Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ปฎิสมฺภิทามคฺค-อฎฺฐกถา • Paṭisambhidāmagga-aṭṭhakathā

    ๕๓. ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณนิเทฺทสวณฺณนา

    53. Pubbenivāsānussatiñāṇaniddesavaṇṇanā

    ๑๐๕. ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณนิเทฺทเส เอวํ ปชานาตีติอาทิ จตูสุ อิทฺธิปาเทสุ ปริภาวิตจิตฺตสฺส ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณํ อุปฺปาเทตุกามสฺส ตทุปฺปาทนวิธานทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ กมโต หิ ปฎิจฺจสมุปฺปาทํ ปสฺสิตฺวา วิญฺญาณนามรูปสฬายตนผสฺสเวทนาสงฺขาตํ ปจฺจุปฺปนฺนํ ผลสเงฺขปํ ปสฺสติ, ตสฺส ปจฺจยํ ปุริมภเว กมฺมกิเลสสงฺขาตํ เหตุสเงฺขปํ ปสฺสติ, ตสฺส ปจฺจยํ ปุริมภเวเยว ผลสเงฺขปํ ปสฺสติ, ตสฺส ปจฺจยํ ตติยภเว เหตุสเงฺขปํ ปสฺสติฯ เอวํ ปฎิจฺจสมุปฺปาททสฺสเนน ชาติปรมฺปรํ ปสฺสติฯ เอวํ พหูปกาโร ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณสฺส ปฎิจฺจสมุปฺปาทมนสิกาโร ฯ ตตฺถ ‘‘อิมสฺมิํ สติ อิทํ โหติ, อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชตี’’ติ อิทํ ปฎิจฺจสมุปฺปาทนิเทฺทสสฺส อุเทฺทสวจนํฯ เอวํ เตสํ อญฺญตรวจเนเนว อเตฺถ สิเทฺธ ทฺวิธา วจนํ กสฺมาติ เจ? อตฺถนานตฺตสพฺภาวโตฯ กถํ? อิมสฺมิํ สตีติ อิมสฺมิํ ปจฺจเย วิชฺชมาเนฯ อิทํ สพฺพปจฺจยานํ สาธารณวจนํฯ อิทํ โหตีติ อิทํ ปจฺจยุปฺปนฺนํ ภวติฯ อิทํ สพฺพปจฺจยุปฺปนฺนานํ สาธารณวจนํฯ อิมินา สกเลน วจเนน อเหตุกวาโท ปฎิสิโทฺธ โหติฯ เย หิ ธมฺมา ปจฺจยสมฺภวา โหนฺติ, น ปจฺจยาภาวา, เต อเหตุกา นาม น โหนฺตีติฯ อิมสฺสุปฺปาทาติ อิมสฺส ปจฺจยสฺส อุปฺปาทเหตุฯ อิทํ สพฺพปจฺจยานํ อุปฺปาทวนฺตตาทีปนวจนํฯ อิทํ อุปฺปชฺชตีติ อิทํ ปจฺจยุปฺปนฺนํ อุปฺปชฺชติฯ อิทํ สพฺพปจฺจยุปฺปนฺนานํ ตโต อุปฺปชฺชมานตาทีปนวจนํฯ อิมินา สกเลน วจเนน สสฺสตาเหตุกวาโท ปฎิสิโทฺธ โหติฯ เย หิ อุปฺปาทวโนฺต ธมฺมา, เต อนิจฺจาฯ ตสฺมา สติปิ สเหตุกเตฺต อนิจฺจเหตุกา เอเต ธมฺมา น โลเก นิจฺจสมฺมตปกติปุริสาทิเหตุกาติ วุตฺตํ โหติฯ

    105. Pubbenivāsānussatiñāṇaniddese evaṃ pajānātītiādi catūsu iddhipādesu paribhāvitacittassa pubbenivāsānussatiñāṇaṃ uppādetukāmassa taduppādanavidhānadassanatthaṃ vuttaṃ. Kamato hi paṭiccasamuppādaṃ passitvā viññāṇanāmarūpasaḷāyatanaphassavedanāsaṅkhātaṃ paccuppannaṃ phalasaṅkhepaṃ passati, tassa paccayaṃ purimabhave kammakilesasaṅkhātaṃ hetusaṅkhepaṃ passati, tassa paccayaṃ purimabhaveyeva phalasaṅkhepaṃ passati, tassa paccayaṃ tatiyabhave hetusaṅkhepaṃ passati. Evaṃ paṭiccasamuppādadassanena jātiparamparaṃ passati. Evaṃ bahūpakāro pubbenivāsānussatiñāṇassa paṭiccasamuppādamanasikāro . Tattha ‘‘imasmiṃ sati idaṃ hoti, imassuppādā idaṃ uppajjatī’’ti idaṃ paṭiccasamuppādaniddesassa uddesavacanaṃ. Evaṃ tesaṃ aññataravacaneneva atthe siddhe dvidhā vacanaṃ kasmāti ce? Atthanānattasabbhāvato. Kathaṃ? Imasmiṃ satīti imasmiṃ paccaye vijjamāne. Idaṃ sabbapaccayānaṃ sādhāraṇavacanaṃ. Idaṃ hotīti idaṃ paccayuppannaṃ bhavati. Idaṃ sabbapaccayuppannānaṃ sādhāraṇavacanaṃ. Iminā sakalena vacanena ahetukavādo paṭisiddho hoti. Ye hi dhammā paccayasambhavā honti, na paccayābhāvā, te ahetukā nāma na hontīti. Imassuppādāti imassa paccayassa uppādahetu. Idaṃ sabbapaccayānaṃ uppādavantatādīpanavacanaṃ. Idaṃ uppajjatīti idaṃ paccayuppannaṃ uppajjati. Idaṃ sabbapaccayuppannānaṃ tato uppajjamānatādīpanavacanaṃ. Iminā sakalena vacanena sassatāhetukavādo paṭisiddho hoti. Ye hi uppādavanto dhammā, te aniccā. Tasmā satipi sahetukatte aniccahetukā ete dhammā na loke niccasammatapakatipurisādihetukāti vuttaṃ hoti.

    ยทิทนฺติ นิทฺทิสิตพฺพตฺถสนฺทสฺสนํฯ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขาราติ เอตฺถ ยํ ปฎิจฺจ ผลเมติ, โส ปจฺจโยฯ ปฎิจฺจาติ น วินา, อปจฺจกฺขิตฺวาติ อโตฺถฯ เอตีติ อุปฺปชฺชติ เจว ปวตฺตติ จาติ อโตฺถฯ อปิจ อุปการกโฎฺฐ ปจฺจยโฎฺฐ, อวิชฺชา จ สา ปจฺจโย จาติ อวิชฺชาปจฺจโยฯ ตสฺมา อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สมฺภวนฺตีติ โยชนาฯ เอวํ สมฺภวนฺติ-สทฺทสฺส เสสปเทหิปิ โยชนา กาตพฺพาฯ โสกาทีสุ จ โสจนํ โสโกฯ ปริเทวนํ ปริเทโวฯ ทุกฺขตีติ ทุกฺขํฯ อุปฺปาทฎฺฐิติวเสน วา เทฺวธา ขนตีติปิ ทุกฺขํฯ ทุมฺมนสฺส ภาโว โทมนสฺสํฯ ภุโส อายาโส อุปายาโสฯ สมฺภวนฺตีติ นิพฺพตฺตนฺติฯ เอวนฺติ นิทฺทิฎฺฐนยนิทสฺสนํฯ เตน อวิชฺชาทีเหว การเณหิ, น อิสฺสรนิมฺมานาทีหีติ ทเสฺสติฯ เอตสฺสาติ ยถาวุตฺตสฺสฯ เกวลสฺสาติ อสมฺมิสฺสสฺส, สกลสฺส วาฯ ทุกฺขกฺขนฺธสฺสาติ ทุกฺขสมูหสฺส, น สตฺตสฺส น สุขสุภาทีนํฯ สมุทโยติ นิพฺพตฺติฯ โหตีติ สมฺภวติฯ

    Yadidanti niddisitabbatthasandassanaṃ. Avijjāpaccayā saṅkhārāti ettha yaṃ paṭicca phalameti, so paccayo. Paṭiccāti na vinā, apaccakkhitvāti attho. Etīti uppajjati ceva pavattati cāti attho. Apica upakārakaṭṭho paccayaṭṭho, avijjā ca sā paccayo cāti avijjāpaccayo. Tasmā avijjāpaccayā saṅkhārā sambhavantīti yojanā. Evaṃ sambhavanti-saddassa sesapadehipi yojanā kātabbā. Sokādīsu ca socanaṃ soko. Paridevanaṃ paridevo. Dukkhatīti dukkhaṃ. Uppādaṭṭhitivasena vā dvedhā khanatītipi dukkhaṃ. Dummanassa bhāvo domanassaṃ. Bhuso āyāso upāyāso. Sambhavantīti nibbattanti. Evanti niddiṭṭhanayanidassanaṃ. Tena avijjādīheva kāraṇehi, na issaranimmānādīhīti dasseti. Etassāti yathāvuttassa. Kevalassāti asammissassa, sakalassa vā. Dukkhakkhandhassāti dukkhasamūhassa, na sattassa na sukhasubhādīnaṃ. Samudayoti nibbatti. Hotīti sambhavati.

    ตตฺถ กตมา อวิชฺชา? ทุเกฺข อญฺญาณํ, ทุกฺขสมุทเย อญฺญาณํ, ทุกฺขนิโรเธ อญฺญาณํ, ทุกฺขนิโรธคามินิยา ปฎิปทาย อญฺญาณํ, ปุพฺพเนฺต อญฺญาณํ, อปรเนฺต อญฺญาณํ, ปุพฺพนฺตาปรเนฺต อญฺญาณํ, อิทปฺปจฺจยตาปฎิจฺจสมุปฺปเนฺนสุ ธเมฺมสุ อญฺญาณํฯ กตเม สงฺขารา? ปุญฺญาภิสงฺขาโร, อปุญฺญาภิสงฺขาโร, อาเนญฺชาภิสงฺขาโร, กายสงฺขาโร, วจีสงฺขาโร, จิตฺตสงฺขาโรฯ อฎฺฐ กามาวจรกุสลเจตนา ปญฺจ รูปาวจรกุสลเจตนา ปุญฺญาภิสงฺขาโร, ทฺวาทส อกุสลเจตนา อปุญฺญาภิสงฺขาโร, จตโสฺส อรูปาวจรกุสลเจตนา อาเนญฺชาภิสงฺขาโรฯ กายสเญฺจตนา กายสงฺขาโร, วจีสเญฺจตนา วจีสงฺขาโร, มโนสเญฺจตนา จิตฺตสงฺขาโรฯ

    Tattha katamā avijjā? Dukkhe aññāṇaṃ, dukkhasamudaye aññāṇaṃ, dukkhanirodhe aññāṇaṃ, dukkhanirodhagāminiyā paṭipadāya aññāṇaṃ, pubbante aññāṇaṃ, aparante aññāṇaṃ, pubbantāparante aññāṇaṃ, idappaccayatāpaṭiccasamuppannesu dhammesu aññāṇaṃ. Katame saṅkhārā? Puññābhisaṅkhāro, apuññābhisaṅkhāro, āneñjābhisaṅkhāro, kāyasaṅkhāro, vacīsaṅkhāro, cittasaṅkhāro. Aṭṭha kāmāvacarakusalacetanā pañca rūpāvacarakusalacetanā puññābhisaṅkhāro, dvādasa akusalacetanā apuññābhisaṅkhāro, catasso arūpāvacarakusalacetanā āneñjābhisaṅkhāro. Kāyasañcetanā kāyasaṅkhāro, vacīsañcetanā vacīsaṅkhāro, manosañcetanā cittasaṅkhāro.

    ตตฺถ สิยา – กถํ ปเนตํ ชานิตพฺพํ ‘‘อิเม สงฺขารา อวิชฺชาปจฺจยา โหนฺตี’’ติ? อวิชฺชาภาเว ภาวโตฯ ยสฺส หิ ทุกฺขาทีสุ อวิชฺชาสงฺขาตํ อญฺญาณํ อปฺปหีนํ โหติฯ โส ทุเกฺข ตาว ปุพฺพนฺตาทีสุ จ อญฺญาเณน สํสารทุกฺขํ สุขสญฺญาย คเหตฺวา ตเสฺสว เหตุภูเต ติวิเธปิ สงฺขาเร อารภติฯ สมุทเย อญฺญาเณน ทุกฺขเหตุภูเตปิ ตณฺหาปริกฺขาเร สงฺขาเร สุขเหตุโต มญฺญมาโน อารภติฯ นิโรเธ ปน มเคฺค จ อญฺญาเณน ทุกฺขสฺส อนิโรธภูเตปิ คติวิเสเส ทุกฺขนิโรธสญฺญี หุตฺวา นิโรธสฺส จ อมคฺคภูเตสุปิ ยญฺญามรตปาทีสุ นิโรธมคฺคสญฺญี หุตฺวา ทุกฺขนิโรธํ ปตฺถยมาโน ยญฺญามรตปาทิมุเขน ติวิเธปิ สงฺขาเร อารภติฯ

    Tattha siyā – kathaṃ panetaṃ jānitabbaṃ ‘‘ime saṅkhārā avijjāpaccayā hontī’’ti? Avijjābhāve bhāvato. Yassa hi dukkhādīsu avijjāsaṅkhātaṃ aññāṇaṃ appahīnaṃ hoti. So dukkhe tāva pubbantādīsu ca aññāṇena saṃsāradukkhaṃ sukhasaññāya gahetvā tasseva hetubhūte tividhepi saṅkhāre ārabhati. Samudaye aññāṇena dukkhahetubhūtepi taṇhāparikkhāre saṅkhāre sukhahetuto maññamāno ārabhati. Nirodhe pana magge ca aññāṇena dukkhassa anirodhabhūtepi gativisese dukkhanirodhasaññī hutvā nirodhassa ca amaggabhūtesupi yaññāmaratapādīsu nirodhamaggasaññī hutvā dukkhanirodhaṃ patthayamāno yaññāmaratapādimukhena tividhepi saṅkhāre ārabhati.

    อปิจ โส ตาย จตูสุ สเจฺจสุ อปฺปหีนาวิชฺชตาย วิเสสโต ชาติชราโรคมรณาทิอเนกาทีนวโวกิณฺณมฺปิ ปุญฺญผลสงฺขาตํ ทุกฺขํ ทุกฺขโต อชานโนฺต ตสฺส อธิคมาย กายวจีจิตฺตสงฺขารเภทํ ปุญฺญาภิสงฺขารํ อารภติ เทวจฺฉรกามโก วิย มรุปปาตํฯ สุขสมฺมตสฺสาปิ จ ตสฺส ปุญฺญผลสฺส อเนฺต มหาปริฬาหชนิกํ วิปริณามทุกฺขตํ อปฺปสฺสาทตญฺจ อปสฺสโนฺตปิ ตปฺปจฺจยํ วุตฺตปฺปการเมว ปุญฺญาภิสงฺขารํ อารภติ สลโภ วิย ทีปสิขาภินิปาตํ, มธุพินฺทุคิโทฺธ วิย จ มธุลิตฺตสตฺถธาราเลหนํฯ กามูปเสวนาทีสุ จ สวิปาเกสุ อาทีนวํ อปสฺสโนฺต สุขสญฺญาย เจว กิเลสาภิภูตตาย จ ทฺวารตฺตยปฺปวตฺตมฺปิ อปุญฺญาภิสงฺขารํ อารภติ พาโล วิย คูถกีฬนํ, มริตุกาโม วิย จ วิสขาทนํฯ อารุปฺปวิปาเกสุ จาปิ สงฺขารวิปริณามทุกฺขตํ อนวพุชฺฌมาโน สสฺสตาทิวิปลฺลาเสน จิตฺตสงฺขารภูตํ อาเนญฺชาภิสงฺขารํ อารภติ ทิสามูโฬฺห วิย ปิสาจนคราภิมุขมคฺคคมนํฯ เอวํ ยสฺมา อวิชฺชาภาวโตว สงฺขารภาโว, น อภาวโต, ตสฺมา ชานิตพฺพเมตํ ‘‘อิเม สงฺขารา อวิชฺชาปจฺจยา โหนฺตี’’ติฯ

    Apica so tāya catūsu saccesu appahīnāvijjatāya visesato jātijarārogamaraṇādianekādīnavavokiṇṇampi puññaphalasaṅkhātaṃ dukkhaṃ dukkhato ajānanto tassa adhigamāya kāyavacīcittasaṅkhārabhedaṃ puññābhisaṅkhāraṃ ārabhati devaccharakāmako viya marupapātaṃ. Sukhasammatassāpi ca tassa puññaphalassa ante mahāpariḷāhajanikaṃ vipariṇāmadukkhataṃ appassādatañca apassantopi tappaccayaṃ vuttappakārameva puññābhisaṅkhāraṃ ārabhati salabho viya dīpasikhābhinipātaṃ, madhubindugiddho viya ca madhulittasatthadhārālehanaṃ. Kāmūpasevanādīsu ca savipākesu ādīnavaṃ apassanto sukhasaññāya ceva kilesābhibhūtatāya ca dvārattayappavattampi apuññābhisaṅkhāraṃ ārabhati bālo viya gūthakīḷanaṃ, maritukāmo viya ca visakhādanaṃ. Āruppavipākesu cāpi saṅkhāravipariṇāmadukkhataṃ anavabujjhamāno sassatādivipallāsena cittasaṅkhārabhūtaṃ āneñjābhisaṅkhāraṃ ārabhati disāmūḷho viya pisācanagarābhimukhamaggagamanaṃ. Evaṃ yasmā avijjābhāvatova saṅkhārabhāvo, na abhāvato, tasmā jānitabbametaṃ ‘‘ime saṅkhārā avijjāpaccayā hontī’’ti.

    เอตฺถาห – คณฺหาม ตาว เอตํ ‘‘อวิชฺชา สงฺขารานํ ปจฺจโย’’ติฯ กิํ ปนายเมกาว อวิชฺชา สงฺขารานํ ปจฺจโย, อุทาหุ อเญฺญปิ ปจฺจยา สนฺตีติ? กิํ ปเนตฺถ ยทิ ตาว เอกาว, เอกการณวาโท อาปชฺชติฯ อถ อเญฺญปิ สนฺติ, ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา’’ติ เอกการณนิเทฺทโส นุปปชฺชตีติ? น นุปปชฺชติฯ กสฺมา? ยสฺมา –

    Etthāha – gaṇhāma tāva etaṃ ‘‘avijjā saṅkhārānaṃ paccayo’’ti. Kiṃ panāyamekāva avijjā saṅkhārānaṃ paccayo, udāhu aññepi paccayā santīti? Kiṃ panettha yadi tāva ekāva, ekakāraṇavādo āpajjati. Atha aññepi santi, ‘‘avijjāpaccayā saṅkhārā’’ti ekakāraṇaniddeso nupapajjatīti? Na nupapajjati. Kasmā? Yasmā –

    ‘‘เอกํ น เอกโต อิธ, นาเนกมเนกโตปิ โน เอกํ;

    ‘‘Ekaṃ na ekato idha, nānekamanekatopi no ekaṃ;

    ผลมตฺถิ อตฺถิ ปน เอก-เหตุผลทีปเน อโตฺถ’’ฯ

    Phalamatthi atthi pana eka-hetuphaladīpane attho’’.

    ภควา หิ กตฺถจิ ปธานตฺตา กตฺถจิ ปากฎตฺตา กตฺถจิ อสาธารณตฺตา เทสนาวิลาสสฺส จ เวเนยฺยานญฺจ อนุรูปโต เอกเมว เหตุญฺจ ผลญฺจ ทีเปติฯ ตสฺมา อยมิธ อวิชฺชา วิชฺชมาเนสุปิ อเญฺญสุ วตฺถารมฺมณสหชาตธมฺมาทีสุ สงฺขารการเณสุ ‘‘อสฺสาทานุปสฺสิโน ตณฺหา ปวฑฺฒตี’’ติ (สํ. นิ. ๒.๕๒) จ, ‘‘อวิชฺชาสมุทยา อาสวสมุทโย’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๐๔) จ วจนโต อเญฺญสมฺปิ ตณฺหาทีนํ สงฺขารเหตูนํ เหตูติ ปธานตฺตา, ‘‘อวิทฺวา, ภิกฺขเว, อวิชฺชาคโต ปุญฺญาภิสงฺขารมฺปิ อภิสงฺขโรตี’’ติ ปากฎตฺตา, อสาธารณตฺตา จ สงฺขารานํ เหตุภาเวน ทีปิตาติ เวทิตพฺพาฯ เอเตเนว จ เอเกกเหตุผลทีปนปริหารวจเนน สพฺพตฺถ เอเกกเหตุผลทีปเน ปโยชนํ เวทิตพฺพนฺติฯ

    Bhagavā hi katthaci padhānattā katthaci pākaṭattā katthaci asādhāraṇattā desanāvilāsassa ca veneyyānañca anurūpato ekameva hetuñca phalañca dīpeti. Tasmā ayamidha avijjā vijjamānesupi aññesu vatthārammaṇasahajātadhammādīsu saṅkhārakāraṇesu ‘‘assādānupassino taṇhā pavaḍḍhatī’’ti (saṃ. ni. 2.52) ca, ‘‘avijjāsamudayā āsavasamudayo’’ti (ma. ni. 1.104) ca vacanato aññesampi taṇhādīnaṃ saṅkhārahetūnaṃ hetūti padhānattā, ‘‘avidvā, bhikkhave, avijjāgato puññābhisaṅkhārampi abhisaṅkharotī’’ti pākaṭattā, asādhāraṇattā ca saṅkhārānaṃ hetubhāvena dīpitāti veditabbā. Eteneva ca ekekahetuphaladīpanaparihāravacanena sabbattha ekekahetuphaladīpane payojanaṃ veditabbanti.

    เอตฺถาห – เอวํ สเนฺตปิ เอกนฺตานิฎฺฐผลาย สาวชฺชาย อวิชฺชาย กถํ ปุญฺญาเนญฺชาภิสงฺขารปจฺจยตฺตํ ยุชฺชติ? น หิ นิมฺพพีชโต อุจฺฉุ อุปฺปชฺชตีติฯ กถํ น ยุชฺชิสฺสติ? โลกสฺมิญฺหิ –

    Etthāha – evaṃ santepi ekantāniṭṭhaphalāya sāvajjāya avijjāya kathaṃ puññāneñjābhisaṅkhārapaccayattaṃ yujjati? Na hi nimbabījato ucchu uppajjatīti. Kathaṃ na yujjissati? Lokasmiñhi –

    ‘‘วิรุโทฺธ จาวิรุโทฺธ จ, สทิสาสทิโส ตถา;

    ‘‘Viruddho cāviruddho ca, sadisāsadiso tathā;

    ธมฺมานํ ปจฺจโย สิโทฺธ, วิปากา เอว เต จ น’’ฯ

    Dhammānaṃ paccayo siddho, vipākā eva te ca na’’.

    อิติ อยํ อวิชฺชา วิปากวเสน เอกนฺตานิฎฺฐผลา, สภาววเสน จ สาวชฺชาปิ สมานา สเพฺพสมฺปิ เอเตสํ ปุญฺญาภิสงฺขาราทีนํ ยถานุรูปํ ฐานกิจฺจสภาววิรุทฺธาวิรุทฺธปจฺจยวเสน สทิสาสทิสปจฺจยวเสน จ ปจฺจโย โหตีติ เวทิตพฺพาฯ

    Iti ayaṃ avijjā vipākavasena ekantāniṭṭhaphalā, sabhāvavasena ca sāvajjāpi samānā sabbesampi etesaṃ puññābhisaṅkhārādīnaṃ yathānurūpaṃ ṭhānakiccasabhāvaviruddhāviruddhapaccayavasena sadisāsadisapaccayavasena ca paccayo hotīti veditabbā.

    อปิจ –

    Apica –

    ‘‘จุตูปปาเต สํสาเร, สงฺขารานญฺจ ลกฺขเณ;

    ‘‘Cutūpapāte saṃsāre, saṅkhārānañca lakkhaṇe;

    โย ปฎิจฺจสมุปฺปนฺน-ธเมฺมสุ จ วิมุยฺหติฯ

    Yo paṭiccasamuppanna-dhammesu ca vimuyhati.

    ‘‘อภิสงฺขโรติ โส เอเต, สงฺขาเร ติวิเธ ยโต;

    ‘‘Abhisaṅkharoti so ete, saṅkhāre tividhe yato;

    อวิชฺชา ปจฺจโย เตสํ, ติวิธานํ อยํ ตโตฯ

    Avijjā paccayo tesaṃ, tividhānaṃ ayaṃ tato.

    ‘‘ยถาปิ นาม ชจฺจโนฺธ, นโร อปริณายโก;

    ‘‘Yathāpi nāma jaccandho, naro apariṇāyako;

    เอกทา ยาติ มเคฺคน, อุมฺมเคฺคนาปิ เอกทาฯ

    Ekadā yāti maggena, ummaggenāpi ekadā.

    ‘‘สํสาเร สํสรํ พาโล, ตถา อปริณายโก;

    ‘‘Saṃsāre saṃsaraṃ bālo, tathā apariṇāyako;

    กโรติ เอกทา ปุญฺญํ, อปุญฺญมปิ เอกทาฯ

    Karoti ekadā puññaṃ, apuññamapi ekadā.

    ‘‘ยทา จ ญตฺวา โส ธมฺมํ, สจฺจานิ อภิสเมสฺสติ;

    ‘‘Yadā ca ñatvā so dhammaṃ, saccāni abhisamessati;

    ตทา อวิชฺชูปสมา, อุปสโนฺต จริสฺสตี’’ติฯ

    Tadā avijjūpasamā, upasanto carissatī’’ti.

    สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณนฺติ ฉ วิญฺญาณกายา จกฺขุวิญฺญาณํ โสตวิญฺญาณํ ฆานวิญฺญาณํ ชิวฺหาวิญฺญาณํ กายวิญฺญาณํ มโนวิญฺญาณํฯ ตตฺถ จกฺขุวิญฺญาณํ กุสลวิปากํ อกุสลวิปากนฺติ ทุวิธํฯ ตถา โสตฆานชิวฺหากายวิญฺญาณานิฯ มโนวิญฺญาณํ เทฺว วิปากมโนธาตุโย, ติโสฺส อเหตุกมโนวิญฺญาณธาตุโย, อฎฺฐ สเหตุกวิปากจิตฺตานิ, ปญฺจ รูปาวจรานิ, จตฺตาริ อรูปาวจรานีติ พาวีสติวิธํฯ อิติ สพฺพานิ พาตฺติํส โลกิยวิปากวิญฺญาณานิฯ

    Saṅkhārapaccayāviññāṇanti cha viññāṇakāyā cakkhuviññāṇaṃ sotaviññāṇaṃ ghānaviññāṇaṃ jivhāviññāṇaṃ kāyaviññāṇaṃ manoviññāṇaṃ. Tattha cakkhuviññāṇaṃ kusalavipākaṃ akusalavipākanti duvidhaṃ. Tathā sotaghānajivhākāyaviññāṇāni. Manoviññāṇaṃ dve vipākamanodhātuyo, tisso ahetukamanoviññāṇadhātuyo, aṭṭha sahetukavipākacittāni, pañca rūpāvacarāni, cattāri arūpāvacarānīti bāvīsatividhaṃ. Iti sabbāni bāttiṃsa lokiyavipākaviññāṇāni.

    ตตฺถ สิยา – กถํ ปเนตํ ชานิตพฺพํ ‘‘อิทํ วุตฺตปฺปการํ วิญฺญาณํ สงฺขารปจฺจยา โหตี’’ติ? อุปจิตกมฺมาภาเว วิปากาภาวโตฯ วิปากเญฺหตํ, วิปากญฺจ น อุปจิตกมฺมาภาเว อุปฺปชฺชติฯ ยทิ อุปฺปเชฺชยฺย, สเพฺพสํ สพฺพวิปากานิ อุปฺปเชฺชยฺยุํ, น จ อุปฺปชฺชนฺตีติ ชานิตพฺพเมตํ ‘‘สงฺขารปจฺจยา อิทํ วิญฺญาณํ โหตี’’ติฯ สพฺพเมว หิ อิทํ ปวตฺติปฎิสนฺธิวเสน เทฺวธา ปวตฺตติฯ ตตฺถ เทฺว ปญฺจวิญฺญาณานิ เทฺว มโนธาตุโย โสมนสฺสสหคตาเหตุกมโนวิญฺญาณธาตูติ อิมานิ เตรส ปญฺจโวการภเว ปวตฺติยํเยว ปวตฺตนฺติ, เสสานิ เอกูนวีสติ ตีสุ ภเวสุ ยถานุรูปํ ปวตฺติยมฺปิ ปฎิสนฺธิยมฺปิ ปวตฺตนฺติฯ

    Tattha siyā – kathaṃ panetaṃ jānitabbaṃ ‘‘idaṃ vuttappakāraṃ viññāṇaṃ saṅkhārapaccayā hotī’’ti? Upacitakammābhāve vipākābhāvato. Vipākañhetaṃ, vipākañca na upacitakammābhāve uppajjati. Yadi uppajjeyya, sabbesaṃ sabbavipākāni uppajjeyyuṃ, na ca uppajjantīti jānitabbametaṃ ‘‘saṅkhārapaccayā idaṃ viññāṇaṃ hotī’’ti. Sabbameva hi idaṃ pavattipaṭisandhivasena dvedhā pavattati. Tattha dve pañcaviññāṇāni dve manodhātuyo somanassasahagatāhetukamanoviññāṇadhātūti imāni terasa pañcavokārabhave pavattiyaṃyeva pavattanti, sesāni ekūnavīsati tīsu bhavesu yathānurūpaṃ pavattiyampi paṭisandhiyampi pavattanti.

    ‘‘ลทฺธปฺปจฺจยมิติ ธมฺมมตฺตเมตํ ภวนฺตรมุเปติ;

    ‘‘Laddhappaccayamiti dhammamattametaṃ bhavantaramupeti;

    นาสฺส ตโต สงฺกนฺติ, น ตโต เหตุํ วินา โหติ’’ฯ

    Nāssa tato saṅkanti, na tato hetuṃ vinā hoti’’.

    อิติ เหตํ ลทฺธปฺปจฺจยํ รูปารูปธมฺมมตฺตํ อุปฺปชฺชมานํ ภวนฺตรมุเปตีติ วุจฺจติ, น สโตฺต, น ชีโวฯ ตสฺส จ นาปิ อตีตภวโต อิธ สงฺกนฺติ อตฺถิ, นาปิ ตโต เหตุํ วินา อิธ ปาตุภาโวฯ เอตฺถ จ ปุริมํ จวนโต จุติ, ปจฺฉิมํ ภวนฺตราทิปฎิสนฺธานโต ปฎิสนฺธีติ วุจฺจติฯ

    Iti hetaṃ laddhappaccayaṃ rūpārūpadhammamattaṃ uppajjamānaṃ bhavantaramupetīti vuccati, na satto, na jīvo. Tassa ca nāpi atītabhavato idha saṅkanti atthi, nāpi tato hetuṃ vinā idha pātubhāvo. Ettha ca purimaṃ cavanato cuti, pacchimaṃ bhavantarādipaṭisandhānato paṭisandhīti vuccati.

    เอตฺถาห – นนุ เอวํ อสงฺกนฺติปาตุภาเว สติ เย อิมสฺมิํ มนุสฺสตฺตภาเว ขนฺธา, เตสํ นิรุทฺธตฺตา, ผลปฺปจฺจยสฺส จ กมฺมสฺส ตตฺถ อคมนโต, อญฺญสฺส อญฺญโต จ ตํ ผลํ สิยา ฯ อุปภุญฺชเก จ อสติ กสฺส ตํ ผลํ สิยาฯ ตสฺมา น สุนฺทรมิทํ วิธานนฺติฯ ตตฺริทํ วุจฺจติ –

    Etthāha – nanu evaṃ asaṅkantipātubhāve sati ye imasmiṃ manussattabhāve khandhā, tesaṃ niruddhattā, phalappaccayassa ca kammassa tattha agamanato, aññassa aññato ca taṃ phalaṃ siyā . Upabhuñjake ca asati kassa taṃ phalaṃ siyā. Tasmā na sundaramidaṃ vidhānanti. Tatridaṃ vuccati –

    ‘‘สนฺตาเน ยํ ผลํ เอตํ, นาญฺญสฺส น จ อญฺญโต;

    ‘‘Santāne yaṃ phalaṃ etaṃ, nāññassa na ca aññato;

    พีชานํ อภิสงฺขาโร, เอตสฺสตฺถสฺส สาธโกฯ

    Bījānaṃ abhisaṅkhāro, etassatthassa sādhako.

    ‘‘ผลสฺสุปฺปตฺติยา เอว, สิทฺธา ภุญฺชกสมฺมุติ;

    ‘‘Phalassuppattiyā eva, siddhā bhuñjakasammuti;

    ผลุปฺปาเทน รุกฺขสฺส, ยถา ผลติ สมฺมุตี’’ติฯ

    Phaluppādena rukkhassa, yathā phalati sammutī’’ti.

    โยปิ วเทยฺย ‘‘เอวํ สเนฺตปิ เอเต สงฺขารา วิชฺชมานา วา ผลสฺส ปจฺจยา สิยุํ อวิชฺชมานา วาฯ ยทิ จ วิชฺชมานา, ปวตฺติกฺขเณเยว เนสํ วิปาเกน ภวิตพฺพํฯ อถาปิ อวิชฺชมานา, ปวตฺติโต ปุเพฺพ ปจฺฉา จ นิจฺจํ ผลาวหา สิยุ’’นฺติฯ โส เอวํ วตฺตโพฺพ –

    Yopi vadeyya ‘‘evaṃ santepi ete saṅkhārā vijjamānā vā phalassa paccayā siyuṃ avijjamānā vā. Yadi ca vijjamānā, pavattikkhaṇeyeva nesaṃ vipākena bhavitabbaṃ. Athāpi avijjamānā, pavattito pubbe pacchā ca niccaṃ phalāvahā siyu’’nti. So evaṃ vattabbo –

    ‘‘กตตฺตา ปจฺจยา เอเต, น จ นิจฺจํ ผลาวหา;

    ‘‘Katattā paccayā ete, na ca niccaṃ phalāvahā;

    ปาฎิโภคาทิกํ ตตฺถ, เวทิตพฺพํ นิทสฺสน’’นฺติฯ

    Pāṭibhogādikaṃ tattha, veditabbaṃ nidassana’’nti.

    วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปนฺติ อิธ เวทนา สญฺญา สงฺขารกฺขนฺธา นามํ, จตฺตาริ จ มหาภูตานิ จตุนฺนญฺจ มหาภูตานํ อุปาทายรูปํ รูปํฯ อภาวกคพฺภเสยฺยกานํ อณฺฑชานญฺจ ปฎิสนฺธิกฺขเณ วตฺถุทสกํ กายทสกนฺติ วีสติ รูปานิ, ตโย จ อรูปิโน ขนฺธาติ เอเต เตวีสติ ธมฺมา วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปนฺติ เวทิตพฺพาฯ สภาวกานํ ภาวทสกํ ปกฺขิปิตฺวา เตตฺติํส, โอปปาติกสเตฺตสุ พฺรหฺมกายิกาทีนํ ปฎิสนฺธิกฺขเณ จกฺขุโสตวตฺถุทสกานิ ชีวิตินฺทฺริยนวกญฺจาติ เอกูนจตฺตาลีส รูปานิ, ตโย จ อรูปิโน ขนฺธาติ เอเต ทฺวาจตฺตาลีส ธมฺมา วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํฯ กามภเว ปน เสสโอปปาติกานํ สํเสทชานํ วา สภาวกปริปุณฺณายตนานํ ปฎิสนฺธิกฺขเณ จกฺขุโสตฆานชิวฺหากายวตฺถุภาวทสกานีติ สตฺตติ รูปานิ, ตโย จ อรูปิโน ขนฺธาติ เอเต เตสตฺตติ ธมฺมา วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํฯ เอส อุกฺกํโสฯ อวกํเสน ปน ตํตํทสกวิกลานํ ตสฺส ตสฺส วเสน หาเปตฺวา หาเปตฺวา ปฎิสนฺธิยํ วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปสงฺขา เวทิตพฺพาฯ อรูปีนํ ปน ตโยว อรูปิโน ขนฺธา, อสญฺญานํ รูปโต ชีวิตินฺทฺริยนวกเมวาติฯ เอส ตาว ปฎิสนฺธิยํ นโยฯ

    Viññāṇapaccayānāmarūpanti idha vedanā saññā saṅkhārakkhandhā nāmaṃ, cattāri ca mahābhūtāni catunnañca mahābhūtānaṃ upādāyarūpaṃ rūpaṃ. Abhāvakagabbhaseyyakānaṃ aṇḍajānañca paṭisandhikkhaṇe vatthudasakaṃ kāyadasakanti vīsati rūpāni, tayo ca arūpino khandhāti ete tevīsati dhammā viññāṇapaccayā nāmarūpanti veditabbā. Sabhāvakānaṃ bhāvadasakaṃ pakkhipitvā tettiṃsa, opapātikasattesu brahmakāyikādīnaṃ paṭisandhikkhaṇe cakkhusotavatthudasakāni jīvitindriyanavakañcāti ekūnacattālīsa rūpāni, tayo ca arūpino khandhāti ete dvācattālīsa dhammā viññāṇapaccayā nāmarūpaṃ. Kāmabhave pana sesaopapātikānaṃ saṃsedajānaṃ vā sabhāvakaparipuṇṇāyatanānaṃ paṭisandhikkhaṇe cakkhusotaghānajivhākāyavatthubhāvadasakānīti sattati rūpāni, tayo ca arūpino khandhāti ete tesattati dhammā viññāṇapaccayā nāmarūpaṃ. Esa ukkaṃso. Avakaṃsena pana taṃtaṃdasakavikalānaṃ tassa tassa vasena hāpetvā hāpetvā paṭisandhiyaṃ viññāṇapaccayā nāmarūpasaṅkhā veditabbā. Arūpīnaṃ pana tayova arūpino khandhā, asaññānaṃ rūpato jīvitindriyanavakamevāti. Esa tāva paṭisandhiyaṃ nayo.

    ตตฺถ สิยา – กถํ ปเนตํ ชานิตพฺพํ ‘‘ปฎิสนฺธินามรูปํ วิญฺญาณปจฺจยา โหตี’’ติ? สุตฺตโต ยุตฺติโต จฯ สุเตฺต หิ ‘‘จิตฺตานุปริวตฺติโน ธมฺมา’’ติอาทินา (ธ. ส. ทุกมาติกา ๖๒) นเยน พหุธา เวทนาทีนํ วิญฺญาณปจฺจยตา สิทฺธาฯ ยุตฺติโต ปน –

    Tattha siyā – kathaṃ panetaṃ jānitabbaṃ ‘‘paṭisandhināmarūpaṃ viññāṇapaccayā hotī’’ti? Suttato yuttito ca. Sutte hi ‘‘cittānuparivattino dhammā’’tiādinā (dha. sa. dukamātikā 62) nayena bahudhā vedanādīnaṃ viññāṇapaccayatā siddhā. Yuttito pana –

    จิตฺตเชน หิ รูเปน, อิธ ทิเฎฺฐน สิชฺฌติ;

    Cittajena hi rūpena, idha diṭṭhena sijjhati;

    อทิฎฺฐสฺสาปิ รูปสฺส, วิญฺญาณํ ปจฺจโย อิติฯ

    Adiṭṭhassāpi rūpassa, viññāṇaṃ paccayo iti.

    นามรูปปจฺจยา สฬายตนนฺติ นามํ วุตฺตเมวฯ อิธ ปน รูปํ นิยมโต จตฺตาริ ภูตานิ ฉ วตฺถูนิ ชีวิตินฺทฺริยนฺติ เอกาทสวิธํฯ สฬายตนํ – จกฺขายตนํ, โสตายตนํ, ฆานายตนํ, ชิวฺหายตนํ, กายายตนํ, มนายตนํฯ

    Nāmarūpapaccayāsaḷāyatananti nāmaṃ vuttameva. Idha pana rūpaṃ niyamato cattāri bhūtāni cha vatthūni jīvitindriyanti ekādasavidhaṃ. Saḷāyatanaṃ – cakkhāyatanaṃ, sotāyatanaṃ, ghānāyatanaṃ, jivhāyatanaṃ, kāyāyatanaṃ, manāyatanaṃ.

    ตตฺถ สิยา – กถํ ปเนตํ ชานิตพฺพํ ‘‘นามรูปํ สฬายตนสฺส ปจฺจโย’’ติ? นามรูปภาเว ภาวโตฯ ตสฺส ตสฺส หิ นามสฺส รูปสฺส จ ภาเว ตํ ตํ อายตนํ โหติ, น อญฺญถาติฯ

    Tattha siyā – kathaṃ panetaṃ jānitabbaṃ ‘‘nāmarūpaṃ saḷāyatanassa paccayo’’ti? Nāmarūpabhāve bhāvato. Tassa tassa hi nāmassa rūpassa ca bhāve taṃ taṃ āyatanaṃ hoti, na aññathāti.

    สฬายตนปจฺจยา ผโสฺสติ –

    Saḷāyatanapaccayā phassoti –

    ‘‘ฉเฬว ผสฺสา สเงฺขปา, จกฺขุสมฺผสฺสอาทโย;

    ‘‘Chaḷeva phassā saṅkhepā, cakkhusamphassaādayo;

    วิญฺญาณมิว พาตฺติํส, วิตฺถาเรน ภวนฺติ เต’’ฯ

    Viññāṇamiva bāttiṃsa, vitthārena bhavanti te’’.

    ผสฺสปจฺจยา เวทนาติ –

    Phassapaccayā vedanāti –

    ‘‘ทฺวารโต เวทนา วุตฺตา, จกฺขุสมฺผสฺสชาทิกา;

    ‘‘Dvārato vedanā vuttā, cakkhusamphassajādikā;

    ฉเฬว ตา ปเภเทน, อิธ พาตฺติํส เวทนา’’ฯ

    Chaḷeva tā pabhedena, idha bāttiṃsa vedanā’’.

    เวทนาปจฺจยา ตณฺหาติ –

    Vedanāpaccayā taṇhāti –

    ‘‘รูปตณฺหาทิเภเทน, ฉ ตณฺหา อิธ ทีปิตา;

    ‘‘Rūpataṇhādibhedena, cha taṇhā idha dīpitā;

    เอเกกา ติวิธา ตตฺถ, ปวตฺตาการโต มตาฯ

    Ekekā tividhā tattha, pavattākārato matā.

    ‘‘ทุกฺขี สุขํ ปตฺถยติ, สุขี ภิโยฺยปิ อิจฺฉติ;

    ‘‘Dukkhī sukhaṃ patthayati, sukhī bhiyyopi icchati;

    อุเปกฺขา ปน สนฺตตฺตา, สุขมิเจฺจว ภาสิตาฯ

    Upekkhā pana santattā, sukhamicceva bhāsitā.

    ‘‘ตณฺหาย ปจฺจยา ตสฺมา, โหนฺติ ติโสฺสปิ เวทนา;

    ‘‘Taṇhāya paccayā tasmā, honti tissopi vedanā;

    เวทนาปจฺจยา ตณฺหา, อิติ วุตฺตา มเหสินา’’ฯ

    Vedanāpaccayā taṇhā, iti vuttā mahesinā’’.

    ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานนฺติ จตฺตาริ อุปาทานานิ – กามุปาทานํ, ทิฎฺฐุปาทานํ, สีลพฺพตุปาทานํ, อตฺตวาทุปาทานํฯ อุปาทานปจฺจยา ภโวติ อิธ กมฺมภโว อธิเปฺปโตฯ อุปปตฺติภโว ปน ปทุทฺธารวเสน วุโตฺตฯ ภวปจฺจยา ชาตีติ กมฺมภวปจฺจยา ปฎิสนฺธิขนฺธานํ ปาตุภาโวฯ

    Taṇhāpaccayā upādānanti cattāri upādānāni – kāmupādānaṃ, diṭṭhupādānaṃ, sīlabbatupādānaṃ, attavādupādānaṃ. Upādānapaccayā bhavoti idha kammabhavo adhippeto. Upapattibhavo pana paduddhāravasena vutto. Bhavapaccayā jātīti kammabhavapaccayā paṭisandhikhandhānaṃ pātubhāvo.

    ตตฺถ สิยา – กถํ ปเนตํ ชานิตพฺพํ ‘‘ภโว ชาติยา ปจฺจโย’’ติ เจ? พาหิรปจฺจยสมเตฺตปิ หีนปณีตาทิวิเสสทสฺสนโตฯ พาหิรานญฺหิ ชนกชนนิสุกฺกโสณิตาหาราทีนํ ปจฺจยานํ สมเตฺตปิ สตฺตานํ ยมกานมฺปิ สตํ หีนปฺปณีตตาทิวิเสโส ทิสฺสติฯ โส จ น อเหตุโก สพฺพทา จ สเพฺพสญฺจ อภาวโต, น กมฺมภวโต อญฺญเหตุโก ตทภินิพฺพตฺตกสตฺตานํ อชฺฌตฺตสนฺตาเน อญฺญสฺส การณสฺส อภาวโตติ กมฺมภวเหตุโกเยวฯ กมฺมญฺหิ สตฺตานํ หีนปฺปณีตตาทิวิเสสสฺส เหตุฯ เตนาห ภควา – ‘‘กมฺมํ สเตฺต วิภชติ, ยทิทํ หีนปฺปณีตตายา’’ติ (ม. นิ. ๓.๒๘๙)ฯ

    Tattha siyā – kathaṃ panetaṃ jānitabbaṃ ‘‘bhavo jātiyā paccayo’’ti ce? Bāhirapaccayasamattepi hīnapaṇītādivisesadassanato. Bāhirānañhi janakajananisukkasoṇitāhārādīnaṃ paccayānaṃ samattepi sattānaṃ yamakānampi sataṃ hīnappaṇītatādiviseso dissati. So ca na ahetuko sabbadā ca sabbesañca abhāvato, na kammabhavato aññahetuko tadabhinibbattakasattānaṃ ajjhattasantāne aññassa kāraṇassa abhāvatoti kammabhavahetukoyeva. Kammañhi sattānaṃ hīnappaṇītatādivisesassa hetu. Tenāha bhagavā – ‘‘kammaṃ satte vibhajati, yadidaṃ hīnappaṇītatāyā’’ti (ma. ni. 3.289).

    ชาติปจฺจยา ชรามรณนฺติอาทีสุ ยสฺมา อสติ ชาติยา ชรามรณํ นาม โสกาทโย วา ธมฺมา น โหนฺติ, ชาติยา ปน สติ ชรามรณเญฺจว ชรามรณสงฺขาตทุกฺขธมฺมผุฎฺฐสฺส จ พาลสฺส ชรามรณาภิสมฺพนฺธา วา เตน เตน ทุกฺขธเมฺมน ผุฎฺฐสฺส อนภิสมฺพนฺธา วา โสกาทโย จ ธมฺมา โหนฺติ, ตสฺมา อยํ ชาติ ชรามรณสฺส เจว โสกาทีนญฺจ ปจฺจโย โหตีติ เวทิตพฺพาฯ

    Jātipaccayā jarāmaraṇantiādīsu yasmā asati jātiyā jarāmaraṇaṃ nāma sokādayo vā dhammā na honti, jātiyā pana sati jarāmaraṇañceva jarāmaraṇasaṅkhātadukkhadhammaphuṭṭhassa ca bālassa jarāmaraṇābhisambandhā vā tena tena dukkhadhammena phuṭṭhassa anabhisambandhā vā sokādayo ca dhammā honti, tasmā ayaṃ jāti jarāmaraṇassa ceva sokādīnañca paccayo hotīti veditabbā.

    โส ตถาภาวิเตน จิเตฺตนาติอาทีสุ ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณายาติ เอตสฺส ญาณสฺส อธิคมาย, ปตฺติยาติ วุตฺตํ โหติฯ อเนกวิหิตนฺติ อเนกวิธํ นานปฺปการํ, อเนเกหิ วา ปกาเรหิ ปวตฺติตํ, สํวณฺณิตนฺติ อโตฺถฯ ปุเพฺพนิวาสนฺติ สมนนฺตราตีตํ ภวํ อาทิํ กตฺวา ตตฺถ ตตฺถ นิวุตฺถสนฺตานํฯ อนุสฺสรตีติ ขนฺธปฎิปาฎิวเสน จุติปฎิสนฺธิวเสน วา อนุคนฺตฺวา อนุคนฺตฺวา สรติฯ อิมญฺหิ ปุเพฺพนิวาสํ ฉ ชนา อนุสฺสรนฺติ ติตฺถิยา ปกติสาวกา มหาสาวกา อคฺคสาวกา ปเจฺจกพุทฺธา พุทฺธาติฯ ตตฺถ ติตฺถิยา จตฺตาลีสํเยว กเปฺป อนุสฺสรนฺติ , น ตโต ปรํฯ กสฺมา? ทุพฺพลปญฺญตฺตาฯ เตสญฺหิ นามรูปปริเจฺฉทวิรหิตตฺตา ทุพฺพลา ปญฺญา โหติฯ ปกติสาวกา กปฺปสตมฺปิ กปฺปสหสฺสมฺปิ อนุสฺสรนฺติเยว พลวปญฺญตฺตาฯ อสีติ มหาสาวกา สตสหสฺสกเปฺป อนุสฺสรนฺติฯ เทฺว อคฺคสาวกา เอกมสเงฺขยฺยํ กปฺปสตสหสฺสญฺจฯ ปเจฺจกพุทฺธา เทฺว อสเงฺขยฺยานิ สตสหสฺสญฺจฯ เอตฺตโก หิ เตสํ อภินีหาโรฯ พุทฺธานํ ปน ปริเจฺฉโท นาม นตฺถิฯ ติตฺถิยา จ ขนฺธปฎิปาฎิเมว สรนฺติ, ปฎิปาฎิํ มุญฺจิตฺวา จุติปฎิสนฺธิวเสน สริตุํ น สโกฺกนฺติฯ ยถา อนฺธา ยฎฺฐิํ อมุญฺจิตฺวาว คจฺฉนฺติ, เอวํ เต ขนฺธปฎิปาฎิํ อมุญฺจิตฺวาว สรนฺติฯ ปกติสาวกา ขนฺธปฎิปาฎิยาปิ อนุสฺสรนฺติ, จุติปฎิสนฺธิวเสนาปิ สงฺกมนฺติ, ตถา อสีติ มหาสาวกาฯ ทฺวินฺนํ ปน อคฺคสาวกานํ ขนฺธปฎิปาฎิกิจฺจํ นตฺถิฯ เอกสฺส อตฺตภาวสฺส จุติํ ทิสฺวา ปฎิสนฺธิํ ปสฺสนฺติ, ปุน อปรสฺส จุติํ ทิสฺวา ปฎิสนฺธินฺติ เอวํ จุติปฎิสนฺธิวเสเนว สงฺกมนฺตา คจฺฉนฺติ, ตถา ปเจฺจกพุทฺธาฯ พุทฺธานํ ปน เนว ขนฺธปฎิปาฎิกิจฺจํ, น จุติปฎิสนฺธิวเสน สงฺกมนกิจฺจํ อตฺถิฯ เตสญฺหิ อเนกาสุ กปฺปโกฎีสุ เหฎฺฐา วา อุปริ วา ยํ ยํ ฐานํ อิจฺฉนฺติ, ตํ ตํ ปากฎเมว โหติฯ ตสฺมา อเนกาปิ กปฺปโกฎิโย สงฺขิปิตฺวา ยํ ยํ อิจฺฉนฺติ, ตตฺถ ตเตฺถว โอกฺกมนฺตา สีโหกฺกนฺตวเสน คจฺฉนฺติฯ เอวํ คจฺฉนฺตานญฺจ เนสํ ญาณํ อนฺตรนฺตราสุ ชาตีสุ อสชฺชมานํ อิจฺฉิติจฺฉิตฎฺฐานเมว คณฺหาติฯ

    So tathābhāvitena cittenātiādīsu pubbenivāsānussatiñāṇāyāti etassa ñāṇassa adhigamāya, pattiyāti vuttaṃ hoti. Anekavihitanti anekavidhaṃ nānappakāraṃ, anekehi vā pakārehi pavattitaṃ, saṃvaṇṇitanti attho. Pubbenivāsanti samanantarātītaṃ bhavaṃ ādiṃ katvā tattha tattha nivutthasantānaṃ. Anussaratīti khandhapaṭipāṭivasena cutipaṭisandhivasena vā anugantvā anugantvā sarati. Imañhi pubbenivāsaṃ cha janā anussaranti titthiyā pakatisāvakā mahāsāvakā aggasāvakā paccekabuddhā buddhāti. Tattha titthiyā cattālīsaṃyeva kappe anussaranti , na tato paraṃ. Kasmā? Dubbalapaññattā. Tesañhi nāmarūpaparicchedavirahitattā dubbalā paññā hoti. Pakatisāvakā kappasatampi kappasahassampi anussarantiyeva balavapaññattā. Asīti mahāsāvakā satasahassakappe anussaranti. Dve aggasāvakā ekamasaṅkheyyaṃ kappasatasahassañca. Paccekabuddhā dve asaṅkheyyāni satasahassañca. Ettako hi tesaṃ abhinīhāro. Buddhānaṃ pana paricchedo nāma natthi. Titthiyā ca khandhapaṭipāṭimeva saranti, paṭipāṭiṃ muñcitvā cutipaṭisandhivasena sarituṃ na sakkonti. Yathā andhā yaṭṭhiṃ amuñcitvāva gacchanti, evaṃ te khandhapaṭipāṭiṃ amuñcitvāva saranti. Pakatisāvakā khandhapaṭipāṭiyāpi anussaranti, cutipaṭisandhivasenāpi saṅkamanti, tathā asīti mahāsāvakā. Dvinnaṃ pana aggasāvakānaṃ khandhapaṭipāṭikiccaṃ natthi. Ekassa attabhāvassa cutiṃ disvā paṭisandhiṃ passanti, puna aparassa cutiṃ disvā paṭisandhinti evaṃ cutipaṭisandhivaseneva saṅkamantā gacchanti, tathā paccekabuddhā. Buddhānaṃ pana neva khandhapaṭipāṭikiccaṃ, na cutipaṭisandhivasena saṅkamanakiccaṃ atthi. Tesañhi anekāsu kappakoṭīsu heṭṭhā vā upari vā yaṃ yaṃ ṭhānaṃ icchanti, taṃ taṃ pākaṭameva hoti. Tasmā anekāpi kappakoṭiyo saṅkhipitvā yaṃ yaṃ icchanti, tattha tattheva okkamantā sīhokkantavasena gacchanti. Evaṃ gacchantānañca nesaṃ ñāṇaṃ antarantarāsu jātīsu asajjamānaṃ icchiticchitaṭṭhānameva gaṇhāti.

    อิเมสุ ปน ฉสุ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรเนฺตสุ ติตฺถิยานํ ปุเพฺพนิวาสทสฺสนํ ขโชฺชปนกปฺปภาสทิสํ หุตฺวา อุปฎฺฐาติ, ปกติสาวกานํ ทีปปฺปภาสทิสํ, มหาสาวกานํ อุกฺกาปภาสทิสํ, อคฺคสาวกานํ โอสธิตารกาปภาสทิสํ, ปเจฺจกพุทฺธานํ จนฺทปฺปภาสทิสํฯ พุทฺธานํ รสฺมิสหสฺสปฎิมณฺฑิตสรทสูริยมณฺฑลสทิสํ หุตฺวา อุปฎฺฐาติฯ ติตฺถิยานํ ปุเพฺพนิวาสานุสฺสรณํ อนฺธานํ ยฎฺฐิโกฎิคมนํ วิย โหติฯ ปกติสาวกานํ ทณฺฑกเสตุคมนํ วิย, มหาสาวกานํ ชงฺฆเสตุคมนํ วิย, อคฺคสาวกานํ สกฎเสตุคมนํ วิย, ปเจฺจกพุทฺธานํ ชงฺฆมคฺคคมนํ วิย, พุทฺธานํ มหาสกฎมคฺคคมนํ วิย โหติฯ อิมสฺมิํ ปน อธิกาเร สาวกานํ ปุเพฺพนิวาสานุสฺสรณํ อธิเปฺปตํฯ

    Imesu pana chasu pubbenivāsaṃ anussarantesu titthiyānaṃ pubbenivāsadassanaṃ khajjopanakappabhāsadisaṃ hutvā upaṭṭhāti, pakatisāvakānaṃ dīpappabhāsadisaṃ, mahāsāvakānaṃ ukkāpabhāsadisaṃ, aggasāvakānaṃ osadhitārakāpabhāsadisaṃ, paccekabuddhānaṃ candappabhāsadisaṃ. Buddhānaṃ rasmisahassapaṭimaṇḍitasaradasūriyamaṇḍalasadisaṃ hutvā upaṭṭhāti. Titthiyānaṃ pubbenivāsānussaraṇaṃ andhānaṃ yaṭṭhikoṭigamanaṃ viya hoti. Pakatisāvakānaṃ daṇḍakasetugamanaṃ viya, mahāsāvakānaṃ jaṅghasetugamanaṃ viya, aggasāvakānaṃ sakaṭasetugamanaṃ viya, paccekabuddhānaṃ jaṅghamaggagamanaṃ viya, buddhānaṃ mahāsakaṭamaggagamanaṃ viya hoti. Imasmiṃ pana adhikāre sāvakānaṃ pubbenivāsānussaraṇaṃ adhippetaṃ.

    ตสฺมา เอวํ อนุสฺสริตุกาเมน อาทิกมฺมิเกน ภิกฺขุนา ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฎิกฺกเนฺตน รโหคเตน ปฎิสลฺลีเนน ปฎิปาฎิยา จตฺตาริ ฌานานิ สมาปชฺชิตฺวา อภิญฺญาปาทกชฺฌานโต วุฎฺฐาย วุตฺตนเยน ปฎิจฺจสมุปฺปาทํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา สพฺพปจฺฉิมา นิสชฺชา อาวชฺชิตพฺพาฯ ตโต อาสนปญฺญาปนํ เสนาสนปฺปเวสนํ ปตฺตจีวรปฎิสามนํ โภชนกาโล คามโต อาคมนกาโล คาเม ปิณฺฑาย จริตกาโล คามํ ปิณฺฑาย ปวิฎฺฐกาโล วิหารโต นิกฺขมนกาโล เจติยโพธิวนฺทนกาโล ปตฺตโธวนกาโล ปตฺตปฎิคฺคหณกาโล ปตฺตปฎิคฺคหณโต ยาว มุขโธวนา กตกิจฺจํ ปจฺจูสกาเล กตกิจฺจํ, มชฺฌิมยาเม ปฐมยาเม กตกิจฺจนฺติ เอวํ ปฎิโลมกฺกเมน สกลํ รตฺตินฺทิวํ กตกิจฺจํ อาวชฺชิตพฺพํฯ เอตฺตกํ ปน ปกติจิตฺตสฺสปิ ปากฎํ โหติ, ปริกมฺมสมาธิจิตฺตสฺส ปน อติปากฎเมวฯ สเจ ปเนตฺถ กิญฺจิ น ปากฎํ โหติ, ปุน ปาทกชฺฌานํ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย อาวชฺชิตพฺพํฯ เอตฺตเกน ทีเป ชลิเต วิย ปากฎํ โหติ ฯ เอวํ ปฎิโลมกฺกเมเนว ทุติยทิวเสปิ ตติยจตุตฺถปญฺจมทิวเสสุปิ ทสาเหปิ อทฺธมาเสปิ มาเสปิ สํวจฺฉเรปิ กตกิจฺจํ อาวชฺชิตพฺพํฯ เอเตเนว อุปาเยน ทส วสฺสานิ วีสติ วสฺสานีติ ยาว อิมสฺมิํ ภเว อตฺตโน ปฎิสนฺธิ, ตาว อาวชฺชเนฺตน ปุริมภเว จุติกฺขเณ ปวตฺตํ นามรูปํ อาวชฺชิตพฺพํฯ ปโหติ หิ ปณฺฑิโต ภิกฺขุ ปฐมวาเรเนว ปฎิสนฺธิํ อุคฺฆาเฎตฺวา จุติกฺขเณ นามรูปํ อารมฺมณํ กาตุํฯ ยสฺมา ปน ปุริมภเว นามรูปํ อเสสํ นิรุทฺธํ, อิธ อญฺญํ อุปฺปนฺนํ, ตสฺมา ตํ ฐานํ อาหุนฺทริกํ อนฺธตมมิว โหติ สุทุทฺทสํ ทุปฺปเญฺญนฯ เตนาปิ ‘‘น สโกฺกมหํ ปฎิสนฺธิํ อุคฺฆาเฎตฺวา จุติกฺขเณ นามรูปารมฺมณํ กาตุ’’นฺติ ธุรนิเกฺขโป น กาตโพฺพฯ ตเทว ปน ปาทกชฺฌานํ ปุนปฺปุนํ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย วุฎฺฐาย ตํ ฐานํ อาวชฺชิตพฺพํฯ

    Tasmā evaṃ anussaritukāmena ādikammikena bhikkhunā pacchābhattaṃ piṇḍapātapaṭikkantena rahogatena paṭisallīnena paṭipāṭiyā cattāri jhānāni samāpajjitvā abhiññāpādakajjhānato vuṭṭhāya vuttanayena paṭiccasamuppādaṃ paccavekkhitvā sabbapacchimā nisajjā āvajjitabbā. Tato āsanapaññāpanaṃ senāsanappavesanaṃ pattacīvarapaṭisāmanaṃ bhojanakālo gāmato āgamanakālo gāme piṇḍāya caritakālo gāmaṃ piṇḍāya paviṭṭhakālo vihārato nikkhamanakālo cetiyabodhivandanakālo pattadhovanakālo pattapaṭiggahaṇakālo pattapaṭiggahaṇato yāva mukhadhovanā katakiccaṃ paccūsakāle katakiccaṃ, majjhimayāme paṭhamayāme katakiccanti evaṃ paṭilomakkamena sakalaṃ rattindivaṃ katakiccaṃ āvajjitabbaṃ. Ettakaṃ pana pakaticittassapi pākaṭaṃ hoti, parikammasamādhicittassa pana atipākaṭameva. Sace panettha kiñci na pākaṭaṃ hoti, puna pādakajjhānaṃ samāpajjitvā vuṭṭhāya āvajjitabbaṃ. Ettakena dīpe jalite viya pākaṭaṃ hoti . Evaṃ paṭilomakkameneva dutiyadivasepi tatiyacatutthapañcamadivasesupi dasāhepi addhamāsepi māsepi saṃvaccharepi katakiccaṃ āvajjitabbaṃ. Eteneva upāyena dasa vassāni vīsati vassānīti yāva imasmiṃ bhave attano paṭisandhi, tāva āvajjantena purimabhave cutikkhaṇe pavattaṃ nāmarūpaṃ āvajjitabbaṃ. Pahoti hi paṇḍito bhikkhu paṭhamavāreneva paṭisandhiṃ ugghāṭetvā cutikkhaṇe nāmarūpaṃ ārammaṇaṃ kātuṃ. Yasmā pana purimabhave nāmarūpaṃ asesaṃ niruddhaṃ, idha aññaṃ uppannaṃ, tasmā taṃ ṭhānaṃ āhundarikaṃ andhatamamiva hoti sududdasaṃ duppaññena. Tenāpi ‘‘na sakkomahaṃ paṭisandhiṃ ugghāṭetvā cutikkhaṇe nāmarūpārammaṇaṃ kātu’’nti dhuranikkhepo na kātabbo. Tadeva pana pādakajjhānaṃ punappunaṃ samāpajjitvā vuṭṭhāya vuṭṭhāya taṃ ṭhānaṃ āvajjitabbaṃ.

    เอวํ กโรโนฺต หิ เสยฺยถาปิ นาม พลวา ปุริโส กูฎาคารกณฺณิกตฺถาย มหารุกฺขํ ฉินฺทโนฺต สาขาปลาสเจฺฉทนมเตฺตเนว ผรสุธาราย วิปนฺนาย มหารุกฺขํ ฉินฺทิตุํ อสโกฺกโนฺตปิ ธุรนิเกฺขปํ อกตฺวาว กมฺมารสาลํ คนฺตฺวา ติขิณํ ผรสุํ การาเปตฺวา ปุน อาคนฺตฺวา ฉิเนฺทยฺย, ปุน วิปนฺนาย จ ปุนปิ ตเถว กาเรตฺวา ฉิเนฺทยฺย, โส เอวํ ฉินฺทโนฺต ฉินฺนสฺส ฉินฺนสฺส ปุน เฉตฺตพฺพาภาวโต อฉินฺนสฺส จ เฉทนโต นจิรเสฺสว มหารุกฺขํ ปาเตยฺย, เอวเมว ปาทกชฺฌานา วุฎฺฐาย ปุเพฺพ อาวชฺชิตํ อนาวชฺชิตฺวา ปฎิสนฺธิเมว อาวชฺชโนฺต ตํ นจิรเสฺสว ปฎิสนฺธิํ อุคฺฆาเฎตฺวา จุติกฺขเณ นามรูปํ อารมฺมณํ กเรยฺยาติฯ ตตฺถ ปจฺฉิมนิสชฺชโต ปภุติ ยาว ปฎิสนฺธิโต อารมฺมณํ กตฺวา ปวตฺตํ ญาณํ ปุเพฺพนิวาสญาณํ นาม น โหติ, ตํ ปน ปริกมฺมสมาธิญาณํ นาม โหติฯ ‘‘อตีตํสญาณ’’นฺติ เปตํ เอเก วทนฺติ ฯ ตํ อตีตํสญาณสฺส รูปาวจรตฺตา รูปาวจรํ สนฺธาย วจนํ น ยุชฺชติฯ ยทา ปนสฺส ภิกฺขุโน ปฎิสนฺธิํ อติกฺกมฺม จุติกฺขเณ ปวตฺตํ นามรูปํ อารมฺมณํ กตฺวา มโนทฺวาราวชฺชนํ อุปฺปชฺชิตฺวา ปุเพฺพ วุตฺตนเยน อปฺปนาจิตฺตํ อุปฺปชฺชติ, ตทาสฺส เตน จิเตฺตน สมฺปยุตฺตํ ญาณํ ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณํ นามฯ เตน ญาเณน สมฺปยุตฺตาย สติยา ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรติฯ

    Evaṃ karonto hi seyyathāpi nāma balavā puriso kūṭāgārakaṇṇikatthāya mahārukkhaṃ chindanto sākhāpalāsacchedanamatteneva pharasudhārāya vipannāya mahārukkhaṃ chindituṃ asakkontopi dhuranikkhepaṃ akatvāva kammārasālaṃ gantvā tikhiṇaṃ pharasuṃ kārāpetvā puna āgantvā chindeyya, puna vipannāya ca punapi tatheva kāretvā chindeyya, so evaṃ chindanto chinnassa chinnassa puna chettabbābhāvato achinnassa ca chedanato nacirasseva mahārukkhaṃ pāteyya, evameva pādakajjhānā vuṭṭhāya pubbe āvajjitaṃ anāvajjitvā paṭisandhimeva āvajjanto taṃ nacirasseva paṭisandhiṃ ugghāṭetvā cutikkhaṇe nāmarūpaṃ ārammaṇaṃ kareyyāti. Tattha pacchimanisajjato pabhuti yāva paṭisandhito ārammaṇaṃ katvā pavattaṃ ñāṇaṃ pubbenivāsañāṇaṃ nāma na hoti, taṃ pana parikammasamādhiñāṇaṃ nāma hoti. ‘‘Atītaṃsañāṇa’’nti petaṃ eke vadanti . Taṃ atītaṃsañāṇassa rūpāvacarattā rūpāvacaraṃ sandhāya vacanaṃ na yujjati. Yadā panassa bhikkhuno paṭisandhiṃ atikkamma cutikkhaṇe pavattaṃ nāmarūpaṃ ārammaṇaṃ katvā manodvārāvajjanaṃ uppajjitvā pubbe vuttanayena appanācittaṃ uppajjati, tadāssa tena cittena sampayuttaṃ ñāṇaṃ pubbenivāsānussatiñāṇaṃ nāma. Tena ñāṇena sampayuttāya satiyā pubbenivāsaṃ anussarati.

    ตตฺถ เสยฺยถิทนฺติ อารทฺธปฺปการทสฺสนเตฺถ นิปาโตฯ เตเนว ยฺวายํ ปุเพฺพนิวาโส อารโทฺธ, ตสฺส ปการปฺปเภทํ ทเสฺสโนฺต เอกมฺปิ ชาตินฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ เอกมฺปิ ชาตินฺติ เอกมฺปิ ปฎิสนฺธิมูลํ จุติปริโยสานํ เอกภวปริยาปนฺนํ ขนฺธสนฺตานํฯ เอส นโย เทฺวปิ ชาติโยติอาทีสุฯ อเนเกปิ สํวฎฺฎกเปฺปติอาทีสุ ปน ปริหายมาโน กโปฺป สํวฎฺฎกโปฺป ตทา สเพฺพสํ พฺรหฺมโลเก สนฺนิปตนโตฯ วฑฺฒมาโน กโปฺป วิวฎฺฎกโปฺป ตทา พฺรหฺมโลกโต สตฺตานํ วิวฎฺฎนโตฯ ตตฺถ สํวเฎฺฎน สํวฎฺฎฎฺฐายี คหิโต โหติ ตํมูลกตฺตาฯ วิวเฎฺฎน จ วิวฎฺฎฎฺฐายีฯ เอวญฺหิ สติ ‘‘จตฺตาริมานิ, ภิกฺขเว, กปฺปสฺส อสเงฺขฺยยฺยานิฯ กตมานิ จตฺตาริ? ยทา, ภิกฺขเว, กโปฺป สํวฎฺฎติ, ตํ น สุกรํ สงฺขาตุํฯ ยทา, ภิกฺขเว, กโปฺป สํวโฎฺฎ ติฎฺฐติ…เป.… ยทา, ภิกฺขเว, กโปฺป วิวฎฺฎติ…เป.… ยทา, ภิกฺขเว, กโปฺป วิวโฎฺฎ ติฎฺฐติ, ตํ น สุกรํ สงฺขาตุ’’นฺติ (อ. นิ. ๔.๑๕๖) วุตฺตานิ จตฺตาริ อสเงฺขยฺยานิ ปริคฺคหิตานิ โหนฺติฯ

    Tattha seyyathidanti āraddhappakāradassanatthe nipāto. Teneva yvāyaṃ pubbenivāso āraddho, tassa pakārappabhedaṃ dassento ekampi jātintiādimāha. Tattha ekampi jātinti ekampi paṭisandhimūlaṃ cutipariyosānaṃ ekabhavapariyāpannaṃ khandhasantānaṃ. Esa nayo dvepi jātiyotiādīsu. Anekepi saṃvaṭṭakappetiādīsu pana parihāyamāno kappo saṃvaṭṭakappo tadā sabbesaṃ brahmaloke sannipatanato. Vaḍḍhamāno kappo vivaṭṭakappo tadā brahmalokato sattānaṃ vivaṭṭanato. Tattha saṃvaṭṭena saṃvaṭṭaṭṭhāyī gahito hoti taṃmūlakattā. Vivaṭṭena ca vivaṭṭaṭṭhāyī. Evañhi sati ‘‘cattārimāni, bhikkhave, kappassa asaṅkhyeyyāni. Katamāni cattāri? Yadā, bhikkhave, kappo saṃvaṭṭati, taṃ na sukaraṃ saṅkhātuṃ. Yadā, bhikkhave, kappo saṃvaṭṭo tiṭṭhati…pe… yadā, bhikkhave, kappo vivaṭṭati…pe… yadā, bhikkhave, kappo vivaṭṭo tiṭṭhati, taṃ na sukaraṃ saṅkhātu’’nti (a. ni. 4.156) vuttāni cattāri asaṅkheyyāni pariggahitāni honti.

    ตตฺถ ตโย สํวฎฺฎา – เตโชสํวโฎฺฎ, อาโปสํวโฎฺฎ, วาโยสํวโฎฺฎติฯ ติโสฺส สํวฎฺฎสีมา – อาภสฺสรา, สุภกิณฺหา, เวหปฺผลาติฯ ยทา กโปฺป เตเชน สํวฎฺฎติ, อาภสฺสรโต เหฎฺฐา อคฺคินา ฑยฺหติฯ ยทา อาเปน สํวฎฺฎติ, สุภกิณฺหโต เหฎฺฐา อุทเกน วิลียติฯ ยทา วายุนา สํวฎฺฎติ, เวหปฺผลโต เหฎฺฐา วาเตน วิทฺธํสียติฯ วิตฺถารโต ปน สทาปิ เอกํ พุทฺธเกฺขตฺตํ วินสฺสติฯ พุทฺธเกฺขตฺตํ นาม ติวิธํ โหติ – ชาติเกฺขตฺตํ, อาณาเกฺขตฺตํ, วิสยเกฺขตฺตญฺจฯ ตตฺถ ชาติเกฺขตฺตํ ทสสหสฺสจกฺกวาฬปริยนฺตํ โหติ, ยํ ตถาคตสฺส ปฎิสนฺธิคหณาทีสุ กมฺปติฯ อาณาเกฺขตฺตํ โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาฬปริยนฺตํ, ยตฺถ รตนปริตฺตํ, ขนฺธปริตฺตํ, ธชคฺคปริตฺตํ, อาฎานาฎิยปริตฺตํ , โมรปริตฺตนฺติ อิเมสํ ปริตฺตานํ อานุภาโว วตฺตติฯ วิสยเกฺขตฺตํ อนนฺตมปริมาณํ, ยํ ‘‘ยาวตา วา ปน อากเงฺขยฺยา’’ติ (อ. นิ. ๓.๘๑) วุตฺตํฯ ตตฺถ ยํ ยํ ตถาคโต อากงฺขติ, ตํ ตํ ชานาติฯ เอวเมเตสุ ตีสุ พุทฺธเกฺขเตฺตสุ เอกํ อาณาเกฺขตฺตํ วินสฺสติ, ตสฺมิํ ปน วินสฺสเนฺต ชาติเกฺขตฺตํ วินฎฺฐเมว โหติ, วินสฺสนฺตญฺจ เอกโตว วินสฺสติ, สณฺฐหนฺตญฺจ เอกโตว สณฺฐหติฯ

    Tattha tayo saṃvaṭṭā – tejosaṃvaṭṭo, āposaṃvaṭṭo, vāyosaṃvaṭṭoti. Tisso saṃvaṭṭasīmā – ābhassarā, subhakiṇhā, vehapphalāti. Yadā kappo tejena saṃvaṭṭati, ābhassarato heṭṭhā agginā ḍayhati. Yadā āpena saṃvaṭṭati, subhakiṇhato heṭṭhā udakena vilīyati. Yadā vāyunā saṃvaṭṭati, vehapphalato heṭṭhā vātena viddhaṃsīyati. Vitthārato pana sadāpi ekaṃ buddhakkhettaṃ vinassati. Buddhakkhettaṃ nāma tividhaṃ hoti – jātikkhettaṃ, āṇākkhettaṃ, visayakkhettañca. Tattha jātikkhettaṃ dasasahassacakkavāḷapariyantaṃ hoti, yaṃ tathāgatassa paṭisandhigahaṇādīsu kampati. Āṇākkhettaṃ koṭisatasahassacakkavāḷapariyantaṃ, yattha ratanaparittaṃ, khandhaparittaṃ, dhajaggaparittaṃ, āṭānāṭiyaparittaṃ , moraparittanti imesaṃ parittānaṃ ānubhāvo vattati. Visayakkhettaṃ anantamaparimāṇaṃ, yaṃ ‘‘yāvatā vā pana ākaṅkheyyā’’ti (a. ni. 3.81) vuttaṃ. Tattha yaṃ yaṃ tathāgato ākaṅkhati, taṃ taṃ jānāti. Evametesu tīsu buddhakkhettesu ekaṃ āṇākkhettaṃ vinassati, tasmiṃ pana vinassante jātikkhettaṃ vinaṭṭhameva hoti, vinassantañca ekatova vinassati, saṇṭhahantañca ekatova saṇṭhahati.

    ตเสฺสวํ วินาโส จ สณฺฐหนญฺจ เวทิตพฺพํ – ยสฺมิํ สมเย กโปฺป อคฺคินา นสฺสติ, อาทิโตว กปฺปวินาสกมหาเมโฆ วุฎฺฐหิตฺวา โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาเฬ เอกํ มหาวสฺสํ วสฺสติฯ มนุสฺสา ตุฎฺฐา สพฺพพีชานิ นีหริตฺวา วปนฺติฯ สเสฺสสุ ปน โคขายิตกมเตฺตสุ ชาเตสุ คทฺรภรวํ รวโนฺต เอกพินฺทุมตฺตมฺปิ น วสฺสติ, ตทา ปจฺฉินฺนํ ปจฺฉินฺนเมว วสฺสํ โหติฯ วสฺสูปชีวิโน สตฺตา กเมน พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺตนฺติ, ปุปฺผผลูปชีวินิโย จ เทวตาฯ เอวํ ทีเฆ อทฺธาเน วีติวเตฺต ตตฺถ ตตฺถ อุทกํ ปริกฺขยํ คจฺฉติฯ อถานุกฺกเมน มจฺฉกจฺฉปาปิ กาลํ กตฺวา พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺตนฺติ, เนรยิกสตฺตาปิฯ ตตฺถ ‘‘เนรยิกา สตฺตมสูริยปาตุภาเว วินสฺสนฺตี’’ติ เอเกฯ ฌานํ วินา นตฺถิ พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺติ, เอเตสญฺจ เกจิ ทุพฺภิกฺขปีฬิตา, เกจิ อภพฺพา ฌานาธิคมาย, เต กถํ ตตฺถ นิพฺพตฺตนฺตีติ? เทวโลเก ปฎิลทฺธชฺฌานวเสนฯ ตทา หิ ‘‘วสฺสสตสหสฺสสฺส อจฺจเยน กปฺปวุฎฺฐานํ ภวิสฺสตี’’ติ โลกพฺยูหา นาม กามาวจรเทวา มุตฺตสิรา วิกิณฺณเกสา รุทมุขา อสฺสูนิ หเตฺถหิ ปุญฺฉมานา รตฺตวตฺถนิวตฺถา อติวิย วิรูปเวสธาริโน หุตฺวา มนุสฺสปเถ วิจรนฺตา เอวํ อาโรเจนฺติ – ‘‘มาริสา, มาริสา, อิโต วสฺสสตสหสฺสสฺส อจฺจเยน กปฺปวุฎฺฐานํ ภวิสฺสติ, อยํ โลโก วินสฺสิสฺสติ, มหาสมุโทฺทปิ อุสฺสุสฺสิสฺสติ, อยญฺจ มหาปถวี สิเนรุ จ ปพฺพตราชา อุทฺทยฺหิสฺสนฺติ วินสฺสิสฺสนฺติ, ยาว พฺรหฺมโลกา โลกวินาโส ภวิสฺสติฯ เมตฺตํ, มาริสา, ภาเวถฯ กรุณํ… มุทิตํ… อุเปกฺขํ, มาริสา, ภาเวถฯ มาตรํ อุปฎฺฐหถ, ปิตรํ อุปฎฺฐหถ, กุเล เชฎฺฐาปจายิโน โหถา’’ติฯ เตสํ วจนํ สุตฺวา เยภุเยฺยน มนุสฺสา จ ภุมฺมา เทวา จ สํเวคชาตา อญฺญมญฺญํ มุทุจิตฺตา หุตฺวา เมตฺตาทีนิ ปุญฺญานิ กริตฺวา เทวโลเก นิพฺพตฺตนฺติฯ ตตฺถ ทิพฺพสุธาโภชนํ ภุญฺชิตฺวา วาโยกสิเณ ปริกมฺมํ กตฺวา ฌานํ ปฎิลภนฺติฯ ตทเญฺญ ปน อปรปริยเวทนีเยน กเมฺมน เทวโลเก นิพฺพตฺตนฺติฯ อปรปริยเวทนียกมฺมรหิโต หิ สํสาเร สํสรโนฺต นาม สโตฺต นตฺถิฯ เตปิ ตตฺถ ตเถว ฌานํ ปฎิลภนฺติฯ เอวํ เทวโลเก ปฎิลทฺธชฺฌานวเสน สเพฺพปิ พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺตนฺตีติฯ

    Tassevaṃ vināso ca saṇṭhahanañca veditabbaṃ – yasmiṃ samaye kappo agginā nassati, āditova kappavināsakamahāmegho vuṭṭhahitvā koṭisatasahassacakkavāḷe ekaṃ mahāvassaṃ vassati. Manussā tuṭṭhā sabbabījāni nīharitvā vapanti. Sassesu pana gokhāyitakamattesu jātesu gadrabharavaṃ ravanto ekabindumattampi na vassati, tadā pacchinnaṃ pacchinnameva vassaṃ hoti. Vassūpajīvino sattā kamena brahmaloke nibbattanti, pupphaphalūpajīviniyo ca devatā. Evaṃ dīghe addhāne vītivatte tattha tattha udakaṃ parikkhayaṃ gacchati. Athānukkamena macchakacchapāpi kālaṃ katvā brahmaloke nibbattanti, nerayikasattāpi. Tattha ‘‘nerayikā sattamasūriyapātubhāve vinassantī’’ti eke. Jhānaṃ vinā natthi brahmaloke nibbatti, etesañca keci dubbhikkhapīḷitā, keci abhabbā jhānādhigamāya, te kathaṃ tattha nibbattantīti? Devaloke paṭiladdhajjhānavasena. Tadā hi ‘‘vassasatasahassassa accayena kappavuṭṭhānaṃ bhavissatī’’ti lokabyūhā nāma kāmāvacaradevā muttasirā vikiṇṇakesā rudamukhā assūni hatthehi puñchamānā rattavatthanivatthā ativiya virūpavesadhārino hutvā manussapathe vicarantā evaṃ ārocenti – ‘‘mārisā, mārisā, ito vassasatasahassassa accayena kappavuṭṭhānaṃ bhavissati, ayaṃ loko vinassissati, mahāsamuddopi ussussissati, ayañca mahāpathavī sineru ca pabbatarājā uddayhissanti vinassissanti, yāva brahmalokā lokavināso bhavissati. Mettaṃ, mārisā, bhāvetha. Karuṇaṃ… muditaṃ… upekkhaṃ, mārisā, bhāvetha. Mātaraṃ upaṭṭhahatha, pitaraṃ upaṭṭhahatha, kule jeṭṭhāpacāyino hothā’’ti. Tesaṃ vacanaṃ sutvā yebhuyyena manussā ca bhummā devā ca saṃvegajātā aññamaññaṃ muducittā hutvā mettādīni puññāni karitvā devaloke nibbattanti. Tattha dibbasudhābhojanaṃ bhuñjitvā vāyokasiṇe parikammaṃ katvā jhānaṃ paṭilabhanti. Tadaññe pana aparapariyavedanīyena kammena devaloke nibbattanti. Aparapariyavedanīyakammarahito hi saṃsāre saṃsaranto nāma satto natthi. Tepi tattha tatheva jhānaṃ paṭilabhanti. Evaṃ devaloke paṭiladdhajjhānavasena sabbepi brahmaloke nibbattantīti.

    วสฺสูปเจฺฉทโต ปน อุทฺธํ ทีฆสฺส อทฺธุโน อจฺจเยน ทุติโย สูริโย ปาตุภวติ, ตสฺมิํ ปาตุภูเต เนว รตฺติปริเจฺฉโท, น ทิวาปริเจฺฉโท ปญฺญายติฯ เอโก สูริโย อุเทติ, เอโก อตฺถํ คจฺฉติ, อวิจฺฉินฺนสูริยสนฺตาโปว โลโก โหติฯ ยถา จ ปกติสูริเย สูริยเทวปุโตฺต โหติ, เอวํ กปฺปวินาสกสูริเย นตฺถิฯ ตตฺถ ปกติสูริเย วตฺตมาเน อากาเส วลาหกาปิ ธูมสิขาปิ จรนฺติฯ กปฺปวินาสกสูริเย วตฺตมาเน วิคตธูมวลาหกํ อาทาสมณฺฑลํ วิย นิมฺมลํ นภํ โหติฯ ฐเปตฺวา ปญฺจ มหานทิโย เสสกุนฺนทีอาทีสุ อุทกํ สุสฺสติฯ

    Vassūpacchedato pana uddhaṃ dīghassa addhuno accayena dutiyo sūriyo pātubhavati, tasmiṃ pātubhūte neva rattiparicchedo, na divāparicchedo paññāyati. Eko sūriyo udeti, eko atthaṃ gacchati, avicchinnasūriyasantāpova loko hoti. Yathā ca pakatisūriye sūriyadevaputto hoti, evaṃ kappavināsakasūriye natthi. Tattha pakatisūriye vattamāne ākāse valāhakāpi dhūmasikhāpi caranti. Kappavināsakasūriye vattamāne vigatadhūmavalāhakaṃ ādāsamaṇḍalaṃ viya nimmalaṃ nabhaṃ hoti. Ṭhapetvā pañca mahānadiyo sesakunnadīādīsu udakaṃ sussati.

    ตโตปิ ทีฆสฺส อทฺธุโน อจฺจเยน ตติโย สูริโย ปาตุภวติ, ยสฺส ปาตุภาวา มหานทิโยปิ สุสฺสนฺติฯ

    Tatopi dīghassa addhuno accayena tatiyo sūriyo pātubhavati, yassa pātubhāvā mahānadiyopi sussanti.

    ตโตปิ ทีฆสฺส อทฺธุโน อจฺจเยน จตุโตฺถ สูริโย ปาตุภวติ, ยสฺส ปาตุภาวา หิมวติ มหานทีนํ ปภวา – ‘‘สีหปปาตโน, หํสปาตโน, กณฺณมุณฺฑโก, รถการทโห, อโนตตฺตทโห, ฉทฺทนฺตทโห, กุณาลทโห’’ติ อิเม สตฺต มหาสรา สุสฺสนฺติฯ

    Tatopi dīghassa addhuno accayena catuttho sūriyo pātubhavati, yassa pātubhāvā himavati mahānadīnaṃ pabhavā – ‘‘sīhapapātano, haṃsapātano, kaṇṇamuṇḍako, rathakāradaho, anotattadaho, chaddantadaho, kuṇāladaho’’ti ime satta mahāsarā sussanti.

    ตโตปิ ทีฆสฺส อทฺธุโน อจฺจเยน ปญฺจโม สูริโย ปาตุภวติ, ยสฺส ปาตุภาวา อนุปุเพฺพน มหาสมุเทฺท องฺคุลิปพฺพเตมนมตฺตมฺปิ อุทกํ น สณฺฐาติฯ

    Tatopi dīghassa addhuno accayena pañcamo sūriyo pātubhavati, yassa pātubhāvā anupubbena mahāsamudde aṅgulipabbatemanamattampi udakaṃ na saṇṭhāti.

    ตโตปิ ทีฆสฺส อทฺธุโน อจฺจเยน ฉโฎฺฐ สูริโย ปาตุภวติ, ยสฺส ปาตุภาวา สกลจกฺกวาฬํ เอกธูมํ โหติ ปริยาทินฺนสิเนหํ ธูเมนฯ ยถา จิทํ, เอวํ โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาฬานิปิฯ

    Tatopi dīghassa addhuno accayena chaṭṭho sūriyo pātubhavati, yassa pātubhāvā sakalacakkavāḷaṃ ekadhūmaṃ hoti pariyādinnasinehaṃ dhūmena. Yathā cidaṃ, evaṃ koṭisatasahassacakkavāḷānipi.

    ตโตปิ ทีฆสฺส อทฺธุโน อจฺจเยน สตฺตโม สูริโย ปาตุภวติ, ยสฺส ปาตุภาวา สกลจกฺกวาฬํ เอกชาลํ โหติ สทฺธิํ โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาเฬหิฯ โยชนสติกาทิเภทานิ สิเนรุกูฎานิปิ ปลุชฺชิตฺวา อากาเสเยว อนฺตรธายนฺติฯ สา อคฺคิชาลา อุฎฺฐหิตฺวา จาตุมหาราชิเก คณฺหาติฯ ตตฺถ กนกวิมานรตนวิมานมณิวิมานานิ ฌาเปตฺวา ตาวติํสภวนํ คณฺหาติฯ เอเตเนว อุปาเยน ยาว ปฐมชฺฌานภูมิํ คณฺหาติฯ ตตฺถ ตโยปิฯ พฺรหฺมโลเก ฌาเปตฺวา อาภสฺสเร อาหจฺจ ติฎฺฐติฯ สา ยาว อณุมตฺตมฺปิ สงฺขารคตํ อตฺถิ, ตาว น นิพฺพายติฯ สพฺพสงฺขารปริกฺขยา ปน สปฺปิเตลฌาปนคฺคิสิขา วิย ฉาริกมฺปิ อนวเสเสตฺวา นิพฺพายติฯ เหฎฺฐาอากาเสน สห อุปริอากาโส เอโก โหติ มหนฺธกาโรฯ

    Tatopi dīghassa addhuno accayena sattamo sūriyo pātubhavati, yassa pātubhāvā sakalacakkavāḷaṃ ekajālaṃ hoti saddhiṃ koṭisatasahassacakkavāḷehi. Yojanasatikādibhedāni sinerukūṭānipi palujjitvā ākāseyeva antaradhāyanti. Sā aggijālā uṭṭhahitvā cātumahārājike gaṇhāti. Tattha kanakavimānaratanavimānamaṇivimānāni jhāpetvā tāvatiṃsabhavanaṃ gaṇhāti. Eteneva upāyena yāva paṭhamajjhānabhūmiṃ gaṇhāti. Tattha tayopi. Brahmaloke jhāpetvā ābhassare āhacca tiṭṭhati. Sā yāva aṇumattampi saṅkhāragataṃ atthi, tāva na nibbāyati. Sabbasaṅkhāraparikkhayā pana sappitelajhāpanaggisikhā viya chārikampi anavasesetvā nibbāyati. Heṭṭhāākāsena saha upariākāso eko hoti mahandhakāro.

    อถ ทีฆสฺส อทฺธุโน อจฺจเยน มหาเมโฆ อุฎฺฐหิตฺวา ปฐมํ สุขุมํ สุขุมํ วสฺสติฯ อนุปุเพฺพน กุมุทนาฬยฎฺฐิมุสลตาลกฺขนฺธาทิปฺปมาณาหิ ธาราหิ วสฺสโนฺต โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาเฬสุ สพฺพํ ทฑฺฒฎฺฐานํ ปูเรตฺวา อนฺตรธายติฯ ตํ อุทกํ เหฎฺฐา จ ติริยญฺจ วาโต สมุฎฺฐหิตฺวา ฆนํ กโรติ ปริวฎุมํ ปทุมินิปเตฺต อุทกพินฺทุสทิสํฯ กถํ ตาว มหนฺตํ อุทกราสิํ ฆนํ กโรตีติ เจ? วิวรสมฺปทานโตฯ ตํ หิสฺส ตหิํ ตหิํ วิวรํ เทติฯ ตํ เอวํ วาเตน สมฺปิณฺฑิยมานํ ฆนํ กริยมานํ ปริกฺขยมานํ อนุปุเพฺพน เหฎฺฐา โอตรติฯ โอติเณฺณ โอติเณฺณ อุทเก พฺรหฺมโลกฎฺฐาเน พฺรหฺมโลกา, อุปริ จตุกามาวจรเทวโลกฎฺฐาเน จ เทวโลกา ปาตุภวนฺติฯ ปุริมปถวิฎฺฐานํ โอติเณฺณ ปน พลววาตา อุปฺปชฺชนฺติฯ เต ตํ ปิหิตทฺวาเร ธมกรเณ ฐิตอุทกมิว นิรุสฺสาสํ กตฺวา รุมฺภนฺติฯ มธุโรทกํ ปริกฺขยํ คจฺฉมานํ อุปริ รสปถวิํ สมุฎฺฐาเปติฯ สา วณฺณสมฺปนฺนา เจว โหติ คนฺธรสสมฺปนฺนา จ นิรุทกปายาสสฺส อุปริ ปฎลํ วิยฯ ตทา จ อาภสฺสรพฺรหฺมโลเก ปฐมตราภินิพฺพตฺตา สตฺตา อายุกฺขยา วา ปุญฺญกฺขยา วา ตโต จวิตฺวา อิธูปปชฺชนฺติฯ เต โหนฺติ สยํปภา อนฺตลิกฺขจราฯ เต อคฺคญฺญสุเตฺต (ที. นิ. ๓.๑๒๐) วุตฺตนเยน ตํ รสปถวิํ สายิตฺวา ตณฺหาภิภูตา อาลุปฺปการกํ ปริภุญฺชิตุํ อุปกฺกมนฺติฯ

    Atha dīghassa addhuno accayena mahāmegho uṭṭhahitvā paṭhamaṃ sukhumaṃ sukhumaṃ vassati. Anupubbena kumudanāḷayaṭṭhimusalatālakkhandhādippamāṇāhi dhārāhi vassanto koṭisatasahassacakkavāḷesu sabbaṃ daḍḍhaṭṭhānaṃ pūretvā antaradhāyati. Taṃ udakaṃ heṭṭhā ca tiriyañca vāto samuṭṭhahitvā ghanaṃ karoti parivaṭumaṃ paduminipatte udakabindusadisaṃ. Kathaṃ tāva mahantaṃ udakarāsiṃ ghanaṃ karotīti ce? Vivarasampadānato. Taṃ hissa tahiṃ tahiṃ vivaraṃ deti. Taṃ evaṃ vātena sampiṇḍiyamānaṃ ghanaṃ kariyamānaṃ parikkhayamānaṃ anupubbena heṭṭhā otarati. Otiṇṇe otiṇṇe udake brahmalokaṭṭhāne brahmalokā, upari catukāmāvacaradevalokaṭṭhāne ca devalokā pātubhavanti. Purimapathaviṭṭhānaṃ otiṇṇe pana balavavātā uppajjanti. Te taṃ pihitadvāre dhamakaraṇe ṭhitaudakamiva nirussāsaṃ katvā rumbhanti. Madhurodakaṃ parikkhayaṃ gacchamānaṃ upari rasapathaviṃ samuṭṭhāpeti. Sā vaṇṇasampannā ceva hoti gandharasasampannā ca nirudakapāyāsassa upari paṭalaṃ viya. Tadā ca ābhassarabrahmaloke paṭhamatarābhinibbattā sattā āyukkhayā vā puññakkhayā vā tato cavitvā idhūpapajjanti. Te honti sayaṃpabhā antalikkhacarā. Te aggaññasutte (dī. ni. 3.120) vuttanayena taṃ rasapathaviṃ sāyitvā taṇhābhibhūtā āluppakārakaṃ paribhuñjituṃ upakkamanti.

    อถ เตสํ สยํปภา อนฺตรธายติ, อนฺธกาโร โหติฯ เต อนฺธการํ ทิสฺวา ภายนฺติฯ ตโต เนสํ ภยํ นาเสตฺวา สูรภาวํ ชนยนฺตํ ปริปุณฺณปญฺญาสโยชนํ สูริยมณฺฑลํ ปาตุภวติฯ เต ตํ ทิสฺวา ‘‘อาโลกํ ปฎิลภิมฺหา’’ติ หฎฺฐตุฎฺฐา หุตฺวา ‘‘อมฺหากํ ภีตานํ ภยํ นาเสตฺวา สูรภาวํ ชนยโนฺต อุฎฺฐิโต, ตสฺมา สูริโย โหตู’’ติ สูริโยเตฺววสฺส นามํ กโรนฺติฯ อถ สูริเย ทิวสํ อาโลกํ กตฺวา อตฺถงฺคเต ‘‘ยมฺปิ อาโลกํ ลภิมฺห, โสปิ โน นโฎฺฐ’’ติ ปุน ภีตา โหนฺติ, เตสํ เอวํ โหติ ‘‘สาธุ วตสฺส สเจ อญฺญํ อาโลกํ ลเภยฺยามา’’ติฯ เตสํ จิตฺตํ ญตฺวา วิย เอกูนปญฺญาสโยชนํ จนฺทมณฺฑลํ ปาตุภวติฯ เต ตํ ทิสฺวา ภิโยฺยโสมตฺตาย หฎฺฐตุฎฺฐา หุตฺวา ‘‘อมฺหากํ ฉนฺทํ ญตฺวา วิย อุฎฺฐิโต, ตสฺมา จโนฺท โหตู’’ติ จโนฺทเตฺววสฺส นามํ กโรนฺติฯ

    Atha tesaṃ sayaṃpabhā antaradhāyati, andhakāro hoti. Te andhakāraṃ disvā bhāyanti. Tato nesaṃ bhayaṃ nāsetvā sūrabhāvaṃ janayantaṃ paripuṇṇapaññāsayojanaṃ sūriyamaṇḍalaṃ pātubhavati. Te taṃ disvā ‘‘ālokaṃ paṭilabhimhā’’ti haṭṭhatuṭṭhā hutvā ‘‘amhākaṃ bhītānaṃ bhayaṃ nāsetvā sūrabhāvaṃ janayanto uṭṭhito, tasmā sūriyo hotū’’ti sūriyotvevassa nāmaṃ karonti. Atha sūriye divasaṃ ālokaṃ katvā atthaṅgate ‘‘yampi ālokaṃ labhimha, sopi no naṭṭho’’ti puna bhītā honti, tesaṃ evaṃ hoti ‘‘sādhu vatassa sace aññaṃ ālokaṃ labheyyāmā’’ti. Tesaṃ cittaṃ ñatvā viya ekūnapaññāsayojanaṃ candamaṇḍalaṃ pātubhavati. Te taṃ disvā bhiyyosomattāya haṭṭhatuṭṭhā hutvā ‘‘amhākaṃ chandaṃ ñatvā viya uṭṭhito, tasmā cando hotū’’ti candotvevassa nāmaṃ karonti.

    เอวํ จนฺทิมสูริเยสุ ปาตุภูเตสุ นกฺขตฺตานิ ตารกรูปานิ ปาตุภวนฺติฯ ตโต ปภุติ รตฺตินฺทิวา ปญฺญายนฺติ อนุกฺกเมน จ มาสทฺธมาสอุตุสํวจฺฉราฯ จนฺทิมสูริยานํ ปน ปาตุภูตทิวเสเยว สิเนรุจกฺกวาฬหิมวนฺตปพฺพตา ปาตุภวนฺติ ฯ เต จ โข อปุพฺพํ อจริมํ ผคฺคุณปุณฺณมทิวเสเยว ปาตุภวนฺติฯ กถํ? ยถา นาม กงฺคุภเตฺต ปจฺจมาเน เอกปฺปหาเรเนว ปุพฺพุฬกา อุฎฺฐหนฺติ, เอเก ปเทสา ถูปถูปา โหนฺติ, เอเก นินฺนนินฺนา เอเก สมสมา, เอวเมวํ ถูปถูปฎฺฐาเน ปพฺพตา โหนฺติ นินฺนนินฺนฎฺฐาเน สมุทฺทา สมสมฎฺฐาเน ทีปาติฯ

    Evaṃ candimasūriyesu pātubhūtesu nakkhattāni tārakarūpāni pātubhavanti. Tato pabhuti rattindivā paññāyanti anukkamena ca māsaddhamāsautusaṃvaccharā. Candimasūriyānaṃ pana pātubhūtadivaseyeva sinerucakkavāḷahimavantapabbatā pātubhavanti . Te ca kho apubbaṃ acarimaṃ phagguṇapuṇṇamadivaseyeva pātubhavanti. Kathaṃ? Yathā nāma kaṅgubhatte paccamāne ekappahāreneva pubbuḷakā uṭṭhahanti, eke padesā thūpathūpā honti, eke ninnaninnā eke samasamā, evamevaṃ thūpathūpaṭṭhāne pabbatā honti ninnaninnaṭṭhāne samuddā samasamaṭṭhāne dīpāti.

    อถ เตสํ สตฺตานํ รสปถวิํ ปริภุญฺชนฺตานํ กเมน เอกเจฺจ วณฺณวโนฺต, เอกเจฺจ ทุพฺพณฺณา โหนฺติฯ ตตฺถ วณฺณวโนฺต ทุพฺพเณฺณ อติมญฺญนฺติฯ เตสํ อติมานปจฺจยา สา รสปถวี อนฺตรธายติ, ภูมิปปฺปฎโก ปาตุภวติฯ อถ เตสํ เตเนว นเยน โสปิ อนฺตรธายติ, ปทาลตา ปาตุภวติฯ เตเนว นเยน สาปิ อนฺตรธายติ, อกฎฺฐปาโก สาลิ ปาตุภวติ อกโณ อถุโส สุโทฺธ สุคนฺธา ตณฺฑุลปฺผโลฯ ตโต เนสํ ภาชนานิ อุปฺปชฺชนฺติฯ เต สาลิํ ภาชเน ฐเปตฺวา ปาสาณปิฎฺฐิยํ ฐเปนฺติฯ สยเมว ชาลาสิขา อุฎฺฐหิตฺวา ตํ ปจติฯ โส โหติ โอทโน สุมนชาติปุปฺผสทิโสฯ น ตสฺส สูเปน วา พฺยญฺชเนน วา กรณียํ อตฺถิ, ยํ ยํ รสํ ภุญฺชิตุกามา โหนฺติ, ตํ ตํ รโสว โหติฯ เตสํ ตํ โอฬาริกํ อาหารํ อาหรยตํ ตโต ปภุติ มุตฺตกรีสํ สญฺชายติฯ อถ เนสํ ตสฺส นิกฺขมนตฺถาย วณมุขานิ ปภิชฺชนฺติ ฯ ปุริสสฺส ปุริสภาโว, อิตฺถิยา อิตฺถิภาโว ปาตุภวติฯ ตตฺร สุทํ อิตฺถี ปุริสํ, ปุริโส จ อิตฺถิํ อติเวลํ อุปนิชฺฌายติฯ เตสํ อติเวลํ อุปนิชฺฌายนปจฺจยา กามปริฬาโห อุปฺปชฺชติฯ ตโต เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวนฺติฯ เต อสทฺธมฺมปฎิเสวนปจฺจยา วิญฺญูหิ ครหิยมานา วิเหฐิยมานา ตสฺส อสทฺธมฺมสฺส ปฎิจฺฉาทนเหตุ อคารานิ กโรนฺติฯ เต อคารํ อชฺฌาวสมานา อนุกฺกเมน อญฺญตรสฺส อลสชาติกสฺส สตฺตสฺส ทิฎฺฐานุคติํ อาปชฺชนฺตา สนฺนิธิํ กโรนฺติฯ ตโต ปภุติ กโณปิ ถุโสปิ ตณฺฑุลํ ปริโยนนฺธติ, ลายิตฎฺฐานมฺปิ น ปฎิวิรูหติฯ เต สนฺนิปติตฺวา อนุตฺถุนนฺติ ‘‘ปาปกา วต โภ ธมฺมา สเตฺตสุ ปาตุภูตา, มยญฺหิ ปุเพฺพ มโนมยา อหุมฺหา’’ติ อคฺคญฺญสุเตฺต (ที. นิ. ๓.๑๒๘) วุตฺตนเยน วิตฺถาเรตพฺพํฯ ตโต มริยาทํ ฐเปนฺติฯ

    Atha tesaṃ sattānaṃ rasapathaviṃ paribhuñjantānaṃ kamena ekacce vaṇṇavanto, ekacce dubbaṇṇā honti. Tattha vaṇṇavanto dubbaṇṇe atimaññanti. Tesaṃ atimānapaccayā sā rasapathavī antaradhāyati, bhūmipappaṭako pātubhavati. Atha tesaṃ teneva nayena sopi antaradhāyati, padālatā pātubhavati. Teneva nayena sāpi antaradhāyati, akaṭṭhapāko sāli pātubhavati akaṇo athuso suddho sugandhā taṇḍulapphalo. Tato nesaṃ bhājanāni uppajjanti. Te sāliṃ bhājane ṭhapetvā pāsāṇapiṭṭhiyaṃ ṭhapenti. Sayameva jālāsikhā uṭṭhahitvā taṃ pacati. So hoti odano sumanajātipupphasadiso. Na tassa sūpena vā byañjanena vā karaṇīyaṃ atthi, yaṃ yaṃ rasaṃ bhuñjitukāmā honti, taṃ taṃ rasova hoti. Tesaṃ taṃ oḷārikaṃ āhāraṃ āharayataṃ tato pabhuti muttakarīsaṃ sañjāyati. Atha nesaṃ tassa nikkhamanatthāya vaṇamukhāni pabhijjanti . Purisassa purisabhāvo, itthiyā itthibhāvo pātubhavati. Tatra sudaṃ itthī purisaṃ, puriso ca itthiṃ ativelaṃ upanijjhāyati. Tesaṃ ativelaṃ upanijjhāyanapaccayā kāmapariḷāho uppajjati. Tato methunaṃ dhammaṃ paṭisevanti. Te asaddhammapaṭisevanapaccayā viññūhi garahiyamānā viheṭhiyamānā tassa asaddhammassa paṭicchādanahetu agārāni karonti. Te agāraṃ ajjhāvasamānā anukkamena aññatarassa alasajātikassa sattassa diṭṭhānugatiṃ āpajjantā sannidhiṃ karonti. Tato pabhuti kaṇopi thusopi taṇḍulaṃ pariyonandhati, lāyitaṭṭhānampi na paṭivirūhati. Te sannipatitvā anutthunanti ‘‘pāpakā vata bho dhammā sattesu pātubhūtā, mayañhi pubbe manomayā ahumhā’’ti aggaññasutte (dī. ni. 3.128) vuttanayena vitthāretabbaṃ. Tato mariyādaṃ ṭhapenti.

    อถ อญฺญตโร สโตฺต อญฺญสฺส ภาคํ อทินฺนํ อาทิยติฯ ตํ ทฺวิกฺขตฺตุํ ปริภาสิตฺวา ตติยวาเร ปาณิเลฑฺฑุทเณฺฑหิ ปหรนฺติฯ เต เอวํ อทินฺนาทานครหมุสาวาททณฺฑาทาเนสุ อุปฺปเนฺนสุ สนฺนิปติตฺวา จินฺตยนฺติ ‘‘ยํนูน มยํ เอกํ สตฺตํ สมฺมเนฺนยฺยาม, โย โน สมฺมา ขียิตพฺพํ ขีเยยฺย, ครหิตพฺพํ ครเหยฺย, ปพฺพาเชตพฺพํ ปพฺพาเชยฺยฯ มยํ ปนสฺส สาลีนํ ภาคํ อนุปทสฺสามา’’ติฯ เอวํ กตสนฺนิฎฺฐาเนสุ ปน สเตฺตสุ อิมสฺมิํ ตาว กเปฺป อยเมว ภควา โพธิสตฺตภูโต เตน สมเยน เตสุ สเตฺตสุ อภิรูปตโร จ ทสฺสนียตโร จ มเหสกฺขตโร จ พุทฺธิสมฺปโนฺน ปฎิพโล นิคฺคหปคฺคหํ กาตุํฯ เต ตํ อุปสงฺกมิตฺวา ยาจิตฺวา สมฺมนฺนิํสุฯ โส ‘‘เตน มหาชเนน สมฺมโตติ มหาสมฺมโต, เขตฺตานํ อธิปตีติ ขตฺติโย, ธเมฺมน สเมน ปเร รเญฺชตีติ ราชา’’ติ ตีหิ นาเมหิ ปญฺญายิตฺถฯ ยญฺหิ โลเก อจฺฉริยฎฺฐานํ, โพธิสโตฺตว ตตฺถ อาทิปุริโสติฯ เอวํ โพธิสตฺตํ อาทิํ กตฺวา ขตฺติยมณฺฑเล สณฺฐิเต อนุปุเพฺพน พฺราหฺมณาทโยปิ วณฺณา สณฺฐหิํสุฯ ตตฺถ กปฺปวินาสกมหาเมฆโต ยาว ชาลูปเจฺฉโท, อิทเมกมสเงฺขยฺยํ สํวโฎฺฎติ วุจฺจติฯ กปฺปวินาสกชาลูปเจฺฉทโต ยาว โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาฬปริปูรโก สมฺปตฺติมหาเมโฆ, อิทํ ทุติยมสเงฺขยฺยํ สํวฎฺฎฎฺฐายีติ วุจฺจติฯ สมฺปตฺติมหาเมฆโต ยาว จนฺทิมสูริยปาตุภาโว, อิทํ ตติยมสเงฺขยฺยํ วิวโฎฺฎติ วุจฺจติฯ จนฺทิมสูริยปาตุภาวโต ยาว ปุน กปฺปวินาสกมหาเมโฆ, อิทํ จตุตฺถมสเงฺขยฺยํ วิวฎฺฎฎฺฐายีติ วุจฺจติฯ อิมานิ จตฺตาริ อสเงฺขยฺยานิ เอโก มหากโปฺป โหติฯ เอวํ ตาว อคฺคินา วินาโส จ สณฺฐหนญฺจ เวทิตพฺพํฯ

    Atha aññataro satto aññassa bhāgaṃ adinnaṃ ādiyati. Taṃ dvikkhattuṃ paribhāsitvā tatiyavāre pāṇileḍḍudaṇḍehi paharanti. Te evaṃ adinnādānagarahamusāvādadaṇḍādānesu uppannesu sannipatitvā cintayanti ‘‘yaṃnūna mayaṃ ekaṃ sattaṃ sammanneyyāma, yo no sammā khīyitabbaṃ khīyeyya, garahitabbaṃ garaheyya, pabbājetabbaṃ pabbājeyya. Mayaṃ panassa sālīnaṃ bhāgaṃ anupadassāmā’’ti. Evaṃ katasanniṭṭhānesu pana sattesu imasmiṃ tāva kappe ayameva bhagavā bodhisattabhūto tena samayena tesu sattesu abhirūpataro ca dassanīyataro ca mahesakkhataro ca buddhisampanno paṭibalo niggahapaggahaṃ kātuṃ. Te taṃ upasaṅkamitvā yācitvā sammanniṃsu. So ‘‘tena mahājanena sammatoti mahāsammato, khettānaṃ adhipatīti khattiyo, dhammena samena pare rañjetīti rājā’’ti tīhi nāmehi paññāyittha. Yañhi loke acchariyaṭṭhānaṃ, bodhisattova tattha ādipurisoti. Evaṃ bodhisattaṃ ādiṃ katvā khattiyamaṇḍale saṇṭhite anupubbena brāhmaṇādayopi vaṇṇā saṇṭhahiṃsu. Tattha kappavināsakamahāmeghato yāva jālūpacchedo, idamekamasaṅkheyyaṃ saṃvaṭṭoti vuccati. Kappavināsakajālūpacchedato yāva koṭisatasahassacakkavāḷaparipūrako sampattimahāmegho, idaṃ dutiyamasaṅkheyyaṃ saṃvaṭṭaṭṭhāyīti vuccati. Sampattimahāmeghato yāva candimasūriyapātubhāvo, idaṃ tatiyamasaṅkheyyaṃ vivaṭṭoti vuccati. Candimasūriyapātubhāvato yāva puna kappavināsakamahāmegho, idaṃ catutthamasaṅkheyyaṃ vivaṭṭaṭṭhāyīti vuccati. Imāni cattāri asaṅkheyyāni eko mahākappo hoti. Evaṃ tāva agginā vināso ca saṇṭhahanañca veditabbaṃ.

    ยสฺมิํ ปน สมเย กโปฺป อุทเกน นสฺสติ, อาทิโตว กปฺปวินาสกมหาเมโฆ อุฎฺฐหิตฺวาติ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว วิตฺถาเรตพฺพํฯ อยํ ปน วิเสโส – ยถา ตตฺถ ทุติโย สูริโย, เอวมิธ กปฺปวินาสโก ขารูทกมหาเมโฆ อุฎฺฐาติฯ โส อาทิโต สุขุมํ สุขุมํ วสฺสโนฺต อนุกฺกเมน มหาธาราหิ โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาฬานํ ปูเรโนฺต วสฺสติฯ ขารูทเกน ผุฎฺฐผุฎฺฐา ปถวีปพฺพตาทโย วิลียนฺติฯ อุทกํ สมนฺตโต วาเตหิ ธารียติฯ ปถวิโต ยาว ทุติยชฺฌานภูมิํ อุทกํ คณฺหาติ, ตตฺถ ตโยปิ พฺรหฺมโลเก วิลียาเปตฺวา สุภกิเณฺห อาหจฺจ ติฎฺฐติฯ ตํ ยาว อณุมตฺตมฺปิ สงฺขารคตํ อตฺถิ, ตาว น วูปสมฺมติฯ

    Yasmiṃ pana samaye kappo udakena nassati, āditova kappavināsakamahāmegho uṭṭhahitvāti pubbe vuttanayeneva vitthāretabbaṃ. Ayaṃ pana viseso – yathā tattha dutiyo sūriyo, evamidha kappavināsako khārūdakamahāmegho uṭṭhāti. So ādito sukhumaṃ sukhumaṃ vassanto anukkamena mahādhārāhi koṭisatasahassacakkavāḷānaṃ pūrento vassati. Khārūdakena phuṭṭhaphuṭṭhā pathavīpabbatādayo vilīyanti. Udakaṃ samantato vātehi dhārīyati. Pathavito yāva dutiyajjhānabhūmiṃ udakaṃ gaṇhāti, tattha tayopi brahmaloke vilīyāpetvā subhakiṇhe āhacca tiṭṭhati. Taṃ yāva aṇumattampi saṅkhāragataṃ atthi, tāva na vūpasammati.

    อุทกานุคตํ ปน สพฺพสงฺขารคตํ อภิภวิตฺวา สหสา วูปสมฺมติ, อนฺตรธานํ คจฺฉติฯ เหฎฺฐาอากาเสน สห อุปริอากาโส เอโก โหติ มหนฺธกาโรติ สพฺพํ วุตฺตสทิสํฯ เกวลํ ปนิธ อาภสฺสรพฺรหฺมโลกํ อาทิํ กตฺวา โลโก ปาตุภวติฯ สุภกิณฺหโต จ จวิตฺวา อาภสฺสรฎฺฐานาทีสุ สตฺตา นิพฺพตฺตนฺติฯ ตตฺถ กปฺปวินาสกมหาเมฆโต ยาว กปฺปวินาสกขารูทกูปเจฺฉโท, อิทเมกํ อสเงฺขยฺยํฯ อุทกูปเจฺฉทโต ยาว สมฺปตฺติมหาเมโฆ, อิทํ ทุติยมสเงฺขยฺยํฯ สมฺปตฺติมหาเมฆโต…เป.… อิมานิ จตฺตาริ อสเงฺขยฺยานิ เอโก มหากโปฺป โหติฯ เอวํ อุทเกน วินาโส จ สณฺฐหนญฺจ เวทิตพฺพํฯ

    Udakānugataṃ pana sabbasaṅkhāragataṃ abhibhavitvā sahasā vūpasammati, antaradhānaṃ gacchati. Heṭṭhāākāsena saha upariākāso eko hoti mahandhakāroti sabbaṃ vuttasadisaṃ. Kevalaṃ panidha ābhassarabrahmalokaṃ ādiṃ katvā loko pātubhavati. Subhakiṇhato ca cavitvā ābhassaraṭṭhānādīsu sattā nibbattanti. Tattha kappavināsakamahāmeghato yāva kappavināsakakhārūdakūpacchedo, idamekaṃ asaṅkheyyaṃ. Udakūpacchedato yāva sampattimahāmegho, idaṃ dutiyamasaṅkheyyaṃ. Sampattimahāmeghato…pe… imāni cattāri asaṅkheyyāni eko mahākappo hoti. Evaṃ udakena vināso ca saṇṭhahanañca veditabbaṃ.

    ยสฺมิํ ปน สมเย กโปฺป วาเตน วินสฺสติ, อาทิโตว กปฺปวินาสกมหาเมโฆ วุฎฺฐหิตฺวาติ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว วิตฺถาเรตพฺพํฯ อยํ ปน วิเสโส – ยถา ตตฺถ ทุติยสูริโย, เอวมิธ กปฺปวินาสนตฺถํ วาโต สมุฎฺฐาติฯ โส ปฐมํ ถูลรชํ อุฎฺฐาเปติ, ตโต สณฺหรชํ สุขุมวาลิกํ ถูลวาลิกํ สกฺขรปาสาณาทโยติ ยาว กูฎาคารมเตฺต ปาสาเณ วิสมฎฺฐาเน ฐิตมหารุเกฺข จ อุฎฺฐาเปติฯ เต ปถวิโต นภมุคฺคตา น ปุน ปตนฺติ, ตเตฺถว จุณฺณวิจุณฺณา หุตฺวา อภาวํ คจฺฉนฺติฯ อถานุกฺกเมน เหฎฺฐามหาปถวิยา วาโต สมุฎฺฐหิตฺวา ปถวิํ ปริวเตฺตตฺวา อุทฺธํ มูลํ กตฺวา อากาเส ขิปติฯ โยชนสตปฺปมาณา ปถวิปฺปเทสา ทฺวิโยชนติโยชนจตุโยชนปญฺจโยชนสตปฺปมาณาปิ ภิชฺชิตฺวา วาตเวคุกฺขิตฺตา อากาเสเยว จุณฺณวิจุณฺณา หุตฺวา อภาวํ คจฺฉนฺติฯ จกฺกวาฬปพฺพตมฺปิ สิเนรุปพฺพตมฺปิ วาโต อุกฺขิปิตฺวา อากาเส ขิปติฯ เต อญฺญมญฺญํ อภิหนฺตฺวา จุณฺณวิจุณฺณา หุตฺวา วินสฺสนฺติฯ เอเตเนว อุปาเยน ภูมฎฺฐกวิมานานิ จ อากาสฎฺฐกวิมานานิ จ วินาเสโนฺต ฉ กามาวจรเทวโลเก วินาเสตฺวา โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาฬานิ วินาเสติฯ ตตฺถ จกฺกวาฬา จกฺกวาเฬหิ, หิมวนฺตา หิมวเนฺตหิ, สิเนรู สิเนรูหิ อญฺญมญฺญํ สมาคนฺตฺวา จุณฺณวิจุณฺณา หุตฺวา วินสฺสนฺติฯ ปถวิโต ยาว ตติยชฺฌานภูมิํ วาโต คณฺหาติ, ตตฺถ ตโย พฺรหฺมโลเก วินาเสตฺวา เวหปฺผเล อาหจฺจ ติฎฺฐติฯ เอวํ สพฺพสงฺขารคตํ วินาเสตฺวา สยมฺปิ วินสฺสติฯ เหฎฺฐาอากาเสน สห อุปริอากาโส เอโก โหติ มหนฺธกาโรติ สพฺพํ วุตฺตสทิสํฯ อิธ ปน สุภกิณฺหพฺรหฺมโลกํ อาทิํ กตฺวา โลโก ปาตุภวติฯ เวหปฺผลโต จ จวิตฺวา สุภกิณฺหฎฺฐานาทีสุ สตฺตา นิพฺพตฺตนฺติฯ ตตฺถ กปฺปวินาสกมหาเมฆโต ยาว กปฺปวินาสกวาตูปเจฺฉโท, อิทเมกํ อสเงฺขยฺยํฯ วาตูปเจฺฉทโต ยาว สมฺปตฺติมหาเมโฆ, อิทํ ทุติยมสเงฺขยฺยํ…เป.… อิมานิ จตฺตาริ อสเงฺขยฺยานิ เอโก มหากโปฺป โหติฯ เอวํ วาเตน วินาโส จ สณฺฐหนญฺจ เวทิตพฺพํฯ

    Yasmiṃ pana samaye kappo vātena vinassati, āditova kappavināsakamahāmegho vuṭṭhahitvāti pubbe vuttanayeneva vitthāretabbaṃ. Ayaṃ pana viseso – yathā tattha dutiyasūriyo, evamidha kappavināsanatthaṃ vāto samuṭṭhāti. So paṭhamaṃ thūlarajaṃ uṭṭhāpeti, tato saṇharajaṃ sukhumavālikaṃ thūlavālikaṃ sakkharapāsāṇādayoti yāva kūṭāgāramatte pāsāṇe visamaṭṭhāne ṭhitamahārukkhe ca uṭṭhāpeti. Te pathavito nabhamuggatā na puna patanti, tattheva cuṇṇavicuṇṇā hutvā abhāvaṃ gacchanti. Athānukkamena heṭṭhāmahāpathaviyā vāto samuṭṭhahitvā pathaviṃ parivattetvā uddhaṃ mūlaṃ katvā ākāse khipati. Yojanasatappamāṇā pathavippadesā dviyojanatiyojanacatuyojanapañcayojanasatappamāṇāpi bhijjitvā vātavegukkhittā ākāseyeva cuṇṇavicuṇṇā hutvā abhāvaṃ gacchanti. Cakkavāḷapabbatampi sinerupabbatampi vāto ukkhipitvā ākāse khipati. Te aññamaññaṃ abhihantvā cuṇṇavicuṇṇā hutvā vinassanti. Eteneva upāyena bhūmaṭṭhakavimānāni ca ākāsaṭṭhakavimānāni ca vināsento cha kāmāvacaradevaloke vināsetvā koṭisatasahassacakkavāḷāni vināseti. Tattha cakkavāḷā cakkavāḷehi, himavantā himavantehi, sinerū sinerūhi aññamaññaṃ samāgantvā cuṇṇavicuṇṇā hutvā vinassanti. Pathavito yāva tatiyajjhānabhūmiṃ vāto gaṇhāti, tattha tayo brahmaloke vināsetvā vehapphale āhacca tiṭṭhati. Evaṃ sabbasaṅkhāragataṃ vināsetvā sayampi vinassati. Heṭṭhāākāsena saha upariākāso eko hoti mahandhakāroti sabbaṃ vuttasadisaṃ. Idha pana subhakiṇhabrahmalokaṃ ādiṃ katvā loko pātubhavati. Vehapphalato ca cavitvā subhakiṇhaṭṭhānādīsu sattā nibbattanti. Tattha kappavināsakamahāmeghato yāva kappavināsakavātūpacchedo, idamekaṃ asaṅkheyyaṃ. Vātūpacchedato yāva sampattimahāmegho, idaṃ dutiyamasaṅkheyyaṃ…pe… imāni cattāri asaṅkheyyāni eko mahākappo hoti. Evaṃ vātena vināso ca saṇṭhahanañca veditabbaṃ.

    กิํ การณา เอวํ โลโก วินสฺสติ? อกุสลมูลการณาฯ อกุสลมูเลสุ หิ อุสฺสเนฺนสุ เอวํ โลโก วินสฺสติฯ โส จ โข ราเค อุสฺสนฺนตเร อคฺคินา วินสฺสติ, โทเส อุสฺสนฺนตเร อุทเกน วินสฺสติฯ เกจิ ปน ‘‘โทเส อุสฺสนฺนตเร อคฺคินา, ราเค อุทเกนา’’ติ วทนฺติฯ โมเห อุสฺสนฺนตเร วาเตน วินสฺสติฯ เอวํ วินสฺสโนฺตปิ จ นิรนฺตรเมว สตฺต วาเร อคฺคินา นสฺสติ, อฎฺฐเม วาเร อุทเกนฯ ปุน สตฺต วาเร อคฺคินา, อฎฺฐเม วาเร อุทเกนาติ เอวํ อฎฺฐเม อฎฺฐเม วาเร วินสฺสโนฺต สตฺตกฺขตฺตุํ อุทเกน วินสฺสิตฺวา ปุน สตฺต วาเร อคฺคินา นสฺสติฯ เอตฺตาวตา เตสฎฺฐิ กปฺปา อตีตา โหนฺติฯ เอตฺถนฺตเร อุทเกน นสฺสนวารํ สมฺปตฺตมฺปิ ปฎิพาหิตฺวา ลโทฺธกาโส วาโต ปริปุณฺณจตุสฎฺฐิกปฺปายุเก สุภกิเณฺห วิทฺธํเสโนฺต โลกํ วินาเสติฯ

    Kiṃ kāraṇā evaṃ loko vinassati? Akusalamūlakāraṇā. Akusalamūlesu hi ussannesu evaṃ loko vinassati. So ca kho rāge ussannatare agginā vinassati, dose ussannatare udakena vinassati. Keci pana ‘‘dose ussannatare agginā, rāge udakenā’’ti vadanti. Mohe ussannatare vātena vinassati. Evaṃ vinassantopi ca nirantarameva satta vāre agginā nassati, aṭṭhame vāre udakena. Puna satta vāre agginā, aṭṭhame vāre udakenāti evaṃ aṭṭhame aṭṭhame vāre vinassanto sattakkhattuṃ udakena vinassitvā puna satta vāre agginā nassati. Ettāvatā tesaṭṭhi kappā atītā honti. Etthantare udakena nassanavāraṃ sampattampi paṭibāhitvā laddhokāso vāto paripuṇṇacatusaṭṭhikappāyuke subhakiṇhe viddhaṃsento lokaṃ vināseti.

    ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรโนฺตปิ จ กปฺปานุสฺสรณโก ภิกฺขุ เอเตสุ กเปฺปสุ อเนเกปิ สํวฎฺฎกเปฺป อเนเกปิ วิวฎฺฎกเปฺป อเนเกปิ สํวฎฺฎวิวฎฺฎกเปฺป อนุสฺสรติฯ สํวฎฺฎกเปฺป วิวฎฺฎกเปฺปติ จ กปฺปสฺส อฑฺฒํ คเหตฺวา วุตฺตํฯ สํวฎฺฎวิวฎฺฎกเปฺปติ สกลกปฺปํ คเหตฺวา วุตฺตํฯ กถํ อนุสฺสรตีติ เจ? อมุตฺราสินฺติอาทินา นเยนฯ ตตฺถ อมุตฺราสินฺติ อมุมฺหิ สํวฎฺฎกเปฺป อหํ อมุมฺหิ ภเว วา โยนิยา วา คติยา วา วิญฺญาณฎฺฐิติยา วา สตฺตาวาเส วา สตฺตนิกาเย วา อาสิํฯ เอวํนาโมติ ติโสฺส วา ผุโสฺส วาฯ เอวํโคโตฺตติ กจฺจาโน วา กสฺสโป วาฯ อิทมสฺส อตีตภเว อตฺตโน นามโคตฺตานุสฺสรณวเสน วุตฺตํฯ สเจ ปน ตสฺมิํ กาเล อตฺตโน วณฺณสมฺปตฺติํ วา ลูขปณีตชีวิกภาวํ วา สุขทุกฺขพหุลตํ วา อปฺปายุกทีฆายุกภาวํ วา อนุสฺสริตุกาโม โหติ, ตมฺปิ อนุสฺสรติเยวฯ เตนาห ‘‘เอวํวโณฺณ…เป.… เอวมายุปริยโนฺต’’ติฯ ตตฺถ เอวํวโณฺณติ โอทาโต วา สาโม วาฯ เอวมาหาโรติ สาลิมํโสทนาหาโร วา ปวตฺตผลโภชโน วาฯ เอวํสุขทุกฺขปฺปฎิสํเวทีติ อเนกปฺปกาเรน กายิกเจตสิกานํ สามิสนิรามิสาทิปฺปเภทานํ วา สุขทุกฺขานํ ปฎิสํเวทีฯ เอวมายุปริยโนฺตติ เอวํ วสฺสสตปริมาณายุปริยโนฺต วา จตุราสีติกปฺปสตสหสฺสายุปริยโนฺต วาฯ

    Pubbenivāsaṃ anussarantopi ca kappānussaraṇako bhikkhu etesu kappesu anekepi saṃvaṭṭakappe anekepi vivaṭṭakappe anekepi saṃvaṭṭavivaṭṭakappe anussarati. Saṃvaṭṭakappe vivaṭṭakappeti ca kappassa aḍḍhaṃ gahetvā vuttaṃ. Saṃvaṭṭavivaṭṭakappeti sakalakappaṃ gahetvā vuttaṃ. Kathaṃ anussaratīti ce? Amutrāsintiādinā nayena. Tattha amutrāsinti amumhi saṃvaṭṭakappe ahaṃ amumhi bhave vā yoniyā vā gatiyā vā viññāṇaṭṭhitiyā vā sattāvāse vā sattanikāye vā āsiṃ. Evaṃnāmoti tisso vā phusso vā. Evaṃgottoti kaccāno vā kassapo vā. Idamassa atītabhave attano nāmagottānussaraṇavasena vuttaṃ. Sace pana tasmiṃ kāle attano vaṇṇasampattiṃ vā lūkhapaṇītajīvikabhāvaṃ vā sukhadukkhabahulataṃ vā appāyukadīghāyukabhāvaṃ vā anussaritukāmo hoti, tampi anussaratiyeva. Tenāha ‘‘evaṃvaṇṇo…pe… evamāyupariyanto’’ti. Tattha evaṃvaṇṇoti odāto vā sāmo vā. Evamāhāroti sālimaṃsodanāhāro vā pavattaphalabhojano vā. Evaṃsukhadukkhappaṭisaṃvedīti anekappakārena kāyikacetasikānaṃ sāmisanirāmisādippabhedānaṃ vā sukhadukkhānaṃ paṭisaṃvedī. Evamāyupariyantoti evaṃ vassasataparimāṇāyupariyanto vā caturāsītikappasatasahassāyupariyanto vā.

    โส ตโต จุโต อมุตฺร อุทปาทินฺติ โส อหํ ตโต ภวโต โยนิโต คติโต วิญฺญาณฎฺฐิติโต สตฺตาวาสโต สตฺตนิกายโต วา จุโต ปุน อมุกสฺมิํ นาม ภเว โยนิยา คติยา วิญฺญาณฎฺฐิติยา สตฺตาวาเส สตฺตนิกาเย วา อุทปาทิํฯ ตตฺราปาสินฺติ อถ ตตฺราปิ ภเว โยนิยา คติยา วิญฺญาณฎฺฐิติยา สตฺตาวาเส สตฺตนิกาเย วา ปุน อโหสิํฯ เอวํนาโมติอาทิ วุตฺตนยเมวฯ อปิจ ยสฺมา อมุตฺราสินฺติ อิทํ อนุปุเพฺพน อาโรหนฺตสฺส ยาวติจฺฉกํ (วิสุทฺธิ. ๒.๔๑๐) อนุสฺสรณํ, โส ตโต จุโตติ ปฎินิวตฺตนฺตสฺส ปจฺจเวกฺขณํ, ตสฺมา อิธูปปโนฺนติ อิมิสฺสา อิธูปปตฺติยา อนนฺตรเมวสฺส อุปปตฺติฎฺฐานํ สนฺธาย อมุตฺร อุทปาทินฺติ อิทํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ตตฺราปาสินฺติ เอวมาทิ ปนสฺส ตตฺร อิมิสฺสา อุปปตฺติยา อนนฺตเร อุปปตฺติฎฺฐาเน นามโคตฺตาทีนํ อนุสฺสรณทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ โส ตโต จุโต อิธูปปโนฺนติ สฺวาหํ ตโต อนนฺตรูปปตฺติฎฺฐานโต จุโต อิธ อมุกสฺมิํ นาม ขตฺติยกุเล วา พฺราหฺมณกุเล วา นิพฺพโตฺตติฯ อิตีติ เอวํฯ สาการํ สอุเทฺทสนฺติ นามโคตฺตวเสน สอุเทฺทสํ, วณฺณาทิวเสน สาการํฯ นามโคเตฺตน หิ สโตฺต ติโสฺส ผุโสฺส กสฺสโปติ อุทฺทิสียติ, วณฺณาทีหิ สาโม โอทาโตติ นานตฺตโต ปญฺญายติฯ ตสฺมา นามโคตฺตํ อุเทฺทโส, อิตเร อาการาติฯ

    Sotato cuto amutra udapādinti so ahaṃ tato bhavato yonito gatito viññāṇaṭṭhitito sattāvāsato sattanikāyato vā cuto puna amukasmiṃ nāma bhave yoniyā gatiyā viññāṇaṭṭhitiyā sattāvāse sattanikāye vā udapādiṃ. Tatrāpāsinti atha tatrāpi bhave yoniyā gatiyā viññāṇaṭṭhitiyā sattāvāse sattanikāye vā puna ahosiṃ. Evaṃnāmotiādi vuttanayameva. Apica yasmā amutrāsinti idaṃ anupubbena ārohantassa yāvaticchakaṃ (visuddhi. 2.410) anussaraṇaṃ, so tato cutoti paṭinivattantassa paccavekkhaṇaṃ, tasmā idhūpapannoti imissā idhūpapattiyā anantaramevassa upapattiṭṭhānaṃ sandhāya amutra udapādinti idaṃ vuttanti veditabbaṃ. Tatrāpāsinti evamādi panassa tatra imissā upapattiyā anantare upapattiṭṭhāne nāmagottādīnaṃ anussaraṇadassanatthaṃ vuttaṃ. So tato cuto idhūpapannoti svāhaṃ tato anantarūpapattiṭṭhānato cuto idha amukasmiṃ nāma khattiyakule vā brāhmaṇakule vā nibbattoti. Itīti evaṃ. Sākāraṃ sauddesanti nāmagottavasena sauddesaṃ, vaṇṇādivasena sākāraṃ. Nāmagottena hi satto tisso phusso kassapoti uddisīyati, vaṇṇādīhi sāmo odātoti nānattato paññāyati. Tasmā nāmagottaṃ uddeso, itare ākārāti.

    ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Pubbenivāsānussatiñāṇaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ปฎิสมฺภิทามคฺคปาฬิ • Paṭisambhidāmaggapāḷi / ๕๓. ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณนิเทฺทโส • 53. Pubbenivāsānussatiñāṇaniddeso


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact