Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๒๒๓] ๓. ปุฎภตฺตชาตกวณฺณนา
[223] 3. Puṭabhattajātakavaṇṇanā
นเม นมนฺตสฺส ภเช ภชนฺตนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ กุฎุมฺพิกํ อารพฺภ กเถสิฯ สาวตฺถินครวาสี กิเรโก กุฎุมฺพิโก เอเกน ชนปทกุฎุมฺพิเกน สทฺธิํ โวหารํ อกาสิฯ โส อตฺตโน ภริยํ อาทาย ตสฺส ธารณกสฺส สนฺติกํ อคมาสิฯ ธารณโก ‘‘ทาตุํ น สโกฺกมี’’ติ น กิญฺจิ อทาสิ, อิตโร กุชฺฌิตฺวา ภตฺตํ อภุญฺชิตฺวาว นิกฺขมิฯ อถ นํ อนฺตรามเคฺค ฉาตชฺฌตฺตํ ทิสฺวา มคฺคปฎิปนฺนา ปุริสา ‘‘ภริยายปิ ทตฺวา ภุญฺชาหี’’ติ ภตฺตปุฎํ อทํสุฯ โส ตํ คเหตฺวา ตสฺสา อทาตุกาโม หุตฺวา ‘‘ภเทฺท, อิทํ โจรานํ ติฎฺฐนฎฺฐานํ, ตฺวํ ปุรโต ยาหี’’ติ อุโยฺยเชตฺวา สพฺพํ ภตฺตํ ภุญฺชิตฺวา ตุจฺฉปุฎํ ทเสฺสตฺวา ‘‘ภเทฺท, อภตฺตกํ ตุจฺฉปุฎเมว อทํสู’’ติ อาหฯ สา เตน เอกเกเนว ภุตฺตภาวํ ญตฺวา โทมนสฺสปฺปตฺตา อโหสิฯ เต อุโภปิ เชตวนปิฎฺฐิวิหาเรน คจฺฉนฺตา ‘‘ปานียํ ปิวิสฺสามา’’ติ เชตวนํ ปวิสิํสุฯ
Namenamantassa bhaje bhajantanti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ kuṭumbikaṃ ārabbha kathesi. Sāvatthinagaravāsī kireko kuṭumbiko ekena janapadakuṭumbikena saddhiṃ vohāraṃ akāsi. So attano bhariyaṃ ādāya tassa dhāraṇakassa santikaṃ agamāsi. Dhāraṇako ‘‘dātuṃ na sakkomī’’ti na kiñci adāsi, itaro kujjhitvā bhattaṃ abhuñjitvāva nikkhami. Atha naṃ antarāmagge chātajjhattaṃ disvā maggapaṭipannā purisā ‘‘bhariyāyapi datvā bhuñjāhī’’ti bhattapuṭaṃ adaṃsu. So taṃ gahetvā tassā adātukāmo hutvā ‘‘bhadde, idaṃ corānaṃ tiṭṭhanaṭṭhānaṃ, tvaṃ purato yāhī’’ti uyyojetvā sabbaṃ bhattaṃ bhuñjitvā tucchapuṭaṃ dassetvā ‘‘bhadde, abhattakaṃ tucchapuṭameva adaṃsū’’ti āha. Sā tena ekakeneva bhuttabhāvaṃ ñatvā domanassappattā ahosi. Te ubhopi jetavanapiṭṭhivihārena gacchantā ‘‘pānīyaṃ pivissāmā’’ti jetavanaṃ pavisiṃsu.
สตฺถาปิ เตสเญฺญว อาคมนํ โอโลเกโนฺต มคฺคํ คเหตฺวา ฐิตลุทฺทโก วิย คนฺธกุฎิฉายาย นิสีทิ, เต สตฺถารํ ทิสฺวา อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา นิสีทิํสุฯ สตฺถา เตหิ สทฺธิํ ปฎิสนฺถารํ กตฺวา ‘‘กิํ, อุปาสิเก, อยํ เต ภตฺตา หิตกาโม สเสฺนโห’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ภเนฺต, อหํ เอตสฺส สเสฺนหา, อยํ ปน มยฺหํ นิเสฺนโห, ติฎฺฐนฺตุ อเญฺญปิ ทิวสา, อเชฺชเวส อนฺตรามเคฺค ปุฎภตฺตํ ลภิตฺวา มยฺหํ อทตฺวา อตฺตนาว ภุญฺชี’’ติฯ ‘‘อุปาสิเก, นิจฺจกาลมฺปิ ตฺวํ เอตสฺส หิตกามา สเสฺนหา, อยํ ปน นิเสฺนโหวฯ ยทา ปน ปณฺฑิเต นิสฺสาย ตว คุเณ ชานาติ, ตทา เต สพฺพิสฺสริยํ นิยฺยาเทตี’’ติ วตฺวา ตาย ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ
Satthāpi tesaññeva āgamanaṃ olokento maggaṃ gahetvā ṭhitaluddako viya gandhakuṭichāyāya nisīdi, te satthāraṃ disvā upasaṅkamitvā vanditvā nisīdiṃsu. Satthā tehi saddhiṃ paṭisanthāraṃ katvā ‘‘kiṃ, upāsike, ayaṃ te bhattā hitakāmo sasneho’’ti pucchi. ‘‘Bhante, ahaṃ etassa sasnehā, ayaṃ pana mayhaṃ nisneho, tiṭṭhantu aññepi divasā, ajjevesa antarāmagge puṭabhattaṃ labhitvā mayhaṃ adatvā attanāva bhuñjī’’ti. ‘‘Upāsike, niccakālampi tvaṃ etassa hitakāmā sasnehā, ayaṃ pana nisnehova. Yadā pana paṇḍite nissāya tava guṇe jānāti, tadā te sabbissariyaṃ niyyādetī’’ti vatvā tāya yācito atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต อมจฺจกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต ตสฺส อตฺถธมฺมานุสาสโก อโหสิฯ อถ ราชา ‘‘ปทุเพฺภยฺยาปิ เม อย’’นฺติ อตฺตโน ปุตฺตํ อาสงฺกโนฺต นีหริฯ โส อตฺตโน ภริยํ คเหตฺวา นครา นิกฺขมฺม เอกสฺมิํ กาสิกคามเก วาสํ กเปฺปสิฯ โส อปรภาเค ปิตุ กาลกตภาวํ สุตฺวา ‘‘กุลสนฺตกํ รชฺชํ คณฺหิสฺสามี’’ติ พาราณสิํ ปจฺจาคจฺฉโนฺต อนฺตรามเคฺค ‘‘ภริยายปิ ทตฺวา ภุญฺชาหี’’ติ ภตฺตปุฎํ ลภิตฺวา ตสฺสา อทตฺวา สยเมว ตํ ภุญฺชิฯ สา ‘‘กกฺขโฬ วตายํ ปุริโส’’ติ โทมนสฺสปฺปตฺตา อโหสิฯ โส พาราณสิยํ รชฺชํ คเหตฺวา ตํ อคฺคมเหสิฎฺฐาเน ฐเปตฺวา ‘‘เอตฺตกเมว เอติสฺสา อล’’นฺติ น อญฺญํ สกฺการํ วา สมฺมานํ วา กโรติ, ‘‘กถํ ยาเปสี’’ติปิ นํ น ปุจฺฉติฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto amaccakule nibbattitvā vayappatto tassa atthadhammānusāsako ahosi. Atha rājā ‘‘padubbheyyāpi me aya’’nti attano puttaṃ āsaṅkanto nīhari. So attano bhariyaṃ gahetvā nagarā nikkhamma ekasmiṃ kāsikagāmake vāsaṃ kappesi. So aparabhāge pitu kālakatabhāvaṃ sutvā ‘‘kulasantakaṃ rajjaṃ gaṇhissāmī’’ti bārāṇasiṃ paccāgacchanto antarāmagge ‘‘bhariyāyapi datvā bhuñjāhī’’ti bhattapuṭaṃ labhitvā tassā adatvā sayameva taṃ bhuñji. Sā ‘‘kakkhaḷo vatāyaṃ puriso’’ti domanassappattā ahosi. So bārāṇasiyaṃ rajjaṃ gahetvā taṃ aggamahesiṭṭhāne ṭhapetvā ‘‘ettakameva etissā ala’’nti na aññaṃ sakkāraṃ vā sammānaṃ vā karoti, ‘‘kathaṃ yāpesī’’tipi naṃ na pucchati.
โพธิสโตฺต จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ เทวี รโญฺญ พหูปการา สเสฺนหา, ราชา ปเนตํ กิสฺมิญฺจิ น มญฺญติ, สกฺการสมฺมานมสฺสา กาเรสฺสามี’’ติ ตํ อุปสงฺกมิตฺวา อุปจารํ กตฺวา เอกมนฺตํ ฐตฺวา ‘‘กิํ, ตาตา’’ติ วุเตฺต ‘‘กถํ สมุฎฺฐาเปตุํ มยํ, เทวิ, ตุเมฺห อุปฎฺฐหาม, กิํ นาม มหลฺลกานํ ปิตูนํ วตฺถขณฺฑํ วา ภตฺตปิณฺฑํ วา ทาตุํ น วฎฺฎตี’’ติ อาหฯ ‘‘ตาต, อหํ อตฺตนาว กิญฺจิ น ลภามิ, ตุมฺหากํ กิํ ทสฺสามิ, นนุ ลภนกาเล อทาสิํ, อิทานิ ปน เม ราชา น กิญฺจิ เทติฯ ติฎฺฐตุ อญฺญํ ทานํ, รชฺชํ คณฺหิตุํ อาคจฺฉโนฺต อนฺตรามเคฺค ภตฺตปุฎํ ลภิตฺวา ภตฺตมตฺตมฺปิ เม อทตฺวา อตฺตนาว ภุญฺชี’’ติฯ ‘‘กิํ ปน, อมฺม, รโญฺญ สนฺติเก เอวํ กเถตุํ สกฺขิสฺสถา’’ติ? ‘‘สกฺขิสฺสามิ, ตาตา’’ติฯ ‘‘เตน หิ อเชฺชว มม รโญฺญ สนฺติเก ฐิตกาเล มยิ ปุจฺฉเนฺต เอวํ กเถถ อเชฺชว โว คุณํ ชานาเปสฺสามี’’ติ เอวํ วตฺวา โพธิสโตฺต ปุริมตรํ คนฺตฺวา รโญฺญ สนฺติเก อฎฺฐาสิฯ สาปิ คนฺตฺวา รโญฺญ สมีเป อฎฺฐาสิฯ
Bodhisatto cintesi – ‘‘ayaṃ devī rañño bahūpakārā sasnehā, rājā panetaṃ kismiñci na maññati, sakkārasammānamassā kāressāmī’’ti taṃ upasaṅkamitvā upacāraṃ katvā ekamantaṃ ṭhatvā ‘‘kiṃ, tātā’’ti vutte ‘‘kathaṃ samuṭṭhāpetuṃ mayaṃ, devi, tumhe upaṭṭhahāma, kiṃ nāma mahallakānaṃ pitūnaṃ vatthakhaṇḍaṃ vā bhattapiṇḍaṃ vā dātuṃ na vaṭṭatī’’ti āha. ‘‘Tāta, ahaṃ attanāva kiñci na labhāmi, tumhākaṃ kiṃ dassāmi, nanu labhanakāle adāsiṃ, idāni pana me rājā na kiñci deti. Tiṭṭhatu aññaṃ dānaṃ, rajjaṃ gaṇhituṃ āgacchanto antarāmagge bhattapuṭaṃ labhitvā bhattamattampi me adatvā attanāva bhuñjī’’ti. ‘‘Kiṃ pana, amma, rañño santike evaṃ kathetuṃ sakkhissathā’’ti? ‘‘Sakkhissāmi, tātā’’ti. ‘‘Tena hi ajjeva mama rañño santike ṭhitakāle mayi pucchante evaṃ kathetha ajjeva vo guṇaṃ jānāpessāmī’’ti evaṃ vatvā bodhisatto purimataraṃ gantvā rañño santike aṭṭhāsi. Sāpi gantvā rañño samīpe aṭṭhāsi.
อถ นํ โพธิสโตฺต ‘‘อมฺม, ตุเมฺห อติวิย กกฺขฬา, กิํ นาม ปิตูนํ วตฺถขณฺฑํ วา ภตฺตปิณฺฑมตฺตํ วา ทาตุํ น วฎฺฎตี’’ติ อาหฯ ‘‘ตาต, อหเมว รโญฺญ สนฺติกา กิญฺจิ น ลภามิ, ตุมฺหากํ กิํ ทสฺสามี’’ติ? ‘‘นนุ อคฺคมเหสิฎฺฐานํ เต ลทฺธ’’นฺติ? ‘‘ตาต, กิสฺมิญฺจิ สมฺมาเน อสติ อคฺคมเหสิฎฺฐานํ กิํ กริสฺสติ, อิทานิ เม ตุมฺหากํ ราชา กิํ ทสฺสติ, โส อนฺตรามเคฺค ภตฺตปุฎํ ลภิตฺวา ตโต กิญฺจิ อทตฺวา สยเมว ภุญฺชี’’ติฯ โพธิสโตฺต ‘‘เอวํ กิร, มหาราชา’’ติ ปุจฺฉิฯ ราชา อธิวาเสสิฯ โพธิสโตฺต ตสฺส อธิวาสนํ วิทิตฺวา ‘‘เตน หิ, อมฺม, รโญฺญ อปฺปิยกาลโต ปฎฺฐาย กิํ ตุมฺหากํ อิธ วาเสนฯ โลกสฺมิญฺหิ อปฺปิยสมฺปโยโค จ ทุโกฺข, ตุมฺหากํ อิธ วาเส สติ รโญฺญ อปฺปิยสมฺปโยโคว ทุกฺขํ ภวิสฺสติ, อิเม สตฺตา นาม ภชเนฺต ภชนฺติ, อภชนภาวํ ญตฺวา อญฺญตฺถ คนฺตพฺพํ, มหโนฺต โลกสนฺนิวาโส’’ติ วตฺวา อิมา คาถา อโวจ –
Atha naṃ bodhisatto ‘‘amma, tumhe ativiya kakkhaḷā, kiṃ nāma pitūnaṃ vatthakhaṇḍaṃ vā bhattapiṇḍamattaṃ vā dātuṃ na vaṭṭatī’’ti āha. ‘‘Tāta, ahameva rañño santikā kiñci na labhāmi, tumhākaṃ kiṃ dassāmī’’ti? ‘‘Nanu aggamahesiṭṭhānaṃ te laddha’’nti? ‘‘Tāta, kismiñci sammāne asati aggamahesiṭṭhānaṃ kiṃ karissati, idāni me tumhākaṃ rājā kiṃ dassati, so antarāmagge bhattapuṭaṃ labhitvā tato kiñci adatvā sayameva bhuñjī’’ti. Bodhisatto ‘‘evaṃ kira, mahārājā’’ti pucchi. Rājā adhivāsesi. Bodhisatto tassa adhivāsanaṃ viditvā ‘‘tena hi, amma, rañño appiyakālato paṭṭhāya kiṃ tumhākaṃ idha vāsena. Lokasmiñhi appiyasampayogo ca dukkho, tumhākaṃ idha vāse sati rañño appiyasampayogova dukkhaṃ bhavissati, ime sattā nāma bhajante bhajanti, abhajanabhāvaṃ ñatvā aññattha gantabbaṃ, mahanto lokasannivāso’’ti vatvā imā gāthā avoca –
๑๔๕.
145.
‘‘นเม นมนฺตสฺส ภเช ภชนฺตํ, กิจฺจานุกุพฺพสฺส กเรยฺย กิจฺจํ;
‘‘Name namantassa bhaje bhajantaṃ, kiccānukubbassa kareyya kiccaṃ;
นานตฺถกามสฺส กเรยฺย อตฺถํ, อสมฺภชนฺตมฺปิ น สมฺภเชยฺยฯ
Nānatthakāmassa kareyya atthaṃ, asambhajantampi na sambhajeyya.
๑๔๖.
146.
‘‘จเช จชนฺตํ วนถํ น กยิรา, อเปตจิเตฺตน น สมฺภเชยฺย;
‘‘Caje cajantaṃ vanathaṃ na kayirā, apetacittena na sambhajeyya;
ทิโช ทุมํ ขีณผลนฺติ ญตฺวา, อญฺญํ สเมเกฺขยฺย มหา หิ โลโก’’ติฯ
Dijo dumaṃ khīṇaphalanti ñatvā, aññaṃ samekkheyya mahā hi loko’’ti.
ตตฺถ นเม นมนฺตสฺส ภเช ภชนฺตนฺติ โย อตฺตโน นมติ, ตเสฺสว ปฎินเมยฺยฯ โย จ ภชติ, ตเมว ภเชยฺยฯ กิจฺจานุกุพฺพสฺส กเรยฺย กิจฺจนฺติ อตฺตโน อุปฺปนฺนกิจฺจํ อนุกุพฺพนฺตเสฺสว ตสฺสปิ อุปฺปนฺนกิจฺจํ ปฎิกเรยฺยฯ จเช จชนฺตํ วนถํ น กยิราติ อตฺตานํ ชหนฺตํ ชเหเยฺยว, ตสฺมิํ ตณฺหาสงฺขาตํ วนถํ น กเรยฺยฯ อเปตจิเตฺตนาติ วิคตจิเตฺตน วิปลฺลตฺถจิเตฺตนฯ น สมฺภเชยฺยาติ ตถารูเปน สทฺธิํ น สมาคเจฺฉยฺยฯ ทิโช ทุมนฺติ ยถา สกุโณ ปุเพฺพ ผลิตมฺปิ รุกฺขํ ผเล ขีเณ ‘‘ขีณผโล อย’’นฺติ ญตฺวา ตํ ฉเฑฺฑตฺวา อญฺญํ สเมกฺขติ ปริเยสติ, เอวํ อญฺญํ สเมเกฺขยฺยฯ มหา หิ เอส โลโก, อถ ตุเมฺห สเสฺนหํ เอกํ ปุริสํ ลภิสฺสถาติฯ
Tattha name namantassa bhaje bhajantanti yo attano namati, tasseva paṭinameyya. Yo ca bhajati, tameva bhajeyya. Kiccānukubbassa kareyya kiccanti attano uppannakiccaṃ anukubbantasseva tassapi uppannakiccaṃ paṭikareyya. Caje cajantaṃ vanathaṃ na kayirāti attānaṃ jahantaṃ jaheyyeva, tasmiṃ taṇhāsaṅkhātaṃ vanathaṃ na kareyya. Apetacittenāti vigatacittena vipallatthacittena. Na sambhajeyyāti tathārūpena saddhiṃ na samāgaccheyya. Dijo dumanti yathā sakuṇo pubbe phalitampi rukkhaṃ phale khīṇe ‘‘khīṇaphalo aya’’nti ñatvā taṃ chaḍḍetvā aññaṃ samekkhati pariyesati, evaṃ aññaṃ samekkheyya. Mahā hi esa loko, atha tumhe sasnehaṃ ekaṃ purisaṃ labhissathāti.
ตํ สุตฺวา พาราณสิราชา เทวิยา สพฺพิสฺสริยํ อทาสิฯ ตโต ปฎฺฐาย สมคฺคา สโมฺมทมานา วสิํสุฯ
Taṃ sutvā bārāṇasirājā deviyā sabbissariyaṃ adāsi. Tato paṭṭhāya samaggā sammodamānā vasiṃsu.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน เทฺว ชยมฺปติกา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิํสุฯ ‘‘ตทา ชยมฺปติกา อิเม เทฺว ชยมฺปติกา อเหสุํ, ปณฺฑิตามโจฺจ ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne dve jayampatikā sotāpattiphale patiṭṭhahiṃsu. ‘‘Tadā jayampatikā ime dve jayampatikā ahesuṃ, paṇḍitāmacco pana ahameva ahosi’’nti.
ปุฎภตฺตชาตกวณฺณนา ตติยาฯ
Puṭabhattajātakavaṇṇanā tatiyā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๒๓. ปุฎภตฺตชาตกํ • 223. Puṭabhattajātakaṃ