Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๔๓๗] ๑๑. ปูติมํสชาตกวณฺณนา

    [437] 11. Pūtimaṃsajātakavaṇṇanā

    โข เม รุจฺจตีติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อินฺทฺริยอสํวรํ อารพฺภ กเถสิฯ เอกสฺมิญฺหิ สมเย พหู ภิกฺขู อินฺทฺริเยสุ อคุตฺตทฺวารา อเหสุํฯ สตฺถา ‘‘อิเม ภิกฺขู โอวทิตุํ วฎฺฎตี’’ติ อานนฺทเตฺถรสฺส วตฺวา อนิยมวเสน ภิกฺขุสงฺฆํ สนฺนิปาตาเปตฺวา อลงฺกตปลฺลงฺกวรมชฺฌคโต ภิกฺขู อามเนฺตตฺวา ‘‘น, ภิกฺขเว, ภิกฺขุนา นาม รูปาทีสุ สุภนิมิตฺตวเสน นิมิตฺตํ คเหตุํ วฎฺฎติ, สเจ หิ ตสฺมิํ สมเย กาลํ กโรติ, นิรยาทีสุ นิพฺพตฺตติ, ตสฺมา รูปาทีสุ สุภนิมิตฺตํ มา คณฺหถฯ ภิกฺขุนา นาม รูปาทิโคจเรน น ภวิตพฺพํ, รูปาทิโคจรา หิ ทิเฎฺฐว ธเมฺม มหาวินาสํ ปาปุณนฺติ, ตสฺมา วรํ, ภิกฺขเว, ตตฺตาย อโยสลากาย อาทิตฺตาย สมฺปชฺชลิตาย สโชติภูตาย จกฺขุนฺทฺริยํ สมฺปลิมฎฺฐ’’นฺติ วิตฺถาเรตฺวา ‘‘ตุมฺหากํ รูปํ โอโลกนกาโลปิ อตฺถิ อโนโลกนกาโลปิฯ โอโลกนกาเล สุภวเสน อโนโลเกตฺวา อสุภวเสเนว โอโลเกยฺยาถ, เอวํ อตฺตโน โคจรา น ปริหายิสฺสถฯ โก ปน ตุมฺหากํ โคจโรติ? จตฺตาโร สติปฎฺฐานา, จตฺตาโร สมฺมปฺปธานา, จตฺตาโร อิทฺธิปาทา, อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค, นว โลกุตฺตรธมฺมาฯ เอตสฺมิญฺหิ โว โคจเร จรนฺตานํ น ลจฺฉติ มาโร โอตารํ, สเจ ปน กิเลสวสิกา หุตฺวา สุภนิมิตฺตวเสน โอโลเกสฺสถ, ปูติมํสสิงฺคาโล วิย อตฺตโน โคจรา ปริหายิสฺสถา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Nakho me ruccatīti idaṃ satthā jetavane viharanto indriyaasaṃvaraṃ ārabbha kathesi. Ekasmiñhi samaye bahū bhikkhū indriyesu aguttadvārā ahesuṃ. Satthā ‘‘ime bhikkhū ovadituṃ vaṭṭatī’’ti ānandattherassa vatvā aniyamavasena bhikkhusaṅghaṃ sannipātāpetvā alaṅkatapallaṅkavaramajjhagato bhikkhū āmantetvā ‘‘na, bhikkhave, bhikkhunā nāma rūpādīsu subhanimittavasena nimittaṃ gahetuṃ vaṭṭati, sace hi tasmiṃ samaye kālaṃ karoti, nirayādīsu nibbattati, tasmā rūpādīsu subhanimittaṃ mā gaṇhatha. Bhikkhunā nāma rūpādigocarena na bhavitabbaṃ, rūpādigocarā hi diṭṭheva dhamme mahāvināsaṃ pāpuṇanti, tasmā varaṃ, bhikkhave, tattāya ayosalākāya ādittāya sampajjalitāya sajotibhūtāya cakkhundriyaṃ sampalimaṭṭha’’nti vitthāretvā ‘‘tumhākaṃ rūpaṃ olokanakālopi atthi anolokanakālopi. Olokanakāle subhavasena anoloketvā asubhavaseneva olokeyyātha, evaṃ attano gocarā na parihāyissatha. Ko pana tumhākaṃ gocaroti? Cattāro satipaṭṭhānā, cattāro sammappadhānā, cattāro iddhipādā, ariyo aṭṭhaṅgiko maggo, nava lokuttaradhammā. Etasmiñhi vo gocare carantānaṃ na lacchati māro otāraṃ, sace pana kilesavasikā hutvā subhanimittavasena olokessatha, pūtimaṃsasiṅgālo viya attano gocarā parihāyissathā’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต หิมวนฺตปเทเส อรญฺญายตเน ปพฺพตคุหายํ อเนกสตา เอฬกา วสนฺติฯ เตสํ วสนฎฺฐานโต อวิทูเร เอกิสฺสา คุหาย ปูติมํโส นาม สิงฺคาโล เวณิยา นาม ภริยาย สทฺธิํ วสติฯ โส เอกทิวสํ ภริยาย สทฺธิํ วิจรโนฺต เต เอฬเก ทิสฺวา ‘‘เอเกน อุปาเยน อิเมสํ มํสํ ขาทิตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิเนฺตตฺวา อุปาเยน เอเกกํ เอฬกํ มาเรสิฯ เต อุโภปิ เอฬกมํสํ ขาทนฺตา ถามสมฺปนฺนา ถูลสรีรา อเหสุํฯ อนุปุเพฺพน เอฬกา ปริกฺขยํ อคมํสุฯ เตสํ อนฺตเร เมณฺฑมาตา นาม เอกา เอฬิกา พฺยตฺตา อโหสิ อุปายกุสลาฯ สิงฺคาโล ตํ มาเรตุํ อสโกฺกโนฺต เอกทิวสํ ภริยาย สทฺธิํ สมฺมเนฺตโนฺต ‘‘ภเทฺท, เอฬกา ขีณา, อิมํ เอฬิกํ เอเกน อุปาเยน ขาทิตุํ วฎฺฎติ, อยํ ปเนตฺถ อุปาโย, ตฺวํ เอกิกาว คนฺตฺวา เอตาย สทฺธิํ สขี โหหิ, อถ เต ตาย สทฺธิํ วิสฺสาเส อุปฺปเนฺน อหํ มตาลยํ กริตฺวา นิปชฺชิสฺสามิ, ตฺวํ เอตํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘เอฬิเก สามิโก เม มโต, อหญฺจ อนาถา, ฐเปตฺวา ตํ อโญฺญ เม ญาตโก นตฺถิ, เอหิ โรทิตฺวา กนฺทิตฺวา ตสฺส สรีรกิจฺจํ กริสฺสามา’ติ วตฺวา ตํ คเหตฺวา อาคเจฺฉยฺยาสิ, อถ นํ อหํ อุปฺปติตฺวา คีวาย ฑํสิตฺวา มาเรสฺสามี’’ติ อาหฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente himavantapadese araññāyatane pabbataguhāyaṃ anekasatā eḷakā vasanti. Tesaṃ vasanaṭṭhānato avidūre ekissā guhāya pūtimaṃso nāma siṅgālo veṇiyā nāma bhariyāya saddhiṃ vasati. So ekadivasaṃ bhariyāya saddhiṃ vicaranto te eḷake disvā ‘‘ekena upāyena imesaṃ maṃsaṃ khādituṃ vaṭṭatī’’ti cintetvā upāyena ekekaṃ eḷakaṃ māresi. Te ubhopi eḷakamaṃsaṃ khādantā thāmasampannā thūlasarīrā ahesuṃ. Anupubbena eḷakā parikkhayaṃ agamaṃsu. Tesaṃ antare meṇḍamātā nāma ekā eḷikā byattā ahosi upāyakusalā. Siṅgālo taṃ māretuṃ asakkonto ekadivasaṃ bhariyāya saddhiṃ sammantento ‘‘bhadde, eḷakā khīṇā, imaṃ eḷikaṃ ekena upāyena khādituṃ vaṭṭati, ayaṃ panettha upāyo, tvaṃ ekikāva gantvā etāya saddhiṃ sakhī hohi, atha te tāya saddhiṃ vissāse uppanne ahaṃ matālayaṃ karitvā nipajjissāmi, tvaṃ etaṃ upasaṅkamitvā ‘eḷike sāmiko me mato, ahañca anāthā, ṭhapetvā taṃ añño me ñātako natthi, ehi roditvā kanditvā tassa sarīrakiccaṃ karissāmā’ti vatvā taṃ gahetvā āgaccheyyāsi, atha naṃ ahaṃ uppatitvā gīvāya ḍaṃsitvā māressāmī’’ti āha.

