Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๑๔๗] ๗. ปุปฺผรตฺตชาตกวณฺณนา
[147] 7. Puppharattajātakavaṇṇanā
นยิทํ ทุกฺขํ อทุํ ทุกฺขนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ โส หิ ภควตา ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ ภิกฺขุ อุกฺกณฺฐิโต’’ติ วุเตฺต ‘‘สจฺจ’’นฺติ วตฺวา ‘‘เกน อุกฺกณฺฐาปิโตสี’’ติ จ ปุโฎฺฐ ‘‘ปุราณทุติยิกายา’’ติ วตฺวา ‘‘มธุรหตฺถรสา, ภเนฺต, สา อิตฺถี, น สโกฺกมิ ตํ วินา วสิตุ’’นฺติ อาหฯ อถ นํ สตฺถา ‘‘เอสา เต ภิกฺขุ อนตฺถการิกา, ปุเพฺพปิ ตฺวํ เอตํ นิสฺสาย สูเล อุตฺตาสิโต เอตเญฺญว ปตฺถยมาโน กาลํ กตฺวา นิรเย นิพฺพโตฺต, อิทานิ นํ กสฺมา ปุน ปเตฺถสี’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Nayidaṃdukkhaṃ aduṃ dukkhanti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ ukkaṇṭhitabhikkhuṃ ārabbha kathesi. So hi bhagavatā ‘‘saccaṃ kira tvaṃ bhikkhu ukkaṇṭhito’’ti vutte ‘‘sacca’’nti vatvā ‘‘kena ukkaṇṭhāpitosī’’ti ca puṭṭho ‘‘purāṇadutiyikāyā’’ti vatvā ‘‘madhurahattharasā, bhante, sā itthī, na sakkomi taṃ vinā vasitu’’nti āha. Atha naṃ satthā ‘‘esā te bhikkhu anatthakārikā, pubbepi tvaṃ etaṃ nissāya sūle uttāsito etaññeva patthayamāno kālaṃ katvā niraye nibbatto, idāni naṃ kasmā puna patthesī’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต อากาสฎฺฐเทวตา อโหสิฯ อถ พาราณสิยํ กตฺติกรตฺติวารฉโณ สมฺปโตฺต โหติ, นครํ เทวนครํ วิย อลงฺกริํสุฯ สโพฺพ ชโน ขณกีฬานิสฺสิโต อโหสิฯ เอกสฺส ปน ทุคฺคตมนุสฺสสฺส เอกเมว ฆนสาฎกยุคํ อโหสิฯ โส ตํ สุโธตํ โธวาเปตฺวา โอภญฺชาเปตฺวา สตวลิกํ สหสฺสวลิกํ กาเรตฺวา ฐเปสิฯ อถ นํ ภริยา เอวมาห ‘‘อิจฺฉามหํ, สามิ, เอกํ กุสุมฺภรตฺตํ นิวาเสตฺวา เอกํ ปารุปิตฺวา ตว กเณฺฐ ลคฺคา กตฺติกรตฺติวารํ จริตุ’’นฺติฯ ‘‘ภเทฺท, กุโต อมฺหากํ ทลิทฺทานํ กุสุมฺภํ, สุทฺธวตฺถํ นิวาเสตฺวา กีฬาหี’’ติ? ‘‘กุสุมฺภรตฺตํ อลภมานา ฉณกีฬํ น กีฬิสฺสามิ, ตฺวํ อญฺญํ อิตฺถิํ คเหตฺวา กีฬสฺสู’’ติฯ ‘‘ภเทฺท, กิํ มํ ปีเฬสิ, กุโต อมฺหากํ กุสุมฺภ’’นฺติ? ‘‘สามิ, ปุริสสฺส อิจฺฉาย สติ กิํ นาม นตฺถิ, นนุ รโญฺญ กุสุมฺภวตฺถุสฺมิํ พหุ กุสุมฺภ’’นฺติฯ ‘‘ภเทฺท , ตํ ฐานํ รกฺขสปริคฺคหิตโปกฺขรณิสทิสํ, พลวารกฺขา, น สกฺกา อุปสงฺกมิตุํ, มา เต เอตํ รุจฺจิ, ยถาลเทฺธเนว ตุสฺสสฺสู’’ติฯ ‘‘สามิ, รตฺติภาเค อนฺธกาเร สติ ปุริสสฺส อคมนียฎฺฐานํ นาม นตฺถี’’ติฯ อิติ โส ตาย ปุนปฺปุนํ กเถนฺติยา กิเลสวเสน ตสฺสา วจนํ คเหตฺวา ‘‘โหตุ ภเทฺท, มา จินฺตยิตฺถา’’ติ ตํ สมสฺสาเสตฺวา รตฺติภาเค ชีวิตํ ปริจฺจชิตฺวา นครา นิกฺขมิตฺวา รโญฺญ กุสุมฺภวตฺถุํ คนฺตฺวา วติํ มทฺทิตฺวา อโนฺตวตฺถุํ ปาวิสิฯ อารกฺขมนุสฺสา วติสทฺทํ สุตฺวา ‘‘โจโร โจโร’’ติ ปริวาเรตฺวา คเหตฺวา ปริภาสิตฺวา โกเฎฺฎตฺวา พนฺธิตฺวา ปภาตาย รตฺติยา รโญฺญ ทเสฺสสุํฯ ราชา ‘‘คจฺฉถ, นํ สูเล อุตฺตาเสถา’’ติ อาหฯ อถ นํ ปจฺฉาพาหํ พนฺธิตฺวา วชฺฌเภริยา วชฺชมานาย นครา นิกฺขมาเปตฺวา สูเล อุตฺตาเสสุํฯ พลวเวทนา ปวตฺตนฺติ, กากา สีเส นิลียิตฺวา กณยคฺคสทิเสหิ ตุเณฺหหิ อกฺขีนิ วิชฺฌนฺติฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto ākāsaṭṭhadevatā ahosi. Atha bārāṇasiyaṃ kattikarattivārachaṇo sampatto hoti, nagaraṃ devanagaraṃ viya alaṅkariṃsu. Sabbo jano khaṇakīḷānissito ahosi. Ekassa pana duggatamanussassa ekameva ghanasāṭakayugaṃ ahosi. So taṃ sudhotaṃ dhovāpetvā obhañjāpetvā satavalikaṃ sahassavalikaṃ kāretvā ṭhapesi. Atha naṃ bhariyā evamāha ‘‘icchāmahaṃ, sāmi, ekaṃ kusumbharattaṃ nivāsetvā ekaṃ pārupitvā tava kaṇṭhe laggā kattikarattivāraṃ caritu’’nti. ‘‘Bhadde, kuto amhākaṃ daliddānaṃ kusumbhaṃ, suddhavatthaṃ nivāsetvā kīḷāhī’’ti? ‘‘Kusumbharattaṃ alabhamānā chaṇakīḷaṃ na kīḷissāmi, tvaṃ aññaṃ itthiṃ gahetvā kīḷassū’’ti. ‘‘Bhadde, kiṃ maṃ pīḷesi, kuto amhākaṃ kusumbha’’nti? ‘‘Sāmi, purisassa icchāya sati kiṃ nāma natthi, nanu rañño kusumbhavatthusmiṃ bahu kusumbha’’nti. ‘‘Bhadde , taṃ ṭhānaṃ rakkhasapariggahitapokkharaṇisadisaṃ, balavārakkhā, na sakkā upasaṅkamituṃ, mā te etaṃ rucci, yathāladdheneva tussassū’’ti. ‘‘Sāmi, rattibhāge andhakāre sati purisassa agamanīyaṭṭhānaṃ nāma natthī’’ti. Iti so tāya punappunaṃ kathentiyā kilesavasena tassā vacanaṃ gahetvā ‘‘hotu bhadde, mā cintayitthā’’ti taṃ samassāsetvā rattibhāge jīvitaṃ pariccajitvā nagarā nikkhamitvā rañño kusumbhavatthuṃ gantvā vatiṃ madditvā antovatthuṃ pāvisi. Ārakkhamanussā vatisaddaṃ sutvā ‘‘coro coro’’ti parivāretvā gahetvā paribhāsitvā koṭṭetvā bandhitvā pabhātāya rattiyā rañño dassesuṃ. Rājā ‘‘gacchatha, naṃ sūle uttāsethā’’ti āha. Atha naṃ pacchābāhaṃ bandhitvā vajjhabheriyā vajjamānāya nagarā nikkhamāpetvā sūle uttāsesuṃ. Balavavedanā pavattanti, kākā sīse nilīyitvā kaṇayaggasadisehi tuṇhehi akkhīni vijjhanti.
