Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
๒. ปุจิมนฺทวโคฺค
2. Pucimandavaggo
[๓๑๑] ๑. ปุจิมนฺทชาตกวณฺณนา
[311] 1. Pucimandajātakavaṇṇanā
อุเฎฺฐหิ โจราติ อิทํ สตฺถา เวฬุวเน วิหรโนฺต อายสฺมนฺตํ มหาโมคฺคลฺลานํ อารพฺภ กเถสิฯ เถเร กิร ราชคหํ อุปนิสฺสาย อรญฺญกุฎิกาย วิหรเนฺต เอโก โจโร นครทฺวารคาเม เอกสฺมิํ เคเห สนฺธิํ ฉินฺทิตฺวา หตฺถสารํ อาทาย ปลายิตฺวา เถรสฺส กุฎิปริเวณํ ปวิสิตฺวา ‘‘อิธ มยฺหํ อารโกฺข ภวิสฺสตี’’ติ เถรสฺส ปณฺณสาลาย ปมุเข นิปชฺชิฯ เถโร ตสฺส ปมุเข สยิตภาวํ ญตฺวา ตสฺมิํ อาสงฺกํ กตฺวา ‘‘โจรสํสโคฺค นาม น วฎฺฎตี’’ติ นิกฺขมิตฺวา ‘‘มา อิธ สยี’’ติ นีหริฯ โส โจโร ตโต นิกฺขมิตฺวา ปทํ โมเหตฺวา ปลายิฯ มนุสฺสา อุกฺกํ อาทาย โจรสฺส ปทานุสาเรน ตตฺถ อาคนฺตฺวา ตสฺส อาคตฎฺฐานฐิตฎฺฐานนิสินฺนฎฺฐานสยิตฎฺฐานาทีนิ ทิสฺวา ‘‘โจโร อิโต อาคโต, อิธ ฐิโต, อิธ นิสิโนฺน, อิมินา ฐาเนน อปคโต, น ทิโฎฺฐ โน’’ติ อิโต จิโต จ ปกฺขนฺทิตฺวา อทิสฺวาว ปฎิคตาฯ ปุนทิวเส เถโร ปุพฺพณฺหสมยํ ราชคเห ปิณฺฑาย จริตฺวา ปิณฺฑปาตปฎิกฺกโนฺต เวฬุวนํ คนฺตฺวา ตํ ปวตฺติํ สตฺถุ อาโรเจสิฯ สตฺถา ‘‘น โข, โมคฺคลฺลาน, ตฺวเญฺญว อาสงฺกิตพฺพยุตฺตกํ อาสงฺกิ, โปราณกปณฺฑิตาปิ อาสงฺกิํสู’’ติ วตฺวา เถเรน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ
Uṭṭhehicorāti idaṃ satthā veḷuvane viharanto āyasmantaṃ mahāmoggallānaṃ ārabbha kathesi. There kira rājagahaṃ upanissāya araññakuṭikāya viharante eko coro nagaradvāragāme ekasmiṃ gehe sandhiṃ chinditvā hatthasāraṃ ādāya palāyitvā therassa kuṭipariveṇaṃ pavisitvā ‘‘idha mayhaṃ ārakkho bhavissatī’’ti therassa paṇṇasālāya pamukhe nipajji. Thero tassa pamukhe sayitabhāvaṃ ñatvā tasmiṃ āsaṅkaṃ katvā ‘‘corasaṃsaggo nāma na vaṭṭatī’’ti nikkhamitvā ‘‘mā idha sayī’’ti nīhari. So coro tato nikkhamitvā padaṃ mohetvā palāyi. Manussā ukkaṃ ādāya corassa padānusārena tattha āgantvā tassa āgataṭṭhānaṭhitaṭṭhānanisinnaṭṭhānasayitaṭṭhānādīni disvā ‘‘coro ito āgato, idha ṭhito, idha nisinno, iminā ṭhānena apagato, na diṭṭho no’’ti ito cito ca pakkhanditvā adisvāva paṭigatā. Punadivase thero pubbaṇhasamayaṃ rājagahe piṇḍāya caritvā piṇḍapātapaṭikkanto veḷuvanaṃ gantvā taṃ pavattiṃ satthu ārocesi. Satthā ‘‘na kho, moggallāna, tvaññeva āsaṅkitabbayuttakaṃ āsaṅki, porāṇakapaṇḍitāpi āsaṅkiṃsū’’ti vatvā therena yācito atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต นครสฺส สุสานวเน นิมฺพรุกฺขเทวตา หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ อเถกทิวสํ นครทฺวารคาเม กตกมฺมโจโร ตํ สุสานวนํ ปาวิสิฯ ตทา จ ปน ตตฺถ นิโมฺพ จ อสฺสโตฺถ จาติ เทฺว เชฎฺฐกรุกฺขาฯ โจโร นิมฺพรุกฺขมูเล ภณฺฑิกํ ฐเปตฺวา นิปชฺชิฯ ตสฺมิํ ปน กาเล โจเร คเหตฺวา นิมฺพสูเล อุตฺตาเสนฺติฯ อถ สา เทวตา จิเนฺตสิ ‘‘สเจ มนุสฺสา อาคนฺตฺวา อิมํ โจรํ คณฺหิสฺสนฺติ, อิมเสฺสว นิมฺพรุกฺขสฺส สาขํ ฉินฺทิตฺวา สูลํ กตฺวา เอตํ อุตฺตาเสสฺสนฺติ, เอวํ สเนฺต รุโกฺข นสฺสิสฺสติ, หนฺท นํ อิโต นีหริสฺสามี’’ติฯ สา เตน สทฺธิํ สลฺลปนฺตี ปฐมํ คาถมาห –
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto nagarassa susānavane nimbarukkhadevatā hutvā nibbatti. Athekadivasaṃ nagaradvāragāme katakammacoro taṃ susānavanaṃ pāvisi. Tadā ca pana tattha nimbo ca assattho cāti dve jeṭṭhakarukkhā. Coro nimbarukkhamūle bhaṇḍikaṃ ṭhapetvā nipajji. Tasmiṃ pana kāle core gahetvā nimbasūle uttāsenti. Atha sā devatā cintesi ‘‘sace manussā āgantvā imaṃ coraṃ gaṇhissanti, imasseva nimbarukkhassa sākhaṃ chinditvā sūlaṃ katvā etaṃ uttāsessanti, evaṃ sante rukkho nassissati, handa naṃ ito nīharissāmī’’ti. Sā tena saddhiṃ sallapantī paṭhamaṃ gāthamāha –
๔๑.
41.
‘‘อุเฎฺฐหิ โจร กิํ เสสิ, โก อโตฺถ สุปเนน เต;
‘‘Uṭṭhehi cora kiṃ sesi, ko attho supanena te;
มา ตํ คเหสุํ ราชาโน, คาเม กิพฺพิสการก’’นฺติฯ
Mā taṃ gahesuṃ rājāno, gāme kibbisakāraka’’nti.
ตตฺถ ราชาโนติ ราชปุริเส สนฺธาย วุตฺตํฯ กิพฺพิสการกนฺติ ทารุณสาหสิกโจรกมฺมการกํฯ
Tattha rājānoti rājapurise sandhāya vuttaṃ. Kibbisakārakanti dāruṇasāhasikacorakammakārakaṃ.
อิติ นํ วตฺวา ‘‘ยาว ตํ ราชปุริสา น คณฺหนฺติ, ตาว อญฺญตฺถ คจฺฉา’’ติ ภายาเปตฺวา ปลาเปสิฯ ตสฺมิํ ปลาเต อสฺสตฺถเทวตา ทุติยํ คาถมาห –
Iti naṃ vatvā ‘‘yāva taṃ rājapurisā na gaṇhanti, tāva aññattha gacchā’’ti bhāyāpetvā palāpesi. Tasmiṃ palāte assatthadevatā dutiyaṃ gāthamāha –
๔๒.
