Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā)

    ๓. ปุโณฺณวาทสุตฺตวณฺณนา

    3. Puṇṇovādasuttavaṇṇanā

    ๓๙๕. เอวํ เม สุตนฺติ ปุโณฺณวาทสุตฺตํฯ ตตฺถ ปฎิสลฺลานาติ เอกีภาวาฯ ตํ เจติ ตํ จกฺขุเญฺจว รูปญฺจฯ นนฺทีสมุทยา ทุกฺขสมุทโยติ นนฺทิยา ตณฺหาย สโมธาเนน ปญฺจกฺขนฺธทุกฺขสฺส สโมธานํ โหติฯ อิติ ฉสุ ทฺวาเรสุ ทุกฺขํ สมุทโยติ ทฺวินฺนํ สจฺจานํ วเสน วฎฺฎํ มตฺถกํ ปาเปตฺวา ทเสฺสสิฯ ทุติยนเย นิโรโธ มโคฺคติ ทฺวินฺนํ สจฺจานํ วเสน วิวฎฺฎํ มตฺถกํ ปาเปตฺวา ทเสฺสสิฯ อิมินา จ ตฺวํ ปุณฺณาติ ปาฎิเยโกฺก อนุสนฺธิฯ เอวํ ตาว วฎฺฎวิวฎฺฎวเสน เทสนํ อรหเตฺต ปกฺขิปิตฺวา อิทานิ ปุณฺณเตฺถรํ สตฺตสุ ฐาเนสุ สีหนาทํ นทาเปตุํ อิมินา จ ตฺวนฺติอาทิมาหฯ

    395.Evaṃme sutanti puṇṇovādasuttaṃ. Tattha paṭisallānāti ekībhāvā. Taṃ ceti taṃ cakkhuñceva rūpañca. Nandīsamudayā dukkhasamudayoti nandiyā taṇhāya samodhānena pañcakkhandhadukkhassa samodhānaṃ hoti. Iti chasu dvāresu dukkhaṃ samudayoti dvinnaṃ saccānaṃ vasena vaṭṭaṃ matthakaṃ pāpetvā dassesi. Dutiyanaye nirodho maggoti dvinnaṃ saccānaṃ vasena vivaṭṭaṃ matthakaṃ pāpetvā dassesi. Iminā ca tvaṃ puṇṇāti pāṭiyekko anusandhi. Evaṃ tāva vaṭṭavivaṭṭavasena desanaṃ arahatte pakkhipitvā idāni puṇṇattheraṃ sattasu ṭhānesu sīhanādaṃ nadāpetuṃ iminā ca tvantiādimāha.

    ๓๙๖. จณฺฑาติ ทุฎฺฐา กิพฺพิสาฯ ผรุสาติ กกฺขฬาฯ อโกฺกสิสฺสนฺตีติ ทสหิ อโกฺกสวตฺถูหิ อโกฺกสิสฺสนฺติฯ ปริภาสิสฺสนฺตีติ กิํ สมโณ นาม ตฺวํ, อิทญฺจ อิทญฺจ เต กริสฺสามาติ ตเชฺชสฺสนฺติฯ เอวเมตฺถาติ เอวํ มยฺหํ เอตฺถ ภวิสฺสติฯ

    396.Caṇḍāti duṭṭhā kibbisā. Pharusāti kakkhaḷā. Akkosissantīti dasahi akkosavatthūhi akkosissanti. Paribhāsissantīti kiṃ samaṇo nāma tvaṃ, idañca idañca te karissāmāti tajjessanti. Evametthāti evaṃ mayhaṃ ettha bhavissati.

    ทเณฺฑนาติ จตุหเตฺถน ทเณฺฑน วา ฆฎิกมุคฺคเรน วาฯ สเตฺถนาติ เอกโตธาราทินาฯ สตฺถหารกํ ปริเยสนฺตีติ ชีวิตหารกํ สตฺถํ ปริเยสนฺติฯ อิทํ เถโร ตติยปาราชิกวตฺถุสฺมิํ อสุภกถํ สุตฺวา อตฺตภาเวน ชิคุจฺฉนฺตานํ ภิกฺขูนํ สตฺถหารกปริเยสนํ สนฺธายาหฯ ทมูปสเมนาติ เอตฺถ ทโมติ อินฺทฺริยสํวราทีนํ เอตํ นามํฯ ‘‘สเจฺจน ทโนฺต ทมสา อุเปโต, เวทนฺตคู วุสิตพฺรหฺมจริโย’’ติ (สํ. นิ. ๑.๑๙๕; สุ. นิ. ๔๖๗) เอตฺถ หิ อินฺทฺริยสํวโร ทโมติ วุโตฺตฯ ‘‘ยทิ สจฺจา ทมา จาคา, ขนฺตฺยา ภิโยฺยธ วิชฺชตี’’ติ (สํ. นิ. ๑.๒๔๖; สุ. นิ. ๑๙๑) เอตฺถ ปญฺญา ทโมติ วุโตฺตฯ ‘‘ทาเนน ทเมน สํยเมน สจฺจวเชฺชนา’’ติ (ที. นิ. ๑.๑๖๖; ม. นิ. ๒.๒๒๖) เอตฺถ อุโปสถกมฺมํ ทโมติ วุตฺตํฯ อิมสฺมิํ ปน สุเตฺต ขนฺติ ทโมติ เวทิตพฺพาฯ อุปสโมติ ตเสฺสว เววจนํฯ

    Daṇḍenāti catuhatthena daṇḍena vā ghaṭikamuggarena vā. Satthenāti ekatodhārādinā. Satthahārakaṃ pariyesantīti jīvitahārakaṃ satthaṃ pariyesanti. Idaṃ thero tatiyapārājikavatthusmiṃ asubhakathaṃ sutvā attabhāvena jigucchantānaṃ bhikkhūnaṃ satthahārakapariyesanaṃ sandhāyāha. Damūpasamenāti ettha damoti indriyasaṃvarādīnaṃ etaṃ nāmaṃ. ‘‘Saccena danto damasā upeto, vedantagū vusitabrahmacariyo’’ti (saṃ. ni. 1.195; su. ni. 467) ettha hi indriyasaṃvaro damoti vutto. ‘‘Yadi saccā damā cāgā, khantyā bhiyyodha vijjatī’’ti (saṃ. ni. 1.246; su. ni. 191) ettha paññā damoti vutto. ‘‘Dānena damena saṃyamena saccavajjenā’’ti (dī. ni. 1.166; ma. ni. 2.226) ettha uposathakammaṃ damoti vuttaṃ. Imasmiṃ pana sutte khanti damoti veditabbā. Upasamoti tasseva vevacanaṃ.

    ๓๙๗. อถ โข อายสฺมา ปุโณฺณติ โก ปเนส ปุโณฺณ, กสฺมา ปเนตฺถ คนฺตุกาโม อโหสีติ ฯ สุนาปรนฺตวาสิโก เอว เอโส, สาวตฺถิยํ ปน อสปฺปายวิหารํ สลฺลเกฺขตฺวา ตตฺถ คนฺตุกาโม อโหสิฯ

    397.Atha kho āyasmā puṇṇoti ko panesa puṇṇo, kasmā panettha gantukāmo ahosīti . Sunāparantavāsiko eva eso, sāvatthiyaṃ pana asappāyavihāraṃ sallakkhetvā tattha gantukāmo ahosi.

    ตตฺรายํ อนุปุพฺพิกถา – สุนาปรนฺตรเฎฺฐ กิร เอกสฺมิํ วาณิชกคาเม เอเต เทฺว ภาตโรฯ เตสุ กทาจิ เชโฎฺฐ ปญฺจ สกฎสตานิ คเหตฺวา ชนปทํ คนฺตฺวา ภณฺฑํ อาหรติ, กทาจิ กนิโฎฺฐฯ อิมสฺมิํ ปน สมเย กนิฎฺฐํ ฆเร ฐเปตฺวา เชฎฺฐภาติโก ปญฺจ สกฎสตานิ คเหตฺวา ชนปทจาริกํ จรโนฺต อนุปุเพฺพน สาวตฺถิํ ปตฺวา เชตวนสฺส นาติทูเร สกฎสตฺถํ นิวาเสตฺวา ภุตฺตปาตราโส ปริชนปริวุโต ผาสุกฎฺฐาเน นิสีทิฯ

    Tatrāyaṃ anupubbikathā – sunāparantaraṭṭhe kira ekasmiṃ vāṇijakagāme ete dve bhātaro. Tesu kadāci jeṭṭho pañca sakaṭasatāni gahetvā janapadaṃ gantvā bhaṇḍaṃ āharati, kadāci kaniṭṭho. Imasmiṃ pana samaye kaniṭṭhaṃ ghare ṭhapetvā jeṭṭhabhātiko pañca sakaṭasatāni gahetvā janapadacārikaṃ caranto anupubbena sāvatthiṃ patvā jetavanassa nātidūre sakaṭasatthaṃ nivāsetvā bhuttapātarāso parijanaparivuto phāsukaṭṭhāne nisīdi.

    เตน จ สมเยน สาวตฺถิวาสิโน ภุตฺตปาตราสา อุโปสถงฺคานิ อธิฎฺฐาย สุทฺธุตฺตราสงฺคา คนฺธปุปฺผาทิหตฺถา เยน พุโทฺธ เยน ธโมฺม เยน สโงฺฆ, ตนฺนินฺนา ตโปฺปณา ตปฺปาพฺภารา หุตฺวา ทกฺขิณทฺวาเรน นิกฺขมิตฺวา เชตวนํ คจฺฉนฺติฯ โส เต ทิสฺวา ‘‘กหํ อิเม คจฺฉนฺติ’’ติ เอกมนุสฺสํ ปุจฺฉิฯ กิํ ตฺวํ อโยฺย น ชานาสิ, โลเก พุทฺธธมฺมสงฺฆรตนานิ นาม อุปฺปนฺนานิ, อิเจฺจส มหาชโน สตฺถุ สนฺติเก ธมฺมกถํ โสตุํ คจฺฉตีติฯ ตสฺส พุโทฺธติ วจนํ ฉวิจมฺมาทีนิ ฉินฺทิตฺวา อฎฺฐิมิญฺชํ อาหจฺจ อฎฺฐาสิฯ อถ อตฺตโน ปริชนปริวุโต ตาย ปริสาย สทฺธิํ วิหารํ คนฺตฺวา สตฺถุ มธุรสฺสเรน ธมฺมํ เทเสนฺตสฺส ปริสปริยเนฺต ฐิโต ธมฺมํ สุตฺวา ปพฺพชฺชาย จิตฺตํ อุปฺปาเทสิฯ อถ ตถาคเตน กาลํ วิทิตฺวา ปริสาย อุโยฺยชิตาย สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา สฺวาตนาย นิมเนฺตตฺวา ทุติยทิวเส มณฺฑปํ กาเรตฺวา อาสนานิ ปญฺญเปตฺวา พุทฺธปฺปมุขสฺส สงฺฆสฺส มหาทานํ ทตฺวา ภุตฺตปาตราโส อุโปสถงฺคานิ อธิฎฺฐาย ภณฺฑาคาริกํ ปโกฺกสาเปตฺวา, เอตฺตกํ ภณฺฑํ วิสฺสชฺชิตํ, เอตฺตกํ น วิสฺสชฺชิตนฺติ สพฺพํ อาจิกฺขิตฺวา – ‘‘อิมํ สาปเตยฺยํ มยฺหํ กนิฎฺฐสฺส เทหี’’ติ สพฺพํ นิยฺยาเตตฺวา สตฺถุ สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา กมฺมฎฺฐานปรายโณ อโหสิฯ

    Tena ca samayena sāvatthivāsino bhuttapātarāsā uposathaṅgāni adhiṭṭhāya suddhuttarāsaṅgā gandhapupphādihatthā yena buddho yena dhammo yena saṅgho, tanninnā tappoṇā tappābbhārā hutvā dakkhiṇadvārena nikkhamitvā jetavanaṃ gacchanti. So te disvā ‘‘kahaṃ ime gacchanti’’ti ekamanussaṃ pucchi. Kiṃ tvaṃ ayyo na jānāsi, loke buddhadhammasaṅgharatanāni nāma uppannāni, iccesa mahājano satthu santike dhammakathaṃ sotuṃ gacchatīti. Tassa buddhoti vacanaṃ chavicammādīni chinditvā aṭṭhimiñjaṃ āhacca aṭṭhāsi. Atha attano parijanaparivuto tāya parisāya saddhiṃ vihāraṃ gantvā satthu madhurassarena dhammaṃ desentassa parisapariyante ṭhito dhammaṃ sutvā pabbajjāya cittaṃ uppādesi. Atha tathāgatena kālaṃ viditvā parisāya uyyojitāya satthāraṃ upasaṅkamitvā vanditvā svātanāya nimantetvā dutiyadivase maṇḍapaṃ kāretvā āsanāni paññapetvā buddhappamukhassa saṅghassa mahādānaṃ datvā bhuttapātarāso uposathaṅgāni adhiṭṭhāya bhaṇḍāgārikaṃ pakkosāpetvā, ettakaṃ bhaṇḍaṃ vissajjitaṃ, ettakaṃ na vissajjitanti sabbaṃ ācikkhitvā – ‘‘imaṃ sāpateyyaṃ mayhaṃ kaniṭṭhassa dehī’’ti sabbaṃ niyyātetvā satthu santike pabbajitvā kammaṭṭhānaparāyaṇo ahosi.

    อถสฺส กมฺมฎฺฐานํ มนสิกโรนฺตสฺส กมฺมฎฺฐานํ น อุปฎฺฐาติฯ ตโต จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ ชนปโท มยฺหํ อสปฺปาโย, ยํนูนาหํ สตฺถุ สนฺติเก กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา สกฎฺฐานเมว คเจฺฉยฺย’’นฺติฯ อถ ปุพฺพณฺหสมเย ปิณฺฑาย จริตฺวา สายนฺหสมเย ปฎิสลฺลานา วุฎฺฐหิตฺวา ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา กมฺมฎฺฐานํ กถาเปตฺวา สตฺต สีหนาเท นทิตฺวา ปกฺกามิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อถ โข อายสฺมา ปุโณฺณ…เป.… วิหรตี’’ติฯ

    Athassa kammaṭṭhānaṃ manasikarontassa kammaṭṭhānaṃ na upaṭṭhāti. Tato cintesi – ‘‘ayaṃ janapado mayhaṃ asappāyo, yaṃnūnāhaṃ satthu santike kammaṭṭhānaṃ gahetvā sakaṭṭhānameva gaccheyya’’nti. Atha pubbaṇhasamaye piṇḍāya caritvā sāyanhasamaye paṭisallānā vuṭṭhahitvā bhagavantaṃ upasaṅkamitvā kammaṭṭhānaṃ kathāpetvā satta sīhanāde naditvā pakkāmi. Tena vuttaṃ – ‘‘atha kho āyasmā puṇṇo…pe… viharatī’’ti.

    กตฺถ ปนายํ วิหาสีติ? จตูสุ ฐาเนสุ วิหาสิ, สุนาปรนฺตรฎฺฐํ ตาว ปวิสิตฺวา อชฺชุหตฺถปพฺพเต นาม ปวิสิตฺวา วาณิชคามํ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ อถ นํ กนิฎฺฐภาตา สญฺชานิตฺวา ภิกฺขํ ทตฺวา, ‘‘ภเนฺต, อญฺญตฺถ อคนฺตฺวา อิเธว วสถา’’ติ ปฎิญฺญํ กาเรตฺวา ตเตฺถว วสาเปสิฯ

    Kattha panāyaṃ vihāsīti? Catūsu ṭhānesu vihāsi, sunāparantaraṭṭhaṃ tāva pavisitvā ajjuhatthapabbate nāma pavisitvā vāṇijagāmaṃ piṇḍāya pāvisi. Atha naṃ kaniṭṭhabhātā sañjānitvā bhikkhaṃ datvā, ‘‘bhante, aññattha agantvā idheva vasathā’’ti paṭiññaṃ kāretvā tattheva vasāpesi.

    ตโต สมุทฺทคิริวิหารํ นาม อคมาสิฯ ตตฺถ อยกนฺตปาสาเณหิ ปริจฺฉินฺทิตฺวา กตจงฺกโม อตฺถิ, ตํ โกจิ จงฺกมิตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิฯ ตตฺถ สมุทฺทวีจิโย อาคนฺตฺวา อยกนฺตปาสาเณสุ ปหริตฺวา มหาสทฺทํ กโรนฺติฯ เถโรนํ – ‘‘กมฺมฎฺฐานํ มนสิกโรนฺตานํ ผาสุวิหาโร โหตู’’ติ สมุทฺทํ นิสฺสทฺทํ กตฺวา อธิฎฺฐาสิฯ

    Tato samuddagirivihāraṃ nāma agamāsi. Tattha ayakantapāsāṇehi paricchinditvā katacaṅkamo atthi, taṃ koci caṅkamituṃ samattho nāma natthi. Tattha samuddavīciyo āgantvā ayakantapāsāṇesu paharitvā mahāsaddaṃ karonti. Theronaṃ – ‘‘kammaṭṭhānaṃ manasikarontānaṃ phāsuvihāro hotū’’ti samuddaṃ nissaddaṃ katvā adhiṭṭhāsi.

    ตโต มาตุลคิริํ นาม อคมาสิฯ ตตฺถ สกุณสโงฺฆ อุสฺสโนฺน, รตฺติญฺจ ทิวา จ สโทฺท เอกาพโทฺธว โหติ, เถโร อิมํ ฐานํ อผาสุกนฺติ ตโต มกุลการามวิหารํ นาม คโตฯ โส วาณิชคามสฺส นาติทูโร นจฺจาสโนฺน คมนาคมนสมฺปโนฺน วิวิโตฺต อปฺปสโทฺทฯ เถโร อิมํ ฐานํ ผาสุกนฺติ ตตฺถ รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐานจงฺกมนาทีนิ กาเรตฺวา วสฺสํ อุปคจฺฉิฯ เอวํ จตูสุ ฐาเนสุ วิหาสิฯ

    Tato mātulagiriṃ nāma agamāsi. Tattha sakuṇasaṅgho ussanno, rattiñca divā ca saddo ekābaddhova hoti, thero imaṃ ṭhānaṃ aphāsukanti tato makulakārāmavihāraṃ nāma gato. So vāṇijagāmassa nātidūro naccāsanno gamanāgamanasampanno vivitto appasaddo. Thero imaṃ ṭhānaṃ phāsukanti tattha rattiṭṭhānadivāṭṭhānacaṅkamanādīni kāretvā vassaṃ upagacchi. Evaṃ catūsu ṭhānesu vihāsi.

    อเถกทิวสํ ตสฺมิํเยว อโนฺตวเสฺส ปญฺจ วาณิชสตานิ ปรสมุทฺทํ คจฺฉามาติ นาวาย ภณฺฑํ ปกฺขิปิํสุฯ นาวาโรหนทิวเส เถรสฺส กนิฎฺฐภาตา เถรํ โภเชตฺวา เถรสฺส สนฺติเก สิกฺขาปทานิ คเหตฺวา วนฺทิตฺวา คจฺฉโนฺต, – ‘‘ภเนฺต, มหาสมุโทฺท นาม อปฺปเมโยฺย อเนกนฺตราโย, อเมฺห อาวเชฺชยฺยาถา’’ติ วตฺวา นาวํ อารุหิฯ นาวา อุตฺตมชเวน คจฺฉมานา อญฺญตรํ ทีปกํ ปาปุณิฯ มนุสฺสา ปาตราสํ กริสฺสามาติ ทีปเก โอติณฺณาฯ ตสฺมิํ ทีเป อญฺญํ กิญฺจิ นตฺถิ, จนฺทนวนเมว อโหสิฯ

    Athekadivasaṃ tasmiṃyeva antovasse pañca vāṇijasatāni parasamuddaṃ gacchāmāti nāvāya bhaṇḍaṃ pakkhipiṃsu. Nāvārohanadivase therassa kaniṭṭhabhātā theraṃ bhojetvā therassa santike sikkhāpadāni gahetvā vanditvā gacchanto, – ‘‘bhante, mahāsamuddo nāma appameyyo anekantarāyo, amhe āvajjeyyāthā’’ti vatvā nāvaṃ āruhi. Nāvā uttamajavena gacchamānā aññataraṃ dīpakaṃ pāpuṇi. Manussā pātarāsaṃ karissāmāti dīpake otiṇṇā. Tasmiṃ dīpe aññaṃ kiñci natthi, candanavanameva ahosi.

    อเถโก วาสิยา รุกฺขํ อาโกเฎตฺวา โลหิตจนฺทนภาวํ ญตฺวา อาห – ‘‘โภ มยํ ลาภตฺถาย ปรสมุทฺทํ คจฺฉาม, อิโต จ อุตฺตริ ลาโภ นาม นตฺถิ, จตุรงฺคุลมตฺตา ฆฎิกา สตสหสฺสํ อคฺฆติ, หาเรตพฺพกยุตฺตํ ภณฺฑํ หาเรตฺวา จนฺทนสฺส ปูเรมา’’ติฯ เต ตถา กริํสุฯ จนฺทนวเน อธิวตฺถา อมนุสฺสา กุชฺฌิตฺวา – ‘‘อิเมหิ อมฺหากํ จนฺทนวนํ นาสิตํ, ฆาเตสฺสาม เน’’ติ จิเนฺตตฺวา – ‘‘อิเธว ฆาติเตสุ สพฺพํ วนํ เอกํ กุณปํ ภวิสฺสติ, สมุทฺทมเชฺฌ เนสํ นาวํ โอสีเทสฺสามา’’ติ อาหํสุฯ อถ เตสํ นาวํ อารุยฺห มุหุตฺตํ คตกาเลเยว อุปฺปาทิกํ อุฎฺฐเปตฺวา สยมฺปิ เต อมนุสฺสา ภยานกานิ รูปานิ ทสฺสยิํสุฯ ภีตา มนุสฺสา อตฺตโน อตฺตโน เทวตา นมสฺสนฺติฯ เถรสฺส กนิโฎฺฐ จูฬปุณฺณกุฎุมฺพิโก – ‘‘มยฺหํ ภาตา อวสฺสโย โหตู’’ติ เถรสฺส นมสฺสมาโน อฎฺฐาสิฯ

    Atheko vāsiyā rukkhaṃ ākoṭetvā lohitacandanabhāvaṃ ñatvā āha – ‘‘bho mayaṃ lābhatthāya parasamuddaṃ gacchāma, ito ca uttari lābho nāma natthi, caturaṅgulamattā ghaṭikā satasahassaṃ agghati, hāretabbakayuttaṃ bhaṇḍaṃ hāretvā candanassa pūremā’’ti. Te tathā kariṃsu. Candanavane adhivatthā amanussā kujjhitvā – ‘‘imehi amhākaṃ candanavanaṃ nāsitaṃ, ghātessāma ne’’ti cintetvā – ‘‘idheva ghātitesu sabbaṃ vanaṃ ekaṃ kuṇapaṃ bhavissati, samuddamajjhe nesaṃ nāvaṃ osīdessāmā’’ti āhaṃsu. Atha tesaṃ nāvaṃ āruyha muhuttaṃ gatakāleyeva uppādikaṃ uṭṭhapetvā sayampi te amanussā bhayānakāni rūpāni dassayiṃsu. Bhītā manussā attano attano devatā namassanti. Therassa kaniṭṭho cūḷapuṇṇakuṭumbiko – ‘‘mayhaṃ bhātā avassayo hotū’’ti therassa namassamāno aṭṭhāsi.

    เถโรปิ กิร ตสฺมิํเยว ขเณ อาวชฺชิตฺวา เตสํ พฺยสนุปฺปตฺติํ ญตฺวา เวหาสํ อุปฺปติตฺวา สมฺมุเข อฎฺฐาสิฯ อมนุสฺสา เถรํ ทิสฺวา ‘‘อโยฺย ปุณฺณเตฺถโร เอตี’’ติ ปกฺกมิํสุ, อุปฺปาทิกํ สนฺนิสีทิฯ เถโร มา ภายถาติ เต อสฺสาเสตฺวา ‘‘กหํ คนฺตุกามตฺถา’’ติ ปุจฺฉิฯ ภเนฺต, อมฺหากํ สกฎฺฐานเมว คจฺฉามาติฯ เถโร นาวํ ผเล อกฺกมิตฺวา ‘‘เอเตสํ อิจฺฉิตฎฺฐานํ คจฺฉตู’’ติ อธิฎฺฐาสิฯ วาณิชา สกฎฺฐานํ คนฺตฺวา ตํ ปวตฺติํ ปุตฺตทารสฺส อาโรเจตฺวา ‘‘เอถ เถรํ สรณํ คจฺฉามา’’ติ ปญฺจสตา อตฺตโน ปญฺจมาตุคามสเตหิ สทฺธิํ ตีสุ สรเณสุ ปติฎฺฐาย อุปาสกตฺตํ ปฎิเวเทสุํฯ ตโต นาวาย ภณฺฑํ โอตาเรตฺวา เถรสฺส เอกํ โกฎฺฐาสํ กตฺวา – ‘‘อยํ, ภเนฺต, ตุมฺหากํ โกฎฺฐาโส’’ติ อาหํสุฯ เถโร – ‘‘มยฺหํ วิสุํ โกฎฺฐาสกิจฺจํ นตฺถิ, สตฺถา ปน ตุเมฺหหิ ทิฎฺฐปุโพฺพ’’ติฯ น ทิฎฺฐปุโพฺพ, ภเนฺตติฯ เตน หิ อิมินา สตฺถุ มณฺฑลมาฬํ กโรถ, เอวํ สตฺถารํ ปสฺสิสฺสถาติฯ เต สาธุ, ภเนฺตติ เตน จ โกฎฺฐาเสน อตฺตโน จ โกฎฺฐาเสหิ มณฺฑลมาฬํ กาตุํ อารภิํสุฯ

    Theropi kira tasmiṃyeva khaṇe āvajjitvā tesaṃ byasanuppattiṃ ñatvā vehāsaṃ uppatitvā sammukhe aṭṭhāsi. Amanussā theraṃ disvā ‘‘ayyo puṇṇatthero etī’’ti pakkamiṃsu, uppādikaṃ sannisīdi. Thero mā bhāyathāti te assāsetvā ‘‘kahaṃ gantukāmatthā’’ti pucchi. Bhante, amhākaṃ sakaṭṭhānameva gacchāmāti. Thero nāvaṃ phale akkamitvā ‘‘etesaṃ icchitaṭṭhānaṃ gacchatū’’ti adhiṭṭhāsi. Vāṇijā sakaṭṭhānaṃ gantvā taṃ pavattiṃ puttadārassa ārocetvā ‘‘etha theraṃ saraṇaṃ gacchāmā’’ti pañcasatā attano pañcamātugāmasatehi saddhiṃ tīsu saraṇesu patiṭṭhāya upāsakattaṃ paṭivedesuṃ. Tato nāvāya bhaṇḍaṃ otāretvā therassa ekaṃ koṭṭhāsaṃ katvā – ‘‘ayaṃ, bhante, tumhākaṃ koṭṭhāso’’ti āhaṃsu. Thero – ‘‘mayhaṃ visuṃ koṭṭhāsakiccaṃ natthi, satthā pana tumhehi diṭṭhapubbo’’ti. Na diṭṭhapubbo, bhanteti. Tena hi iminā satthu maṇḍalamāḷaṃ karotha, evaṃ satthāraṃ passissathāti. Te sādhu, bhanteti tena ca koṭṭhāsena attano ca koṭṭhāsehi maṇḍalamāḷaṃ kātuṃ ārabhiṃsu.

    สตฺถาปิ กิร อารทฺธกาลโต ปฎฺฐาย ปริโภคํ อกาสิฯ อารกฺขมนุสฺสา รตฺติํ โอภาสํ ทิสฺวา ‘‘มเหสกฺขา เทวตา อตฺถี’’ติ สญฺญํ กริํสุฯ อุปาสกา มณฺฑลมาฬญฺจ ภิกฺขุสงฺฆสฺส จ เสนาสนานิ นิฎฺฐเปตฺวา ทานสมฺภารํ สเชฺชตฺวา – ‘‘กตํ, ภเนฺต, อเมฺหหิ อตฺตโน กิจฺจํ, สตฺถารํ ปโกฺกสถา’’ติ เถรสฺส อาโรเจสุํฯ เถโร สายนฺหสมเย อิทฺธิยา สาวตฺถิํ ปตฺวา, ‘‘ภเนฺต, วาณิชคามวาสิโน ตุเมฺห ทฎฺฐุกามา, เตสํ อนุกมฺปํ กโรถา’’ติ ภควนฺตํ ยาจิฯ ภควา อธิวาเสสิฯ เถโร ภควโต อธิวาสนํ วิทิตฺวา สกฎฺฐานเมว ปจฺจาคโตฯ

    Satthāpi kira āraddhakālato paṭṭhāya paribhogaṃ akāsi. Ārakkhamanussā rattiṃ obhāsaṃ disvā ‘‘mahesakkhā devatā atthī’’ti saññaṃ kariṃsu. Upāsakā maṇḍalamāḷañca bhikkhusaṅghassa ca senāsanāni niṭṭhapetvā dānasambhāraṃ sajjetvā – ‘‘kataṃ, bhante, amhehi attano kiccaṃ, satthāraṃ pakkosathā’’ti therassa ārocesuṃ. Thero sāyanhasamaye iddhiyā sāvatthiṃ patvā, ‘‘bhante, vāṇijagāmavāsino tumhe daṭṭhukāmā, tesaṃ anukampaṃ karothā’’ti bhagavantaṃ yāci. Bhagavā adhivāsesi. Thero bhagavato adhivāsanaṃ viditvā sakaṭṭhānameva paccāgato.

    ภควาปิ อานนฺทเถรํ อามเนฺตสิ , – ‘‘อานนฺท, เสฺว สุนาปรเนฺต วาณิชคาเม ปิณฺฑาย จริสฺสาม, ตฺวํ เอกูนปญฺจสตานํ ภิกฺขูนํ สลากํ เทหี’’ติฯ เถโร สาธุ, ภเนฺตติ ภิกฺขุสงฺฆสฺส ตมตฺถํ อาโรเจตฺวา นภจาริกา ภิกฺขู สลากํ คณฺหนฺตูติ อาหฯ ตํทิวสํ กุณฺฑธานเตฺถโร ปฐมํ สลากํ อคฺคเหสิฯ วาณิชคามวาสิโนปิ ‘‘เสฺว กิร สตฺถา อาคมิสฺสตี’’ติ คามมเชฺฌ มณฺฑปํ กตฺวา ทานคฺคํ สชฺชยิํสุฯ ภควา ปาโตว สรีรปฎิชคฺคนํ กตฺวา คนฺธกุฎิํ ปวิสิตฺวา ผลสมาปตฺติํ อเปฺปตฺวา นิสีทิฯ สกฺกสฺส ปณฺฑุกมฺพลสิลาสนํ อุณฺหํ อโหสิฯ โส กิํ อิทนฺติ อาวเชฺชตฺวา สตฺถุ สุนาปรนฺตคมนํ ทิสฺวา วิสฺสกมฺมํ อามเนฺตสิ – ‘‘ตาต อชฺช ภควา ติมตฺตานิ โยชนสตานิ ปิณฺฑาจารํ กริสฺสติ, ปญฺจ กูฎาคารสตานิ มาเปตฺวา เชตวนทฺวารโกฎฺฐมตฺถเก คมนสชฺชานิ กตฺวา ฐเปหี’’ติฯ โส ตถา อกาสิฯ ภควโต กูฎาคารํ จตุมุขํ อโหสิ, ทฺวินฺนํ อคฺคสาวกานํ ทฺวิมุขานิ, เสสานิ เอกมุขานิฯ สตฺถา คนฺธกุฎิโต นิกฺขมฺม ปฎิปาฎิยา ฐปิตกูฎาคาเรสุ ธุรกูฎาคารํ ปาวิสิฯ เทฺว อคฺคสาวเก อาทิํ กตฺวา เอกูนปญฺจภิกฺขุสตานิปิ กูฎาคารํ คนฺตฺวา นิสินฺนา อเหสุํฯ เอกํ ตุจฺฉกูฎาคารํ อโหสิ, ปญฺจปิ กูฎาคารสตานิ อากาเส อุปฺปติํสุฯ

    Bhagavāpi ānandatheraṃ āmantesi , – ‘‘ānanda, sve sunāparante vāṇijagāme piṇḍāya carissāma, tvaṃ ekūnapañcasatānaṃ bhikkhūnaṃ salākaṃ dehī’’ti. Thero sādhu, bhanteti bhikkhusaṅghassa tamatthaṃ ārocetvā nabhacārikā bhikkhū salākaṃ gaṇhantūti āha. Taṃdivasaṃ kuṇḍadhānatthero paṭhamaṃ salākaṃ aggahesi. Vāṇijagāmavāsinopi ‘‘sve kira satthā āgamissatī’’ti gāmamajjhe maṇḍapaṃ katvā dānaggaṃ sajjayiṃsu. Bhagavā pātova sarīrapaṭijagganaṃ katvā gandhakuṭiṃ pavisitvā phalasamāpattiṃ appetvā nisīdi. Sakkassa paṇḍukambalasilāsanaṃ uṇhaṃ ahosi. So kiṃ idanti āvajjetvā satthu sunāparantagamanaṃ disvā vissakammaṃ āmantesi – ‘‘tāta ajja bhagavā timattāni yojanasatāni piṇḍācāraṃ karissati, pañca kūṭāgārasatāni māpetvā jetavanadvārakoṭṭhamatthake gamanasajjāni katvā ṭhapehī’’ti. So tathā akāsi. Bhagavato kūṭāgāraṃ catumukhaṃ ahosi, dvinnaṃ aggasāvakānaṃ dvimukhāni, sesāni ekamukhāni. Satthā gandhakuṭito nikkhamma paṭipāṭiyā ṭhapitakūṭāgāresu dhurakūṭāgāraṃ pāvisi. Dve aggasāvake ādiṃ katvā ekūnapañcabhikkhusatānipi kūṭāgāraṃ gantvā nisinnā ahesuṃ. Ekaṃ tucchakūṭāgāraṃ ahosi, pañcapi kūṭāgārasatāni ākāse uppatiṃsu.

    สตฺถา สจฺจพนฺธปพฺพตํ นาม ปตฺวา กูฎาคารํ อากาเส ฐเปสิฯ ตสฺมิํ ปพฺพเต สจฺจพโนฺธ นาม มิจฺฉาทิฎฺฐิกตาปโส มหาชนํ มิจฺฉาทิฎฺฐิํ อุคฺคณฺหาเปโนฺต ลาภคฺคยสคฺคปฺปโตฺต หุตฺวา วสติฯ อพฺภนฺตเร จสฺส อโนฺตจาฎิยํ ปทีโป วิย อรหตฺตสฺส อุปนิสฺสโย ชลติฯ ตํ ทิสฺวา ธมฺมมสฺส กเถสฺสามีติ คนฺตฺวา ธมฺมํ เทเสสิฯ ตาปโส เทสนาปริโยสาเน อรหตฺตํ ปาปุณิ, มเคฺคเนวาสฺส อภิญฺญา อาคตาฯ เอหิภิกฺขุ หุตฺวา อิทฺธิมยปตฺตจีวรธโร หุตฺวา กูฎาคารํ ปาวิสิฯ

    Satthā saccabandhapabbataṃ nāma patvā kūṭāgāraṃ ākāse ṭhapesi. Tasmiṃ pabbate saccabandho nāma micchādiṭṭhikatāpaso mahājanaṃ micchādiṭṭhiṃ uggaṇhāpento lābhaggayasaggappatto hutvā vasati. Abbhantare cassa antocāṭiyaṃ padīpo viya arahattassa upanissayo jalati. Taṃ disvā dhammamassa kathessāmīti gantvā dhammaṃ desesi. Tāpaso desanāpariyosāne arahattaṃ pāpuṇi, maggenevāssa abhiññā āgatā. Ehibhikkhu hutvā iddhimayapattacīvaradharo hutvā kūṭāgāraṃ pāvisi.

    ภควา กูฎาคารคเตหิ ปญฺจหิ ภิกฺขุสเตหิ สทฺธิํ วาณิชคามํ คนฺตฺวา กูฎาคารานิ อทิสฺสมานานิ กตฺวา วาณิชคามํ ปาวิสิฯ วาณิชา พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส มหาทานํ ทตฺวา สตฺถารํ มกุลการามํ นยิํสุฯ สตฺถา มณฺฑลมาฬํ ปาวิสิฯ มหาชโน ยาว สตฺถา ภตฺตทรถํ ปฎิปสฺสเมฺภติ, ตาว ปาตราสํ กตฺวา อุโปสถงฺคานิ สมาทาย พหุํ คนฺธญฺจ ปุปฺผญฺจ อาทาย ธมฺมสฺสวนตฺถาย อารามํ ปจฺจาคมาสิฯ สตฺถา ธมฺมํ เทเสสิฯ มหาชนสฺส พนฺธนโมโกฺข ชาโต, มหนฺตํ พุทฺธโกลาหลํ อโหสิฯ

    Bhagavā kūṭāgāragatehi pañcahi bhikkhusatehi saddhiṃ vāṇijagāmaṃ gantvā kūṭāgārāni adissamānāni katvā vāṇijagāmaṃ pāvisi. Vāṇijā buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa mahādānaṃ datvā satthāraṃ makulakārāmaṃ nayiṃsu. Satthā maṇḍalamāḷaṃ pāvisi. Mahājano yāva satthā bhattadarathaṃ paṭipassambheti, tāva pātarāsaṃ katvā uposathaṅgāni samādāya bahuṃ gandhañca pupphañca ādāya dhammassavanatthāya ārāmaṃ paccāgamāsi. Satthā dhammaṃ desesi. Mahājanassa bandhanamokkho jāto, mahantaṃ buddhakolāhalaṃ ahosi.

    สตฺถา มหาชนสฺส สงฺคหตฺถํ กติปาหํ ตเตฺถว วสิ, อรุณํ ปน มหาคนฺธกุฎิยํเยว อุฎฺฐเปสิฯ ตตฺถ กติปาหํ วสิตฺวา วาณิชคาเม ปิณฺฑาย จริตฺวา ‘‘ตฺวํ อิเธว วสาหี’’ติ ปุณฺณเตฺถรํ นิวเตฺตตฺวา อนฺตเร นมฺมทานที นาม อตฺถิ, ตสฺสา ตีรํ อคมาสิฯ นมฺมทานาคราชา สตฺถุ ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา นาคภวนํ ปเวเสตฺวา ติณฺณํ รตนานํ สกฺการํ อกาสิฯ สตฺถา ตสฺส ธมฺมํ กเถตฺวา นาคภวนา นิกฺขมิฯ โส – ‘‘มยฺหํ, ภเนฺต, ปริจริตพฺพํ เทถา’’ติ ยาจิ, ภควา นมฺมทานทีตีเร ปทเจติยํ ทเสฺสสิฯ ตํ วีจีสุ อาคตาสุ ปิธียติ, คตาสุ วิวรียติ, มหาสกฺการปฺปตฺตํ อโหสิฯ สตฺถา ตโต นิกฺขมฺม สจฺจพนฺธปพฺพตํ คนฺตฺวา สจฺจพนฺธํ อาห – ‘‘ตยา มหาชโน อปายมเคฺค โอตาริโต, ตฺวํ อิเธว วสิตฺวา เอเตสํ ลทฺธิํ วิสฺสชฺชาเปตฺวา นิพฺพานมเคฺค ปติฎฺฐาเปหี’’ติฯ โสปิ ปริจริตพฺพํ ยาจิฯ สตฺถา ฆนปิฎฺฐิปาสาเณ อลฺลมตฺติกปิณฺฑมฺหิ ลญฺฉนํ วิย ปทเจติยํ ทเสฺสสิ, ตโต เชตวนเมว คโตฯ เอตมตฺถํ สนฺธาย เตเนวนฺตรวเสฺสนาติอาทิ วุตฺตํฯ

    Satthā mahājanassa saṅgahatthaṃ katipāhaṃ tattheva vasi, aruṇaṃ pana mahāgandhakuṭiyaṃyeva uṭṭhapesi. Tattha katipāhaṃ vasitvā vāṇijagāme piṇḍāya caritvā ‘‘tvaṃ idheva vasāhī’’ti puṇṇattheraṃ nivattetvā antare nammadānadī nāma atthi, tassā tīraṃ agamāsi. Nammadānāgarājā satthu paccuggamanaṃ katvā nāgabhavanaṃ pavesetvā tiṇṇaṃ ratanānaṃ sakkāraṃ akāsi. Satthā tassa dhammaṃ kathetvā nāgabhavanā nikkhami. So – ‘‘mayhaṃ, bhante, paricaritabbaṃ dethā’’ti yāci, bhagavā nammadānadītīre padacetiyaṃ dassesi. Taṃ vīcīsu āgatāsu pidhīyati, gatāsu vivarīyati, mahāsakkārappattaṃ ahosi. Satthā tato nikkhamma saccabandhapabbataṃ gantvā saccabandhaṃ āha – ‘‘tayā mahājano apāyamagge otārito, tvaṃ idheva vasitvā etesaṃ laddhiṃ vissajjāpetvā nibbānamagge patiṭṭhāpehī’’ti. Sopi paricaritabbaṃ yāci. Satthā ghanapiṭṭhipāsāṇe allamattikapiṇḍamhi lañchanaṃ viya padacetiyaṃ dassesi, tato jetavanameva gato. Etamatthaṃ sandhāya tenevantaravassenātiādi vuttaṃ.

    ปรินิพฺพายีติ อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายิฯ มหาชโน เถรสฺส สตฺต ทิวสานิ สรีรปูชํ กตฺวา พหูนิ คนฺธกฎฺฐานิ สโมธาเนตฺวา สรีรํ ฌาเปตฺวา ธาตุโย อาทาย เจติยํ อกาสิฯ สมฺพหุลา ภิกฺขูติ เถรสฺส อาฬาหเน ฐิตภิกฺขูฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานเมวาติฯ

    Parinibbāyīti anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbāyi. Mahājano therassa satta divasāni sarīrapūjaṃ katvā bahūni gandhakaṭṭhāni samodhānetvā sarīraṃ jhāpetvā dhātuyo ādāya cetiyaṃ akāsi. Sambahulā bhikkhūti therassa āḷāhane ṭhitabhikkhū. Sesaṃ sabbattha uttānamevāti.

    ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย

    Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya

    ปุโณฺณวาทสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Puṇṇovādasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๓. ปุโณฺณวาทสุตฺตํ • 3. Puṇṇovādasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๓. ปุโณฺณวาทสุตฺตวณฺณนา • 3. Puṇṇovādasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact