Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เปตวตฺถุ-อฎฺฐกถา • Petavatthu-aṭṭhakathā |
๓. ปูติมุขเปตวตฺถุวณฺณนา
3. Pūtimukhapetavatthuvaṇṇanā
ทิพฺพํ สุภํ ธาเรสิ วณฺณธาตุนฺติ อิทํ สตฺถริ เวฬุวเน วิหรเนฺต กลนฺทกนิวาเป อญฺญตรํ ปูติมุขเปตํ อารพฺภ วุตฺตํฯ อตีเต กิร กสฺสปสฺส ภควโต กาเล เทฺว กุลปุตฺตา ตสฺส สาสเน ปพฺพชิตฺวา สีลาจารสมฺปนฺนา สเลฺลขวุตฺติโน อญฺญตรสฺมิํ คามกาวาเส สมคฺควาสํ วสิํสุฯ อถ อญฺญตโร ปาปชฺฌาสโย เปสุญฺญาภิรโต ภิกฺขุ เตสํ วสนฎฺฐานํ อุปคญฺฉิฯ เถรา เตน สทฺธิํ ปฎิสนฺถารํ กตฺวา วสนฎฺฐานํ ทตฺวา ทุติยทิวเส ตํ คเหตฺวา คามํ ปิณฺฑาย ปวิสิํสุฯ มนุสฺสา เต ทิสฺวา เตสุ เถเรสุ อติวิย ปรมนิปจฺจการํ กตฺวา ยาคุภตฺตาทีหิ ปฎิมาเนสุํฯ โส วิหารํ ปวิสิตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘สุนฺทโร วตายํ โคจรคาโม, มนุสฺสา จ สทฺธา ปสนฺนา, ปณีตปณีตํ ปิณฺฑปาตํ เทนฺติ, อยญฺจ วิหาโร ฉายูทกสมฺปโนฺน, สกฺกา เม อิธ สุเขน วสิตุํฯ อิเมสุ ปน ภิกฺขูสุ อิธ วสเนฺตสุ มยฺหํ ผาสุวิหาโร น ภวิสฺสติ, อเนฺตวาสิกวาโส วิย ภวิสฺสติฯ หนฺทาหํ อิเม อญฺญมญฺญํ ภินฺทิตฺวา ยถา น ปุน อิธ วสิสฺสนฺติ, ตถา กริสฺสามี’’ติฯ
Dibbaṃsubhaṃ dhāresi vaṇṇadhātunti idaṃ satthari veḷuvane viharante kalandakanivāpe aññataraṃ pūtimukhapetaṃ ārabbha vuttaṃ. Atīte kira kassapassa bhagavato kāle dve kulaputtā tassa sāsane pabbajitvā sīlācārasampannā sallekhavuttino aññatarasmiṃ gāmakāvāse samaggavāsaṃ vasiṃsu. Atha aññataro pāpajjhāsayo pesuññābhirato bhikkhu tesaṃ vasanaṭṭhānaṃ upagañchi. Therā tena saddhiṃ paṭisanthāraṃ katvā vasanaṭṭhānaṃ datvā dutiyadivase taṃ gahetvā gāmaṃ piṇḍāya pavisiṃsu. Manussā te disvā tesu theresu ativiya paramanipaccakāraṃ katvā yāgubhattādīhi paṭimānesuṃ. So vihāraṃ pavisitvā cintesi – ‘‘sundaro vatāyaṃ gocaragāmo, manussā ca saddhā pasannā, paṇītapaṇītaṃ piṇḍapātaṃ denti, ayañca vihāro chāyūdakasampanno, sakkā me idha sukhena vasituṃ. Imesu pana bhikkhūsu idha vasantesu mayhaṃ phāsuvihāro na bhavissati, antevāsikavāso viya bhavissati. Handāhaṃ ime aññamaññaṃ bhinditvā yathā na puna idha vasissanti, tathā karissāmī’’ti.
อเถกทิวสํ มหาเถเร ทฺวินฺนมฺปิ โอวาทํ ทตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐานํ ปวิเฎฺฐ เปสุณิโก ภิกฺขุ โถกํ กาลํ วีตินาเมตฺวา มหาเถรํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา เถเรน ‘‘กิํ, อาวุโส, วิกาเล อาคโตสี’’ติ จ วุเตฺต, ‘‘อาม, ภเนฺต กิญฺจิ วตฺตพฺพํ อตฺถี’’ติ วตฺวา ‘‘กเถหิ, อาวุโส’’ติ เถเรน อนุญฺญาโต อาห – ‘‘เอโส, ภเนฺต, ตุมฺหากํ สหายกเตฺถโร สมฺมุขา มิโตฺต วิย อตฺตานํ ทเสฺสตฺวา ปรมฺมุขา สปโตฺต วิย อุปวทตี’’ติฯ ‘‘กิํ กเถตี’’ติ ปุจฺฉิโต ‘‘สุณาถ, ภเนฺต, ‘เอโส มหาเถโร สโฐ มายาวี กุหโก มิจฺฉาชีเวน ชีวิกํ กเปฺปตี’ติ ตุมฺหากํ อคุณํ กเถตี’’ติ อาหฯ ‘‘มา, อาวุโส, เอวํ ภณิ, น โส ภิกฺขุ เอวํ มํ อุปวทิสฺสติ, คิหิกาลโต ปฎฺฐาย มม สภาวํ ชานาติ ‘เปสโล กลฺยาณสีโล’’’ติฯ ‘‘สเจ, ภเนฺต, ตุเมฺห อตฺตโน วิสุทฺธจิตฺตตาย เอวํ จิเนฺตถ, ตํ ตุมฺหากํเยว อนุจฺฉวิกํ, มยฺหํ ปน เตน สทฺธิํ เวรํ นตฺถิ, กสฺมา อหํ เตน อวุตฺตํ ‘วุตฺต’นฺติ วทามิฯ โหตุ, กาลนฺตเรน สยเมว ชานิสฺสถา’’ติ อาหฯ เถโรปิ ปุถุชฺชนภาวโทเสน เทฺวฬฺหกจิโตฺต ‘‘เอวมฺปิ สิยา’’ติ สาสงฺกหทโย หุตฺวา โถกํ สิถิลวิสฺสาโส อโหสิฯ โส พาโล ปฐมํ มหาเถรํ ปริภินฺทิตฺวา อิตรมฺปิ เถนํ วุตฺตนเยเนว ปริภินฺทิฯ อถ เต อุโภปิ เถรา ทุติยทิวเส อญฺญมญฺญํ อนาลปิตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย คาเม ปิณฺฑาย จริตฺวา ปิณฺฑปาตมาทาย อตฺตโน วสนฎฺฐาเนเยว ปริภุญฺชิตฺวา สามีจิมตฺตมฺปิ อกตฺวา ตํ ทิวสํ ตเตฺถว วสิตฺวา วิภาตาย จ รตฺติยา อญฺญมญฺญํ อนาโรเจตฺวาว ยถาผาสุกฎฺฐานํ อคมํสุฯ
Athekadivasaṃ mahāthere dvinnampi ovādaṃ datvā attano vasanaṭṭhānaṃ paviṭṭhe pesuṇiko bhikkhu thokaṃ kālaṃ vītināmetvā mahātheraṃ upasaṅkamitvā vanditvā therena ‘‘kiṃ, āvuso, vikāle āgatosī’’ti ca vutte, ‘‘āma, bhante kiñci vattabbaṃ atthī’’ti vatvā ‘‘kathehi, āvuso’’ti therena anuññāto āha – ‘‘eso, bhante, tumhākaṃ sahāyakatthero sammukhā mitto viya attānaṃ dassetvā parammukhā sapatto viya upavadatī’’ti. ‘‘Kiṃ kathetī’’ti pucchito ‘‘suṇātha, bhante, ‘eso mahāthero saṭho māyāvī kuhako micchājīvena jīvikaṃ kappetī’ti tumhākaṃ aguṇaṃ kathetī’’ti āha. ‘‘Mā, āvuso, evaṃ bhaṇi, na so bhikkhu evaṃ maṃ upavadissati, gihikālato paṭṭhāya mama sabhāvaṃ jānāti ‘pesalo kalyāṇasīlo’’’ti. ‘‘Sace, bhante, tumhe attano visuddhacittatāya evaṃ cintetha, taṃ tumhākaṃyeva anucchavikaṃ, mayhaṃ pana tena saddhiṃ veraṃ natthi, kasmā ahaṃ tena avuttaṃ ‘vutta’nti vadāmi. Hotu, kālantarena sayameva jānissathā’’ti āha. Theropi puthujjanabhāvadosena dveḷhakacitto ‘‘evampi siyā’’ti sāsaṅkahadayo hutvā thokaṃ sithilavissāso ahosi. So bālo paṭhamaṃ mahātheraṃ paribhinditvā itarampi thenaṃ vuttanayeneva paribhindi. Atha te ubhopi therā dutiyadivase aññamaññaṃ anālapitvā pattacīvaramādāya gāme piṇḍāya caritvā piṇḍapātamādāya attano vasanaṭṭhāneyeva paribhuñjitvā sāmīcimattampi akatvā taṃ divasaṃ tattheva vasitvā vibhātāya ca rattiyā aññamaññaṃ anārocetvāva yathāphāsukaṭṭhānaṃ agamaṃsu.
เปสุณิกํ ปน ภิกฺขุํ ปริปุณฺณมโนรถํ คามํ ปิณฺฑาย ปวิฎฺฐํ มนุสฺสา ทิสฺวา อาหํสุ – ‘‘ภเนฺต, เถรา กุหิํ คตา’’ติ? โส อาห – ‘‘สพฺพรตฺติํ อญฺญมญฺญํ กลหํ กตฺวา มยา ‘มา กลหํ กโรถ, สมคฺคา โหถ, กลโห นาม อนตฺถาวโห อายติทุกฺขุปฺปาทโก อกุสลสํวตฺตนิโก, ปุริมกาปิ กลเหน มหตา หิตา ปริภฎฺฐา’ติอาทีนิ วุจฺจมานาปิ มม วจนํ อนาทิยิตฺวา ปกฺกนฺตา’’ติฯ ตโต มนุสฺสา ‘‘เถรา ตาว คจฺฉนฺตุ, ตุเมฺห ปน อมฺหากํ อนุกมฺปาย อิเธว อนุกฺกณฺฐิตฺวา วสถา’’ติ ยาจิํสุฯ โส ‘‘สาธู’’ติ ปฎิสฺสุณิตฺวา ตเตฺถว วสโนฺต กติปาเหน จิเนฺตสิ – ‘‘มยา สีลวโนฺต กลฺยาณธมฺมา ภิกฺขู อาวาสโลเภน ปริภินฺนา, พหุํ วต มยา ปาปกมฺมํ ปสุต’’นฺติ พลววิปฺปฎิสาราภิภูโต โสกเวเคน คิลาโน หุตฺวา นจิเรเนว กาลํ กตฺวา อวีจิมฺหิ นิพฺพตฺติฯ
Pesuṇikaṃ pana bhikkhuṃ paripuṇṇamanorathaṃ gāmaṃ piṇḍāya paviṭṭhaṃ manussā disvā āhaṃsu – ‘‘bhante, therā kuhiṃ gatā’’ti? So āha – ‘‘sabbarattiṃ aññamaññaṃ kalahaṃ katvā mayā ‘mā kalahaṃ karotha, samaggā hotha, kalaho nāma anatthāvaho āyatidukkhuppādako akusalasaṃvattaniko, purimakāpi kalahena mahatā hitā paribhaṭṭhā’tiādīni vuccamānāpi mama vacanaṃ anādiyitvā pakkantā’’ti. Tato manussā ‘‘therā tāva gacchantu, tumhe pana amhākaṃ anukampāya idheva anukkaṇṭhitvā vasathā’’ti yāciṃsu. So ‘‘sādhū’’ti paṭissuṇitvā tattheva vasanto katipāhena cintesi – ‘‘mayā sīlavanto kalyāṇadhammā bhikkhū āvāsalobhena paribhinnā, bahuṃ vata mayā pāpakammaṃ pasuta’’nti balavavippaṭisārābhibhūto sokavegena gilāno hutvā nacireneva kālaṃ katvā avīcimhi nibbatti.
อิตเร เทฺว สหายกเตฺถรา ชนปทจาริกํ จรนฺตา อญฺญตรสฺมิํ อาวาเส สมาคนฺตฺวา อญฺญมญฺญํ สโมฺมทิตฺวา เตน ภิกฺขุนา วุตฺตํ เภทวจนํ อญฺญมญฺญสฺส อาโรเจตฺวา ตสฺส อภูตภาวํ ญตฺวา สมคฺคา หุตฺวา อนุกฺกเมน ตเมว อาวาสํ ปจฺจาคมิํสุฯ มนุสฺสา เทฺว เถเร ทิสฺวา หฎฺฐตุฎฺฐา สญฺชาตโสมนสฺสา หุตฺวา จตูหิ ปจฺจเยหิ อุปฎฺฐหิํสุฯ เถรา จ ตเตฺถว วสนฺตา สปฺปายอาหารลาเภน สมาหิตจิตฺตา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา นจิเรเนว อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ
Itare dve sahāyakattherā janapadacārikaṃ carantā aññatarasmiṃ āvāse samāgantvā aññamaññaṃ sammoditvā tena bhikkhunā vuttaṃ bhedavacanaṃ aññamaññassa ārocetvā tassa abhūtabhāvaṃ ñatvā samaggā hutvā anukkamena tameva āvāsaṃ paccāgamiṃsu. Manussā dve there disvā haṭṭhatuṭṭhā sañjātasomanassā hutvā catūhi paccayehi upaṭṭhahiṃsu. Therā ca tattheva vasantā sappāyaāhāralābhena samāhitacittā vipassanaṃ vaḍḍhetvā nacireneva arahattaṃ pāpuṇiṃsu.
เปสุณิโก ภิกฺขุ เอกํ พุทฺธนฺตรํ นิรเย ปจฺจิตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท ราชคหสฺส อวิทูเร ปูติมุขเปโต หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ ตสฺส กาโย สุวณฺณวโณฺณ อโหสิ, มุขโต ปน ปุฬวกา นิกฺขมิตฺวา อิโต จิโต จ มุขํ ขาทนฺติ, ตสฺส ทูรมฺปิ โอกาสํ ผริตฺวา ทุคฺคนฺธํ วายติฯ อถายสฺมา นารโท คิชฺฌกูฎปพฺพตา โอโรหโนฺต ตํ ทิสฺวา –
Pesuṇiko bhikkhu ekaṃ buddhantaraṃ niraye paccitvā imasmiṃ buddhuppāde rājagahassa avidūre pūtimukhapeto hutvā nibbatti. Tassa kāyo suvaṇṇavaṇṇo ahosi, mukhato pana puḷavakā nikkhamitvā ito cito ca mukhaṃ khādanti, tassa dūrampi okāsaṃ pharitvā duggandhaṃ vāyati. Athāyasmā nārado gijjhakūṭapabbatā orohanto taṃ disvā –
๗.
7.
‘‘ทิพฺพํ สุภํ ธาเรสิ วณฺณธาตุํ, เวหายสํ ติฎฺฐสิ อนฺตลิเกฺข;
‘‘Dibbaṃ subhaṃ dhāresi vaṇṇadhātuṃ, vehāyasaṃ tiṭṭhasi antalikkhe;
มุขญฺจ เต กิมโย ปูติคนฺธํ, ขาทนฺติ กิํ กมฺมมกาสิ ปุเพฺพ’’ติฯ –
Mukhañca te kimayo pūtigandhaṃ, khādanti kiṃ kammamakāsi pubbe’’ti. –
อิมาย คาถาย กตกมฺมํ ปุจฺฉิฯ ตตฺถ ทิพฺพนฺติ ทิวิ ภวํ เทวตฺตภาวปริยาปนฺนํฯ อิธ ปน ทิพฺพํ วิยาติ ทิพฺพํฯ สุภนฺติ โสภนํ, สุนฺทรภาวํ วาฯ วณฺณธาตุนฺติ ฉวิวณฺณํฯ ธาเรสีติ วหสิ ฯ เวหายสํ ติฎฺฐสิ อนฺตลิเกฺขติ เวหายสสญฺญิเต อนฺตลิเกฺข ติฎฺฐสิฯ เกจิ ปน ‘‘วิหายสํ ติฎฺฐสิ อนฺตลิเกฺข’’ติ ปาฐํ วตฺวา วิหายสํ โอภาเสโนฺต อนฺตลิเกฺข ติฎฺฐสีติ วจนเสเสน อตฺถํ วทนฺติฯ ปูติคนฺธนฺติ กุณปคนฺธํ, ทุคฺคนฺธนฺติ อโตฺถฯ กิํ กมฺมมกาสิ ปุเพฺพติ ปรมทุคฺคนฺธํ เต มุขํ กิมโย ขาทนฺติ, กาโย จ สุวณฺณวโณฺณ, กีทิสํ นาม กมฺมํ เอวรูปสฺส อตฺตภาวสฺส การณภูตํ ปุเพฺพ ตฺวํ อกาสีติ ปุจฺฉิฯ
Imāya gāthāya katakammaṃ pucchi. Tattha dibbanti divi bhavaṃ devattabhāvapariyāpannaṃ. Idha pana dibbaṃ viyāti dibbaṃ. Subhanti sobhanaṃ, sundarabhāvaṃ vā. Vaṇṇadhātunti chavivaṇṇaṃ. Dhāresīti vahasi . Vehāyasaṃ tiṭṭhasi antalikkheti vehāyasasaññite antalikkhe tiṭṭhasi. Keci pana ‘‘vihāyasaṃ tiṭṭhasi antalikkhe’’ti pāṭhaṃ vatvā vihāyasaṃ obhāsento antalikkhe tiṭṭhasīti vacanasesena atthaṃ vadanti. Pūtigandhanti kuṇapagandhaṃ, duggandhanti attho. Kiṃ kammamakāsi pubbeti paramaduggandhaṃ te mukhaṃ kimayo khādanti, kāyo ca suvaṇṇavaṇṇo, kīdisaṃ nāma kammaṃ evarūpassa attabhāvassa kāraṇabhūtaṃ pubbe tvaṃ akāsīti pucchi.
เอวํ เถเรน โส เปโต อตฺตนา กตกมฺมํ ปุโฎฺฐ ตมตฺถํ วิสฺสเชฺชโนฺต –
Evaṃ therena so peto attanā katakammaṃ puṭṭho tamatthaṃ vissajjento –
๘.
8.
‘‘สมโณ อหํ ปาโปติทุฎฺฐวาโจ, ตปสฺสิรูโป มุขสา อสญฺญโต;
‘‘Samaṇo ahaṃ pāpotiduṭṭhavāco, tapassirūpo mukhasā asaññato;
ลทฺธา จ เม ตมสา วณฺณธาตุ, มุขญฺจ เม เปสุณิเยน ปูตี’’ติฯ –
Laddhā ca me tamasā vaṇṇadhātu, mukhañca me pesuṇiyena pūtī’’ti. –
คาถมาหฯ ตตฺถ สมโณ อหํ ปาโปติ อหํ ลามโก สมโณ ปาปภิกฺขุ อโหสิํฯ อติทุฎฺฐวาโจติ อติทุฎฺฐวจโน, ปเร อติกฺกมิตฺวา ลงฺฆิตฺวา วตฺตา, ปเรสํ คุณปริธํสกวจโนติ อโตฺถฯ ‘‘อติทุกฺขวาโจ’’ติ วา ปาโฐ, อติวิย ผรุสวจโน มุสาวาทเปสุญฺญาทิวจีทุจฺจริตนิรโตฯ ตปสฺสิรูโปติ สมณปติรูปโกฯ มุขสาติ มุเขนฯ ลทฺธาติ ปฎิลทฺธาฯ จ-กาโร สมฺปิณฺฑนโตฺถฯ เมติ มยาฯ ตปสาติ พฺรหฺมจริเยนฯ เปสุณิเยนาติ ปิสุณวาจายฯ ปุตีติ ปูติคนฺธํฯ
Gāthamāha. Tattha samaṇo ahaṃ pāpoti ahaṃ lāmako samaṇo pāpabhikkhu ahosiṃ. Atiduṭṭhavācoti atiduṭṭhavacano, pare atikkamitvā laṅghitvā vattā, paresaṃ guṇaparidhaṃsakavacanoti attho. ‘‘Atidukkhavāco’’ti vā pāṭho, ativiya pharusavacano musāvādapesuññādivacīduccaritanirato. Tapassirūpoti samaṇapatirūpako. Mukhasāti mukhena. Laddhāti paṭiladdhā. Ca-kāro sampiṇḍanattho. Meti mayā. Tapasāti brahmacariyena. Pesuṇiyenāti pisuṇavācāya. Putīti pūtigandhaṃ.
เอวํ โส เปโต อตฺตนา กตกมฺมํ อาจิกฺขิตฺวา อิทานิ เถรสฺส โอวาทํ เทโนฺต –
Evaṃ so peto attanā katakammaṃ ācikkhitvā idāni therassa ovādaṃ dento –
๙.
9.
‘‘ตยิทํ ตยา นารท สามํ ทิฎฺฐํ,
‘‘Tayidaṃ tayā nārada sāmaṃ diṭṭhaṃ,
อนุกมฺปกา เย กุสลา วเทยฺยุํ;
Anukampakā ye kusalā vadeyyuṃ;
มา เปสุณํ มา จ มุสา อภาณิ,
Mā pesuṇaṃ mā ca musā abhāṇi,
ยโกฺข ตุวํ โหหิสิ กามกามี’’ติฯ –
Yakkho tuvaṃ hohisi kāmakāmī’’ti. –
โอสานคาถมาหฯ ตตฺถ ตยิทนฺติ ตํ อิทํ มม รูปํฯ อนุกมฺปกา เย กุสลา วเทยฺยุนฺติ เย อนุกมฺปนสีลา การุณิกา ปรหิตปฎิปตฺติยํ กุสลา นิปุณา พุทฺธาทโย ยํ วเทยฺยุํ, ตเทว วทามีติ อธิปฺปาโยฯ อิทานิ ตํ โอวาทํ ทเสฺสโนฺต ‘‘มา เปสุณํ มา จ มุสา อภาณิ, ยโกฺข ตุวํ โหหิสิ กามกามี’’ติ อาหฯ ตสฺสโตฺถ – เปสุณํ ปิสุณวจนํ มุสา จ มา อภาณิ มา กเถหิฯ ยทิ หิ ตฺวํ มุสาวาทํ ปิสุณวาจญฺจ ปหาย วาจาย สญฺญโต ภเวยฺยาสิ, ยโกฺข วา เทโว วา เทวญฺญตโร วา ตฺวํ ภวิสฺสสิ, กามํ กามิตพฺพํ อุฬารํ ทิพฺพสมฺปตฺติํ ปฎิลภิตฺวา ตตฺถ กามนสีโล ยถาสุขํ อินฺทฺริยานํ ปริจรเณน อภิรมณสีโลติฯ
Osānagāthamāha. Tattha tayidanti taṃ idaṃ mama rūpaṃ. Anukampakā ye kusalā vadeyyunti ye anukampanasīlā kāruṇikā parahitapaṭipattiyaṃ kusalā nipuṇā buddhādayo yaṃ vadeyyuṃ, tadeva vadāmīti adhippāyo. Idāni taṃ ovādaṃ dassento ‘‘mā pesuṇaṃ mā ca musā abhāṇi, yakkho tuvaṃ hohisi kāmakāmī’’ti āha. Tassattho – pesuṇaṃ pisuṇavacanaṃ musā ca mā abhāṇi mā kathehi. Yadi hi tvaṃ musāvādaṃ pisuṇavācañca pahāya vācāya saññato bhaveyyāsi, yakkho vā devo vā devaññataro vā tvaṃ bhavissasi, kāmaṃ kāmitabbaṃ uḷāraṃ dibbasampattiṃ paṭilabhitvā tattha kāmanasīlo yathāsukhaṃ indriyānaṃ paricaraṇena abhiramaṇasīloti.
ตํ สุตฺวา เถโร ตโต ราชคหํ คนฺตฺวา ปิณฺฑาย จริตฺวา ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฎิกฺกโนฺต สตฺถุ ตมตฺถํ อาโรเจสิฯ สตฺถา ตํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา ธมฺมํ เทเสสิฯ สา เทสนา สมฺปตฺตปริสาย สาตฺถิกา อโหสีติฯ
Taṃ sutvā thero tato rājagahaṃ gantvā piṇḍāya caritvā pacchābhattaṃ piṇḍapātapaṭikkanto satthu tamatthaṃ ārocesi. Satthā taṃ aṭṭhuppattiṃ katvā dhammaṃ desesi. Sā desanā sampattaparisāya sātthikā ahosīti.
ปูติมุขเปตวตฺถุวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Pūtimukhapetavatthuvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เปตวตฺถุปาฬิ • Petavatthupāḷi / ๓. ปูติมุขเปตวตฺถุ • 3. Pūtimukhapetavatthu