Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถา • Suttanipāta-aṭṭhakathā |
๔. ปูรฬาสสุตฺต-(สุนฺทริกภารทฺวาชสุตฺต)-วณฺณนา
4. Pūraḷāsasutta-(sundarikabhāradvājasutta)-vaṇṇanā
เอวํ เม สุตนฺติ ปูรฬาสสุตฺตํฯ กา อุปฺปตฺติ? ภควา ปจฺฉาภตฺตกิจฺจาวสาเน พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกโนฺต สุนฺทริกภารทฺวาชพฺราหฺมณํ อรหตฺตสฺส อุปนิสฺสยสมฺปนฺนํ ทิสฺวา ‘‘ตตฺถ มยิ คเต กถา ปวตฺติสฺสติ, ตโต กถาวสาเน ธมฺมเทสนํ สุตฺวา เอส พฺราหฺมโณ ปพฺพชิตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิสฺสตี’’ติ จ ญตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา กถํ สมุฎฺฐาเปตฺวา อิมํ สุตฺตมภาสิฯ
Evaṃme sutanti pūraḷāsasuttaṃ. Kā uppatti? Bhagavā pacchābhattakiccāvasāne buddhacakkhunā lokaṃ volokento sundarikabhāradvājabrāhmaṇaṃ arahattassa upanissayasampannaṃ disvā ‘‘tattha mayi gate kathā pavattissati, tato kathāvasāne dhammadesanaṃ sutvā esa brāhmaṇo pabbajitvā arahattaṃ pāpuṇissatī’’ti ca ñatvā tattha gantvā kathaṃ samuṭṭhāpetvā imaṃ suttamabhāsi.
ตตฺถ เอวํ เม สุตนฺติอาทิ สงฺคีติการกานํ วจนํฯ กิํชโจฺจ ภวนฺติอาทิ ตสฺส พฺราหฺมณสฺส, น พฺราหฺมโณ โนมฺหีติอาทิ ภควโตฯ ตํ สพฺพมฺปิ สโมธาเนตฺวา ‘‘ปูรฬาสสุตฺต’’นฺติ วุจฺจติฯ ตตฺถ วุตฺตสทิสํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํ, อวุตฺตํ วณฺณยิสฺสาม, ตญฺจ โข อุตฺตานตฺถานิ ปทานิ อนามสนฺตาฯ โกสเลสูติ โกสลา นาม ชานปทิโน ราชกุมาราฯ เตสํ นิวาโส เอโกปิ ชนปโท รุฬฺหิสเทฺทน ‘‘โกสลา’’ติ วุจฺจติฯ ตสฺมิํ โกสเลสุ ชนปเทฯ เกจิ ปน ‘‘ยสฺมา ปุเพฺพ มหาปนาทํ ราชกุมารํ นานานาฎกาทีนิ ทิสฺวา สิตมตฺตมฺปิ อกโรนฺตํ สุตฺวา ราชา อาณาเปสิ ‘โย มม ปุตฺตํ หสาเปติ, สพฺพาภรเณหิ นํ อลงฺกโรมี’ติฯ ตโต นงฺคลานิ ฉเฑฺฑตฺวา มหาชนกาโย สนฺนิปติฯ เต จ มนุสฺสา อติเรกสตฺตวสฺสานิ นานากีฬิกาทโย ทเสฺสนฺตาปิ ตํ นาสกฺขิํสุ หสาเปตุํฯ ตโต สโกฺก เทวนฎํ เปเสสิ, โส ทิพฺพนาฎกํ ทเสฺสตฺวา หสาเปสิฯ อถ เต มนุสฺสา อตฺตโน อตฺตโน วสโนกาสาภิมุขา ปกฺกมิํสุฯ เต ปฎิปเถ มิตฺตสุหชฺชาทโย ทิสฺวา ปฎิสนฺถารมกํสุ ‘กจฺจิ โภ กุสลํ, กจฺจิ โภ กุสล’นฺติ ฯ ตสฺมา ตํ ‘กุสล’นฺติ สทฺทํ อุปาทาย โส ปเทโส ‘โกสโล’ติ วุจฺจตี’’ติ วณฺณยนฺติฯ สุนฺทริกาย นทิยา ตีเรติ สุนฺทริกาติ เอวํนามิกาย นทิยา ตีเรฯ
Tattha evaṃ me sutantiādi saṅgītikārakānaṃ vacanaṃ. Kiṃjacco bhavantiādi tassa brāhmaṇassa, na brāhmaṇo nomhītiādi bhagavato. Taṃ sabbampi samodhānetvā ‘‘pūraḷāsasutta’’nti vuccati. Tattha vuttasadisaṃ vuttanayeneva veditabbaṃ, avuttaṃ vaṇṇayissāma, tañca kho uttānatthāni padāni anāmasantā. Kosalesūti kosalā nāma jānapadino rājakumārā. Tesaṃ nivāso ekopi janapado ruḷhisaddena ‘‘kosalā’’ti vuccati. Tasmiṃ kosalesu janapade. Keci pana ‘‘yasmā pubbe mahāpanādaṃ rājakumāraṃ nānānāṭakādīni disvā sitamattampi akarontaṃ sutvā rājā āṇāpesi ‘yo mama puttaṃ hasāpeti, sabbābharaṇehi naṃ alaṅkaromī’ti. Tato naṅgalāni chaḍḍetvā mahājanakāyo sannipati. Te ca manussā atirekasattavassāni nānākīḷikādayo dassentāpi taṃ nāsakkhiṃsu hasāpetuṃ. Tato sakko devanaṭaṃ pesesi, so dibbanāṭakaṃ dassetvā hasāpesi. Atha te manussā attano attano vasanokāsābhimukhā pakkamiṃsu. Te paṭipathe mittasuhajjādayo disvā paṭisanthāramakaṃsu ‘kacci bho kusalaṃ, kacci bho kusala’nti . Tasmā taṃ ‘kusala’nti saddaṃ upādāya so padeso ‘kosalo’ti vuccatī’’ti vaṇṇayanti. Sundarikāya nadiyā tīreti sundarikāti evaṃnāmikāya nadiyā tīre.
เตน โข ปนาติ เยน สมเยน ภควา ตํ พฺราหฺมณํ วิเนตุกาโม คนฺตฺวา ตสฺสา นทิยา ตีเร สสีสํ ปารุปิตฺวา รุกฺขมูเล นิสชฺชาสงฺขาเตน อิริยาปถวิหาเรน วิหรติฯ สุนฺทริกภารทฺวาโชติ โส พฺราหฺมโณ ตสฺสา นทิยา ตีเร วสติ อคฺคิญฺจ ชุหติ, ภารทฺวาโชติ จสฺส โคตฺตํ, ตสฺมา เอวํ วุจฺจติฯ อคฺคิํ ชุหตีติ อาหุติปกฺขิปเนน ชาเลติฯ อคฺคิหุตฺตํ ปริจรตีติ อคฺยายตนํ สมฺมชฺชนูปเลปนพลิกมฺมาทินา ปยิรุปาสติฯ โก นุ โข อิมํ หพฺยเสสํ ภุเญฺชยฺยาติ โส กิร พฺราหฺมโณ อคฺคิมฺหิ ชุหิตฺวา อวเสสํ ปายาสํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อคฺคิมฺหิ ตาว ปกฺขิตฺตปายาโส มหาพฺรหฺมุนา ภุโตฺต, อยํ ปน อวเสโส อตฺถิฯ ตํ ยทิ พฺรหฺมุโน มุขโต ชาตสฺส พฺราหฺมณเสฺสว ทเทยฺยํ, เอวํ เม ปิตรา สห ปุโตฺตปิ สนฺตปฺปิโต ภเวยฺย, สุวิโสธิโต จ พฺรหฺมโลกคามิมโคฺค อสฺส, หนฺทาหํ พฺราหฺมณํ คเวสามี’’ติฯ ตโต พฺราหฺมณทสฺสนตฺถํ อุฎฺฐายาสนา จตุทฺทิสา อนุวิโลเกสิ – ‘‘โก นุ โข อิมํ หพฺยเสสํ ภุเญฺชยฺยา’’ติฯ
Tena kho panāti yena samayena bhagavā taṃ brāhmaṇaṃ vinetukāmo gantvā tassā nadiyā tīre sasīsaṃ pārupitvā rukkhamūle nisajjāsaṅkhātena iriyāpathavihārena viharati. Sundarikabhāradvājoti so brāhmaṇo tassā nadiyā tīre vasati aggiñca juhati, bhāradvājoti cassa gottaṃ, tasmā evaṃ vuccati. Aggiṃ juhatīti āhutipakkhipanena jāleti. Aggihuttaṃ paricaratīti agyāyatanaṃ sammajjanūpalepanabalikammādinā payirupāsati. Ko nu kho imaṃ habyasesaṃ bhuñjeyyāti so kira brāhmaṇo aggimhi juhitvā avasesaṃ pāyāsaṃ disvā cintesi – ‘‘aggimhi tāva pakkhittapāyāso mahābrahmunā bhutto, ayaṃ pana avaseso atthi. Taṃ yadi brahmuno mukhato jātassa brāhmaṇasseva dadeyyaṃ, evaṃ me pitarā saha puttopi santappito bhaveyya, suvisodhito ca brahmalokagāmimaggo assa, handāhaṃ brāhmaṇaṃ gavesāmī’’ti. Tato brāhmaṇadassanatthaṃ uṭṭhāyāsanā catuddisā anuvilokesi – ‘‘ko nu kho imaṃ habyasesaṃ bhuñjeyyā’’ti.
