Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เถรคาถา-อฎฺฐกถา • Theragāthā-aṭṭhakathā

    ๖. ปุณฺณมาสเตฺถรคาถาวณฺณนา

    6. Puṇṇamāsattheragāthāvaṇṇanā

    ปญฺจ นีวรเณ หิตฺวาติอาทิกา อายสฺมโต ปุณฺณมาสเตฺถรสฺส คาถาฯ กา อุปฺปตฺติ? อยมฺปิ ปุริมพุเทฺธสุ กตาธิกาโร ตตฺถ ตตฺถ ภเว ปุญฺญานิ อุปจินโนฺต ติสฺสสฺส ภควโต กาเล กุลเคเห นิพฺพตฺติตฺวา วิญฺญุตํ ปโตฺต เอกทิวสํ สตฺถริ อรเญฺญ วิหรเนฺต ปํสุกูลจีวรํ ทุมสาขาย ลเคฺคตฺวา คนฺธกุฎิํ ปวิเฎฺฐ ธนุหโตฺถ คหนํ ปวิโฎฺฐ สตฺถุ ปํสุกูลํ ทิสฺวา ปสนฺนมานโส ธนุํ นิกฺขิปิตฺวา พุทฺธคุเณ อนุสฺสริตฺวา ปํสุกูลํ วนฺทิฯ โส เตน ปุญฺญกเมฺมน เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท สาวตฺถิยํ กุฎุมฺพิยกุเล นิพฺพตฺติฯ ตสฺส กิร ชาตทิวเส ตสฺมิํ เคเห สพฺพภาชนานิ สุวณฺณรตนมเยหิ มาเสหิ ปริปุณฺณาเนว อเหสุํฯ เตนสฺส ปุณฺณมาโสเตฺวว นามํ อกํสุฯ โส วยปฺปโตฺต ทารปริคฺคหํ กตฺวา เอกสฺมิํ ปุเตฺต อุปฺปเนฺน ฆราวาสํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา คามกาวาเส วสโนฺต ฆเฎโนฺต วายมโนฺต ฉฬภิโญฺญ อโหสิฯ เตน วุตฺตํ อปทาเน (อป. เถร ๒.๔๙.๑-๘) –

    Pañca nīvaraṇe hitvātiādikā āyasmato puṇṇamāsattherassa gāthā. Kā uppatti? Ayampi purimabuddhesu katādhikāro tattha tattha bhave puññāni upacinanto tissassa bhagavato kāle kulagehe nibbattitvā viññutaṃ patto ekadivasaṃ satthari araññe viharante paṃsukūlacīvaraṃ dumasākhāya laggetvā gandhakuṭiṃ paviṭṭhe dhanuhattho gahanaṃ paviṭṭho satthu paṃsukūlaṃ disvā pasannamānaso dhanuṃ nikkhipitvā buddhaguṇe anussaritvā paṃsukūlaṃ vandi. So tena puññakammena devamanussesu saṃsaranto imasmiṃ buddhuppāde sāvatthiyaṃ kuṭumbiyakule nibbatti. Tassa kira jātadivase tasmiṃ gehe sabbabhājanāni suvaṇṇaratanamayehi māsehi paripuṇṇāneva ahesuṃ. Tenassa puṇṇamāsotveva nāmaṃ akaṃsu. So vayappatto dārapariggahaṃ katvā ekasmiṃ putte uppanne gharāvāsaṃ pahāya pabbajitvā gāmakāvāse vasanto ghaṭento vāyamanto chaḷabhiñño ahosi. Tena vuttaṃ apadāne (apa. thera 2.49.1-8) –

    ‘‘ติโสฺส นามาสิ ภควา, สยมฺภู อคฺคปุคฺคโล;

    ‘‘Tisso nāmāsi bhagavā, sayambhū aggapuggalo;

    ปํสุกูลํ ฐเปตฺวาน, วิหารํ ปาวิสี ชิโนฯ

    Paṃsukūlaṃ ṭhapetvāna, vihāraṃ pāvisī jino.

    ‘‘วินตํ ธนุมาทาย, ภกฺขตฺถาย จริํ อหํ;

    ‘‘Vinataṃ dhanumādāya, bhakkhatthāya cariṃ ahaṃ;

    มณฺฑลคฺคํ คเหตฺวาน, กานนํ ปาวิสิํ อหํฯ

    Maṇḍalaggaṃ gahetvāna, kānanaṃ pāvisiṃ ahaṃ.

    ‘‘ตตฺถทฺทสํ ปํสุกูลํ, ทุมเคฺค ลคฺคิตํ ตทา;

    ‘‘Tatthaddasaṃ paṃsukūlaṃ, dumagge laggitaṃ tadā;

    จาปํ ตเตฺถว นิกฺขิปฺป, สิเร กตฺวาน อญฺชลิํฯ

    Cāpaṃ tattheva nikkhippa, sire katvāna añjaliṃ.

    ‘‘ปสนฺนจิโตฺต สุมโน, วิปุลาย จ ปีติยา;

    ‘‘Pasannacitto sumano, vipulāya ca pītiyā;

    พุทฺธเสฎฺฐํ สริตฺวาน, ปํสุกูลํ อวนฺทหํฯ

    Buddhaseṭṭhaṃ saritvāna, paṃsukūlaṃ avandahaṃ.

    ‘‘เทฺวนวุเต อิโต กเปฺป, ปํสุกูลมวนฺทหํ;

    ‘‘Dvenavute ito kappe, paṃsukūlamavandahaṃ;

    ทุคฺคติํ นาภิชานามิ, วนฺทนาย อิทํ ผลํฯ

    Duggatiṃ nābhijānāmi, vandanāya idaṃ phalaṃ.

    ‘‘กิเลสา ฌาปิตา มยฺหํ…เป.… กตํ พุทฺธสฺส สาสน’’นฺติฯ

    ‘‘Kilesā jhāpitā mayhaṃ…pe… kataṃ buddhassa sāsana’’nti.

    ฉฬภิโญฺญ ปน หุตฺวา สาวตฺถิํ อุปคนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา สุสาเน วสติ, ตสฺส จ อจิราคตเสฺสว สโต ปุโตฺต กาลมกาสิฯ ทารกมาตา เถรสฺส อาคตภาวํ สุตฺวา, ‘‘มา อิทํ อปุตฺตกํ สาปเตยฺยํ ราชาโน หเรยฺยุ’’นฺติ ตํ อุปฺปพฺพาเชตุกามา มหตา ปริวาเรน เถรสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ปฎิสนฺถารํ กตฺวา ปโลเภตุํ อารภิฯ เถโร อตฺตโน วีตราคภาวชานาปนตฺถํ อากาเส ฐตฺวา อตฺตโน ปฎิปตฺติกิตฺตนมุเขน ตสฺสา ธมฺมํ เทเสโนฺต –

    Chaḷabhiñño pana hutvā sāvatthiṃ upagantvā satthāraṃ vanditvā susāne vasati, tassa ca acirāgatasseva sato putto kālamakāsi. Dārakamātā therassa āgatabhāvaṃ sutvā, ‘‘mā idaṃ aputtakaṃ sāpateyyaṃ rājāno hareyyu’’nti taṃ uppabbājetukāmā mahatā parivārena therassa santikaṃ gantvā paṭisanthāraṃ katvā palobhetuṃ ārabhi. Thero attano vītarāgabhāvajānāpanatthaṃ ākāse ṭhatvā attano paṭipattikittanamukhena tassā dhammaṃ desento –

    ๑๗๑.

    171.

    ‘‘ปญฺจ นีวรเณ หิตฺวา, โยคเกฺขมสฺส ปตฺติยา;

    ‘‘Pañca nīvaraṇe hitvā, yogakkhemassa pattiyā;

    ธมฺมาทาสํ คเหตฺวาน, ญาณทสฺสนมตฺตโนฯ

    Dhammādāsaṃ gahetvāna, ñāṇadassanamattano.

    ๑๗๒.

    172.

    ‘‘ปจฺจเวกฺขิํ อิมํ กายํ, สพฺพํ สนฺตรพาหิรํ;

    ‘‘Paccavekkhiṃ imaṃ kāyaṃ, sabbaṃ santarabāhiraṃ;

    อชฺฌตฺตญฺจ พหิทฺธา จ, ตุโจฺฉ กาโย อทิสฺสถา’’ติฯ –

    Ajjhattañca bahiddhā ca, tuccho kāyo adissathā’’ti. –

    คาถาทฺวยํ อภาสิฯ

    Gāthādvayaṃ abhāsi.

    ตตฺถ ปญฺจ นีวรเณ หิตฺวาติ กามจฺฉนฺทาทิเก ปญฺจ นีวรเณ ปหาย ฌานาธิคเมน วิทฺธํเสตฺวาฯ โยคเกฺขมสฺส ปตฺติยาติ กามโยคาทีหิ จตูหิ โยเคหิ เขมสฺส อนุปทฺทุตสฺส นิพฺพานสฺส อธิคมายฯ ธมฺมาทาสนฺติ ธมฺมภูตํ อาทาสํฯ ยถา หิ อาทาโส โอโลเกนฺตสฺส รูปกาเย คุณาคุณํ อาทํเสติ, เอวํ วิปสฺสนาสงฺขาโต ธมฺมานํ สามญฺญวิเสสาวโพธนโต ญาณทสฺสนภูโต ธมฺมาทาโส วิปสฺสนฺตสฺส โวทานสํกิเลสธมฺมวิภาวเนน ตปฺปหานสาธเนน จ วิเสสโต นามกาเย คุณํ อาทํเสติฯ เตนาห –

    Tattha pañca nīvaraṇe hitvāti kāmacchandādike pañca nīvaraṇe pahāya jhānādhigamena viddhaṃsetvā. Yogakkhemassa pattiyāti kāmayogādīhi catūhi yogehi khemassa anupaddutassa nibbānassa adhigamāya. Dhammādāsanti dhammabhūtaṃ ādāsaṃ. Yathā hi ādāso olokentassa rūpakāye guṇāguṇaṃ ādaṃseti, evaṃ vipassanāsaṅkhāto dhammānaṃ sāmaññavisesāvabodhanato ñāṇadassanabhūto dhammādāso vipassantassa vodānasaṃkilesadhammavibhāvanena tappahānasādhanena ca visesato nāmakāye guṇaṃ ādaṃseti. Tenāha –

    ‘‘ธมฺมาทาสํ คเหตฺวาน, ญาณทสฺสนมตฺตโน;

    ‘‘Dhammādāsaṃ gahetvāna, ñāṇadassanamattano;

    ปจฺจเวกฺขิํ อิมํ กายํ, สพฺพํ สนฺตรพาหิร’’นฺติฯ –

    Paccavekkhiṃ imaṃ kāyaṃ, sabbaṃ santarabāhira’’nti. –

    อิมํ กายํ ธมฺมสมูหํ มม อตฺตภาวํ อชฺฌตฺติกพาหิรายตนภาวโต สนฺตรพาหิรํ สพฺพํ อนวเสสํ ธมฺมาทาสํ คเหตฺวา ‘‘อนิจฺจ’’นฺติปิ ‘‘ทุกฺข’’นฺติปิ ‘‘อนตฺตา’’ติปิ ปติอเวกฺขิํ ญาณจกฺขุนา ปสฺสิํฯ เอวํ ปสฺสตา จ มยา อชฺฌตฺตญฺจ พหิทฺธา จาติ อตฺตโน สนฺตาเน ปรสนฺตาเน จ ตุโจฺฉ กาโย อทิสฺสถ นิจฺจสาราทิวิรหิโต ตุโจฺฉ ขนฺธปญฺจกสงฺขาโต อตฺตภาวกาโย ญาณจกฺขุนา ยาถาวโต อปสฺสิตฺถฯ สกลมฺปิ หิ ขนฺธปญฺจกํ ‘‘อวิชฺชานิวุตสฺส, ภิกฺขเว, พาลสฺส ตณฺหาสํยุตฺตสฺส เอวมยํ กาโย สมุทาคโต’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๒.๑๙) ‘‘กาโย’’ติ วุจฺจติฯ ‘‘อทิสฺสถา’’ติ จ อิมินา ยเทว กาเย ทฎฺฐพฺพํ, ตํ ทิฎฺฐํ, น ทานิสฺส กิญฺจิ มยา ปสฺสิตพฺพํ อตฺถีติ กตกิจฺจตํ ทเสฺสโนฺต อญฺญํ พฺยากาสิฯ เอวํ เถโร อิมาหิ คาถาหิ ปุราณทุติยิกาย ธมฺมํ เทเสตฺวา ตํ สรเณสุ จ สีเลสุ จ สมฺปติฎฺฐาเปตฺวา อุโยฺยเชสิฯ

    Imaṃ kāyaṃ dhammasamūhaṃ mama attabhāvaṃ ajjhattikabāhirāyatanabhāvato santarabāhiraṃ sabbaṃ anavasesaṃ dhammādāsaṃ gahetvā ‘‘anicca’’ntipi ‘‘dukkha’’ntipi ‘‘anattā’’tipi patiavekkhiṃ ñāṇacakkhunā passiṃ. Evaṃ passatā ca mayā ajjhattañca bahiddhā cāti attano santāne parasantāne ca tuccho kāyo adissatha niccasārādivirahito tuccho khandhapañcakasaṅkhāto attabhāvakāyo ñāṇacakkhunā yāthāvato apassittha. Sakalampi hi khandhapañcakaṃ ‘‘avijjānivutassa, bhikkhave, bālassa taṇhāsaṃyuttassa evamayaṃ kāyo samudāgato’’tiādīsu (saṃ. ni. 2.19) ‘‘kāyo’’ti vuccati. ‘‘Adissathā’’ti ca iminā yadeva kāye daṭṭhabbaṃ, taṃ diṭṭhaṃ, na dānissa kiñci mayā passitabbaṃ atthīti katakiccataṃ dassento aññaṃ byākāsi. Evaṃ thero imāhi gāthāhi purāṇadutiyikāya dhammaṃ desetvā taṃ saraṇesu ca sīlesu ca sampatiṭṭhāpetvā uyyojesi.

    ปุณฺณมาสเตฺถรคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Puṇṇamāsattheragāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เถรคาถาปาฬิ • Theragāthāpāḷi / ๖. ปุณฺณมาสเตฺถรคาถา • 6. Puṇṇamāsattheragāthā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact