Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มิลินฺทปญฺหปาฬิ • Milindapañhapāḷi

    ๑. พาหิรกถา

    1. Bāhirakathā

    ปุพฺพโยคาทิ

    Pubbayogādi

    . อตีเต กิร กสฺสปสฺส ภควโต สาสเน วตฺตมาเน คงฺคาย สมีเป เอกสฺมิํ อาวาเส มหาภิกฺขุสโงฺฆ ปฎิวสติ, ตตฺถ วตฺตสีลสมฺปนฺนา ภิกฺขู ปาโตว อุฎฺฐาย ยฎฺฐิสมฺมชฺชนิโย 1 อาทาย พุทฺธคุเณ อาวเชฺชนฺตา องฺคณํ สมฺมชฺชิตฺวา กจวรพฺยูหํ กโรนฺติฯ อเถโก ภิกฺขุ เอกํ สามเณรํ ‘‘เอหิ สามเณร, อิมํ กจวรํ ฉเฑฺฑหี’’ติ อาห, โส อสุณโนฺต วิย คจฺฉติ, โส ทุติยมฺปิ…เป.… ตติยมฺปิ อามนฺติยมาโน อสุณโนฺต วิย คจฺฉเตวฯ ตโต โส ภิกฺขุ ‘‘ทุพฺพโจ วตายํ สามเณโร’’ติ กุโทฺธ สมฺมชฺชนิทเณฺฑน ปหารํ อทาสิฯ ตโต โส โรทโนฺต ภเยน กจวรํ ฉเฑฺฑโนฺต ‘‘อิมินา กจวรฉฑฺฑนปุญฺญกเมฺมน ยาวาหํ นิพฺพานํ ปาปุณามิ 2, เอตฺถนฺตเร นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฎฺฐาเน มชฺฌนฺหิกสูริโย 3 วิย มเหสโกฺข มหาเตโช ภเวยฺย’’นฺติ ปฐมํ ปตฺถนํ ปฎฺฐเปสิฯ กจวรํ ฉเฑฺฑตฺวา นหานตฺถาย คงฺคาติตฺถํ คโต คงฺคาย อูมิเวคํ คคฺครายมานํ ทิสฺวา ‘‘ยาวาหํ นิพฺพานํ ปาปุณามิ 4, เอตฺถนฺตเร นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฎฺฐาเน อยํ อูมิเวโค วิย ฐานุปฺปตฺติกปฎิภาโน ภเวยฺยํ อกฺขยปฎิภาโน’’ติ ทุติยมฺปิ ปตฺถนํ ปฎฺฐเปสิฯ

    3. Atīte kira kassapassa bhagavato sāsane vattamāne gaṅgāya samīpe ekasmiṃ āvāse mahābhikkhusaṅgho paṭivasati, tattha vattasīlasampannā bhikkhū pātova uṭṭhāya yaṭṭhisammajjaniyo 5 ādāya buddhaguṇe āvajjentā aṅgaṇaṃ sammajjitvā kacavarabyūhaṃ karonti. Atheko bhikkhu ekaṃ sāmaṇeraṃ ‘‘ehi sāmaṇera, imaṃ kacavaraṃ chaḍḍehī’’ti āha, so asuṇanto viya gacchati, so dutiyampi…pe… tatiyampi āmantiyamāno asuṇanto viya gacchateva. Tato so bhikkhu ‘‘dubbaco vatāyaṃ sāmaṇero’’ti kuddho sammajjanidaṇḍena pahāraṃ adāsi. Tato so rodanto bhayena kacavaraṃ chaḍḍento ‘‘iminā kacavarachaḍḍanapuññakammena yāvāhaṃ nibbānaṃ pāpuṇāmi 6, etthantare nibbattanibbattaṭṭhāne majjhanhikasūriyo 7 viya mahesakkho mahātejo bhaveyya’’nti paṭhamaṃ patthanaṃ paṭṭhapesi. Kacavaraṃ chaḍḍetvā nahānatthāya gaṅgātitthaṃ gato gaṅgāya ūmivegaṃ gaggarāyamānaṃ disvā ‘‘yāvāhaṃ nibbānaṃ pāpuṇāmi 8, etthantare nibbattanibbattaṭṭhāne ayaṃ ūmivego viya ṭhānuppattikapaṭibhāno bhaveyyaṃ akkhayapaṭibhāno’’ti dutiyampi patthanaṃ paṭṭhapesi.

    โสปิ ภิกฺขุ สมฺมชฺชนิสาลาย สมฺมชฺชนิํ ฐเปตฺวา นหานตฺถาย คงฺคาติตฺถํ คจฺฉโนฺต สามเณรสฺส ปตฺถนํ สุตฺวา ‘‘เอส มยา ปโยชิโตปิ ตาว เอวํ ปเตฺถติ, มยฺหํ กิํ น สมิชฺฌิสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘ยาวาหํ นิพฺพานํ ปาปุณามิ 9, เอตฺถนฺตเร นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฎฺฐาเน อยํ คงฺคาอูมิเวโค วิย อกฺขยปฎิภาโน ภเวยฺยํ, อิมินา ปุจฺฉิตปุจฺฉิตํ สพฺพํ ปญฺหปฎิภานํ วิชเฎตุํ นิเพฺพเฐตุํ สมโตฺถ ภเวยฺย’’นฺติ ปตฺถนํ ปฎฺฐเปสิฯ

    Sopi bhikkhu sammajjanisālāya sammajjaniṃ ṭhapetvā nahānatthāya gaṅgātitthaṃ gacchanto sāmaṇerassa patthanaṃ sutvā ‘‘esa mayā payojitopi tāva evaṃ pattheti, mayhaṃ kiṃ na samijjhissatī’’ti cintetvā ‘‘yāvāhaṃ nibbānaṃ pāpuṇāmi 10, etthantare nibbattanibbattaṭṭhāne ayaṃ gaṅgāūmivego viya akkhayapaṭibhāno bhaveyyaṃ, iminā pucchitapucchitaṃ sabbaṃ pañhapaṭibhānaṃ vijaṭetuṃ nibbeṭhetuṃ samattho bhaveyya’’nti patthanaṃ paṭṭhapesi.

    เต อุโภปิ เทเวสุ จ มนุเสฺสสุ จ สํสรนฺตา เอกํ พุทฺธนฺตรํ เขเปสุํฯ อถ อมฺหากํ ภควตาปิ ยถา โมคฺคลิปุตฺตติสฺสเตฺถโร ทิสฺสติ, เอวเมเตปิ ทิสฺสนฺติ มม ปรินิพฺพานโต ปญฺจวสฺสสเต อติกฺกเนฺต เอเต อุปฺปชฺชิสฺสนฺติ, ยํ มยา สุขุมํ กตฺวา เทสิตํ ธมฺมวินยํ, ตํ เอเต ปญฺหปุจฺฉนโอปมฺมยุตฺติวเสน นิชฺชฎํ นิคฺคุมฺพํ กตฺวา วิภชิสฺสนฺตีติ นิทฺทิฎฺฐาฯ

    Te ubhopi devesu ca manussesu ca saṃsarantā ekaṃ buddhantaraṃ khepesuṃ. Atha amhākaṃ bhagavatāpi yathā moggaliputtatissatthero dissati, evametepi dissanti mama parinibbānato pañcavassasate atikkante ete uppajjissanti, yaṃ mayā sukhumaṃ katvā desitaṃ dhammavinayaṃ, taṃ ete pañhapucchanaopammayuttivasena nijjaṭaṃ niggumbaṃ katvā vibhajissantīti niddiṭṭhā.

    . เตสุ สามเณโร ชมฺพุทีเป สาคลนคเร มิลิโนฺท นาม ราชา อโหสิ ปณฺฑิโต พฺยโตฺต เมธาวี ปฎิพโล อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนานํ มนฺตโยควิธานกิริยานํ 11, กรณกาเล นิสมฺมการี โหติ, พหูนิ จสฺส สตฺถานิ อุคฺคหิตานิ โหนฺติฯ เสยฺยถิทํ, สุติ สมฺมุติ สงฺขฺยา โยคา นีติ วิเสสิกา คณิกา คนฺธพฺพา ติกิจฺฉา ธนุเพฺพทา 12 ปุราณา อิติหาสา โชติสา มายา เกตุ 13 มนฺตนา ยุทฺธา ฉนฺทสา พุทฺธวจเนน 14 เอกูนวีสติ, วิตณฺฑวาที 15 ทุราสโท ทุปฺปสโห ปุถุติตฺถกรานํ อคฺคมกฺขายติ, สกลชมฺพุทีเป มิลิเนฺทน รญฺญา สโม โกจิ นาโหสิ ยทิทํ ถาเมน ชเวน สูเรน ปญฺญาย, อโฑฺฒ มหทฺธโน มหาโภโค อนนฺตพลวาหโนฯ

    4. Tesu sāmaṇero jambudīpe sāgalanagare milindo nāma rājā ahosi paṇḍito byatto medhāvī paṭibalo atītānāgatapaccuppannānaṃ mantayogavidhānakiriyānaṃ 16, karaṇakāle nisammakārī hoti, bahūni cassa satthāni uggahitāni honti. Seyyathidaṃ, suti sammuti saṅkhyā yogā nīti visesikā gaṇikā gandhabbā tikicchā dhanubbedā 17 purāṇā itihāsā jotisā māyā ketu 18 mantanā yuddhā chandasā buddhavacanena 19 ekūnavīsati, vitaṇḍavādī 20 durāsado duppasaho puthutitthakarānaṃ aggamakkhāyati, sakalajambudīpe milindena raññā samo koci nāhosi yadidaṃ thāmena javena sūrena paññāya, aḍḍho mahaddhano mahābhogo anantabalavāhano.

    . อเถกทิวสํ มิลิโนฺท ราชา อนนฺตพลวาหนํ จตุรงฺคินิํ พลคฺคเสนาพฺยูหํ ทสฺสนกมฺยตาย นครา นิกฺขมิตฺวา พหินคเร เสนงฺคทสฺสนํ กตฺวา 21 สาเรตฺวา โส ราชา ภสฺสปฺปวาทโก โลกายตวิตณฺฑ 22 ชนสลฺลาปปฺลว จิตฺตโกตูหโล วิสารโท วิชมฺภโก สูริยํ โอโลเกตฺวา อมเจฺจ อามเนฺตสิ ‘‘พหุ ภเณ ตาว ทิวสาวเสโส กิํ กริสฺสาม, อิทาเนว นครํ ปวิสิตฺวา อตฺถิ โกจิ ปณฺฑิโต สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา สงฺฆี คณี คณาจริโย อปิ อรหนฺตํ สมฺมาสมฺพุทฺธํ ปฎิชานมาโน, โย มยา สทฺธิํ สลฺลปิตุํ สโกฺกติ กงฺขํ ปฎิวิเนตุํ, ตํ อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺหํ ปุจฺฉิสฺสาม, กงฺขํ ปฎิวินยิสฺสามา’’ติฯ

    5. Athekadivasaṃ milindo rājā anantabalavāhanaṃ caturaṅginiṃ balaggasenābyūhaṃ dassanakamyatāya nagarā nikkhamitvā bahinagare senaṅgadassanaṃ katvā 23 sāretvā so rājā bhassappavādako lokāyatavitaṇḍa 24 janasallāpaplava cittakotūhalo visārado vijambhako sūriyaṃ oloketvā amacce āmantesi ‘‘bahu bhaṇe tāva divasāvaseso kiṃ karissāma, idāneva nagaraṃ pavisitvā atthi koci paṇḍito samaṇo vā brāhmaṇo vā saṅghī gaṇī gaṇācariyo api arahantaṃ sammāsambuddhaṃ paṭijānamāno, yo mayā saddhiṃ sallapituṃ sakkoti kaṅkhaṃ paṭivinetuṃ, taṃ upasaṅkamitvā pañhaṃ pucchissāma, kaṅkhaṃ paṭivinayissāmā’’ti.

    เอวํ วุเตฺต ปญฺจสตา โยนกา ราชานํ มิลินฺทํ เอตทโวจุํ ‘‘อตฺถิ, มหาราช, ฉ สตฺถาโร ปูรโณ กสฺสโป มกฺขลิโคสาโล นิคโณฺฐ นาฎปุโตฺต 25 สญฺชโย เพลฎฺฐปุโตฺต อชิโต เกสกมฺพโล ปกุโธ กจฺจายโน, เต สงฺฆิโน คณิโน คณาจริยกา ญาตา ยสสฺสิโน ติตฺถกรา สาธุสมฺมตา พหุชนสฺส, คจฺฉ ตฺวํ มหาราช, เต ปญฺหํ ปุจฺฉสฺสุ, กงฺขํ ปฎิวินยสฺสู’’ติฯ

    Evaṃ vutte pañcasatā yonakā rājānaṃ milindaṃ etadavocuṃ ‘‘atthi, mahārāja, cha satthāro pūraṇo kassapo makkhaligosālo nigaṇṭho nāṭaputto 26 sañjayo belaṭṭhaputto ajito kesakambalo pakudho kaccāyano, te saṅghino gaṇino gaṇācariyakā ñātā yasassino titthakarā sādhusammatā bahujanassa, gaccha tvaṃ mahārāja, te pañhaṃ pucchassu, kaṅkhaṃ paṭivinayassū’’ti.

    . อถ โข มิลิโนฺท ราชา ปญฺจหิ โยนกสเตหิ ปริวุโต ภทฺรวาหนํ รถวรมารุยฺห เยน ปูรโณ กสฺสโป เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา ปูรเณน กสฺสเปน สทฺธิํ สโมฺมทิ, สโมฺมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิ, เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข มิลิโนฺท ราชา ปูรณํ กสฺสปํ เอตทโวจ ‘‘โก, ภเนฺต กสฺสป, โลกํ ปาเลตี’’ติ? ‘‘ปถวี, มหาราช , โลกํ ปาเลตี’’ติฯ ‘‘ยทิ, ภเนฺต กสฺสป, ปถวี 27 โลกํ ปาเลติ, อถ กสฺมา อวีจินิรยํ คจฺฉนฺตา สตฺตา ปถวิํ อติกฺกมิตฺวา คจฺฉนฺตี’’ติ? เอวํ วุเตฺต ปูรโณ กสฺสโป เนว สกฺขิ โอคิลิตุํ, โน สกฺขิ อุคฺคิลิตุํ, อโธมุโข ปตฺตกฺขโนฺธ ตุณฺหีภูโต ปชฺฌายโนฺต นิสีทิฯ

    6. Atha kho milindo rājā pañcahi yonakasatehi parivuto bhadravāhanaṃ rathavaramāruyha yena pūraṇo kassapo tenupasaṅkami, upasaṅkamitvā pūraṇena kassapena saddhiṃ sammodi, sammodanīyaṃ kathaṃ sāraṇīyaṃ vītisāretvā ekamantaṃ nisīdi, ekamantaṃ nisinno kho milindo rājā pūraṇaṃ kassapaṃ etadavoca ‘‘ko, bhante kassapa, lokaṃ pāletī’’ti? ‘‘Pathavī, mahārāja , lokaṃ pāletī’’ti. ‘‘Yadi, bhante kassapa, pathavī 28 lokaṃ pāleti, atha kasmā avīcinirayaṃ gacchantā sattā pathaviṃ atikkamitvā gacchantī’’ti? Evaṃ vutte pūraṇo kassapo neva sakkhi ogilituṃ, no sakkhi uggilituṃ, adhomukho pattakkhandho tuṇhībhūto pajjhāyanto nisīdi.

    . อถ โข มิลิโนฺท ราชา มกฺขลิํ โคสาลํ เอตทโวจ ‘‘อตฺถิ, ภเนฺต โคสาล, กุสลากุสลานิ กมฺมานิ, อตฺถิ สุกตทุกฺกฎานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก’’ติ? ‘‘นตฺถิ, มหาราช, กุสลากุสลานิ กมฺมานิ, นตฺถิ สุกตทุกฺกฎานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโกฯ เย เต, มหาราช, อิธ โลเก ขตฺติยา, เต ปรโลกํ คนฺตฺวาปิ ปุน ขตฺติยาว ภวิสฺสนฺติ, เย เต พฺราหฺมณา เวสฺสา สุทฺทา จณฺฑาลา ปุกฺกุสา, เต ปรโลกํ คนฺตฺวาปิ ปุน พฺราหฺมณา เวสฺสา สุทฺทา จณฺฑาลา ปุกฺกุสาว ภวิสฺสนฺติฯ กิํ กุสลากุสเลหิ กเมฺมหี’’ติ? ‘‘ยทิ, ภเนฺต โคสาล, อิธ โลเก ขตฺติยา พฺราหฺมณา เวสฺสา สุทฺทา จณฺฑาลา ปุกฺกุสา, เต ปรโลกํ คนฺตฺวาปิ ปุน ขตฺติยา พฺราหฺมณา เวสฺสา สุทฺทา จณฺฑาลา ปุกฺกุสาว ภวิสฺสนฺติ, นตฺถิ กุสลากุสเลหิ กเมฺมหิ กรณียํฯ เตน หิ, ภเนฺต โคสาล, เย เต อิธ โลเก หตฺถจฺฉินฺนา, เต ปรโลกํ คนฺตฺวาปิ ปุน หตฺถจฺฉินฺนาว ภวิสฺสนฺติฯ เย ปาทจฺฉินฺนา, เต ปาทจฺฉินฺนาว ภวิสฺสนฺติฯ เย หตฺถปาทจฺฉินฺนา, เต หตฺถปาทจฺฉินฺนาว ภวิสฺสนฺติฯ เย กณฺณจฺฉินฺนา, เต กณฺณจฺฉินฺนาว ภวิสฺสนฺติฯ เย นาสจฺฉินฺนา, เต นาสจฺฉินฺนาว ภวิสฺสนฺติฯ เย กณฺณนาสจฺฉินฺนา, เต กณฺณนาสจฺฉินฺนาว ภวิสฺสนฺตี’’ติฯ เอวํ วุเตฺต โคสาโล ตุณฺหี อโหสิฯ

    7. Atha kho milindo rājā makkhaliṃ gosālaṃ etadavoca ‘‘atthi, bhante gosāla, kusalākusalāni kammāni, atthi sukatadukkaṭānaṃ kammānaṃ phalaṃ vipāko’’ti? ‘‘Natthi, mahārāja, kusalākusalāni kammāni, natthi sukatadukkaṭānaṃ kammānaṃ phalaṃ vipāko. Ye te, mahārāja, idha loke khattiyā, te paralokaṃ gantvāpi puna khattiyāva bhavissanti, ye te brāhmaṇā vessā suddā caṇḍālā pukkusā, te paralokaṃ gantvāpi puna brāhmaṇā vessā suddā caṇḍālā pukkusāva bhavissanti. Kiṃ kusalākusalehi kammehī’’ti? ‘‘Yadi, bhante gosāla, idha loke khattiyā brāhmaṇā vessā suddā caṇḍālā pukkusā, te paralokaṃ gantvāpi puna khattiyā brāhmaṇā vessā suddā caṇḍālā pukkusāva bhavissanti, natthi kusalākusalehi kammehi karaṇīyaṃ. Tena hi, bhante gosāla, ye te idha loke hatthacchinnā, te paralokaṃ gantvāpi puna hatthacchinnāva bhavissanti. Ye pādacchinnā, te pādacchinnāva bhavissanti. Ye hatthapādacchinnā, te hatthapādacchinnāva bhavissanti. Ye kaṇṇacchinnā, te kaṇṇacchinnāva bhavissanti. Ye nāsacchinnā, te nāsacchinnāva bhavissanti. Ye kaṇṇanāsacchinnā, te kaṇṇanāsacchinnāva bhavissantī’’ti. Evaṃ vutte gosālo tuṇhī ahosi.