อญฺญตรสฺมิํ รุกฺขมูเลติ ตสฺมิํ วนสเณฺฑ เสฎฺฐรุกฺขมูเลฯ สสีสํ ปารุตนฺติ สห สีเสน ปารุตกายํฯ กสฺมา ปน ภควา เอวมกาสิ, กิํ นารายนสงฺขาตพโลปิ หุตฺวา นาสกฺขิ หิมปาตํ สีตวาตญฺจ ปฎิพาหิตุนฺติ? อเตฺถตํ การณํฯ น หิ พุทฺธา สพฺพโส กายปฎิชคฺคนํ กโรนฺติ เอว, อปิจ ภควา ‘‘อาคเต พฺราหฺมเณ สีสํ วิวริสฺสามิ, มํ ทิสฺวา พฺราหฺมโณ กถํ ปวเตฺตสฺสติ, อถสฺส กถานุสาเรน ธมฺมํ เทเสสฺสามี’’ติ กถาปวตฺตนตฺถํ เอวมกาสิฯ ทิสฺวาน วาเมน…เป.… เตนุปสงฺกมีติ โส กิร ภควนฺตํ ทิสฺวา พฺราหฺมโณ ‘‘อยํ สสีสํ ปารุปิตฺวา สพฺพรตฺติํ ปธานมนุยุโตฺต, อิมสฺส ทกฺขิโณทกํ ทตฺวา อิมํ หพฺยเสสํ ทสฺสามี’’ติ พฺราหฺมณสญฺญี หุตฺวา เอว อุปสงฺกมิฯ มุโณฺฑ อยํ ภวํ, มุณฺฑโก อยํ ภวนฺติ สีเส วิวริตมเตฺตว เกสนฺตํ ทิสฺวา ‘‘มุโณฺฑ’’ติ อาหฯ ตโต สุฎฺฐุตรํ โอโลเกโนฺต ปริตฺตมฺปิ สิขํ อทิสฺวา หีเฬโนฺต ‘‘มุณฺฑโก’’ติ อาหฯ เอวรูปา หิ เนสํ พฺราหฺมณานํ ทิฎฺฐิฯ ตโต วาติ ยตฺถ ฐิโต อทฺทส, ตมฺหา ปเทสา มุณฺฑาปีติ เกนจิ การเณน มุณฺฑิตสีสาปิ โหนฺติฯ
Aññatarasmiṃ rukkhamūleti tasmiṃ vanasaṇḍe seṭṭharukkhamūle. Sasīsaṃ pārutanti saha sīsena pārutakāyaṃ. Kasmā pana bhagavā evamakāsi, kiṃ nārāyanasaṅkhātabalopi hutvā nāsakkhi himapātaṃ sītavātañca paṭibāhitunti? Atthetaṃ kāraṇaṃ. Na hi buddhā sabbaso kāyapaṭijagganaṃ karonti eva, apica bhagavā ‘‘āgate brāhmaṇe sīsaṃ vivarissāmi, maṃ disvā brāhmaṇo kathaṃ pavattessati, athassa kathānusārena dhammaṃ desessāmī’’ti kathāpavattanatthaṃ evamakāsi. Disvāna vāmena…pe… tenupasaṅkamīti so kira bhagavantaṃ disvā brāhmaṇo ‘‘ayaṃ sasīsaṃ pārupitvā sabbarattiṃ padhānamanuyutto, imassa dakkhiṇodakaṃ datvā imaṃ habyasesaṃ dassāmī’’ti brāhmaṇasaññī hutvā eva upasaṅkami. Muṇḍo ayaṃ bhavaṃ, muṇḍako ayaṃ bhavanti sīse vivaritamatteva kesantaṃ disvā ‘‘muṇḍo’’ti āha. Tato suṭṭhutaraṃ olokento parittampi sikhaṃ adisvā hīḷento ‘‘muṇḍako’’ti āha. Evarūpā hi nesaṃ brāhmaṇānaṃ diṭṭhi. Tato vāti yattha ṭhito addasa, tamhā padesā muṇḍāpīti kenaci kāraṇena muṇḍitasīsāpi honti.
๔๕๘. น พฺราหฺมโณ โนมฺหีติ เอตฺถ นกาโร ปฎิเสเธ, โนกาโร อวธารเณ ‘‘น โน สม’’นฺติอาทีสุ (ขุ. ปา. ๖.๓; สุ. นิ. ๒๒๖) วิยฯ เตน เนวมฺหิ พฺราหฺมโณติ ทเสฺสติฯ น ราชปุโตฺตติ ขตฺติโย นมฺหิฯ น เวสฺสายโนติ เวโสฺสปิ นมฺหิฯ อุทโกจิ โนมฺหีติ อโญฺญปิ สุโทฺท วา จณฺฑาโล วา โกจิ น โหมีติ เอวํ เอกํเสเนว ชาติวาทสมุทาจารํ ปฎิกฺขิปติฯ กสฺมา? มหาสมุทฺทํ ปตฺตา วิย หิ นทิโย ปพฺพชฺชูปคตา กุลปุตฺตา ชหนฺติ ปุริมานิ นามโคตฺตานิฯ ปหาราทสุตฺตเญฺจตฺถ (อ. นิ. ๘.๑๙) สาธกํฯ เอวํ ชาติวาทํ ปฎิกฺขิปิตฺวา ยถาภูตมตฺตานํ อาวิกโรโนฺต อาห – ‘‘โคตฺตํ ปริญฺญาย ปุถุชฺชนานํ, อกิญฺจโน มนฺต จรามิ โลเก’’ติฯ กถํ โคตฺตํ ปริญฺญาสีติ เจ? ภควา หิ ตีหิ ปริญฺญาหิ ปญฺจกฺขเนฺธ ปริญฺญาสิ, เตสุ จ ปริญฺญาเตสุ โคตฺตํ ปริญฺญาตเมว โหติฯ ราคาทิกิญฺจนานํ ปน อภาเวน โส อกิญฺจโน มนฺตา ชานิตฺวา ญาณานุปริวตฺตีหิ กายกมฺมาทีหิ จรติฯ เตนาห – ‘‘โคตฺตํ…เป.… โลเก’’ติฯ มนฺตา วุจฺจติ ปญฺญา, ตาย เจส จรติฯ เตเนวาห – ‘‘มนฺตํ จรามิ โลเก’’ติ ฉนฺทวเสน รสฺสํ กตฺวาฯ
458.Na brāhmaṇo nomhīti ettha nakāro paṭisedhe, nokāro avadhāraṇe ‘‘na no sama’’ntiādīsu (khu. pā. 6.3; su. ni. 226) viya. Tena nevamhi brāhmaṇoti dasseti. Na rājaputtoti khattiyo namhi. Na vessāyanoti vessopi namhi. Udakoci nomhīti aññopi suddo vā caṇḍālo vā koci na homīti evaṃ ekaṃseneva jātivādasamudācāraṃ paṭikkhipati. Kasmā? Mahāsamuddaṃ pattā viya hi nadiyo pabbajjūpagatā kulaputtā jahanti purimāni nāmagottāni. Pahārādasuttañcettha (a. ni. 8.19) sādhakaṃ. Evaṃ jātivādaṃ paṭikkhipitvā yathābhūtamattānaṃ āvikaronto āha – ‘‘gottaṃ pariññāya puthujjanānaṃ, akiñcano manta carāmi loke’’ti. Kathaṃ gottaṃ pariññāsīti ce? Bhagavā hi tīhi pariññāhi pañcakkhandhe pariññāsi, tesu ca pariññātesu gottaṃ pariññātameva hoti. Rāgādikiñcanānaṃ pana abhāvena so akiñcano mantā jānitvā ñāṇānuparivattīhi kāyakammādīhi carati. Tenāha – ‘‘gottaṃ…pe… loke’’ti. Mantā vuccati paññā, tāya cesa carati. Tenevāha – ‘‘mantaṃ carāmi loke’’ti chandavasena rassaṃ katvā.
๔๕๙-๖๐. เอวํ อตฺตานํ อาวิกตฺวา อิทานิ ‘‘เอวํ โอฬาริกํ ลิงฺคมฺปิ ทิสฺวา ปุจฺฉิตพฺพาปุจฺฉิตพฺพํ น ชานาสี’’ติ พฺราหฺมณสฺส อุปารมฺภํ อาโรเปโนฺต อาห – ‘‘สงฺฆาฎิวาสี…เป.… โคตฺตปญฺห’’นฺติฯ เอตฺถ จ ฉินฺนสงฺฆฎิตเฎฺฐน ตีณิปิ จีวรานิ ‘‘สงฺฆาฎี’’ติ อธิเปฺปตานิ, ตานิ นิวาเสติ ปริทหตีติ สงฺฆาฎิวาสีฯ อคโหติ อเคโห, นิตฺตโณฺหติ อธิปฺปาโยฯ นิวาสาคารํ ปน ภควโต เชตวเน มหาคนฺธกุฎิกเรริมณฺฑลมาฬโกสมฺพกุฎิจนฺทนมาลาทิอเนกปฺปการํ, ตํ สนฺธาย น ยุชฺชติฯ นิวุตฺตเกโสติ อปนีตเกโส, โอหาริตเกสมสฺสูติ วุตฺตํ โหติฯ อภินิพฺพุตโตฺตติ อตีว วูปสนฺตปริฬาหจิโตฺต, คุตฺตจิโตฺต วาฯ อลิปฺปมาโน อิธ มาณเวหีติ อุปกรณสิเนหสฺส ปหีนตฺตา มนุเสฺสหิ อลิโตฺต อสํสโฎฺฐ เอกนฺตวิวิโตฺตฯ อกลฺลํ มํ พฺราหฺมณาติ ยฺวาหํ เอวํ สงฺฆาฎิวาสี…เป.… อลิปฺปมาโน อิธ มาณเวหิ, ตํ มํ ตฺวํ, พฺราหฺมณ, ปากติกานิ นามโคตฺตานิ อตีตํ ปพฺพชิตํ สมานํ อปฺปติรูปํ โคตฺตปญฺหํ ปุจฺฉสีติฯ
459-60. Evaṃ attānaṃ āvikatvā idāni ‘‘evaṃ oḷārikaṃ liṅgampi disvā pucchitabbāpucchitabbaṃ na jānāsī’’ti brāhmaṇassa upārambhaṃ āropento āha – ‘‘saṅghāṭivāsī…pe… gottapañha’’nti. Ettha ca chinnasaṅghaṭitaṭṭhena tīṇipi cīvarāni ‘‘saṅghāṭī’’ti adhippetāni, tāni nivāseti paridahatīti saṅghāṭivāsī. Agahoti ageho, nittaṇhoti adhippāyo. Nivāsāgāraṃ pana bhagavato jetavane mahāgandhakuṭikarerimaṇḍalamāḷakosambakuṭicandanamālādianekappakāraṃ, taṃ sandhāya na yujjati. Nivuttakesoti apanītakeso, ohāritakesamassūti vuttaṃ hoti. Abhinibbutattoti atīva vūpasantapariḷāhacitto, guttacitto vā. Alippamāno idha māṇavehīti upakaraṇasinehassa pahīnattā manussehi alitto asaṃsaṭṭho ekantavivitto. Akallaṃ maṃ brāhmaṇāti yvāhaṃ evaṃ saṅghāṭivāsī…pe… alippamāno idha māṇavehi, taṃ maṃ tvaṃ, brāhmaṇa, pākatikāni nāmagottāni atītaṃ pabbajitaṃ samānaṃ appatirūpaṃ gottapañhaṃ pucchasīti.
เอวํ วุเตฺต อุปารมฺภํ โมเจโนฺต พฺราหฺมโณ อาห – ปุจฺฉนฺติ เว, โภ พฺราหฺมณา, พฺราหฺมเณภิ สห ‘‘พฺราหฺมโณ โน ภว’’นฺติฯ ตตฺถ พฺราหฺมโณ โนติ พฺราหฺมโณ นูติ อโตฺถฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – นาหํ โภ อกลฺลํ ปุจฺฉามิฯ อมฺหากญฺหิ พฺราหฺมณสมเย พฺราหฺมณา พฺราหฺมเณหิ สห สมาคนฺตฺวา ‘‘พฺราหฺมโณ นุ ภวํ, ภารทฺวาโช นุ ภว’’นฺติ เอวํ ชาติมฺปิ โคตฺตมฺปิ ปุจฺฉนฺติ เอวาติฯ
Evaṃ vutte upārambhaṃ mocento brāhmaṇo āha – pucchanti ve, bho brāhmaṇā, brāhmaṇebhi saha ‘‘brāhmaṇo no bhava’’nti. Tattha brāhmaṇo noti brāhmaṇo nūti attho. Idaṃ vuttaṃ hoti – nāhaṃ bho akallaṃ pucchāmi. Amhākañhi brāhmaṇasamaye brāhmaṇā brāhmaṇehi saha samāgantvā ‘‘brāhmaṇo nu bhavaṃ, bhāradvājo nu bhava’’nti evaṃ jātimpi gottampi pucchanti evāti.
๔๖๑-๒. เอวํ วุเตฺต ภควา พฺราหฺมณสฺส จิตฺตมุทุภาวกรณตฺถํ มเนฺตสุ อตฺตโน ปกตญฺญุตํ ปกาเสโนฺต อาห – ‘‘พฺราหฺมโณ หิ เจ ตฺวํ พฺรูสิ…เป.… จตุวีสตกฺขร’’นฺติฯ ตสฺสโตฺถ – สเจ ตฺวํ ‘‘พฺราหฺมโณ อหํ’’ติ พฺรูสิ, มญฺจ อพฺราหฺมณํ พฺรูสิ, ตสฺมา ภวนฺตํ สาวิตฺติํ ปุจฺฉามิ ติปทํ จตุวีสตกฺขรํ, ตํ เม พฺรูหีติฯ เอตฺถ จ ภควา ปรมตฺถเวทานํ ติณฺณํ ปิฎกานํ อาทิภูตํ ปรมตฺถพฺราหฺมเณหิ สพฺพพุเทฺธหิ ปกาสิตํ อตฺถสมฺปนฺนํ พฺยญฺชนสมฺปนฺนญฺจ ‘‘พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ, ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ, สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามี’’ติ อิมํ อริยสาวิตฺติํ สนฺธาย ปุจฺฉติฯ ยทิปิ หิ พฺราหฺมโณ อญฺญํ วเทยฺย, อทฺธา นํ ภควา ‘‘นายํ, พฺราหฺมณ, อริยสฺส วินเย สาวิตฺตีติ วุจฺจตี’’ติ ตสฺส อสารกตฺตํ ทเสฺสตฺวา อิเธว ปติฎฺฐาเปยฺยฯ พฺราหฺมโณ ปน ‘‘สาวิตฺติํ ปุจฺฉามิ ติปทํ จตุวีสตกฺขร’’นฺติ อิทํ อตฺตโน สมยสิทฺธํ สาวิตฺติลกฺขณพฺยญฺชนกํ พฺรหฺมสฺสเรน นิจฺฉาริตวจนํ สุตฺวาว ‘‘อทฺธายํ สมโณ พฺราหฺมณสมเย นิฎฺฐํ คโต, อหํ ปน อญฺญาเณน ‘อพฺราหฺมโณ อย’นฺติ ปริภวิํ, สาธุรูโป มนฺตปารคู พฺราหฺมโณว เอโส’’ติ นิฎฺฐํ คนฺตฺวา ‘‘หนฺท นํ ยญฺญวิธิํ ทกฺขิเณยฺยวิธิญฺจ ปุจฺฉามี’’ติ ตมตฺถํ ปุจฺฉโนฺต ‘‘กิํนิสฺสิตา…เป.… โลเก’’ติ อิมํ วิสมคาถาปทตฺตยมาหฯ ตสฺสโตฺถ – กิํนิสฺสิตา กิมธิปฺปายา กิํ ปเตฺถนฺตา อิสโย จ ขตฺติยา จ พฺราหฺมณา จ อเญฺญ จ มนุชา เทวตานํ อตฺถาย ยญฺญํ อกปฺปยิํสุฯ ยญฺญมกปฺปยิํสูติ มกาโร ปทสนฺธิกโรฯ อกปฺปยิํสูติ สํวิทหิํสุ อกํสุฯ ปุถูติ พหู อนฺนปานทานาทินา เภเทน อเนกปฺปกาเร ปุถู วา อิสโย มนุชา ขตฺติยา พฺราหฺมณา จ กิํนิสฺสิตา ยญฺญมกปฺปยิํสุฯ กถํ เนสํ ตํ กมฺมํ สมิชฺฌตีติ อิมินาธิปฺปาเยน ปุจฺฉติฯ
461-2. Evaṃ vutte bhagavā brāhmaṇassa cittamudubhāvakaraṇatthaṃ mantesu attano pakataññutaṃ pakāsento āha – ‘‘brāhmaṇo hi ce tvaṃ brūsi…pe… catuvīsatakkhara’’nti. Tassattho – sace tvaṃ ‘‘brāhmaṇo ahaṃ’’ti brūsi, mañca abrāhmaṇaṃ brūsi, tasmā bhavantaṃ sāvittiṃ pucchāmi tipadaṃ catuvīsatakkharaṃ, taṃ me brūhīti. Ettha ca bhagavā paramatthavedānaṃ tiṇṇaṃ piṭakānaṃ ādibhūtaṃ paramatthabrāhmaṇehi sabbabuddhehi pakāsitaṃ atthasampannaṃ byañjanasampannañca ‘‘buddhaṃ saraṇaṃ gacchāmi, dhammaṃ saraṇaṃ gacchāmi, saṅghaṃ saraṇaṃ gacchāmī’’ti imaṃ ariyasāvittiṃ sandhāya pucchati. Yadipi hi brāhmaṇo aññaṃ vadeyya, addhā naṃ bhagavā ‘‘nāyaṃ, brāhmaṇa, ariyassa vinaye sāvittīti vuccatī’’ti tassa asārakattaṃ dassetvā idheva patiṭṭhāpeyya. Brāhmaṇo pana ‘‘sāvittiṃ pucchāmi tipadaṃ catuvīsatakkhara’’nti idaṃ attano samayasiddhaṃ sāvittilakkhaṇabyañjanakaṃ brahmassarena nicchāritavacanaṃ sutvāva ‘‘addhāyaṃ samaṇo brāhmaṇasamaye niṭṭhaṃ gato, ahaṃ pana aññāṇena ‘abrāhmaṇo aya’nti paribhaviṃ, sādhurūpo mantapāragū brāhmaṇova eso’’ti niṭṭhaṃ gantvā ‘‘handa naṃ yaññavidhiṃ dakkhiṇeyyavidhiñca pucchāmī’’ti tamatthaṃ pucchanto ‘‘kiṃnissitā…pe… loke’’ti imaṃ visamagāthāpadattayamāha. Tassattho – kiṃnissitā kimadhippāyā kiṃ patthentā isayo ca khattiyā ca brāhmaṇā ca aññe ca manujā devatānaṃ atthāya yaññaṃ akappayiṃsu. Yaññamakappayiṃsūti makāro padasandhikaro. Akappayiṃsūti saṃvidahiṃsu akaṃsu. Puthūti bahū annapānadānādinā bhedena anekappakāre puthū vā isayo manujā khattiyā brāhmaṇā ca kiṃnissitā yaññamakappayiṃsu. Kathaṃ nesaṃ taṃ kammaṃ samijjhatīti iminādhippāyena pucchati.
๔๖๓. อถสฺส ภควา ตมตฺถํ พฺยากโรโนฺต ‘‘ยทนฺตคู เวทคู ยญฺญกาเลฯ ยสฺสาหุติํ ลเภ ตสฺสิเชฺฌติ พฺรูมี’’ติ อิทํ เสสปททฺวยมาหฯ ตตฺถ ยทนฺตคูติ โย อนฺตคู, โอการสฺส อกาโร, ทกาโร จ ปทสนฺธิกโร ‘‘อสาธารณมเญฺญส’’นฺติอาทีสุ (ขุ. ปา. ๘.๙) มกาโร วิยฯ อยํ ปน อโตฺถ – โย วฎฺฎทุกฺขสฺส ตีหิ ปริญฺญาหิ อนฺตคตตฺตา อนฺตคู, จตูหิ จ มคฺคญาณเวเทหิ กิเลเส วิชฺฌิตฺวา คตตฺตา เวทคู, โส ยสฺส อิสิมนุชขตฺติยพฺราหฺมณานํ อญฺญตรสฺส ยญฺญกาเล ยสฺมิํ กิสฺมิญฺจิ อาหาเร ปจฺจุปฎฺฐิเต อนฺตมโส วนปณฺณมูลผลาทิมฺหิปิ อาหุติํ ลเภ, ตโต กิญฺจิ เทยฺยธมฺมํ ลเภยฺย, ตสฺส ตํ ยญฺญกมฺมํ อิเชฺฌ สมิเชฺฌยฺย, มหปฺผลํ ภเวยฺยาติ พฺรูมีติฯ
463. Athassa bhagavā tamatthaṃ byākaronto ‘‘yadantagū vedagū yaññakāle. Yassāhutiṃ labhe tassijjheti brūmī’’ti idaṃ sesapadadvayamāha. Tattha yadantagūti yo antagū, okārassa akāro, dakāro ca padasandhikaro ‘‘asādhāraṇamaññesa’’ntiādīsu (khu. pā. 8.9) makāro viya. Ayaṃ pana attho – yo vaṭṭadukkhassa tīhi pariññāhi antagatattā antagū, catūhi ca maggañāṇavedehi kilese vijjhitvā gatattā vedagū, so yassa isimanujakhattiyabrāhmaṇānaṃ aññatarassa yaññakāle yasmiṃ kismiñci āhāre paccupaṭṭhite antamaso vanapaṇṇamūlaphalādimhipi āhutiṃ labhe, tato kiñci deyyadhammaṃ labheyya, tassa taṃ yaññakammaṃ ijjhe samijjheyya, mahapphalaṃ bhaveyyāti brūmīti.
๔๖๔. อถ พฺราหฺมโณ ตํ ภควโต ปรมตฺถโยคคมฺภีรํ อติมธุรคิรนิพฺพิการสรสมฺปนฺนํ เทสนํ สุตฺวา สรีรสมฺปตฺติสูจิตญฺจสฺส สพฺพคุณสมฺปตฺติํ สมฺภาวยมาโน ปีติโสมนสฺสชาโต ‘‘อทฺธา หิ ตสฺสา’’ติ คาถมาหฯ ตตฺถ อิติ พฺราหฺมโณติ สงฺคีติการานํ วจนํ, เสสํ พฺราหฺมณสฺสฯ ตสฺสโตฺถ – อทฺธา หิ ตสฺส มยฺหํ หุตมิเชฺฌ, อยํ อชฺช เทยฺยธโมฺม อิชฺฌิสฺสติ สมิชฺฌิสฺสติ มหปฺผโล ภวิสฺสติ ยํ ตาทิสํ เวทคุมทฺทสาม, ยสฺมา ตาทิสํ ภวนฺตรูปํ เวทคุํ อทฺทสามฯ ตฺวเญฺญว หิ โส เวทคู, น อโญฺญฯ อิโต ปุเพฺพ ปน ตุมฺหาทิสานํ เวทคูนํ อนฺตคูนญฺจ อทสฺสเนน อมฺหาทิสานํ ยเญฺญ ปฎิยตฺตํ อโญฺญ ชโน ภุญฺชติ ปูรฬาสํ จรุกญฺจ ปูวญฺจาติฯ
464. Atha brāhmaṇo taṃ bhagavato paramatthayogagambhīraṃ atimadhuragiranibbikārasarasampannaṃ desanaṃ sutvā sarīrasampattisūcitañcassa sabbaguṇasampattiṃ sambhāvayamāno pītisomanassajāto ‘‘addhā hi tassā’’ti gāthamāha. Tattha iti brāhmaṇoti saṅgītikārānaṃ vacanaṃ, sesaṃ brāhmaṇassa. Tassattho – addhā hi tassa mayhaṃ hutamijjhe, ayaṃ ajja deyyadhammo ijjhissati samijjhissati mahapphalo bhavissati yaṃ tādisaṃ vedagumaddasāma, yasmā tādisaṃ bhavantarūpaṃ vedaguṃ addasāma. Tvaññeva hi so vedagū, na añño. Ito pubbe pana tumhādisānaṃ vedagūnaṃ antagūnañca adassanena amhādisānaṃ yaññe paṭiyattaṃ añño jano bhuñjati pūraḷāsaṃ carukañca pūvañcāti.
๔๖๕. ตโต ภควา อตฺตนิ ปสนฺนํ วจนปฎิคฺคหณสชฺชํ พฺราหฺมณํ วิทิตฺวา ยถาสฺส สุฎฺฐุ ปากฎา โหนฺติ, เอวํ นานปฺปกาเรหิ ทกฺขิเณเยฺย ปกาเสตุกาโม ‘‘ตสฺมาติห ตฺว’’นฺติ คาถมาหฯ ตสฺสโตฺถ – ยสฺมา มยิ ปสโนฺนสิ, ตสฺมา ปน อิห ตฺวํ, พฺราหฺมณ, อุปสงฺกมฺม ปุจฺฉาติ อตฺตานํ ทเสฺสโนฺต อาหฯ อิทานิ อิโต ปุพฺพํ อเตฺถนอตฺถิกปทํ ปรปเทน สมฺพนฺธิตพฺพํ – อเตฺถน อตฺถิโก ตสฺส อตฺถตฺถิกภาวสฺส อนุรูปํ กิเลสคฺคิวูปสเมน สนฺตํ, โกธธูมวิคเมน วิธูมํ, ทุกฺขาภาเวน อนีฆํ, อเนกวิธอาสาภาเวน นิราสํ อเปฺปวิธ เอกํเสน อิธ ฐิโตว อิธ วา สาสเน อภิวิเนฺท ลจฺฉสิ อธิคจฺฉิสฺสสิ สุเมธํ วรปญฺญํ ขีณาสวทกฺขิเณยฺยนฺติฯ อถ วา ยสฺมา มยิ ปสโนฺนสิ, ตสฺมาติห, ตฺวํ พฺราหฺมณ, อเตฺถน อตฺถิโก สมาโน อุปสงฺกมฺม ปุจฺฉ สนฺตํ วิธูมํ อนีฆํ นิราสนฺติ อตฺตานํ ทเสฺสโนฺต อาหฯ เอวํ ปุจฺฉโนฺต อเปฺปวิธ อภิวิเนฺท สุเมธํ ขีณาสวทกฺขิเณยฺยนฺติ เอวเมฺปตฺถ โยชนา เวทิตพฺพาฯ
465. Tato bhagavā attani pasannaṃ vacanapaṭiggahaṇasajjaṃ brāhmaṇaṃ viditvā yathāssa suṭṭhu pākaṭā honti, evaṃ nānappakārehi dakkhiṇeyye pakāsetukāmo ‘‘tasmātiha tva’’nti gāthamāha. Tassattho – yasmā mayi pasannosi, tasmā pana iha tvaṃ, brāhmaṇa, upasaṅkamma pucchāti attānaṃ dassento āha. Idāni ito pubbaṃ atthenaatthikapadaṃ parapadena sambandhitabbaṃ – atthena atthiko tassa atthatthikabhāvassa anurūpaṃ kilesaggivūpasamena santaṃ, kodhadhūmavigamena vidhūmaṃ, dukkhābhāvena anīghaṃ, anekavidhaāsābhāvena nirāsaṃ appevidha ekaṃsena idha ṭhitova idha vā sāsane abhivinde lacchasi adhigacchissasi sumedhaṃ varapaññaṃ khīṇāsavadakkhiṇeyyanti. Atha vā yasmā mayi pasannosi, tasmātiha, tvaṃ brāhmaṇa, atthena atthiko samāno upasaṅkamma puccha santaṃ vidhūmaṃ anīghaṃ nirāsanti attānaṃ dassento āha. Evaṃ pucchanto appevidha abhivinde sumedhaṃ khīṇāsavadakkhiṇeyyanti evampettha yojanā veditabbā.
๔๖๖. อถ พฺราหฺมโณ ยถานุสิฎฺฐํ ปฎิปชฺชมาโน ภควนฺตํ อาห – ‘‘ยเญฺญ รโตหํ…เป.… พฺรูหิ เมต’’นฺติฯ ตตฺถ ยโญฺญ ยาโค ทานนฺติ อตฺถโต เอกํฯ ตสฺมา ทานรโต อหํ, ตาย เอว ทานารามตาย ทานํ ทาตุกาโม, น ปน ชานามิ, เอวํ อชานนฺตํ อนุสาสตุ มํ ภวํฯ อนุสาสโนฺต จ อุตฺตาเนเนว นเยน ยตฺถ หุตํ อิชฺฌเต พฺรูหิ เมตนฺติ เอวเมตฺถ อตฺถโยชนา เวทิตพฺพาฯ ‘‘ยถาหุต’’นฺติปิ ปาโฐฯ
466. Atha brāhmaṇo yathānusiṭṭhaṃ paṭipajjamāno bhagavantaṃ āha – ‘‘yaññe ratohaṃ…pe… brūhi meta’’nti. Tattha yañño yāgo dānanti atthato ekaṃ. Tasmā dānarato ahaṃ, tāya eva dānārāmatāya dānaṃ dātukāmo, na pana jānāmi, evaṃ ajānantaṃ anusāsatu maṃ bhavaṃ. Anusāsanto ca uttāneneva nayena yattha hutaṃ ijjhate brūhi metanti evamettha atthayojanā veditabbā. ‘‘Yathāhuta’’ntipi pāṭho.
๔๖๗. อถสฺส ภควา วตฺตุกาโม อาห – ‘‘เตน หิ…เป.… เทเสสฺสามี’’ติฯ โอหิตโสตสฺส จสฺส อนุสาสนตฺถํ ตาว ‘‘มา ชาติํ ปุจฺฉี’’ติ คาถมาหฯ ตตฺถ มา ชาติํ ปุจฺฉีติ ยทิ หุตสมิทฺธิํ ทานมหปฺผลตํ ปจฺจาสีสสิ, ชาติํ มา ปุจฺฉฯ อการณญฺหิ ทกฺขิเณยฺยวิจารณาย ชาติฯ จรณญฺจ ปุจฺฉาติ อปิจ โข สีลาทิคุณเภทํ จรณํ ปุจฺฉฯ เอตญฺหิ ทกฺขิเณยฺยวิจารณาย การณํฯ
467. Athassa bhagavā vattukāmo āha – ‘‘tena hi…pe… desessāmī’’ti. Ohitasotassa cassa anusāsanatthaṃ tāva ‘‘mā jātiṃ pucchī’’ti gāthamāha. Tattha mā jātiṃ pucchīti yadi hutasamiddhiṃ dānamahapphalataṃ paccāsīsasi, jātiṃ mā puccha. Akāraṇañhi dakkhiṇeyyavicāraṇāya jāti. Caraṇañca pucchāti apica kho sīlādiguṇabhedaṃ caraṇaṃ puccha. Etañhi dakkhiṇeyyavicāraṇāya kāraṇaṃ.
อิทานิสฺส ตมตฺถํ วิภาเวโนฺต นิทสฺสนมาห – ‘‘กฎฺฐา หเว ชายติ ชาตเวโท’’ติอาทิฯ ตตฺรายมธิปฺปาโย – อิธ กฎฺฐา อคฺคิ ชายติ, น จ โส สาลาทิกฎฺฐา ชาโต เอว อคฺคิกิจฺจํ กโรติ, สาปานโทณิอาทิกฎฺฐา ชาโต น กโรติ, อปิจ โข อตฺตโน อจฺจิอาทิคุณสมฺปนฺนตฺตา เอว กโรติฯ เอวํ น พฺราหฺมณกุลาทีสุ ชาโต เอว ทกฺขิเณโยฺย โหติ, จณฺฑาลกุลาทีสุ ชาโต น โหติ, อปิจ โข นีจากุลีโนปิ อุจฺจากุลีโนปิ ขีณาสวมุนิ ธิติมา หิรีนิเสโธ อาชานิโย โหติ, อิมาย ธิติหิริปมุขาย คุณสมฺปตฺติยา ชาติมา อุตฺตมทกฺขิเณโยฺย โหติฯ โส หิ ธิติยา คุเณ ธารยติ, หิริยา โทเส นิเสเธติฯ วุตฺตเญฺจตํ ‘‘หิริยา หิ สโนฺต น กโรนฺติ ปาป’’นฺติฯ เตน เต พฺรูมิ –
Idānissa tamatthaṃ vibhāvento nidassanamāha – ‘‘kaṭṭhā have jāyati jātavedo’’tiādi. Tatrāyamadhippāyo – idha kaṭṭhā aggi jāyati, na ca so sālādikaṭṭhā jāto eva aggikiccaṃ karoti, sāpānadoṇiādikaṭṭhā jāto na karoti, apica kho attano acciādiguṇasampannattā eva karoti. Evaṃ na brāhmaṇakulādīsu jāto eva dakkhiṇeyyo hoti, caṇḍālakulādīsu jāto na hoti, apica kho nīcākulīnopi uccākulīnopi khīṇāsavamuni dhitimā hirīnisedho ājāniyo hoti, imāya dhitihiripamukhāya guṇasampattiyā jātimā uttamadakkhiṇeyyo hoti. So hi dhitiyā guṇe dhārayati, hiriyā dose nisedheti. Vuttañcetaṃ ‘‘hiriyā hi santo na karonti pāpa’’nti. Tena te brūmi –
‘‘มา ชาติํ ปุจฺฉี จรณญฺจ ปุจฺฉ,
‘‘Mā jātiṃ pucchī caraṇañca puccha,
กฎฺฐา หเว ชายติ ชาตเวโท;
Kaṭṭhā have jāyati jātavedo;
นีจากุลีโนปิ มุนี ธิตีมา,
Nīcākulīnopi munī dhitīmā,
อาชานิโย โหติ หิรีนิเสโธ’’ติฯ –
Ājāniyo hoti hirīnisedho’’ti. –
เอส สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน อสฺสลายนสุตฺตานุสาเรน (ม. นิ. ๒.๔๐๑ อาทโย) เวทิตโพฺพฯ
Esa saṅkhepo, vitthāro pana assalāyanasuttānusārena (ma. ni. 2.401 ādayo) veditabbo.
๔๖๘. เอวเมตํ ภควา จาตุวณฺณิสุทฺธิยา อนุสาสิตฺวา อิทานิ ยตฺถ หุตํ อิชฺฌเต, ยถา จ หุตํ อิชฺฌเต, ตมตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘สเจฺจน ทโนฺต’’ติอาทิคาถมาหฯ ตตฺถ สเจฺจนาติ ปรมตฺถสเจฺจนฯ ตญฺหิ ปโตฺต ทโนฺต โหติฯ เตนาห – ‘‘สเจฺจน ทโนฺต’’ติฯ ทมสา อุเปโตติ อินฺทฺริยทเมน สมนฺนาคโตฯ เวทนฺตคูติ เวเทหิ วา กิเลสานํ อนฺตํ คโต, เวทานํ วา อนฺตํ จตุตฺถมคฺคญาณํ คโตฯ วูสิตพฺรหฺมจริโยติ ปุน วสิตพฺพาภาวโต วุตฺถมคฺคพฺรหฺมจริโยฯ กาเลน ตมฺหิ หพฺยํ ปเวเจฺฉติ อตฺตโน เทยฺยธมฺมฎฺฐิตกาลํ ตสฺส สมฺมุขีภาวกาลญฺจ อุปลเกฺขตฺวา เตน กาเลน ตาทิเส ทกฺขิเณเยฺย เทยฺยธมฺมํ ปเวเจฺฉยฺย, ปเวเสยฺย ปฎิปาเทยฺยฯ
468. Evametaṃ bhagavā cātuvaṇṇisuddhiyā anusāsitvā idāni yattha hutaṃ ijjhate, yathā ca hutaṃ ijjhate, tamatthaṃ dassetuṃ ‘‘saccena danto’’tiādigāthamāha. Tattha saccenāti paramatthasaccena. Tañhi patto danto hoti. Tenāha – ‘‘saccena danto’’ti. Damasā upetoti indriyadamena samannāgato. Vedantagūti vedehi vā kilesānaṃ antaṃ gato, vedānaṃ vā antaṃ catutthamaggañāṇaṃ gato. Vūsitabrahmacariyoti puna vasitabbābhāvato vutthamaggabrahmacariyo. Kālena tamhi habyaṃ paveccheti attano deyyadhammaṭṭhitakālaṃ tassa sammukhībhāvakālañca upalakkhetvā tena kālena tādise dakkhiṇeyye deyyadhammaṃ paveccheyya, paveseyya paṭipādeyya.
๔๖๙-๗๑. กาเมติ วตฺถุกาเม จ กิเลสกาเม จฯ สุสมาหิตินฺทฺริยาติ สุฎฺฐุ สมาหิตอินฺทฺริยา, อวิกฺขิตฺตอินฺทฺริยาติ วุตฺตํ โหติฯ จโนฺทว ราหุคฺคหณา ปมุตฺตาติ ยถา จโนฺท ราหุคฺคหณา, เอวํ กิเลสคฺคหณา ปมุตฺตา เย อตีว ภาสนฺติ เจว ตปนฺติ จฯ สตาติ สติสมฺปนฺนาฯ มมายิตานีติ ตณฺหาทิฎฺฐิมมายิตานิฯ
469-71.Kāmeti vatthukāme ca kilesakāme ca. Susamāhitindriyāti suṭṭhu samāhitaindriyā, avikkhittaindriyāti vuttaṃ hoti. Candova rāhuggahaṇā pamuttāti yathā cando rāhuggahaṇā, evaṃ kilesaggahaṇā pamuttā ye atīva bhāsanti ceva tapanti ca. Satāti satisampannā. Mamāyitānīti taṇhādiṭṭhimamāyitāni.
๔๗๒. โย กาเม หิตฺวาติ อิโต ปภุติ อตฺตานํ สนฺธาย วทติฯ ตตฺถ กาเม หิตฺวาติ กิเลสกาเม ปหายฯ อภิภุยฺยจารีติ เตสํ ปหีนตฺตา วตฺถุกาเม อภิภุยฺยจารีฯ ชาติมรณสฺส อนฺตํ นาม นิพฺพานํ วุจฺจติ, ตญฺจ โย เวทิ อตฺตโน ปญฺญาพเลน อญฺญาสิฯ อุทกรหโท วาติ เย อิเม อโนตตฺตทโห กณฺณมุณฺฑทโห รถการทโห ฉทฺทนฺตทโห กุณาลทโห มนฺทากินิทโห สีหปฺปปาตทโหติ หิมวติ สตฺต มหารหทา อคฺคิสูริยสนฺตาเปหิ อสมฺผุฎฺฐตฺตา นิจฺจํ สีตลา, เตสํ อญฺญตโร อุทกรหโทว สีโต ปรินิพฺพุตกิเลสปริฬาหตฺตาฯ
472.Yo kāme hitvāti ito pabhuti attānaṃ sandhāya vadati. Tattha kāme hitvāti kilesakāme pahāya. Abhibhuyyacārīti tesaṃ pahīnattā vatthukāme abhibhuyyacārī. Jātimaraṇassa antaṃ nāma nibbānaṃ vuccati, tañca yo vedi attano paññābalena aññāsi. Udakarahado vāti ye ime anotattadaho kaṇṇamuṇḍadaho rathakāradaho chaddantadaho kuṇāladaho mandākinidaho sīhappapātadahoti himavati satta mahārahadā aggisūriyasantāpehi asamphuṭṭhattā niccaṃ sītalā, tesaṃ aññataro udakarahadova sīto parinibbutakilesapariḷāhattā.
๔๗๓. สโมติ ตุโลฺยฯ สเมหีติ วิปสฺสิอาทีหิ พุเทฺธหิฯ เต หิ ปฎิเวธสมตฺตา ‘‘สมา’’ติ วุจฺจนฺติฯ นตฺถิ เตสํ ปฎิเวเธนาธิคนฺตเพฺพสุ คุเณสุ, ปหาตเพฺพสุ วา โทเสสุ เวมตฺตตา , อทฺธานอายุกุลปฺปมาณาภินิกฺขมนปธานโพธิรสฺมีหิ ปน เนสํ เวมตฺตตา โหติฯ ตถา หิ เต เหฎฺฐิมปริเจฺฉเทน จตูหิ อสเงฺขฺยเยฺยหิ กปฺปสตสหเสฺสน จ ปารมิโย ปูเรนฺติ, อุปริมปริเจฺฉเทน โสฬสหิ อสเงฺขฺยเยฺยหิ กปฺปสตสหเสฺสน จฯ อยํ เนสํ อทฺธานเวมตฺตตาฯ เหฎฺฐิมปริเจฺฉเทน จ วสฺสสตายุกกาเล อุปฺปชฺชนฺติ, อุปริมปริเจฺฉเทน วสฺสสตสหสฺสายุกกาเลฯ อยํ เนสํ อายุเวมตฺตตาฯ ขตฺติยกุเล วา พฺราหฺมณกุเล วา อุปฺปชฺชนฺติฯ อยํ กุลเวมตฺตตาฯ อุจฺจา วา โหนฺติ อฎฺฐาสีติหตฺถปฺปมาณา, นีจา วา ปนฺนรสอฎฺฐารสหตฺถปฺปมาณาฯ อยํ ปมาณเวมตฺตตาฯ หตฺถิอสฺสรถสิวิกาทีหิ นิกฺขมนฺติ เวหาเสน วาฯ ตถา หิ วิปสฺสิกกุสนฺธา อสฺสรเถน นิกฺขมิํสุ, สิขีโกณาคมนา หตฺถิกฺขเนฺธน, เวสฺสภู สิวิกาย, กสฺสโป เวหาเสน, สกฺยมุนิ อสฺสปิฎฺฐิยาฯ อยํ เนกฺขมฺมเวมตฺตตาฯ สตฺตาหํ วา ปธานมนุยุญฺชนฺติ, อฑฺฒมาสํ, มาสํ, เทฺวมาสํ, เตมาสํ, จตุมาสํ, ปญฺจมาสํ, ฉมาสํ, เอกวสฺสํ ทฺวิติจตุปญฺจฉวสฺสานิ วาฯ อยํ ปธานเวมตฺตตาฯ อสฺสโตฺถ วา โพธิรุโกฺข โหติ นิโคฺรธาทีนํ วา อญฺญตโรฯ อยํ โพธิเวมตฺตตาฯ พฺยามาสีติอนนฺตปภายุตฺตา โหนฺติฯ ตตฺถ พฺยามปฺปภา วา อสีติปฺปภา วา สเพฺพสํ สมานา, อนนฺตปฺปภา ปน ทูรมฺปิ คจฺฉติ อาสนฺนมฺปิ, เอกคาวุตํ ทฺวิคาวุตํ โยชนํ อเนกโยชนํ จกฺกวาฬปริยนฺตมฺปิ, มงฺคลสฺส พุทฺธสฺส สรีรปฺปภา ทสสหสฺสจกฺกวาฬํ อคมาสิฯ เอวํ สเนฺตปิ มนสา จินฺตายตฺตาว สพฺพพุทฺธานํ, โย ยตฺตกมิจฺฉติ, ตสฺส ตตฺตกํ คจฺฉติฯ อยํ รสฺมิเวมตฺตตาฯ อิมา อฎฺฐ เวมตฺตตา ฐเปตฺวา อวเสเสสุ ปฎิเวเธนาธิคนฺตเพฺพสุ คุเณสุ, ปหาตเพฺพสุ วา โทเสสุ นตฺถิ เนสํ วิเสโส, ตสฺมา ‘‘สมา’’ติ วุจฺจนฺติฯ เอวเมเตหิ สโม สเมหิฯ
473.Samoti tulyo. Samehīti vipassiādīhi buddhehi. Te hi paṭivedhasamattā ‘‘samā’’ti vuccanti. Natthi tesaṃ paṭivedhenādhigantabbesu guṇesu, pahātabbesu vā dosesu vemattatā , addhānaāyukulappamāṇābhinikkhamanapadhānabodhirasmīhi pana nesaṃ vemattatā hoti. Tathā hi te heṭṭhimaparicchedena catūhi asaṅkhyeyyehi kappasatasahassena ca pāramiyo pūrenti, uparimaparicchedena soḷasahi asaṅkhyeyyehi kappasatasahassena ca. Ayaṃ nesaṃ addhānavemattatā. Heṭṭhimaparicchedena ca vassasatāyukakāle uppajjanti, uparimaparicchedena vassasatasahassāyukakāle. Ayaṃ nesaṃ āyuvemattatā. Khattiyakule vā brāhmaṇakule vā uppajjanti. Ayaṃ kulavemattatā. Uccā vā honti aṭṭhāsītihatthappamāṇā, nīcā vā pannarasaaṭṭhārasahatthappamāṇā. Ayaṃ pamāṇavemattatā. Hatthiassarathasivikādīhi nikkhamanti vehāsena vā. Tathā hi vipassikakusandhā assarathena nikkhamiṃsu, sikhīkoṇāgamanā hatthikkhandhena, vessabhū sivikāya, kassapo vehāsena, sakyamuni assapiṭṭhiyā. Ayaṃ nekkhammavemattatā. Sattāhaṃ vā padhānamanuyuñjanti, aḍḍhamāsaṃ, māsaṃ, dvemāsaṃ, temāsaṃ, catumāsaṃ, pañcamāsaṃ, chamāsaṃ, ekavassaṃ dviticatupañcachavassāni vā. Ayaṃ padhānavemattatā. Assattho vā bodhirukkho hoti nigrodhādīnaṃ vā aññataro. Ayaṃ bodhivemattatā. Byāmāsītianantapabhāyuttā honti. Tattha byāmappabhā vā asītippabhā vā sabbesaṃ samānā, anantappabhā pana dūrampi gacchati āsannampi, ekagāvutaṃ dvigāvutaṃ yojanaṃ anekayojanaṃ cakkavāḷapariyantampi, maṅgalassa buddhassa sarīrappabhā dasasahassacakkavāḷaṃ agamāsi. Evaṃ santepi manasā cintāyattāva sabbabuddhānaṃ, yo yattakamicchati, tassa tattakaṃ gacchati. Ayaṃ rasmivemattatā. Imā aṭṭha vemattatā ṭhapetvā avasesesu paṭivedhenādhigantabbesu guṇesu, pahātabbesu vā dosesu natthi nesaṃ viseso, tasmā ‘‘samā’’ti vuccanti. Evametehi samo samehi.
วิสเมหิ ทูเรติ น สมา วิสมา, ปเจฺจกพุทฺธาทโย อวเสสสพฺพสตฺตาฯ เตหิ วิสเมหิ อสทิสตาย ทูเรฯ สกลชมฺพุทีปํ ปูเรตฺวา ปลฺลเงฺกน ปลฺลงฺกํ สงฺฆเฎฺฎตฺวา นิสินฺนา ปเจฺจกพุทฺธาปิ หิ คุเณหิ เอกสฺส สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส กลํ นาคฺฆนฺติ โสฬสิํ , โก ปน วาโท สาวกาทีสุฯ เตนาห – ‘‘วิสเมหิ ทูเร’’ติฯ ตถาคโต โหตีติ อุภยปเทหิ ทูเรติ โยเชตพฺพํฯ อนนฺตปโญฺญติ อปริมิตปโญฺญฯ โลกิยมนุสฺสานญฺหิ ปญฺญํ อุปนิธาย อฎฺฐมกสฺส ปญฺญา อธิกา, ตสฺส ปญฺญํ อุปนิธาย โสตาปนฺนสฺสฯ เอวํ ยาว อรหโต ปญฺญํ อุปนิธาย ปเจฺจกพุทฺธสฺส ปญฺญา อธิกา, ปเจฺจกพุทฺธสฺส ปญฺญํ ปน อุปนิธาย ตถาคตสฺส ปญฺญา อธิกาติ น วตฺตพฺพา, อนนฺตา อิเจฺจว ปน วตฺตพฺพาฯ เตนาห – ‘‘อนนฺตปโญฺญ’’ติฯ อนูปลิโตฺตติ ตณฺหาทิฎฺฐิเลเปหิ อลิโตฺตฯ อิธ วา หุรํ วาติ อิธโลเก วา ปรโลเก วาฯ โยชนา ปเนตฺถ – สโม สเมหิ วิสเมหิ ทูเร ตถาคโต โหติฯ กสฺมา? ยสฺมา อนนฺตปโญฺญ อนุปลิโตฺต อิธ วา หุรํ วา, เตน ตถาคโต อรหติ ปูรฬาสนฺติฯ
Visamehidūreti na samā visamā, paccekabuddhādayo avasesasabbasattā. Tehi visamehi asadisatāya dūre. Sakalajambudīpaṃ pūretvā pallaṅkena pallaṅkaṃ saṅghaṭṭetvā nisinnā paccekabuddhāpi hi guṇehi ekassa sammāsambuddhassa kalaṃ nāgghanti soḷasiṃ , ko pana vādo sāvakādīsu. Tenāha – ‘‘visamehi dūre’’ti. Tathāgato hotīti ubhayapadehi dūreti yojetabbaṃ. Anantapaññoti aparimitapañño. Lokiyamanussānañhi paññaṃ upanidhāya aṭṭhamakassa paññā adhikā, tassa paññaṃ upanidhāya sotāpannassa. Evaṃ yāva arahato paññaṃ upanidhāya paccekabuddhassa paññā adhikā, paccekabuddhassa paññaṃ pana upanidhāya tathāgatassa paññā adhikāti na vattabbā, anantā icceva pana vattabbā. Tenāha – ‘‘anantapañño’’ti. Anūpalittoti taṇhādiṭṭhilepehi alitto. Idha vā huraṃ vāti idhaloke vā paraloke vā. Yojanā panettha – samo samehi visamehi dūre tathāgato hoti. Kasmā? Yasmā anantapañño anupalitto idha vā huraṃ vā, tena tathāgato arahati pūraḷāsanti.
๔๗๔. ยมฺหิ น มายาติ อยํ ปน คาถา อญฺญา จ อีทิสา มายาทิโทสยุเตฺตสุ พฺราหฺมเณสุ ทกฺขิเณยฺยสญฺญาปหานตฺถํ วุตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ ตตฺถ อมโมติ สตฺตสงฺขาเรสุ ‘‘อิทํ มมา’’ติ ปหีนมมายิตภาโวฯ
474.Yamhina māyāti ayaṃ pana gāthā aññā ca īdisā māyādidosayuttesu brāhmaṇesu dakkhiṇeyyasaññāpahānatthaṃ vuttāti veditabbā. Tattha amamoti sattasaṅkhāresu ‘‘idaṃ mamā’’ti pahīnamamāyitabhāvo.
๔๗๕. นิเวสนนฺติ ตณฺหาทิฎฺฐินิเวสนํฯ เตน หิ มโน ตีสุ ภเวสุ นิวิสติ, เตน ตํ ‘‘นิเวสนํ มนโส’’ติ วุจฺจติฯ ตเตฺถว วา นิวิสติ ตํ หิตฺวา คนฺตุํ อสมตฺถตายฯ เตนปิ ‘‘นิเวสน’’นฺติ วุจฺจติฯ ปริคฺคหาติ ตณฺหาทิฎฺฐิโย เอว, ตาหิ ปริคฺคหิตธมฺมา วาฯ เกจีติ อปฺปมตฺตกาปิฯ อนุปาทิยาโนติ เตสํ นิเวสนปริคฺคหานํ อภาวา กญฺจิ ธมฺมํ อนุปาทิยมาโนฯ
475.Nivesananti taṇhādiṭṭhinivesanaṃ. Tena hi mano tīsu bhavesu nivisati, tena taṃ ‘‘nivesanaṃ manaso’’ti vuccati. Tattheva vā nivisati taṃ hitvā gantuṃ asamatthatāya. Tenapi ‘‘nivesana’’nti vuccati. Pariggahāti taṇhādiṭṭhiyo eva, tāhi pariggahitadhammā vā. Kecīti appamattakāpi. Anupādiyānoti tesaṃ nivesanapariggahānaṃ abhāvā kañci dhammaṃ anupādiyamāno.
๔๗๖. สมาหิโต มคฺคสมาธินาฯ อุทตารีติ อุตฺติโณฺณฯ ธมฺมํ จญฺญาสีติ สพฺพญฺจ เญยฺยธมฺมํ อญฺญาสิฯ ปรมาย ทิฎฺฐิยาติ สพฺพญฺญุตญฺญาเณนฯ
476.Samāhito maggasamādhinā. Udatārīti uttiṇṇo. Dhammaṃ caññāsīti sabbañca ñeyyadhammaṃ aññāsi. Paramāya diṭṭhiyāti sabbaññutaññāṇena.
๔๗๗. ภวาสวาติ ภวตณฺหาฌานนิกนฺติสสฺสตทิฎฺฐิสหคตา ราคาฯ วจีติ วาจาฯ ขราติ กกฺขฬา ผรุสาฯ วิธูปิตาติ ทฑฺฒาฯ อตฺถคตาติ อตฺถงฺคตาฯ น สนฺตีติ วิธูปิตตฺตา อตฺถงฺคตตฺตา จฯ อุภเยหิ ปน อุภยํ โยเชตพฺพํ สพฺพธีติ สเพฺพสุ ขนฺธายตนาทีสุฯ
477.Bhavāsavāti bhavataṇhājhānanikantisassatadiṭṭhisahagatā rāgā. Vacīti vācā. Kharāti kakkhaḷā pharusā. Vidhūpitāti daḍḍhā. Atthagatāti atthaṅgatā. Na santīti vidhūpitattā atthaṅgatattā ca. Ubhayehi pana ubhayaṃ yojetabbaṃ sabbadhīti sabbesu khandhāyatanādīsu.
๔๗๘. มานสเตฺตสูติ มาเนน ลเคฺคสุฯ ทุกฺขํ ปริญฺญายาติ วฎฺฎทุกฺขํ ตีหิ ปริญฺญาหิ ปริชานิตฺวาฯ สเขตฺตวตฺถุนฺติ สเหตุปจฺจยํ, สทฺธิํ กมฺมกิเลเสหีติ วุตฺตํ โหติฯ
478.Mānasattesūti mānena laggesu. Dukkhaṃ pariññāyāti vaṭṭadukkhaṃ tīhi pariññāhi parijānitvā. Sakhettavatthunti sahetupaccayaṃ, saddhiṃ kammakilesehīti vuttaṃ hoti.
๔๗๙. อาสํ อนิสฺสายาติ ตณฺหํ อนลฺลียิตฺวาฯ วิเวกทสฺสีติ นิพฺพานทสฺสีฯ ปรเวทิยนฺติ ปเรหิ ญาเปตพฺพํฯ ทิฎฺฐิมุปาติวโตฺตติ ทฺวาสฎฺฐิเภทมฺปิ มิจฺฉาทิฎฺฐิํ อติกฺกโนฺตฯ อารมฺมณาติ ปจฺจยา, ปุนพฺภวการณานีติ วุตฺตํ โหติฯ
479.Āsaṃ anissāyāti taṇhaṃ anallīyitvā. Vivekadassīti nibbānadassī. Paravediyanti parehi ñāpetabbaṃ. Diṭṭhimupātivattoti dvāsaṭṭhibhedampi micchādiṭṭhiṃ atikkanto. Ārammaṇāti paccayā, punabbhavakāraṇānīti vuttaṃ hoti.
๔๘๐. ปโรปราติ วราวรา สุนฺทราสุนฺทราฯ ปรา วา พาหิรา, อปรา อชฺฌตฺติกาฯ สเมจฺจาติ ญาเณน ปฎิวิชฺฌิตฺวาฯ ธมฺมาติ ขนฺธายตนาทโย ธมฺมาฯ อุปาทานขเย วิมุโตฺตติ นิพฺพาเน นิพฺพานารมฺมณโต วิมุโตฺต, นิพฺพานารมฺมณวิมุตฺติลาภีติ อโตฺถฯ
480.Paroparāti varāvarā sundarāsundarā. Parā vā bāhirā, aparā ajjhattikā. Sameccāti ñāṇena paṭivijjhitvā. Dhammāti khandhāyatanādayo dhammā. Upādānakhaye vimuttoti nibbāne nibbānārammaṇato vimutto, nibbānārammaṇavimuttilābhīti attho.
๔๘๑. สํโยชนํชาติขยนฺตทสฺสีติ สํโยชนกฺขยนฺตทสฺสี ชาติกฺขยนฺตทสฺสี จฯ สํโยชนกฺขยเนฺตน เจตฺถ สอุปาทิเสสา นิพฺพานธาตุ, ชาติกฺขยเนฺตน อนุปาทิเสสา วุตฺตาฯ ขยโนฺตติ หิ อจฺจนฺตขยสฺส สมุเจฺฉทปฺปหานเสฺสตํ อธิวจนํฯ อนุนาสิกโลโป เจตฺถ ‘‘วิเวกชํ ปีติสุข’’นฺติอาทีสุ วิย น กโตฯ โยปานุทีติ โย อปนุทิฯ ราคปถนฺติ ราคารมฺมณํ, ราคเมว วาฯ ราโคปิ หิ ทุคฺคตีนํ ปถตฺตา ‘‘ราคปโถ’’ติ วุจฺจติ กมฺมปโถ วิยฯ สุโทฺธ นิโทโส วิมโล อกาโจติ ปริสุทฺธกายสมาจาราทิตาย สุโทฺธฯ เยหิ ‘‘ราคโทสา อยํ ปชา, โทสโทสา, โมหโทสา’’ติ วุจฺจติฯ เตสํ อภาวา นิโทโสฯ อฎฺฐปุริสมลวิคมา วิมโล, อุปกฺกิเลสาภาวโต อกาโจฯ อุปกฺกิลิโฎฺฐ หิ อุปกฺกิเลเสน ‘‘สกาโจ’’ติ วุจฺจติฯ สุโทฺธ วา ยสฺมา นิโทฺทโส, นิโทฺทสตาย วิมโล, พาหิรมลาภาเวน วิมลตฺตา อกาโจฯ สมโล หิ ‘‘สกาโจ’’ติ วุจฺจติฯ วิมลตฺตา วา อาคุํ น กโรติ, เตน อกาโจฯ อาคุกิริยา หิ อุปฆาตกรณโต ‘‘กาโจ’’ติ วุจฺจติฯ
481.Saṃyojanaṃjātikhayantadassīti saṃyojanakkhayantadassī jātikkhayantadassī ca. Saṃyojanakkhayantena cettha saupādisesā nibbānadhātu, jātikkhayantena anupādisesā vuttā. Khayantoti hi accantakhayassa samucchedappahānassetaṃ adhivacanaṃ. Anunāsikalopo cettha ‘‘vivekajaṃ pītisukha’’ntiādīsu viya na kato. Yopānudīti yo apanudi. Rāgapathanti rāgārammaṇaṃ, rāgameva vā. Rāgopi hi duggatīnaṃ pathattā ‘‘rāgapatho’’ti vuccati kammapatho viya. Suddho nidoso vimalo akācoti parisuddhakāyasamācārāditāya suddho. Yehi ‘‘rāgadosā ayaṃ pajā, dosadosā, mohadosā’’ti vuccati. Tesaṃ abhāvā nidoso. Aṭṭhapurisamalavigamā vimalo, upakkilesābhāvato akāco. Upakkiliṭṭho hi upakkilesena ‘‘sakāco’’ti vuccati. Suddho vā yasmā niddoso, niddosatāya vimalo, bāhiramalābhāvena vimalattā akāco. Samalo hi ‘‘sakāco’’ti vuccati. Vimalattā vā āguṃ na karoti, tena akāco. Āgukiriyā hi upaghātakaraṇato ‘‘kāco’’ti vuccati.
๔๘๒. อตฺตโน อตฺตานํ นานุปสฺสตีติ ญาณสมฺปยุเตฺตน จิเตฺตน วิปสฺสโนฺต อตฺตโน ขเนฺธสุ อญฺญํ อตฺตานํ นาม น ปสฺสติ, ขนฺธมตฺตเมว ปสฺสติฯ ยา จายํ ‘‘อตฺตนาว อตฺตานํ สญฺชานามี’’ติ ตสฺส สจฺจโต เถตโต ทิฎฺฐิ อุปฺปชฺชติ, ตสฺสา อภาวา อตฺตโน อตฺตานํ นานุปสฺสติ, อญฺญทตฺถุ ปญฺญาย ขเนฺธ ปสฺสติฯ มคฺคสมาธินา สมาหิโต, กายวงฺกาทีนํ อภาวา อุชฺชุคโต, โลกธเมฺมหิ อกมฺปนียโต ฐิตโตฺต, ตณฺหาสงฺขาตาย เอชาย ปญฺจนฺนํ เจโตขิลานญฺจ อฎฺฐฎฺฐานาย กงฺขาย จ อภาวา อเนโช อขิโล อกโงฺขฯ
482.Attano attānaṃ nānupassatīti ñāṇasampayuttena cittena vipassanto attano khandhesu aññaṃ attānaṃ nāma na passati, khandhamattameva passati. Yā cāyaṃ ‘‘attanāva attānaṃ sañjānāmī’’ti tassa saccato thetato diṭṭhi uppajjati, tassā abhāvā attano attānaṃ nānupassati, aññadatthu paññāya khandhe passati. Maggasamādhinā samāhito, kāyavaṅkādīnaṃ abhāvā ujjugato, lokadhammehi akampanīyato ṭhitatto, taṇhāsaṅkhātāya ejāya pañcannaṃ cetokhilānañca aṭṭhaṭṭhānāya kaṅkhāya ca abhāvā anejo akhilo akaṅkho.
๔๘๓. โมหนฺตราติ โมหการณา โมหปจฺจยา, สพฺพกิเลสานเมตํ อธิวจนํฯ สเพฺพสุ ธเมฺมสุ จ ญาณทสฺสีติ สจฺฉิกตสพฺพญฺญุตญฺญาโณฯ ตญฺหิ สเพฺพสุ ธเมฺมสุ ญาณํ, ตญฺจ ภควา ปสฺสิ, ‘‘อธิคตํ เม’’ติ สจฺฉิกตฺวา วิหาสิฯ เตน วุจฺจติ ‘‘สเพฺพสุ ธเมฺมสุ จ ญาณทสฺสี’’ติฯ สโมฺพธินฺติ อรหตฺตํฯ อนุตฺตรนฺติ ปเจฺจกพุทฺธสาวเกหิ อสาธารณํฯ สิวนฺติ เขมํ นิรุปทฺทวํ สสฺสิริกํ วาฯ ยกฺขสฺสาติ ปุริสสฺสฯ สุทฺธีติ โวทานตาฯ เอตฺถ หิ โมหนฺตราภาเวน สพฺพโทสาภาโว, เตน สํสารการณสมุเจฺฉโท อนฺติมสรีรธาริตา, ญาณทสฺสิตาย สพฺพคุณสมฺภโวฯ เตน อนุตฺตรา สโมฺพธิปตฺติ, อิโต ปรญฺจ ปหาตพฺพมธิคนฺตพฺพํ วา นตฺถิฯ เตนาห – ‘‘เอตฺตาวตา ยกฺขสฺส สุทฺธี’’ติฯ
483.Mohantarāti mohakāraṇā mohapaccayā, sabbakilesānametaṃ adhivacanaṃ. Sabbesu dhammesu ca ñāṇadassīti sacchikatasabbaññutaññāṇo. Tañhi sabbesu dhammesu ñāṇaṃ, tañca bhagavā passi, ‘‘adhigataṃ me’’ti sacchikatvā vihāsi. Tena vuccati ‘‘sabbesu dhammesu ca ñāṇadassī’’ti. Sambodhinti arahattaṃ. Anuttaranti paccekabuddhasāvakehi asādhāraṇaṃ. Sivanti khemaṃ nirupaddavaṃ sassirikaṃ vā. Yakkhassāti purisassa. Suddhīti vodānatā. Ettha hi mohantarābhāvena sabbadosābhāvo, tena saṃsārakāraṇasamucchedo antimasarīradhāritā, ñāṇadassitāya sabbaguṇasambhavo. Tena anuttarā sambodhipatti, ito parañca pahātabbamadhigantabbaṃ vā natthi. Tenāha – ‘‘ettāvatā yakkhassa suddhī’’ti.
๔๘๔. เอวํ วุเตฺต พฺราหฺมโณ ภิโยฺยโสมตฺตาย ภควติ ปสโนฺน ปสนฺนาการํ กโรโนฺต อาห ‘‘หุตญฺจ มยฺห’’นฺติฯ ตสฺสโตฺถ – ยมหํ อิโต ปุเพฺพ พฺรหฺมานํ อารพฺภ อคฺคิมฺหิ อชุหํ, ตํ เม หุตํ สจฺจํ วา โหติ, อลิกํ วาติ น ชานามิฯ อชฺช ปน อิทํ หุตญฺจ มยฺหํ หุตมตฺถุ สจฺจํ, สจฺจหุตเมว อตฺถูติ ยาจโนฺต ภณติฯ ยํ ตาทิสํ เวทคุนํ อลตฺถํ, ยสฺมา อิเธว ฐิโต ภวนฺตรูปํ เวทคุํ อลตฺถํฯ พฺรหฺมา หิ สกฺขิ, ปจฺจกฺขเมว หิ ตฺวํ พฺรหฺมา, ยโต ปฎิคฺคณฺหาตุ เม ภควา, ปฎิคฺคเหตฺวา จ ภุญฺชตุ เม ภควา ปูรฬาสนฺติ ตํ หพฺยเสสํ อุปนาเมโนฺต อาหฯ
484. Evaṃ vutte brāhmaṇo bhiyyosomattāya bhagavati pasanno pasannākāraṃ karonto āha ‘‘hutañca mayha’’nti. Tassattho – yamahaṃ ito pubbe brahmānaṃ ārabbha aggimhi ajuhaṃ, taṃ me hutaṃ saccaṃ vā hoti, alikaṃ vāti na jānāmi. Ajja pana idaṃ hutañca mayhaṃ hutamatthu saccaṃ, saccahutameva atthūti yācanto bhaṇati. Yaṃ tādisaṃ vedagunaṃ alatthaṃ, yasmā idheva ṭhito bhavantarūpaṃ vedaguṃ alatthaṃ. Brahmā hi sakkhi, paccakkhameva hi tvaṃ brahmā, yato paṭiggaṇhātu me bhagavā, paṭiggahetvā ca bhuñjatu me bhagavā pūraḷāsanti taṃ habyasesaṃ upanāmento āha.
๔๘๗. อถ ภควา กสิภารทฺวาชสุเตฺต วุตฺตนเยน คาถาทฺวยมภาสิฯ ตโต พฺราหฺมโณ ‘‘อยํ อตฺตนา น อิจฺฉติ, กมฺปิ จญฺญํ สนฺธาย ‘เกวลินํ มเหสิํ ขีณาสวํ กุกฺกุจฺจวูปสนฺตํ อเนฺนน ปาเนน อุปฎฺฐหสฺสู’ติ ภณตี’’ติ เอวํ คาถาย อตฺถํ อสลฺลเกฺขตฺวา ตํ ญาตุกาโม อาห ‘‘สาธาหํ ภควา’’ติฯ ตตฺถ สาธูติ อายาจนเตฺถ นิปาโตฯ ตถาติ เยน ตฺวมาห, เตน ปกาเรนฯ วิชญฺญนฺติ ชาเนยฺยํฯ ยนฺติ ยํ ทกฺขิเณยฺยํ ยญฺญกาเล ปริเยสมาโน อุปฎฺฐเหยฺยนฺติ ปาฐเสโสฯ ปปฺปุยฺยาติ ปตฺวาฯ ตว สาสนนฺติ ตว โอวาทํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติฯ สาธาหํ ภควา ตว โอวาทํ อาคมฺม ตถา วิชญฺญํ อาโรเจหิ เม ตํ เกวลินนฺติ อธิปฺปาโยฯ โย ทกฺขิณํ ภุเญฺชยฺย มาทิสสฺส, ยํ จาหํ ยญฺญกาเล ปริเยสมาโน อุปฎฺฐเหยฺยํ, ตถารูปํ เม ทกฺขิเณยฺยํ ทเสฺสหิ, สเจ ตฺวํ น ภุญฺชสีติฯ
487. Atha bhagavā kasibhāradvājasutte vuttanayena gāthādvayamabhāsi. Tato brāhmaṇo ‘‘ayaṃ attanā na icchati, kampi caññaṃ sandhāya ‘kevalinaṃ mahesiṃ khīṇāsavaṃ kukkuccavūpasantaṃ annena pānena upaṭṭhahassū’ti bhaṇatī’’ti evaṃ gāthāya atthaṃ asallakkhetvā taṃ ñātukāmo āha ‘‘sādhāhaṃ bhagavā’’ti. Tattha sādhūti āyācanatthe nipāto. Tathāti yena tvamāha, tena pakārena. Vijaññanti jāneyyaṃ. Yanti yaṃ dakkhiṇeyyaṃ yaññakāle pariyesamāno upaṭṭhaheyyanti pāṭhaseso. Pappuyyāti patvā. Tava sāsananti tava ovādaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti. Sādhāhaṃ bhagavā tava ovādaṃ āgamma tathā vijaññaṃ ārocehi me taṃ kevalinanti adhippāyo. Yo dakkhiṇaṃ bhuñjeyya mādisassa, yaṃ cāhaṃ yaññakāle pariyesamāno upaṭṭhaheyyaṃ, tathārūpaṃ me dakkhiṇeyyaṃ dassehi, sace tvaṃ na bhuñjasīti.
๔๘๘-๙๐. อถสฺส ภควา ปากเฎน นเยน ตถารูปํ ทกฺขิเณยฺยํ ทเสฺสโนฺต ‘‘สารมฺภา ยสฺสา’’ติ คาถาตฺตยมาหฯ ตตฺถ สีมนฺตานํ วิเนตารนฺติ สีมาติ มริยาทา สาธุชนวุตฺติ, ตสฺสา อนฺตา ปริโยสานา อปรภาคาติ กตฺวา สีมนฺตา วุจฺจนฺติ กิเลสา, เตสํ วิเนตารนฺติ อโตฺถฯ สีมนฺตาติ พุทฺธเวเนยฺยา เสกฺขา จ ปุถุชฺชนา จ, เตสํ วิเนตารนฺติปิ เอเกฯ ชาติมรณโกวิทนฺติ ‘‘เอวํ ชาติ เอวํ มรณ’’นฺติ เอตฺถ กุสลํฯ โมเนยฺยสมฺปนฺนนฺติ ปญฺญาสมฺปนฺนํ, กายโมเนยฺยาทิสมฺปนฺนํ วาฯ ภกุฎิํ วินยิตฺวานาติ ยํ เอกเจฺจ ทุพฺพุทฺธิโน ยาจกํ ทิสฺวา ภกุฎิํ กโรนฺติ, ตํ วินยิตฺวา, ปสนฺนมุขา หุตฺวาติ อโตฺถฯ ปญฺชลิกาติ ปคฺคหิตอญฺชลิโน หุตฺวาฯ
488-90. Athassa bhagavā pākaṭena nayena tathārūpaṃ dakkhiṇeyyaṃ dassento ‘‘sārambhā yassā’’ti gāthāttayamāha. Tattha sīmantānaṃ vinetāranti sīmāti mariyādā sādhujanavutti, tassā antā pariyosānā aparabhāgāti katvā sīmantā vuccanti kilesā, tesaṃ vinetāranti attho. Sīmantāti buddhaveneyyā sekkhā ca puthujjanā ca, tesaṃ vinetārantipi eke. Jātimaraṇakovidanti ‘‘evaṃ jāti evaṃ maraṇa’’nti ettha kusalaṃ. Moneyyasampannanti paññāsampannaṃ, kāyamoneyyādisampannaṃ vā. Bhakuṭiṃ vinayitvānāti yaṃ ekacce dubbuddhino yācakaṃ disvā bhakuṭiṃ karonti, taṃ vinayitvā, pasannamukhā hutvāti attho. Pañjalikāti paggahitaañjalino hutvā.
๔๙๑. อถ พฺราหฺมโณ ภควนฺตํ โถมยมาโน ‘‘พุโทฺธ ภว’’นฺติ คาถมาหฯ ตตฺถ อายาโคติ อายชิตโพฺพ, ตโต ตโต อาคมฺม วา ยชิตพฺพเมตฺถาติปิ อายาโค, เทยฺยธมฺมานํ อธิฎฺฐานภูโตติ วุตฺตํ โหติ ฯ เสสเมตฺถ อิโต ปุริมคาถาสุ จ ยํ น วณฺณิตํ, ตํ สกฺกา อวณฺณิตมฺปิ ชานิตุนฺติ อุตฺตานตฺถตฺตาเยว น วณฺณิตํฯ อิโต ปรํ ปน กสิภารทฺวาชสุเตฺต วุตฺตนยเมวาติฯ
491. Atha brāhmaṇo bhagavantaṃ thomayamāno ‘‘buddho bhava’’nti gāthamāha. Tattha āyāgoti āyajitabbo, tato tato āgamma vā yajitabbametthātipi āyāgo, deyyadhammānaṃ adhiṭṭhānabhūtoti vuttaṃ hoti . Sesamettha ito purimagāthāsu ca yaṃ na vaṇṇitaṃ, taṃ sakkā avaṇṇitampi jānitunti uttānatthattāyeva na vaṇṇitaṃ. Ito paraṃ pana kasibhāradvājasutte vuttanayamevāti.
ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย
Paramatthajotikāya khuddaka-aṭṭhakathāya
สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถาย ปูรฬาสสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Suttanipāta-aṭṭhakathāya pūraḷāsasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / สุตฺตนิปาตปาฬิ • Suttanipātapāḷi / ๔. สุนฺทริกภารทฺวาชสุตฺตํ • 4. Sundarikabhāradvājasuttaṃ