Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถา • Suttanipāta-aṭṭhakathā |
๑๑. ราหุลสุตฺตวณฺณนา
11. Rāhulasuttavaṇṇanā
๓๓๘. กจฺจิ อภิณฺหสํวาสาติ ราหุลสุตฺตํฯ กา อุปฺปตฺติ? ภควา สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุชฺฌิตฺวา โพธิมณฺฑโต อนุปุเพฺพน กปิลวตฺถุํ คนฺตฺวา ตตฺถ ราหุลกุมาเรน ‘‘ทายชฺชํ เม สมณ เทหี’’ติ ทายชฺชํ ยาจิโต สาริปุตฺตเตฺถรํ อาณาเปสิ – ‘‘ราหุลกุมารํ ปพฺพาเชหี’’ติฯ ตํ สพฺพํ ขนฺธกฎฺฐกถายํ (มหาว. อฎฺฐ. ๑๐๕) วุตฺตนเยเนว คเหตพฺพํฯ เอวํ ปพฺพชิตํ ปน ราหุลกุมารํ วุฑฺฒิปฺปตฺตํ สาริปุตฺตเตฺถโรว อุปสมฺปาเทสิ, มหาโมคฺคลฺลานเตฺถโร อสฺส กมฺมวาจาจริโย อโหสิฯ ตํ ภควา ‘‘อยํ กุมาโร ชาติอาทิสมฺปโนฺน, โส ชาติโคตฺตกุลวณฺณโปกฺขรตาทีนิ นิสฺสาย มานํ วา มทํ วา มา อกาสี’’ติ ทหรกาลโต ปภุติ ยาว น อริยภูมิํ ปาปุณิ, ตาว โอวทโนฺต อภิณฺหํ อิมํ สุตฺตมภาสิฯ ตสฺมา เจตํ สุตฺตปริโยสาเนปิ วุตฺตํ ‘‘อิตฺถํ สุทํ ภควา อายสฺมนฺตํ ราหุลํ อิมาหิ คาถาหิ อภิณฺหํ โอวทตี’’ติฯ ตตฺถ ปฐมคาถายํ อยํ สเงฺขปโตฺถ ‘‘กจฺจิ ตฺวํ, ราหุล, อภิณฺหํ สํวาสเหตุ ชาติอาทีนํ อญฺญตเรน วตฺถุนา น ปริภวสิ ปณฺฑิตํ, ญาณปทีปสฺส ธมฺมเทสนาปทีปสฺส จ ธารณโต อุกฺกาธาโร มนุสฺสานํ กจฺจิ อปจิโต ตยา, กจฺจิ นิจฺจํ ปูชิโต ตยา’’ติ อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตํ สนฺธาย ภณติฯ
338.Kacciabhiṇhasaṃvāsāti rāhulasuttaṃ. Kā uppatti? Bhagavā sammāsambodhiṃ abhisambujjhitvā bodhimaṇḍato anupubbena kapilavatthuṃ gantvā tattha rāhulakumārena ‘‘dāyajjaṃ me samaṇa dehī’’ti dāyajjaṃ yācito sāriputtattheraṃ āṇāpesi – ‘‘rāhulakumāraṃ pabbājehī’’ti. Taṃ sabbaṃ khandhakaṭṭhakathāyaṃ (mahāva. aṭṭha. 105) vuttanayeneva gahetabbaṃ. Evaṃ pabbajitaṃ pana rāhulakumāraṃ vuḍḍhippattaṃ sāriputtattherova upasampādesi, mahāmoggallānatthero assa kammavācācariyo ahosi. Taṃ bhagavā ‘‘ayaṃ kumāro jātiādisampanno, so jātigottakulavaṇṇapokkharatādīni nissāya mānaṃ vā madaṃ vā mā akāsī’’ti daharakālato pabhuti yāva na ariyabhūmiṃ pāpuṇi, tāva ovadanto abhiṇhaṃ imaṃ suttamabhāsi. Tasmā cetaṃ suttapariyosānepi vuttaṃ ‘‘itthaṃ sudaṃ bhagavā āyasmantaṃ rāhulaṃ imāhi gāthāhi abhiṇhaṃ ovadatī’’ti. Tattha paṭhamagāthāyaṃ ayaṃ saṅkhepattho ‘‘kacci tvaṃ, rāhula, abhiṇhaṃ saṃvāsahetu jātiādīnaṃ aññatarena vatthunā na paribhavasi paṇḍitaṃ, ñāṇapadīpassa dhammadesanāpadīpassa ca dhāraṇato ukkādhāro manussānaṃkacci apacito tayā, kacci niccaṃ pūjito tayā’’ti āyasmantaṃ sāriputtaṃ sandhāya bhaṇati.
๓๓๙. เอวํ วุเตฺต อายสฺมา ราหุโล ‘‘นาหํ ภควา นีจปุริโส วิย สํวาสเหตุ มานํ วา มทํ วา กโรมี’’ติ ทีเปโนฺต อิมํ ปฎิคาถมาห ‘‘นาหํ อภิณฺหสํวาสา’’ติฯ สา อุตฺตานตฺถา เอวฯ
339. Evaṃ vutte āyasmā rāhulo ‘‘nāhaṃ bhagavā nīcapuriso viya saṃvāsahetu mānaṃ vā madaṃ vā karomī’’ti dīpento imaṃ paṭigāthamāha ‘‘nāhaṃ abhiṇhasaṃvāsā’’ti. Sā uttānatthā eva.
๓๔๐. ตโต นํ ภควา อุตฺตริํ โอวทโนฺต ปญฺจ กามคุเณติอาทิกา อวเสสคาถาโย อาหฯ ตตฺถ ยสฺมา ปญฺจ กามคุณา สตฺตานํ ปิยรูปา ปิยชาติกา อติวิย สเตฺตหิ อิจฺฉิตา ปตฺถิตา , มโน จ เนสํ รมยนฺติ, เต จายสฺมา ราหุโล หิตฺวา สทฺธาย ฆรา นิกฺขโนฺต, น ราชาภินีโต, น โจราภินีโต, น อิณโฎฺฎ, น ภยโฎฺฎ, น ชีวิกาปกโต, ตสฺมา นํ ภควา ‘‘ปญฺจ กามคุเณ หิตฺวา, ปิยรูเป มโนรเม, สทฺธาย ฆรา นิกฺขมฺมา’’ติ สมุเตฺตเชตฺวา อิมสฺส เนกฺขมฺมสฺส ปติรูปาย ปฎิปตฺติยา นิโยเชโนฺต อาห – ‘‘ทุกฺขสฺสนฺตกโร ภวา’’ติฯ
340. Tato naṃ bhagavā uttariṃ ovadanto pañca kāmaguṇetiādikā avasesagāthāyo āha. Tattha yasmā pañca kāmaguṇā sattānaṃ piyarūpā piyajātikā ativiya sattehi icchitā patthitā , mano ca nesaṃ ramayanti, te cāyasmā rāhulo hitvā saddhāya gharā nikkhanto, na rājābhinīto, na corābhinīto, na iṇaṭṭo, na bhayaṭṭo, na jīvikāpakato, tasmā naṃ bhagavā ‘‘pañca kāmaguṇe hitvā, piyarūpe manorame, saddhāya gharā nikkhammā’’ti samuttejetvā imassa nekkhammassa patirūpāya paṭipattiyā niyojento āha – ‘‘dukkhassantakaro bhavā’’ti.
ตตฺถ สิยา ‘‘นนุ จายสฺมา ทายชฺชํ ปเตฺถโนฺต พลกฺกาเรน ปพฺพาชิโต, อถ กสฺมา ภควา อาห – ‘สทฺธาย ฆรา นิกฺขมฺมา’’’ติ วุจฺจเต – เนกฺขมฺมาธิมุตฺตตฺตาฯ อยญฺหิ อายสฺมา ทีฆรตฺตํ เนกฺขมฺมาธิมุโตฺต ปทุมุตฺตรสมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ปุตฺตํ อุปเรวตํ นาม สามเณรํ ทิสฺวา สโงฺข นาม นาคราชา หุตฺวา สตฺต ทิวเส ทานํ ทตฺวา ตถาภาวํ ปเตฺถตฺวา ตโต ปภุติ ปตฺถนาสมฺปโนฺน อภินีหารสมฺปโนฺน สตสหสฺสกเปฺป ปารมิโย ปูเรตฺวา อนฺติมภวํ อุปปโนฺนฯ เอวํ เนกฺขมฺมาธิมุตฺตตญฺจสฺส ภควา ชานาติฯ ตถาคตพลญฺญตรญฺหิ เอตํ ญาณํฯ ตสฺมา อาห – ‘‘สทฺธาย ฆรา นิกฺขมฺมา’’ติฯ อถ วา ทีฆรตฺตํ สทฺธาเยว ฆรา นิกฺขมฺม อิทานิ ทุกฺขสฺสนฺตกโร ภวาติ อยเมตฺถ อธิปฺปาโยฯ
Tattha siyā ‘‘nanu cāyasmā dāyajjaṃ patthento balakkārena pabbājito, atha kasmā bhagavā āha – ‘saddhāya gharā nikkhammā’’’ti vuccate – nekkhammādhimuttattā. Ayañhi āyasmā dīgharattaṃ nekkhammādhimutto padumuttarasammāsambuddhassa puttaṃ uparevataṃ nāma sāmaṇeraṃ disvā saṅkho nāma nāgarājā hutvā satta divase dānaṃ datvā tathābhāvaṃ patthetvā tato pabhuti patthanāsampanno abhinīhārasampanno satasahassakappe pāramiyo pūretvā antimabhavaṃ upapanno. Evaṃ nekkhammādhimuttatañcassa bhagavā jānāti. Tathāgatabalaññatarañhi etaṃ ñāṇaṃ. Tasmā āha – ‘‘saddhāya gharā nikkhammā’’ti. Atha vā dīgharattaṃ saddhāyeva gharā nikkhamma idāni dukkhassantakaro bhavāti ayamettha adhippāyo.
๓๔๑. อิทานิสฺส อาทิโต ปภุติ วฎฺฎทุกฺขสฺส อนฺตกิริยาย ปฎิปตฺติํ ทเสฺสตุํ ‘‘มิเตฺต ภชสฺสุ กลฺยาเณ’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ สีลาทีหิ อธิกา กลฺยาณมิตฺตา นาม, เต ภชโนฺต หิมวนฺตํ นิสฺสาย มหาสาลา มูลาทีหิ วิย สีลาทีหิ วฑฺฒติฯ เตนาห – ‘‘มิเตฺต ภชสฺสุ กลฺยาเณ’’ติฯ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ, วิวิตฺตํ อปฺปนิโคฺฆสนฺติ ยญฺจ สยนาสนํ ปนฺตํ ทูรํ วิวิตฺตํ อปฺปากิณฺณํ อปฺปนิโคฺฆสํ, ยตฺถ มิคสูกราทิสเทฺทน อรญฺญสญฺญา อุปฺปชฺชติ, ตถารูปํ สยนาสนญฺจ ภชสฺสุฯ มตฺตญฺญู โหหิ โภชเนติ ปมาณญฺญู โหหิ, ปฎิคฺคหณมตฺตํ ปริโภคมตฺตญฺจ ชานาหีติ อโตฺถฯ ตตฺถ ปฎิคฺคหณมตฺตญฺญุนา เทยฺยธเมฺมปิ อเปฺป ทายเกปิ อปฺปํ ทาตุกาเม อปฺปเมว คเหตพฺพํ, เทยฺยธเมฺม อเปฺป ทายเก ปน พหุํ ทาตุกาเมปิ อปฺปเมว คเหตพฺพํ, เทยฺยธเมฺม ปน พหุตเร ทายเกปิ อปฺปํ ทาตุกาเม อปฺปเมว คเหตพฺพํ, เทยฺยธเมฺมปิ พหุตเร ทายเกปิ พหุํ ทาตุกาเม อตฺตโน พลํ ชานิตฺวา คเหตพฺพํฯ อปิจ มตฺตาเยว วณฺณิตา ภควตาติ ปริโภคมตฺตญฺญุนา ปุตฺตมํสํ วิย อกฺขพฺภญฺชนมิว จ โยนิโส มนสิ กริตฺวา โภชนํ ปริภุญฺชิตพฺพนฺติฯ
341. Idānissa ādito pabhuti vaṭṭadukkhassa antakiriyāya paṭipattiṃ dassetuṃ ‘‘mitte bhajassu kalyāṇe’’tiādimāha. Tattha sīlādīhi adhikā kalyāṇamittā nāma, te bhajanto himavantaṃ nissāya mahāsālā mūlādīhi viya sīlādīhi vaḍḍhati. Tenāha – ‘‘mitte bhajassu kalyāṇe’’ti. Pantañca sayanāsanaṃ, vivittaṃ appanigghosanti yañca sayanāsanaṃ pantaṃ dūraṃ vivittaṃ appākiṇṇaṃ appanigghosaṃ, yattha migasūkarādisaddena araññasaññā uppajjati, tathārūpaṃ sayanāsanañca bhajassu. Mattaññū hohi bhojaneti pamāṇaññū hohi, paṭiggahaṇamattaṃ paribhogamattañca jānāhīti attho. Tattha paṭiggahaṇamattaññunā deyyadhammepi appe dāyakepi appaṃ dātukāme appameva gahetabbaṃ, deyyadhamme appe dāyake pana bahuṃ dātukāmepi appameva gahetabbaṃ, deyyadhamme pana bahutare dāyakepi appaṃ dātukāme appameva gahetabbaṃ, deyyadhammepi bahutare dāyakepi bahuṃ dātukāme attano balaṃ jānitvā gahetabbaṃ. Apica mattāyeva vaṇṇitā bhagavatāti paribhogamattaññunā puttamaṃsaṃ viya akkhabbhañjanamiva ca yoniso manasi karitvā bhojanaṃ paribhuñjitabbanti.
๓๔๒. เอวมิมาย คาถาย พฺรหฺมจริยสฺส อุปการภูตาย กลฺยาณมิตฺตเสวนาย นิโยเชตฺวา เสนาสนโภชนมุเขน จ ปจฺจยปริโภคปาริสุทฺธิสีเล สมาทเปตฺวา อิทานิ ยสฺมา จีวราทีสุ ตณฺหาย มิจฺฉาอาชีโว โหติ, ตสฺมา ตํ ปฎิเสเธตฺวา อาชีวปาริสุทฺธิสีเล สมาทเปโนฺต ‘‘จีวเร ปิณฺฑปาเต จา’’ติ อิมํ คาถมาหฯ ตตฺถ ปจฺจเยติ คิลานปฺปจฺจเยฯ เอเตสูติ เอเตสุ จตูสุ จีวราทีสุ ภิกฺขูนํ ตณฺหุปฺปาทวตฺถูสุฯ ตณฺหํ มากาสีติ ‘‘หิริโกปีนปฎิจฺฉาทนาทิอตฺถเมว เต จตฺตาโร ปจฺจยา นิจฺจาตุรานํ ปุริสานํ ปฎิการภูตา ชชฺชรฆรเสฺสวิมสฺส อติทุพฺพลสฺส กายสฺส อุปตฺถมฺภภูตา’’ติอาทินา นเยน อาทีนวํ ปสฺสโนฺต ตณฺหํ มา ชเนสิ, อชเนโนฺต อนุปฺปาเทโนฺต วิหราหีติ วุตฺตํ โหติฯ กิํ การณํ? มา โลกํ ปุนราคมิฯ เอเตสุ หิ ตณฺหํ กโรโนฺต ตณฺหาย อากฑฺฒิยมาโน ปุนปิ อิมํ โลกํ อาคจฺฉติฯ โส ตฺวํ เอเตสุ ตณฺหํ มากาสิ, เอวํ สเนฺต น ปุน อิมํ โลกํ อาคมิสฺสสีติฯ
342. Evamimāya gāthāya brahmacariyassa upakārabhūtāya kalyāṇamittasevanāya niyojetvā senāsanabhojanamukhena ca paccayaparibhogapārisuddhisīle samādapetvā idāni yasmā cīvarādīsu taṇhāya micchāājīvo hoti, tasmā taṃ paṭisedhetvā ājīvapārisuddhisīle samādapento ‘‘cīvare piṇḍapāte cā’’ti imaṃ gāthamāha. Tattha paccayeti gilānappaccaye. Etesūti etesu catūsu cīvarādīsu bhikkhūnaṃ taṇhuppādavatthūsu. Taṇhaṃ mākāsīti ‘‘hirikopīnapaṭicchādanādiatthameva te cattāro paccayā niccāturānaṃ purisānaṃ paṭikārabhūtā jajjaragharassevimassa atidubbalassa kāyassa upatthambhabhūtā’’tiādinā nayena ādīnavaṃ passanto taṇhaṃ mā janesi, ajanento anuppādento viharāhīti vuttaṃ hoti. Kiṃ kāraṇaṃ? Mālokaṃ punarāgami. Etesu hi taṇhaṃ karonto taṇhāya ākaḍḍhiyamāno punapi imaṃ lokaṃ āgacchati. So tvaṃ etesu taṇhaṃ mākāsi, evaṃ sante na puna imaṃ lokaṃ āgamissasīti.
เอวํ วุเตฺต อายสฺมา ราหุโล ‘‘จีวเร ตณฺหํ มากาสีติ มํ ภควา อาหา’’ติ จีวรปฎิสํยุตฺตานิ เทฺว ธุตงฺคานิ สมาทิยิ ปํสุกูลิกงฺคญฺจ, เตจีวริกงฺคญฺจฯ ‘‘ปิณฺฑปาเต ตณฺหํ มากาสีติ มํ ภควา อาหา’’ติ ปิณฺฑปาตปฎิสํยุตฺตานิ ปญฺจ ธุตงฺคานิ สมาทิยิ – ปิณฺฑปาติกงฺคํ, สปทานจาริกงฺคํ, เอกาสนิกงฺคํ, ปตฺตปิณฺฑิกงฺคํ, ขลุปจฺฉาภตฺติกงฺคนฺติฯ ‘‘เสนาสเน ตณฺหํ มากาสีติ มํ ภควา อาหา’’ติ เสนาสนปฎิสํยุตฺตานิ ฉ ธุตงฺคานิ สมาทิยิ – อารญฺญิกงฺคํ, อโพฺภกาสิกงฺคํ, รุกฺขมูลิกงฺคํ, ยถาสนฺถติกงฺคํ, โสสานิกงฺคํ, เนสชฺชิกงฺคนฺติฯ ‘‘คิลานปฺปจฺจเย ตณฺหํ มากาสีติ มํ ภควา อาหา’’ติ สพฺพปฺปจฺจเยสุ ยถาลาภํ ยถาพลํ ยถาสารุปฺปนฺติ ตีหิ สโนฺตเสหิ สนฺตุโฎฺฐ อโหสิ, ยถา ตํ สุพฺพโจ กุลปุโตฺต ปทกฺขิณคฺคาหี อนุสาสนินฺติฯ
Evaṃ vutte āyasmā rāhulo ‘‘cīvare taṇhaṃ mākāsīti maṃ bhagavā āhā’’ti cīvarapaṭisaṃyuttāni dve dhutaṅgāni samādiyi paṃsukūlikaṅgañca, tecīvarikaṅgañca. ‘‘Piṇḍapāte taṇhaṃ mākāsīti maṃ bhagavā āhā’’ti piṇḍapātapaṭisaṃyuttāni pañca dhutaṅgāni samādiyi – piṇḍapātikaṅgaṃ, sapadānacārikaṅgaṃ, ekāsanikaṅgaṃ, pattapiṇḍikaṅgaṃ, khalupacchābhattikaṅganti. ‘‘Senāsane taṇhaṃ mākāsīti maṃ bhagavā āhā’’ti senāsanapaṭisaṃyuttāni cha dhutaṅgāni samādiyi – āraññikaṅgaṃ, abbhokāsikaṅgaṃ, rukkhamūlikaṅgaṃ, yathāsanthatikaṅgaṃ, sosānikaṅgaṃ, nesajjikaṅganti. ‘‘Gilānappaccaye taṇhaṃ mākāsīti maṃ bhagavā āhā’’ti sabbappaccayesu yathālābhaṃ yathābalaṃ yathāsāruppanti tīhi santosehi santuṭṭho ahosi, yathā taṃ subbaco kulaputto padakkhiṇaggāhī anusāsaninti.
๓๔๓. เอวํ ภควา อายสฺมนฺตํ ราหุลํ อาชีวปาริสุทฺธิสีเล สมาทเปตฺวา อิทานิ อวเสสสีเล สมถวิปสฺสนาสุ จ สมาทเปตุํ ‘‘สํวุโต ปาติโมกฺขสฺมิ’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ สํวุโต ปาติโมกฺขสฺมินฺติ เอตฺถ ภวสฺสูติ ปาฐเสโสฯ ภวาติ อนฺติมปเทน วา สมฺพโนฺธ เวทิตโพฺพ, ตถา ทุติยปเทฯ เอวเมเตหิ ทฺวีหิ วจเนหิ ปาติโมกฺขสํวรสีเล, อินฺทฺริยสํวรสีเล จ สมาทเปสิฯ ปากฎวเสน เจตฺถ ปญฺจินฺทฺริยานิ วุตฺตานิฯ ลกฺขณโต ปน ฉฎฺฐมฺปิ วุตฺตํเยว โหตีติ เวทิตพฺพํฯ สติ กายคตา ตฺยตฺถูติ เอวํ จตุปาริสุทฺธิสีเล ปติฎฺฐิตสฺส ตุยฺหํ จตุธาตุววตฺถานจตุพฺพิธสมฺปชญฺญานาปานสฺสติอาหาเรปฎิกูลสญฺญาภาวนาทิเภทา กายคตา สติ อตฺถุ ภวตุ, ภาเวหิ นนฺติ อโตฺถฯ นิพฺพิทาพหุโล ภวาติ สํสารวเฎฺฎ อุกฺกณฺฐนพหุโล สพฺพโลเก อนภิรตสญฺญี โหหีติ อโตฺถฯ
343. Evaṃ bhagavā āyasmantaṃ rāhulaṃ ājīvapārisuddhisīle samādapetvā idāni avasesasīle samathavipassanāsu ca samādapetuṃ ‘‘saṃvuto pātimokkhasmi’’ntiādimāha. Tattha saṃvuto pātimokkhasminti ettha bhavassūti pāṭhaseso. Bhavāti antimapadena vā sambandho veditabbo, tathā dutiyapade. Evametehi dvīhi vacanehi pātimokkhasaṃvarasīle, indriyasaṃvarasīle ca samādapesi. Pākaṭavasena cettha pañcindriyāni vuttāni. Lakkhaṇato pana chaṭṭhampi vuttaṃyeva hotīti veditabbaṃ. Sati kāyagatā tyatthūti evaṃ catupārisuddhisīle patiṭṭhitassa tuyhaṃ catudhātuvavatthānacatubbidhasampajaññānāpānassatiāhārepaṭikūlasaññābhāvanādibhedā kāyagatā sati atthu bhavatu, bhāvehi nanti attho. Nibbidābahulo bhavāti saṃsāravaṭṭe ukkaṇṭhanabahulo sabbaloke anabhiratasaññī hohīti attho.
๓๔๔. เอตฺตาวตา นิเพฺพธภาคิยํ อุปจารภูมิํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อปฺปนาภูมิํ ทเสฺสโนฺต ‘‘นิมิตฺตํ ปริวเชฺชหี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ นิมิตฺตนฺติ ราคฎฺฐานิยํ สุภนิมิตฺตํฯ เตเนว นํ ปรโต วิเสเสโนฺต อาห – ‘‘สุภํ ราคูปสญฺหิต’’นฺติฯ ปริวเชฺชหีติ อมนสิกาเรน ปริจฺจชาหิฯ อสุภาย จิตฺตํ ภาเวหีติ ยถา สวิญฺญาณเก อวิญฺญาณเก วา กาเย อสุภภาวนา สมฺปชฺชติ, เอวํ จิตฺตํ ภาเวหิฯ เอกคฺคํ สุสมาหิตนฺติ อุปจารสมาธินา เอกคฺคํ, อปฺปนาสมาธินา สุสมาหิตํฯ ยถา เต อีทิสํ จิตฺตํ โหติ, ตถา นํ ภาเวหีติ อโตฺถฯ
344. Ettāvatā nibbedhabhāgiyaṃ upacārabhūmiṃ dassetvā idāni appanābhūmiṃ dassento ‘‘nimittaṃ parivajjehī’’tiādimāha. Tattha nimittanti rāgaṭṭhāniyaṃ subhanimittaṃ. Teneva naṃ parato visesento āha – ‘‘subhaṃ rāgūpasañhita’’nti. Parivajjehīti amanasikārena pariccajāhi. Asubhāya cittaṃ bhāvehīti yathā saviññāṇake aviññāṇake vā kāye asubhabhāvanā sampajjati, evaṃ cittaṃ bhāvehi. Ekaggaṃ susamāhitanti upacārasamādhinā ekaggaṃ, appanāsamādhinā susamāhitaṃ. Yathā te īdisaṃ cittaṃ hoti, tathā naṃ bhāvehīti attho.
๓๔๕. เอวมสฺส อปฺปนาภูมิํ ทเสฺสตฺวา วิปสฺสนํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อนิมิตฺต’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ อนิมิตฺตญฺจ ภาเวหีติ เอวํ นิเพฺพธภาคิเยน สมาธินา สมาหิตจิโตฺต วิปสฺสนํ ภาเวหีติ วุตฺตํ โหติฯ วิปสฺสนา หิ ‘‘อนิจฺจานุปสฺสนาญาณํ นิจฺจนิมิตฺตโต วิมุจฺจตีติ อนิมิโตฺต วิโมโกฺข’’ติอาทินา นเยน ราคนิมิตฺตาทีนํ วา อคฺคหเณน อนิมิตฺตโวหารํ ลภติฯ ยถาห –
345. Evamassa appanābhūmiṃ dassetvā vipassanaṃ dassento ‘‘animitta’’ntiādimāha. Tattha animittañca bhāvehīti evaṃ nibbedhabhāgiyena samādhinā samāhitacitto vipassanaṃ bhāvehīti vuttaṃ hoti. Vipassanā hi ‘‘aniccānupassanāñāṇaṃ niccanimittato vimuccatīti animitto vimokkho’’tiādinā nayena rāganimittādīnaṃ vā aggahaṇena animittavohāraṃ labhati. Yathāha –
‘‘โส ขฺวาหํ, อาวุโส, สพฺพนิมิตฺตานํ อมนสิการา อนิมิตฺตํ เจโตสมาธิํ อุปสมฺปชฺช วิหรามิฯ ตสฺส มยฺหํ, อาวุโส, อิมินา วิหาเรน วิหรโต นิมิตฺตานุสาริ วิญฺญาณํ โหตี’’ติ (สํ. นิ. ๔.๓๔๐)ฯ
‘‘So khvāhaṃ, āvuso, sabbanimittānaṃ amanasikārā animittaṃ cetosamādhiṃ upasampajja viharāmi. Tassa mayhaṃ, āvuso, iminā vihārena viharato nimittānusāri viññāṇaṃ hotī’’ti (saṃ. ni. 4.340).
มานานุสยมุชฺชหาติ อิมาย อนิมิตฺตภาวนาย อนิจฺจสญฺญํ ปฎิลภิตฺวา ‘‘อนิจฺจสญฺญิโน, เมฆิย, อนตฺตสญฺญา สณฺฐาติ, อนตฺตสญฺญี อสฺมิมานสมุคฺฆาตํ ปาปุณาตี’’ติ เอวมาทินา (อ. นิ. ๙.๓; อุทา. ๓๑) อนุกฺกเมน มานานุสยํ อุชฺชห ปชห ปริจฺจชาหีติ อโตฺถฯ ตโต มานาภิสมยา, อุปสโนฺต จริสฺสสีติ อเถวํ อริยมเคฺคน มานสฺส อภิสมยา ขยา วยา ปหานา ปฎินิสฺสคฺคา อุปสโนฺต นิพฺพุโต สีติภูโต สพฺพทรถปริฬาหวิรหิโต ยาว อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพาสิ, ตาว สุญฺญตานิมิตฺตาปฺปณิหิตานํ อญฺญตรญฺญตเรน ผลสมาปตฺติวิหาเรน จริสฺสสิ วิหริสฺสสีติ อรหตฺตนิกูเฎน เทสนํ นิฎฺฐาเปสิฯ
Mānānusayamujjahāti imāya animittabhāvanāya aniccasaññaṃ paṭilabhitvā ‘‘aniccasaññino, meghiya, anattasaññā saṇṭhāti, anattasaññī asmimānasamugghātaṃ pāpuṇātī’’ti evamādinā (a. ni. 9.3; udā. 31) anukkamena mānānusayaṃ ujjaha pajaha pariccajāhīti attho. Tato mānābhisamayā, upasanto carissasīti athevaṃ ariyamaggena mānassa abhisamayā khayā vayā pahānā paṭinissaggā upasanto nibbuto sītibhūto sabbadarathapariḷāhavirahito yāva anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbāsi, tāva suññatānimittāppaṇihitānaṃ aññataraññatarena phalasamāpattivihārena carissasi viharissasīti arahattanikūṭena desanaṃ niṭṭhāpesi.
ตโต ปรํ ‘‘อิตฺถํ สุทํ ภควา’’ติอาทิ สงฺคีติการกานํ วจนํฯ ตตฺถ อิตฺถํ สุทนฺติ อิตฺถํ สุ อิทํ, เอวเมวาติ วุตฺตํ โหติฯ เสสเมตฺถ อุตฺตานตฺถเมวฯ เอวํ โอวทิยมาโน จายสฺมา ราหุโล ปริปากคเตสุ วิมุตฺติปริปาจนิเยสุ ธเมฺมสุ จูฬราหุโลวาทสุตฺตปริโยสาเน อเนเกหิ เทวตาสหเสฺสหิ สทฺธิํ อรหเตฺต ปติฎฺฐาสีติฯ
Tato paraṃ ‘‘itthaṃ sudaṃ bhagavā’’tiādi saṅgītikārakānaṃ vacanaṃ. Tattha itthaṃ sudanti itthaṃ su idaṃ, evamevāti vuttaṃ hoti. Sesamettha uttānatthameva. Evaṃ ovadiyamāno cāyasmā rāhulo paripākagatesu vimuttiparipācaniyesu dhammesu cūḷarāhulovādasuttapariyosāne anekehi devatāsahassehi saddhiṃ arahatte patiṭṭhāsīti.
ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย
Paramatthajotikāya khuddaka-aṭṭhakathāya
สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถาย ราหุลสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Suttanipāta-aṭṭhakathāya rāhulasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / สุตฺตนิปาตปาฬิ • Suttanipātapāḷi / ๑๑. ราหุลสุตฺตํ • 11. Rāhulasuttaṃ