    อถ โข มิลินฺทสฺส รโญฺญ เอตทโหสิ ‘‘ตุโจฺฉ วต โภ ชมฺพุทีโป, ปลาโป วต โภ ชมฺพุทีโป, นตฺถิ โกจิ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา, โย มยา สทฺธิํ สลฺลปิตุํ สโกฺกติ กงฺขํ ปฎิวิเนตุ’’นฺติฯ

    Atha kho milindassa rañño etadahosi ‘‘tuccho vata bho jambudīpo, palāpo vata bho jambudīpo, natthi koci samaṇo vā brāhmaṇo vā, yo mayā saddhiṃ sallapituṃ sakkoti kaṅkhaṃ paṭivinetu’’nti.

    อถ โข มิลิโนฺท ราชา อมเจฺจ อามเนฺตสิ ‘‘รมณียา วต โภ โทสินา รตฺติ, กํ นุ ขฺวชฺช สมณํ วา พฺราหฺมณํ วา อุปสงฺกเมยฺยาม ปญฺหํ ปุจฺฉิตุํ, โก มยา สทฺธิํ สลฺลปิตุํ สโกฺกติ กงฺขํ ปฎิวิเนตุ’’นฺติ? เอวํ วุเตฺต อมจฺจา ตุณฺหีภูตา รโญฺญ มุขํ โอโลกยมานา อฎฺฐํสุฯ

    Atha kho milindo rājā amacce āmantesi ‘‘ramaṇīyā vata bho dosinā ratti, kaṃ nu khvajja samaṇaṃ vā brāhmaṇaṃ vā upasaṅkameyyāma pañhaṃ pucchituṃ, ko mayā saddhiṃ sallapituṃ sakkoti kaṅkhaṃ paṭivinetu’’nti? Evaṃ vutte amaccā tuṇhībhūtā rañño mukhaṃ olokayamānā aṭṭhaṃsu.

    เตน โข ปน สมเยน สาคลนครํ ทฺวาทส วสฺสานิ สุญฺญํ อโหสิ สมณพฺราหฺมณคหปติปณฺฑิเตหิ, ยตฺถ สมณพฺราหฺมณคหปติปณฺฑิตา ปฎิวสนฺตีติ สุณาติ, ตตฺถ คนฺตฺวา ราชา เต ปญฺหํ ปุจฺฉติ, เต สเพฺพปิ ปญฺหวิสชฺชเนน ราชานํ อาราเธตุํ อสโกฺกนฺตา เยน วา เตน วา ปกฺกมนฺติฯ เย อญฺญํ ทิสํ น ปกฺกมนฺติ, เต สเพฺพ ตุณฺหีภูตา อจฺฉนฺติฯ ภิกฺขู ปน เยภุเยฺยน หิมวนฺตเมว คจฺฉนฺติฯ

    Tena kho pana samayena sāgalanagaraṃ dvādasa vassāni suññaṃ ahosi samaṇabrāhmaṇagahapatipaṇḍitehi, yattha samaṇabrāhmaṇagahapatipaṇḍitā paṭivasantīti suṇāti, tattha gantvā rājā te pañhaṃ pucchati, te sabbepi pañhavisajjanena rājānaṃ ārādhetuṃ asakkontā yena vā tena vā pakkamanti. Ye aññaṃ disaṃ na pakkamanti, te sabbe tuṇhībhūtā acchanti. Bhikkhū pana yebhuyyena himavantameva gacchanti.

    . เตน โข ปน สมเยน โกฎิสตา อรหโนฺต หิมวเนฺต ปพฺพเต รกฺขิตตเล ปฎิวสนฺติฯ อถ โข อายสฺมา อสฺสคุโตฺต ทิพฺพาย โสตธาตุยา มิลินฺทสฺส รโญฺญ วจนํ สุตฺวา ยุคนฺธรมตฺถเก ภิกฺขุสงฺฆํ สนฺนิปาเตตฺวา ภิกฺขู ปุจฺฉิ ‘‘อตฺถาวุโส โกจิ ภิกฺขุ ปฎิพโล มิลิเนฺทน รญฺญา สทฺธิํ สลฺลปิตุํ กงฺขํ ปฎิวิเนตุ’’นฺติ?

    8. Tena kho pana samayena koṭisatā arahanto himavante pabbate rakkhitatale paṭivasanti. Atha kho āyasmā assagutto dibbāya sotadhātuyā milindassa rañño vacanaṃ sutvā yugandharamatthake bhikkhusaṅghaṃ sannipātetvā bhikkhū pucchi ‘‘atthāvuso koci bhikkhu paṭibalo milindena raññā saddhiṃ sallapituṃ kaṅkhaṃ paṭivinetu’’nti?

    เอวํ วุเตฺต โกฎิสตา อรหโนฺต ตุณฺหี อเหสุํฯ ทุติยมฺปิ ตติยมฺปิ ปุฎฺฐา ตุณฺหี อเหสุํฯ อถ โข อายสฺมา อสฺสคุโตฺต ภิกฺขุสงฺฆํ เอตทโวจ ‘‘อตฺถาวุโส ตาวติํสภวเน เวชยนฺตสฺส ปาจีนโต เกตุมตี นาม วิมานํ, ตตฺถ มหาเสโน นาม เทวปุโตฺต ปฎิวสติ, โส ปฎิพโล เตน มิลิเนฺทน รญฺญา สทฺธิํ สลฺลปิตุํ กงฺขํ ปฎิวิเนตุ’’นฺติฯ

    Evaṃ vutte koṭisatā arahanto tuṇhī ahesuṃ. Dutiyampi tatiyampi puṭṭhā tuṇhī ahesuṃ. Atha kho āyasmā assagutto bhikkhusaṅghaṃ etadavoca ‘‘atthāvuso tāvatiṃsabhavane vejayantassa pācīnato ketumatī nāma vimānaṃ, tattha mahāseno nāma devaputto paṭivasati, so paṭibalo tena milindena raññā saddhiṃ sallapituṃ kaṅkhaṃ paṭivinetu’’nti.

    อถ โข โกฎิสตา อรหโนฺต ยุคนฺธรปพฺพเต อนฺตรหิตา ตาวติํสภวเน ปาตุรเหสุํฯ อทฺทสา โข สโกฺก เทวานมิโนฺท เต ภิกฺขู ทูรโตว อาคจฺฉเนฺต, ทิสฺวาน เยนายสฺมา อสฺสคุโตฺต เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ อสฺสคุตฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิ, เอกมนฺตํ ฐิโต โข สโกฺก เทวานมิโนฺท อายสฺมนฺตํ อสฺสคุตฺตํ เอตทโวจ ‘‘มหา โข, ภเนฺต, ภิกฺขุสโงฺฆ อนุปฺปโตฺต, อหํ สงฺฆสฺส อารามิโก, เกนโตฺถ, กิํ มยา กรณีย’’นฺติ?

    Atha kho koṭisatā arahanto yugandharapabbate antarahitā tāvatiṃsabhavane pāturahesuṃ. Addasā kho sakko devānamindo te bhikkhū dūratova āgacchante, disvāna yenāyasmā assagutto tenupasaṅkami, upasaṅkamitvā āyasmantaṃ assaguttaṃ abhivādetvā ekamantaṃ aṭṭhāsi, ekamantaṃ ṭhito kho sakko devānamindo āyasmantaṃ assaguttaṃ etadavoca ‘‘mahā kho, bhante, bhikkhusaṅgho anuppatto, ahaṃ saṅghassa ārāmiko, kenattho, kiṃ mayā karaṇīya’’nti?

    อถ โข อายสฺมา อสฺสคุโตฺต สกฺกํ เทวานมินฺทํ เอตทโวจ ‘‘อยํ โข, มหาราช, ชมฺพุทีเป สาคลนคเร มิลิโนฺท นาม ราชา วิตณฺฑวาที ทุราสโท ทุปฺปสโห ปุถุติตฺถกรานํ อคฺคมกฺขายติ, โส ภิกฺขุสงฺฆํ อุปสงฺกมิตฺวา ทิฎฺฐิวาเทน ปญฺหํ ปุจฺฉิตฺวา ภิกฺขุสงฺฆํ วิเหเฐตี’’ติฯ

    Atha kho āyasmā assagutto sakkaṃ devānamindaṃ etadavoca ‘‘ayaṃ kho, mahārāja, jambudīpe sāgalanagare milindo nāma rājā vitaṇḍavādī durāsado duppasaho puthutitthakarānaṃ aggamakkhāyati, so bhikkhusaṅghaṃ upasaṅkamitvā diṭṭhivādena pañhaṃ pucchitvā bhikkhusaṅghaṃ viheṭhetī’’ti.

    อถ โข สโกฺก เทวานมิโนฺท อายสฺมนฺตํ อสฺสคุตฺตํ เอตทโวจ ‘‘อยํ โข, ภเนฺต, มิลิโนฺท ราชา อิโต จุโต มนุเสฺสสุ อุปฺปโนฺน, เอโส โข, ภเนฺต, เกตุมติวิมาเน มหาเสโน นาม เทวปุโตฺต ปฎิวสติ, โส ปฎิพโล เตน มิลิเนฺทน รญฺญา สทฺธิํ สลฺลปิตุํ กงฺขํ ปฎิวิเนตุํ, ตํ เทวปุตฺตํ ยาจิสฺสาม มนุสฺสโลกูปปตฺติยา’’ติฯ

    Atha kho sakko devānamindo āyasmantaṃ assaguttaṃ etadavoca ‘‘ayaṃ kho, bhante, milindo rājā ito cuto manussesu uppanno, eso kho, bhante, ketumativimāne mahāseno nāma devaputto paṭivasati, so paṭibalo tena milindena raññā saddhiṃ sallapituṃ kaṅkhaṃ paṭivinetuṃ, taṃ devaputtaṃ yācissāma manussalokūpapattiyā’’ti.

    อถ โข สโกฺก เทวานมิโนฺท ภิกฺขุสงฺฆํ ปุรกฺขตฺวา เกตุมติวิมานํ ปวิสิตฺวา มหาเสนํ เทวปุตฺตํ อาลิงฺคิตฺวา เอตทโวจ ‘‘ยาจติ ตํ, มาริส, ภิกฺขุสโงฺฆ มนุสฺสโลกูปปตฺติยา’’ติฯ ‘‘น เม, ภเนฺต, มนุสฺสโลเกนโตฺถ กมฺมพหุเลน, ติโพฺพ มนุสฺสโลโก, อิเธวาหํ, ภเนฺต, เทวโลเก อุปรูปรูปปตฺติโก หุตฺวา ปรินิพฺพายิสฺสามี’’ติฯ ทุติยมฺปิ…เป.… ตติยมฺปิ โข สเกฺกน เทวานมิเนฺทน ยาจิโต มหาเสโน เทวปุโตฺต เอวมาห ‘‘น เม, ภเนฺต, มนุสฺสโลเกนโตฺถ กมฺมพหุเลน, ติโพฺพ มนุสฺสโลโก, อิเธวาหํ, ภเนฺต, เทวโลเก อุปรูปรูปปตฺติโก หุตฺวา ปรินิพฺพายิสฺสามี’’ติฯ

    Atha kho sakko devānamindo bhikkhusaṅghaṃ purakkhatvā ketumativimānaṃ pavisitvā mahāsenaṃ devaputtaṃ āliṅgitvā etadavoca ‘‘yācati taṃ, mārisa, bhikkhusaṅgho manussalokūpapattiyā’’ti. ‘‘Na me, bhante, manussalokenattho kammabahulena, tibbo manussaloko, idhevāhaṃ, bhante, devaloke uparūparūpapattiko hutvā parinibbāyissāmī’’ti. Dutiyampi…pe… tatiyampi kho sakkena devānamindena yācito mahāseno devaputto evamāha ‘‘na me, bhante, manussalokenattho kammabahulena, tibbo manussaloko, idhevāhaṃ, bhante, devaloke uparūparūpapattiko hutvā parinibbāyissāmī’’ti.

    อถ โข อายสฺมา อสฺสคุโตฺต มหาเสนํ เทวปุตฺตํ เอตทโวจ ‘‘อิธ มยํ, มาริส, สเทวกํ โลกํ อนุวิโลกยมานา อญฺญตฺร ตยา มิลินฺทสฺส รโญฺญ วาทํ ภินฺทิตฺวา สาสนํ ปคฺคเหตุํ สมตฺถํ อญฺญํ กญฺจิ น ปสฺสาม, ยาจติ ตํ, มาริส, ภิกฺขุสโงฺฆ, สาธุ สปฺปุริส มนุสฺสโลเก นิพฺพตฺติตฺวา ทสพลสฺส สาสนํ ปคฺคณฺหาหี’’ติฯ เอวํ วุเตฺต มหาเสโน เทวปุโตฺต ‘‘อหํ กิร มิลินฺทสฺส รโญฺญ วาทํ ภินฺทิตฺวา พุทฺธสาสนํ ปคฺคเหตุํ สมโตฺถ ภวิสฺสามี’’ติ หฎฺฐปหโฎฺฐ อุทคฺคุทโคฺค หุตฺวา ‘‘สาธุ, ภเนฺต, มนุสฺสโลเก อุปฺปชฺชิสฺสามี’’ติ ปฎิญฺญํ อทาสิฯ

    Atha kho āyasmā assagutto mahāsenaṃ devaputtaṃ etadavoca ‘‘idha mayaṃ, mārisa, sadevakaṃ lokaṃ anuvilokayamānā aññatra tayā milindassa rañño vādaṃ bhinditvā sāsanaṃ paggahetuṃ samatthaṃ aññaṃ kañci na passāma, yācati taṃ, mārisa, bhikkhusaṅgho, sādhu sappurisa manussaloke nibbattitvā dasabalassa sāsanaṃ paggaṇhāhī’’ti. Evaṃ vutte mahāseno devaputto ‘‘ahaṃ kira milindassa rañño vādaṃ bhinditvā buddhasāsanaṃ paggahetuṃ samattho bhavissāmī’’ti haṭṭhapahaṭṭho udaggudaggo hutvā ‘‘sādhu, bhante, manussaloke uppajjissāmī’’ti paṭiññaṃ adāsi.

    . อถ โข เต ภิกฺขู เทวโลเก ตํ กรณียํ ตีเรตฺวา เทเวสุ ตาวติํเสสุ อนฺตรหิตา หิมวเนฺต ปพฺพเต รกฺขิตตเล ปาตุรเหสุํฯ

    9. Atha kho te bhikkhū devaloke taṃ karaṇīyaṃ tīretvā devesu tāvatiṃsesu antarahitā himavante pabbate rakkhitatale pāturahesuṃ.

    อถ โข อายสฺมา อสฺสคุโตฺต ภิกฺขุสงฺฆํ เอตทโวจ ‘‘อตฺถาวุโส, อิมสฺมิํ ภิกฺขุสเงฺฆ โกจิ ภิกฺขุ สนฺนิปาตํ อนาคโต’’ติฯ เอวํ วุเตฺต อญฺญตโร ภิกฺขุ อายสฺมนฺตํ อสฺสคุตฺตํ เอตทโวจ ‘‘อตฺถิ, ภเนฺต , อายสฺมา โรหโณ อิโต สตฺตเม ทิวเส หิมวนฺตํ ปพฺพตํ ปวิสิตฺวา นิโรธํ สมาปโนฺน, ตสฺส สนฺติเก ทูตํ ปาเหถา’’ติฯ อายสฺมาปิ โรหโณ ตงฺขณเญฺญว นิโรธา วุฎฺฐาย ‘‘สโงฺฆ มํ ปฎิมาเนตี’’ติ หิมวเนฺต ปพฺพเต อนฺตรหิโต รกฺขิตตเล โกฎิสตานํ อรหนฺตานํ ปุรโต ปาตุรโหสิฯ

    Atha kho āyasmā assagutto bhikkhusaṅghaṃ etadavoca ‘‘atthāvuso, imasmiṃ bhikkhusaṅghe koci bhikkhu sannipātaṃ anāgato’’ti. Evaṃ vutte aññataro bhikkhu āyasmantaṃ assaguttaṃ etadavoca ‘‘atthi, bhante , āyasmā rohaṇo ito sattame divase himavantaṃ pabbataṃ pavisitvā nirodhaṃ samāpanno, tassa santike dūtaṃ pāhethā’’ti. Āyasmāpi rohaṇo taṅkhaṇaññeva nirodhā vuṭṭhāya ‘‘saṅgho maṃ paṭimānetī’’ti himavante pabbate antarahito rakkhitatale koṭisatānaṃ arahantānaṃ purato pāturahosi.

    อถ โข อายสฺมา อสฺสคุโตฺต อายสฺมนฺตํ โรหณํ เอตทโวจ ‘‘กิํ นุ โข, อาวุโส, โรหณ พุทฺธสาสเน ภิชฺชเนฺต 29 น ปสฺสสิ สงฺฆสฺส กรณียานี’’ติฯ ‘‘อมนสิกาโร เม, ภเนฺต, อโหสี’’ติฯ

    Atha kho āyasmā assagutto āyasmantaṃ rohaṇaṃ etadavoca ‘‘kiṃ nu kho, āvuso, rohaṇa buddhasāsane bhijjante 30 na passasi saṅghassa karaṇīyānī’’ti. ‘‘Amanasikāro me, bhante, ahosī’’ti.

    ‘‘เตน , หาวุโส โรหณ, ทณฺฑกมฺมํ กโรหี’’ติฯ ‘‘กิํ, ภเนฺต, กโรมี’’ติ? ‘‘อตฺถาวุโส โรหณ, หิมวนฺตปพฺพตปเสฺส คชงฺคลํ 31 นาม พฺราหฺมณคาโม, ตตฺถ โสณุตฺตโร นาม พฺราหฺมโณ ปฎิวสติ, ตสฺส ปุโตฺต อุปฺปชฺชิสฺสติ นาคเสโนติ นาม ทารโก, เตน หิ ตฺวํ, อาวุโส โรหณ, ทสมาสาธิกานิ สตฺต วสฺสานิ ตํ กุลํ ปิณฺฑาย ปวิสิตฺวา นาคเสนํ ทารกํ นีหริตฺวา ปพฺพาเชหิ, ปพฺพชิเตว ตสฺมิํ ทณฺฑกมฺมโต มุจฺจิสฺสสี’’ติฯ อายสฺมาปิ โข โรหโณ ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ

    ‘‘Tena , hāvuso rohaṇa, daṇḍakammaṃ karohī’’ti. ‘‘Kiṃ, bhante, karomī’’ti? ‘‘Atthāvuso rohaṇa, himavantapabbatapasse gajaṅgalaṃ32 nāma brāhmaṇagāmo, tattha soṇuttaro nāma brāhmaṇo paṭivasati, tassa putto uppajjissati nāgasenoti nāma dārako, tena hi tvaṃ, āvuso rohaṇa, dasamāsādhikāni satta vassāni taṃ kulaṃ piṇḍāya pavisitvā nāgasenaṃ dārakaṃ nīharitvā pabbājehi, pabbajiteva tasmiṃ daṇḍakammato muccissasī’’ti. Āyasmāpi kho rohaṇo ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchi.

    ๑๐. มหาเสโนปิ โข เทวปุโตฺต เทวโลกา จวิตฺวา โสณุตฺตรพฺราหฺมณสฺส ภริยาย กุจฺฉิสฺมิํ ปฎิสนฺธิํ อคฺคเหสิ, สห ปฎิสนฺธิคฺคหณา ตโย อจฺฉริยา อพฺภุตา ธมฺมา ปาตุรเหสุํ, อาวุธภณฺฑานิ ปชฺชลิํสุ, อคฺคสสฺสํ อภินิปฺผนฺนํ, มหาเมโฆ อภิปฺปวสฺสิฯ อายสฺมาปิ โข โรหโณ ตสฺส ปฎิสนฺธิคฺคหณโต ปฎฺฐาย ทสมาสาธิกานิ สตฺต วสฺสานิ ตํ กุลํ ปิณฺฑาย ปวิสโนฺต เอกทิวสมฺปิ กฎจฺฉุมตฺตํ ภตฺตํ วา อุฬุงฺกมตฺตํ ยาคุํ วา อภิวาทนํ วา อญฺชลิกมฺมํ วา สามีจิกมฺมํ วา นาลตฺถ, อถ โข อโกฺกสเญฺญว ปริภาสเญฺญว ปฎิลภติ ‘‘อติจฺฉถ ภเนฺต’’ติ วจนมตฺตมฺปิ วตฺตา นาม นาโหสิ, ทสมาสาธิกานํ ปน สตฺตนฺนํ วสฺสานํ อจฺจเยน เอกทิวสํ ‘‘อติจฺฉถ ภเนฺต’’ติ วจนมตฺตํ อลตฺถฯ ตํ ทิวสเมว พฺราหฺมโณปิ พหิ กมฺมนฺตา อาคจฺฉโนฺต ปฎิปเถ เถรํ ทิสฺวา ‘‘กิํ, โภ ปพฺพชิต, อมฺหากํ เคหํ อคมิตฺถา’’ติ อาหฯ ‘‘อาม, พฺราหฺมณ, อคมมฺหา’’ติฯ ‘‘อปิ กิญฺจิ ลภิตฺถา’’ติฯ ‘‘อาม, พฺราหฺมณ, ลภิมฺหา’’ติฯ โส อนตฺตมโน เคหํ คนฺตฺวา ปุจฺฉิ ‘‘ตสฺส ปพฺพชิตสฺส กิญฺจิ อทตฺถา’’ติฯ ‘‘น กิญฺจิ อทมฺหา’’ติฯ พฺราหฺมโณ ทุติยทิวเส ฆรทฺวาเร เยว นิสีทิ ‘‘อชฺช ปพฺพชิตํ มุสาวาเทน นิคฺคเหสฺสามี’’ติฯ เถโร ทุติยทิวเส พฺราหฺมณสฺส ฆรทฺวารํ สมฺปโตฺตฯ

    10. Mahāsenopi kho devaputto devalokā cavitvā soṇuttarabrāhmaṇassa bhariyāya kucchismiṃ paṭisandhiṃ aggahesi, saha paṭisandhiggahaṇā tayo acchariyā abbhutā dhammā pāturahesuṃ, āvudhabhaṇḍāni pajjaliṃsu, aggasassaṃ abhinipphannaṃ, mahāmegho abhippavassi. Āyasmāpi kho rohaṇo tassa paṭisandhiggahaṇato paṭṭhāya dasamāsādhikāni satta vassāni taṃ kulaṃ piṇḍāya pavisanto ekadivasampi kaṭacchumattaṃ bhattaṃ vā uḷuṅkamattaṃ yāguṃ vā abhivādanaṃ vā añjalikammaṃ vā sāmīcikammaṃ vā nālattha, atha kho akkosaññeva paribhāsaññeva paṭilabhati ‘‘aticchatha bhante’’ti vacanamattampi vattā nāma nāhosi, dasamāsādhikānaṃ pana sattannaṃ vassānaṃ accayena ekadivasaṃ ‘‘aticchatha bhante’’ti vacanamattaṃ alattha. Taṃ divasameva brāhmaṇopi bahi kammantā āgacchanto paṭipathe theraṃ disvā ‘‘kiṃ, bho pabbajita, amhākaṃ gehaṃ agamitthā’’ti āha. ‘‘Āma, brāhmaṇa, agamamhā’’ti. ‘‘Api kiñci labhitthā’’ti. ‘‘Āma, brāhmaṇa, labhimhā’’ti. So anattamano gehaṃ gantvā pucchi ‘‘tassa pabbajitassa kiñci adatthā’’ti. ‘‘Na kiñci adamhā’’ti. Brāhmaṇo dutiyadivase gharadvāre yeva nisīdi ‘‘ajja pabbajitaṃ musāvādena niggahessāmī’’ti. Thero dutiyadivase brāhmaṇassa gharadvāraṃ sampatto.

    พฺราหฺมโณ เถรํ ทิสฺวาว เอวมาห ‘‘ตุเมฺห หิโยฺย อมฺหากํ เคเห กิญฺจิ อลภิตฺวาว ‘‘ลภิมฺหา’’ติ อโวจุตฺถ, วฎฺฎติ นุ โข ตุมฺหากํ มุสาวาโท’’ติฯ เถโร อาห ‘‘มยํ, พฺราหฺมณ, ตุมฺหากํ เคเห ( ) 33 ทสมาสาธิกานิ สตฺต วสฺสานิ ‘อติจฺฉถา’ติ วจนมตฺตมฺปิ อลภิตฺวา หิโยฺย ‘อติจฺฉถา’ติ วจนมตฺตํ ลภิมฺหา, อเถตํ วาจาปฎิสนฺธารํ 34 อุปาทาย เอวมโวจุมฺหา’’ติฯ

    Brāhmaṇo theraṃ disvāva evamāha ‘‘tumhe hiyyo amhākaṃ gehe kiñci alabhitvāva ‘‘labhimhā’’ti avocuttha, vaṭṭati nu kho tumhākaṃ musāvādo’’ti. Thero āha ‘‘mayaṃ, brāhmaṇa, tumhākaṃ gehe ( ) 35 dasamāsādhikāni satta vassāni ‘aticchathā’ti vacanamattampi alabhitvā hiyyo ‘aticchathā’ti vacanamattaṃ labhimhā, athetaṃ vācāpaṭisandhāraṃ 36 upādāya evamavocumhā’’ti.

    พฺราหฺมโณ จิเนฺตสิ ‘‘อิเม วาจาปฎิสนฺธารมตฺตมฺปิ ลภิตฺวา ชนมเชฺฌ ‘ลภิมฺหา’ติ ปสํสนฺติ, อญฺญํ กิญฺจิ ขาทนียํ วา โภชนียํ วา ลภิตฺวา กสฺมา นปฺปสํสนฺตี’’ติ ปสีทิตฺวา อตฺตโน อตฺถาย ปฎิยาทิตภตฺตโต กฎจฺฉุภิกฺขํ, ตทุปิยญฺจ พฺยญฺชนํ ทาเปตฺวา ‘‘อิมํ ภิกฺขํ สพฺพกาลํ ตุเมฺห ลภิสฺสถา’’ติ อาหฯ

    Brāhmaṇo cintesi ‘‘ime vācāpaṭisandhāramattampi labhitvā janamajjhe ‘labhimhā’ti pasaṃsanti, aññaṃ kiñci khādanīyaṃ vā bhojanīyaṃ vā labhitvā kasmā nappasaṃsantī’’ti pasīditvā attano atthāya paṭiyāditabhattato kaṭacchubhikkhaṃ, tadupiyañca byañjanaṃ dāpetvā ‘‘imaṃ bhikkhaṃ sabbakālaṃ tumhe labhissathā’’ti āha.

    โส ปุนทิวสโต ปภุติ อุปสงฺกมนฺตสฺส เถรสฺส อุปสมํ ทิสฺวา ภิโยฺยโส มตฺตาย ปสีทิตฺวา เถรํ นิจฺจกาลํ อตฺตโน ฆเร ภตฺตวิสฺสคฺคกรณตฺถาย ยาจิฯ เถโร ตุณฺหีภาเวน อธิวาเสตฺวา ทิวเส ทิวเส ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา คจฺฉโนฺต โถกํ โถกํ พุทฺธวจนํ กเถตฺวา คจฺฉติฯ สาปิ โข พฺราหฺมณี ทสมาสจฺจเยน ปุตฺตํ วิชายิ, ‘‘นาคเสโน’’ติสฺส นามมกํสุ, โส อนุกฺกเมน วฑฺฒโนฺต สตฺตวสฺสิโก ชาโตฯ

    So punadivasato pabhuti upasaṅkamantassa therassa upasamaṃ disvā bhiyyoso mattāya pasīditvā theraṃ niccakālaṃ attano ghare bhattavissaggakaraṇatthāya yāci. Thero tuṇhībhāvena adhivāsetvā divase divase bhattakiccaṃ katvā gacchanto thokaṃ thokaṃ buddhavacanaṃ kathetvā gacchati. Sāpi kho brāhmaṇī dasamāsaccayena puttaṃ vijāyi, ‘‘nāgaseno’’tissa nāmamakaṃsu, so anukkamena vaḍḍhanto sattavassiko jāto.

    ๑๑. อถ โข นาคเสนสฺส ทารกสฺส ปิตา นาคเสนํ ทารกํ เอตทโวจ ‘‘อิมสฺมิํ โข , ตาต นาคเสน, พฺราหฺมณกุเล สิกฺขานิ สิเกฺขยฺยาสี’’ติฯ ‘‘กตมานิ, ตาต, อิมสฺมิํ พฺราหฺมณกุเล สิกฺขานิ นามา’’ติ? ‘‘ตโย โข, ตาต นาคเสน, เวทา สิกฺขานิ นาม, อวเสสานิ สิปฺปานิ สิปฺปํ นามา’’ติฯ ‘‘เตน หิ, ตาต, สิกฺขิสฺสามี’’ติฯ

    11. Atha kho nāgasenassa dārakassa pitā nāgasenaṃ dārakaṃ etadavoca ‘‘imasmiṃ kho , tāta nāgasena, brāhmaṇakule sikkhāni sikkheyyāsī’’ti. ‘‘Katamāni, tāta, imasmiṃ brāhmaṇakule sikkhāni nāmā’’ti? ‘‘Tayo kho, tāta nāgasena, vedā sikkhāni nāma, avasesāni sippāni sippaṃ nāmā’’ti. ‘‘Tena hi, tāta, sikkhissāmī’’ti.

    อถ โข โสณุตฺตโร พฺราหฺมโณ อาจริยพฺราหฺมณสฺส อาจริยภาคํ สหสฺสํ ทตฺวา อโนฺตปาสาเท เอกสฺมิํ คเพฺภ เอกโต มญฺจกํ ปญฺญเปตฺวา อาจริยพฺราหฺมณํ เอตทโวจ ‘‘สชฺฌาเปหิ โข, ตฺวํ พฺราหฺมณ, อิมํ ทารกํ มนฺตานีติฯ เตน หิ ‘ตาต ทารก’ อุคฺคณฺหาหิ มนฺตานี’’ติฯ อาจริยพฺราหฺมโณ สชฺฌายติ นาคเสนสฺส ทารกสฺส เอเกเนว อุเทฺทเสน ตโย เวทา หทยงฺคตา วาจุคฺคตา สูปธาริตา สุววตฺถาปิตา สุมนสิกตา อเหสุํ, สกิเมว จกฺขุํ อุทปาทิ ตีสุ เวเทสุ สนิฆณฺฑุเกฎุเภสุ 37 สากฺขรปฺปเภเทสุ อิติหาสปญฺจเมสุ ปทโก เวยฺยากรโณ โลกายตมหาปุริสลกฺขเณสุ อนวโย อโหสิฯ

    Atha kho soṇuttaro brāhmaṇo ācariyabrāhmaṇassa ācariyabhāgaṃ sahassaṃ datvā antopāsāde ekasmiṃ gabbhe ekato mañcakaṃ paññapetvā ācariyabrāhmaṇaṃ etadavoca ‘‘sajjhāpehi kho, tvaṃ brāhmaṇa, imaṃ dārakaṃ mantānīti. Tena hi ‘tāta dāraka’ uggaṇhāhi mantānī’’ti. Ācariyabrāhmaṇo sajjhāyati nāgasenassa dārakassa ekeneva uddesena tayo vedā hadayaṅgatā vācuggatā sūpadhāritā suvavatthāpitā sumanasikatā ahesuṃ, sakimeva cakkhuṃ udapādi tīsu vedesu sanighaṇḍukeṭubhesu 38 sākkharappabhedesu itihāsapañcamesu padako veyyākaraṇo lokāyatamahāpurisalakkhaṇesu anavayo ahosi.

    อถ โข นาคเสโน ทารโก ปิตรํ เอตทโวจ ‘‘อตฺถิ นุ โข, ตาต, อิมสฺมิํ พฺราหฺมณกุเล อิโต อุตฺตริมฺปิ สิกฺขิตพฺพานิ, อุทาหุ เอตฺตกาเนวา’’ติฯ ‘‘นตฺถิ, ตาต นาคเสน, อิมสฺมิํ พฺราหฺมณกุเล อิโต อุตฺตริํ สิกฺขิตพฺพานิ, เอตฺตกาเนว สิกฺขิตพฺพานี’’ติฯ

    Atha kho nāgaseno dārako pitaraṃ etadavoca ‘‘atthi nu kho, tāta, imasmiṃ brāhmaṇakule ito uttarimpi sikkhitabbāni, udāhu ettakānevā’’ti. ‘‘Natthi, tāta nāgasena, imasmiṃ brāhmaṇakule ito uttariṃ sikkhitabbāni, ettakāneva sikkhitabbānī’’ti.

    อถ โข นาคเสโน ทารโก อาจริยสฺส อนุโยคํ ทตฺวา ปาสาทา โอรุยฺห ปุพฺพวาสนาย โจทิตหทโย รโหคโต ปฎิสลฺลีโน อตฺตโน สิปฺปสฺส อาทิมชฺฌปริโยสานํ โอโลเกโนฺต อาทิมฺหิ วา มเชฺฌ วา ปริโยสาเน วา อปฺปมตฺตกมฺปิ สารํ อทิสฺวา ‘‘ตุจฺฉา วต โภ อิเม เวทา, ปลาปา วต โภ อิเม เวทา อสารา นิสฺสารา’’ติ วิปฺปฎิสารี อนตฺตมโน อโหสิฯ

    Atha kho nāgaseno dārako ācariyassa anuyogaṃ datvā pāsādā oruyha pubbavāsanāya coditahadayo rahogato paṭisallīno attano sippassa ādimajjhapariyosānaṃ olokento ādimhi vā majjhe vā pariyosāne vā appamattakampi sāraṃ adisvā ‘‘tucchā vata bho ime vedā, palāpā vata bho ime vedā asārā nissārā’’ti vippaṭisārī anattamano ahosi.

    ๑๒. เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา โรหโณ วตฺตนิเย เสนาสเน นิสิโนฺน นาคเสนสฺส ทารกสฺส เจตสา เจโตปริวิตกฺกมญฺญาย นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย วตฺตนิเย เสนาสเน อนฺตรหิโต คชงฺคลพฺราหฺมณคามสฺส ปุรโต ปาตุรโหสิฯ อทฺทสา โข นาคเสโน ทารโก อตฺตโน ทฺวารโกฎฺฐเก ฐิโต อายสฺมนฺตํ โรหณํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํ, ทิสฺวาน อตฺตมโน อุทโคฺค ปมุทิโต ปีติโสมนสฺสชาโต ‘‘อเปฺปว นามายํ ปพฺพชิโต กญฺจิ สารํ ชาเนยฺยา’’ติ เยนายสฺมา โรหโณ เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ โรหณํ เอตทโวจ ‘‘โก นุ โข, ตฺวํ มาริส, เอทิโส ภณฺฑุกาสาววสโน’’ติฯ ‘‘ปพฺพชิโต 39 นามาหํ ทารกา’’ติฯ ‘‘เกน, ตฺวํ มาริส, ปพฺพชิโต นามาสี’’ติ? ‘‘ปาปกานิ มลานิ ปพฺพาเชติ, ตสฺมาหํ, ทารก, ปพฺพชิโต นามา’’ติฯ ‘‘กิํการณา, มาริส, เกสา เต น ยถา อเญฺญส’’นฺติ ? ‘‘โสฬสิเม, ทารก, ปลิโพเธ ทิสฺวา เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา ปพฺพชิโตฯ ‘‘กตเม โสฬส’’? ‘‘อลงฺการปลิโพโธ มณฺฑนปลิโพโธ เตลมกฺขนปลิโพโธ โธวนปลิโพโธ มาลาปลิโพโธ คนฺธปลิโพโธ วาสนปลิโพโธ หรีฎกปลิโพโธ อามลกปลิโพโธ รงฺคปลิโพโธ พนฺธนปลิโพโธ โกจฺฉปลิโพโธ กปฺปกปลิโพโธ วิชฎนปลิโพโธ อูกาปลิโพโธ, เกเสสุ วิลูเนสุ โสจนฺติ กิลมนฺติ ปริเทวนฺติ อุรตฺตาฬิํ กนฺทนฺติ สโมฺมหํ อาปชฺชนฺติ, อิเมสุ โข, ทารก, โสฬสสุ ปลิโพเธสุ ปลิคุณฺฐิตา มนุสฺสา สพฺพานิ อติสุขุมานิ สิปฺปานิ นาเสนฺตี’’ติฯ ‘‘กิํการณา, มาริส, วตฺถานิปิ เต น ยถา อเญฺญส’’นฺติ? ‘‘กามนิสฺสิตานิ โข, ทารก, วตฺถานิ, กามนิสฺสิตานิ คิหิพฺยญฺชนภณฺฑานิ 40, ยานิ กานิจิ โข ภยานิ วตฺถโต อุปฺปชฺชนฺติ, ตานิ กาสาววสนสฺส น โหนฺติ, ตสฺมา วตฺถานิปิ เม น ยถา อเญฺญส’’นฺติฯ ‘‘ชานาสิ โข, ตฺวํ มาริส, สิปฺปานิ นามา’’ติ? ‘‘อาม, ทารก, ชานามหํ สิปฺปานิ, ยํ โลเก อุตฺตมํ มนฺตํ, ตมฺปิ ชานามี’’ติฯ ‘‘มยฺหมฺปิ ตํ, มาริส, ทาตุํ สกฺกา’’ติ? ‘‘อาม, ทารก, สกฺกา’’ติฯ ‘‘เตน หิ เม เทหี’’ติฯ ‘‘อกาโล โข, ทารก, อนฺตรฆรํ ปิณฺฑาย ปวิฎฺฐมฺหา’’ติฯ

    12. Tena kho pana samayena āyasmā rohaṇo vattaniye senāsane nisinno nāgasenassa dārakassa cetasā cetoparivitakkamaññāya nivāsetvā pattacīvaramādāya vattaniye senāsane antarahito gajaṅgalabrāhmaṇagāmassa purato pāturahosi. Addasā kho nāgaseno dārako attano dvārakoṭṭhake ṭhito āyasmantaṃ rohaṇaṃ dūratova āgacchantaṃ, disvāna attamano udaggo pamudito pītisomanassajāto ‘‘appeva nāmāyaṃ pabbajito kañci sāraṃ jāneyyā’’ti yenāyasmā rohaṇo tenupasaṅkami, upasaṅkamitvā āyasmantaṃ rohaṇaṃ etadavoca ‘‘ko nu kho, tvaṃ mārisa, ediso bhaṇḍukāsāvavasano’’ti. ‘‘Pabbajito 41 nāmāhaṃ dārakā’’ti. ‘‘Kena, tvaṃ mārisa, pabbajito nāmāsī’’ti? ‘‘Pāpakāni malāni pabbājeti, tasmāhaṃ, dāraka, pabbajito nāmā’’ti. ‘‘Kiṃkāraṇā, mārisa, kesā te na yathā aññesa’’nti ? ‘‘Soḷasime, dāraka, palibodhe disvā kesamassuṃ ohāretvā pabbajito. ‘‘Katame soḷasa’’? ‘‘Alaṅkārapalibodho maṇḍanapalibodho telamakkhanapalibodho dhovanapalibodho mālāpalibodho gandhapalibodho vāsanapalibodho harīṭakapalibodho āmalakapalibodho raṅgapalibodho bandhanapalibodho kocchapalibodho kappakapalibodho vijaṭanapalibodho ūkāpalibodho, kesesu vilūnesu socanti kilamanti paridevanti urattāḷiṃ kandanti sammohaṃ āpajjanti, imesu kho, dāraka, soḷasasu palibodhesu paliguṇṭhitā manussā sabbāni atisukhumāni sippāni nāsentī’’ti. ‘‘Kiṃkāraṇā, mārisa, vatthānipi te na yathā aññesa’’nti? ‘‘Kāmanissitāni kho, dāraka, vatthāni, kāmanissitāni gihibyañjanabhaṇḍāni 42, yāni kānici kho bhayāni vatthato uppajjanti, tāni kāsāvavasanassa na honti, tasmā vatthānipi me na yathā aññesa’’nti. ‘‘Jānāsi kho, tvaṃ mārisa, sippāni nāmā’’ti? ‘‘Āma, dāraka, jānāmahaṃ sippāni, yaṃ loke uttamaṃ mantaṃ, tampi jānāmī’’ti. ‘‘Mayhampi taṃ, mārisa, dātuṃ sakkā’’ti? ‘‘Āma, dāraka, sakkā’’ti. ‘‘Tena hi me dehī’’ti. ‘‘Akālo kho, dāraka, antaragharaṃ piṇḍāya paviṭṭhamhā’’ti.

    อถ โข นาคเสโน ทารโก อายสฺมโต โรหณสฺส หตฺถโต ปตฺตํ คเหตฺวา ฆรํ ปเวเสตฺวา ปณีเตน ขาทนีเยน โภชนีเยน สหตฺถา สนฺตเปฺปตฺวา สมฺปวาเรตฺวา อายสฺมนฺตํ โรหณํ ภุตฺตาวิํ โอนีตปตฺตปาณิํ เอตทโวจ ‘‘เทหิ เม ทานิ, มาริส, มนฺต’’นฺติฯ ‘‘ยทา โข ตฺวํ, ทารก, นิปฺปลิโพโธ หุตฺวา มาตาปิตโร อนุชานาเปตฺวา มยา คหิตํ ปพฺพชิตเวสํ คณฺหิสฺสสิ, ตทา ทสฺสามี’’ติ อาหฯ

    Atha kho nāgaseno dārako āyasmato rohaṇassa hatthato pattaṃ gahetvā gharaṃ pavesetvā paṇītena khādanīyena bhojanīyena sahatthā santappetvā sampavāretvā āyasmantaṃ rohaṇaṃ bhuttāviṃ onītapattapāṇiṃ etadavoca ‘‘dehi me dāni, mārisa, manta’’nti. ‘‘Yadā kho tvaṃ, dāraka, nippalibodho hutvā mātāpitaro anujānāpetvā mayā gahitaṃ pabbajitavesaṃ gaṇhissasi, tadā dassāmī’’ti āha.

    อถ โข นาคเสโน ทารโก มาตาปิตโร อุปสงฺกมิตฺวา อาห ‘‘อมฺมตาตา, อยํ ปพฺพชิโต ‘ยํ โลเก อุตฺตมํ มนฺตํ, ตํ ชานามี’ติ วทติ, น จ อตฺตโน สนฺติเก อปพฺพชิตสฺส เทติ, อหํ เอตสฺส สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา ตํ อุตฺตมํ มนฺตํ อุคฺคณฺหิสฺสามี’’ติฯ อถสฺส มาตาปิตโร ‘‘ปพฺพชิตฺวาปิ โน ปุโตฺต มนฺตํ คณฺหตุ, คเหตฺวา ปุน อาคจฺฉิสฺสตี’’ติ มญฺญมานา ‘‘คณฺห ปุตฺตา’’ติ อนุชานิํสุฯ

    Atha kho nāgaseno dārako mātāpitaro upasaṅkamitvā āha ‘‘ammatātā, ayaṃ pabbajito ‘yaṃ loke uttamaṃ mantaṃ, taṃ jānāmī’ti vadati, na ca attano santike apabbajitassa deti, ahaṃ etassa santike pabbajitvā taṃ uttamaṃ mantaṃ uggaṇhissāmī’’ti. Athassa mātāpitaro ‘‘pabbajitvāpi no putto mantaṃ gaṇhatu, gahetvā puna āgacchissatī’’ti maññamānā ‘‘gaṇha puttā’’ti anujāniṃsu.

    ๑๓. อถ โข อายสฺมา โรหโณ นาคเสนํ ทารกํ อาทาย เยน วตฺตนิยํ เสนาสนํ, เยน วิชมฺภวตฺถุ เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา วิชมฺภวตฺถุสฺมิํ เสนาสเน เอกรตฺตํ วสิตฺวา เยน รกฺขิตตลํ เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา โกฎิสตานํ อรหนฺตานํ มเชฺฌ นาคเสนํ ทารกํ ปพฺพาเชสิฯ ปพฺพชิโต จ ปนายสฺมา นาคเสโน อายสฺมนฺตํ โรหณํ เอตทโวจ ‘‘คหิโต เม, ภเนฺต, ตว เวโส, เทถ เม ทานิ มนฺต’’นฺติฯ อถ โข อายสฺมา โรหโณ ‘‘กิมฺหิ นุ โขหํ นาคเสนํ วิเนยฺยํ ปฐมํ วินเย วา สุตฺตเนฺต วา อภิธเมฺม วา’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘ปณฺฑิโต โข อยํ นาคเสโน, สโกฺกติ สุเขเนว อภิธมฺมํ ปริยาปุณิตุ’’นฺติ ปฐมํ อภิธเมฺม วิเนสิฯ

    13. Atha kho āyasmā rohaṇo nāgasenaṃ dārakaṃ ādāya yena vattaniyaṃ senāsanaṃ, yena vijambhavatthu tenupasaṅkami, upasaṅkamitvā vijambhavatthusmiṃ senāsane ekarattaṃ vasitvā yena rakkhitatalaṃ tenupasaṅkami, upasaṅkamitvā koṭisatānaṃ arahantānaṃ majjhe nāgasenaṃ dārakaṃ pabbājesi. Pabbajito ca panāyasmā nāgaseno āyasmantaṃ rohaṇaṃ etadavoca ‘‘gahito me, bhante, tava veso, detha me dāni manta’’nti. Atha kho āyasmā rohaṇo ‘‘kimhi nu khohaṃ nāgasenaṃ vineyyaṃ paṭhamaṃ vinaye vā suttante vā abhidhamme vā’’ti cintetvā ‘‘paṇḍito kho ayaṃ nāgaseno, sakkoti sukheneva abhidhammaṃ pariyāpuṇitu’’nti paṭhamaṃ abhidhamme vinesi.

    อายสฺมา จ นาคเสโน ‘‘กุสลา ธมฺมา, อกุสลา ธมฺมา, อพฺยากตา ธมฺมา’’ติ ติกทุกปฎิมณฺฑิตํ ธมฺมสงฺคณีปกรณํ, ขนฺธวิภงฺคาทิ อฎฺฐารส วิภงฺคปฎิมณฺฑิตํ วิภงฺคปฺปกรณํ, ‘‘สงฺคโห อสงฺคโห’’ติ อาทินา จุทฺทสวิเธน วิภตฺตํ ธาตุกถาปกรณํ, ‘‘ขนฺธปญฺญตฺติ อายตนปญฺญตฺตี’’ติ อาทินา ฉพฺพิเธน วิภตฺตํ ปุคฺคลปญฺญตฺติปฺปกรณํ, สกวาเท ปญฺจสุตฺตสตานิ ปรวาเท ปญฺจสุตฺตสตานีติ สุตฺตสหสฺสํ สโมธาเนตฺวา วิภตฺตํ กถาวตฺถุปฺปกรณํ, ‘‘มูลยมกํ ขนฺธยมก’’นฺติ อาทินา ทสวิเธน วิภตฺตํ ยมกปฺปกรณํ, ‘‘เหตุปจฺจโย อารมฺมณปจฺจโย’’ติ อาทินา จตุวีสติวิเธน วิภตฺตํ ปฎฺฐานปฺปกรณนฺติ สพฺพํ ตํ อภิธมฺมปิฎกํ เอเกเนว สชฺฌาเยน ปคุณํ กตฺวา ‘‘ติฎฺฐถ ภเนฺต, น ปุน โอสาเรถ, เอตฺตเกเนวาหํ สชฺฌายิสฺสามี’’ติ อาหฯ

    Āyasmā ca nāgaseno ‘‘kusalā dhammā, akusalā dhammā, abyākatā dhammā’’ti tikadukapaṭimaṇḍitaṃ dhammasaṅgaṇīpakaraṇaṃ, khandhavibhaṅgādi aṭṭhārasa vibhaṅgapaṭimaṇḍitaṃ vibhaṅgappakaraṇaṃ, ‘‘saṅgaho asaṅgaho’’ti ādinā cuddasavidhena vibhattaṃ dhātukathāpakaraṇaṃ, ‘‘khandhapaññatti āyatanapaññattī’’ti ādinā chabbidhena vibhattaṃ puggalapaññattippakaraṇaṃ, sakavāde pañcasuttasatāni paravāde pañcasuttasatānīti suttasahassaṃ samodhānetvā vibhattaṃ kathāvatthuppakaraṇaṃ, ‘‘mūlayamakaṃ khandhayamaka’’nti ādinā dasavidhena vibhattaṃ yamakappakaraṇaṃ, ‘‘hetupaccayo ārammaṇapaccayo’’ti ādinā catuvīsatividhena vibhattaṃ paṭṭhānappakaraṇanti sabbaṃ taṃ abhidhammapiṭakaṃ ekeneva sajjhāyena paguṇaṃ katvā ‘‘tiṭṭhatha bhante, na puna osāretha, ettakenevāhaṃ sajjhāyissāmī’’ti āha.

    ๑๔. อถ โข อายสฺมา นาคเสโน เยน โกฎิสตา อรหโนฺต เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา โกฎิสเต อรหเนฺต เอตทโวจ ‘‘อหํ โข ภเนฺต ‘กุสลา ธมฺมา, อกุสลา ธมฺมา , อพฺยากตา ธมฺมา’ติ อิเมสุ ตีสุ ปเทสุ ปกฺขิปิตฺวา สพฺพํ ตํ อภิธมฺมปิฎกํ วิตฺถาเรน โอสาเรสฺสามี’’ติฯ ‘‘สาธุ, นาคเสน, โอสาเรหี’’ติฯ

    14. Atha kho āyasmā nāgaseno yena koṭisatā arahanto tenupasaṅkami, upasaṅkamitvā koṭisate arahante etadavoca ‘‘ahaṃ kho bhante ‘kusalā dhammā, akusalā dhammā , abyākatā dhammā’ti imesu tīsu padesu pakkhipitvā sabbaṃ taṃ abhidhammapiṭakaṃ vitthārena osāressāmī’’ti. ‘‘Sādhu, nāgasena, osārehī’’ti.

    อถ โข อายสฺมา นาคเสโน สตฺต มาสานิ สตฺต ปกรณานิ วิตฺถาเรน โอสาเรสิ, ปถวี อุนฺนทิ, เทวตา สาธุการมทํสุ, พฺรหฺมาโน อโปฺผเฎสุํ, ทิพฺพานิ จนฺทนจุณฺณานิ ทิพฺพานิ จ มนฺทารวปุปฺผานิ อภิปฺปวสฺสิํสุฯ

    Atha kho āyasmā nāgaseno satta māsāni satta pakaraṇāni vitthārena osāresi, pathavī unnadi, devatā sādhukāramadaṃsu, brahmāno apphoṭesuṃ, dibbāni candanacuṇṇāni dibbāni ca mandāravapupphāni abhippavassiṃsu.

    ๑๕. อถ โข โกฎิสตา อรหโนฺต อายสฺมนฺตํ นาคเสนํ ปริปุณฺณวีสติวสฺสํ รกฺขิตตเล อุปสมฺปาเทสุํฯ อุปสมฺปโนฺน จ ปนายสฺมา นาคเสโน ตสฺสา รตฺติยา อจฺจเยน ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย อุปชฺฌาเยน สทฺธิํ คามํ ปิณฺฑาย ปวิสโนฺต เอวรูปํ ปริวิตกฺกํ อุปฺปาเทสิ ‘‘ตุโจฺฉ วต เม อุปชฺฌาโย, พาโล วต เม อุปชฺฌาโย, ฐเปตฺวา อวเสสํ พุทฺธวจนํ ปฐมํ มํ อภิธเมฺม วิเนสี’’ติฯ

    15. Atha kho koṭisatā arahanto āyasmantaṃ nāgasenaṃ paripuṇṇavīsativassaṃ rakkhitatale upasampādesuṃ. Upasampanno ca panāyasmā nāgaseno tassā rattiyā accayena pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya upajjhāyena saddhiṃ gāmaṃ piṇḍāya pavisanto evarūpaṃ parivitakkaṃ uppādesi ‘‘tuccho vata me upajjhāyo, bālo vata me upajjhāyo, ṭhapetvā avasesaṃ buddhavacanaṃ paṭhamaṃ maṃ abhidhamme vinesī’’ti.

    อถ โข อายสฺมา โรหโณ อายสฺมโต นาคเสนสฺส เจตสา เจโตปริวิตกฺกมญฺญาย อายสฺมนฺตํ นาคเสนํ เอตทโวจ ‘‘อนนุจฺฉวิกํ โข นาคเสน ปริวิตกฺกํ วิตเกฺกสิ, น โข ปเนตํ นาคเสน ตวานุจฺฉวิก’’นฺติฯ

    Atha kho āyasmā rohaṇo āyasmato nāgasenassa cetasā cetoparivitakkamaññāya āyasmantaṃ nāgasenaṃ etadavoca ‘‘ananucchavikaṃ kho nāgasena parivitakkaṃ vitakkesi, na kho panetaṃ nāgasena tavānucchavika’’nti.

    อถ โข อายสฺมโต นาคเสนสฺส เอตทโหสิ ‘‘อจฺฉริยํ วต โภ, อพฺภุตํ วต โภ, ยตฺร หิ นาม เม อุปชฺฌาโย เจตสา เจโตปริวิตกฺกํ ชานิสฺสติ, ปณฺฑิโต วต เม อุปชฺฌาโย, ยํนูนาหํ อุปชฺฌายํ ขมาเปยฺย’’นฺติฯ อถ โข อายสฺมา นาคเสโน อายสฺมนฺตํ โรหณํ เอตทโวจ ‘‘ขมถ เม, ภเนฺต, น ปุน เอวรูปํ วิตเกฺกสฺสามี’’ติฯ

    Atha kho āyasmato nāgasenassa etadahosi ‘‘acchariyaṃ vata bho, abbhutaṃ vata bho, yatra hi nāma me upajjhāyo cetasā cetoparivitakkaṃ jānissati, paṇḍito vata me upajjhāyo, yaṃnūnāhaṃ upajjhāyaṃ khamāpeyya’’nti. Atha kho āyasmā nāgaseno āyasmantaṃ rohaṇaṃ etadavoca ‘‘khamatha me, bhante, na puna evarūpaṃ vitakkessāmī’’ti.

    อถ โข อายสฺมา โรหโณ อายสฺมนฺตํ นาคเสนํ เอตทโวจ ‘‘น โข ตฺยาหํ นาคเสน เอตฺตาวตา ขมามิ, อตฺถิ โข นาคเสน สาคลํ นาม นครํ, ตตฺถ มิลิโนฺท นาม ราชา รชฺชํ กาเรติ, โส ทิฎฺฐิวาเทน ปญฺหํ ปุจฺฉิตฺวา ภิกฺขุสงฺฆํ วิเหเฐติ, สเจ ตฺวํ ตตฺถ คนฺตฺวา ตํ ราชานํ ทเมตฺวา พุทฺธสาสเน ปสาเทสฺสสิ, เอวาหํ ตํ ขมิสฺสามี’’ติฯ

    Atha kho āyasmā rohaṇo āyasmantaṃ nāgasenaṃ etadavoca ‘‘na kho tyāhaṃ nāgasena ettāvatā khamāmi, atthi kho nāgasena sāgalaṃ nāma nagaraṃ, tattha milindo nāma rājā rajjaṃ kāreti, so diṭṭhivādena pañhaṃ pucchitvā bhikkhusaṅghaṃ viheṭheti, sace tvaṃ tattha gantvā taṃ rājānaṃ dametvā buddhasāsane pasādessasi, evāhaṃ taṃ khamissāmī’’ti.

    ‘‘ติฎฺฐตุ, ภเนฺต, เอโก มิลิโนฺท ราชา; สเจ, ภเนฺต, สกลชมฺพุทีเป สเพฺพ ราชาโน อาคนฺตฺวา มํ ปญฺหํ ปุเจฺฉยฺยุํ, สพฺพํ ตํ วิสเชฺชตฺวา สมฺปทาเลสฺสามิ, ‘ขมถ เม ภเนฺต’ติ วตฺวา, ‘น ขมามี’ติ วุเตฺต ‘เตน หิ, ภเนฺต, อิมํ เตมาสํ กสฺส สนฺติเก วสิสฺสามี’ติ อาห’’ ฯ อยํ โข, นาคเสน, อายสฺมา อสฺสคุโตฺต วตฺตนิเย เสนาสเน วิหรติ, คจฺฉ ตฺวํ, นาคเสน, เยนายสฺมา อสฺสคุโตฺต เตนุปสงฺกม, อุปสงฺกมิตฺวา มม วจเนน อายสฺมโต อสฺสคุตฺตสฺส ปาเท สิรสา วนฺท, เอวญฺจ นํ วเทหิ ‘อุปชฺฌาโย เม, ภเนฺต, ตุมฺหากํ ปาเท สิรสา วนฺทติ, อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฎฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉติ, อุปชฺฌาโย เม, ภเนฺต, อิมํ เตมาสํ ตุมฺหากํ สนฺติเก วสิตุํ มํ ปหิณี’ติ , ‘โกนาโม เต อุปชฺฌาโย’ติ จ วุเตฺต ‘โรหณเตฺถโร นาม ภเนฺต’’ติ วเทยฺยาสิ, ‘อหํ โกนาโม’ติ วุเตฺต เอวํ วเทยฺยาสิ ‘มม อุปชฺฌาโย, ภเนฺต, ตุมฺหากํ นามํ ชานาตี’’’ติฯ ‘‘เอวํ ภเนฺต’’ติ โข อายสฺมา นาคเสโน อายสฺมนฺตํ โรหณํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย อนุปุเพฺพน จาริกํ จรมาโน เยน วตฺตนิยํ เสนาสนํ, เยนายสฺมา อสฺสคุโตฺต เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ อสฺสคุตฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิ, เอกมนฺตํ ฐิโต โข อายสฺมา นาคเสโน อายสฺมนฺตํ อสฺสคุตฺตํ เอตทโวจ ‘‘อุปชฺฌาโย เม, ภเนฺต, ตุมฺหากํ ปาเท สิรสา วนฺทติ, เอวญฺจ วเทติ อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฎฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉติ, อุปชฺฌาโย เม, ภเนฺต, อิมํ เตมาสํ ตุมฺหากํ สนฺติเก วสิตุํ มํ ปหิณี’’ติฯ

    ‘‘Tiṭṭhatu, bhante, eko milindo rājā; sace, bhante, sakalajambudīpe sabbe rājāno āgantvā maṃ pañhaṃ puccheyyuṃ, sabbaṃ taṃ visajjetvā sampadālessāmi, ‘khamatha me bhante’ti vatvā, ‘na khamāmī’ti vutte ‘tena hi, bhante, imaṃ temāsaṃ kassa santike vasissāmī’ti āha’’ . Ayaṃ kho, nāgasena, āyasmā assagutto vattaniye senāsane viharati, gaccha tvaṃ, nāgasena, yenāyasmā assagutto tenupasaṅkama, upasaṅkamitvā mama vacanena āyasmato assaguttassa pāde sirasā vanda, evañca naṃ vadehi ‘upajjhāyo me, bhante, tumhākaṃ pāde sirasā vandati, appābādhaṃ appātaṅkaṃ lahuṭṭhānaṃ balaṃ phāsuvihāraṃ pucchati, upajjhāyo me, bhante, imaṃ temāsaṃ tumhākaṃ santike vasituṃ maṃ pahiṇī’ti , ‘konāmo te upajjhāyo’ti ca vutte ‘rohaṇatthero nāma bhante’’ti vadeyyāsi, ‘ahaṃ konāmo’ti vutte evaṃ vadeyyāsi ‘mama upajjhāyo, bhante, tumhākaṃ nāmaṃ jānātī’’’ti. ‘‘Evaṃ bhante’’ti kho āyasmā nāgaseno āyasmantaṃ rohaṇaṃ abhivādetvā padakkhiṇaṃ katvā pattacīvaramādāya anupubbena cārikaṃ caramāno yena vattaniyaṃ senāsanaṃ, yenāyasmā assagutto tenupasaṅkami, upasaṅkamitvā āyasmantaṃ assaguttaṃ abhivādetvā ekamantaṃ aṭṭhāsi, ekamantaṃ ṭhito kho āyasmā nāgaseno āyasmantaṃ assaguttaṃ etadavoca ‘‘upajjhāyo me, bhante, tumhākaṃ pāde sirasā vandati, evañca vadeti appābādhaṃ appātaṅkaṃ lahuṭṭhānaṃ balaṃ phāsuvihāraṃ pucchati, upajjhāyo me, bhante, imaṃ temāsaṃ tumhākaṃ santike vasituṃ maṃ pahiṇī’’ti.

    อถ โข อายสฺมา อสฺสคุโตฺต อายสฺมนฺตํ นาคเสนํ เอตทโวจ ‘‘ตฺวํ กินฺนาโมสี’’ติฯ ‘‘อหํ, ภเนฺต, นาคเสโน นามา’’ติฯ ‘‘โกนาโม เต อุปชฺฌาโย’’ติ? ‘‘อุปชฺฌาโย เม, ภเนฺต, โรหโณ นามา’’ติฯ ‘‘อหํ โกนาโม’’ติฯ ‘‘อุปชฺฌาโย เม, ภเนฺต, ตุมฺหากํ นามํ ชานาตี’’ติฯ

    Atha kho āyasmā assagutto āyasmantaṃ nāgasenaṃ etadavoca ‘‘tvaṃ kinnāmosī’’ti. ‘‘Ahaṃ, bhante, nāgaseno nāmā’’ti. ‘‘Konāmo te upajjhāyo’’ti? ‘‘Upajjhāyo me, bhante, rohaṇo nāmā’’ti. ‘‘Ahaṃ konāmo’’ti. ‘‘Upajjhāyo me, bhante, tumhākaṃ nāmaṃ jānātī’’ti.

    ‘‘สาธุ, นาคเสน, ปตฺตจีวรํ ปฎิสาเมหี’’ติฯ ‘‘สาธุ ภเนฺต’’ติ ปตฺตจีวรํ ปฎิสาเมตฺวา ปุนทิวเส ปริเวณํ สมฺมชฺชิตฺวา มุโขทกํ ทนฺตโปณํ อุปฎฺฐเปสิฯ เถโร สมฺมชฺชิตฎฺฐานํ ปฎิสมฺมชฺชิ, ตํ อุทกํ ฉเฑฺฑตฺวา อญฺญํ อุทกํ อาหริ, ตญฺจ ทนฺตกฎฺฐํ อปเนตฺวา อญฺญํ ทนฺตกฎฺฐํ คณฺหิ, น อาลาปสลฺลาปํ อกาสิ, เอวํ สตฺต ทิวสานิ กตฺวา สตฺตเม ทิวเส ปุน ปุจฺฉิตฺวา ปุน เตน ตเถว วุเตฺต วสฺสวาสํ อนุชานิฯ

    ‘‘Sādhu, nāgasena, pattacīvaraṃ paṭisāmehī’’ti. ‘‘Sādhu bhante’’ti pattacīvaraṃ paṭisāmetvā punadivase pariveṇaṃ sammajjitvā mukhodakaṃ dantapoṇaṃ upaṭṭhapesi. Thero sammajjitaṭṭhānaṃ paṭisammajji, taṃ udakaṃ chaḍḍetvā aññaṃ udakaṃ āhari, tañca dantakaṭṭhaṃ apanetvā aññaṃ dantakaṭṭhaṃ gaṇhi, na ālāpasallāpaṃ akāsi, evaṃ satta divasāni katvā sattame divase puna pucchitvā puna tena tatheva vutte vassavāsaṃ anujāni.

    ๑๖. เตน โข ปน สมเยน เอกา มหาอุปาสิกา อายสฺมนฺตํ อสฺสคุตฺตํ ติํสมตฺตานิ วสฺสานิ อุปฎฺฐาสิฯ อถ โข สา มหาอุปาสิกา เตมาสจฺจเยน เยนายสฺมา อสฺสคุโตฺต เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ อสฺสคุตฺตํ เอตทโวจ ‘‘อตฺถิ นุ โข, ตาต, ตุมฺหากํ สนฺติเก อโญฺญ ภิกฺขู’’ติฯ ‘‘อตฺถิ, มหาอุปาสิเก, อมฺหากํ สนฺติเก นาคเสโน นาม ภิกฺขู’’ติ ฯ ‘‘เตน หิ, ตาต อสฺสคุตฺต, อธิวาเสหิ นาคเสเนน สทฺธิํ สฺวาตนาย ภตฺต’’นฺติฯ อธิวาเสสิ โข อายสฺมา อสฺสคุโตฺต ตุณฺหีภาเวนฯ

    16. Tena kho pana samayena ekā mahāupāsikā āyasmantaṃ assaguttaṃ tiṃsamattāni vassāni upaṭṭhāsi. Atha kho sā mahāupāsikā temāsaccayena yenāyasmā assagutto tenupasaṅkami, upasaṅkamitvā āyasmantaṃ assaguttaṃ etadavoca ‘‘atthi nu kho, tāta, tumhākaṃ santike añño bhikkhū’’ti. ‘‘Atthi, mahāupāsike, amhākaṃ santike nāgaseno nāma bhikkhū’’ti . ‘‘Tena hi, tāta assagutta, adhivāsehi nāgasenena saddhiṃ svātanāya bhatta’’nti. Adhivāsesi kho āyasmā assagutto tuṇhībhāvena.

    อถ โข อายสฺมา อสฺสคุโตฺต ตสฺสา รตฺติยา อจฺจเยน ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย อายสฺมตา นาคเสเนน สทฺธิํ ปจฺฉาสมเณน เยน มหาอุปาสิกาย นิเวสนํ เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีทิฯ อถ โข สา มหาอุปาสิกา อายสฺมนฺตํ อสฺสคุตฺตํ อายสฺมนฺตญฺจ นาคเสนํ ปณีเตน ขาทนีเยน โภชนีเยน สหตฺถา สนฺตเปฺปสิ สมฺปวาเรสิฯ อถ โข อายสฺมา อสฺสคุโตฺต ภุตฺตาวิํ โอนีตปตฺตปาณิํ อายสฺมนฺตํ นาคเสนํ เอตทโวจ ‘‘ตฺวํ, นาคเสน, มหาอุปาสิกาย อนุโมทนํ กโรหี’’ติ อิทํ วตฺวา อุฎฺฐายาสนา ปกฺกามิฯ

    Atha kho āyasmā assagutto tassā rattiyā accayena pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya āyasmatā nāgasenena saddhiṃ pacchāsamaṇena yena mahāupāsikāya nivesanaṃ tenupasaṅkami, upasaṅkamitvā paññatte āsane nisīdi. Atha kho sā mahāupāsikā āyasmantaṃ assaguttaṃ āyasmantañca nāgasenaṃ paṇītena khādanīyena bhojanīyena sahatthā santappesi sampavāresi. Atha kho āyasmā assagutto bhuttāviṃ onītapattapāṇiṃ āyasmantaṃ nāgasenaṃ etadavoca ‘‘tvaṃ, nāgasena, mahāupāsikāya anumodanaṃ karohī’’ti idaṃ vatvā uṭṭhāyāsanā pakkāmi.

    อถ โข สา มหาอุปาสิกา อายสฺมนฺตํ นาคเสนํ เอตทโวจ ‘‘มหลฺลิกา โขหํ, ตาต นาคเสน, คมฺภีราย ธมฺมกถาย มยฺหํ อนุโมทนํ กโรหี’’ติฯ อถ โข อายสฺมา นาคเสโน ตสฺสา มหาอุปาสิกาย คมฺภีราย ธมฺมกถาย โลกุตฺตราย สุญฺญตปฺปฎิสํยุตฺตาย อนุโมทนํ อกาสิฯ อถ โข ตสฺสา มหาอุปาสิกาย ตสฺมิํเยว อาสเน วิรชํ วีตมลํ ธมฺมจกฺขุํ อุทปาทิ ‘‘ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ, สพฺพํ ตํ นิโรธธมฺม’’นฺติฯ อายสฺมาปิ โข นาคเสโน ตสฺสา มหาอุปาสิกาย อนุโมทนํ กตฺวา อตฺตนา เทสิตํ ธมฺมํ ปจฺจเวกฺขโนฺต วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวา ตสฺมิํเยว อาสเน นิสิโนฺน โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิฯ

    Atha kho sā mahāupāsikā āyasmantaṃ nāgasenaṃ etadavoca ‘‘mahallikā khohaṃ, tāta nāgasena, gambhīrāya dhammakathāya mayhaṃ anumodanaṃ karohī’’ti. Atha kho āyasmā nāgaseno tassā mahāupāsikāya gambhīrāya dhammakathāya lokuttarāya suññatappaṭisaṃyuttāya anumodanaṃ akāsi. Atha kho tassā mahāupāsikāya tasmiṃyeva āsane virajaṃ vītamalaṃ dhammacakkhuṃ udapādi ‘‘yaṃ kiñci samudayadhammaṃ, sabbaṃ taṃ nirodhadhamma’’nti. Āyasmāpi kho nāgaseno tassā mahāupāsikāya anumodanaṃ katvā attanā desitaṃ dhammaṃ paccavekkhanto vipassanaṃ paṭṭhapetvā tasmiṃyeva āsane nisinno sotāpattiphale patiṭṭhāsi.

    อถ โข อายสฺมา อสฺสคุโตฺต มณฺฑลมาเฬ นิสิโนฺน ทฺวินฺนมฺปิ ธมฺมจกฺขุปฎิลาภํ ญตฺวา สาธุการํ ปวเตฺตสิ ‘‘สาธุ สาธุ นาคเสน, เอเกน กณฺฑปฺปหาเรน เทฺว มหากายา ปทาลิตา’’ติ, อเนกานิ จ เทวตาสหสฺสานิ สาธุการํ ปวเตฺตสุํฯ

    Atha kho āyasmā assagutto maṇḍalamāḷe nisinno dvinnampi dhammacakkhupaṭilābhaṃ ñatvā sādhukāraṃ pavattesi ‘‘sādhu sādhu nāgasena, ekena kaṇḍappahārena dve mahākāyā padālitā’’ti, anekāni ca devatāsahassāni sādhukāraṃ pavattesuṃ.

    ๑๗. อถ โข อายสฺมา นาคเสโน อุฎฺฐายาสนา เยนายสฺมา อสฺสคุโตฺต เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ อสฺสคุตฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิ, เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข อายสฺมนฺตํ นาคเสนํ อายสฺมา อสฺสคุโตฺต เอตทโวจ ‘‘คจฺฉ, ตฺวํ นาคเสน, ปาฎลิปุตฺตํ, ปาฎลิปุตฺตนคเร อโสการาเม อายสฺมา ธมฺมรกฺขิโต ปฎิวสติ, ตสฺส สนฺติเก พุทฺธวจนํ ปริยาปุณาหี’’ติฯ ‘‘กีว ทูโร, ภเนฺต, อิโต ปาฎลิปุตฺตนคร’’นฺติ? ‘‘โยชนสตานิ โข นาคเสนา’’ติฯ ‘‘ทูโร โข, ภเนฺต, มโคฺค ฯ อนฺตรามเคฺค ภิกฺขา ทุลฺลภา, กถาหํ คมิสฺสามี’’ติ? ‘‘คจฺฉ, ตฺวํ นาคเสน, อนฺตรามเคฺค ปิณฺฑปาตํ ลภิสฺสสิ สาลีนํ โอทนํ วิคตกาฬกํ อเนกสูปํ อเนกพฺยญฺชน’’นฺติฯ ‘‘เอวํ ภเนฺต’’ติ โข อายสฺมา นาคเสโน อายสฺมนฺตํ อสฺสคุตฺตํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย เยน ปาฎลิปุตฺตํ เตน จาริกํ ปกฺกามิฯ

    17. Atha kho āyasmā nāgaseno uṭṭhāyāsanā yenāyasmā assagutto tenupasaṅkami, upasaṅkamitvā āyasmantaṃ assaguttaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi, ekamantaṃ nisinnaṃ kho āyasmantaṃ nāgasenaṃ āyasmā assagutto etadavoca ‘‘gaccha, tvaṃ nāgasena, pāṭaliputtaṃ, pāṭaliputtanagare asokārāme āyasmā dhammarakkhito paṭivasati, tassa santike buddhavacanaṃ pariyāpuṇāhī’’ti. ‘‘Kīva dūro, bhante, ito pāṭaliputtanagara’’nti? ‘‘Yojanasatāni kho nāgasenā’’ti. ‘‘Dūro kho, bhante, maggo . Antarāmagge bhikkhā dullabhā, kathāhaṃ gamissāmī’’ti? ‘‘Gaccha, tvaṃ nāgasena, antarāmagge piṇḍapātaṃ labhissasi sālīnaṃ odanaṃ vigatakāḷakaṃ anekasūpaṃ anekabyañjana’’nti. ‘‘Evaṃ bhante’’ti kho āyasmā nāgaseno āyasmantaṃ assaguttaṃ abhivādetvā padakkhiṇaṃ katvā pattacīvaramādāya yena pāṭaliputtaṃ tena cārikaṃ pakkāmi.

    ๑๘. เตน โข ปน สมเยน ปาฎลิปุตฺตโก เสฎฺฐิ ปญฺจหิ สกฎสเตหิ ปาฎลิปุตฺตคามิมคฺคํ ปฎิปโนฺน โหติฯ อทฺทสา โข ปาฎลิปุตฺตโก เสฎฺฐิ อายสฺมนฺตํ นาคเสนํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํ, ทิสฺวาน เยนายสฺมา นาคเสโน เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ นาคเสนํ อภิวาเทตฺวา ‘‘กุหิํ คจฺฉสิ ตาตา’’ติ อาหฯ ‘‘ปาฎลิปุตฺตํ คหปตี’’ติฯ ‘‘สาธุ ตาต, มยมฺปิ ปาฎลิปุตฺตํ คจฺฉามฯ อเมฺหหิ สทฺธิํ สุขํ คจฺฉถา’’ติฯ

    18. Tena kho pana samayena pāṭaliputtako seṭṭhi pañcahi sakaṭasatehi pāṭaliputtagāmimaggaṃ paṭipanno hoti. Addasā kho pāṭaliputtako seṭṭhi āyasmantaṃ nāgasenaṃ dūratova āgacchantaṃ, disvāna yenāyasmā nāgaseno tenupasaṅkami, upasaṅkamitvā āyasmantaṃ nāgasenaṃ abhivādetvā ‘‘kuhiṃ gacchasi tātā’’ti āha. ‘‘Pāṭaliputtaṃ gahapatī’’ti. ‘‘Sādhu tāta, mayampi pāṭaliputtaṃ gacchāma. Amhehi saddhiṃ sukhaṃ gacchathā’’ti.

    อถ โข ปาฎลิปุตฺตโก เสฎฺฐิ อายสฺมโต นาคเสนสฺส อิริยาปเถ ปสีทิตฺวา อายสฺมนฺตํ นาคเสนํ ปณีเตน ขาทนีเยน โภชนีเยน สหตฺถา สนฺตเปฺปตฺวา สมฺปวาเรตฺวา อายสฺมนฺตํ นาคเสนํ ภุตฺตาวิํ โอนีตปตฺตปาณิํ อญฺญตรํ นีจํ อาสนํ คเหตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิ, เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข ปาฎลิปุตฺตโก เสฎฺฐิ อายสฺมนฺตํ นาคเสนํ เอตทโวจ ‘‘กินฺนาโมสิ ตฺวํ ตาตา’’ติฯ ‘‘อหํ, คหปติ, นาคเสโน นามา’’ติฯ ‘‘ชานาสิ โข, ตฺวํ ตาต, พุทฺธวจนํ นามา’’ติ? ‘‘ชานามิ โขหํ, คหปติ, อภิธมฺมปทานี’’ติฯ ‘‘ลาภา โน ตาต, สุลทฺธํ โน ตาต, อหมฺปิ โข, ตาต, อาภิธมฺมิโก, ตฺวมฺปิ อาภิธมฺมิโก, ภณ, ตาต, อภิธมฺมปทานี’’ติฯ อถ โข อายสฺมา นาคเสโน ปาฎลิปุตฺตกสฺส เสฎฺฐิสฺส อภิธมฺมํ เทเสสิ, เทเสเนฺต เยว ปาฎลิปุตฺตกสฺส เสฎฺฐิสฺส วิรชํ วีตมลํ ธมฺมจกฺขุํ อุทปาทิ ‘‘ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ, สพฺพํ ตํ นิโรธธมฺม’’นฺติฯ

    Atha kho pāṭaliputtako seṭṭhi āyasmato nāgasenassa iriyāpathe pasīditvā āyasmantaṃ nāgasenaṃ paṇītena khādanīyena bhojanīyena sahatthā santappetvā sampavāretvā āyasmantaṃ nāgasenaṃ bhuttāviṃ onītapattapāṇiṃ aññataraṃ nīcaṃ āsanaṃ gahetvā ekamantaṃ nisīdi, ekamantaṃ nisinno kho pāṭaliputtako seṭṭhi āyasmantaṃ nāgasenaṃ etadavoca ‘‘kinnāmosi tvaṃ tātā’’ti. ‘‘Ahaṃ, gahapati, nāgaseno nāmā’’ti. ‘‘Jānāsi kho, tvaṃ tāta, buddhavacanaṃ nāmā’’ti? ‘‘Jānāmi khohaṃ, gahapati, abhidhammapadānī’’ti. ‘‘Lābhā no tāta, suladdhaṃ no tāta, ahampi kho, tāta, ābhidhammiko, tvampi ābhidhammiko, bhaṇa, tāta, abhidhammapadānī’’ti. Atha kho āyasmā nāgaseno pāṭaliputtakassa seṭṭhissa abhidhammaṃ desesi, desente yeva pāṭaliputtakassa seṭṭhissa virajaṃ vītamalaṃ dhammacakkhuṃ udapādi ‘‘yaṃ kiñci samudayadhammaṃ, sabbaṃ taṃ nirodhadhamma’’nti.

    อถ โข ปาฎลิปุตฺตโก เสฎฺฐิ ปญฺจมตฺตานิ สกฎสตานิ ปุรโต อุโยฺยเชตฺวา สยํ ปจฺฉโต คจฺฉโนฺต ปาฎลิปุตฺตสฺส อวิทูเร เทฺวธาปเถ ฐตฺวา อายสฺมนฺตํ นาคเสนํ เอตทโวจ ‘‘อยํ โข, ตาต นาคเสน, อโสการามสฺส มโคฺค, อิทํ โข, ตาต, อมฺหากํ กมฺพลรตนํ โสฬสหตฺถํ อายาเมน, อฎฺฐหตฺถํ วิตฺถาเรน, ปฎิคฺคณฺหาหิ โข, ตาต, อิทํ กมฺพลรตนํ อนุกมฺปํ อุปาทายา’’ติฯ ปฎิคฺคเหสิ โข อายสฺมา นาคเสโน ตํ กมฺพลรตนํ อนุกมฺปํ อุปาทายฯ อถ โข ปาฎลิปุตฺตโก เสฎฺฐิ อตฺตมโน อุทโคฺค ปมุทิโต ปีติโสมนสฺสชาโต อายสฺมนฺตํ นาคเสนํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ปกฺกามิฯ

    Atha kho pāṭaliputtako seṭṭhi pañcamattāni sakaṭasatāni purato uyyojetvā sayaṃ pacchato gacchanto pāṭaliputtassa avidūre dvedhāpathe ṭhatvā āyasmantaṃ nāgasenaṃ etadavoca ‘‘ayaṃ kho, tāta nāgasena, asokārāmassa maggo, idaṃ kho, tāta, amhākaṃ kambalaratanaṃ soḷasahatthaṃ āyāmena, aṭṭhahatthaṃ vitthārena, paṭiggaṇhāhi kho, tāta, idaṃ kambalaratanaṃ anukampaṃ upādāyā’’ti. Paṭiggahesi kho āyasmā nāgaseno taṃ kambalaratanaṃ anukampaṃ upādāya. Atha kho pāṭaliputtako seṭṭhi attamano udaggo pamudito pītisomanassajāto āyasmantaṃ nāgasenaṃ abhivādetvā padakkhiṇaṃ katvā pakkāmi.

    ๑๙. อถ โข อายสฺมา นาคเสโน เยน อโสการาโม เยนายสฺมา ธมฺมรกฺขิโต เตนุปสงฺกมิ , อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ ธมฺมรกฺขิตํ อภิวาเทตฺวา อตฺตโน อาคตการณํ กเถตฺวา อายสฺมโต ธมฺมรกฺขิตสฺส สนฺติเก เตปิฎกํ พุทฺธวจนํ เอเกเนว อุเทฺทเสน ตีหิ มาเสหิ พฺยญฺชนโส ปริยาปุณิตฺวา ปุน ตีหิ มาเสหิ อตฺถโส มนสากาสิฯ

    19. Atha kho āyasmā nāgaseno yena asokārāmo yenāyasmā dhammarakkhito tenupasaṅkami , upasaṅkamitvā āyasmantaṃ dhammarakkhitaṃ abhivādetvā attano āgatakāraṇaṃ kathetvā āyasmato dhammarakkhitassa santike tepiṭakaṃ buddhavacanaṃ ekeneva uddesena tīhi māsehi byañjanaso pariyāpuṇitvā puna tīhi māsehi atthaso manasākāsi.

    อถ โข อายสฺมา ธมฺมรกฺขิโต อายสฺมนฺตํ นาคเสนํ เอตทโวจ ‘‘เสยฺยถาปิ, นาคเสน, โคปาลโก คาโว รกฺขติ, อเญฺญ โครสํ ปริภุญฺชนฺติฯ เอวเมว โข, ตฺวํ นาคเสน, เตปิฎกํ พุทฺธวจนํ ธาเรโนฺตปิ น ภาคี สามญฺญสฺสา’’ติฯ ‘‘โหตุ, ภเนฺต, อลํ เอตฺตเกนา’’ติฯ เตเนว ทิวสภาเคน เตน รตฺติภาเคน สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิ, สห สจฺจปฺปฎิเวเธน อายสฺมโต นาคเสนสฺส สเพฺพ เทวา สาธุการมทํสุ, ปถวี อุนฺนทิ, พฺรหฺมาโน อโปฺผเฎสุํ, ทิพฺพานิ จนฺทนจุณฺณานิ ทิพฺพานิ จ มนฺทารวปุปฺผานิ อภิปฺปวสฺสิํสุฯ

    Atha kho āyasmā dhammarakkhito āyasmantaṃ nāgasenaṃ etadavoca ‘‘seyyathāpi, nāgasena, gopālako gāvo rakkhati, aññe gorasaṃ paribhuñjanti. Evameva kho, tvaṃ nāgasena, tepiṭakaṃ buddhavacanaṃ dhārentopi na bhāgī sāmaññassā’’ti. ‘‘Hotu, bhante, alaṃ ettakenā’’ti. Teneva divasabhāgena tena rattibhāgena saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇi, saha saccappaṭivedhena āyasmato nāgasenassa sabbe devā sādhukāramadaṃsu, pathavī unnadi, brahmāno apphoṭesuṃ, dibbāni candanacuṇṇāni dibbāni ca mandāravapupphāni abhippavassiṃsu.

    ๒๐. เตน โข ปน สมเยน โกฎิสตา อรหโนฺต หิมวเนฺต ปพฺพเต รกฺขิตตเล สนฺนิปติตฺวา อายสฺมโต นาคเสนสฺส สนฺติเก ทูตํ ปาเหสุํ ‘‘อาคจฺฉตุ นาคเสโน, ทสฺสนกามา มยํ นาคเสน’’นฺติฯ อถ โข อายสฺมา นาคเสโน ทูตสฺส วจนํ สุตฺวา อโสการาเม อนฺตรหิโต หิมวเนฺต ปพฺพเต รกฺขิตตเล โกฎิสตานํ อรหนฺตานํ ปุรโต ปาตุรโหสิฯ

    20. Tena kho pana samayena koṭisatā arahanto himavante pabbate rakkhitatale sannipatitvā āyasmato nāgasenassa santike dūtaṃ pāhesuṃ ‘‘āgacchatu nāgaseno, dassanakāmā mayaṃ nāgasena’’nti. Atha kho āyasmā nāgaseno dūtassa vacanaṃ sutvā asokārāme antarahito himavante pabbate rakkhitatale koṭisatānaṃ arahantānaṃ purato pāturahosi.

    อถ โข โกฎิสตา อรหโนฺต อายสฺมนฺตํ นาคเสนํ เอตทโวจุํ ‘‘เอโส โข, นาคเสน, มิลิโนฺท ราชา ภิกฺขุสงฺฆํ วิเหเฐติ วาทปฺปฎิวาเทน ปญฺหปุจฺฉายฯ สาธุ, นาคเสน, คจฺฉ ตฺวํ มิลินฺทํ ราชานํ ทเมหี’’ติฯ ‘‘ติฎฺฐตุ, ภเนฺต, เอโก มิลิโนฺท ราชา; สเจ, ภเนฺต, สกลชมฺพุทีเป ราชาโน อาคนฺตฺวา มํ ปญฺหํ ปุเจฺฉยฺยุํ, สพฺพํ ตํ วิสเชฺชตฺวา สมฺปทาเลสฺสามิ, คจฺฉถ โว, ภเนฺต, อจฺฉมฺภิตา สาคลนคร’’นฺติฯ อถ โข เถรา ภิกฺขู สาคลนครํ กาสาวปฺปโชฺชตํ อิสิวาตปฎิวาตํ อกํสุฯ

    Atha kho koṭisatā arahanto āyasmantaṃ nāgasenaṃ etadavocuṃ ‘‘eso kho, nāgasena, milindo rājā bhikkhusaṅghaṃ viheṭheti vādappaṭivādena pañhapucchāya. Sādhu, nāgasena, gaccha tvaṃ milindaṃ rājānaṃ damehī’’ti. ‘‘Tiṭṭhatu, bhante, eko milindo rājā; sace, bhante, sakalajambudīpe rājāno āgantvā maṃ pañhaṃ puccheyyuṃ, sabbaṃ taṃ visajjetvā sampadālessāmi, gacchatha vo, bhante, acchambhitā sāgalanagara’’nti. Atha kho therā bhikkhū sāgalanagaraṃ kāsāvappajjotaṃ isivātapaṭivātaṃ akaṃsu.

    ๒๑. เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา อายุปาโล สเงฺขฺยยฺยปริเวเณ ปฎิวสติฯ อถ โข มิลิโนฺท ราชา อมเจฺจ เอตทโวจ ‘‘รมณียา วต โภ โทสินา รตฺติ, กนฺนุ ขฺวชฺช สมณํ วา พฺราหฺมณํ วา อุปสงฺกเมยฺยาม สากจฺฉาย ปญฺหปุจฺฉนาย, โก มยา สทฺธิํ สลฺลปิตุํ อุสฺสหติ กงฺขํ ปฎิวิเนตุ’’นฺติฯ เอวํ วุเตฺต ปญฺจสตา โยนกา ราชานํ มิลินฺทํ เอตทโวจุํ ‘‘อตฺถิ, มหาราช, อายุปาโล นาม เถโร เตปิฎโก พหุสฺสุโต อาคตาคโม, โส เอตรหิ สเงฺขฺยยฺยปริเวเณ ปฎิวสติ; คจฺฉ, ตฺวํ มหาราช, อายสฺมนฺตํ อายุปาลํ ปญฺหํ ปุจฺฉสฺสู’’ติฯ ‘‘เตน หิ, ภเณ, ภทนฺตสฺส อาโรเจถา’’ติฯ

    21. Tena kho pana samayena āyasmā āyupālo saṅkhyeyyapariveṇe paṭivasati. Atha kho milindo rājā amacce etadavoca ‘‘ramaṇīyā vata bho dosinā ratti, kannu khvajja samaṇaṃ vā brāhmaṇaṃ vā upasaṅkameyyāma sākacchāya pañhapucchanāya, ko mayā saddhiṃ sallapituṃ ussahati kaṅkhaṃ paṭivinetu’’nti. Evaṃ vutte pañcasatā yonakā rājānaṃ milindaṃ etadavocuṃ ‘‘atthi, mahārāja, āyupālo nāma thero tepiṭako bahussuto āgatāgamo, so etarahi saṅkhyeyyapariveṇe paṭivasati; gaccha, tvaṃ mahārāja, āyasmantaṃ āyupālaṃ pañhaṃ pucchassū’’ti. ‘‘Tena hi, bhaṇe, bhadantassa ārocethā’’ti.

    อถ โข เนมิตฺติโก อายสฺมโต อายุปาลสฺส สนฺติเก ทูตํ ปาเหสิ ‘‘ราชา, ภเนฺต, มิลิโนฺท อายสฺมนฺตํ อายุปาลํ ทสฺสนกาโม’’ติฯ อายสฺมาปิ โข อายุปาโล เอวมาห ‘‘เตน หิ อาคจฺฉตู’’ติฯ อถ โข มิลิโนฺท ราชา ปญฺจมเตฺตหิ โยนกสเตหิ ปริวุโต รถวรมารุยฺห เยน สเงฺขฺยยฺยปริเวณํ เยนายสฺมา อายุปาโล เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมตา อายุปาเลน สทฺธิํ สโมฺมทิ, สโมฺมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิ, เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข มิลิโนฺท ราชา อายสฺมนฺตํ อายุปาลํ เอตทโวจ ‘‘กิมตฺถิยา, ภเนฺต อายุปาล, ตุมฺหากํ ปพฺพชฺชา, โก จ ตุมฺหากํ ปรมโตฺถ’’ติฯ เถโร อาห ‘‘ธมฺมจริยสมจริยตฺถา โข, มหาราช, ปพฺพชฺชา, สามญฺญผลํ โข ปน อมฺหากํ ปรมโตฺถ’’ติฯ ‘‘อตฺถิ ปน, ภเนฺต, โกจิ คิหีปิ ธมฺมจารี สมจารี’’ติ? ‘‘อาม, มหาราช, อตฺถิ คิหีปิ ธมฺมจารี สมจารี, ภควติ โข, มหาราช, พาราณสิยํ อิสิปตเน มิคทาเย ธมฺมจกฺกํ ปวเตฺตเนฺต อฎฺฐารสนฺนํ พฺรหฺมโกฎีนํ ธมฺมาภิสมโย อโหสิ, เทวตานํ ปน ธมฺมาภิสมโย คณนปถํ วีติวโตฺต, สเพฺพเต คิหิภูตา, น ปพฺพชิตาฯ

    Atha kho nemittiko āyasmato āyupālassa santike dūtaṃ pāhesi ‘‘rājā, bhante, milindo āyasmantaṃ āyupālaṃ dassanakāmo’’ti. Āyasmāpi kho āyupālo evamāha ‘‘tena hi āgacchatū’’ti. Atha kho milindo rājā pañcamattehi yonakasatehi parivuto rathavaramāruyha yena saṅkhyeyyapariveṇaṃ yenāyasmā āyupālo tenupasaṅkami, upasaṅkamitvā āyasmatā āyupālena saddhiṃ sammodi, sammodanīyaṃ kathaṃ sāraṇīyaṃ vītisāretvā ekamantaṃ nisīdi, ekamantaṃ nisinno kho milindo rājā āyasmantaṃ āyupālaṃ etadavoca ‘‘kimatthiyā, bhante āyupāla, tumhākaṃ pabbajjā, ko ca tumhākaṃ paramattho’’ti. Thero āha ‘‘dhammacariyasamacariyatthā kho, mahārāja, pabbajjā, sāmaññaphalaṃ kho pana amhākaṃ paramattho’’ti. ‘‘Atthi pana, bhante, koci gihīpi dhammacārī samacārī’’ti? ‘‘Āma, mahārāja, atthi gihīpi dhammacārī samacārī, bhagavati kho, mahārāja, bārāṇasiyaṃ isipatane migadāye dhammacakkaṃ pavattente aṭṭhārasannaṃ brahmakoṭīnaṃ dhammābhisamayo ahosi, devatānaṃ pana dhammābhisamayo gaṇanapathaṃ vītivatto, sabbete gihibhūtā, na pabbajitā.

    ‘‘ปุน จปรํ, มหาราช, ภควตา โข มหาสมยสุตฺตเนฺต เทสิยมาเน, มหามงฺคลสุตฺตเนฺต เทสิยมาเน, สมจิตฺตปริยายสุตฺตเนฺต เทสิยมาเน, ราหุโลวาทสุตฺตเนฺต เทสิยมาเน, ปราภวสุตฺตเนฺต เทสิยมาเน คณนปถํ วีติวตฺตานํ เทวตานํ ธมฺมาภิสมโย อโหสิ, สเพฺพเต คิหิภูตา, น ปพฺพชิตา’’ติฯ ‘‘เตน หิ, ภเนฺต อายุปาล, นิรตฺถิกา ตุมฺหากํ ปพฺพชฺชา, ปุเพฺพ กตสฺส ปาปกมฺมสฺส นิสฺสเนฺทน สมณา สกฺยปุตฺติยา ปพฺพชนฺติ ธุตงฺคานิ จ ปริหรนฺติฯ เย โข เต, ภเนฺต อายุปาล, ภิกฺขู เอกาสนิกา, นูน เต ปุเพฺพ ปเรสํ โภคหารกา โจรา, เต ปเรสํ โภเค อจฺฉินฺทิตฺวา ตสฺส กมฺมสฺส นิสฺสเนฺทน เอตรหิ เอกาสนิกา ภวนฺติ, น ลภนฺติ กาเลน กาลํ ปริภุญฺชิตุํ, นตฺถิ เตสํ สีลํ, นตฺถิ ตโป, นตฺถิ พฺรหฺมจริยํฯ เย โข ปน เต, ภเนฺต อายุปาล, ภิกฺขู อโพฺภกาสิกา, นูน เต ปุเพฺพ คามฆาตกา โจรา, เต ปเรสํ เคหานิ วินาเสตฺวา ตสฺส กมฺมสฺส นิสฺสเนฺทน เอตรหิ อโพฺภกาสิกา ภวนฺติ, น ลภนฺติ เสนาสนานิ ปริภุญฺชิตุํ, นตฺถิ เตสํ สีลํ, นตฺถิ ตโป, นตฺถิ พฺรหฺมจริยํฯ เย โข ปน เต, ภเนฺต อายุปาล, ภิกฺขู เนสชฺชิกา, นูน เต ปุเพฺพ ปนฺถทูสกา โจรา, เต ปเรสํ ปถิเก ชเน คเหตฺวา พนฺธิตฺวา นิสีทาเปตฺวา ตสฺส กมฺมสฺส นิสฺสเนฺทน เอตรหิ เนสชฺชิกา ภวนฺติ, น ลภนฺติ เสยฺยํ กเปฺปตุํ, นตฺถิ เตสํ สีลํ, นตฺถิ ตโป, นตฺถิ พฺรหฺมจริย’’นฺติ อาหฯ

    ‘‘Puna caparaṃ, mahārāja, bhagavatā kho mahāsamayasuttante desiyamāne, mahāmaṅgalasuttante desiyamāne, samacittapariyāyasuttante desiyamāne, rāhulovādasuttante desiyamāne, parābhavasuttante desiyamāne gaṇanapathaṃ vītivattānaṃ devatānaṃ dhammābhisamayo ahosi, sabbete gihibhūtā, na pabbajitā’’ti. ‘‘Tena hi, bhante āyupāla, niratthikā tumhākaṃ pabbajjā, pubbe katassa pāpakammassa nissandena samaṇā sakyaputtiyā pabbajanti dhutaṅgāni ca pariharanti. Ye kho te, bhante āyupāla, bhikkhū ekāsanikā, nūna te pubbe paresaṃ bhogahārakā corā, te paresaṃ bhoge acchinditvā tassa kammassa nissandena etarahi ekāsanikā bhavanti, na labhanti kālena kālaṃ paribhuñjituṃ, natthi tesaṃ sīlaṃ, natthi tapo, natthi brahmacariyaṃ. Ye kho pana te, bhante āyupāla, bhikkhū abbhokāsikā, nūna te pubbe gāmaghātakā corā, te paresaṃ gehāni vināsetvā tassa kammassa nissandena etarahi abbhokāsikā bhavanti, na labhanti senāsanāni paribhuñjituṃ, natthi tesaṃ sīlaṃ, natthi tapo, natthi brahmacariyaṃ. Ye kho pana te, bhante āyupāla, bhikkhū nesajjikā, nūna te pubbe panthadūsakā corā, te paresaṃ pathike jane gahetvā bandhitvā nisīdāpetvā tassa kammassa nissandena etarahi nesajjikā bhavanti, na labhanti seyyaṃ kappetuṃ, natthi tesaṃ sīlaṃ, natthi tapo, natthi brahmacariya’’nti āha.

    เอวํ วุเตฺต อายสฺมา อายุปาโล ตุณฺหี อโหสิ, น กิญฺจิ ปฎิภาสิฯ อถ โข ปญฺจสตา โยนกา ราชานํ มิลินฺทํ เอตทโวจุํ ‘‘ปณฺฑิโต, มหาราช, เถโร, อปิ จ โข อวิสารโท น กิญฺจิ ปฎิภาสตี’’ติฯ

    Evaṃ vutte āyasmā āyupālo tuṇhī ahosi, na kiñci paṭibhāsi. Atha kho pañcasatā yonakā rājānaṃ milindaṃ etadavocuṃ ‘‘paṇḍito, mahārāja, thero, api ca kho avisārado na kiñci paṭibhāsatī’’ti.

    อถ โข มิลิโนฺท ราชา อายสฺมนฺตํ อายุปาลํ ตุณฺหีภูตํ ทิสฺวา อโปฺผเฎตฺวา อุกฺกุฎฺฐิํ กตฺวา โยนเก เอตทโวจ ‘‘ตุโจฺฉ วต โภ ชมฺพุทีโป, ปลาโป วต โภ ชมฺพุทีโป, นตฺถิ โกจิ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา, โย มยา สทฺธิํ สลฺลปิตุํ อุสฺสหติ กงฺขํ ปฎิวิเนตุ’’นฺติฯ

    Atha kho milindo rājā āyasmantaṃ āyupālaṃ tuṇhībhūtaṃ disvā apphoṭetvā ukkuṭṭhiṃ katvā yonake etadavoca ‘‘tuccho vata bho jambudīpo, palāpo vata bho jambudīpo, natthi koci samaṇo vā brāhmaṇo vā, yo mayā saddhiṃ sallapituṃ ussahati kaṅkhaṃ paṭivinetu’’nti.

    ๒๒. อถ โข มิลินฺทสฺส รโญฺญ สพฺพํ ตํ ปริสํ อนุวิโลเกนฺตสฺส อภีเต อมงฺกุภูเต โยนเก ทิสฺวา เอตทโหสิ ‘‘นิสฺสํสยํ อตฺถิ มเญฺญ อโญฺญ โกจิ ปณฺฑิโต ภิกฺขุ, โย มยา สทฺธิํ สลฺลปิตุํ อุสฺสหติ, เยนิเม โยนกา น มงฺกุภูตา’’ติฯ อถ โข มิลิโนฺท ราชา โยนเก เอตทโวจ ‘‘อตฺถิ, ภเณ, อโญฺญ โกจิ ปณฺฑิโต ภิกฺขุ, โย มยา สทฺธิํ สลฺลปิตุํ อุสฺสหติ กงฺขํ ปฎิวิเนตุ’’นฺติฯ

    22. Atha kho milindassa rañño sabbaṃ taṃ parisaṃ anuvilokentassa abhīte amaṅkubhūte yonake disvā etadahosi ‘‘nissaṃsayaṃ atthi maññe añño koci paṇḍito bhikkhu, yo mayā saddhiṃ sallapituṃ ussahati, yenime yonakā na maṅkubhūtā’’ti. Atha kho milindo rājā yonake etadavoca ‘‘atthi, bhaṇe, añño koci paṇḍito bhikkhu, yo mayā saddhiṃ sallapituṃ ussahati kaṅkhaṃ paṭivinetu’’nti.

    เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา นาคเสโน สมณคณปริวุโต สงฺฆี คณี คณาจริโย ญาโต ยสสฺสี สาธุสมฺมโต พหุชนสฺส ปณฺฑิโต พฺยโตฺต เมธาวี นิปุโณ วิญฺญู วิภาวี วินีโต วิสารโท พหุสฺสุโต เตปิฎโก เวทคู ปภินฺนพุทฺธิมา อาคตาคโม ปภินฺนปฎิสมฺภิโท นวงฺคสตฺถุสาสเน ปริยตฺติธโร ปารมิปฺปโตฺต ชินวจเน ธมฺมตฺถเทสนาปฎิเวธกุสโล อกฺขยวิจิตฺรปฎิภาโน จิตฺรกถี กลฺยาณวากฺกรโณ ทุราสโท ทุปฺปสโห ทุรุตฺตโร ทุราวรโณ ทุนฺนิวารโย, สาคโร วิย อโกฺขโภ, คิริราชา วิย นิจฺจโล, รณญฺชโห ตโมนุโท ปภงฺกโร มหากถี ปรคณิคณมถโน ปรติตฺถิยมทฺทโน ภิกฺขูนํ ภิกฺขุนีนํ อุปาสกานํ อุปาสิกานํ ราชูนํ ราชมหามตฺตานํ สกฺกโต ครุกโต มานิโต ปูชิโต อปจิโต ลาภี จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปฺปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารานํ ลาภคฺคยสคฺคปฺปโตฺต วุทฺธานํ วิญฺญูนํ โสตาวธาเนน สมนฺนาคตานํ สนฺทเสฺสโนฺต นวงฺคํ ชินสาสนรตนํ, อุปทิสโนฺต ธมฺมมคฺคํ, ธาเรโนฺต ธมฺมปฺปโชฺชตํ, อุสฺสาเปโนฺต ธมฺมยูปํ, ยชโนฺต ธมฺมยาคํ, ปคฺคณฺหโนฺต ธมฺมทฺธชํ, อุสฺสาเปโนฺต ธมฺมเกตุํ, ธเมโนฺต 43 ธมฺมสงฺขํ, อาหนโนฺต ธมฺมเภริํ, นทโนฺต สีหนาทํ , คชฺชโนฺต อินฺทคชฺชิตํ, มธุรคิรคชฺชิเตน ญาณวรวิชฺชุชาลปริเวฐิเตน กรุณาชลภริเตน มหตา ธมฺมามตเมเฆน สกลโลกมภิตปฺปยโนฺต คามนิคมราชธานีสุ จาริกํ จรมาโน อนุปุเพฺพน สาคลนครํ อนุปฺปโตฺต โหติฯ ตตฺร สุทํ อายสฺมา นาคเสโน อสีติยา ภิกฺขุสหเสฺสหิ สทฺธิํ สเงฺขฺยยฺยปริเวเณ ปฎิวสติฯ เตนาหุ โปราณา –

    Tena kho pana samayena āyasmā nāgaseno samaṇagaṇaparivuto saṅghī gaṇī gaṇācariyo ñāto yasassī sādhusammato bahujanassa paṇḍito byatto medhāvī nipuṇo viññū vibhāvī vinīto visārado bahussuto tepiṭako vedagū pabhinnabuddhimā āgatāgamo pabhinnapaṭisambhido navaṅgasatthusāsane pariyattidharo pāramippatto jinavacane dhammatthadesanāpaṭivedhakusalo akkhayavicitrapaṭibhāno citrakathī kalyāṇavākkaraṇo durāsado duppasaho duruttaro durāvaraṇo dunnivārayo, sāgaro viya akkhobho, girirājā viya niccalo, raṇañjaho tamonudo pabhaṅkaro mahākathī paragaṇigaṇamathano paratitthiyamaddano bhikkhūnaṃ bhikkhunīnaṃ upāsakānaṃ upāsikānaṃ rājūnaṃ rājamahāmattānaṃ sakkato garukato mānito pūjito apacito lābhī cīvarapiṇḍapātasenāsanagilānappaccayabhesajjaparikkhārānaṃ lābhaggayasaggappatto vuddhānaṃ viññūnaṃ sotāvadhānena samannāgatānaṃ sandassento navaṅgaṃ jinasāsanaratanaṃ, upadisanto dhammamaggaṃ, dhārento dhammappajjotaṃ, ussāpento dhammayūpaṃ, yajanto dhammayāgaṃ, paggaṇhanto dhammaddhajaṃ, ussāpento dhammaketuṃ, dhamento 44 dhammasaṅkhaṃ, āhananto dhammabheriṃ, nadanto sīhanādaṃ , gajjanto indagajjitaṃ, madhuragiragajjitena ñāṇavaravijjujālapariveṭhitena karuṇājalabharitena mahatā dhammāmatameghena sakalalokamabhitappayanto gāmanigamarājadhānīsu cārikaṃ caramāno anupubbena sāgalanagaraṃ anuppatto hoti. Tatra sudaṃ āyasmā nāgaseno asītiyā bhikkhusahassehi saddhiṃ saṅkhyeyyapariveṇe paṭivasati. Tenāhu porāṇā –

    ‘‘พหุสฺสุโต จิตฺรกถี, นิปุโณ จ วิสารโท;

    ‘‘Bahussuto citrakathī, nipuṇo ca visārado;

    สามยิโก จ กุสโล, ปฎิภาเน จ โกวิโทฯ

    Sāmayiko ca kusalo, paṭibhāne ca kovido.

    ‘‘เต จ เตปิฎกา ภิกฺขู, ปญฺจเนกายิกาปิ จ;

    ‘‘Te ca tepiṭakā bhikkhū, pañcanekāyikāpi ca;

    จตุเนกายิกา เจว, นาคเสนํ ปุรกฺขรุํฯ

    Catunekāyikā ceva, nāgasenaṃ purakkharuṃ.

    ‘‘คมฺภีรปโญฺญ เมธาวี, มคฺคามคฺคสฺส โกวิโท;

    ‘‘Gambhīrapañño medhāvī, maggāmaggassa kovido;

    อุตฺตมตฺถํ อนุปฺปโตฺต, นาคเสโน วิสารโทฯ

    Uttamatthaṃ anuppatto, nāgaseno visārado.

    ‘‘เตหิ ภิกฺขูหิ ปริวุโต, นิปุเณหิ สจฺจวาทิภิ;

    ‘‘Tehi bhikkhūhi parivuto, nipuṇehi saccavādibhi;

    จรโนฺต คามนิคมํ, สาคลํ อุปสงฺกมิฯ

    Caranto gāmanigamaṃ, sāgalaṃ upasaṅkami.

    ‘‘สเงฺขฺยยฺยปริเวณสฺมิํ , นาคเสโน ตทา วสิ;

    ‘‘Saṅkhyeyyapariveṇasmiṃ , nāgaseno tadā vasi;

    กเถติ โส มนุเสฺสหิ, ปพฺพเต เกสรี ยถา’’ติฯ

    Katheti so manussehi, pabbate kesarī yathā’’ti.

    ๒๓. อถ โข เทวมนฺติโย ราชานํ มิลินฺทํ เอตทโวจ ‘‘อาคเมหิ, ตฺวํ มหาราช; อตฺถิ, มหาราช, นาคเสโน นาม เถโร ปณฺฑิโต พฺยโตฺต เมธาวี วินีโต วิสารโท พหุสฺสุโต จิตฺรกถี กลฺยาณปฎิภาโน อตฺถธมฺมนิรุตฺติปฎิภานปฎิสมฺภิทาสุ ปารมิปฺปโตฺต, โส เอตรหิ สเงฺขฺยยฺยปริเวเณ ปฎิวสติ, คจฺฉ, ตฺวํ มหาราช, อายสฺมนฺตํ นาคเสนํ ปญฺหํ ปุจฺฉสฺสุ, อุสฺสหติ โส ตยา สทฺธิํ สลฺลปิตุํ กงฺขํ ปฎิวิเนตุ’’นฺติฯ อถ โข มิลินฺทสฺส รโญฺญ สหสา ‘‘นาคเสโน’’ติ สทฺทํ สุตฺวาว อหุเทว ภยํ, อหุเทว ฉมฺภิตตฺตํ, อหุเทว โลมหํโสฯ อถ โข มิลิโนฺท ราชา เทวมนฺติยํ เอตทโวจ ‘‘อุสฺสหติ โภ นาคเสโน ภิกฺขุ มยา สทฺธิํ สลฺลปิตุ’’นฺติ? ‘‘อุสฺสหติ, มหาราช, อปิ อินฺทยมวรุณกุเวรปชาปติ สุยาม สนฺตุสิตโลกปาเลหิปิ ปิตุปิตามเหน มหาพฺรหฺมุนาปิ สทฺธิํ สลฺลปิตุํ, กิมงฺคํ ปน มนุสฺสภูเตนา’’ติฯ

    23. Atha kho devamantiyo rājānaṃ milindaṃ etadavoca ‘‘āgamehi, tvaṃ mahārāja; atthi, mahārāja, nāgaseno nāma thero paṇḍito byatto medhāvī vinīto visārado bahussuto citrakathī kalyāṇapaṭibhāno atthadhammaniruttipaṭibhānapaṭisambhidāsu pāramippatto, so etarahi saṅkhyeyyapariveṇe paṭivasati, gaccha, tvaṃ mahārāja, āyasmantaṃ nāgasenaṃ pañhaṃ pucchassu, ussahati so tayā saddhiṃ sallapituṃ kaṅkhaṃ paṭivinetu’’nti. Atha kho milindassa rañño sahasā ‘‘nāgaseno’’ti saddaṃ sutvāva ahudeva bhayaṃ, ahudeva chambhitattaṃ, ahudeva lomahaṃso. Atha kho milindo rājā devamantiyaṃ etadavoca ‘‘ussahati bho nāgaseno bhikkhu mayā saddhiṃ sallapitu’’nti? ‘‘Ussahati, mahārāja, api indayamavaruṇakuverapajāpati suyāma santusitalokapālehipi pitupitāmahena mahābrahmunāpi saddhiṃ sallapituṃ, kimaṅgaṃ pana manussabhūtenā’’ti.

    อถ โข มิลิโนฺท ราชา เทวมนฺติยํ เอตทโวจ ‘‘เตน หิ, ตฺวํ เทวมนฺติย, ภทนฺตสฺส สนฺติเก ทูตํ เปเสหี’’ติฯ ‘‘เอวํ เทวา’’ติ โข เทวมนฺติโย อายสฺมโต นาคเสนสฺส สนฺติเก ทูตํ ปาเหสิ ‘‘ราชา, ภเนฺต, มิลิโนฺท อายสฺมนฺตํ ทสฺสนกาโม’’ติฯ อายสฺมาปิ โข นาคเสโน เอวมาห ‘‘เตน หิ อาคจฺฉตู’’ติฯ

    Atha kho milindo rājā devamantiyaṃ etadavoca ‘‘tena hi, tvaṃ devamantiya, bhadantassa santike dūtaṃ pesehī’’ti. ‘‘Evaṃ devā’’ti kho devamantiyo āyasmato nāgasenassa santike dūtaṃ pāhesi ‘‘rājā, bhante, milindo āyasmantaṃ dassanakāmo’’ti. Āyasmāpi kho nāgaseno evamāha ‘‘tena hi āgacchatū’’ti.

    อถ โข มิลิโนฺท ราชา ปญฺจมเตฺตหิ โยนกสเตหิ ปริวุโต รถวรมารุยฺห มหตา พลกาเยน สทฺธิํ เยน สเงฺขฺยยฺยปริเวณํ เยนายสฺมา นาคเสโน เตนุปสงฺกมิฯ เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา นาคเสโน อสีติยา ภิกฺขุสหเสฺสหิ สทฺธิํ มณฺฑลมาเฬ นิสิโนฺน โหติฯ อทฺทสา โข มิลิโนฺท ราชา อายสฺมโต นาคเสนสฺส ปริสํ ทูรโตว, ทิสฺวาน เทวมนฺติยํ เอตทโวจ ‘‘กเสฺสสา, เทวมนฺติย, มหตี ปริสา’’ติ? ‘‘อายสฺมโต โข, มหาราช, นาคเสนสฺส ปริสา’’ติฯ

    Atha kho milindo rājā pañcamattehi yonakasatehi parivuto rathavaramāruyha mahatā balakāyena saddhiṃ yena saṅkhyeyyapariveṇaṃ yenāyasmā nāgaseno tenupasaṅkami. Tena kho pana samayena āyasmā nāgaseno asītiyā bhikkhusahassehi saddhiṃ maṇḍalamāḷe nisinno hoti. Addasā kho milindo rājā āyasmato nāgasenassa parisaṃ dūratova, disvāna devamantiyaṃ etadavoca ‘‘kassesā, devamantiya, mahatī parisā’’ti? ‘‘Āyasmato kho, mahārāja, nāgasenassa parisā’’ti.

    อถ โข มิลินฺทสฺส รโญฺญ อายสฺมโต นาคเสนสฺส ปริสํ ทูรโตว ทิสฺวา อหุเทว ภยํ, อหุเทว ฉมฺภิตตฺตํ, อหุเทว โลมหํโสฯ อถ โข มิลิโนฺท ราชา ขคฺคปริวาริโต วิย คโช, ครุฬปริวาริโต วิย นาโค, อชครปริวาริโต วิย โกตฺถุโก 45, มหิํสปริวุโต วิย อโจฺฉ, นาคานุพโทฺธ วิย มณฺฑูโก, สทฺทูลานุพโทฺธ วิย มิโค, อหิตุณฺฑิกสมาคโต 46 วิย ปนฺนโค, มชฺชารสมาคโต วิย อุนฺทูโร, ภูตเวชฺชสมาคโต วิย ปิสาโจ, ราหุมขคโต วิย จโนฺท, ปนฺนโค วิย เปฬนฺตรคโต, สกุโณ วิย ปญฺชรนฺตรคโต, มโจฺฉ วิย ชาลนฺตรคโต, วาฬวนมนุปฺปวิโฎฺฐ วิย ปุริโส, เวสฺสวณาปราธิโก วิย ยโกฺข, ปริกฺขีณายุโก วิย เทวปุโตฺต ภีโต อุพฺพิโคฺค อุตฺรโสฺต สํวิโคฺค โลมหฎฺฐชาโต วิมโน ทุมฺมโน ภนฺตจิโตฺต วิปริณตมานโส ‘‘มา มํ อยํ ปริชโน ปริภวี’’ติ สติํ 47 อุปฎฺฐเปตฺวา เทวมนฺติยํ เอตทโวจ – ‘‘มา โข, ตฺวํ เทวมนฺติย , อายสฺมนฺตํ นาคเสนํ มยฺหํ อาจิเกฺขยฺยาสิ, อนกฺขาตเญฺญวาหํ นาคเสนํ ชานิสฺสามี’’ติฯ ‘‘สาธุ, มหาราช, ตฺวเญฺญว ชานาหี’’ติฯ

    Atha kho milindassa rañño āyasmato nāgasenassa parisaṃ dūratova disvā ahudeva bhayaṃ, ahudeva chambhitattaṃ, ahudeva lomahaṃso. Atha kho milindo rājā khaggaparivārito viya gajo, garuḷaparivārito viya nāgo, ajagaraparivārito viya kotthuko 48, mahiṃsaparivuto viya accho, nāgānubaddho viya maṇḍūko, saddūlānubaddho viya migo, ahituṇḍikasamāgato 49 viya pannago, majjārasamāgato viya undūro, bhūtavejjasamāgato viya pisāco, rāhumakhagato viya cando, pannago viya peḷantaragato, sakuṇo viya pañjarantaragato, maccho viya jālantaragato, vāḷavanamanuppaviṭṭho viya puriso, vessavaṇāparādhiko viya yakkho, parikkhīṇāyuko viya devaputto bhīto ubbiggo utrasto saṃviggo lomahaṭṭhajāto vimano dummano bhantacitto vipariṇatamānaso ‘‘mā maṃ ayaṃ parijano paribhavī’’ti satiṃ 50 upaṭṭhapetvā devamantiyaṃ etadavoca – ‘‘mā kho, tvaṃ devamantiya , āyasmantaṃ nāgasenaṃ mayhaṃ ācikkheyyāsi, anakkhātaññevāhaṃ nāgasenaṃ jānissāmī’’ti. ‘‘Sādhu, mahārāja, tvaññeva jānāhī’’ti.

    เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา นาคเสโน ตสฺสา ภิกฺขุปริสาย ปุรโต จตฺตาลีสาย ภิกฺขุสหสฺสานํ นวกตโร โหติ ปจฺฉโต จตฺตาลีสาย ภิกฺขุสหสฺสานํ วุฑฺฒตโรฯ

    Tena kho pana samayena āyasmā nāgaseno tassā bhikkhuparisāya purato cattālīsāya bhikkhusahassānaṃ navakataro hoti pacchato cattālīsāya bhikkhusahassānaṃ vuḍḍhataro.

    อถ โข มิลิโนฺท ราชา สพฺพํ ตํ ภิกฺขุสงฺฆํ ปุรโต จ ปจฺฉโต จ มชฺฌโต จ อนุวิโลเกโนฺต อทฺทสา โข อายสฺมนฺตํ นาคเสนํ ทูรโตว ภิกฺขุสงฺฆสฺส มเชฺฌ นิสินฺนํ เกสรสีหํ วิย วิคตภยเภรวํ วิคตโลมหํสํ วิคตภยสารชฺชํ, ทิสฺวาน อากาเรเนว อญฺญาสิ ‘‘เอโส โข เอตฺถ นาคเสโน’’ติฯ

    Atha kho milindo rājā sabbaṃ taṃ bhikkhusaṅghaṃ purato ca pacchato ca majjhato ca anuvilokento addasā kho āyasmantaṃ nāgasenaṃ dūratova bhikkhusaṅghassa majjhe nisinnaṃ kesarasīhaṃ viya vigatabhayabheravaṃ vigatalomahaṃsaṃ vigatabhayasārajjaṃ, disvāna ākāreneva aññāsi ‘‘eso kho ettha nāgaseno’’ti.

    อถ โข มิลิโนฺท ราชา เทวมนฺติยํ เอตทโวจ ‘‘เอโส โข, เทวมนฺติย, อายสฺมา นาคเสโน’’ติฯ ‘‘อาม, มหาราช, เอโส โข นาคเสโน, สุฎฺฐุ โข, ตฺวํ มหาราช, นาคเสนํ อญฺญาสี’’ติ ฯ ตโต ราชา ตุโฎฺฐ อโหสิ ‘‘อนกฺขาโตว มยา นาคเสโน อญฺญาโต’’ติฯ อถ โข มิลินฺทสฺส รโญฺญ อายสฺมนฺตํ นาคเสนํ ทิสฺวาว อหุเทว ภยํ, อหุเทว ฉมฺภิตตฺตํ, อหุเทว โลมหํโสฯ

    Atha kho milindo rājā devamantiyaṃ etadavoca ‘‘eso kho, devamantiya, āyasmā nāgaseno’’ti. ‘‘Āma, mahārāja, eso kho nāgaseno, suṭṭhu kho, tvaṃ mahārāja, nāgasenaṃ aññāsī’’ti . Tato rājā tuṭṭho ahosi ‘‘anakkhātova mayā nāgaseno aññāto’’ti. Atha kho milindassa rañño āyasmantaṃ nāgasenaṃ disvāva ahudeva bhayaṃ, ahudeva chambhitattaṃ, ahudeva lomahaṃso.

    เตนาหุ –

    Tenāhu –

    ‘‘จรเณน จ สมฺปนฺนํ, สุทนฺตํ อุตฺตเม ทเม;

    ‘‘Caraṇena ca sampannaṃ, sudantaṃ uttame dame;

    ทิสฺวา ราชา นาคเสนํ, อิทํ วจนมพฺรวิฯ

    Disvā rājā nāgasenaṃ, idaṃ vacanamabravi.

    ‘‘กถิตา 51 มยา พหู ทิฎฺฐา, สากจฺฉา โอสฎา พหู;

    ‘‘Kathitā 52 mayā bahū diṭṭhā, sākacchā osaṭā bahū;

    น ตาทิสํ ภยํ อาสิ, อชฺช ตาโส ยถา มมฯ

    Na tādisaṃ bhayaṃ āsi, ajja tāso yathā mama.

    ‘‘นิสฺสํสยํ ปราชโย, มม อชฺช ภวิสฺสติ;

    ‘‘Nissaṃsayaṃ parājayo, mama ajja bhavissati;

    ชโย จ นาคเสนสฺส, ยถา จิตฺตํ น สณฺฐิต’’นฺติฯ

    Jayo ca nāgasenassa, yathā cittaṃ na saṇṭhita’’nti.

    พาหิรกถา นิฎฺฐิตาฯ

    Bāhirakathā niṭṭhitā.







    Footnotes:
    1. ยฎฺฐิสมฺมุญฺชนิโย (สี. ปี.)
    2. น ปาปุณามิ (สฺยา.)
    3. สุริโย (สี. ปี.)
    4. น ปาปุณามิ (สฺยา.)
    5. yaṭṭhisammuñjaniyo (sī. pī.)
    6. na pāpuṇāmi (syā.)
    7. suriyo (sī. pī.)
    8. na pāpuṇāmi (syā.)
    9. น ปาปุณามิ (สฺยา.)
    10. na pāpuṇāmi (syā.)
    11. สมนฺตโยค … (สี. ปี.)
    12. จตุเพฺพทา (สี. ปี.)
    13. เหตุ (สี. ปี.)
    14. ฉนฺทสามุทฺทวจเนน (สี. ปี.)
    15. วาที (สี. ปี.)
    16. samantayoga … (sī. pī.)
    17. catubbedā (sī. pī.)
    18. hetu (sī. pī.)
    19. chandasāmuddavacanena (sī. pī.)
    20. vādī (sī. pī.)
    21. เสนาคณนํ กาเรตฺวา (สี. ปี.)
    22. ปวตฺต (สี. ปี.)
    23. senāgaṇanaṃ kāretvā (sī. pī.)
    24. pavatta (sī. pī.)
    25. นาถปุโตฺต (สี. ปี.)
    26. nāthaputto (sī. pī.)
    27. ปฐวี (สี. สฺยา. ปี.)
    28. paṭhavī (sī. syā. pī.)
    29. ปลุชฺชเนฺต (สี. ปี.)
    30. palujjante (sī. pī.)
    31. กชงฺคลํ (สี. ปี.)
    32. kajaṅgalaṃ (sī. pī.)
    33. (ปวิสนฺตา) (ก.)
    34. ปฎิสนฺตารํ (สี. ปี.)
    35. (pavisantā) (ka.)
    36. paṭisantāraṃ (sī. pī.)
    37. สนิฆณฺฎุเกฎุเภสุ (ก.)
    38. sanighaṇṭukeṭubhesu (ka.)
    39. ปาปกานํ มลานํ ปพฺพาเชตุํ ปพฺพชิโต (สี. ปี.)
    40. กมนียานิ คิหิพฺยญฺชนานิ (สี. ปี.)
    41. pāpakānaṃ malānaṃ pabbājetuṃ pabbajito (sī. pī.)
    42. kamanīyāni gihibyañjanāni (sī. pī.)
    43. อุปฺปฬาเสโนฺต (สี. ปี.)
    44. uppaḷāsento (sī. pī.)
    45. โกตฺถุโก (สี. ปี.)
    46. อภิคุณฺฐิกสมาคโต (สี. ปี.)
    47. ธีติํ (สี. ปี.)
    48. kotthuko (sī. pī.)
    49. abhiguṇṭhikasamāgato (sī. pī.)
    50. dhītiṃ (sī. pī.)
    51. กถิกา (สี. ปี.)
    52. kathikā (sī. pī.)

    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact