Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) |
๘. ปุริสินฺทฺริยญาณสุตฺตวณฺณนา
8. Purisindriyañāṇasuttavaṇṇanā
๖๒. อฎฺฐเม นิพฺพตฺติวเสน อปายสํวตฺตนิเยน วา กมฺมุนา อปาเยสุ นิยุโตฺตติ อาปายิโก เนรยิโกติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ อวีจิมฺหิ อุปฺปชฺชิตฺวา ตตฺถ อายุกปฺปสญฺญิตํ อนฺตรกปฺปํ ติฎฺฐตีติ กปฺปโฎฺฐฯ นิรยูปปตฺติปริหรณวเสน ติกิจฺฉิตุํ อสกฺกุเณโยฺยติ อเตกิโจฺฉฯ อขณฺฑานีติ เอกเทเสนปิ อขณฺฑิตานิฯ ภินฺนกาลโต ปฎฺฐาย พีชํ พีชตฺถาย น อุปกปฺปติฯ อปูตีนีติ อุทกเตมเนน อปูติกานิฯ ปูติกญฺหิ พีชํ พีชตฺถาย น อุปกปฺปติฯ อวาตาตปหตานีติ วาเตน จ อาตเปน จ น หตานิ นิโรชตํ น ปาปิตานิฯ นิโรชญฺหิ กสฎํ พีชํ พีชตฺถาย น อุปกปฺปติฯ ‘‘สาราทานี’’ติ วตฺตเพฺพ อา-การสฺส รสฺสตฺตํ กตฺวา ปาฬิยํ ‘‘สารทานี’’ติ วุตฺตนฺติ อาห ‘‘สาราทานี’’ติฯ ตณฺฑุลสารสฺส อาทานโต สาราทานิ, คหิตสารานิ ปติฎฺฐิตสารานิฯ นิสฺสรญฺหิ พีชํ พีชตฺถาย น อุปกปฺปติฯ สุขสยิตานีติ จตฺตาโร มาเส โกเฎฺฐ ปกฺขิตฺตนิยาเมเนว สุขสยิตานิ สุฎฺฐุ สนฺนิจิตานิฯ มณฺฑเขเตฺตติ อูสขาราทิโทเสหิ อวิทฺธเสฺต สารเกฺขเตฺตฯ อภิโทติ อภิ-สเทฺทน สมานตฺถนิปาตปทนฺติ อาห ‘‘อภิอฑฺฒรตฺต’’นฺติฯ นตฺถิ เอตสฺส ภิทาติ วา อภิโทฯ ‘‘อภิทํ อฑฺฒรตฺต’’นฺติ วตฺตเพฺพ อุปโยคเตฺถ ปจฺจตฺตวจนํฯ อฑฺฒรตฺตนฺติ จ อจฺจนฺตสํโยควจนํ, ภุมฺมเตฺถ วาฯ ตสฺมา อภิโท อฑฺฒรตฺตนฺติ อภิเนฺน อฑฺฒรตฺตสมเยติ อโตฺถฯ ปุณฺณมาสิยญฺหิ คคนมชฺฌสฺส ปุรโต วา ปจฺฉโต วา จเนฺท ฐิเต อฑฺฒรตฺตสมโย ภิโนฺน นาม โหติ, มเชฺฌ เอว ปน ฐิเต อภิโนฺน นามฯ
62. Aṭṭhame nibbattivasena apāyasaṃvattaniyena vā kammunā apāyesu niyuttoti āpāyiko nerayikoti etthāpi eseva nayo. Avīcimhi uppajjitvā tattha āyukappasaññitaṃ antarakappaṃ tiṭṭhatīti kappaṭṭho. Nirayūpapattipariharaṇavasena tikicchituṃ asakkuṇeyyoti atekiccho. Akhaṇḍānīti ekadesenapi akhaṇḍitāni. Bhinnakālato paṭṭhāya bījaṃ bījatthāya na upakappati. Apūtīnīti udakatemanena apūtikāni. Pūtikañhi bījaṃ bījatthāya na upakappati. Avātātapahatānīti vātena ca ātapena ca na hatāni nirojataṃ na pāpitāni. Nirojañhi kasaṭaṃ bījaṃ bījatthāya na upakappati. ‘‘Sārādānī’’ti vattabbe ā-kārassa rassattaṃ katvā pāḷiyaṃ ‘‘sāradānī’’ti vuttanti āha ‘‘sārādānī’’ti. Taṇḍulasārassa ādānato sārādāni, gahitasārāni patiṭṭhitasārāni. Nissarañhi bījaṃ bījatthāya na upakappati. Sukhasayitānīti cattāro māse koṭṭhe pakkhittaniyāmeneva sukhasayitāni suṭṭhu sannicitāni. Maṇḍakhetteti ūsakhārādidosehi aviddhaste sārakkhette. Abhidoti abhi-saddena samānatthanipātapadanti āha ‘‘abhiaḍḍharatta’’nti. Natthi etassa bhidāti vā abhido. ‘‘Abhidaṃ aḍḍharatta’’nti vattabbe upayogatthe paccattavacanaṃ. Aḍḍharattanti ca accantasaṃyogavacanaṃ, bhummatthe vā. Tasmā abhido aḍḍharattanti abhinne aḍḍharattasamayeti attho. Puṇṇamāsiyañhi gaganamajjhassa purato vā pacchato vā cande ṭhite aḍḍharattasamayo bhinno nāma hoti, majjhe eva pana ṭhite abhinno nāma.
