Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) |
๓. ปุตฺตมํสูปมสุตฺตวณฺณนา
3. Puttamaṃsūpamasuttavaṇṇanā
๖๓. ตติเย จตฺตาโรเม, ภิกฺขเว, อาหาราติอาทิ วุตฺตนยเมวฯ ยสฺมา ปนสฺส อฎฺฐุปฺปตฺติโก นิเกฺขโป, ตสฺมา ตํ ทเสฺสตฺวาเวตฺถ อนุปุพฺพปทวณฺณนํ กริสฺสามิฯ กตราย ปน อิทํ อฎฺฐุปฺปตฺติยา นิกฺขิตฺตนฺติ? ลาภสกฺกาเรนฯ ภควโต กิร มหาลาภสกฺกาโร อุปฺปชฺชิ, ยถา ตํ จตฺตาโร อสเงฺขฺยเยฺย ปูริตทานปารมีสญฺจยสฺสฯ สพฺพทิสาสุ หิสฺส ยมกมหาเมโฆ วุฎฺฐหิตฺวา มโหฆํ วิย สพฺพปารมิโย ‘‘เอกสฺมิํ อตฺตภาเว วิปากํ ทสฺสามา’’ติ สมฺปิณฺฑิตา วิย ลาภสกฺการมโหฆํ นิพฺพตฺตยิํสุฯ ตโต ตโต อนฺนปานยานวตฺถมาลาคนฺธวิเลปนาทิหตฺถา ขตฺติยพฺราหฺมณาทโย อาคนฺตฺวา, ‘‘กหํ พุโทฺธ, กหํ ภควา, กหํ เทวเทโว นราสโภ ปุริสสีโห’’ติ? ภควนฺตํ ปริเยสนฺติฯ สกฎสเตหิปิ ปจฺจเย อาหริตฺวา โอกาสํ อลภมานา สมนฺตา คาวุตปฺปมาณมฺปิ สกฎธุเรน สกฎธุรํ อาหจฺจ ติฎฺฐนฺติ เจว อนุปฺปวตฺตนฺติ จ อนฺธกวินฺทพฺราหฺมณาทโย วิยฯ สพฺพํ ขนฺธเก เตสุ เตสุ สุเตฺตสุ จ อาคตนเยน เวทิตพฺพํฯ
63. Tatiye cattārome, bhikkhave, āhārātiādi vuttanayameva. Yasmā panassa aṭṭhuppattiko nikkhepo, tasmā taṃ dassetvāvettha anupubbapadavaṇṇanaṃ karissāmi. Katarāya pana idaṃ aṭṭhuppattiyā nikkhittanti? Lābhasakkārena. Bhagavato kira mahālābhasakkāro uppajji, yathā taṃ cattāro asaṅkhyeyye pūritadānapāramīsañcayassa. Sabbadisāsu hissa yamakamahāmegho vuṭṭhahitvā mahoghaṃ viya sabbapāramiyo ‘‘ekasmiṃ attabhāve vipākaṃ dassāmā’’ti sampiṇḍitā viya lābhasakkāramahoghaṃ nibbattayiṃsu. Tato tato annapānayānavatthamālāgandhavilepanādihatthā khattiyabrāhmaṇādayo āgantvā, ‘‘kahaṃ buddho, kahaṃ bhagavā, kahaṃ devadevo narāsabho purisasīho’’ti? Bhagavantaṃ pariyesanti. Sakaṭasatehipi paccaye āharitvā okāsaṃ alabhamānā samantā gāvutappamāṇampi sakaṭadhurena sakaṭadhuraṃ āhacca tiṭṭhanti ceva anuppavattanti ca andhakavindabrāhmaṇādayo viya. Sabbaṃ khandhake tesu tesu suttesu ca āgatanayena veditabbaṃ.
ยถา ภควโต, เอวํ ภิกฺขุสงฺฆสฺสาปิฯ วุตฺตเญฺจตํ –
Yathā bhagavato, evaṃ bhikkhusaṅghassāpi. Vuttañcetaṃ –
‘‘เตน โข ปน สมเยน ภควา สกฺกโต โหติ ครุกโต มานิโต ปูชิโต อปจิโต ลาภี จีวร-ปิณฺฑปาต-เสนาสน-คิลาน-ปจฺจย-เภสชฺช-ปริกฺขารานํฯ ภิกฺขุสโงฺฆปิ โข สกฺกโต โหติ…เป.… ปริกฺขาราน’’นฺติ (อุทา. ๑๔; สํ. นิ. ๒.๗๐)ฯ
‘‘Tena kho pana samayena bhagavā sakkato hoti garukato mānito pūjito apacito lābhī cīvara-piṇḍapāta-senāsana-gilāna-paccaya-bhesajja-parikkhārānaṃ. Bhikkhusaṅghopi kho sakkato hoti…pe… parikkhārāna’’nti (udā. 14; saṃ. ni. 2.70).
ตถา ‘‘ยาวตา โข, จุนฺท, เอตรหิ สโงฺฆ วา คโณ วา โลเก อุปฺปโนฺน, นาหํ, จุนฺท, อญฺญํ เอกสงฺฆมฺปิ สมนุปสฺสามิ เอวํ ลาภคฺคยสคฺคปตฺตํ ยถริวายํ, จุนฺท, ภิกฺขุสโงฺฆ’’ติ (ที. นิ. ๓.๑๗๖)ฯ
Tathā ‘‘yāvatā kho, cunda, etarahi saṅgho vā gaṇo vā loke uppanno, nāhaṃ, cunda, aññaṃ ekasaṅghampi samanupassāmi evaṃ lābhaggayasaggapattaṃ yatharivāyaṃ, cunda, bhikkhusaṅgho’’ti (dī. ni. 3.176).
สฺวายํ ภควโต จ สงฺฆสฺส จ อุปฺปโนฺน ลาภสกฺกาโร เอกโต หุตฺวา ทฺวินฺนํ มหานทีนํ อุทกํ วิย อปฺปเมโยฺย อโหสิฯ อถ สตฺถา รโหคโต จิเนฺตสิ – ‘‘มหาลาภสกฺกาโร อตีตพุทฺธานมฺปิ เอวรูโป อโหสิ, อนาคตานมฺปิ เอวรูโป ภวิสฺสติ ฯ กิํ นุ โข ภิกฺขู อาหารปริคฺคาหเกน สติสมฺปชเญฺญน สมนฺนาคตา มชฺฌตฺตา นิจฺฉนฺทราคา หุตฺวา อาหารํ ปริภุญฺชิตุํ สโกฺกนฺติ, น สโกฺกนฺตี’’ติ?
Svāyaṃ bhagavato ca saṅghassa ca uppanno lābhasakkāro ekato hutvā dvinnaṃ mahānadīnaṃ udakaṃ viya appameyyo ahosi. Atha satthā rahogato cintesi – ‘‘mahālābhasakkāro atītabuddhānampi evarūpo ahosi, anāgatānampi evarūpo bhavissati . Kiṃ nu kho bhikkhū āhārapariggāhakena satisampajaññena samannāgatā majjhattā nicchandarāgā hutvā āhāraṃ paribhuñjituṃ sakkonti, na sakkontī’’ti?
โส อทฺทส เอกเจฺจ อธุนา ปพฺพชิเต กุลปุเตฺต อปจฺจเวกฺขิตฺวา อาหารํ ปริภุญฺชมาเนฯ ทิสฺวานสฺส เอตทโหสิ – ‘‘มยา กปฺปสตสหสฺสาธิกานิ จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ ปารมิโย ปูเรเนฺตน น จีวราทิเหตุ ปูริตา, อุตฺตมผลสฺส ปน อรหตฺตสฺสตฺถาย ปูริตาฯ อิเมปิ ภิกฺขู มม สนฺติเก ปพฺพชนฺตา น จีวราทิเหตุ ปพฺพชิตา, อรหตฺตเสฺสว ปน อตฺถาย ปพฺพชิตาฯ เต อิทานิ อสารเมว สารํ อนตฺถเมว จ อตฺถํ กโรนฺตี’’ติ เอวมสฺส ธมฺมสํเวโค อุทปาทิฯ ตโต จิเนฺตสิ – ‘‘สเจ ปญฺจมํ ปาราชิกํ ปญฺญเปตุํ สกฺกา อภวิสฺส, อปจฺจเวกฺขิตาหารปริโภโค ปญฺจมํ ปาราชิกํ กตฺวา ปญฺญเปตโพฺพ ภเวยฺยฯ น ปน สกฺกา เอวํ กาตุํ, ธุวปฎิเสวนฎฺฐานเญฺหตํ สตฺตานํฯ ยถา ปน กถิเต ปญฺจมํ ปาราชิกํ วิย นํ ปสฺสิสฺสนฺติฯ เอวํ ธมฺมาทาสํ สํวรํ มริยาทํ ฐเปสฺสามิ, ยํ อาวชฺชิตฺวา อาวชฺชิตฺวา อนาคเต ภิกฺขู จตฺตาโร ปจฺจเย ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปริภุญฺชิสฺสนฺตี’’ติฯ อิมาย อฎฺฐุปฺปตฺติยา อิมํ ปุตฺตมํสูปมสุตฺตนฺตํ นิกฺขิปิฯ ตตฺถ จตฺตาโรเม, ภิกฺขเว, อาหาราติอาทิ เหฎฺฐา วุตฺตตฺถเมวฯ
So addasa ekacce adhunā pabbajite kulaputte apaccavekkhitvā āhāraṃ paribhuñjamāne. Disvānassa etadahosi – ‘‘mayā kappasatasahassādhikāni cattāri asaṅkhyeyyāni pāramiyo pūrentena na cīvarādihetu pūritā, uttamaphalassa pana arahattassatthāya pūritā. Imepi bhikkhū mama santike pabbajantā na cīvarādihetu pabbajitā, arahattasseva pana atthāya pabbajitā. Te idāni asārameva sāraṃ anatthameva ca atthaṃ karontī’’ti evamassa dhammasaṃvego udapādi. Tato cintesi – ‘‘sace pañcamaṃ pārājikaṃ paññapetuṃ sakkā abhavissa, apaccavekkhitāhāraparibhogo pañcamaṃ pārājikaṃ katvā paññapetabbo bhaveyya. Na pana sakkā evaṃ kātuṃ, dhuvapaṭisevanaṭṭhānañhetaṃ sattānaṃ. Yathā pana kathite pañcamaṃ pārājikaṃ viya naṃ passissanti. Evaṃ dhammādāsaṃ saṃvaraṃ mariyādaṃ ṭhapessāmi, yaṃ āvajjitvā āvajjitvā anāgate bhikkhū cattāro paccaye paccavekkhitvā paribhuñjissantī’’ti. Imāya aṭṭhuppattiyā imaṃ puttamaṃsūpamasuttantaṃ nikkhipi. Tattha cattārome, bhikkhave, āhārātiādi heṭṭhā vuttatthameva.
จตฺตาโร ปน อาหาเร วิตฺถาเรตฺวา อิทานิ เตสุ อาทีนวํ ทเสฺสตุํ กถญฺจ, ภิกฺขเว, กพฬีกาโร อาหาโร ทฎฺฐโพฺพติอาทิมาห? ตตฺถ ชายมฺปติกาติ ชายา เจว ปติ จฯ ปริตฺตํ สมฺพลนฺติ ปุฎภตฺตสตฺตุโมทกาทีนํ อญฺญตรํ อปฺปมตฺตกํ ปาเถยฺยํฯ กนฺตารมคฺคนฺติ กนฺตารภูตํ มคฺคํ, กนฺตาเร วา มคฺคํฯ กนฺตารนฺติ โจรกนฺตารํ วาฬกนฺตารํ อมนุสฺสกนฺตารํ นิรุทกกนฺตารํ อปฺปภกฺขกนฺตารนฺติ ปญฺจวิธํฯ เตสุ ยตฺถ โจรภยํ อตฺถิ , ตํ โจรกนฺตารํฯ ยตฺถ สีหพฺยคฺฆาทโย วาฬา อตฺถิ, ตํ วาฬกนฺตารํฯ ยตฺถ พลวามุขยกฺขินิอาทีนํ อมนุสฺสานํ วเสน ภยํ อตฺถิ, ตํ อมนุสฺสกนฺตารํฯ ยตฺถ ปาตุํ วา นฺหายิตุํ วา อุทกํ นตฺถิ, ตํ นิรุทกกนฺตารํฯ ยตฺถ ขาทิตพฺพํ วา ภุญฺชิตพฺพํ วา อนฺตมโส กนฺทมูลาทิมตฺตมฺปิ นตฺถิ, ตํ อปฺปภกฺขกนฺตารํ นามฯ ยตฺถ ปเนตํ ปญฺจวิธมฺปิ ภยํ อตฺถิ, ตํ กนฺตารเมวฯ ตํ ปเนตํ เอกาหทฺวีหตีหาทิวเสน นิตฺถริตพฺพมฺปิ อตฺถิ, น ตํ อิธ อธิเปฺปตํฯ อิธ ปน นิรุทกํ อปฺปภกฺขํ โยชนสติกกนฺตารํ อธิเปฺปตํฯ เอวรูเป กนฺตาเร มคฺคํฯ ปฎิปเชฺชยฺยุนฺติ ฉาตกภเยน เจว โรคภเยน จ ราชภเยน จ อุปทฺทุตา ปฎิปเชฺชยฺยุํ ‘‘เอตํ กนฺตารํ นิตฺถริตฺวา ธมฺมิกสฺส รโญฺญ นิรุปทฺทเว รเฎฺฐ สุขํ วสิสฺสามา’’ติ มญฺญมานาฯ
Cattāro pana āhāre vitthāretvā idāni tesu ādīnavaṃ dassetuṃ kathañca, bhikkhave, kabaḷīkāro āhāro daṭṭhabbotiādimāha? Tattha jāyampatikāti jāyā ceva pati ca. Parittaṃ sambalanti puṭabhattasattumodakādīnaṃ aññataraṃ appamattakaṃ pātheyyaṃ. Kantāramagganti kantārabhūtaṃ maggaṃ, kantāre vā maggaṃ. Kantāranti corakantāraṃ vāḷakantāraṃ amanussakantāraṃ nirudakakantāraṃ appabhakkhakantāranti pañcavidhaṃ. Tesu yattha corabhayaṃ atthi , taṃ corakantāraṃ. Yattha sīhabyagghādayo vāḷā atthi, taṃ vāḷakantāraṃ. Yattha balavāmukhayakkhiniādīnaṃ amanussānaṃ vasena bhayaṃ atthi, taṃ amanussakantāraṃ. Yattha pātuṃ vā nhāyituṃ vā udakaṃ natthi, taṃ nirudakakantāraṃ. Yattha khāditabbaṃ vā bhuñjitabbaṃ vā antamaso kandamūlādimattampi natthi, taṃ appabhakkhakantāraṃ nāma. Yattha panetaṃ pañcavidhampi bhayaṃ atthi, taṃ kantārameva. Taṃ panetaṃ ekāhadvīhatīhādivasena nittharitabbampi atthi, na taṃ idha adhippetaṃ. Idha pana nirudakaṃ appabhakkhaṃ yojanasatikakantāraṃ adhippetaṃ. Evarūpe kantāre maggaṃ. Paṭipajjeyyunti chātakabhayena ceva rogabhayena ca rājabhayena ca upaddutā paṭipajjeyyuṃ ‘‘etaṃ kantāraṃ nittharitvā dhammikassa rañño nirupaddave raṭṭhe sukhaṃ vasissāmā’’ti maññamānā.
เอกปุตฺตโกติ อุกฺขิปิตฺวา คหิโต อนุกมฺปิตพฺพยุโตฺต อถิรสรีโร เอกปุตฺตโกฯ วลฺลูรญฺจ โสณฺฑิกญฺจาติ ฆนฆนฎฺฐานโต คเหตฺวา วลฺลูรํ, อฎฺฐินิสฺสิตสิรานิสฺสิตฎฺฐานานิ คเหตฺวา สูลมํสญฺจาติ อโตฺถฯ ปฎิปิเสยฺยุนฺติ ปหเรยฺยุํฯ กหํ เอกปุตฺตกาติ อยํ เตสํ ปริเทวนากาโรฯ
Ekaputtakoti ukkhipitvā gahito anukampitabbayutto athirasarīro ekaputtako. Vallūrañca soṇḍikañcāti ghanaghanaṭṭhānato gahetvā vallūraṃ, aṭṭhinissitasirānissitaṭṭhānāni gahetvā sūlamaṃsañcāti attho. Paṭipiseyyunti pahareyyuṃ. Kahaṃ ekaputtakāti ayaṃ tesaṃ paridevanākāro.
อยํ ปเนตฺถ ภูตมตฺถํ กตฺวา อาทิโต ปฎฺฐาย สเงฺขปโต อตฺถวณฺณนา – เทฺว กิร ชายมฺปติกา ปุตฺตํ คเหตฺวา ปริเตฺตน ปาเถเยฺยน โยชนสติกํ กนฺตารมคฺคํ ปฎิปชฺชิํสุฯ เตสํ ปญฺญาสโยชนานิ คนฺตฺวา ปาเถยฺยํ นิฎฺฐาสิ, เต ขุปฺปิปาสาตุรา วิรฬจฺฉายายํ นิสีทิํสุฯ ตโต ปุริโส ภริยํ อาห – ‘‘ภเทฺท อิโต สมนฺตา ปญฺญาสโยชนานิ คาโม วา นิคโม วา นตฺถิฯ ตสฺมา ยํ ตํ ปุริเสน กาตพฺพํ พหุมฺปิ กสิโครกฺขาทิกมฺมํ, น ทานิ สกฺกา ตํ มยา กาตุํ, เอหิ มํ มาเรตฺวา อุปฑฺฒมํสํ ขาทิตฺวา อุปฑฺฒํ ปาเถยฺยํ กตฺวา ปุเตฺตน สทฺธิํ กนฺตารํ นิตฺถราหี’’ติฯ ปุน สาปิ ตํ อาห – ‘‘สามิ มยา ทานิ ยํ ตํ อิตฺถิยา กาตพฺพํ พหุมฺปิ สุตฺตกนฺตนาทิกมฺมํ, ตํ กาตุํ น สกฺกา, เอหิ มํ มาเรตฺวา อุปฑฺฒมํสํ ขาทิตฺวา อุปฑฺฒํ ปาเถยฺยํ กตฺวา ปุเตฺตน สทฺธิํ กนฺตารํ นิตฺถราหี’’ติฯ ปุน โสปิ ตํ อาห – ‘‘ภเทฺท มาตุคามมรเณน ทฺวินฺนํ มรณํ ปญฺญายติ ฯ น หิ มโนฺท กุมาโร มาตรา วินา ชีวิตุํ สโกฺกติฯ ยทิ ปน มยํ ชีวามฯ ปุน ทารกํ ลเภยฺยามฯ หนฺท ทานิ ปุตฺตกํ มาเรตฺวา, มํสํ คเหตฺวา กนฺตารํ นิตฺถรามา’’ติฯ ตโต มาตา ปุตฺตมาห – ‘‘ตาต, ปิตุสนฺติกํ คจฺฉา’’ติ, โส อคมาสิฯ อถสฺส ปิตา, ‘‘มยา ‘ปุตฺตกํ โปเสสฺสามี’ติ กสิโครกฺขาทีหิ อนปฺปกํ ทุกฺขมนุภูตํ, น สโกฺกมิ อหํ ปุตฺตํ มาเรตุํ, ตฺวํเยว ตว ปุตฺตํ มาเรหี’’ติ วตฺวา, ‘‘ตาต มาตุสนฺติกํ คจฺฉา’’ติ อาหฯ โส อคมาสิฯ อถสฺส มาตาปิ, ‘‘มยา ปุตฺตํ ปเตฺถนฺติยา โควตกุกฺกุรวตเทวตายาจนาทีหิปิ ตาว อนปฺปกํ ทุกฺขมนุภูตํ, โก ปน วาโท กุจฺฉินา ปริหรนฺติยา? น สโกฺกมิ อหํ ปุตฺตํ มาเรตุ’’นฺติ วตฺวา ‘‘ตาต, ปิตุสนฺติกเมว คจฺฉา’’ติ อาหฯ เอวํ โส ทฺวินฺนมนฺตรา คจฺฉโนฺตเยว มโตฯ เต ตํ ทิสฺวา ปริเทวิตฺวา วุตฺตนเยน มํสานิ คเหตฺวา ขาทนฺตา ปกฺกมิํสุฯ
Ayaṃ panettha bhūtamatthaṃ katvā ādito paṭṭhāya saṅkhepato atthavaṇṇanā – dve kira jāyampatikā puttaṃ gahetvā parittena pātheyyena yojanasatikaṃ kantāramaggaṃ paṭipajjiṃsu. Tesaṃ paññāsayojanāni gantvā pātheyyaṃ niṭṭhāsi, te khuppipāsāturā viraḷacchāyāyaṃ nisīdiṃsu. Tato puriso bhariyaṃ āha – ‘‘bhadde ito samantā paññāsayojanāni gāmo vā nigamo vā natthi. Tasmā yaṃ taṃ purisena kātabbaṃ bahumpi kasigorakkhādikammaṃ, na dāni sakkā taṃ mayā kātuṃ, ehi maṃ māretvā upaḍḍhamaṃsaṃ khāditvā upaḍḍhaṃ pātheyyaṃ katvā puttena saddhiṃ kantāraṃ nittharāhī’’ti. Puna sāpi taṃ āha – ‘‘sāmi mayā dāni yaṃ taṃ itthiyā kātabbaṃ bahumpi suttakantanādikammaṃ, taṃ kātuṃ na sakkā, ehi maṃ māretvā upaḍḍhamaṃsaṃ khāditvā upaḍḍhaṃ pātheyyaṃ katvā puttena saddhiṃ kantāraṃ nittharāhī’’ti. Puna sopi taṃ āha – ‘‘bhadde mātugāmamaraṇena dvinnaṃ maraṇaṃ paññāyati . Na hi mando kumāro mātarā vinā jīvituṃ sakkoti. Yadi pana mayaṃ jīvāma. Puna dārakaṃ labheyyāma. Handa dāni puttakaṃ māretvā, maṃsaṃ gahetvā kantāraṃ nittharāmā’’ti. Tato mātā puttamāha – ‘‘tāta, pitusantikaṃ gacchā’’ti, so agamāsi. Athassa pitā, ‘‘mayā ‘puttakaṃ posessāmī’ti kasigorakkhādīhi anappakaṃ dukkhamanubhūtaṃ, na sakkomi ahaṃ puttaṃ māretuṃ, tvaṃyeva tava puttaṃ mārehī’’ti vatvā, ‘‘tāta mātusantikaṃ gacchā’’ti āha. So agamāsi. Athassa mātāpi, ‘‘mayā puttaṃ patthentiyā govatakukkuravatadevatāyācanādīhipi tāva anappakaṃ dukkhamanubhūtaṃ, ko pana vādo kucchinā pariharantiyā? Na sakkomi ahaṃ puttaṃ māretu’’nti vatvā ‘‘tāta, pitusantikameva gacchā’’ti āha. Evaṃ so dvinnamantarā gacchantoyeva mato. Te taṃ disvā paridevitvā vuttanayena maṃsāni gahetvā khādantā pakkamiṃsu.
เตสํ โส ปุตฺตมํสาหาโร นวหิ การเณหิ ปฎิกูลตฺตา เนว ทวาย โหติ, น มทาย, น มณฺฑนาย, น วิภูสนาย, เกวลํ กนฺตารนิตฺถรณตฺถาเยว โหติฯ กตเมหิ นวหิ การเณหิ ปฎิกูโลติ เจ? สชาติมํสตาย ญาติมํสตาย ปุตฺตมํสตาย ปิยปุตฺตมํสตาย ตรุณมํสตาย อามกมํสตาย อโภคมํสตาย อโลณตาย อธูปิตตายาติฯ เอวญฺหิ เต นวหิ การเณหิ ปฎิกูลํ ตํ ปุตฺตมํสํ ขาทนฺตา น สารตฺตา คิทฺธมานสา หุตฺวา ขาทิํสุ, มชฺฌตฺตภาเวเยว ปน นิจฺฉนฺทราคปริโภเค ฐิตา ขาทิํสุฯ น อฎฺฐินฺหารุจมฺมนิสฺสิตฎฺฐานานิ อปเนตฺวา ถูลถูลํ วรมํสเมว ขาทิํสุ, หตฺถสมฺปตฺตํ มํสเมว ปน ขาทิํสุฯ น ยาวทตฺถํ กณฺฐปฺปมาณํ กตฺวา ขาทิํสุ, โถกํ โถกํ ปน เอกทิวสํ ยาปนมตฺตเมว ขาทิํสุฯ น อญฺญมญฺญํ มจฺฉรายนฺตา ขาทิํสุ, วิคตมเจฺฉรมเลน ปน ปริสุเทฺธเนว เจตสา ขาทิํสุฯ น อญฺญํ กิญฺจิ มิคมํสํ วา โมรมํสาทีนํ วา อญฺญตรํ ขาทามาติ สมฺมูฬฺหา ขาทิํสุ, ปิยปุตฺตมํสภาวํ ปน ชานนฺตาว ขาทิํสุฯ น ‘‘อโห วต มยํ ปุนปิ เอวรูปํ ปุตฺตมํสํ ขาเทยฺยามา’’ติ ปตฺถนํ กตฺวา ขาทิํสุ, ปตฺถนํ ปน วีติวตฺตาว หุตฺวา ขาทิํสุฯ น ‘‘เอตฺตกํ กนฺตาเร ขาทิตฺวา อวสิฎฺฐํ กนฺตารํ อติกฺกมฺม โลณมฺพิลาทีหิ โยเชตฺวา ขาทิสฺสามา’’ติ สนฺนิธิํ อกํสุ, กนฺตารปริโยสาเน ปน ‘‘ปุเร มหาชโน ปสฺสตี’’ติ ภูมิยํ วา นิขณิํสุ, อคฺคินา วา ฌาปยิํสุฯ น ‘‘โกจิ อโญฺญ อเมฺห วิย เอวรูปํ ปุตฺตมํสํ ขาทิตุํ น ลภตี’’ติ มานํ วา ทปฺปํ วา อกํสุ, นิหตมานา ปน นิหตทปฺปา หุตฺวา ขาทิํสุฯ ‘‘กิํ อิมินา อโลเณน อนมฺพิเลน อธูปิเตน ทุคฺคเนฺธนา’’ติ น หีเฬตฺวา ขาทิํสุ, หีฬนํ ปน วีติวตฺตา หุตฺวา ขาทิํสุ ฯ น ‘‘ตุยฺหํ ภาโค มยฺหํ ภาโค ตว ปุโตฺต มม ปุโตฺต’’ติ อญฺญมญฺญํ อติมญฺญิํสุฯ สมคฺคา ปน สโมฺมทมานา หุตฺวา ขาทิํสุฯ อิมํ เนสํ เอวรูปํ นิจฺฉนฺทราคาทิปริโภคํ สมฺปสฺสมาโน สตฺถา ภิกฺขุสงฺฆมฺปิ ตํ การณํ อนุชานาเปโนฺต ตํ กิํ มญฺญถ, ภิกฺขเว, อปิ นุ เต ทวาย วา อาหารํ อาหาเรยฺยุนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ ทวาย วาติอาทีนิ วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๑๘) วิตฺถาริตาเนวฯ กนฺตารสฺสาติ นิตฺติณฺณาวเสสสฺส กนฺตารสฺสฯ
Tesaṃ so puttamaṃsāhāro navahi kāraṇehi paṭikūlattā neva davāya hoti, na madāya, na maṇḍanāya, na vibhūsanāya, kevalaṃ kantāranittharaṇatthāyeva hoti. Katamehi navahi kāraṇehi paṭikūloti ce? Sajātimaṃsatāya ñātimaṃsatāya puttamaṃsatāya piyaputtamaṃsatāya taruṇamaṃsatāya āmakamaṃsatāya abhogamaṃsatāya aloṇatāya adhūpitatāyāti. Evañhi te navahi kāraṇehi paṭikūlaṃ taṃ puttamaṃsaṃ khādantā na sārattā giddhamānasā hutvā khādiṃsu, majjhattabhāveyeva pana nicchandarāgaparibhoge ṭhitā khādiṃsu. Na aṭṭhinhārucammanissitaṭṭhānāni apanetvā thūlathūlaṃ varamaṃsameva khādiṃsu, hatthasampattaṃ maṃsameva pana khādiṃsu. Na yāvadatthaṃ kaṇṭhappamāṇaṃ katvā khādiṃsu, thokaṃ thokaṃ pana ekadivasaṃ yāpanamattameva khādiṃsu. Na aññamaññaṃ maccharāyantā khādiṃsu, vigatamaccheramalena pana parisuddheneva cetasā khādiṃsu. Na aññaṃ kiñci migamaṃsaṃ vā moramaṃsādīnaṃ vā aññataraṃ khādāmāti sammūḷhā khādiṃsu, piyaputtamaṃsabhāvaṃ pana jānantāva khādiṃsu. Na ‘‘aho vata mayaṃ punapi evarūpaṃ puttamaṃsaṃ khādeyyāmā’’ti patthanaṃ katvā khādiṃsu, patthanaṃ pana vītivattāva hutvā khādiṃsu. Na ‘‘ettakaṃ kantāre khāditvā avasiṭṭhaṃ kantāraṃ atikkamma loṇambilādīhi yojetvā khādissāmā’’ti sannidhiṃ akaṃsu, kantārapariyosāne pana ‘‘pure mahājano passatī’’ti bhūmiyaṃ vā nikhaṇiṃsu, agginā vā jhāpayiṃsu. Na ‘‘koci añño amhe viya evarūpaṃ puttamaṃsaṃ khādituṃ na labhatī’’ti mānaṃ vā dappaṃ vā akaṃsu, nihatamānā pana nihatadappā hutvā khādiṃsu. ‘‘Kiṃ iminā aloṇena anambilena adhūpitena duggandhenā’’ti na hīḷetvā khādiṃsu, hīḷanaṃ pana vītivattā hutvā khādiṃsu . Na ‘‘tuyhaṃ bhāgo mayhaṃ bhāgo tava putto mama putto’’ti aññamaññaṃ atimaññiṃsu. Samaggā pana sammodamānā hutvā khādiṃsu. Imaṃ nesaṃ evarūpaṃ nicchandarāgādiparibhogaṃ sampassamāno satthā bhikkhusaṅghampi taṃ kāraṇaṃ anujānāpento taṃ kiṃ maññatha, bhikkhave, api nu te davāya vā āhāraṃ āhāreyyuntiādimāha. Tattha davāya vātiādīni visuddhimagge (visuddhi. 1.18) vitthāritāneva. Kantārassāti nittiṇṇāvasesassa kantārassa.
เอวเมว โขติ นวนฺนํ ปาฎิกุลฺยานํ วเสน ปิยปุตฺตมํสสทิโส กตฺวา ทฎฺฐโพฺพติ อโตฺถฯ กตเมสํ นวนฺนํ? คมนปาฎิกุลฺยตาทีนํฯ คมนปาฎิกุลฺยตํ ปจฺจเวกฺขโนฺตปิ กพฬีการาหารํ ปริคฺคณฺหาติ, ปริเยสนปาฎิกุลฺยตํ ปจฺจเวกฺขโนฺตปิ, ปริโภคนิธานอาสยปริปกฺกาปริปกฺกสมฺมกฺขณนิสฺสนฺทปาฎิกุลฺยตํ ปจฺจเวกฺขโนฺตปิ, ตานิ ปเนตานิ คมนปาฎิกุลฺยตาทีนิ วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๒๙๔) อาหารปาฎิกุลฺยตานิเทฺทเส วิตฺถาริตาเนวฯ อิติ อิเมสํ นวนฺนํ ปาฎิกุลฺยานํ วเสน ปุตฺตมํสูปมํ กตฺวา อาหาโร ปริภุญฺชิตโพฺพฯ
Evameva khoti navannaṃ pāṭikulyānaṃ vasena piyaputtamaṃsasadiso katvā daṭṭhabboti attho. Katamesaṃ navannaṃ? Gamanapāṭikulyatādīnaṃ. Gamanapāṭikulyataṃ paccavekkhantopi kabaḷīkārāhāraṃ pariggaṇhāti, pariyesanapāṭikulyataṃ paccavekkhantopi, paribhoganidhānaāsayaparipakkāparipakkasammakkhaṇanissandapāṭikulyataṃ paccavekkhantopi, tāni panetāni gamanapāṭikulyatādīni visuddhimagge (visuddhi. 1.294) āhārapāṭikulyatāniddese vitthāritāneva. Iti imesaṃ navannaṃ pāṭikulyānaṃ vasena puttamaṃsūpamaṃ katvā āhāro paribhuñjitabbo.
ยถา เต ชายมฺปติกา ปาฎิกุลฺยํ ปิยปุตฺตมํสํ ขาทนฺตา น สารตฺตา คิทฺธมานสา หุตฺวา ขาทิํสุ, มชฺฌตฺตภาเวเยว นิจฺฉนฺทราคปริโภเค ฐิตา ขาทิํสุ, เอวํ นิจฺฉนฺทราคปริโภคํ กตฺวา ปริภุญฺชิตโพฺพฯ ยถา จ เต น อฎฺฐินฺหารุจมฺมนิสฺสิตํ อปเนตฺวา ถูลถูลํ วรมํสเมว ขาทิํสุ, หตฺถสมฺปตฺตเมว ปน ขาทิํสุ, เอวํ สุกฺขภตฺตมนฺทพฺยญฺชนาทีนิ ปิฎฺฐิหเตฺถน อปฎิกฺขิปิตฺวา วฎฺฎเกน วิย กุกฺกุเฎน วิย จ โอธิํ อทเสฺสตฺวา ตโต ตโต สปฺปิมํสาทิสํสฎฺฐวรโภชนํเยว วิจินิตฺวา อภุญฺชเนฺตน สีเหน วิย สปทานํ ปริภุญฺชิตโพฺพฯ
Yathā te jāyampatikā pāṭikulyaṃ piyaputtamaṃsaṃ khādantā na sārattā giddhamānasā hutvā khādiṃsu, majjhattabhāveyeva nicchandarāgaparibhoge ṭhitā khādiṃsu, evaṃ nicchandarāgaparibhogaṃ katvā paribhuñjitabbo. Yathā ca te na aṭṭhinhārucammanissitaṃ apanetvā thūlathūlaṃ varamaṃsameva khādiṃsu, hatthasampattameva pana khādiṃsu, evaṃ sukkhabhattamandabyañjanādīni piṭṭhihatthena apaṭikkhipitvā vaṭṭakena viya kukkuṭena viya ca odhiṃ adassetvā tato tato sappimaṃsādisaṃsaṭṭhavarabhojanaṃyeva vicinitvā abhuñjantena sīhena viya sapadānaṃ paribhuñjitabbo.
ยถา จ เต น ยาวทตฺถํ กณฺฐปฺปมาณํ ขาทิํสุ, โถกํ โถกํ ปน เอเกกทิวสํ ยาปนมตฺตเมว ขาทิํสุ, เอวเมว อาหรหตฺถกาทิพฺราหฺมณานํ อญฺญตเรน วิย ยาวทตฺถํ อุทราวเทหกํ อภุญฺชเนฺตน จตุนฺนํ ปญฺจนฺนํ วา อาโลปานํ โอกาสํ ฐเปตฺวาว ธมฺมเสนาปตินา วิย ปริภุญฺชิตโพฺพฯ โส กิร ปญฺจจตฺตาลีส วสฺสานิ ติฎฺฐมาโน ‘‘ปจฺฉาภเตฺต อมฺพิลุคฺคารสมุฎฺฐาปกํ กตฺวา เอกทิวสมฺปิ อาหารํ น อาหาเรสิ’’นฺติ วตฺวา สีหนาทํ นทโนฺต อิมํ คาถมาห –
Yathā ca te na yāvadatthaṃ kaṇṭhappamāṇaṃ khādiṃsu, thokaṃ thokaṃ pana ekekadivasaṃ yāpanamattameva khādiṃsu, evameva āharahatthakādibrāhmaṇānaṃ aññatarena viya yāvadatthaṃ udarāvadehakaṃ abhuñjantena catunnaṃ pañcannaṃ vā ālopānaṃ okāsaṃ ṭhapetvāva dhammasenāpatinā viya paribhuñjitabbo. So kira pañcacattālīsa vassāni tiṭṭhamāno ‘‘pacchābhatte ambiluggārasamuṭṭhāpakaṃ katvā ekadivasampi āhāraṃ na āhāresi’’nti vatvā sīhanādaṃ nadanto imaṃ gāthamāha –
‘‘จตฺตาโร ปญฺจ อาโลเป, อภุตฺวา อุทกํ ปิเว;
‘‘Cattāro pañca ālope, abhutvā udakaṃ pive;
อลํ ผาสุวิหาราย, ปหิตตฺตสฺส ภิกฺขุโน’’ติฯ (เถรคา. ๙๘๓);
Alaṃ phāsuvihārāya, pahitattassa bhikkhuno’’ti. (theragā. 983);
ยถา จ เต น อญฺญมญฺญํ มจฺฉรายนฺตา ขาทิํสุ, วิคตมลมเจฺฉเรน ปน ปริสุเทฺธเนว เจตสา ขาทิํสุ, เอวเมว ปิณฺฑปาตํ ลภิตฺวา อมจฺฉรายิตฺวา ‘‘อิมํ สพฺพํ คณฺหนฺตสฺส สพฺพํ ทสฺสามิ, อุปฑฺฒํ คณฺหนฺตสฺส อุปฑฺฒํ, สเจ คหิตาวเสโส ภวิสฺสติ, อตฺตนา ปริภุญฺชิสฺสามี’’ติ สารณียธเมฺม ฐิเตเนว ปริภุญฺชิตโพฺพฯ ยถา จ เต น ‘‘อญฺญํ กิญฺจิ มยํ มิคมํสํ วา โมรมํสาทีนํ วา อญฺญตรํ ขาทามา’’ติ สมฺมูฬฺหา ขาทิํสุ, ปิยปุตฺตมํสภาวํ ปน ชานนฺตาว ขาทิํสุ, เอวเมว ปิณฺฑปาตํ ลภิตฺวา ‘‘อหํ ขาทามิ ภุญฺชามี’’ติ อตฺตูปลทฺธิสโมฺมหํ อนุปฺปาเทตฺวา ‘‘กพฬีการาหาโร น ชานาติ ‘จาตุมหาภูติกกายํ วเฑฺฒมี’ติ, กาโยปิ น ชานาติ ‘กพฬีการาหาโร มํ วเฑฺฒตี’’’ติ, เอวํ สโมฺมหํ ปหาย ปริภุญฺชิตโพฺพฯ สติสมฺปชญฺญวเสนาปิ เจส อสมฺมูเฬฺหเนว หุตฺวา ปริภุญฺชิตโพฺพฯ
Yathā ca te na aññamaññaṃ maccharāyantā khādiṃsu, vigatamalamaccherena pana parisuddheneva cetasā khādiṃsu, evameva piṇḍapātaṃ labhitvā amaccharāyitvā ‘‘imaṃ sabbaṃ gaṇhantassa sabbaṃ dassāmi, upaḍḍhaṃ gaṇhantassa upaḍḍhaṃ, sace gahitāvaseso bhavissati, attanā paribhuñjissāmī’’ti sāraṇīyadhamme ṭhiteneva paribhuñjitabbo. Yathā ca te na ‘‘aññaṃ kiñci mayaṃ migamaṃsaṃ vā moramaṃsādīnaṃ vā aññataraṃ khādāmā’’ti sammūḷhā khādiṃsu, piyaputtamaṃsabhāvaṃ pana jānantāva khādiṃsu, evameva piṇḍapātaṃ labhitvā ‘‘ahaṃ khādāmi bhuñjāmī’’ti attūpaladdhisammohaṃ anuppādetvā ‘‘kabaḷīkārāhāro na jānāti ‘cātumahābhūtikakāyaṃ vaḍḍhemī’ti, kāyopi na jānāti ‘kabaḷīkārāhāro maṃ vaḍḍhetī’’’ti, evaṃ sammohaṃ pahāya paribhuñjitabbo. Satisampajaññavasenāpi cesa asammūḷheneva hutvā paribhuñjitabbo.
ยถา จ เต น ‘‘อโห วต มยํ ปุนปิ เอวรูปํ ปุตฺตมํสํ ขาเทยฺยามา’’ติ ปตฺถนํ กตฺวา ขาทิํสุ, ปตฺถนํ ปน วีติวตฺตาว หุตฺวา ขาทิํสุ, เอวเมว ปณีตโภชนํ ลทฺธา ‘อโห วตาหํ เสฺวปิ ปุนทิวเสปิ เอวรูปํ ลเภยฺยํ’, ลูขํ วา ปน ลทฺธา ‘‘หิโยฺย วิย เม อชฺช ปณีตโภชนํ น ลทฺธ’’นฺติ ปตฺถนํ วา อนุโสจนํ วา อกตฺวา นิตฺตเณฺหน –
Yathā ca te na ‘‘aho vata mayaṃ punapi evarūpaṃ puttamaṃsaṃ khādeyyāmā’’ti patthanaṃ katvā khādiṃsu, patthanaṃ pana vītivattāva hutvā khādiṃsu, evameva paṇītabhojanaṃ laddhā ‘aho vatāhaṃ svepi punadivasepi evarūpaṃ labheyyaṃ’, lūkhaṃ vā pana laddhā ‘‘hiyyo viya me ajja paṇītabhojanaṃ na laddha’’nti patthanaṃ vā anusocanaṃ vā akatvā nittaṇhena –
‘‘อตีตํ นานุโสจามิ, นปฺปชปฺปามินาคตํ;
‘‘Atītaṃ nānusocāmi, nappajappāmināgataṃ;
ปจฺจุปฺปเนฺนน ยาเปมิ, เตน วโณฺณ ปสีทตี’’ติฯ (ชา. ๒.๒๒.๙๐) –
Paccuppannena yāpemi, tena vaṇṇo pasīdatī’’ti. (jā. 2.22.90) –
อิมํ โอวาทํ อนุสฺสรเนฺตน ‘‘ปจฺจุปฺปเนฺนเนว ยาเปสฺสามี’’ติ ปริภุญฺชิตโพฺพฯ
Imaṃ ovādaṃ anussarantena ‘‘paccuppanneneva yāpessāmī’’ti paribhuñjitabbo.
ยถา จ เต น ‘‘เอตฺตกํ กนฺตาเร ขาทิตฺวา อวสิฎฺฐํ กนฺตารํ อติกฺกมฺม โลณมฺพิลาทีหิ โยเชตฺวา ขาทิสฺสามา’’ติ สนฺนิธิํ อกํสุ, กนฺตารปริโยสาเน ปน ‘‘ปุเร มหาชโน ปสฺสตี’’ติ ภูมิยํ วา นิขณิํสุ, อคฺคินา วา ฌาปยิํสุ, เอวเมว –
Yathā ca te na ‘‘ettakaṃ kantāre khāditvā avasiṭṭhaṃ kantāraṃ atikkamma loṇambilādīhi yojetvā khādissāmā’’ti sannidhiṃ akaṃsu, kantārapariyosāne pana ‘‘pure mahājano passatī’’ti bhūmiyaṃ vā nikhaṇiṃsu, agginā vā jhāpayiṃsu, evameva –
‘‘อนฺนานมโถ ปานานํ,
‘‘Annānamatho pānānaṃ,
ขาทนียานํ อโถปิ วตฺถานํ;
Khādanīyānaṃ athopi vatthānaṃ;
ลทฺธา น สนฺนิธิํ กยิรา,
Laddhā na sannidhiṃ kayirā,
น จ ปริตฺตเส ตานิ อลภมาโน’’ติฯ (สุ. นิ. ๙๓๐); –
Na ca parittase tāni alabhamāno’’ti. (su. ni. 930); –
อิมํ โอวาทํ อนุสฺสรเนฺตน จตูสุ ปจฺจเยสุ ยํ ยํ ลภติ, ตโต ตโต อตฺตโน ยาปนมตฺตํ คเหตฺวา, เสสํ สพฺรหฺมจารีนํ วิสฺสเชฺชตฺวา สนฺนิธิํ ปริวชฺชเนฺตน ปริภุญฺชิตโพฺพฯ ยถา จ เต น ‘‘โกจิ อโญฺญ อเมฺห วิย เอวรูปํ ปุตฺตมํสํ ขาทิตุํ น ลภตี’’ติ มานํ วา ทปฺปํ วา อกํสุ, นิหตมานา ปน นิหตทปฺปา หุตฺวา ขาทิํสุ, เอวเมว ปณีตโภชนํ ลภิตฺวา ‘‘อหมสฺมิ ลาภี จีวรปิณฺฑปาตาทีน’’นฺติ น มาโน วา ทโปฺป วา กาตโพฺพฯ ‘‘นายํ ปพฺพชฺชา จีวราทิเหตุ, อรหตฺตเหตุ ปนายํ ปพฺพชฺชา’’ติ ปจฺจเวกฺขิตฺวา นิหตมานทเปฺปเนว ปริภุญฺชิตโพฺพฯ
Imaṃ ovādaṃ anussarantena catūsu paccayesu yaṃ yaṃ labhati, tato tato attano yāpanamattaṃ gahetvā, sesaṃ sabrahmacārīnaṃ vissajjetvā sannidhiṃ parivajjantena paribhuñjitabbo. Yathā ca te na ‘‘koci añño amhe viya evarūpaṃ puttamaṃsaṃ khādituṃ na labhatī’’ti mānaṃ vā dappaṃ vā akaṃsu, nihatamānā pana nihatadappā hutvā khādiṃsu, evameva paṇītabhojanaṃ labhitvā ‘‘ahamasmi lābhī cīvarapiṇḍapātādīna’’nti na māno vā dappo vā kātabbo. ‘‘Nāyaṃ pabbajjā cīvarādihetu, arahattahetu panāyaṃ pabbajjā’’ti paccavekkhitvā nihatamānadappeneva paribhuñjitabbo.
ยถา จ เต ‘‘กิํ อิมินา อโลเณน อนมฺพิเลน อธูปิเตน ทุคฺคเนฺธนา’’ติ หีเฬตฺวา น ขาทิํสุ, หีฬนํ ปน วีติวตฺตา หุตฺวา ขาทิํสุ, เอวเมว ปิณฺฑปาตํ ลภิตฺวา ‘‘กิํ อิมินา อสฺสโคณภตฺตสทิเสน ลูเขน นิรเสน, สุวานโทณิยํ ตํ ปกฺขิปถา’’ติ เอวํ ปิณฺฑปาตํ วา ‘‘โก อิมํ ภุญฺชิสฺสติ, กากสุนขาทีนํ เทหี’’ติ เอวํ ทายกํ วา อหีเฬเนฺตน –
Yathā ca te ‘‘kiṃ iminā aloṇena anambilena adhūpitena duggandhenā’’ti hīḷetvā na khādiṃsu, hīḷanaṃ pana vītivattā hutvā khādiṃsu, evameva piṇḍapātaṃ labhitvā ‘‘kiṃ iminā assagoṇabhattasadisena lūkhena nirasena, suvānadoṇiyaṃ taṃ pakkhipathā’’ti evaṃ piṇḍapātaṃ vā ‘‘ko imaṃ bhuñjissati, kākasunakhādīnaṃ dehī’’ti evaṃ dāyakaṃ vā ahīḷentena –
‘‘ส ปตฺตปาณิ วิจรโนฺต, อมูโค มูคสมฺมโต;
‘‘Sa pattapāṇi vicaranto, amūgo mūgasammato;
อปฺปํ ทานํ น หีเฬยฺย, ทาตารํ นาวชานิยา’’ติฯ (สุ. นิ. ๗๑๘); –
Appaṃ dānaṃ na hīḷeyya, dātāraṃ nāvajāniyā’’ti. (su. ni. 718); –
อิมํ โอวาทํ อนุสฺสรเนฺตน ปริภุญฺชิตโพฺพฯ ยถา จ เต น ‘‘ตุยฺหํ ภาโค, มยฺหํ ภาโค, ตว ปุโตฺต มม ปุโตฺต’’ติ อญฺญมญฺญํ อติมญฺญิํสุ, สมคฺคา ปน, สโมฺมทมานา หุตฺวา ขาทิํสุ, เอวเมวํ ปิณฺฑปาตํ ลภิตฺวา ยถา เอกโจฺจ ‘‘โก ตุมฺหาทิสานํ ทสฺสติ นิกฺการณา อุมฺมาเรสุ ปกฺขลนฺตานํ อาหิณฺฑนฺตานํ วิชาตมาตาปิ โว ทาตพฺพํ น มญฺญติ, มยํ ปน คตคตฎฺฐาเน ปณีตานิ จีวราทีนิ ลภามา’’ติ สีลวเนฺต สพฺรหฺมจารี อติมญฺญติ, ยํ สนฺธาย วุตฺตํ –
Imaṃ ovādaṃ anussarantena paribhuñjitabbo. Yathā ca te na ‘‘tuyhaṃ bhāgo, mayhaṃ bhāgo, tava putto mama putto’’ti aññamaññaṃ atimaññiṃsu, samaggā pana, sammodamānā hutvā khādiṃsu, evamevaṃ piṇḍapātaṃ labhitvā yathā ekacco ‘‘ko tumhādisānaṃ dassati nikkāraṇā ummāresu pakkhalantānaṃ āhiṇḍantānaṃ vijātamātāpi vo dātabbaṃ na maññati, mayaṃ pana gatagataṭṭhāne paṇītāni cīvarādīni labhāmā’’ti sīlavante sabrahmacārī atimaññati, yaṃ sandhāya vuttaṃ –
‘‘โส เตน ลาภสกฺการสิโลเกน อภิภูโต ปริยาทิณฺณจิโตฺต อเญฺญ เปสเล ภิกฺขู อติมญฺญติฯ ตญฺหิ ตสฺส, ภิกฺขเว, โมฆปุริสสฺส โหติ ทีฆรตฺตํ อหิตาย ทุกฺขายา’’ติ (สํ. นิ. ๒.๑๖๑)ฯ
‘‘So tena lābhasakkārasilokena abhibhūto pariyādiṇṇacitto aññe pesale bhikkhū atimaññati. Tañhi tassa, bhikkhave, moghapurisassa hoti dīgharattaṃ ahitāya dukkhāyā’’ti (saṃ. ni. 2.161).
เอวํ กญฺจิ อนติมญฺญิตฺวา สเพฺพหิ สพฺรหฺมจารีหิ สทฺธิํ สมเคฺคน สโมฺมทมาเนน หุตฺวา ปริภุญฺชิตพฺพํฯ
Evaṃ kañci anatimaññitvā sabbehi sabrahmacārīhi saddhiṃ samaggena sammodamānena hutvā paribhuñjitabbaṃ.
ปริญฺญาเตติ ญาตปริญฺญา ตีรณปริญฺญา ปหานปริญฺญาติ อิมาหิ ตีหิ ปริญฺญาหิ ปริญฺญาเตฯ กถํ? อิธ ภิกฺขุ ‘‘กพฬีการาหาโร นาม อยํ สวตฺถุกวเสน โอชฎฺฐมกรูปํ โหติ, โอชฎฺฐมกรูปํ กตฺถ ปฎิหญฺญติ? ชิวฺหาปสาเท, ชิวฺหาปสาโท กินฺนิสฺสิโต? จตุมหาภูตนิสฺสิโตฯ อิติ โอชฎฺฐมกํ ชิวฺหาปสาโท ตสฺส ปจฺจยานิ มหาภูตานีติ อิเม ธมฺมา รูปกฺขโนฺธ นาม, ตํ ปริคฺคณฺหโต อุปฺปนฺนา ผสฺสปญฺจมกา ธมฺมา จตฺตาโร อรูปกฺขนฺธาฯ อิติ สเพฺพปิเม ปญฺจกฺขนฺธา สเงฺขปโต นามรูปมตฺตํ โหตี’’ติ ปชานาติฯ โส เต ธเมฺม สรสลกฺขณโต ววตฺถเปตฺวา เตสํ ปจฺจยํ ปริเยสโนฺต อนุโลมปฎิโลมํ ปฎิจฺจสมุปฺปาทํ ปสฺสติฯ เอตฺตาวตาเนน กพฬีการาหารมุเขน สปฺปจฺจยสฺส นามรูปสฺส ยาถาวโต ทิฎฺฐตฺตา กพฬีการาหาโร ญาตปริญฺญาย ปริญฺญาโต โหติฯ โส ตเทว สปฺปจฺจยํ นามรูปํ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตาติ ตีณิ ลกฺขณานิ อาโรเปตฺวา สตฺตนฺนํ อนุปสฺสนานํ วเสน สมฺมสติฯ เอตฺตาวตาเนน โส ติลกฺขณปฎิเวธสมฺมสนญาณสงฺขาตาย ตีรณปริญฺญาย ปริญฺญาโต โหติฯ ตสฺมิํเยว นามรูเป ฉนฺทราคาวกฑฺฒเนน อนาคามิมเคฺคน ปริชานตา ปหานปริญฺญาย ปริญฺญาโต โหตีติฯ
Pariññāteti ñātapariññā tīraṇapariññā pahānapariññāti imāhi tīhi pariññāhi pariññāte. Kathaṃ? Idha bhikkhu ‘‘kabaḷīkārāhāro nāma ayaṃ savatthukavasena ojaṭṭhamakarūpaṃ hoti, ojaṭṭhamakarūpaṃ kattha paṭihaññati? Jivhāpasāde, jivhāpasādo kinnissito? Catumahābhūtanissito. Iti ojaṭṭhamakaṃ jivhāpasādo tassa paccayāni mahābhūtānīti ime dhammā rūpakkhandho nāma, taṃ pariggaṇhato uppannā phassapañcamakā dhammā cattāro arūpakkhandhā. Iti sabbepime pañcakkhandhā saṅkhepato nāmarūpamattaṃ hotī’’ti pajānāti. So te dhamme sarasalakkhaṇato vavatthapetvā tesaṃ paccayaṃ pariyesanto anulomapaṭilomaṃ paṭiccasamuppādaṃ passati. Ettāvatānena kabaḷīkārāhāramukhena sappaccayassa nāmarūpassa yāthāvato diṭṭhattā kabaḷīkārāhāro ñātapariññāya pariññāto hoti. So tadeva sappaccayaṃ nāmarūpaṃ aniccaṃ dukkhaṃ anattāti tīṇi lakkhaṇāni āropetvā sattannaṃ anupassanānaṃ vasena sammasati. Ettāvatānena so tilakkhaṇapaṭivedhasammasanañāṇasaṅkhātāya tīraṇapariññāya pariññāto hoti. Tasmiṃyeva nāmarūpe chandarāgāvakaḍḍhanena anāgāmimaggena parijānatā pahānapariññāya pariññāto hotīti.
ปญฺจกามคุณิโกติ ปญฺจกามคุณสมฺภโว ราโค ปริญฺญาโต โหติฯ เอตฺถ ปน ติโสฺส ปริญฺญา เอกปริญฺญา สพฺพปริญฺญา มูลปริญฺญาติฯ กตมา เอกปริญฺญา? โย ภิกฺขุ ชิวฺหาทฺวาเร เอกรสตณฺหํ ปริชานาติ, เตน ปญฺจกามคุณิโก ราโค ปริญฺญาโตว โหตีติฯ กสฺมา? ตสฺสาเยว ตตฺถ อุปฺปชฺชนโตฯ สาเยว หิ ตณฺหา จกฺขุทฺวาเร อุปฺปนฺนา รูปราโค นาม โหติ, โสตทฺวาราทีสุ อุปฺปนฺนา สทฺทราคาทโยฯ อิติ ยถา เอกเสฺสว โจรสฺส ปญฺจมเคฺค หนโต เอกสฺมิํ มเคฺค คเหตฺวา สีเส ฉิเนฺน ปญฺจปิ มคฺคา เขมา โหนฺติ, เอวํ ชิวฺหาทฺวาเร รสตณฺหาย ปริญฺญาตาย ปญฺจกามคุณิโก ราโค ปริญฺญาโต โหตีติ อยํ เอกปริญฺญา นามฯ
Pañcakāmaguṇikoti pañcakāmaguṇasambhavo rāgo pariññāto hoti. Ettha pana tisso pariññā ekapariññā sabbapariññā mūlapariññāti. Katamā ekapariññā? Yo bhikkhu jivhādvāre ekarasataṇhaṃ parijānāti, tena pañcakāmaguṇiko rāgo pariññātova hotīti. Kasmā? Tassāyeva tattha uppajjanato. Sāyeva hi taṇhā cakkhudvāre uppannā rūparāgo nāma hoti, sotadvārādīsu uppannā saddarāgādayo. Iti yathā ekasseva corassa pañcamagge hanato ekasmiṃ magge gahetvā sīse chinne pañcapi maggā khemā honti, evaṃ jivhādvāre rasataṇhāya pariññātāya pañcakāmaguṇiko rāgo pariññāto hotīti ayaṃ ekapariññā nāma.
กตมา สพฺพปริญฺญา? ปเตฺต ปกฺขิตฺตปิณฺฑปาตสฺมิญฺหิ เอกสฺมิํเยว ปญฺจกามคุณิกราโค ลพฺภติฯ กถํ? ปริสุทฺธํ ตาวสฺส วณฺณํ โอโลกยโต รูปราโค โหติ, อุเณฺห สปฺปิมฺหิ ตตฺถ อาสิญฺจเนฺต ปฎปฎาติ สโทฺท อุฎฺฐหติ, ตถารูปํ ขาทนียํ วา ขาทนฺตสฺส มุรุมุรูติ สโทฺท อุปฺปชฺชติ, ตํ อสฺสาทยโต สทฺทราโคฯ ชีรกาทิวสคนฺธํ อสฺสาเทนฺตสฺส คนฺธราโค, สาทุรสวเสน รสราโคฯ มุทุโภชนํ ผสฺสวนฺตนฺติ อสฺสาทยโต โผฎฺฐพฺพราโคฯ อิติ อิมสฺมิํ อาหาเร สติสมฺปชเญฺญน ปริคฺคเหตฺวา นิจฺฉนฺทราคปริโภเคน ปริภุเตฺต สโพฺพปิ โส ปริญฺญาโต โหตีติ อยํ สพฺพปริญฺญา นามฯ
Katamā sabbapariññā? Patte pakkhittapiṇḍapātasmiñhi ekasmiṃyeva pañcakāmaguṇikarāgo labbhati. Kathaṃ? Parisuddhaṃ tāvassa vaṇṇaṃ olokayato rūparāgo hoti, uṇhe sappimhi tattha āsiñcante paṭapaṭāti saddo uṭṭhahati, tathārūpaṃ khādanīyaṃ vā khādantassa murumurūti saddo uppajjati, taṃ assādayato saddarāgo. Jīrakādivasagandhaṃ assādentassa gandharāgo, sādurasavasena rasarāgo. Mudubhojanaṃ phassavantanti assādayato phoṭṭhabbarāgo. Iti imasmiṃ āhāre satisampajaññena pariggahetvā nicchandarāgaparibhogena paribhutte sabbopi so pariññāto hotīti ayaṃ sabbapariññā nāma.
กตมา มูลปริญฺญา? ปญฺจกามคุณิกราคสฺส หิ กพฬีการาหาโร มูลํฯ กสฺมา? ตสฺมิํ สติ ตสฺสุปฺปตฺติโต ฯ พฺราหฺมณติสฺสภเย กิร ทฺวาทส วสฺสานิ ชายมฺปติกานํ อุปนิชฺฌานจิตฺตํ นาม นาโหสิฯ กสฺมา? อาหารมนฺทตายฯ ภเย ปน วูปสเนฺต โยชนสติโก ตมฺพปณฺณิทีโป ทารกานํ ชาตมงฺคเลหิ เอกมงฺคโล อโหสิฯ อิติ มูลภูเต อาหาเร ปริญฺญาเต ปญฺจกามคุณิโก ราโค ปริญฺญาโตว โหตีติ อยํ มูลปริญฺญา นามฯ
Katamā mūlapariññā? Pañcakāmaguṇikarāgassa hi kabaḷīkārāhāro mūlaṃ. Kasmā? Tasmiṃ sati tassuppattito . Brāhmaṇatissabhaye kira dvādasa vassāni jāyampatikānaṃ upanijjhānacittaṃ nāma nāhosi. Kasmā? Āhāramandatāya. Bhaye pana vūpasante yojanasatiko tambapaṇṇidīpo dārakānaṃ jātamaṅgalehi ekamaṅgalo ahosi. Iti mūlabhūte āhāre pariññāte pañcakāmaguṇiko rāgo pariññātova hotīti ayaṃ mūlapariññā nāma.
นตฺถิ ตํ สํโยชนนฺติ เตน ราเคน สทฺธิํ ปหาเนกฎฺฐตาย ปหีนตฺตา นตฺถิฯ เอวมยํ เทสนา ยาว อนาคามิมคฺคา กถิตาฯ ‘‘เอตฺตเกน ปน มา โวสานํ อาปชฺชิํสู’’ติ เอเตสํเยว รูปาทีนํ วเสน ปญฺจสุ ขเนฺธสุ วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา ยาว อรหตฺตา กเถตุํ วฎฺฎตีติฯ ปฐมาหาโร (นิฎฺฐิโต)ฯ
Natthi taṃ saṃyojananti tena rāgena saddhiṃ pahānekaṭṭhatāya pahīnattā natthi. Evamayaṃ desanā yāva anāgāmimaggā kathitā. ‘‘Ettakena pana mā vosānaṃ āpajjiṃsū’’ti etesaṃyeva rūpādīnaṃ vasena pañcasu khandhesu vipassanaṃ vaḍḍhetvā yāva arahattā kathetuṃ vaṭṭatīti. Paṭhamāhāro (niṭṭhito).
ทุติเย นิจฺจมฺมาติ ขุรโต ปฎฺฐาย ยาว สิงฺคมูลา สกลสรีรโต อุทฺทาลิตจมฺมา กิํสุกราสิวณฺณาฯ กสฺมา ปน อญฺญํ หตฺถิอสฺสโคณาทิอุปมํ อคเหตฺวา นิจฺจมฺมคาวูปมา คหิตาติ? ติติกฺขิตุํ อสมตฺถภาวทีปนตฺถํฯ มาตุคาโม หิ อุปฺปนฺนํ ทุกฺขเวทนํ ติติกฺขิตุํ อธิวาเสตุํ น สโกฺกติ, เอวเมว ผสฺสาหาโร อพโล ทุพฺพโลติ ทสฺสนตฺถํ สทิสเมว อุปมํ อาหริฯ กุฎฺฎนฺติ สิลากุฎฺฎาทีนํ อญฺญตรํฯ กุฎฺฎนิสฺสิตา ปาณา นาม อุณฺณนาภิสรพูมูสิกาทโยฯ รุกฺขนิสฺสิตาติ อุจฺจาลิงฺคปาณกาทโยฯ อุทกนิสฺสิตาติ มจฺฉสุํสุมาราทโยฯ อากาสนิสฺสิตาติ ฑํสมกสกากกุลลาทโยฯ ขาเทยฺยุนฺติ ลุญฺจิตฺวา ขาเทยฺยุํฯ สา ตสฺมิํ ตสฺมิํ ฐาเน ตํ ตํฐานสนฺนิสฺสยมูลิกํ ปาณขาทนภยํ สมฺปสฺสมานา เนว อตฺตโน สกฺการสมฺมานํ, น ปิฎฺฐิปริกมฺมสรีรสมฺพาหนอุโณฺหทกานิ อิจฺฉติ, เอวเมว ภิกฺขุ ผสฺสาหารมูลกํ กิเลสปาณกขาทนภยํ สมฺปสฺสมาโน เตภูมกผเสฺสน อนตฺถิโก โหติฯ
Dutiye niccammāti khurato paṭṭhāya yāva siṅgamūlā sakalasarīrato uddālitacammā kiṃsukarāsivaṇṇā. Kasmā pana aññaṃ hatthiassagoṇādiupamaṃ agahetvā niccammagāvūpamā gahitāti? Titikkhituṃ asamatthabhāvadīpanatthaṃ. Mātugāmo hi uppannaṃ dukkhavedanaṃ titikkhituṃ adhivāsetuṃ na sakkoti, evameva phassāhāro abalo dubbaloti dassanatthaṃ sadisameva upamaṃ āhari. Kuṭṭanti silākuṭṭādīnaṃ aññataraṃ. Kuṭṭanissitā pāṇā nāma uṇṇanābhisarabūmūsikādayo. Rukkhanissitāti uccāliṅgapāṇakādayo. Udakanissitāti macchasuṃsumārādayo. Ākāsanissitāti ḍaṃsamakasakākakulalādayo. Khādeyyunti luñcitvā khādeyyuṃ. Sā tasmiṃ tasmiṃ ṭhāne taṃ taṃṭhānasannissayamūlikaṃ pāṇakhādanabhayaṃ sampassamānā neva attano sakkārasammānaṃ, na piṭṭhiparikammasarīrasambāhanauṇhodakāni icchati, evameva bhikkhu phassāhāramūlakaṃ kilesapāṇakakhādanabhayaṃ sampassamāno tebhūmakaphassena anatthiko hoti.
ผเสฺส, ภิกฺขเว, อาหาเร ปริญฺญาเตติ ตีหิ ปริญฺญาหิ ปริญฺญาเตฯ อิธาปิ ติโสฺส ปริญฺญาฯ ตตฺถ ‘‘ผโสฺส สงฺขารกฺขโนฺธ , ตํสมฺปยุตฺตา เวทนา เวทนากฺขโนฺธ, สญฺญา สญฺญากฺขโนฺธ, จิตฺตํ วิญฺญาณกฺขโนฺธ, เตสํ วตฺถารมฺมณานิ รูปกฺขโนฺธ’’ติ เอวํ สปฺปจฺจยสฺส นามรูปสฺส ยาถาวโต ทสฺสนํ ญาตปริญฺญาฯ ตเตฺถว ติลกฺขณํ อาโรเปตฺวา สตฺตนฺนํ อนุปสฺสนานํ วเสน อนิจฺจาทิโต ตุลนํ ตีรณปริญฺญาฯ ตสฺมิํเยว ปน นามรูเป ฉนฺทราคนิกฺกฑฺฒโน อรหตฺตมโคฺค ปหานปริญฺญาฯ ติโสฺส เวทนาติ เอวํ ผสฺสาหาเร ตีหิ ปริญฺญาหิ ปริญฺญาเต ติโสฺส เวทนา ปริญฺญาตาว โหนฺติ ตมฺมูลกตฺตา ตํสมฺปยุตฺตตฺตา จฯ อิติ ผสฺสาหารวเสน เทสนา ยาว อรหตฺตา กถิตาฯ ทุติยาหาโรฯ
Phasse, bhikkhave, āhāre pariññāteti tīhi pariññāhi pariññāte. Idhāpi tisso pariññā. Tattha ‘‘phasso saṅkhārakkhandho , taṃsampayuttā vedanā vedanākkhandho, saññā saññākkhandho, cittaṃ viññāṇakkhandho, tesaṃ vatthārammaṇāni rūpakkhandho’’ti evaṃ sappaccayassa nāmarūpassa yāthāvato dassanaṃ ñātapariññā. Tattheva tilakkhaṇaṃ āropetvā sattannaṃ anupassanānaṃ vasena aniccādito tulanaṃ tīraṇapariññā. Tasmiṃyeva pana nāmarūpe chandarāganikkaḍḍhano arahattamaggo pahānapariññā. Tisso vedanāti evaṃ phassāhāre tīhi pariññāhi pariññāte tisso vedanā pariññātāva honti tammūlakattā taṃsampayuttattā ca. Iti phassāhāravasena desanā yāva arahattā kathitā. Dutiyāhāro.
ตติเย องฺคารกาสูติ องฺคารานํ กาสุฯ กาสูติ ราสิปิ วุจฺจติ อาวาโฎปิฯ
Tatiye aṅgārakāsūti aṅgārānaṃ kāsu. Kāsūti rāsipi vuccati āvāṭopi.
‘‘องฺคารกาสุํ อปเร ผุณนฺติ,
‘‘Aṅgārakāsuṃ apare phuṇanti,
นรา รุทนฺตา ปริทฑฺฒคตฺตา;
Narā rudantā paridaḍḍhagattā;
ภยญฺหิ มํ วินฺทติ สูต ทิสฺวา,
Bhayañhi maṃ vindati sūta disvā,
ปุจฺฉามิ ตํ มาตลิ เทวสารถี’’ติฯ (ชา. ๒.๒๒.๔๖๒); –
Pucchāmi taṃ mātali devasārathī’’ti. (jā. 2.22.462); –
เอตฺถ ราสิ ‘‘กาสู’’ติ วุโตฺตฯ
Ettha rāsi ‘‘kāsū’’ti vutto.
‘‘กินฺนุ สนฺตรมาโนว, กาสุํ ขนสิ สารถี’’ติ? (ชา. ๒.๒๒.๓)ฯ –
‘‘Kinnu santaramānova, kāsuṃ khanasi sārathī’’ti? (Jā. 2.22.3). –
เอตฺถ อาวาโฎฯ อิธาปิ อยเมว อธิเปฺปโตฯ สาธิกโปริสาติ อติเรกโปริสา ปญฺจรตนปฺปมาณาฯ วีตจฺจิกานํ วีตธูมานนฺติ เอเตนสฺส มหาปริฬาหตํ ทเสฺสติฯ ชาลาย วา หิ ธูเม วา สติ วาโต สมุฎฺฐาติ, ปริฬาโห มหา น โหติ, ตทภาเว วาตาภาวโต ปริฬาโห มหา โหติฯ อารกาวสฺสาติ ทูเรเยว ภเวยฺยฯ
Ettha āvāṭo. Idhāpi ayameva adhippeto. Sādhikaporisāti atirekaporisā pañcaratanappamāṇā. Vītaccikānaṃ vītadhūmānanti etenassa mahāpariḷāhataṃ dasseti. Jālāya vā hi dhūme vā sati vāto samuṭṭhāti, pariḷāho mahā na hoti, tadabhāve vātābhāvato pariḷāho mahā hoti. Ārakāvassāti dūreyeva bhaveyya.
เอวเมว โขติ เอตฺถ อิทํ โอปมฺมสํสนฺทนํ – องฺคารกาสุ วิย หิ เตภูมกวฎฺฎํ ทฎฺฐพฺพํฯ ชีวิตุกาโม ปุริโส วิย วฎฺฎนิสฺสิโต พาลปุถุชฺชโนฯ เทฺว พลวโนฺต ปุริสา วิย กุสลากุสลกมฺมํฯ เตสํ ตํ ปุริสํ นานาพาหาสุ คเหตฺวา องฺคารกาสุํ อุปกฑฺฒนกาโล วิย ปุถุชฺชนสฺส กมฺมายูหนกาโลฯ กมฺมญฺหิ อายูหิยมานเมว ปฎิสนฺธิํ อากฑฺฒติ นามฯ องฺคารกาสุนิทานํ ทุกฺขํ วิย กมฺมนิทานํ วฎฺฎทุกฺขํ เวทิตพฺพํฯ
Evamevakhoti ettha idaṃ opammasaṃsandanaṃ – aṅgārakāsu viya hi tebhūmakavaṭṭaṃ daṭṭhabbaṃ. Jīvitukāmo puriso viya vaṭṭanissito bālaputhujjano. Dve balavanto purisā viya kusalākusalakammaṃ. Tesaṃ taṃ purisaṃ nānābāhāsu gahetvā aṅgārakāsuṃ upakaḍḍhanakālo viya puthujjanassa kammāyūhanakālo. Kammañhi āyūhiyamānameva paṭisandhiṃ ākaḍḍhati nāma. Aṅgārakāsunidānaṃ dukkhaṃ viya kammanidānaṃ vaṭṭadukkhaṃ veditabbaṃ.
ปริญฺญาเตติ ตีหิ ปริญฺญาหิ ปริญฺญาเตฯ ปริญฺญาโยชนา ปเนตฺถ ผเสฺส วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพาฯ ติโสฺส ตณฺหาติ กามตณฺหา ภวตณฺหา วิภวตณฺหาติ อิมา ปริญฺญาตา โหนฺติฯ กสฺมา? ตณฺหามูลกตฺตา มโนสเญฺจตนายฯ น หิ เหตุมฺหิ อปฺปหีเน ผลํ ปหียติฯ อิติ มโนสเญฺจตนาหารวเสนปิ ยาว อรหตฺตา เทสนา กถิตาฯ ตติยาหาโรฯ
Pariññāteti tīhi pariññāhi pariññāte. Pariññāyojanā panettha phasse vuttanayeneva veditabbā. Tisso taṇhāti kāmataṇhā bhavataṇhā vibhavataṇhāti imā pariññātā honti. Kasmā? Taṇhāmūlakattā manosañcetanāya. Na hi hetumhi appahīne phalaṃ pahīyati. Iti manosañcetanāhāravasenapi yāva arahattā desanā kathitā. Tatiyāhāro.
จตุเตฺถ อาคุจารินฺติ ปาปจาริํ โทสการกํฯ กถํ โส ปุริโสติ โส ปุริโส กถํภูโต, กิํ ยาเปติ, น ยาเปตีติ ปุจฺฉติ? ตเถว เทว ชีวตีติ ยถา ปุเพฺพ, อิทานิปิ ตเถว ชีวติฯ
Catutthe āgucārinti pāpacāriṃ dosakārakaṃ. Kathaṃ so purisoti so puriso kathaṃbhūto, kiṃ yāpeti, na yāpetīti pucchati? Tatheva deva jīvatīti yathā pubbe, idānipi tatheva jīvati.
เอวเมว โขติ อิธาปิ อิทํ โอปมฺมสํสนฺทนํ – ราชา วิย หิ กมฺมํ ทฎฺฐพฺพํ, อาคุจารี ปุริโส วิย วฎฺฎสนฺนิสฺสิโต พาลปุถุชฺชโน, ตีณิ สตฺติสตานิ วิย ปฎิสนฺธิวิญฺญาณํ, อาคุจาริํ ปุริสํ ‘‘ตีหิ สตฺติสเตหิ หนถา’’ติ รญฺญา อาณตฺตกาโล วิย กมฺมรญฺญา วฎฺฎสนฺนิสฺสิตปุถุชฺชนํ คเหตฺวา ปฎิสนฺธิยํ ปกฺขิปนกาโลฯ ตตฺถ กิญฺจาปิ ตีณิ สตฺติสตานิ วิย ปฎิสนฺธิวิญฺญาณํ, สตฺตีสุ ปน ทุกฺขํ นตฺถิ, สตฺตีหิ ปหฎวณมูลกํ ทุกฺขํ, เอวเมว ปฎิสนฺธิยมฺปิ ทุกฺขํ นตฺถิ, ทินฺนาย ปน ปฎิสนฺธิยา ปวเตฺต วิปากทุกฺขํ สตฺติปหฎวณมูลกํ ทุกฺขํ วิย โหติฯ
Evamevakhoti idhāpi idaṃ opammasaṃsandanaṃ – rājā viya hi kammaṃ daṭṭhabbaṃ, āgucārī puriso viya vaṭṭasannissito bālaputhujjano, tīṇi sattisatāni viya paṭisandhiviññāṇaṃ, āgucāriṃ purisaṃ ‘‘tīhi sattisatehi hanathā’’ti raññā āṇattakālo viya kammaraññā vaṭṭasannissitaputhujjanaṃ gahetvā paṭisandhiyaṃ pakkhipanakālo. Tattha kiñcāpi tīṇi sattisatāni viya paṭisandhiviññāṇaṃ, sattīsu pana dukkhaṃ natthi, sattīhi pahaṭavaṇamūlakaṃ dukkhaṃ, evameva paṭisandhiyampi dukkhaṃ natthi, dinnāya pana paṭisandhiyā pavatte vipākadukkhaṃ sattipahaṭavaṇamūlakaṃ dukkhaṃ viya hoti.
ปริญฺญาเตติ ตีเหว ปริญฺญาหิ ปริญฺญาเตฯ อิธาปิ ปริญฺญาโยชนา ผสฺสาหาเร วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพาฯ นามรูปนฺติ วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํฯ วิญฺญาณสฺมิญฺหิ ปริญฺญาเต ตํ ปริญฺญาตเมว โหติ ตมฺมูลกตฺตา สหุปฺปนฺนตฺตา จฯ อิติ วิญฺญาณาหารวเสนปิ ยาว อรหตฺตา เทสนา กถิตาติฯ จตุตฺถาหาโรฯ ตติยํฯ
Pariññāteti tīheva pariññāhi pariññāte. Idhāpi pariññāyojanā phassāhāre vuttanayeneva veditabbā. Nāmarūpanti viññāṇapaccayā nāmarūpaṃ. Viññāṇasmiñhi pariññāte taṃ pariññātameva hoti tammūlakattā sahuppannattā ca. Iti viññāṇāhāravasenapi yāva arahattā desanā kathitāti. Catutthāhāro. Tatiyaṃ.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๓. ปุตฺตมํสูปมสุตฺตํ • 3. Puttamaṃsūpamasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๓. ปุตฺตมํสูปมสุตฺตวณฺณนา • 3. Puttamaṃsūpamasuttavaṇṇanā