    สา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตาย สทฺธิํ สขิภาวํ กตฺวา วิสฺสาเส อุปฺปเนฺน เอฬิกํ ตถา อโวจฯ เอฬิกา ‘‘อาฬิ สิงฺคาลิ ตว สามิเกน สเพฺพ มม ญาตกา ขาทิตา, ภายามิ น สโกฺกมิ คนฺตุ’’นฺติ อาหฯ ‘‘อาฬิ, มา ภายิ, มตโก กิํ กริสฺสตี’’ติ? ‘‘ขรมโนฺต เต สามิโก, ภายาเมวาห’’นฺติ สา เอวํ วตฺวาปิ ตาย ปุนปฺปุนํ ยาจิยมานา ‘‘อทฺธา มโต ภวิสฺสตี’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตาย สทฺธิํ ปายาสิฯ คจฺฉนฺตี ปน ‘‘โก ชานาติ, กิํ ภวิสฺสตี’’ติ ตสฺมิํ อาสงฺกาย สิงฺคาลิํ ปุรโต กตฺวา สิงฺคาลํ ปริคฺคณฺหนฺตีเยว คจฺฉติฯ สิงฺคาโล ตาสํ ปทสทฺทํ สุตฺวา ‘‘อาคตา นุ โข เอฬิกา’’ติ สีสํ อุกฺขิปิตฺวา อกฺขีนิ ปริวเตฺตตฺวา โอโลเกสิฯ เอฬิกา ตํ ตถา กโรนฺตํ ทิสฺวา ‘‘อยํ ปาปธโมฺม มํ วเญฺจตฺวา มาเรตุกาโม มตาลยํ ทเสฺสตฺวา นิปโนฺน’’ติ นิวตฺติตฺวา ปลายนฺตี สิงฺคาลิยา ‘‘กสฺมา ปลายสี’’ติ วุเตฺต ตํ การณํ กเถนฺตี ปฐมํ คาถมาห –

    Sā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā tāya saddhiṃ sakhibhāvaṃ katvā vissāse uppanne eḷikaṃ tathā avoca. Eḷikā ‘‘āḷi siṅgāli tava sāmikena sabbe mama ñātakā khāditā, bhāyāmi na sakkomi gantu’’nti āha. ‘‘Āḷi, mā bhāyi, matako kiṃ karissatī’’ti? ‘‘Kharamanto te sāmiko, bhāyāmevāha’’nti sā evaṃ vatvāpi tāya punappunaṃ yāciyamānā ‘‘addhā mato bhavissatī’’ti sampaṭicchitvā tāya saddhiṃ pāyāsi. Gacchantī pana ‘‘ko jānāti, kiṃ bhavissatī’’ti tasmiṃ āsaṅkāya siṅgāliṃ purato katvā siṅgālaṃ pariggaṇhantīyeva gacchati. Siṅgālo tāsaṃ padasaddaṃ sutvā ‘‘āgatā nu kho eḷikā’’ti sīsaṃ ukkhipitvā akkhīni parivattetvā olokesi. Eḷikā taṃ tathā karontaṃ disvā ‘‘ayaṃ pāpadhammo maṃ vañcetvā māretukāmo matālayaṃ dassetvā nipanno’’ti nivattitvā palāyantī siṅgāliyā ‘‘kasmā palāyasī’’ti vutte taṃ kāraṇaṃ kathentī paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๙๖.

    96.

    ‘‘น โข เม รุจฺจติ อาฬิ, ปูติมํสสฺส เปกฺขนา;

    ‘‘Na kho me ruccati āḷi, pūtimaṃsassa pekkhanā;

    เอตาทิสา สขารสฺมา, อารกา ปริวชฺชเย’’ติฯ

    Etādisā sakhārasmā, ārakā parivajjaye’’ti.

    ตตฺถ อาฬีติ อาลปนํ, สขิ สหายิเกติ อโตฺถฯ เอตาทิสา สขารสฺมาติ เอวรูปา สหายกา อปกฺกมิตฺวา ตํ สหายกํ อารกา ปริวเชฺชยฺยาติ อโตฺถฯ

    Tattha āḷīti ālapanaṃ, sakhi sahāyiketi attho. Etādisā sakhārasmāti evarūpā sahāyakā apakkamitvā taṃ sahāyakaṃ ārakā parivajjeyyāti attho.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา สา นิวตฺติตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐานเมว คตาฯ สิงฺคาลี ตํ นิวเตฺตตุํ อสโกฺกนฺตี ตสฺสา กุชฺฌิตฺวา อตฺตโน สามิกเสฺสว สนฺติกํ คนฺตฺวา ปชฺฌายมานา นิสีทิฯ อถ นํ สิงฺคาโล ครหโนฺต ทุติยํ คาถมาห –

    Evañca pana vatvā sā nivattitvā attano vasanaṭṭhānameva gatā. Siṅgālī taṃ nivattetuṃ asakkontī tassā kujjhitvā attano sāmikasseva santikaṃ gantvā pajjhāyamānā nisīdi. Atha naṃ siṅgālo garahanto dutiyaṃ gāthamāha –

    ๙๗.

    97.

    ‘‘อุมฺมตฺติกา อยํ เวณี, วเณฺณติ ปติโน สขิํ;

    ‘‘Ummattikā ayaṃ veṇī, vaṇṇeti patino sakhiṃ;

    ปชฺฌายิ ปฎิคจฺฉนฺติํ, อาคตํ เมณฺฑมาตร’’นฺติฯ

    Pajjhāyi paṭigacchantiṃ, āgataṃ meṇḍamātara’’nti.

    ตตฺถ เวณีติ ตสฺสา นามํฯ วเณฺณติ ปติโน สขินฺติ ปฐมเมว อตฺตโน สขิํ เอฬิกํ ‘‘มยิ สิเนหา วิสฺสาสิกา อาคมิสฺสติ โน สนฺติกํ, มตาลยํ กโรหี’’ติ ปติโน สนฺติเก วเณฺณติฯ อถ นํ สา อิทานิ อาคตํ มม สนฺติกํ อนาคนฺตฺวาว ปฎิคจฺฉนฺติํ เมณฺฑมาตรํ ปชฺฌายติ อนุโสจตีติฯ

    Tattha veṇīti tassā nāmaṃ. Vaṇṇeti patino sakhinti paṭhamameva attano sakhiṃ eḷikaṃ ‘‘mayi sinehā vissāsikā āgamissati no santikaṃ, matālayaṃ karohī’’ti patino santike vaṇṇeti. Atha naṃ sā idāni āgataṃ mama santikaṃ anāgantvāva paṭigacchantiṃ meṇḍamātaraṃ pajjhāyati anusocatīti.

    ตํ สุตฺวา สิงฺคาลี ตติยํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā siṅgālī tatiyaṃ gāthamāha –

    ๙๘.

    98.

    ‘‘ตฺวํ โขสิ สมฺม อุมฺมโตฺต, ทุเมฺมโธ อวิจกฺขโณ;

    ‘‘Tvaṃ khosi samma ummatto, dummedho avicakkhaṇo;

    โย ตฺวํ มตาลยํ กตฺวา, อกาเลน วิเปกฺขสี’’ติฯ

    Yo tvaṃ matālayaṃ katvā, akālena vipekkhasī’’ti.

    ตตฺถ อวิจกฺขโณติ วิจารณปญฺญารหิโตฯ อกาเลน วิเปกฺขสีติ เอฬิกาย อตฺตโน สนฺติกํ อนาคตาเยว โอโลเกสีติ อโตฺถฯ

    Tattha avicakkhaṇoti vicāraṇapaññārahito. Akālena vipekkhasīti eḷikāya attano santikaṃ anāgatāyeva olokesīti attho.

    ๙๙.

    99.

    ‘‘น อกาเล วิเปกฺขยฺย, กาเล เปเกฺขยฺย ปณฺฑิโต;

    ‘‘Na akāle vipekkhayya, kāle pekkheyya paṇḍito;

    ปูติมํโสว ปชฺฌายิ, โย อกาเล วิเปกฺขตี’’ติฯ – อยํ อภิสมฺพุทฺธคาถา;

    Pūtimaṃsova pajjhāyi, yo akāle vipekkhatī’’ti. – ayaṃ abhisambuddhagāthā;

    ตตฺถ อกาเลติ กามคุเณ อารพฺภ สุภวเสน จิตฺตุปฺปาทกาเลฯ อยญฺหิ ภิกฺขุโน รูปํ โอโลเกตุํ อกาโล นามฯ กาเลติ อสุภวเสน อนุสฺสติวเสน กสิณวเสน วา รูปคฺคหณกาเลฯ อยญฺหิ ภิกฺขุโน รูปํ โอโลเกตุํ กาโล นามฯ ตตฺถ อกาเล สารตฺตกาเล รูปํ โอโลเกนฺตา มหาวินาสํ ปาปุณนฺตีติ หริตจชาตกโลมสกสฺสปชาตกาทีหิ ทีเปตพฺพํฯ กาเล อสุภวเสน โอโลเกนฺตา อรหเตฺต ปติฎฺฐหนฺตีติ อสุภกมฺมิกติสฺสเตฺถรวตฺถุนา กเถตพฺพํฯ ปูติมํโสว ปชฺฌายีติ ภิกฺขเว, ยถา ปูติมํสสิงฺคาโล อกาเล เอฬิกํ โอโลเกตฺวา อตฺตโน โคจรา ปริหีโน ปชฺฌายติ, เอวํ ภิกฺขุ อกาเล สุภวเสน รูปํ โอโลเกตฺวา สติปฎฺฐานาทิโคจรา ปริหีโน ทิฎฺฐธเมฺม สมฺปราเยปิ โสจติ ปชฺฌายติ กิลมตีติฯ

    Tattha akāleti kāmaguṇe ārabbha subhavasena cittuppādakāle. Ayañhi bhikkhuno rūpaṃ oloketuṃ akālo nāma. Kāleti asubhavasena anussativasena kasiṇavasena vā rūpaggahaṇakāle. Ayañhi bhikkhuno rūpaṃ oloketuṃ kālo nāma. Tattha akāle sārattakāle rūpaṃ olokentā mahāvināsaṃ pāpuṇantīti haritacajātakalomasakassapajātakādīhi dīpetabbaṃ. Kāle asubhavasena olokentā arahatte patiṭṭhahantīti asubhakammikatissattheravatthunā kathetabbaṃ. Pūtimaṃsova pajjhāyīti bhikkhave, yathā pūtimaṃsasiṅgālo akāle eḷikaṃ oloketvā attano gocarā parihīno pajjhāyati, evaṃ bhikkhu akāle subhavasena rūpaṃ oloketvā satipaṭṭhānādigocarā parihīno diṭṭhadhamme samparāyepi socati pajjhāyati kilamatīti.

    เวณีปิ โข สิงฺคาลี ปูติมํสํ อสฺสาเสตฺวา ‘‘สามิ, มา จิเนฺตสิ, อหํ ตํ ปุนปิ อุปาเยน อาเนสฺสามิ, ตฺวํ อาคตกาเล อปฺปมโตฺต คเณฺหยฺยาสี’’ติ วตฺวา ตสฺสา สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘อาฬิ, ตว อาคตกาเลเยว โน อโตฺถ ชาโต, ตว อาคตกาลสฺมิํเยว หิ เม สามิโก สติํ ปฎิลภิ, อิทานิ ชีวติ, เอหิ เตน สทฺธิํ ปฎิสนฺถารํ กโรหี’’ติ วตฺวา ปญฺจมํ คาถมาห –

    Veṇīpi kho siṅgālī pūtimaṃsaṃ assāsetvā ‘‘sāmi, mā cintesi, ahaṃ taṃ punapi upāyena ānessāmi, tvaṃ āgatakāle appamatto gaṇheyyāsī’’ti vatvā tassā santikaṃ gantvā ‘‘āḷi, tava āgatakāleyeva no attho jāto, tava āgatakālasmiṃyeva hi me sāmiko satiṃ paṭilabhi, idāni jīvati, ehi tena saddhiṃ paṭisanthāraṃ karohī’’ti vatvā pañcamaṃ gāthamāha –

    ๑๐๐.

    100.

    ‘‘ปิยํ โข อาฬิ เม โหตุ, ปุณฺณปตฺตํ ททาหิ เม;

    ‘‘Piyaṃ kho āḷi me hotu, puṇṇapattaṃ dadāhi me;

    ปติ สญฺชีวิโต มยฺหํ, เอยฺยาสิ ปิยปุจฺฉิกา’’ติฯ

    Pati sañjīvito mayhaṃ, eyyāsi piyapucchikā’’ti.

    ตตฺถ ปุณฺณปตฺตํ ททาหิ เมติ ปิยกฺขานํ อกฺขายิกา มยฺหํ ตุฎฺฐิทานํ เทหิฯ ปติ สญฺชีวิโต มยฺหนฺติ มม สามิโก สญฺชีวิโต อุฎฺฐิโต อโรโคติ อโตฺถฯ เอยฺยาสีติ มยา สทฺธิํ อาคจฺฉฯ

    Tattha puṇṇapattaṃ dadāhi meti piyakkhānaṃ akkhāyikā mayhaṃ tuṭṭhidānaṃ dehi. Pati sañjīvito mayhanti mama sāmiko sañjīvito uṭṭhito arogoti attho. Eyyāsīti mayā saddhiṃ āgaccha.

    เอฬิกา ‘‘อยํ ปาปธมฺมา มํ วเญฺจตุกามา, อยุตฺตํ โข ปน ปฎิปกฺขกรณํ, อุปาเยเนว นํ วเญฺจสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ฉฎฺฐํ คาถมาห –

    Eḷikā ‘‘ayaṃ pāpadhammā maṃ vañcetukāmā, ayuttaṃ kho pana paṭipakkhakaraṇaṃ, upāyeneva naṃ vañcessāmī’’ti cintetvā chaṭṭhaṃ gāthamāha –

    ๑๐๑.

    101.

    ‘‘ปิยํ โข อาฬิ เต โหตุ, ปุณฺณปตฺตํ ททามิ เต;

    ‘‘Piyaṃ kho āḷi te hotu, puṇṇapattaṃ dadāmi te;

    มหตา ปริวาเรน, เอสฺสํ กยิราหิ โภชน’’นฺติฯ

    Mahatā parivārena, essaṃ kayirāhi bhojana’’nti.

    ตตฺถ เอสฺสนฺติ อาคมิสฺสามิฯ อาคจฺฉมานา จ อตฺตโน อารกฺขํ กตฺวา มหเนฺตน ปริวาเรน อาคมิสฺสามีติฯ

    Tattha essanti āgamissāmi. Āgacchamānā ca attano ārakkhaṃ katvā mahantena parivārena āgamissāmīti.

    อถ นํ สิงฺคาลี ปริวารํ ปุจฺฉนฺตี สตฺตมํ คาถมาห –

    Atha naṃ siṅgālī parivāraṃ pucchantī sattamaṃ gāthamāha –

    ๑๐๒.

    102.

    ‘‘กีทิโส ตุยฺหํ ปริวาโร, เยสํ กาหามิ โภชนํ;

    ‘‘Kīdiso tuyhaṃ parivāro, yesaṃ kāhāmi bhojanaṃ;

    กิํ นามกา จ เต สเพฺพ, เต เม อกฺขาหิ ปุจฺฉิตา’’ติฯ

    Kiṃ nāmakā ca te sabbe, te me akkhāhi pucchitā’’ti.

    สา อาจิกฺขนฺตี อฎฺฐมํ คาถมาห –

    Sā ācikkhantī aṭṭhamaṃ gāthamāha –

    ๑๐๓.

    103.

    ‘‘มาลิโย จตุรโกฺข จ, ปิงฺคิโย อถ ชมฺพุโก;

    ‘‘Māliyo caturakkho ca, piṅgiyo atha jambuko;

    เอทิโส มยฺหํ ปริวาโร, เตสํ กยิราหิ โภชน’’นฺติฯ

    Ediso mayhaṃ parivāro, tesaṃ kayirāhi bhojana’’nti.

    ตตฺถ เต เมติ เต ปริวาเร มยฺหํ อาจิกฺขิฯ มาลิโยติอาทีนิ จตุนฺนํ สุนขานํ นามานิฯ ‘‘ตตฺถ เอเกกสฺส ปญฺจ ปญฺจ สุนขสตานิ ปริวาเรนฺติ, เอวํ ทฺวีหิ สุนขสหเสฺสหิ ปริวาริตา อาคมิสฺสามี’’ติ วตฺวา ‘‘สเจ เต โภชนํ น ลภิสฺสนฺติ, ตุเมฺห เทฺวปิ ชเน มาเรตฺวา ขาทิสฺสนฺตี’’ติ อาหฯ

    Tattha te meti te parivāre mayhaṃ ācikkhi. Māliyotiādīni catunnaṃ sunakhānaṃ nāmāni. ‘‘Tattha ekekassa pañca pañca sunakhasatāni parivārenti, evaṃ dvīhi sunakhasahassehi parivāritā āgamissāmī’’ti vatvā ‘‘sace te bhojanaṃ na labhissanti, tumhe dvepi jane māretvā khādissantī’’ti āha.

    ตํ สุตฺวา สิงฺคาลี ภีตา ‘‘อลํ อิมิสฺสา ตตฺถ คมเนน, อุปาเยนสฺสา อนาคมนเมว กริสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา นวมํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā siṅgālī bhītā ‘‘alaṃ imissā tattha gamanena, upāyenassā anāgamanameva karissāmī’’ti cintetvā navamaṃ gāthamāha –

    ๑๐๔.

    104.

    ‘‘นิกฺขนฺตาย อคารสฺมา, ภณฺฑกมฺปิ วินสฺสติ;

    ‘‘Nikkhantāya agārasmā, bhaṇḍakampi vinassati;

    อาโรคฺยํ อาฬิโน วชฺชํ, อิเธว วส มาคมา’’ติฯ

    Ārogyaṃ āḷino vajjaṃ, idheva vasa māgamā’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – อาฬิ, ตว เคเห พหุภณฺฑกํ อตฺถิ, ตํ เต นิกฺขนฺตาย อคารสฺมา อนารกฺขํ ภณฺฑกํ วินสฺสติ, อหเมว เต อาฬิโน สหายกสฺส อาโรคฺยํ วชฺชํ วทิสฺสามิ, ตฺวํ อิเธว วส มาคมาติฯ

    Tassattho – āḷi, tava gehe bahubhaṇḍakaṃ atthi, taṃ te nikkhantāya agārasmā anārakkhaṃ bhaṇḍakaṃ vinassati, ahameva te āḷino sahāyakassa ārogyaṃ vajjaṃ vadissāmi, tvaṃ idheva vasa māgamāti.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา มรณภยภีตา เวเคน สามิกสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ตํ คเหตฺวา ปลายิฯ เต ปุน ตํ ฐานํ อาคนฺตุํ นาสกฺขิํสุฯ

    Evañca pana vatvā maraṇabhayabhītā vegena sāmikassa santikaṃ gantvā taṃ gahetvā palāyi. Te puna taṃ ṭhānaṃ āgantuṃ nāsakkhiṃsu.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ ‘‘ตทา อหํ ตสฺมิํ ฐาเน วนเชฎฺฐกรุเกฺข นิพฺพตฺตเทวตา อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi ‘‘tadā ahaṃ tasmiṃ ṭhāne vanajeṭṭhakarukkhe nibbattadevatā ahosi’’nti.

    ปูติมํสชาตกวณฺณนา เอกาทสมาฯ

    Pūtimaṃsajātakavaṇṇanā ekādasamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๓๗. ปูติมํสชาตกํ • 437. Pūtimaṃsajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact