Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya |
๓. ปุตฺตมํสูปมสุตฺตํ
3. Puttamaṃsūpamasuttaṃ
๖๓. สาวตฺถิยํ …เป.… ‘‘จตฺตาโรเม , ภิกฺขเว, อาหารา ภูตานํ วา สตฺตานํ ฐิติยา สมฺภเวสีนํ วา อนุคฺคหาย ฯ กตเม จตฺตาโร? กพฬีกาโร อาหาโร โอฬาริโก วา สุขุโม วา, ผโสฺส ทุติโย, มโนสเญฺจตนา ตติยา, วิญฺญาณํ จตุตฺถํฯ อิเม โข, ภิกฺขเว, จตฺตาโร อาหารา ภูตานํ วา สตฺตานํ ฐิติยา สมฺภเวสีนํ วา อนุคฺคหาย’’ฯ
63. Sāvatthiyaṃ …pe… ‘‘cattārome , bhikkhave, āhārā bhūtānaṃ vā sattānaṃ ṭhitiyā sambhavesīnaṃ vā anuggahāya . Katame cattāro? Kabaḷīkāro āhāro oḷāriko vā sukhumo vā, phasso dutiyo, manosañcetanā tatiyā, viññāṇaṃ catutthaṃ. Ime kho, bhikkhave, cattāro āhārā bhūtānaṃ vā sattānaṃ ṭhitiyā sambhavesīnaṃ vā anuggahāya’’.
‘‘กถญฺจ, ภิกฺขเว, กพฬีกาโร อาหาโร ทฎฺฐโพฺพ? เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, เทฺว ชายมฺปติกา 1 ปริตฺตํ สมฺพลํ อาทาย กนฺตารมคฺคํ ปฎิปเชฺชยฺยุํฯ เตสมสฺส เอกปุตฺตโก ปิโย มนาโปฯ อถ โข เตสํ, ภิกฺขเว, ทฺวินฺนํ ชายมฺปติกานํ กนฺตารคตานํ ยา ปริตฺตา สมฺพลมตฺตา, สา ปริกฺขยํ ปริยาทานํ คเจฺฉยฺยฯ สิยา จ เนสํ กนฺตาราวเสโส อนติโณฺณฯ อถ โข เตสํ, ภิกฺขเว, ทฺวินฺนํ ชายมฺปติกานํ เอวมสฺส – ‘อมฺหากํ โข ยา ปริตฺตา สมฺพลมตฺตา สา ปริกฺขีณา ปริยาทิณฺณา 2ฯ อตฺถิ จายํ กนฺตาราวเสโส อนิตฺติโณฺณ 3ฯ ยํนูน มยํ อิมํ เอกปุตฺตกํ ปิยํ มนาปํ วธิตฺวา วลฺลูรญฺจ โสณฺฑิกญฺจ กริตฺวา ปุตฺตมํสานิ ขาทนฺตา เอวํ ตํ กนฺตาราวเสสํ นิตฺถเรยฺยาม, มา สเพฺพว ตโย วินสฺสิมฺหา’ติฯ อถ โข เต, ภิกฺขเว, เทฺว ชายมฺปติกา ตํ เอกปุตฺตกํ ปิยํ มนาปํ วธิตฺวา วลฺลูรญฺจ โสณฺฑิกญฺจ กริตฺวา ปุตฺตมํสานิ ขาทนฺตา เอวํ ตํ กนฺตาราวเสสํ นิตฺถเรยฺยุํฯ เต ปุตฺตมํสานิ เจว ขาเทยฺยุํ, อุเร จ ปฎิปิเสยฺยุํ – ‘กหํ, เอกปุตฺตก, กหํ, เอกปุตฺตกา’ติฯ
‘‘Kathañca, bhikkhave, kabaḷīkāro āhāro daṭṭhabbo? Seyyathāpi, bhikkhave, dve jāyampatikā 4 parittaṃ sambalaṃ ādāya kantāramaggaṃ paṭipajjeyyuṃ. Tesamassa ekaputtako piyo manāpo. Atha kho tesaṃ, bhikkhave, dvinnaṃ jāyampatikānaṃ kantāragatānaṃ yā parittā sambalamattā, sā parikkhayaṃ pariyādānaṃ gaccheyya. Siyā ca nesaṃ kantārāvaseso anatiṇṇo. Atha kho tesaṃ, bhikkhave, dvinnaṃ jāyampatikānaṃ evamassa – ‘amhākaṃ kho yā parittā sambalamattā sā parikkhīṇā pariyādiṇṇā 5. Atthi cāyaṃ kantārāvaseso anittiṇṇo 6. Yaṃnūna mayaṃ imaṃ ekaputtakaṃ piyaṃ manāpaṃ vadhitvā vallūrañca soṇḍikañca karitvā puttamaṃsāni khādantā evaṃ taṃ kantārāvasesaṃ nitthareyyāma, mā sabbeva tayo vinassimhā’ti. Atha kho te, bhikkhave, dve jāyampatikā taṃ ekaputtakaṃ piyaṃ manāpaṃ vadhitvā vallūrañca soṇḍikañca karitvā puttamaṃsāni khādantā evaṃ taṃ kantārāvasesaṃ nitthareyyuṃ. Te puttamaṃsāni ceva khādeyyuṃ, ure ca paṭipiseyyuṃ – ‘kahaṃ, ekaputtaka, kahaṃ, ekaputtakā’ti.
‘‘ตํ กิํ มญฺญถ, ภิกฺขเว, อปิ นุ เต ทวาย วา อาหารํ อาหาเรยฺยุํ, มทาย วา อาหารํ อาหาเรยฺยุํ, มณฺฑนาย วา อาหารํ อาหาเรยฺยุํ, วิภูสนาย วา อาหารํ อาหาเรยฺยุ’’นฺติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘นนุ เต, ภิกฺขเว, ยาวเทว กนฺตารสฺส นิตฺถรณตฺถาย อาหารํ อาหาเรยฺยุ’’นฺติ? ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘เอวเมว ขฺวาหํ, ภิกฺขเว, กพฬีกาโร อาหาโร ทฎฺฐโพฺพ’’ติ วทามิฯ กพฬีกาเร, ภิกฺขเว, อาหาเร ปริญฺญาเต ปญฺจกามคุณิโก ราโค ปริญฺญาโต โหติฯ ปญฺจกามคุณิเก ราเค ปริญฺญาเต นตฺถิ ตํ สํโยชนํ เยน สํโยชเนน สํยุโตฺต อริยสาวโก ปุน อิมํ โลกํ อาคเจฺฉยฺยฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññatha, bhikkhave, api nu te davāya vā āhāraṃ āhāreyyuṃ, madāya vā āhāraṃ āhāreyyuṃ, maṇḍanāya vā āhāraṃ āhāreyyuṃ, vibhūsanāya vā āhāraṃ āhāreyyu’’nti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’. ‘‘Nanu te, bhikkhave, yāvadeva kantārassa nittharaṇatthāya āhāraṃ āhāreyyu’’nti? ‘‘Evaṃ, bhante’’. ‘‘Evameva khvāhaṃ, bhikkhave, kabaḷīkāro āhāro daṭṭhabbo’’ti vadāmi. Kabaḷīkāre, bhikkhave, āhāre pariññāte pañcakāmaguṇiko rāgo pariññāto hoti. Pañcakāmaguṇike rāge pariññāte natthi taṃ saṃyojanaṃ yena saṃyojanena saṃyutto ariyasāvako puna imaṃ lokaṃ āgaccheyya.
‘‘กถญฺจ, ภิกฺขเว, ผสฺสาหาโร ทฎฺฐโพฺพ? เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, คาวี นิจฺจมฺมา กุฎฺฎํ เจ 7 นิสฺสาย ติเฎฺฐยฺยฯ เย กุฎฺฎนิสฺสิตา ปาณา เต นํ ขาเทยฺยุํฯ รุกฺขํ เจ นิสฺสาย ติเฎฺฐยฺย, เย รุกฺขนิสฺสิตา ปาณา เต นํ ขาเทยฺยุํฯ อุทกํ เจ นิสฺสาย ติเฎฺฐยฺย, เย อุทกนิสฺสิตา ปาณา เต นํ ขาเทยฺยุํฯ อากาสํ เจ นิสฺสาย ติเฎฺฐยฺย, เย อากาสนิสฺสิตา ปาณา เต นํ ขาเทยฺยุํฯ ยํ ยเทว หิ สา, ภิกฺขเว, คาวี นิจฺจมฺมา นิสฺสาย ติเฎฺฐยฺย, เย ตนฺนิสฺสิตา 8 ปาณา เต นํ ขาเทยฺยุํฯ เอวเมว ขฺวาหํ, ภิกฺขเว, ‘‘ผสฺสาหาโร ทฎฺฐโพฺพ’’ติ วทามิฯ ผเสฺส, ภิกฺขเว, อาหาเร ปริญฺญาเต ติโสฺส เวทนา ปริญฺญาตา โหนฺติฯ ตีสุ เวทนาสุ ปริญฺญาตาสุ อริยสาวกสฺส นตฺถิ กิญฺจิ อุตฺตริกรณียนฺติ 9 วทามิฯ
‘‘Kathañca, bhikkhave, phassāhāro daṭṭhabbo? Seyyathāpi, bhikkhave, gāvī niccammā kuṭṭaṃ ce 10 nissāya tiṭṭheyya. Ye kuṭṭanissitā pāṇā te naṃ khādeyyuṃ. Rukkhaṃ ce nissāya tiṭṭheyya, ye rukkhanissitā pāṇā te naṃ khādeyyuṃ. Udakaṃ ce nissāya tiṭṭheyya, ye udakanissitā pāṇā te naṃ khādeyyuṃ. Ākāsaṃ ce nissāya tiṭṭheyya, ye ākāsanissitā pāṇā te naṃ khādeyyuṃ. Yaṃ yadeva hi sā, bhikkhave, gāvī niccammā nissāya tiṭṭheyya, ye tannissitā 11 pāṇā te naṃ khādeyyuṃ. Evameva khvāhaṃ, bhikkhave, ‘‘phassāhāro daṭṭhabbo’’ti vadāmi. Phasse, bhikkhave, āhāre pariññāte tisso vedanā pariññātā honti. Tīsu vedanāsu pariññātāsu ariyasāvakassa natthi kiñci uttarikaraṇīyanti 12 vadāmi.
‘‘กถญฺจ , ภิกฺขเว, มโนสเญฺจตนาหาโร ทฎฺฐโพฺพ? เสยฺยถาปิ , ภิกฺขเว, องฺคารกาสุ สาธิกโปริสา ปุณฺณา องฺคารานํ วีตจฺจิกานํ วีตธูมานํฯ อถ ปุริโส อาคเจฺฉยฺย ชีวิตุกาโม อมริตุกาโม สุขกาโม ทุกฺขปฺปฎิกูโลฯ ตเมนํ เทฺว พลวโนฺต ปุริสา นานาพาหาสุ คเหตฺวา ตํ องฺคารกาสุํ อุปกเฑฺฒยฺยุํฯ อถ โข, ภิกฺขเว, ตสฺส ปุริสสฺส อารกาวสฺส เจตนา อารกา ปตฺถนา อารกา ปณิธิฯ ตํ กิสฺส เหตุ? เอวญฺหิ, ภิกฺขเว, ตสฺส ปุริสสฺส โหติ – ‘อิมํ จาหํ องฺคารกาสุํ ปปติสฺสามิ, ตโตนิทานํ มรณํ วา นิคจฺฉามิ มรณมตฺตํ วา ทุกฺข’นฺติฯ เอวเมว ขฺวาหํ, ภิกฺขเว, ‘มโนสเญฺจตนาหาโร ทฎฺฐโพฺพ’ติ วทามิฯ มโนสเญฺจตนาย, ภิกฺขเว, อาหาเร ปริญฺญาเต ติโสฺส ตณฺหา ปริญฺญาตา โหนฺติฯ ตีสุ ตณฺหาสุ ปริญฺญาตาสุ อริยสาวกสฺส นตฺถิ กิญฺจิ อุตฺตริกรณียนฺติ วทามิฯ
‘‘Kathañca , bhikkhave, manosañcetanāhāro daṭṭhabbo? Seyyathāpi , bhikkhave, aṅgārakāsu sādhikaporisā puṇṇā aṅgārānaṃ vītaccikānaṃ vītadhūmānaṃ. Atha puriso āgaccheyya jīvitukāmo amaritukāmo sukhakāmo dukkhappaṭikūlo. Tamenaṃ dve balavanto purisā nānābāhāsu gahetvā taṃ aṅgārakāsuṃ upakaḍḍheyyuṃ. Atha kho, bhikkhave, tassa purisassa ārakāvassa cetanā ārakā patthanā ārakā paṇidhi. Taṃ kissa hetu? Evañhi, bhikkhave, tassa purisassa hoti – ‘imaṃ cāhaṃ aṅgārakāsuṃ papatissāmi, tatonidānaṃ maraṇaṃ vā nigacchāmi maraṇamattaṃ vā dukkha’nti. Evameva khvāhaṃ, bhikkhave, ‘manosañcetanāhāro daṭṭhabbo’ti vadāmi. Manosañcetanāya, bhikkhave, āhāre pariññāte tisso taṇhā pariññātā honti. Tīsu taṇhāsu pariññātāsu ariyasāvakassa natthi kiñci uttarikaraṇīyanti vadāmi.
‘‘กถญฺจ, ภิกฺขเว, วิญฺญาณาหาโร ทฎฺฐโพฺพ? เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, โจรํ อาคุจาริํ คเหตฺวา รโญฺญ ทเสฺสยฺยุํ – ‘อยํ เต, เทว, โจโร อาคุจารี, อิมสฺส ยํ อิจฺฉสิ ตํ ทณฺฑํ ปเณหี’ติฯ ตเมนํ ราชา เอวํ วเทยฺย – ‘คจฺฉถ, โภ, อิมํ ปุริสํ ปุพฺพณฺหสมยํ สตฺติสเตน หนถา’ติฯ ตเมนํ ปุพฺพณฺหสมยํ สตฺติสเตน หเนยฺยุํฯ อถ ราชา มชฺฌนฺหิกสมยํ เอวํ วเทยฺย – ‘อโมฺภ, กถํ โส ปุริโส’ติ? ‘ตเถว, เทว, ชีวตี’ติฯ ตเมนํ ราชา เอวํ วเทยฺย – ‘คจฺฉถ, โภ, ตํ ปุริสํ มชฺฌนฺหิกสมยํ สตฺติสเตน หนถา’ติฯ ตเมนํ มชฺฌนฺหิกสมยํ สตฺติสเตน หเนยฺยุํฯ อถ ราชา สายนฺหสมยํ เอวํ วเทยฺย – ‘อโมฺภ, กถํ โส ปุริโส’ติ? ‘ตเถว, เทว, ชีวตี’ติฯ ตเมนํ ราชา เอวํ วเทยฺย – ‘คจฺฉถ, โภ, ตํ ปุริสํ สายนฺหสมยํ สตฺติสเตน หนถา’ติฯ ตเมนํ สายนฺหสมยํ สตฺติสเตน หเนยฺยุํฯ ตํ กิํ มญฺญถ , ภิกฺขเว, อปิ นุ โส ปุริโส ทิวสํ ตีหิ สตฺติสเตหิ หญฺญมาโน ตโตนิทานํ ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ปฎิสํเวทิเยถา’’ติ? ‘‘เอกิสฺสาปิ, ภเนฺต, สตฺติยา หญฺญมาโน ตโตนิทานํ ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ปฎิสํเวทิเยถ; โก ปน วาโท ตีหิ สตฺติสเตหิ หญฺญมาโน’’ติ! ‘‘เอวเมว ขฺวาหํ, ภิกฺขเว, วิญฺญาณาหาโร ทฎฺฐโพฺพติ วทามิฯ วิญฺญาเณ, ภิกฺขเว, อาหาเร ปริญฺญาเต นามรูปํ ปริญฺญาตํ โหติ, นามรูเป ปริญฺญาเต อริยสาวกสฺส นตฺถิ กิญฺจิ อุตฺตริกรณียนฺติ วทามี’’ติฯ ตติยํฯ
‘‘Kathañca, bhikkhave, viññāṇāhāro daṭṭhabbo? Seyyathāpi, bhikkhave, coraṃ āgucāriṃ gahetvā rañño dasseyyuṃ – ‘ayaṃ te, deva, coro āgucārī, imassa yaṃ icchasi taṃ daṇḍaṃ paṇehī’ti. Tamenaṃ rājā evaṃ vadeyya – ‘gacchatha, bho, imaṃ purisaṃ pubbaṇhasamayaṃ sattisatena hanathā’ti. Tamenaṃ pubbaṇhasamayaṃ sattisatena haneyyuṃ. Atha rājā majjhanhikasamayaṃ evaṃ vadeyya – ‘ambho, kathaṃ so puriso’ti? ‘Tatheva, deva, jīvatī’ti. Tamenaṃ rājā evaṃ vadeyya – ‘gacchatha, bho, taṃ purisaṃ majjhanhikasamayaṃ sattisatena hanathā’ti. Tamenaṃ majjhanhikasamayaṃ sattisatena haneyyuṃ. Atha rājā sāyanhasamayaṃ evaṃ vadeyya – ‘ambho, kathaṃ so puriso’ti? ‘Tatheva, deva, jīvatī’ti. Tamenaṃ rājā evaṃ vadeyya – ‘gacchatha, bho, taṃ purisaṃ sāyanhasamayaṃ sattisatena hanathā’ti. Tamenaṃ sāyanhasamayaṃ sattisatena haneyyuṃ. Taṃ kiṃ maññatha , bhikkhave, api nu so puriso divasaṃ tīhi sattisatehi haññamāno tatonidānaṃ dukkhaṃ domanassaṃ paṭisaṃvediyethā’’ti? ‘‘Ekissāpi, bhante, sattiyā haññamāno tatonidānaṃ dukkhaṃ domanassaṃ paṭisaṃvediyetha; ko pana vādo tīhi sattisatehi haññamāno’’ti! ‘‘Evameva khvāhaṃ, bhikkhave, viññāṇāhāro daṭṭhabboti vadāmi. Viññāṇe, bhikkhave, āhāre pariññāte nāmarūpaṃ pariññātaṃ hoti, nāmarūpe pariññāte ariyasāvakassa natthi kiñci uttarikaraṇīyanti vadāmī’’ti. Tatiyaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) / ๓. ปุตฺตมํสูปมสุตฺตวณฺณนา • 3. Puttamaṃsūpamasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๓. ปุตฺตมํสูปมสุตฺตวณฺณนา • 3. Puttamaṃsūpamasuttavaṇṇanā