสุตฺตรสุเตฺต จตุตฺถชฺฌานิกผลสมาปตฺติ กถิตาฯ อิมสฺมิํ โปฎฺฐปาทสุเตฺต ปาโมชฺชํ ปีติเววจนเมว กตฺวา ทุติยชฺฌานิกผลสมาปตฺตินาม กถิตาติ เวทิตพฺพาฯ
429.Paññāpāripūriṃvepullattanti maggapaññāphalapaññānaṃ pāripūriñceva vipulabhāvañca. Pāmujjanti taruṇapīti. Pītīti balavatuṭṭhi. Kiṃ vuttaṃ hoti? Yaṃ avocumha ‘‘sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja vihiratī’’ti, tattha tassa evaṃ viharato taṃ pāmojjañceva bhavissati, pīti ca nāmakāyapassaddhi ca sati ca sūpaṭṭhitā uttamañāṇañca sukho ca vihāro. Sabbavihāresu ca ayameva vihāro ‘‘sukho’’ti vattuṃ yutto ‘‘upasanto paramamadhuro’’ti. Tattha paṭhamajjhāne pāmojjādayo chapi dhammā labbhanti, dutiyajjhāne dubbalapītisaṅkhātaṃ pāmojjaṃ nivattati, sesā pañca labbhanti. Tatiye pīti nivattati, sesā cattāro labbhanti. Tathā catutthe. Imesu catūsu jhānesu sampasādanasutte suddhavipassanā pādakajjhānameva kathitaṃ. Pāsādikasutte catūhi maggehi saddhiṃ vipassanā kathitā. Dasuttarasutte catutthajjhānikaphalasamāpatti kathitā. Imasmiṃ poṭṭhapādasutte pāmojjaṃ pītivevacanameva katvā dutiyajjhānikaphalasamāpattināma kathitāti veditabbā.
๔๓๒-๔๓๗. อยํ วา โสติ เอตฺถ วา สโทฺท วิภาวนโตฺถ โหติฯ อยํ โสติ เอวํ วิภาเวตฺวา ปกาเสตฺวา พฺยากเรยฺยามฯ ยถาปเร ‘‘เอกนฺตสุขํ อตฺตานํ สญฺชานาถา’’ติ ปุฎฺฐา ‘‘โน’’ติ วทนฺติ, น เอวํ วทามาติ อโตฺถฯ สปฺปาฎิหีรกตนฺติ สปฺปาฎิหรณํ, นิยฺยานิกนฺติ อโตฺถฯ โมโฆ โหตีติ ตุโจฺฉ โหติ, นตฺถิ โส ตสฺมิํ สมเยติ อธิปฺปาโยฯ สโจฺจ โหตีติ ภูโต โหติ, เสฺวว ตสฺมิํ สมเย สโจฺจ โหตีติ อโตฺถฯ เอตฺถ ปนายํ จิโตฺต อตฺตโน อสพฺพญฺญุตาย ตโย อตฺตปฎิลาเภ กเถตฺวา อตฺตปฎิลาโภ นาม ปญฺญตฺติมตฺตํ เอตนฺติ อุทฺธริตุํ นาสกฺขิ, อตฺตปฎิลาโภ เตฺวว นิยฺยาเตสิฯ อถสฺส ภควา รูปาทโย เจตฺถ ธมฺมา, อตฺตปฎิลาโภติ ปน นามมตฺตเมตํ, เตสุ เตสุ รูปาทีสุ สติ เอวรูปา โวหารา โหนฺตีติ ทเสฺสตุกาโม ตเสฺสว กถํ คเหตฺวา นามปญฺญตฺติวเสน นิยฺยาตนตฺถํ ‘‘ยสฺมิํ จิตฺต สมเย’’ติอาทิมาหฯ
432-437.Ayaṃ vā soti ettha vā saddo vibhāvanattho hoti. Ayaṃ soti evaṃ vibhāvetvā pakāsetvā byākareyyāma. Yathāpare ‘‘ekantasukhaṃ attānaṃ sañjānāthā’’ti puṭṭhā ‘‘no’’ti vadanti, na evaṃ vadāmāti attho. Sappāṭihīrakatanti sappāṭiharaṇaṃ, niyyānikanti attho. Mogho hotīti tuccho hoti, natthi so tasmiṃ samayeti adhippāyo. Sacco hotīti bhūto hoti, sveva tasmiṃ samaye sacco hotīti attho. Ettha panāyaṃ citto attano asabbaññutāya tayo attapaṭilābhe kathetvā attapaṭilābho nāma paññattimattaṃ etanti uddharituṃ nāsakkhi, attapaṭilābho tveva niyyātesi. Athassa bhagavā rūpādayo cettha dhammā, attapaṭilābhoti pana nāmamattametaṃ, tesu tesu rūpādīsu sati evarūpā vohārā hontīti dassetukāmo tasseva kathaṃ gahetvā nāmapaññattivasena niyyātanatthaṃ ‘‘yasmiṃ citta samaye’’tiādimāha.
๔๓๘. เอวญฺจ ปน วตฺวา ปฎิปุจฺฉิตฺวา วินยนตฺถํ ปุน ‘‘สเจ ตํ, จิตฺต, เอวํ ปุเจฺฉยฺยุ’’นฺติอาทิมาห ฯ ตตฺถ โย เม อโหสิ อตีโต อตฺตปฎิลาโภ , เสฺวว เม อตฺตปฎิลาโภ, ตสฺมิํ สมเย สโจฺจ อโหสิ, โมโฆ อนาคโต โมโฆ ปจฺจุปฺปโนฺนติ เอตฺถ ตาว อิมมตฺถํ ทเสฺสติ – ยสฺมา เย เต อตีตา ธมฺมา, เต เอตรหิ นตฺถิ, อเหสุนฺติ ปน สงฺขฺยํ คตา, ตสฺมา โสปิ เม อตฺตปฎิลาโภ ตสฺมิํเยว สมเย สโจฺจ อโหสิฯ อนาคตปจฺจุปฺปนฺนานํ ปน ธมฺมานํ ตทา อภาวา ตสฺมิํ สมเย ‘‘โมโฆ อนาคโต, โมโฆ ปจฺจุปฺปโนฺน’’ติ, เอวํ อตฺถโต นามมตฺตเมว อตฺตปฎิลาภํ ปฎิชานาติฯ อนาคตปจฺจุปฺปเนฺนสุปิ เอเสว นโยฯ
438. Evañca pana vatvā paṭipucchitvā vinayanatthaṃ puna ‘‘sace taṃ, citta, evaṃ puccheyyu’’ntiādimāha . Tattha yo me ahosi atīto attapaṭilābho , sveva me attapaṭilābho, tasmiṃ samaye sacco ahosi, mogho anāgato mogho paccuppannoti ettha tāva imamatthaṃ dasseti – yasmā ye te atītā dhammā, te etarahi natthi, ahesunti pana saṅkhyaṃ gatā, tasmā sopi me attapaṭilābho tasmiṃyeva samaye sacco ahosi. Anāgatapaccuppannānaṃ pana dhammānaṃ tadā abhāvā tasmiṃ samaye ‘‘mogho anāgato, mogho paccuppanno’’ti, evaṃ atthato nāmamattameva attapaṭilābhaṃ paṭijānāti. Anāgatapaccuppannesupi eseva nayo.
๔๓๙-๔๔๓. อถ ภควา ตสฺส พฺยากรเณน สทฺธิํ อตฺตโน พฺยากรณํ สํสนฺทิตุํ ‘‘เอวเมว โข จิตฺตา’’ติอาทีนิ วตฺวา ปุน โอปมฺมโต ตมตฺถํ สาเธโนฺต ‘‘เสยฺยถาปิ จิตฺต ควา ขีร’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺรายํ สเงฺขปโตฺถ, ยถา ควา ขีรํ, ขีราทีหิ จ ทธิอาทีนิ ภวนฺติ, ตตฺถ ยสฺมิํ สมเย ขีรํ โหติ, น ตสฺมิํ สมเย ทธีติ วา นวนีตาทีสุ วา อญฺญตรนฺติ สงฺขฺยํ นิรุตฺติํ นามํ โวหารํ คจฺฉติฯ กสฺมา? เย ธเมฺม อุปาทาย ทธีติอาทิ โวหารา โหนฺติ, เตสํ อภาวาฯ อถ โข ขีรํ เตฺวว ตสฺมิํ สมเย สงฺขฺยํ คจฺฉติฯ กสฺมา? เย ธเมฺม อุปาทาย ขีรนฺติ สงฺขฺยา นิรุตฺติ นามํ โวหาโร โหติ, เตสํ ภาวาติฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ อิมา โข จิตฺตาติ โอฬาริโก อตฺตปฎิลาโภ อิติ จ มโนมโย อตฺตปฎิลาโภ อิติ จ อรูโป อตฺตปฎิลาโภ อิติ จ อิมา โข จิตฺต โลกสมญฺญา โลเก สมญฺญามตฺตกานิ สมนุชานนมตฺตกานิ เอตานิฯ ตถา โลกนิรุตฺติมตฺตกานิ วจนปถมตฺตกานิ โวหารมตฺตกานิ นามปณฺณตฺติมตฺตกานิ เอตานีติฯ เอวํ ภควา เหฎฺฐา ตโย อตฺตปฎิลาเภ กเถตฺวา อิทานิ สพฺพเมตํ โวหารมตฺตกนฺติ วทติฯ กสฺมา? ยสฺมา ปรมตฺถโต สโตฺต นาม นตฺถิ, สุโญฺญ ตุโจฺฉ เอส โลโกฯ
439-443. Atha bhagavā tassa byākaraṇena saddhiṃ attano byākaraṇaṃ saṃsandituṃ ‘‘evameva kho cittā’’tiādīni vatvā puna opammato tamatthaṃ sādhento ‘‘seyyathāpi citta gavā khīra’’ntiādimāha. Tatrāyaṃ saṅkhepattho, yathā gavā khīraṃ, khīrādīhi ca dadhiādīni bhavanti, tattha yasmiṃ samaye khīraṃ hoti, na tasmiṃ samaye dadhīti vā navanītādīsu vā aññataranti saṅkhyaṃ niruttiṃ nāmaṃ vohāraṃ gacchati. Kasmā? Ye dhamme upādāya dadhītiādi vohārā honti, tesaṃ abhāvā. Atha kho khīraṃ tveva tasmiṃ samaye saṅkhyaṃ gacchati. Kasmā? Ye dhamme upādāya khīranti saṅkhyā nirutti nāmaṃ vohāro hoti, tesaṃ bhāvāti. Esa nayo sabbattha. Imā kho cittāti oḷāriko attapaṭilābho iti ca manomayo attapaṭilābho iti ca arūpo attapaṭilābho iti ca imā kho citta lokasamaññā loke samaññāmattakāni samanujānanamattakāni etāni. Tathā lokaniruttimattakāni vacanapathamattakāni vohāramattakāni nāmapaṇṇattimattakāni etānīti. Evaṃ bhagavā heṭṭhā tayo attapaṭilābhe kathetvā idāni sabbametaṃ vohāramattakanti vadati. Kasmā? Yasmā paramatthato satto nāma natthi, suñño tuccho esa loko.
พุทฺธานํ ปน เทฺว กถา สมฺมุติกถา จ ปรมตฺถกถา จฯ ตตฺถ ‘‘สโตฺต โปโส เทโว พฺรหฺมา’’ติอาทิกา ‘‘สมฺมุติกถา’’ นามฯ ‘‘อนิจฺจํ ทุกฺขมนตฺตา ขนฺธา ธาตุโย อายตนานิ สติปฎฺฐานา สมฺมปฺปธานา’’ติอาทิกา ปรมตฺถกถา นามฯ ตตฺถ โย สมฺมุติเทสนาย ‘‘สโตฺต’’ติ วา ‘‘โปโส’’ติ วา ‘‘เทโว’’ติ วา ‘‘พฺรหฺมา’’ติ วา วุเตฺต วิชานิตุํ ปฎิวิชฺฌิตุํ นิยฺยาตุํ อรหตฺตชยคฺคาหํ คเหตุํ สโกฺกติ, ตสฺส ภควา อาทิโตว ‘‘สโตฺต’’ติ วา ‘‘โปโส’’ติ วา ‘‘เทโว’’ติ วา ‘‘พฺรหฺมา’’ติ วา กเถติ, โย ปรมตฺถเทสนาย ‘‘อนิจฺจ’’นฺติ วา ‘‘ทุกฺข’’นฺติ วาติอาทีสุ อญฺญตรํ สุตฺวา วิชานิตุํ ปฎิวิชฺฌิตุํ นิยฺยาตุํ อรหตฺตชยคฺคาหํ คเหตุํ สโกฺกติ, ตสฺส ‘‘อนิจฺจ’’นฺติ วา ‘‘ทุกฺข’’นฺติ วาติอาทีสุ อญฺญตรเมว กเถติฯ ตถา สมฺมุติกถาย พุชฺฌนกสตฺตสฺสาปิ น ปฐมํ ปรมตฺถกถํ กเถติฯ สมฺมุติกถาย ปน โพเธตฺวา ปจฺฉา ปรมตฺถกถํ กเถติฯ ปรมตฺถกถาย พุชฺฌนกสตฺตสฺสาปิ น ปฐมํ สมฺมุติกถํ กเถติฯ ปรมตฺถกถาย ปน โพเธตฺวา ปจฺฉา สมฺมุติกถํ กเถติฯ ปกติยา ปน ปฐมเมว ปรมตฺถกถํ กเถนฺตสฺส เทสนา ลูขาการา โหติ, ตสฺมา พุทฺธา ปฐมํ สมฺมุติกถํ กเถตฺวา ปจฺฉา ปรมตฺถกถํ กเถนฺติฯ สมฺมุติกถํ กเถนฺตาปิ สจฺจเมว สภาวเมว อมุสาว กเถนฺติฯ ปรมตฺถกถํ กเถนฺตาปิ สจฺจเมว สภาวเมว อมุสาว กเถนฺติฯ
Buddhānaṃ pana dve kathā sammutikathā ca paramatthakathā ca. Tattha ‘‘satto poso devo brahmā’’tiādikā ‘‘sammutikathā’’ nāma. ‘‘Aniccaṃ dukkhamanattā khandhā dhātuyo āyatanāni satipaṭṭhānā sammappadhānā’’tiādikā paramatthakathā nāma. Tattha yo sammutidesanāya ‘‘satto’’ti vā ‘‘poso’’ti vā ‘‘devo’’ti vā ‘‘brahmā’’ti vā vutte vijānituṃ paṭivijjhituṃ niyyātuṃ arahattajayaggāhaṃ gahetuṃ sakkoti, tassa bhagavā āditova ‘‘satto’’ti vā ‘‘poso’’ti vā ‘‘devo’’ti vā ‘‘brahmā’’ti vā katheti, yo paramatthadesanāya ‘‘anicca’’nti vā ‘‘dukkha’’nti vātiādīsu aññataraṃ sutvā vijānituṃ paṭivijjhituṃ niyyātuṃ arahattajayaggāhaṃ gahetuṃ sakkoti, tassa ‘‘anicca’’nti vā ‘‘dukkha’’nti vātiādīsu aññatarameva katheti. Tathā sammutikathāya bujjhanakasattassāpi na paṭhamaṃ paramatthakathaṃ katheti. Sammutikathāya pana bodhetvā pacchā paramatthakathaṃ katheti. Paramatthakathāya bujjhanakasattassāpi na paṭhamaṃ sammutikathaṃ katheti. Paramatthakathāya pana bodhetvā pacchā sammutikathaṃ katheti. Pakatiyā pana paṭhamameva paramatthakathaṃ kathentassa desanā lūkhākārā hoti, tasmā buddhā paṭhamaṃ sammutikathaṃ kathetvā pacchā paramatthakathaṃ kathenti. Sammutikathaṃ kathentāpi saccameva sabhāvameva amusāva kathenti. Paramatthakathaṃ kathentāpi saccameva sabhāvameva amusāva kathenti.
ทุเว สจฺจานิ อกฺขาสิ, สมฺพุโทฺธ วทตํ วโร;
Duve saccāni akkhāsi, sambuddho vadataṃ varo;
สมฺมุติํ ปรมตฺถญฺจ, ตติยํ นูปลพฺภติฯ
Sammutiṃ paramatthañca, tatiyaṃ nūpalabbhati.
สเงฺกตวจนํ สจฺจํ, โลกสมฺมุติการณํ;
Saṅketavacanaṃ saccaṃ, lokasammutikāraṇaṃ;
ปรมตฺถวจนํ สจฺจํ, ธมฺมานํ ภูตลกฺขณนฺติฯ
Paramatthavacanaṃ saccaṃ, dhammānaṃ bhūtalakkhaṇanti.
ยาหิ ตถาคโต โวหรติ อปรามสนฺติ ยาหิ โลกสมญฺญาหิ โลกนิรุตฺตีหิ ตถาคโต ตณฺหามานทิฎฺฐิปรามาสานํ อภาวา อปรามสโนฺต โวหรตีติ เทสนํ วินิวเฎฺฎตฺวา อรหตฺตนิกูเฎน นิฎฺฐาเปสิฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานตฺถเมวาติฯ
Yāhi tathāgato voharati aparāmasanti yāhi lokasamaññāhi lokaniruttīhi tathāgato taṇhāmānadiṭṭhiparāmāsānaṃ abhāvā aparāmasanto voharatīti desanaṃ vinivaṭṭetvā arahattanikūṭena niṭṭhāpesi. Sesaṃ sabbattha uttānatthamevāti.
อิติ สุมงฺคลวิลาสินิยา ทีฆนิกายฎฺฐกถายํ
Iti sumaṅgalavilāsiniyā dīghanikāyaṭṭhakathāyaṃ
โปฎฺฐปาทสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Poṭṭhapādasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ทีฆนิกาย • Dīghanikāya / ๙. โปฎฺฐปาทสุตฺตํ • 9. Poṭṭhapādasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / ทีฆนิกาย (ฎีกา) • Dīghanikāya (ṭīkā) / ๙. โปฎฺฐปาทสุตฺตวณฺณนา • 9. Poṭṭhapādasuttavaṇṇanā