42.
‘‘ยํ นุ โจรํ คเหสฺสนฺติ, คาเม กิพฺพิสการกํ;
‘‘Yaṃ nu coraṃ gahessanti, gāme kibbisakārakaṃ;
กิํ ตตฺถ ปุจิมนฺทสฺส, วเน ชาตสฺส ติฎฺฐโต’’ติฯ
Kiṃ tattha pucimandassa, vane jātassa tiṭṭhato’’ti.
ตตฺถ วเน ชาตสฺส ติฎฺฐโตติ นิโมฺพ วเน ชาโต เจว ฐิโต จฯ เทวตา ปน ตตฺถ นิพฺพตฺตตฺตา รุกฺขสมุทาจาเรเนว สมุทาจริฯ
Tattha vane jātassa tiṭṭhatoti nimbo vane jāto ceva ṭhito ca. Devatā pana tattha nibbattattā rukkhasamudācāreneva samudācari.
ตํ สุตฺวา นิมฺพเทวตา ตติยํ คาถมาห –
Taṃ sutvā nimbadevatā tatiyaṃ gāthamāha –
๔๓.
43.
‘‘น ตฺวํ อสฺสตฺถ ชานาสิ, มม โจรสฺส จนฺตรํ;
‘‘Na tvaṃ assattha jānāsi, mama corassa cantaraṃ;
โจรํ คเหตฺวา ราชาโน, คาเม กิพฺพิสการกํ;
Coraṃ gahetvā rājāno, gāme kibbisakārakaṃ;
อเปฺปนฺติ นิมฺพสูลสฺมิํ, ตสฺมิํ เม สงฺกเต มโน’’ติฯ
Appenti nimbasūlasmiṃ, tasmiṃ me saṅkate mano’’ti.
ตตฺถ อสฺสตฺถาติ ปุริมนเยเนว ตสฺมิํ นิพฺพตฺตเทวตํ สมุทาจรติฯ มม โจรสฺส จนฺตรนฺติ มม จ โจรสฺส จ เอกโต อวสนการณํฯ อเปฺปนฺติ นิมฺพสูลสฺมินฺติ อิมสฺมิํ กาเล ราชาโน โจรํ นิมฺพสูเล อาวุณนฺติฯ ตสฺมิํ เม สงฺกเต มโนติ ตสฺมิํ การเณ มม จิตฺตํ สงฺกติฯ สเจ หิ อิมํ สูเล อาวุณิสฺสนฺติ, วิมานํ เม นสฺสิสฺสติ, อถ สาขาย โอลเมฺพสฺสนฺติ, วิมาเน เม กุณปคโนฺธ ภวิสฺสติ, เตนาหํ เอตํ ปลาเปสินฺติ อโตฺถฯ
Tattha assatthāti purimanayeneva tasmiṃ nibbattadevataṃ samudācarati. Mama corassa cantaranti mama ca corassa ca ekato avasanakāraṇaṃ. Appenti nimbasūlasminti imasmiṃ kāle rājāno coraṃ nimbasūle āvuṇanti. Tasmiṃ me saṅkate manoti tasmiṃ kāraṇe mama cittaṃ saṅkati. Sace hi imaṃ sūle āvuṇissanti, vimānaṃ me nassissati, atha sākhāya olambessanti, vimāne me kuṇapagandho bhavissati, tenāhaṃ etaṃ palāpesinti attho.
เอวํ ตาสํ เทวตานํ อญฺญมญฺญํ สลฺลปนฺตานเญฺญว ภณฺฑสามิกา อุกฺกาหตฺถา ปทานุสาเรน อาคนฺตฺวา โจรสฺส สยิตฎฺฐานํ ทิสฺวา ‘‘อโมฺภ อิทาเนว โจโร อุฎฺฐาย ปลาโต, น ลโทฺธ โน โจโร, สเจ ลภิสฺสาม, อิมเสฺสว นํ นิมฺพสฺส สูเล วา อาวุณิตฺวา สาขาย วา โอลเมฺพตฺวา คมิสฺสามา’’ติ วตฺวา อิโต จิโต จ ปกฺขนฺทิตฺวา โจรํ อทิสฺวาว คตาฯ
Evaṃ tāsaṃ devatānaṃ aññamaññaṃ sallapantānaññeva bhaṇḍasāmikā ukkāhatthā padānusārena āgantvā corassa sayitaṭṭhānaṃ disvā ‘‘ambho idāneva coro uṭṭhāya palāto, na laddho no coro, sace labhissāma, imasseva naṃ nimbassa sūle vā āvuṇitvā sākhāya vā olambetvā gamissāmā’’ti vatvā ito cito ca pakkhanditvā coraṃ adisvāva gatā.
เตสํ วจนํ สุตฺวา อสฺสตฺถเทวตา จตุตฺถํ คาถมาห –
Tesaṃ vacanaṃ sutvā assatthadevatā catutthaṃ gāthamāha –
๔๔.
44.
‘‘สเงฺกยฺย สงฺกิตพฺพานิ, รเกฺขยฺยานาคตํ ภยํ;
‘‘Saṅkeyya saṅkitabbāni, rakkheyyānāgataṃ bhayaṃ;
อนาคตภยา ธีโร, อุโภ โลเก อเวกฺขตี’’ติฯ
Anāgatabhayā dhīro, ubho loke avekkhatī’’ti.
ตตฺถ รเกฺขยฺยานาคตํ ภยนฺติ เทฺว อนาคตภยานิ ทิฎฺฐธมฺมิกเญฺจว สมฺปรายิกญฺจาติฯ เตสุ ปาปมิเตฺต ปริวเชฺชโนฺต ทิฎฺฐธมฺมิกํ รกฺขติ, ตีณิ ทุจฺจริตานิ ปริวเชฺชโนฺต สมฺปรายิกํ รกฺขติฯ อนาคตภยาติ อนาคตภยเหตุตํ ภยํ ภายมาโน ธีโร ปณฺฑิโต ปุริโส ปาปมิตฺตสํสคฺคํ น กโรติ, ตีหิปิ ทฺวาเรหิ ทุจฺจริตํ น จรติฯ อุโภ โลเกติ เอวํ ภายโนฺต เหส อิธโลกปรโลกสงฺขาเต อุโภ โลเก อเวกฺขติ โอโลเกติ, โอโลกยมาโน อิธโลกภเยน ปาปมิเตฺต วิวเชฺชติ, ปรโลกภเยน ปาปํ น กโรตีติฯ
Tattha rakkheyyānāgataṃ bhayanti dve anāgatabhayāni diṭṭhadhammikañceva samparāyikañcāti. Tesu pāpamitte parivajjento diṭṭhadhammikaṃ rakkhati, tīṇi duccaritāni parivajjento samparāyikaṃ rakkhati. Anāgatabhayāti anāgatabhayahetutaṃ bhayaṃ bhāyamāno dhīro paṇḍito puriso pāpamittasaṃsaggaṃ na karoti, tīhipi dvārehi duccaritaṃ na carati. Ubho loketi evaṃ bhāyanto hesa idhalokaparalokasaṅkhāte ubho loke avekkhati oloketi, olokayamāno idhalokabhayena pāpamitte vivajjeti, paralokabhayena pāpaṃ na karotīti.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา อสฺสตฺถเทวตา อานโนฺท อโหสิ, นิมฺพเทวตา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā assatthadevatā ānando ahosi, nimbadevatā pana ahameva ahosi’’nti.
ปุจิมนฺทชาตกวณฺณนา ปฐมาฯ
Pucimandajātakavaṇṇanā paṭhamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๑๑. ปุจิมนฺทชาตกํ • 311. Pucimandajātakaṃ