สุปฺปพุทฺธสุนกฺขตฺตาทโยติ เอตฺถ (ธ. ป. อฎฺฐ. ๒.๑๒๗ สุปฺปพุทฺธสกฺยวตฺถุ) สุปฺปพุโทฺธ กิร สากิโย ‘‘มม ธีตรํ ฉเฑฺฑตฺวา นิกฺขโนฺต, มม ปุตฺตํ ปพฺพาเชตฺวา ตสฺส เวริฎฺฐาเน ฐิโต จา’’ติ อิเมหิ ทฺวีหิ การเณหิ สตฺถริ อาฆาตํ พนฺธิตฺวา เอกทิวสํ ‘‘น ทานิ นิมนฺติตฎฺฐานํ คนฺตฺวา ภุญฺชิตุํ ทสฺสามี’’ติ คมนมคฺคํ ปิทหิตฺวา อนฺตรวีถิยํ สุรํ ปิวโนฺต นิสีทิฯ อถสฺส สตฺถริ ภิกฺขุสงฺฆปริวุเต ตํ ฐานํ อาคเต ‘‘สตฺถา อาคโต’’ติ อาโรเจสุํฯ โส อาห – ‘‘ปุรโต คจฺฉาติ ตสฺส วเทถ, นายํ มยา มหลฺลกตโร, นาสฺส มคฺคํ ทสฺสามี’’ติฯ ปุนปฺปุนํ วุจฺจมาโนปิ ตเถว นิสีทิฯ สตฺถา มาตุลสฺส สนฺติกา มคฺคํ อลภิตฺวา ตโตว นิวตฺติฯ โสปิ จรปุริสํ เปเสสิ – ‘‘คจฺฉ ตสฺส กถํ สุตฺวา เอหี’’ติฯ สตฺถาปิ นิวตฺตโนฺต สิตํ กตฺวา อานนฺทเตฺถเรน – ‘‘โก นุ โข, ภเนฺต, สิตปาตุกเมฺม ปจฺจโย’’ติ ปุโฎฺฐ อาห – ‘‘ปสฺสสิ, อานนฺท, สุปฺปพุทฺธ’’นฺติฯ ปสฺสามิ, ภเนฺตฯ ภาริยํ เตน กมฺมํ กตํ มาทิสสฺส พุทฺธสฺส มคฺคํ อเทเนฺตน, อิโต สตฺตเม ทิวเส เหฎฺฐาปาสาเท ปาสาทมูเล ปถวิยา ปวิสิสฺสตี’’ติ อาจิกฺขิฯ
Suppabuddhasunakkhattādayoti ettha (dha. pa. aṭṭha. 2.127 suppabuddhasakyavatthu) suppabuddho kira sākiyo ‘‘mama dhītaraṃ chaḍḍetvā nikkhanto, mama puttaṃ pabbājetvā tassa veriṭṭhāne ṭhito cā’’ti imehi dvīhi kāraṇehi satthari āghātaṃ bandhitvā ekadivasaṃ ‘‘na dāni nimantitaṭṭhānaṃ gantvā bhuñjituṃ dassāmī’’ti gamanamaggaṃ pidahitvā antaravīthiyaṃ suraṃ pivanto nisīdi. Athassa satthari bhikkhusaṅghaparivute taṃ ṭhānaṃ āgate ‘‘satthā āgato’’ti ārocesuṃ. So āha – ‘‘purato gacchāti tassa vadetha, nāyaṃ mayā mahallakataro, nāssa maggaṃ dassāmī’’ti. Punappunaṃ vuccamānopi tatheva nisīdi. Satthā mātulassa santikā maggaṃ alabhitvā tatova nivatti. Sopi carapurisaṃ pesesi – ‘‘gaccha tassa kathaṃ sutvā ehī’’ti. Satthāpi nivattanto sitaṃ katvā ānandattherena – ‘‘ko nu kho, bhante, sitapātukamme paccayo’’ti puṭṭho āha – ‘‘passasi, ānanda, suppabuddha’’nti. Passāmi, bhante. Bhāriyaṃ tena kammaṃ kataṃ mādisassa buddhassa maggaṃ adentena, ito sattame divase heṭṭhāpāsāde pāsādamūle pathaviyā pavisissatī’’ti ācikkhi.
สุนกฺขโตฺตปิ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๔๗) ปุเพฺพ ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ทิพฺพจกฺขุปริกมฺมํ ปุจฺฉิฯ อถสฺส ภควา กเถสิฯ โส ทิพฺพจกฺขุํ นิพฺพเตฺตตฺวา อาโลกํ วเฑฺฒตฺวา โอโลเกโนฺต เทวโลเก นนฺทนวนจิตฺตลตาวนผารุสกวนมิสฺสกวเนสุ ทิพฺพสมฺปตฺติํ อนุภวมาเน เทวปุเตฺต จ เทวธีตโร จ ทิสฺวา – ‘‘เอเตสํ เอวรูปาย อตฺตภาวสมฺปตฺติยา ฐิตานํ กิร มธุโร นุ โข สโทฺท ภวิสฺสตี’’ติ สทฺทํ โสตุกาโม หุตฺวา ทสพลํ อุปสงฺกมิตฺวา ทิพฺพโสตธาตุปริกมฺมํ ปุจฺฉิฯ ภควา ปนสฺส – ‘‘ทิพฺพโสตธาตุสฺส อุปนิสฺสโย นตฺถี’’ติ ญตฺวา ปริกมฺมํ น กเถสิฯ น หิ พุทฺธา ยํ น ภวิสฺสติ, ตสฺส ปริกมฺมํ กเถนฺติฯ โส ภควติ อาฆาตํ พนฺธิตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ สมณํ โคตมํ ปฐมํ ทิพฺพจกฺขุปริกมฺมํ ปุจฺฉิํ, โส มยฺหํ ‘สมฺปชฺชตุ วา มา วา สมฺปชฺชตู’ติ กเถสิฯ อหํ ปน ปจฺจตฺตปุริสกาเรน ตํ นิพฺพเตฺตตฺวา ทิพฺพโสตธาตุปริกมฺมํ ปุจฺฉิํ, ตํ เม น กเถสิฯ อทฺธา เอวํ โหติ ‘อยํ ราชปพฺพชิโต ทิพฺพจกฺขุญาณํ นิพฺพเตฺตตฺวา, ทิพฺพโสตญาณํ นิพฺพเตฺตตฺวา, เจโตปริยกมฺมญาณํ นิพฺพเตฺตตฺวา, อาสวานํ ขเย ญาณํ นิพฺพเตฺตตฺวา, มยา สมสโม ภวิสฺสตี’ติ อิสฺสามจฺฉริยวเสน มยฺหํ น กเถตี’’ติ ภิโยฺยโส อาฆาตํ พนฺธิตฺวา กาสายานิ ฉเฑฺฑตฺวา คิหิภาวํ ปตฺวาปิ น ตุณฺหีภูโต วิหาสิฯ ทสพลํ ปน อสตา ตุเจฺฉน อพฺภาจิกฺขิตฺวา อปายูปโค อโหสิฯ ตมฺปิ ภควา พฺยากาสิฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘เอวมฺปิ โข, ภคฺคว, สุนกฺขโตฺต ลิจฺฉวิปุโตฺต มยา วุจฺจมาโน อปกฺกเมว อิมสฺมา ธมฺมวินยา, ยถา ตํ อาปายิโก’’ติ (ที. นิ. ๓.๖)ฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อปเรปิ สุปฺปพุทฺธสุนกฺขตฺตาทโย ภควตา ญาตาวา’’ติฯ อาทิ-สเทฺทน โกกาลิกาทีนํ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ
Sunakkhattopi (ma. ni. aṭṭha. 1.147) pubbe bhagavantaṃ upasaṅkamitvā dibbacakkhuparikammaṃ pucchi. Athassa bhagavā kathesi. So dibbacakkhuṃ nibbattetvā ālokaṃ vaḍḍhetvā olokento devaloke nandanavanacittalatāvanaphārusakavanamissakavanesu dibbasampattiṃ anubhavamāne devaputte ca devadhītaro ca disvā – ‘‘etesaṃ evarūpāya attabhāvasampattiyā ṭhitānaṃ kira madhuro nu kho saddo bhavissatī’’ti saddaṃ sotukāmo hutvā dasabalaṃ upasaṅkamitvā dibbasotadhātuparikammaṃ pucchi. Bhagavā panassa – ‘‘dibbasotadhātussa upanissayo natthī’’ti ñatvā parikammaṃ na kathesi. Na hi buddhā yaṃ na bhavissati, tassa parikammaṃ kathenti. So bhagavati āghātaṃ bandhitvā cintesi – ‘‘ahaṃ samaṇaṃ gotamaṃ paṭhamaṃ dibbacakkhuparikammaṃ pucchiṃ, so mayhaṃ ‘sampajjatu vā mā vā sampajjatū’ti kathesi. Ahaṃ pana paccattapurisakārena taṃ nibbattetvā dibbasotadhātuparikammaṃ pucchiṃ, taṃ me na kathesi. Addhā evaṃ hoti ‘ayaṃ rājapabbajito dibbacakkhuñāṇaṃ nibbattetvā, dibbasotañāṇaṃ nibbattetvā, cetopariyakammañāṇaṃ nibbattetvā, āsavānaṃ khaye ñāṇaṃ nibbattetvā, mayā samasamo bhavissatī’ti issāmacchariyavasena mayhaṃ na kathetī’’ti bhiyyoso āghātaṃ bandhitvā kāsāyāni chaḍḍetvā gihibhāvaṃ patvāpi na tuṇhībhūto vihāsi. Dasabalaṃ pana asatā tucchena abbhācikkhitvā apāyūpago ahosi. Tampi bhagavā byākāsi. Vuttañhetaṃ – ‘‘evampi kho, bhaggava, sunakkhatto licchaviputto mayā vuccamāno apakkameva imasmā dhammavinayā, yathā taṃ āpāyiko’’ti (dī. ni. 3.6). Tena vuttaṃ ‘‘aparepi suppabuddhasunakkhattādayo bhagavatā ñātāvā’’ti. Ādi-saddena kokālikādīnaṃ saṅgaho daṭṭhabbo.
สุสีโม ปริพฺพาชโกติ (สํ. นิ. อฎฺฐ. ๒.๒.๗๐) เอวํนามโก เวทเงฺคสุ กุสโล ปณฺฑิโต ปริพฺพาชโกฯ อญฺญติตฺถิยา หิ ปริหีนลาภสกฺการสิโลกา ‘‘สมโณ โคตโม น ชาติโคตฺตาทีนิ อารพฺภ ลาภคฺคปฺปโตฺต ชาโต, กวิเสโฎฺฐ ปเนส อุตฺตมกวิตาย สาวกานํ พนฺธํ พนฺธิตฺวา เทติฯ เต ตํ อุคฺคณฺหิตฺวา อุปฎฺฐากานํ อุปนิสินฺนกถมฺปิ อนุโมทนมฺปิ สรภญฺญมฺปีติ เอวมาทีนิ กเถนฺติฯ เต เตสํ ปสนฺนานํ ลาภํ อุปสํหรนฺติฯ สเจ มยํ ยํ สมโณ โคตมา ชานาติ, ตโต โถกํ ชาเนยฺยาม, อตฺตโน สมยํ ตตฺถ ปกฺขิปิตฺวา มยมฺปิ อุปฎฺฐากานํ กเถยฺยามฯ ตโต เอเตหิ ลาภิตรา ภเวยฺยามฯ โก นุ โข สมณสฺส โคตมสฺส สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา ขิปฺปเมว อุคฺคณฺหิตุํ สกฺขิสฺสตี’’ติ เอวํ จิเนฺตตฺวา ‘‘สุสิโม ปฎิพโล’’ติ ทิสฺวา อุปสงฺกมิตฺวา เอวมาหํสุ ‘‘เอหิ ตฺวํ, อาวุโส สุสีม, สมเณ โคตเม พฺรหฺมจริยํ จร, ตฺวํ ธมฺมํ ปริยาปุณิตฺวา อเมฺห วาเจยฺยาสิ, ตํ มยํ ธมฺมํ ปริยาปุณิตฺวา คิหีนํ ภาสิสฺสาม, เอวํ มยมฺปิ สกฺกตา ภวิสฺสาม ครุกตา มานิตา ปูชิตา ลาภิโน จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปจฺจยเภสชฺชปริกฺขาราน’’นฺติ (สํ. นิ. ๒.๗๐)ฯ
Susīmo paribbājakoti (saṃ. ni. aṭṭha. 2.2.70) evaṃnāmako vedaṅgesu kusalo paṇḍito paribbājako. Aññatitthiyā hi parihīnalābhasakkārasilokā ‘‘samaṇo gotamo na jātigottādīni ārabbha lābhaggappatto jāto, kaviseṭṭho panesa uttamakavitāya sāvakānaṃ bandhaṃ bandhitvā deti. Te taṃ uggaṇhitvā upaṭṭhākānaṃ upanisinnakathampi anumodanampi sarabhaññampīti evamādīni kathenti. Te tesaṃ pasannānaṃ lābhaṃ upasaṃharanti. Sace mayaṃ yaṃ samaṇo gotamā jānāti, tato thokaṃ jāneyyāma, attano samayaṃ tattha pakkhipitvā mayampi upaṭṭhākānaṃ katheyyāma. Tato etehi lābhitarā bhaveyyāma. Ko nu kho samaṇassa gotamassa santike pabbajitvā khippameva uggaṇhituṃ sakkhissatī’’ti evaṃ cintetvā ‘‘susimo paṭibalo’’ti disvā upasaṅkamitvā evamāhaṃsu ‘‘ehi tvaṃ, āvuso susīma, samaṇe gotame brahmacariyaṃ cara, tvaṃ dhammaṃ pariyāpuṇitvā amhe vāceyyāsi, taṃ mayaṃ dhammaṃ pariyāpuṇitvā gihīnaṃ bhāsissāma, evaṃ mayampi sakkatā bhavissāma garukatā mānitā pūjitā lābhino cīvarapiṇḍapātasenāsanagilānapaccayabhesajjaparikkhārāna’’nti (saṃ. ni. 2.70).
อถ สุสีโม ปริพฺพาชโก เตสํ วจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา เยนานโนฺท เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา ปพฺพชฺชํ ยาจิฯ เถโร จ ตํ อาทาย ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา เอตมตฺถํ อาโรเจสิฯ ภควา ปน จิเนฺตสิ ‘‘อยํ ปริพฺพาชโก ติตฺถิยสมเย ‘อหํ ปาฎิเอโกฺก สตฺถา’ติ ปฎิชานมาโน จรติ, ‘อิเธว มคฺคพฺรหฺมจริยํ จริตุํ อิจฺฉามี’ติ กิร วทติ, กิํ นุ โข มยิ ปสโนฺน, อุทาหุ มยฺหํ วา มม สาวกานํ ธมฺมกถาย ปสโนฺน’’ติฯ อถสฺส เอกฎฺฐาเนปิ ปสาทาภาวํ ญตฺวา ‘‘อยํ มม สาสเน ‘ธมฺมํ เถเนสฺสามี’ติ ปพฺพชติ, อิติสฺส อาคมนํ อปริสุทฺธํ, นิปฺผตฺติ นุ โข กีทิสา’’ติ โอโลเกโนฺต ‘‘กิญฺจาปิ ‘ธมฺมํ เถเนสฺสามี’ติ ปพฺพชติ, กติปาเหเนว ปน ฆเฎตฺวา อรหตฺตํ คณฺหิสฺสตี’’ติ ญตฺวา ‘‘เตนหานนฺท, สุสีมํ ปพฺพาเชถา’’ติ อาหฯ ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํ ‘‘เอวํ ภควตา โก ญาโต? สุสีโม ปริพฺพาชโก’’ติฯ
Atha susīmo paribbājako tesaṃ vacanaṃ sampaṭicchitvā yenānando tenupasaṅkami, upasaṅkamitvā pabbajjaṃ yāci. Thero ca taṃ ādāya bhagavantaṃ upasaṅkamitvā etamatthaṃ ārocesi. Bhagavā pana cintesi ‘‘ayaṃ paribbājako titthiyasamaye ‘ahaṃ pāṭiekko satthā’ti paṭijānamāno carati, ‘idheva maggabrahmacariyaṃ carituṃ icchāmī’ti kira vadati, kiṃ nu kho mayi pasanno, udāhu mayhaṃ vā mama sāvakānaṃ dhammakathāya pasanno’’ti. Athassa ekaṭṭhānepi pasādābhāvaṃ ñatvā ‘‘ayaṃ mama sāsane ‘dhammaṃ thenessāmī’ti pabbajati, itissa āgamanaṃ aparisuddhaṃ, nipphatti nu kho kīdisā’’ti olokento ‘‘kiñcāpi ‘dhammaṃ thenessāmī’ti pabbajati, katipāheneva pana ghaṭetvā arahattaṃ gaṇhissatī’’ti ñatvā ‘‘tenahānanda, susīmaṃ pabbājethā’’ti āha. Taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ ‘‘evaṃ bhagavatā ko ñāto? Susīmo paribbājako’’ti.
สนฺตติมหามโตฺตติ (ธ. ป. อฎฺฐ. ๒.๑๔๑ สนฺตติมหามตฺตวตฺถุ) โส กิร เอกสฺมิํ กาเล รโญฺญ ปเสนทิสฺส ปจฺจนฺตํ กุปิตํ วูปสเมตฺวา อาคโตฯ อถสฺส ราชา ตุโฎฺฐ สตฺต ทิวสานิ รชฺชํ ทตฺวา เอกํ นจฺจคีตกุสลํ อิตฺถิํ อทาสิฯ โส สตฺต ทิวสานิ สุรามทมโตฺต หุตฺวา สตฺตเม ทิวเส สพฺพาลงฺการปฺปฎิมณฺฑิโต หตฺถิกฺขนฺธวรคโต นหานติตฺถํ คจฺฉโนฺต สตฺถารํ ปิณฺฑาย ปวิสนฺตํ ทฺวารนฺตเร ทิสฺวา หตฺถิกฺขนฺธวรคโตว สีสํ จาเลตฺวา วนฺทิฯ สตฺถา สิตํ กตฺวา ‘‘โก นุ โข, ภเนฺต, สิตปาตุกรเณ เหตู’’ติ อานนฺทเตฺถเรน ปุโฎฺฐ สิตการณํ อาจิกฺขโนฺต อาห – ‘‘ปสฺสสิ, อานนฺท, สนฺตติมหามตฺตํ, อเชฺชว สพฺพาภรณปฺปฎิมณฺฑิโต มม สนฺติกํ อาคนฺตฺวา จาตุปฺปทิกคาถาวสาเน อรหตฺตํ ปตฺวา ปรินิพฺพายิสฺสตี’’ติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘เอวํ โก ญาโต ภควตาติ? สนฺตติมหามโตฺต’’ติฯ
Santatimahāmattoti (dha. pa. aṭṭha. 2.141 santatimahāmattavatthu) so kira ekasmiṃ kāle rañño pasenadissa paccantaṃ kupitaṃ vūpasametvā āgato. Athassa rājā tuṭṭho satta divasāni rajjaṃ datvā ekaṃ naccagītakusalaṃ itthiṃ adāsi. So satta divasāni surāmadamatto hutvā sattame divase sabbālaṅkārappaṭimaṇḍito hatthikkhandhavaragato nahānatitthaṃ gacchanto satthāraṃ piṇḍāya pavisantaṃ dvārantare disvā hatthikkhandhavaragatova sīsaṃ cāletvā vandi. Satthā sitaṃ katvā ‘‘ko nu kho, bhante, sitapātukaraṇe hetū’’ti ānandattherena puṭṭho sitakāraṇaṃ ācikkhanto āha – ‘‘passasi, ānanda, santatimahāmattaṃ, ajjeva sabbābharaṇappaṭimaṇḍito mama santikaṃ āgantvā cātuppadikagāthāvasāne arahattaṃ patvā parinibbāyissatī’’ti. Tena vuttaṃ ‘‘evaṃ ko ñāto bhagavatāti? Santatimahāmatto’’ti.
ปุริสินฺทฺริยญาณสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Purisindriyañāṇasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๘. ปุริสินฺทฺริยญาณสุตฺตํ • 8. Purisindriyañāṇasuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๘. ปุริสินฺทฺริยญาณสุตฺตวณฺณนา • 8. Purisindriyañāṇasuttavaṇṇanā