Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อิติวุตฺตก-อฎฺฐกถา • Itivuttaka-aṭṭhakathā

    ๒. ทุติยวโคฺค

    2. Dutiyavaggo

    ๑. ปุญฺญกิริยวตฺถุสุตฺตวณฺณนา

    1. Puññakiriyavatthusuttavaṇṇanā

    ๖๐. ทุติยวคฺคสฺส ปฐเม ปุญฺญกิริยวตฺถูนีติ ปุชฺชภวผลํ นิพฺพเตฺตนฺติ, อตฺตโน สนฺตานํ ปุนนฺตีติ วา ปุญฺญานิ, ปุญฺญานิ จ ตานิ เหตุปจฺจเยหิ กตฺตพฺพโต กิริยา จาติ ปุญฺญกิริยาฯ ตา เอว จ เตสํ เตสํ อานิสํสานํ วตฺถุภาวโต ปุญฺญกิริยวตฺถูนิฯ ทานมยนฺติ อนุปจฺฉินฺนภวมูลสฺส อนุคฺคหวเสน ปูชาวเสน วา อตฺตโน เทยฺยธมฺมสฺส ปเรสํ ปริจฺจาคเจตนา ทียติ เอตายาติ ทานํ, ทานเมว ทานมยํฯ จีวราทีสุ หิ จตูสุ ปจฺจเยสุ อนฺนาทีสุ วา ทสสุ ทานวตฺถูสุ รูปาทีสุ วา ฉสุ อารมฺมเณสุ ตํ ตํ เทนฺตสฺส เตสํ อุปฺปาทนโต ปฎฺฐาย ปุพฺพภาเค ปริจฺจาคกาเล ปจฺฉา โสมนสฺสจิเตฺตน อนุสฺสรเณ จาติ ตีสุ กาเลสุ วุตฺตนเยน ปวตฺตเจตนา ทานมยํ ปุญฺญกิริยวตฺถุ นามฯ

    60. Dutiyavaggassa paṭhame puññakiriyavatthūnīti pujjabhavaphalaṃ nibbattenti, attano santānaṃ punantīti vā puññāni, puññāni ca tāni hetupaccayehi kattabbato kiriyā cāti puññakiriyā. Tā eva ca tesaṃ tesaṃ ānisaṃsānaṃ vatthubhāvato puññakiriyavatthūni. Dānamayanti anupacchinnabhavamūlassa anuggahavasena pūjāvasena vā attano deyyadhammassa paresaṃ pariccāgacetanā dīyati etāyāti dānaṃ, dānameva dānamayaṃ. Cīvarādīsu hi catūsu paccayesu annādīsu vā dasasu dānavatthūsu rūpādīsu vā chasu ārammaṇesu taṃ taṃ dentassa tesaṃ uppādanato paṭṭhāya pubbabhāge pariccāgakāle pacchā somanassacittena anussaraṇe cāti tīsu kālesu vuttanayena pavattacetanā dānamayaṃ puññakiriyavatthu nāma.

    สีลมยนฺติ นิจฺจสีลอุโปสถนิยมาทิวเสน ปญฺจ, อฎฺฐ, ทส วา สีลานิ สมาทิยนฺตสฺส สีลปูรณตฺถํ ปพฺพชิสฺสามีติ วิหารํ คจฺฉนฺตสฺส ปพฺพชนฺตสฺส มโนรถํ มตฺถกํ ปาเปตฺวา ‘‘ปพฺพชิโต วตมฺหิ สาธุ สุฎฺฐู’’ติ อาวเชฺชนฺตสฺส สทฺธาย ปาติโมกฺขํ ปริปูเรนฺตสฺส ปญฺญาย จีวราทิเก ปจฺจเวกฺขนฺตสฺส สติยา อาปาถคเตสุ รูปาทีสุ จกฺขุทฺวาราทีนิ สํวรนฺตสฺส วีริเยน อาชีวํ โสเธนฺตสฺส จ ปวตฺตา เจตนา สีลตีติ สีลมยํ ปุญฺญกิริยวตฺถุ นามฯ

    Sīlamayanti niccasīlauposathaniyamādivasena pañca, aṭṭha, dasa vā sīlāni samādiyantassa sīlapūraṇatthaṃ pabbajissāmīti vihāraṃ gacchantassa pabbajantassa manorathaṃ matthakaṃ pāpetvā ‘‘pabbajito vatamhi sādhu suṭṭhū’’ti āvajjentassa saddhāya pātimokkhaṃ paripūrentassa paññāya cīvarādike paccavekkhantassa satiyā āpāthagatesu rūpādīsu cakkhudvārādīni saṃvarantassa vīriyena ājīvaṃ sodhentassa ca pavattā cetanā sīlatīti sīlamayaṃ puññakiriyavatthu nāma.

    ตถา ปฎิสมฺภิทายํ (ปฎิ. ม. ๑.๔๘) วุเตฺตน วิปสฺสนามเคฺคน จกฺขุํ อนิจฺจโต ทุกฺขโต อนตฺตโต วิปสฺสนฺตสฺส โสตํ, ฆานํ, ชิวฺหํ, กายํ, มนํฯ รูเป…เป.… ธเมฺม, จกฺขุวิญฺญาณํ…เป.… มโนวิญฺญาณํฯ จกฺขุสมฺผสฺสํ…เป.… มโนสมฺผสฺสํ, จกฺขุสมฺผสฺสชํ เวทนํ…เป.… มโนสมฺผสฺสชํ เวทนํฯ รูปสญฺญํ…เป.… ธมฺมสญฺญํฯ ชรามรณํ อนิจฺจโต ทุกฺขโต อนตฺตโต วิปสฺสนฺตสฺส ยา เจตนา, ยา จ ปถวีกสิณาทีสุ อฎฺฐติํสาย อารมฺมเณสุ ปวตฺตา ฌานเจตนา, ยา จ อนวเชฺชสุ กมฺมายตนสิปฺปายตนวิชฺชาฎฺฐาเนสุ ปริจยมนสิการาทิวเสน ปวตฺตา เจตนา, สพฺพา ภาเวติ เอตายาติ ภาวนามยํ วุตฺตนเยน ปุญฺญกิริยวตฺถุ จาติฯ

    Tathā paṭisambhidāyaṃ (paṭi. ma. 1.48) vuttena vipassanāmaggena cakkhuṃ aniccato dukkhato anattato vipassantassa sotaṃ, ghānaṃ, jivhaṃ, kāyaṃ, manaṃ. Rūpe…pe… dhamme, cakkhuviññāṇaṃ…pe… manoviññāṇaṃ. Cakkhusamphassaṃ…pe… manosamphassaṃ, cakkhusamphassajaṃ vedanaṃ…pe… manosamphassajaṃ vedanaṃ. Rūpasaññaṃ…pe… dhammasaññaṃ. Jarāmaraṇaṃ aniccato dukkhato anattato vipassantassa yā cetanā, yā ca pathavīkasiṇādīsu aṭṭhatiṃsāya ārammaṇesu pavattā jhānacetanā, yā ca anavajjesu kammāyatanasippāyatanavijjāṭṭhānesu paricayamanasikārādivasena pavattā cetanā, sabbā bhāveti etāyāti bhāvanāmayaṃ vuttanayena puññakiriyavatthu cāti.

    เอกเมกเญฺจตฺถ ยถารหํ ปุพฺพภาคโต ปฎฺฐาย กาเยน กโรนฺตสฺส กายกมฺมํ โหติ, ตทตฺถํ วาจํ นิจฺฉาเรนฺตสฺส วจีกมฺมํ, กายงฺคํ วาจงฺคญฺจ อโจเปตฺวา มนสา จิเนฺตนฺตสฺส มโนกมฺมํฯ อนฺนาทีนิ เทนฺตสฺส จาปิ ‘‘อนฺนทานาทีนิ เทมี’’ติ วา ทานปารมิํ อาวเชฺชตฺวา วา ทานกาเล ทานมยํ ปุญฺญกิริยวตฺถุ โหติฯ วตฺตสีเส ฐตฺวา ททโต สีลมยํ, ขยโต วยโต กมฺมโต สมฺมสนํ ปฎฺฐเปตฺวา ททโต ภาวนามยํ ปุญฺญกิริยวตฺถุ โหติฯ

    Ekamekañcettha yathārahaṃ pubbabhāgato paṭṭhāya kāyena karontassa kāyakammaṃ hoti, tadatthaṃ vācaṃ nicchārentassa vacīkammaṃ, kāyaṅgaṃ vācaṅgañca acopetvā manasā cintentassa manokammaṃ. Annādīni dentassa cāpi ‘‘annadānādīni demī’’ti vā dānapāramiṃ āvajjetvā vā dānakāle dānamayaṃ puññakiriyavatthu hoti. Vattasīse ṭhatvā dadato sīlamayaṃ, khayato vayato kammato sammasanaṃ paṭṭhapetvā dadato bhāvanāmayaṃ puññakiriyavatthu hoti.

    อปรานิปิ สตฺต ปุญฺญกิริยวตฺถูนิ – อปจิติสหคตํ ปุญฺญกิริยวตฺถุ เวยฺยาวจฺจสหคตํ ปตฺติอนุปฺปทานํ อพฺภนุโมทนํ เทสนามยํ สวนมยํ ทิฎฺฐิชุคตํ ปุญฺญกิริยวตฺถูติฯ สรณคมนมฺปิ หิ ทิฎฺฐิชุคเตเนว สงฺคยฺหติฯ ยํ ปเนตฺถ วตฺตพฺพํ, ตํ ปรโต อาวิ ภวิสฺสติฯ

    Aparānipi satta puññakiriyavatthūni – apacitisahagataṃ puññakiriyavatthu veyyāvaccasahagataṃ pattianuppadānaṃ abbhanumodanaṃ desanāmayaṃ savanamayaṃ diṭṭhijugataṃ puññakiriyavatthūti. Saraṇagamanampi hi diṭṭhijugateneva saṅgayhati. Yaṃ panettha vattabbaṃ, taṃ parato āvi bhavissati.

    ตตฺถ วุฑฺฒตรํ ทิสฺวา ปจฺจุคฺคมนปตฺตจีวรปฎิคฺคหณาภิวาทนมคฺคสมฺปทานาทิวเสน อปจายนสหคตํ เวทิตพฺพํฯ วุฑฺฒตรานํ วตฺตปฎิปตฺติกรณวเสน, คามํ ปิณฺฑาย ปวิฎฺฐํ ภิกฺขุํ ทิสฺวา ปตฺตํ คเหตฺวา คาเม ภิกฺขํ สมฺปาเทตฺวา อุปสํหรณวเสน ‘‘คจฺฉ ภิกฺขูนํ ปตฺตํ อาหรา’’ติ สุตฺวา เวเคน คนฺตฺวา ปตฺตาหรณาทิวเสน จ เวยฺยาวจฺจสหคตํ เวทิตพฺพํฯ จตฺตาโร ปจฺจเย ทตฺวา ปุปฺผคนฺธาทีหิ รตนตฺตยสฺส ปูชํ กตฺวา อญฺญํ วา ตาทิสํ ปุญฺญํ กตฺวา ‘‘สพฺพสตฺตานํ ปตฺติ โหตู’’ติ ปริณามวเสน ปตฺติอนุปฺปทานํ เวทิตพฺพํฯ ตถา ปเรหิ ทินฺนาย ปตฺติยา เกวลํ วา ปเรหิ กตํ ปุญฺญํ ‘‘สาธุ, สุฎฺฐู’’ติ อนุโมทนวเสน อพฺภนุโมทนํ เวทิตพฺพํฯ อตฺตโน ปคุณธมฺมํ อปจฺจาสีสโนฺต หิตชฺฌาสเยน ปเรสํ เทเสติ – อิทํ เทสนามยํ ปุญฺญกิริยวตฺถุ นามฯ ยํ ปน เอโก ‘‘เอวํ มํ ธมฺมกถิโกติ ชานิสฺสนฺตี’’ติ อิจฺฉาย ฐตฺวา ลาภสกฺการสิโลกสนฺนิสฺสิโต ธมฺมํ เทเสติ, ตํ น มหปฺผลํ โหติฯ ‘‘อทฺธา อยํ อตฺตหิตปรหิตานํ ปฎิปชฺชนูปาโย’’ติ โยนิโสมนสิการปุเรจาริกหิตผรเณน มุทุจิเตฺตน ธมฺมํ สุณาติ, อิทํ สวนมยํ ปุญฺญกิริยวตฺถุ โหติฯ ยํ ปเนโก ‘‘อิติ มํ สโทฺธติ ชานิสฺสนฺตี’’ติ สุณาติ, ตํ น มหปฺผลํ โหติฯ ทิฎฺฐิยา อุชุคมนํ ทิฎฺฐิชุคตํ, ‘‘อตฺถิ ทินฺน’’นฺติอาทินยปฺปวตฺตสฺส สมฺมาทสฺสนสฺส เอตํ อธิวจนํฯ อิทญฺหิ ปุพฺพภาเค วา ปจฺฉาภาเค วา ญาณวิปฺปยุตฺตมฺปิ อุชุกรณกาเล ญาณสมฺปยุตฺตเมว โหติฯ อปเร ปนาหุ ‘‘วิชานนปชานนวเสน ทสฺสนํ ทิฎฺฐิ กุสลญฺจ วิญฺญาณํ กมฺมสฺสกตาญาณาทิ จ สมฺมาทสฺสน’’นฺติ ฯ ตตฺถ กุสเลน วิญฺญาเณน ญาณสฺส อนุปฺปาเทปิ อตฺตนา กตปุญฺญานุสฺสรณวณฺณารหวณฺณนาทีนํ สงฺคโห, กมฺมสฺสกตาญาเณน กมฺมปถสมฺมาทิฎฺฐิยา ฯ อิตรํ ปน ทิฎฺฐิชุคตํ สเพฺพสํ นิยมลกฺขณํฯ ยญฺหิ กิญฺจิ ปุญฺญํ กโรนฺตสฺส ทิฎฺฐิยา อุชุภาเวเนว ตํ มหปฺผลํ โหติฯ

    Tattha vuḍḍhataraṃ disvā paccuggamanapattacīvarapaṭiggahaṇābhivādanamaggasampadānādivasena apacāyanasahagataṃ veditabbaṃ. Vuḍḍhatarānaṃ vattapaṭipattikaraṇavasena, gāmaṃ piṇḍāya paviṭṭhaṃ bhikkhuṃ disvā pattaṃ gahetvā gāme bhikkhaṃ sampādetvā upasaṃharaṇavasena ‘‘gaccha bhikkhūnaṃ pattaṃ āharā’’ti sutvā vegena gantvā pattāharaṇādivasena ca veyyāvaccasahagataṃ veditabbaṃ. Cattāro paccaye datvā pupphagandhādīhi ratanattayassa pūjaṃ katvā aññaṃ vā tādisaṃ puññaṃ katvā ‘‘sabbasattānaṃ patti hotū’’ti pariṇāmavasena pattianuppadānaṃ veditabbaṃ. Tathā parehi dinnāya pattiyā kevalaṃ vā parehi kataṃ puññaṃ ‘‘sādhu, suṭṭhū’’ti anumodanavasena abbhanumodanaṃ veditabbaṃ. Attano paguṇadhammaṃ apaccāsīsanto hitajjhāsayena paresaṃ deseti – idaṃ desanāmayaṃ puññakiriyavatthu nāma. Yaṃ pana eko ‘‘evaṃ maṃ dhammakathikoti jānissantī’’ti icchāya ṭhatvā lābhasakkārasilokasannissito dhammaṃ deseti, taṃ na mahapphalaṃ hoti. ‘‘Addhā ayaṃ attahitaparahitānaṃ paṭipajjanūpāyo’’ti yonisomanasikārapurecārikahitapharaṇena muducittena dhammaṃ suṇāti, idaṃ savanamayaṃ puññakiriyavatthu hoti. Yaṃ paneko ‘‘iti maṃ saddhoti jānissantī’’ti suṇāti, taṃ na mahapphalaṃ hoti. Diṭṭhiyā ujugamanaṃ diṭṭhijugataṃ, ‘‘atthi dinna’’ntiādinayappavattassa sammādassanassa etaṃ adhivacanaṃ. Idañhi pubbabhāge vā pacchābhāge vā ñāṇavippayuttampi ujukaraṇakāle ñāṇasampayuttameva hoti. Apare panāhu ‘‘vijānanapajānanavasena dassanaṃ diṭṭhi kusalañca viññāṇaṃ kammassakatāñāṇādi ca sammādassana’’nti . Tattha kusalena viññāṇena ñāṇassa anuppādepi attanā katapuññānussaraṇavaṇṇārahavaṇṇanādīnaṃ saṅgaho, kammassakatāñāṇena kammapathasammādiṭṭhiyā . Itaraṃ pana diṭṭhijugataṃ sabbesaṃ niyamalakkhaṇaṃ. Yañhi kiñci puññaṃ karontassa diṭṭhiyā ujubhāveneva taṃ mahapphalaṃ hoti.

