Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / กงฺขาวิตรณี-อภินว-ฎีกา • Kaṅkhāvitaraṇī-abhinava-ṭīkā |
๔. ปุราณจีวรสิกฺขาปทวณฺณนา
4. Purāṇacīvarasikkhāpadavaṇṇanā
‘‘อมฺหากเมว ญาตี’’ติ ญายตีติ ญาติ, สาว ญาติกา, น ญาติกา อญฺญาติกา, ตาย อญฺญาติกายฯ เตนาห ‘‘น ญาติกายา’’ติฯ มาติโต วา ปิติโต วาติ มาติปกฺขโต วา ปิติปกฺขโต วาฯ ยาว สตฺตมํ ยุคนฺติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๕๐๓-๕๐๕) ยาว สตฺตมสฺส ปุริสสฺส, สตฺตมาย วา อิตฺถิยา อายุปฺปมาณํ, ยาว ปิตามหยุคํ ปิตามหิยุคํ มาตามหยุคํ มาตามหิยุคนฺติ วุตฺตํ โหติฯ อถ วา ยาว สตฺตมํ ยุคนฺติ ยาว สตฺตมทฺวนฺทนฺติ อโตฺถฯ ยุคสโทฺท เจตฺถ เอกเสสนเยน ทฎฺฐโพฺพ ‘‘ยุโค จ ยุโค จ ยุคา’’ติฯ เอวญฺหิ ตตฺถ ตตฺถ ทฺวนฺทํ คหิตํ โหติฯ เกนจิ อากาเรน อสมฺพทฺธายาติ ภาตุภคินิภาคิเนยฺยปุตฺตปปุตฺตาทีสุ เยน เกนจิ อากาเรน อสมฺพทฺธายฯ ปิตา, ปิตุปิตา, ตสฺส ปิตา, ตสฺสาปิ ปิตาติ เอวํ ยาว สตฺตมา ยุคา, ปิตา, ปิตุมาตา, ตสฺสา ปิตา จ มาตา จ ภาตา จ ภคินี จ, ปุตฺตา จ, ธีตโร จาติ เอวมฺปิ อุทฺธญฺจ อโธ จ ยาว สตฺตมา ยุคา, ปิตา, ปิตุภาตา, ปิตุภคินี, ปิตุปุตฺตา, ปิตุธีตโร, เตสมฺปิ ปุตฺตธีตุปรมฺปราติ เอวมฺปิ ยาว สตฺตมา ยุคา, มาตา, มาตุมาตา, ตสฺสา มาตา, ตสฺสาปิ มาตาติ เอวํ ยาว สตฺตมา ยุคา, มาตา, มาตุปิตา, ตสฺส ปิตา จ มาตา จ ภาตา จ ภคินี จ ปุตฺตา จ ธีตโร จาติ เอวมฺปิ อุทฺธญฺจ อโธ จ ยาว สตฺตมา ยุคา, มาตา, มาตุภาตา, มาตุภคินี, มาตุปุตฺตา, มาตุธีตโร , เตสมฺปิ ปุตฺตธีตุปรมฺปราติ เอวมฺปิ ยาว สตฺตมา ยุคา, ตาว เนว มาตุสมฺพเนฺธน, น ปิตุสมฺพเนฺธน ยา สมฺพทฺธา, สา ‘‘อญฺญาติกา นามา’’ติ วุตฺตํ โหติฯ
‘‘Amhākameva ñātī’’ti ñāyatīti ñāti, sāva ñātikā, na ñātikā aññātikā, tāya aññātikāya. Tenāha ‘‘na ñātikāyā’’ti. Mātito vā pitito vāti mātipakkhato vā pitipakkhato vā. Yāva sattamaṃ yuganti (pārā. aṭṭha. 2.503-505) yāva sattamassa purisassa, sattamāya vā itthiyā āyuppamāṇaṃ, yāva pitāmahayugaṃ pitāmahiyugaṃ mātāmahayugaṃ mātāmahiyuganti vuttaṃ hoti. Atha vā yāva sattamaṃ yuganti yāva sattamadvandanti attho. Yugasaddo cettha ekasesanayena daṭṭhabbo ‘‘yugo ca yugo ca yugā’’ti. Evañhi tattha tattha dvandaṃ gahitaṃ hoti. Kenaci ākārena asambaddhāyāti bhātubhaginibhāgineyyaputtapaputtādīsu yena kenaci ākārena asambaddhāya. Pitā, pitupitā, tassa pitā, tassāpi pitāti evaṃ yāva sattamā yugā, pitā, pitumātā, tassā pitā ca mātā ca bhātā ca bhaginī ca, puttā ca, dhītaro cāti evampi uddhañca adho ca yāva sattamā yugā, pitā, pitubhātā, pitubhaginī, pituputtā, pitudhītaro, tesampi puttadhītuparamparāti evampi yāva sattamā yugā, mātā, mātumātā, tassā mātā, tassāpi mātāti evaṃ yāva sattamā yugā, mātā, mātupitā, tassa pitā ca mātā ca bhātā ca bhaginī ca puttā ca dhītaro cāti evampi uddhañca adho ca yāva sattamā yugā, mātā, mātubhātā, mātubhaginī, mātuputtā, mātudhītaro , tesampi puttadhītuparamparāti evampi yāva sattamā yugā, tāva neva mātusambandhena, na pitusambandhena yā sambaddhā, sā ‘‘aññātikā nāmā’’ti vuttaṃ hoti.
สากิยานิโย วิยาติ ปญฺจสตมตฺตา สากิยานิโย วิยฯ นิทสฺสนมตฺตเญฺจตํ, ตสฺมา ภิกฺขุภาเว ฐตฺวา ปริวตฺตลิงฺคา ภิกฺขุนิโยปิ อิธ สุทฺธภิกฺขุสเงฺฆ ‘‘อุปสมฺปนฺนา’’ อิเจฺจว เวทิตพฺพาฯ อุภโตสเงฺฆ วาติ ภิกฺขุนิสเงฺฆ ญตฺติจตุเตฺถน, ภิกฺขุสเงฺฆ ญตฺติจตุเตฺถนาติ เอวํ อุภโตสเงฺฆ วาฯ ปุราณจีวรนฺติ เอตฺถ จีวรนฺติ นิวาสนปารุปนุปคเมว อธิเปฺปตนฺติ อาห ‘‘รชิตฺวา’’ติอาทิฯ กปฺปํ กตฺวาติ กปฺปพินฺทุํ ทตฺวาฯ ‘‘อิมินา อทินฺนกปฺปํ ปาจิตฺติยวตฺถุ น โหตีติ ทเสฺสตี’’ติ (สารตฺถ. ฎี. ๒.๕๐๕) วทนฺติฯ ปริโภคสีเสนาติ กาเยน ผุสิตฺวา ปริโภคสีเสนฯ อํเสติ ชตฺตุมฺหิฯ มตฺถเกติ สีสมตฺถเกฯ สเจ ปน ปจฺจตฺถรณสฺส เหฎฺฐา กตฺวา นิปชฺชติ, หเตฺถหิ วา อุกฺขิปิตฺวา อากาเส วิตานํ กตฺวา สีเสน อสมฺผุสโนฺต คจฺฉติ, อยํ ปริโภโค นาม น โหติฯ
Sākiyāniyo viyāti pañcasatamattā sākiyāniyo viya. Nidassanamattañcetaṃ, tasmā bhikkhubhāve ṭhatvā parivattaliṅgā bhikkhuniyopi idha suddhabhikkhusaṅghe ‘‘upasampannā’’ icceva veditabbā. Ubhatosaṅghe vāti bhikkhunisaṅghe ñatticatutthena, bhikkhusaṅghe ñatticatutthenāti evaṃ ubhatosaṅghe vā. Purāṇacīvaranti ettha cīvaranti nivāsanapārupanupagameva adhippetanti āha ‘‘rajitvā’’tiādi. Kappaṃ katvāti kappabinduṃ datvā. ‘‘Iminā adinnakappaṃ pācittiyavatthu na hotīti dassetī’’ti (sārattha. ṭī. 2.505) vadanti. Paribhogasīsenāti kāyena phusitvā paribhogasīsena. Aṃseti jattumhi. Matthaketi sīsamatthake. Sace pana paccattharaṇassa heṭṭhā katvā nipajjati, hatthehi vā ukkhipitvā ākāse vitānaṃ katvā sīsena asamphusanto gacchati, ayaṃ paribhogo nāma na hoti.
กายวิการํ วา กโรตีติ ยถา สา ‘‘โธวาเปตุกาโม อย’’นฺติ ชานาติ, เอวํ กายวิการํ กโรติฯ ‘‘อโนฺตทฺวาทสหเตฺถ โอกาเส ฐตฺวา อุปริ วา ขิปตี’’ติ อิมินา อุปจารํ มุญฺจิตฺวา โอรโต ขิปนฺตสฺส อนาปตฺตีติ ทเสฺสติฯ อญฺญสฺส วา หเตฺถ เปเสตีติ อโนฺตทฺวาทสหเตฺถ โอกาเส ฐตฺวา สิกฺขมานสามเณรสามเณริอุปาสกอิตฺถิยาทีสุ ยสฺส กสฺสจิ อญฺญสฺส หเตฺถ วา เปเสติฯ โสติ อุปาสโก จ สามเณโร จฯ อุปสมฺปชฺชิตฺวา โธวตีติ เอตฺถ อุปาสโก ลิเงฺค ปริวเตฺต ภิกฺขุนีสุ ปพฺพชิตฺวา อุปสมฺปชฺชิตฺวา โธวติ, สามเณโร ลิเงฺค ปริวเตฺต ภิกฺขุนีสุ อุปสมฺปชฺชิตฺวา โธวตีติ ยถาโยคํ อโตฺถ คเหตโพฺพฯ สเจ ปน ภิกฺขุนิยา หเตฺถ ทินฺนํ โหติ, สเจ ลิเงฺค ปริวเตฺต โธวติ, วฎฺฎติฯ
Kāyavikāraṃ vā karotīti yathā sā ‘‘dhovāpetukāmo aya’’nti jānāti, evaṃ kāyavikāraṃ karoti. ‘‘Antodvādasahatthe okāse ṭhatvā upari vā khipatī’’ti iminā upacāraṃ muñcitvā orato khipantassa anāpattīti dasseti. Aññassa vā hatthe pesetīti antodvādasahatthe okāse ṭhatvā sikkhamānasāmaṇerasāmaṇeriupāsakaitthiyādīsu yassa kassaci aññassa hatthe vā peseti. Soti upāsako ca sāmaṇero ca. Upasampajjitvā dhovatīti ettha upāsako liṅge parivatte bhikkhunīsu pabbajitvā upasampajjitvā dhovati, sāmaṇero liṅge parivatte bhikkhunīsu upasampajjitvā dhovatīti yathāyogaṃ attho gahetabbo. Sace pana bhikkhuniyā hatthe dinnaṃ hoti, sace liṅge parivatte dhovati, vaṭṭati.
เอตฺถ จ เอกสฺส ติกฺขตฺตุํ นิสฺสชฺชนาภาวโต ตีณิปิ กาเรนฺตสฺส เอเกน นิสฺสคฺคิยํ, ทฺวีหิ เทฺว ทุกฺกฎานิฯ เทฺว กาเรนฺตสฺส เอเกน นิสฺสคฺคิยํ, ทุติเยน ทุกฺกฎํฯ เตนาห ‘‘โธวนาทีนิ ตีณี’’ติอาทิฯ ‘‘เอเกน วตฺถุนา’’ติ ปฐมํ กตฺวา นิฎฺฐาปิตํ สนฺธาย วุตฺตํฯ สเจ ปน ‘‘อิมํ จีวรํ รชิตฺวา โธวิตฺวา อาเนหี’’ติ วุเตฺต สา ภิกฺขุนี ปฐมํ โธวิตฺวา ปจฺฉา รชติ, นิสฺสคฺคิเยน ทุกฺกฎเมว, เอวํ สเพฺพสุ วิปรีตวจเนสุ นโย เนตโพฺพฯ สเจ ปน ‘‘โธวิตฺวา อาเนหี’’ติ วุตฺตา โธวติ เจว รชติ จ, โธวาปนปจฺจยา เอว อาปตฺติ, รชเน อนาปตฺติฯ เอวํ สพฺพตฺถฯ เตนาห ‘‘สเจ ปน‘โธวา’ติ วุตฺตา’’ติอาทิฯ ภิกฺขูนํ วเสน เอกโต อุปสมฺปนฺนาย โธวาเปนฺตสฺส ยถาวตฺถุกเมวาติ อาห ‘‘ภิกฺขุนิสงฺฆวเสนา’’ติอาทิฯ
Ettha ca ekassa tikkhattuṃ nissajjanābhāvato tīṇipi kārentassa ekena nissaggiyaṃ, dvīhi dve dukkaṭāni. Dve kārentassa ekena nissaggiyaṃ, dutiyena dukkaṭaṃ. Tenāha ‘‘dhovanādīni tīṇī’’tiādi. ‘‘Ekena vatthunā’’ti paṭhamaṃ katvā niṭṭhāpitaṃ sandhāya vuttaṃ. Sace pana ‘‘imaṃ cīvaraṃ rajitvā dhovitvā ānehī’’ti vutte sā bhikkhunī paṭhamaṃ dhovitvā pacchā rajati, nissaggiyena dukkaṭameva, evaṃ sabbesu viparītavacanesu nayo netabbo. Sace pana ‘‘dhovitvā ānehī’’ti vuttā dhovati ceva rajati ca, dhovāpanapaccayā eva āpatti, rajane anāpatti. Evaṃ sabbattha. Tenāha ‘‘sace pana‘dhovā’ti vuttā’’tiādi. Bhikkhūnaṃ vasena ekato upasampannāya dhovāpentassa yathāvatthukamevāti āha ‘‘bhikkhunisaṅghavasenā’’tiādi.
อญฺญสฺส วา สนฺตกนฺติ อญฺญสฺส สนฺตกํ ปุราณจีวรํ โธวาเปนฺตสฺสาติ อโตฺถฯ นิสีทนปจฺจตฺถรณนฺติ อญฺญสฺส วา อตฺตโน วา สนฺตกํ นิสีทนเญฺจว ปจฺจตฺถรณญฺจฯ นิวาสนปารุปนุปคเสฺสว จ อิธ ‘‘ปุราณจีวร’’นฺติ อธิเปฺปตตฺตา อตฺตโน สนฺตกมฺปิ นิสีทนปจฺจตฺถรณํ โธวาเปนฺตสฺส ทุกฺกฎเมว โหติ, น นิสฺสคฺคิยํฯ อวุตฺตา วา โธวตีติ อุเทฺทสาย วา โอวาทาย วา อาคตา กิลิฎฺฐจีวรํ ทิสฺวา ฐปิตฎฺฐานโต วา คเหตฺวา, ‘‘เทถ อยฺย, โธวิสฺสามี’’ติ อาหราเปตฺวา วา โธวติ เจว รชติ จ อาโกเฎติ จ, อยํ อวุตฺตา โธวติ นามฯ ยาปิ ‘‘อิมํ จีวรํ โธวา’’ติ ทหรํ วา สามเณรํ วา อาณาเปนฺตสฺส ภิกฺขุโน วจนํ สุตฺวา ‘‘อาหรถยฺย, อหํ โธวิสฺสามี’’ติ โธวติ, ตาวกาลิกํ วา คเหตฺวา โธวิตฺวา รชิตฺวา เทติ, อยมฺปิ อวุตฺตา โธวติ นามฯ
Aññassavā santakanti aññassa santakaṃ purāṇacīvaraṃ dhovāpentassāti attho. Nisīdanapaccattharaṇanti aññassa vā attano vā santakaṃ nisīdanañceva paccattharaṇañca. Nivāsanapārupanupagasseva ca idha ‘‘purāṇacīvara’’nti adhippetattā attano santakampi nisīdanapaccattharaṇaṃ dhovāpentassa dukkaṭameva hoti, na nissaggiyaṃ. Avuttā vā dhovatīti uddesāya vā ovādāya vā āgatā kiliṭṭhacīvaraṃ disvā ṭhapitaṭṭhānato vā gahetvā, ‘‘detha ayya, dhovissāmī’’ti āharāpetvā vā dhovati ceva rajati ca ākoṭeti ca, ayaṃ avuttā dhovati nāma. Yāpi ‘‘imaṃ cīvaraṃ dhovā’’ti daharaṃ vā sāmaṇeraṃ vā āṇāpentassa bhikkhuno vacanaṃ sutvā ‘‘āharathayya, ahaṃ dhovissāmī’’ti dhovati, tāvakālikaṃ vā gahetvā dhovitvā rajitvā deti, ayampi avuttā dhovati nāma.
อญฺญํ วา ปริกฺขารนฺติ อุปาหนตฺถวิกปตฺตตฺถวิกอํสพทฺธกกายพนฺธนมญฺจปีฐตฎฺฎิกาทิํ ยํ กิญฺจิฯ ‘‘อุปจาเร ฐตฺวา’’ติ วจนโต เปสิตฺวา โธวเนปิ อนาปตฺติฯ อุปจาเรติ อโนฺตทฺวาทสหเตฺถ โอกาเสฯ
Aññaṃ vā parikkhāranti upāhanatthavikapattatthavikaaṃsabaddhakakāyabandhanamañcapīṭhataṭṭikādiṃ yaṃ kiñci. ‘‘Upacāre ṭhatvā’’ti vacanato pesitvā dhovanepi anāpatti. Upacāreti antodvādasahatthe okāse.
ปุราณจีวรสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Purāṇacīvarasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.