โส ตถารูปมฺปิ ทุกฺขํ อมนสิกริตฺวา ตเมว อิตฺถิํ อนุสฺสริตฺวา ‘‘ตาย นามมฺหิ ฆนปุปฺผรตฺตวตฺถนิวตฺถาย กเณฺฐ อาสตฺตพาหุยุคฬาย สทฺธิํ กตฺติกรตฺติวารโต ปริหีโน’’ติ จิเนฺตตฺวา อิมํ คาถมาห –
So tathārūpampi dukkhaṃ amanasikaritvā tameva itthiṃ anussaritvā ‘‘tāya nāmamhi ghanapuppharattavatthanivatthāya kaṇṭhe āsattabāhuyugaḷāya saddhiṃ kattikarattivārato parihīno’’ti cintetvā imaṃ gāthamāha –
๑๔๗.
147.
‘‘นยิทํ ทุกฺขํ อทุํ ทุกฺขํ, ยํ มํ ตุทติ วายโส;
‘‘Nayidaṃ dukkhaṃ aduṃ dukkhaṃ, yaṃ maṃ tudati vāyaso;
ยํ สามา ปุปฺผรเตฺตน, กตฺติกํ นานุโภสฺสตี’’ติฯ
Yaṃ sāmā puppharattena, kattikaṃ nānubhossatī’’ti.
ตตฺถ นยิทํ ทุกฺขํ อทุํ ทุกฺขํ, ยํ มํ ตุทติ วายโสติ ยญฺจ อิทํ สูเล ลคฺคนปจฺจยํ กายิกเจตสิกทุกฺขํ, ยญฺจ โลหมเยหิ วิย ตุเณฺฑหิ วายโส ตุทติ, อิทํ สพฺพมฺปิ มยฺหํ น ทุกฺขํ, อทุํ ทุกฺขํ เอตํเยว ปน เม ทุกฺขนฺติ อโตฺถฯ กตรํ? ยํ สามา ปุปฺผรเตฺตน, กตฺติกํ นานุโภสฺสตีติ, ยํ สา ปิยงฺคุสามา มม ภริยา เอกํ กุสุมฺภรตฺตํ นิวาเสตฺวา เอกํ ปารุปิตฺวา เอวํ ฆนปุปฺผรเตฺตน วตฺถยุเคน อจฺฉนฺนา มม กเณฺฐ คเหตฺวา กตฺติกรตฺติวารํ นานุภวิสฺสติ, อิทํ มยฺหํ ทุกฺขํ, เอตเทว หิ มํ พาธตีติ? โส เอวํ มาตุคามํ อารพฺภ วิปฺปลปโนฺตเยว กาลํ กตฺวา นิรเย นิพฺพตฺติฯ
Tattha nayidaṃ dukkhaṃ aduṃ dukkhaṃ, yaṃ maṃ tudati vāyasoti yañca idaṃ sūle lagganapaccayaṃ kāyikacetasikadukkhaṃ, yañca lohamayehi viya tuṇḍehi vāyaso tudati, idaṃ sabbampi mayhaṃ na dukkhaṃ, aduṃ dukkhaṃ etaṃyeva pana me dukkhanti attho. Kataraṃ? Yaṃ sāmā puppharattena, kattikaṃ nānubhossatīti, yaṃ sā piyaṅgusāmā mama bhariyā ekaṃ kusumbharattaṃ nivāsetvā ekaṃ pārupitvā evaṃ ghanapuppharattena vatthayugena acchannā mama kaṇṭhe gahetvā kattikarattivāraṃ nānubhavissati, idaṃ mayhaṃ dukkhaṃ, etadeva hi maṃ bādhatīti? So evaṃ mātugāmaṃ ārabbha vippalapantoyeva kālaṃ katvā niraye nibbatti.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ชยมฺปติกาว อิทานิ ชยมฺปติกา, ตํ การณํ ปจฺจกฺขํ กตฺวา ฐิตา อากาสฎฺฐเทวตา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā jayampatikāva idāni jayampatikā, taṃ kāraṇaṃ paccakkhaṃ katvā ṭhitā ākāsaṭṭhadevatā pana ahameva ahosi’’nti.
ปุปฺผรตฺตชาตกวณฺณนา สตฺตมาฯ
Puppharattajātakavaṇṇanā sattamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๑๔๗. ปุปฺผรตฺตชาตกํ • 147. Puppharattajātakaṃ