    อิเมสํ ปน สตฺตนฺนํ ปุญฺญกิริยวตฺถูนํ ปุริเมหิ ตีหิ ทานมยาทีหิ ปุญฺญกิริยวตฺถูหิ สงฺคโหฯ ตตฺถ หิ อปจายนเวยฺยาวจฺจานิ สีลมเย, ปตฺติอนุปฺปทานอพฺภนุโมทนานิ ทานมเย, ธมฺมเทสนาสวนานิ ภาวนามเย, ทิฎฺฐิชุคตํ ตีสุปิฯ เตนาห ภควา –

    Imesaṃ pana sattannaṃ puññakiriyavatthūnaṃ purimehi tīhi dānamayādīhi puññakiriyavatthūhi saṅgaho. Tattha hi apacāyanaveyyāvaccāni sīlamaye, pattianuppadānaabbhanumodanāni dānamaye, dhammadesanāsavanāni bhāvanāmaye, diṭṭhijugataṃ tīsupi. Tenāha bhagavā –

    ‘‘ตีณิมานิ, ภิกฺขเว, ปุญฺญกิริยวตฺถูนิฯ กตมานิ ตีณิ? ทานมยํ…เป.… ภาวนามยํ ปุญฺญกิริยวตฺถู’’ติ (อ. นิ. ๘.๓๖)ฯ

    ‘‘Tīṇimāni, bhikkhave, puññakiriyavatthūni. Katamāni tīṇi? Dānamayaṃ…pe… bhāvanāmayaṃ puññakiriyavatthū’’ti (a. ni. 8.36).

    เอตฺถ จ อฎฺฐนฺนํ กามาวจรกุสลเจตนานํ วเสน ติณฺณมฺปิ ปุญฺญกิริยวตฺถูนํ ปวตฺติ โหติฯ ยถา หิ ปคุณํ ธมฺมํ ปริวเตฺตนฺตสฺส เอกเจฺจ อนุสนฺธิํ อสลฺลเกฺขนฺตเสฺสว คจฺฉนฺติ, เอวํ ปคุณํ สมถวิปสฺสนาภาวนํ อนุยุญฺชนฺตสฺส อนฺตรนฺตรา ญาณวิปฺปยุตฺตจิเตฺตนาปิ มนสิกาโร ปวตฺตติฯ สพฺพํ ตํ ปน มหคฺคตกุสลเจตนานํ วเสน ภาวนามยเมว ปุญฺญกิริยวตฺถุ โหติ, น อิตรานิฯ คาถาย อโตฺถ เหฎฺฐา วุโตฺตเยวฯ

    Ettha ca aṭṭhannaṃ kāmāvacarakusalacetanānaṃ vasena tiṇṇampi puññakiriyavatthūnaṃ pavatti hoti. Yathā hi paguṇaṃ dhammaṃ parivattentassa ekacce anusandhiṃ asallakkhentasseva gacchanti, evaṃ paguṇaṃ samathavipassanābhāvanaṃ anuyuñjantassa antarantarā ñāṇavippayuttacittenāpi manasikāro pavattati. Sabbaṃ taṃ pana mahaggatakusalacetanānaṃ vasena bhāvanāmayameva puññakiriyavatthu hoti, na itarāni. Gāthāya attho heṭṭhā vuttoyeva.

    ปฐมสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Paṭhamasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อิติวุตฺตกปาฬิ • Itivuttakapāḷi / ๑. ปุญฺญกิริยวตฺถุสุตฺตํ • 1. Puññakiriyavatthusuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact