Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๒๑๔] ๔. ปุณฺณนทีชาตกวณฺณนา
[214] 4. Puṇṇanadījātakavaṇṇanā
ปุณฺณํ นทินฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต ปญฺญาปารมิํ อารพฺภ กเถสิฯ เอกสฺมิญฺหิ ทิวเส ธมฺมสภายํ ภิกฺขู ตถาคตสฺส ปญฺญํ อารพฺภ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ – ‘‘อาวุโส, สมฺมาสมฺพุโทฺธ มหาปโญฺญ ปุถุปโญฺญ หาสปโญฺญ ชวนปโญฺญ ติกฺขปโญฺญ คมฺภีรปโญฺญ นิเพฺพธิกปโญฺญ อุปายปญฺญาย สมนฺนาคโต’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ ตถาคโต ปญฺญวา อุปายกุสโลเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Puṇṇaṃ nadinti idaṃ satthā jetavane viharanto paññāpāramiṃ ārabbha kathesi. Ekasmiñhi divase dhammasabhāyaṃ bhikkhū tathāgatassa paññaṃ ārabbha kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ – ‘‘āvuso, sammāsambuddho mahāpañño puthupañño hāsapañño javanapañño tikkhapañño gambhīrapañño nibbedhikapañño upāyapaññāya samannāgato’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi tathāgato paññavā upāyakusaloyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต ปุโรหิตกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต ตกฺกสิลายํ สพฺพสิปฺปานิ อุคฺคณฺหิตฺวา ปิตุ อจฺจเยน ปุโรหิตฎฺฐานํ ลภิตฺวา พาราณสิรโญฺญ อตฺถธมฺมานุสาสโก อโหสิฯ อปรภาเค ราชา ปริเภทกานํ กถํ คเหตฺวา โพธิสตฺตสฺส กุโทฺธ ‘‘มา มม สนฺติเก วสี’’ติ โพธิสตฺตํ พาราณสิโต ปพฺพาเชสิฯ โพธิสโตฺต ปุตฺตทารํ คเหตฺวา เอกสฺมิํ กาสิกคามเก วาสํ กเปฺปสิฯ อปรภาเค ราชา ตสฺส คุณํ สริตฺวา ‘‘มยฺหํ กญฺจิ เปเสตฺวา อาจริยํ ปโกฺกสิตุํ น ยุตฺตํ, เอกํ ปน คาถํ พนฺธิตฺวา ปณฺณํ ลิขิตฺวา กากมํสํ ปจาเปตฺวา ปณฺณญฺจ มํสญฺจ เสตวเตฺถน ปลิเวเฐตฺวา ราชมุทฺทิกาย ลเญฺฉตฺวา เปเสสฺสามิฯ ยทิ ปณฺฑิโต ภวิสฺสติ, ปณฺณํ วาเจตฺวา กากมํสภาวํ ญตฺวา อาคมิสฺสติ, โน เจ, นาคมิสฺสตี’’ติ ‘‘ปุณฺณํ นทิ’’นฺติ อิมํ คาถํ ปเณฺณ ลิขิ –
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto purohitakule nibbattitvā vayappatto takkasilāyaṃ sabbasippāni uggaṇhitvā pitu accayena purohitaṭṭhānaṃ labhitvā bārāṇasirañño atthadhammānusāsako ahosi. Aparabhāge rājā paribhedakānaṃ kathaṃ gahetvā bodhisattassa kuddho ‘‘mā mama santike vasī’’ti bodhisattaṃ bārāṇasito pabbājesi. Bodhisatto puttadāraṃ gahetvā ekasmiṃ kāsikagāmake vāsaṃ kappesi. Aparabhāge rājā tassa guṇaṃ saritvā ‘‘mayhaṃ kañci pesetvā ācariyaṃ pakkosituṃ na yuttaṃ, ekaṃ pana gāthaṃ bandhitvā paṇṇaṃ likhitvā kākamaṃsaṃ pacāpetvā paṇṇañca maṃsañca setavatthena paliveṭhetvā rājamuddikāya lañchetvā pesessāmi. Yadi paṇḍito bhavissati, paṇṇaṃ vācetvā kākamaṃsabhāvaṃ ñatvā āgamissati, no ce, nāgamissatī’’ti ‘‘puṇṇaṃ nadi’’nti imaṃ gāthaṃ paṇṇe likhi –
๑๒๗.
127.
‘‘ปุณฺณํ นทิํ เยน จ เปยฺยมาหุ, ชาตํ ยวํ เยน จ คุยฺหมาหุ;
‘‘Puṇṇaṃ nadiṃ yena ca peyyamāhu, jātaṃ yavaṃ yena ca guyhamāhu;
ทูรํ คตํ เยน จ อวฺหยนฺติ, โส ตฺยาคโต หนฺท จ ภุญฺช พฺราหฺมณา’’ติฯ
Dūraṃ gataṃ yena ca avhayanti, so tyāgato handa ca bhuñja brāhmaṇā’’ti.
ตตฺถ ปุณฺณํ นทิํ เยน จ เปยฺยมาหูติ กากเปยฺยา นทีหิ วทนฺตา เยน ปุณฺณํ นทิํ กากเปยฺยมาหุ, น หิ อปุณฺณา นที ‘‘กากเปยฺยา’’ติ วุจฺจติฯ ยทาปิ นทีตีเร ฐตฺวา คีวํ ปสาเรตฺวา กาเกน ปาตุํ สกฺกา โหติ, ตทา นํ ‘‘กากเปยฺยา’’ติ วทนฺติฯ ชาตํ ยวํ เยน จ คุยฺหมาหูติ ยวนฺติ เทสนาสีสมตฺตํ, อิธ ปน สพฺพมฺปิ ชาตํ อุคฺคตํ สมฺปนฺนตรุณสสฺสํ อธิเปฺปตํฯ ตญฺหิ ยทา อโนฺต ปวิฎฺฐกากํ ปฎิจฺฉาเทตุํ สโกฺกติ, ตทา คุยฺหตีติ คุยฺหํฯ กิํ คุยฺหติ? กากํฯ อิติ กากสฺส คุยฺหํ กากคุยฺหนฺติ ตํ วทมานา กาเกน คุยฺหวจนสฺส การณภูเตน ‘‘คุยฺห’’นฺติ วทนฺติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘เยน จ คุยฺหมาหู’’ติฯ ทูรํ คตํ เยน จ อวฺหยนฺตีติ ทูรํ คตํ วิปฺปวุตฺถํ ปิยปุคฺคลํ ยํ อาคนฺตฺวา นิสินฺนํ ทิสฺวา สเจ อิตฺถนฺนาโม อาคจฺฉติ, วสฺส กากาติ วา วสฺสนฺตเญฺญว วา สุตฺวา ‘‘ยถา กาโก วสฺสติ, อิตฺถนฺนาโม อาคมิสฺสตี’’ติ เอวํ วทนฺตา เยน จ อวฺหยนฺติ กเถนฺติ มเนฺตนฺติ, อุทาหรนฺตีติ อโตฺถฯ โส ตฺยาคโตติ โส เต อานีโตฯ หนฺท จ ภุญฺช, พฺราหฺมณาติ คณฺห, พฺราหฺมณ, ภุญฺชสฺสุ นํ, ขาท อิทํ กากมํสนฺติ อโตฺถฯ
Tattha puṇṇaṃ nadiṃ yena ca peyyamāhūti kākapeyyā nadīhi vadantā yena puṇṇaṃ nadiṃ kākapeyyamāhu, na hi apuṇṇā nadī ‘‘kākapeyyā’’ti vuccati. Yadāpi nadītīre ṭhatvā gīvaṃ pasāretvā kākena pātuṃ sakkā hoti, tadā naṃ ‘‘kākapeyyā’’ti vadanti. Jātaṃ yavaṃ yena ca guyhamāhūti yavanti desanāsīsamattaṃ, idha pana sabbampi jātaṃ uggataṃ sampannataruṇasassaṃ adhippetaṃ. Tañhi yadā anto paviṭṭhakākaṃ paṭicchādetuṃ sakkoti, tadā guyhatīti guyhaṃ. Kiṃ guyhati? Kākaṃ. Iti kākassa guyhaṃ kākaguyhanti taṃ vadamānā kākena guyhavacanassa kāraṇabhūtena ‘‘guyha’’nti vadanti. Tena vuttaṃ ‘‘yena ca guyhamāhū’’ti. Dūraṃ gataṃ yena ca avhayantīti dūraṃ gataṃ vippavutthaṃ piyapuggalaṃ yaṃ āgantvā nisinnaṃ disvā sace itthannāmo āgacchati, vassa kākāti vā vassantaññeva vā sutvā ‘‘yathā kāko vassati, itthannāmo āgamissatī’’ti evaṃ vadantā yena ca avhayanti kathenti mantenti, udāharantīti attho. So tyāgatoti so te ānīto. Handa ca bhuñja, brāhmaṇāti gaṇha, brāhmaṇa, bhuñjassu naṃ, khāda idaṃ kākamaṃsanti attho.
อิติ ราชา อิมํ คาถํ ปเณฺณ ลิขิตฺวา โพธิสตฺตสฺส เปเสสิฯ โส ปณฺณํ วาเจตฺวา ‘‘ราชา มํ ทฎฺฐุกาโม’’ติ ญตฺวา ทุติยํ คาถมาห –
Iti rājā imaṃ gāthaṃ paṇṇe likhitvā bodhisattassa pesesi. So paṇṇaṃ vācetvā ‘‘rājā maṃ daṭṭhukāmo’’ti ñatvā dutiyaṃ gāthamāha –
๑๒๘.
128.
‘‘ยโต มํ สรตี ราชา, วายสมฺปิ ปเหตเว;
‘‘Yato maṃ saratī rājā, vāyasampi pahetave;
หํสา โกญฺจา มยูรา จ, อสตีเยว ปาปิยา’’ติฯ
Haṃsā koñcā mayūrā ca, asatīyeva pāpiyā’’ti.
ตตฺถ ยโต มํ สรตี ราชา, วายสมฺปิ ปเหตเวติ ยทา ราชา วายสมํสํ ลภิตฺวา ตมฺปิ ปเหตุํ มํ สรติฯ หํสา โกญฺจา มยูรา จาติ ยทา ปนสฺส เอเต หํสาทโย อุปนีตา ภวิสฺสนฺติ, เอกานิ หํสมํสาทีนิ ลจฺฉติ, ตทา มํ กสฺมา น สริสฺสตีติ อโตฺถ? อฎฺฐกถายํ ปน ‘‘หํสโกญฺจมยูราน’’นฺติ ปาโฐฯ โส สุนฺทรตรา, อิเมสํ หํสาทีนํ มํสํ ลภิตฺวา กสฺมา มํ น สริสฺสติ, สริสฺสติเยวาติ อโตฺถฯ อสตีเยว ปาปิยาติ ยํ วา ตํ วา ลภิตฺวา สรณํ นาม สุนฺทรํ, โลกสฺมิํ ปน อสติเยว ปาปิยา, อสติกรณํเยว หีนํ ลามกํ, ตญฺจ อมฺหากํ รโญฺญ นตฺถิฯ สรติ มํ ราชา, อาคมนํ เม ปจฺจาสีสติ, ตสฺมา คมิสฺสามีติ ยานํ โยชาเปตฺวา คนฺตฺวา ราชานํ ปสฺสิ, ราชา ตุสฺสิตฺวา ปุโรหิตฎฺฐาเนเยว ปติฎฺฐาเปสิฯ
Tattha yato maṃ saratī rājā, vāyasampi pahetaveti yadā rājā vāyasamaṃsaṃ labhitvā tampi pahetuṃ maṃ sarati. Haṃsā koñcā mayūrā cāti yadā panassa ete haṃsādayo upanītā bhavissanti, ekāni haṃsamaṃsādīni lacchati, tadā maṃ kasmā na sarissatīti attho? Aṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘haṃsakoñcamayūrāna’’nti pāṭho. So sundaratarā, imesaṃ haṃsādīnaṃ maṃsaṃ labhitvā kasmā maṃ na sarissati, sarissatiyevāti attho. Asatīyeva pāpiyāti yaṃ vā taṃ vā labhitvā saraṇaṃ nāma sundaraṃ, lokasmiṃ pana asatiyeva pāpiyā, asatikaraṇaṃyeva hīnaṃ lāmakaṃ, tañca amhākaṃ rañño natthi. Sarati maṃ rājā, āgamanaṃ me paccāsīsati, tasmā gamissāmīti yānaṃ yojāpetvā gantvā rājānaṃ passi, rājā tussitvā purohitaṭṭhāneyeva patiṭṭhāpesi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ราชา อานโนฺท อโหสิ, ปุโรหิโต ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā rājā ānando ahosi, purohito pana ahameva ahosi’’nti.
ปุณฺณนทีชาตกวณฺณนา จตุตฺถาฯ
Puṇṇanadījātakavaṇṇanā catutthā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๑๔. ปุณฺณนทีชาตกํ • 214. Puṇṇanadījātakaṃ