Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มหาวคฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvagga-aṭṭhakathā |
ราหุลวตฺถุกถา
Rāhulavatthukathā
๑๐๕. เยน กปิลวตฺถุ เตน จาริกํ ปกฺกามีติ เอตฺถ อยํ อนุปุพฺพิกถาฯ สุโทฺธทนมหาราชา กิร โพธิสตฺตสฺส อภินิกฺขมนทิวสโต ปฎฺฐาย ‘‘มม ปุโตฺต พุโทฺธ ภวิสฺสามีติ นิกฺขโนฺต, ชาโต นุ โข พุโทฺธ’’ติ ปวตฺติสวนตฺถํ โอหิตโสโตว วิหรติฯ โส ภควโต ปธานจริยญฺจ สโมฺพธิญฺจ ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนาทีนิ จ สุณโนฺต ‘‘อิทานิ กิร เม ปุโตฺต ราชคหํ อุปนิสฺสาย วิหรตี’’ติ สุตฺวา เอกํ อมจฺจํ อาณาเปสิ – ‘‘อหํ ตาต วุโฑฺฒ มหลฺลโก, สาธุ เม ชีวนฺตเสฺสว ปุตฺตํ ทเสฺสหี’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ ปฎิสฺสุณิตฺวา ปุริสสหสฺสปริวาโร ราชคหํ คนฺตฺวา ภควโต ปาเท วนฺทิตฺวา นิสีทิฯ อถสฺส ภควา ธมฺมกถํ กเถสิ, โส ปสีทิตฺวา ปพฺพชฺชเญฺจว อุปสมฺปทญฺจ ยาจิฯ ตโต นํ ภควา เอหิภิกฺขูปสมฺปทาย อุปสมฺปาเทสิ , โส สปริโส อรหตฺตํ ปตฺวา ตเตฺถว ผลสมาปตฺติสุขํ อนุภวมาโน วิหาสิฯ ราชา เตเนว อุปาเยน อปเรปิ อฎฺฐ ทูเต ปหิณิ, เตปิ สเพฺพ สปริสา ตเถว อรหตฺตํ ปตฺวา ตเตฺถว วิหริํสุฯ ‘‘อิมินา นาม การเณน เต นาคจฺฉนฺตี’’ติ รโญฺญ โกจิ ปวตฺติมตฺตมฺปิ อาโรเจโนฺต นตฺถิฯ
105.Yenakapilavatthu tena cārikaṃ pakkāmīti ettha ayaṃ anupubbikathā. Suddhodanamahārājā kira bodhisattassa abhinikkhamanadivasato paṭṭhāya ‘‘mama putto buddho bhavissāmīti nikkhanto, jāto nu kho buddho’’ti pavattisavanatthaṃ ohitasotova viharati. So bhagavato padhānacariyañca sambodhiñca dhammacakkappavattanādīni ca suṇanto ‘‘idāni kira me putto rājagahaṃ upanissāya viharatī’’ti sutvā ekaṃ amaccaṃ āṇāpesi – ‘‘ahaṃ tāta vuḍḍho mahallako, sādhu me jīvantasseva puttaṃ dassehī’’ti. So ‘‘sādhū’’ti paṭissuṇitvā purisasahassaparivāro rājagahaṃ gantvā bhagavato pāde vanditvā nisīdi. Athassa bhagavā dhammakathaṃ kathesi, so pasīditvā pabbajjañceva upasampadañca yāci. Tato naṃ bhagavā ehibhikkhūpasampadāya upasampādesi , so sapariso arahattaṃ patvā tattheva phalasamāpattisukhaṃ anubhavamāno vihāsi. Rājā teneva upāyena aparepi aṭṭha dūte pahiṇi, tepi sabbe saparisā tatheva arahattaṃ patvā tattheva vihariṃsu. ‘‘Iminā nāma kāraṇena te nāgacchantī’’ti rañño koci pavattimattampi ārocento natthi.
อถ ราชา โพธิสเตฺตน สทฺธิํ เอกทิวสํชาตํ กาฬุทายิํ นาม อมจฺจํ ปหิณิตุกาโม ปุริมนเยเนว ยาจิ, โส ‘‘สเจ อหํ ปพฺพชิตุํ ลภามิ, ทเสฺสสฺสามี’’ติ อาหฯ ตํ ราชา ‘‘ปพฺพชิตฺวาปิ เม ปุตฺตํ ทเสฺสหี’’ติ ปหิณิ; โสปิ ปุริสสหสฺสปริวาโร คนฺตฺวา ตเถว สปริวาโร อรหตฺตํ ปาปุณิฯ โส เอกทิวสํ สมฺภเตสุ สพฺพสเสฺสสุ วิสฺสฎฺฐกมฺมเนฺตสุ ชนปทมนุเสฺสสุ ปุปฺผิเตสุ ถลชชลชปุเปฺผสุ ปฎิปชฺชนกฺขเม มเคฺค ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา สฎฺฐิมตฺตาหิ คาถาหิ คมนวณฺณํ วเณฺณสิฯ ภควา ‘‘กิเมต’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ภเนฺต ตุมฺหากํ ปิตา สุโทฺธทนมหาราชา มหลฺลโกมฺหิ, ชีวนฺตเสฺสว เม ปุตฺตํ ทเสฺสหี’’ติ มํ เปเสสิ, สาธุ ภเนฺต ภควา ญาตกานํ สงฺคหํ กโรตุ, กาโล จาริกํ ปกฺกมิตุนฺติฯ เตน หิ สงฺฆสฺส อาโรเจหิ, ‘‘ภิกฺขู คมิยวตฺตํ ปูเรสฺสนฺตี’’ติฯ ‘‘สาธุ ภเนฺต’’ติ เถโร ตถา อกาสิฯ ภควา องฺคมคธวาสีนํ กุลปุตฺตานํ ทสหิ สหเสฺสหิ กปิลวตฺถุวาสีนํ ทสหีติ สเพฺพเหว วีสติสหเสฺสหิ ขีณาสเวหิ ปริวุโต ราชคหา นิกฺขมิตฺวา ราชคหโต สฎฺฐิโยชนิกํ กปิลวตฺถุํ ทิวเส ทิวเส โยชนํ คจฺฉโนฺต ทฺวีหิ มาเสหิ ปาปุณิสฺสามีติ อตุริตจาริกํ ปกฺกามิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘เยน กปิลวตฺถุ เตน จาริกํ ปกฺกามี’’ติฯ
Atha rājā bodhisattena saddhiṃ ekadivasaṃjātaṃ kāḷudāyiṃ nāma amaccaṃ pahiṇitukāmo purimanayeneva yāci, so ‘‘sace ahaṃ pabbajituṃ labhāmi, dassessāmī’’ti āha. Taṃ rājā ‘‘pabbajitvāpi me puttaṃ dassehī’’ti pahiṇi; sopi purisasahassaparivāro gantvā tatheva saparivāro arahattaṃ pāpuṇi. So ekadivasaṃ sambhatesu sabbasassesu vissaṭṭhakammantesu janapadamanussesu pupphitesu thalajajalajapupphesu paṭipajjanakkhame magge bhagavantaṃ vanditvā saṭṭhimattāhi gāthāhi gamanavaṇṇaṃ vaṇṇesi. Bhagavā ‘‘kimeta’’nti pucchi. ‘‘Bhante tumhākaṃ pitā suddhodanamahārājā mahallakomhi, jīvantasseva me puttaṃ dassehī’’ti maṃ pesesi, sādhu bhante bhagavā ñātakānaṃ saṅgahaṃ karotu, kālo cārikaṃ pakkamitunti. Tena hi saṅghassa ārocehi, ‘‘bhikkhū gamiyavattaṃ pūressantī’’ti. ‘‘Sādhu bhante’’ti thero tathā akāsi. Bhagavā aṅgamagadhavāsīnaṃ kulaputtānaṃ dasahi sahassehi kapilavatthuvāsīnaṃ dasahīti sabbeheva vīsatisahassehi khīṇāsavehi parivuto rājagahā nikkhamitvā rājagahato saṭṭhiyojanikaṃ kapilavatthuṃ divase divase yojanaṃ gacchanto dvīhi māsehi pāpuṇissāmīti aturitacārikaṃ pakkāmi. Tena vuttaṃ – ‘‘yena kapilavatthu tena cārikaṃ pakkāmī’’ti.
เอวํ ปกฺกเนฺต จ ภควติ อุทายิเตฺถโร นิกฺขนฺตทิวสโต ปฎฺฐาย สุโทฺธทนมหาราชสฺส เคเห ภตฺตกิจฺจํ กโรติฯ ราชา เถรํ ปริวิสิตฺวา ปตฺตํ คนฺธจุเณฺณน อุพฺพเฎฺฎตฺวา อุตฺตมโภชนสฺส ปูเรตฺวา ‘‘ภควโต เทหี’’ติ เถรสฺส หเตฺถ ฐเปติฯ เถโรปิ ตเถว กโรติฯ อิติ ภควา อนฺตรามเคฺค รโญฺญเยว ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชิฯ เถโรปิ จ ภตฺตกิจฺจาวสาเน ทิวเส ทิวเส รโญฺญ อาโรเจติ ‘‘อชฺช ภควา เอตฺตกํ อาคโต’’ติ, พุทฺธคุณปฎิสํยุตฺตาย จ กถาย สากิยานํ ภควติ สทฺธํ อุปฺปาเทสิฯ เตเนว นํ ภควา ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ กุลปฺปสาทกานํ ยทิทํ กาฬุทายี’’ติ เอตทเคฺค ฐเปสิฯ
Evaṃ pakkante ca bhagavati udāyitthero nikkhantadivasato paṭṭhāya suddhodanamahārājassa gehe bhattakiccaṃ karoti. Rājā theraṃ parivisitvā pattaṃ gandhacuṇṇena ubbaṭṭetvā uttamabhojanassa pūretvā ‘‘bhagavato dehī’’ti therassa hatthe ṭhapeti. Theropi tatheva karoti. Iti bhagavā antarāmagge raññoyeva piṇḍapātaṃ paribhuñji. Theropi ca bhattakiccāvasāne divase divase rañño āroceti ‘‘ajja bhagavā ettakaṃ āgato’’ti, buddhaguṇapaṭisaṃyuttāya ca kathāya sākiyānaṃ bhagavati saddhaṃ uppādesi. Teneva naṃ bhagavā ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ kulappasādakānaṃ yadidaṃ kāḷudāyī’’ti etadagge ṭhapesi.
สากิยาปิ โข อนุปฺปเตฺต ภควติ ‘‘อมฺหากํ ญาติเสฎฺฐํ ปสฺสิสฺสามา’’ติ สนฺนิปติตฺวา ภควโต วสนฎฺฐานํ วีมํสมานา นิโคฺรธสกฺกสฺส อาราโม รมณีโยติ สลฺลเกฺขตฺวา ตตฺถ สพฺพํ ปฎิชคฺคนวิธิํ กาเรตฺวา คนฺธปุปฺผาทิหตฺถา ปจฺจุคฺคมนํ กโรนฺตา สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิเต ทหรทหเร นาคริกทารเก จ ทาริกาโย จ ปฐมํ ปหิณิํสุ, ตโต ราชกุมาเร จ ราชกุมาริกาโย จ เตสํ อนนฺตรา สามํ คนฺตฺวา คนฺธปุปฺผจุณฺณาทีหิ ปูชยมานา ภควนฺตํ คเหตฺวา นิโคฺรธารามเมว อคมํสุฯ ตตฺร ภควา วีสติสหสฺสขีณาสวปริวุโต ปญฺญตฺตวรพุทฺธาสเน นิสีทิฯ สากิยา มานชาติกา มานถทฺธา, เต ‘‘สิทฺธตฺถกุมาโร อเมฺหหิ ทหรตโรว อมฺหากํ กนิโฎฺฐ, ภาคิเนโยฺย, ปุโตฺต, นตฺตา’’ติ จิเนฺตตฺวา ทหรทหเร ราชกุมาเร อาหํสุ – ‘‘ตุเมฺห วนฺทถ, มยํ ตุมฺหากํ ปิฎฺฐิโต นิสีทิสฺสามา’’ติฯ
Sākiyāpi kho anuppatte bhagavati ‘‘amhākaṃ ñātiseṭṭhaṃ passissāmā’’ti sannipatitvā bhagavato vasanaṭṭhānaṃ vīmaṃsamānā nigrodhasakkassa ārāmo ramaṇīyoti sallakkhetvā tattha sabbaṃ paṭijagganavidhiṃ kāretvā gandhapupphādihatthā paccuggamanaṃ karontā sabbālaṅkārapaṭimaṇḍite daharadahare nāgarikadārake ca dārikāyo ca paṭhamaṃ pahiṇiṃsu, tato rājakumāre ca rājakumārikāyo ca tesaṃ anantarā sāmaṃ gantvā gandhapupphacuṇṇādīhi pūjayamānā bhagavantaṃ gahetvā nigrodhārāmameva agamaṃsu. Tatra bhagavā vīsatisahassakhīṇāsavaparivuto paññattavarabuddhāsane nisīdi. Sākiyā mānajātikā mānathaddhā, te ‘‘siddhatthakumāro amhehi daharatarova amhākaṃ kaniṭṭho, bhāgineyyo, putto, nattā’’ti cintetvā daharadahare rājakumāre āhaṃsu – ‘‘tumhe vandatha, mayaṃ tumhākaṃ piṭṭhito nisīdissāmā’’ti.
เตสุ เอวํ นิสิเนฺนสุ ภควา เตสํ อชฺฌาสยํ โอโลเกตฺวา ‘‘น มํ ญาตี วนฺทนฺติ, หนฺท เน วนฺทาปยิสฺสามี’’ติ อภิญฺญาปาทกํ จตุตฺถชฺฌานํ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย อิทฺธิยา อากาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา เตสํ สีเส ปาทปํสุํ โอกิรมาโน วิย กณฺฑมฺพมูเล ยมกปาฎิหาริยสทิสํ ปาฎิหาริยมกาสิฯ ราชา ตํ อจฺฉริยํ ทิสฺวา อาห – ‘‘ภควา ตุมฺหากํ มงฺคลทิวเส พฺราหฺมณสฺส วนฺทนตฺถํ อุปนีตานํ ปาเท โว ปริวตฺติตฺวา พฺราหฺมณสฺส มตฺถเก ปติฎฺฐิเต ทิสฺวาปิ อหํ ตุเมฺห วนฺทิํ, อยํ เม ปฐมวนฺทนาฯ วปฺปมงฺคลทิวเส ชมฺพุจฺฉายาย สิริสยเน นิปนฺนานํ โว ชมฺพุจฺฉายาย อปริวตฺตนํ ทิสฺวาปิ ปาเท วนฺทิํ, อยํ เม ทุติยวนฺทนาฯ อิทานิ อิมํ อทิฎฺฐปุพฺพํ ปาฎิหาริยํ ทิสฺวาปิ ตุมฺหากํ ปาเท วนฺทามิ, อยํ เม ตติยวนฺทนา’’ติฯ
Tesu evaṃ nisinnesu bhagavā tesaṃ ajjhāsayaṃ oloketvā ‘‘na maṃ ñātī vandanti, handa ne vandāpayissāmī’’ti abhiññāpādakaṃ catutthajjhānaṃ samāpajjitvā vuṭṭhāya iddhiyā ākāsaṃ abbhuggantvā tesaṃ sīse pādapaṃsuṃ okiramāno viya kaṇḍambamūle yamakapāṭihāriyasadisaṃ pāṭihāriyamakāsi. Rājā taṃ acchariyaṃ disvā āha – ‘‘bhagavā tumhākaṃ maṅgaladivase brāhmaṇassa vandanatthaṃ upanītānaṃ pāde vo parivattitvā brāhmaṇassa matthake patiṭṭhite disvāpi ahaṃ tumhe vandiṃ, ayaṃ me paṭhamavandanā. Vappamaṅgaladivase jambucchāyāya sirisayane nipannānaṃ vo jambucchāyāya aparivattanaṃ disvāpi pāde vandiṃ, ayaṃ me dutiyavandanā. Idāni imaṃ adiṭṭhapubbaṃ pāṭihāriyaṃ disvāpi tumhākaṃ pāde vandāmi, ayaṃ me tatiyavandanā’’ti.
สุโทฺธทนมหาราเชน ปน วนฺทิเต ภควติ อวนฺทิตฺวา ฐิโต นาม เอกสากิโยปิ นาโหสิ, สเพฺพเยว วนฺทิํสุฯ อิติ ภควา ญาตโย วนฺทาเปตฺวา อากาสโต โอรุยฺห ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีทิฯ นิสิเนฺน ภควติ สิขาปฺปโตฺต ญาติสมาคโม อโหสิ, สเพฺพ เอกคฺคา สนฺนิปติํสุฯ ตโต มหาเมโฆ โปกฺขรวสฺสํ วสฺสิ, ตมฺพวณฺณมุทกํ เหฎฺฐา วิรวนฺตํ คจฺฉติฯ กสฺสจิ สรีเร เอกพินฺทุมตฺตมฺปิ น ปตติ, ตํ ทิสฺวา สเพฺพ อจฺฉริยพฺภุตชาตา อเหสุํฯ ภควา ‘‘น อิทาเนว มยฺหํ ญาติสมาคเม โปกฺขรวสฺสํ วสฺสติ, อตีเตปิ วสฺสี’’ติ อิมิสฺสา อฎฺฐุปฺปตฺติยา เวสฺสนฺตรชาตกํ กเถสิฯ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา สเพฺพ อุฎฺฐาย วนฺทิตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ปกฺกมิํสุฯ เอโกปิ ราชา วา ราชมหามโตฺต วา ‘‘เสฺว อมฺหากํ ภิกฺขํ คณฺหถา’’ติ วตฺวา คโต นาม นตฺถิฯ
Suddhodanamahārājena pana vandite bhagavati avanditvā ṭhito nāma ekasākiyopi nāhosi, sabbeyeva vandiṃsu. Iti bhagavā ñātayo vandāpetvā ākāsato oruyha paññatte āsane nisīdi. Nisinne bhagavati sikhāppatto ñātisamāgamo ahosi, sabbe ekaggā sannipatiṃsu. Tato mahāmegho pokkharavassaṃ vassi, tambavaṇṇamudakaṃ heṭṭhā viravantaṃ gacchati. Kassaci sarīre ekabindumattampi na patati, taṃ disvā sabbe acchariyabbhutajātā ahesuṃ. Bhagavā ‘‘na idāneva mayhaṃ ñātisamāgame pokkharavassaṃ vassati, atītepi vassī’’ti imissā aṭṭhuppattiyā vessantarajātakaṃ kathesi. Dhammadesanaṃ sutvā sabbe uṭṭhāya vanditvā padakkhiṇaṃ katvā pakkamiṃsu. Ekopi rājā vā rājamahāmatto vā ‘‘sve amhākaṃ bhikkhaṃ gaṇhathā’’ti vatvā gato nāma natthi.
ภควา ทุติยทิวเส วีสติภิกฺขุสหสฺสปริวาโร กปิลวตฺถุํ ปิณฺฑาย ปาวิสิ, น โกจิ ปจฺจุคฺคนฺตฺวา นิมเนฺตสิ วา ปตฺตํ วา อคฺคเหสิฯ ภควา อินฺทขีเล ฐิโต อาวเชฺชสิ – ‘‘กถํ นุ โข ปุเพฺพ พุทฺธา กุลนคเร ปิณฺฑาย จริํสุ, กิํ อุปฺปฎิปาฎิยา อิสฺสรชนานํ ฆรานิ อคมํสุ, อุทาหุ สปทานจาริกํ จริํสู’’ติฯ ตโต เอกพุทฺธสฺสปิ อุปฺปฎิปาฎิยา คมนํ อทิสฺวา ‘‘มยาปิ อิทานิ อยเมว วํโส อยํ ปเวณี ปคฺคเหตพฺพา, อายติญฺจ เม สาวกาปิ มเมว อนุสิกฺขนฺตา ปิณฺฑจาริยวตฺตํ ปูเรสฺสนฺตี’’ติ โกฎิยํ นิวิฎฺฐเคหโต ปฎฺฐาย สปทานํ ปิณฺฑาย จรติฯ ‘‘อโยฺย กิร สิทฺธตฺถกุมาโร ปิณฺฑาย จรตี’’ติ จตุภูมกาทีสุ ปาสาเทสุ สีหปญฺชรํ วิวริตฺวา มหาชโน ทสฺสนพฺยาวโฎ อโหสิฯ ราหุลมาตาปิ เทวี ‘‘อยฺยปุโตฺต กิร อิมสฺมิํเยว นคเร มหตา ราชานุภาเวน สุวณฺณสิวิกาทีหิ วิจริตฺวา อิทานิ เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายวตฺถวสโน กปาลหโตฺถ ปิณฺฑาย จรติ, ‘‘โสภติ นุ โข โน วา’’ติ สีหปญฺชรํ วิวริตฺวา โอโลกยมานา ภควนฺตํ นานาวิราคสมุชฺชลาย สรีรปฺปภาย นครวีถิโย โอภาเสตฺวา พุทฺธสิริยา วิโรจมานํ ทิสฺวา อุณฺหีสโต ปฎฺฐาย ยาว ปาทตลา นรสีหคาถาหิ นาม อฎฺฐหิ คาถาหิ อภิตฺถวิตฺวา รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘ตุมฺหากํ ปุโตฺต ปิณฺฑาย จรตี’’ติ รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา สํวิคฺคหทโย หเตฺถน สาฎกํ สณฺฐาปยมาโน ตุริตตุริตํ นิกฺขมิตฺวา เวเคน คนฺตฺวา ภควโต ปุรโต ฐตฺวา อาห – ‘‘กิํ ภเนฺต อเมฺห ลชฺชาเปถ, กิมตฺถํ ปิณฺฑาย จรถ, กิํ เอตฺตกานํ ภิกฺขูนํ น สกฺกา ภตฺตํ ลทฺธุนฺติ เอวํสญฺญิโน อหุวตฺถา’’ติฯ วํสจาริตฺตเมตํ มหาราช อมฺหากนฺติฯ นนุ ภเนฺต อมฺหากํ มหาสมฺมตขตฺติยวํโส นาม วํโส, ตตฺถ จ เอกขตฺติโยปิ ภิกฺขาจาโร นาม นตฺถีติฯ อยํ มหาราช วํโส นาม ตว วํโส, อมฺหากํ ปน พุทฺธวํโส วํโส นาม, สพฺพพุทฺธา จ ปิณฺฑจาริกา อเหสุนฺติ อนฺตรวีถิยํ ฐิโตว –
Bhagavā dutiyadivase vīsatibhikkhusahassaparivāro kapilavatthuṃ piṇḍāya pāvisi, na koci paccuggantvā nimantesi vā pattaṃ vā aggahesi. Bhagavā indakhīle ṭhito āvajjesi – ‘‘kathaṃ nu kho pubbe buddhā kulanagare piṇḍāya cariṃsu, kiṃ uppaṭipāṭiyā issarajanānaṃ gharāni agamaṃsu, udāhu sapadānacārikaṃ cariṃsū’’ti. Tato ekabuddhassapi uppaṭipāṭiyā gamanaṃ adisvā ‘‘mayāpi idāni ayameva vaṃso ayaṃ paveṇī paggahetabbā, āyatiñca me sāvakāpi mameva anusikkhantā piṇḍacāriyavattaṃ pūressantī’’ti koṭiyaṃ niviṭṭhagehato paṭṭhāya sapadānaṃ piṇḍāya carati. ‘‘Ayyo kira siddhatthakumāro piṇḍāya caratī’’ti catubhūmakādīsu pāsādesu sīhapañjaraṃ vivaritvā mahājano dassanabyāvaṭo ahosi. Rāhulamātāpi devī ‘‘ayyaputto kira imasmiṃyeva nagare mahatā rājānubhāvena suvaṇṇasivikādīhi vicaritvā idāni kesamassuṃ ohāretvā kāsāyavatthavasano kapālahattho piṇḍāya carati, ‘‘sobhati nu kho no vā’’ti sīhapañjaraṃ vivaritvā olokayamānā bhagavantaṃ nānāvirāgasamujjalāya sarīrappabhāya nagaravīthiyo obhāsetvā buddhasiriyā virocamānaṃ disvā uṇhīsato paṭṭhāya yāva pādatalā narasīhagāthāhi nāma aṭṭhahi gāthāhi abhitthavitvā rañño santikaṃ gantvā ‘‘tumhākaṃ putto piṇḍāya caratī’’ti rañño ārocesi. Rājā saṃviggahadayo hatthena sāṭakaṃ saṇṭhāpayamāno turitaturitaṃ nikkhamitvā vegena gantvā bhagavato purato ṭhatvā āha – ‘‘kiṃ bhante amhe lajjāpetha, kimatthaṃ piṇḍāya caratha, kiṃ ettakānaṃ bhikkhūnaṃ na sakkā bhattaṃ laddhunti evaṃsaññino ahuvatthā’’ti. Vaṃsacārittametaṃ mahārāja amhākanti. Nanu bhante amhākaṃ mahāsammatakhattiyavaṃso nāma vaṃso, tattha ca ekakhattiyopi bhikkhācāro nāma natthīti. Ayaṃ mahārāja vaṃso nāma tava vaṃso, amhākaṃ pana buddhavaṃso vaṃso nāma, sabbabuddhā ca piṇḍacārikā ahesunti antaravīthiyaṃ ṭhitova –
‘‘อุตฺติเฎฺฐ นปฺปมเชฺชยฺย, ธมฺมํ สุจริตํ จเร;
‘‘Uttiṭṭhe nappamajjeyya, dhammaṃ sucaritaṃ care;
ธมฺมจารี สุขํ เสติ, อสฺมิํ โลเก ปรมฺหิ จา’’ติฯ
Dhammacārī sukhaṃ seti, asmiṃ loke paramhi cā’’ti.
อิมํ คาถมาหฯ คาถาปริโยสาเน ราชา โสตาปตฺติผลํ สจฺฉากาสิฯ
Imaṃ gāthamāha. Gāthāpariyosāne rājā sotāpattiphalaṃ sacchākāsi.
‘‘ธมฺมํ จเร สุจริตํ, น นํ ทุจฺจริตํ จเร;
‘‘Dhammaṃ care sucaritaṃ, na naṃ duccaritaṃ care;
ธมฺมจารี สุขํ เสติ, อสฺมิํ โลเก ปรมฺหิ จา’’ติฯ
Dhammacārī sukhaṃ seti, asmiṃ loke paramhi cā’’ti.
อิมํ ปน คาถํ สุตฺวา สกทาคามิผเล ปติฎฺฐาสิ, ธมฺมปาลชาตกํ สุตฺวา อนาคามิผเล ปติฎฺฐาสิ, มรณสมเย เสตจฺฉตฺตสฺส เหฎฺฐา สิริสยเน นิปโนฺนเยว อรหตฺตํ ปาปุณิฯ อรญฺญวาเสน ปธานานุโยคกิจฺจํ รโญฺญ นาโหสิฯ
Imaṃ pana gāthaṃ sutvā sakadāgāmiphale patiṭṭhāsi, dhammapālajātakaṃ sutvā anāgāmiphale patiṭṭhāsi, maraṇasamaye setacchattassa heṭṭhā sirisayane nipannoyeva arahattaṃ pāpuṇi. Araññavāsena padhānānuyogakiccaṃ rañño nāhosi.
โสตาปตฺติผลญฺจ สจฺฉิกตฺวา เอว ปน ภควโต ปตฺตํ คเหตฺวา สปริสํ ภควนฺตํ มหาปาสาทํ อาโรเปตฺวา ปณีเตน ขาทนีเยน โภชนีเยน ปริวิสิฯ ภตฺตกิจฺจาวสาเน สพฺพํ อิตฺถาคารํ อาคนฺตฺวา ภควนฺตํ วนฺทิ ฐเปตฺวา ราหุลมาตรํฯ สา ปน ‘‘คจฺฉ อยฺยปุตฺตํ วนฺทาหี’’ติ ปริชเนน วุจฺจมานาปิ ‘‘สเจ มยฺหํ คุโณ อตฺถิ, สยเมว อยฺยปุโตฺต อาคมิสฺสติ , อาคตํ นํ วนฺทิสฺสามี’’ติ วตฺวา น อคมาสิฯ อถ ภควา ราชานํ ปตฺตํ คาหาเปตฺวา ทฺวีหิ อคฺคสาวเกหิ สทฺธิํ ราชธีตาย สิริคพฺภํ คนฺตฺวา ‘‘ราชธีตา ยถารุจิยา วนฺทมานา น กิญฺจิ วตฺตพฺพา’’ติ วตฺวา ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีทิฯ สา เวเคน อาคนฺตฺวา โคปฺผเกสุ คเหตฺวา ปาทปิฎฺฐิยํ สีสํ ปริวเตฺตตฺวา ปริวเตฺตตฺวา ยถาชฺฌาสยํ วนฺทิฯ
Sotāpattiphalañca sacchikatvā eva pana bhagavato pattaṃ gahetvā saparisaṃ bhagavantaṃ mahāpāsādaṃ āropetvā paṇītena khādanīyena bhojanīyena parivisi. Bhattakiccāvasāne sabbaṃ itthāgāraṃ āgantvā bhagavantaṃ vandi ṭhapetvā rāhulamātaraṃ. Sā pana ‘‘gaccha ayyaputtaṃ vandāhī’’ti parijanena vuccamānāpi ‘‘sace mayhaṃ guṇo atthi, sayameva ayyaputto āgamissati , āgataṃ naṃ vandissāmī’’ti vatvā na agamāsi. Atha bhagavā rājānaṃ pattaṃ gāhāpetvā dvīhi aggasāvakehi saddhiṃ rājadhītāya sirigabbhaṃ gantvā ‘‘rājadhītā yathāruciyā vandamānā na kiñci vattabbā’’ti vatvā paññatte āsane nisīdi. Sā vegena āgantvā gopphakesu gahetvā pādapiṭṭhiyaṃ sīsaṃ parivattetvā parivattetvā yathājjhāsayaṃ vandi.
ราชา ราชธีตาย ภควติ สิเนหพหุมานาทิคุณสมฺปตฺติํ กเถสิฯ ภควา ‘‘อนจฺฉริยํ มหาราช ยํ อิทานิ ปริปเกฺก ญาเณ ตยา รกฺขิยมานา ราชธีตา อตฺตานํ รกฺขิ, สา ปุเพฺพ อนารกฺขา ปพฺพตปาเท วิจรมานา อปริปเกฺก ญาเณ อตฺตานํ รกฺขี’’ติ วตฺวา จนฺทกินฺนรีชาตกํ กเถสิฯ
Rājā rājadhītāya bhagavati sinehabahumānādiguṇasampattiṃ kathesi. Bhagavā ‘‘anacchariyaṃ mahārāja yaṃ idāni paripakke ñāṇe tayā rakkhiyamānā rājadhītā attānaṃ rakkhi, sā pubbe anārakkhā pabbatapāde vicaramānā aparipakke ñāṇe attānaṃ rakkhī’’ti vatvā candakinnarījātakaṃ kathesi.
ตํทิวสเมว จ นนฺทราชกุมารสฺส เกสวิสฺสชฺชนํ ปฎฺฎพโนฺธ ฆรมงฺคลํ อาวาหมงฺคลํ ฉตฺตมงฺคลนฺติ ปญฺจ มหามงฺคลานิ โหนฺติฯ ภควา นนฺทํ ปตฺตํ คาหาเปตฺวา มงฺคลํ วตฺวา อุฎฺฐายาสนา ปกฺกามิฯ ชนปทกลฺยาณี กุมารํ คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ‘‘ตุวฎํ โข อยฺยปุตฺต อาคเจฺฉยฺยาสี’’ติ วตฺวา คีวํ ปสาเรตฺวา โอโลเกสิฯ โสปิ ภควนฺตํ ‘‘ปตฺตํ คณฺหถา’’ติ วตฺตุํ อวิสหมาโน วิหารํเยว อคมาสิฯ ตํ อนิจฺฉมานํเยว ภควา ปพฺพาเชสิฯ อิติ ภควา กปิลปุรํ อาคนฺตฺวา ทุติยทิวเส นนฺทํ ปพฺพาเชสิฯ
Taṃdivasameva ca nandarājakumārassa kesavissajjanaṃ paṭṭabandho gharamaṅgalaṃ āvāhamaṅgalaṃ chattamaṅgalanti pañca mahāmaṅgalāni honti. Bhagavā nandaṃ pattaṃ gāhāpetvā maṅgalaṃ vatvā uṭṭhāyāsanā pakkāmi. Janapadakalyāṇī kumāraṃ gacchantaṃ disvā ‘‘tuvaṭaṃ kho ayyaputta āgaccheyyāsī’’ti vatvā gīvaṃ pasāretvā olokesi. Sopi bhagavantaṃ ‘‘pattaṃ gaṇhathā’’ti vattuṃ avisahamāno vihāraṃyeva agamāsi. Taṃ anicchamānaṃyeva bhagavā pabbājesi. Iti bhagavā kapilapuraṃ āgantvā dutiyadivase nandaṃ pabbājesi.
สตฺตเม ทิวเส ราหุลมาตา กุมารํ อลงฺกริตฺวา ภควโต สนฺติกํ เปเสสิ – ‘‘ปสฺส ตาต เอตํ วีสติสหสฺสสมณปริวุตํ สุวณฺณวณฺณํ พฺรหฺมรูปวณฺณํ สมณํ, อยํ เต ปิตา, เอตสฺส มหนฺตา นิธโย อเหสุํ, ตฺยสฺส นิกฺขมนโต ปฎฺฐาย น ปสฺสาม, คจฺฉ นํ ทายชฺชํ ยาจ, อหํ ตาต กุมาโร ฉตฺตํ อุสฺสาเปตฺวา จกฺกวตฺตี ภวิสฺสามิ, ธเนน เม อโตฺถ, ธนํ เม เทหิ, สามิโก หิ ปุโตฺต ปิตุสนฺตกสฺสา’’ติฯ ราหุลกุมาโร ภควโต สนฺติกํ คนฺตฺวาว ปิตุสิเนหํ ปฎิลภิตฺวา หฎฺฐจิโตฺต ‘‘สุขา เต สมณ ฉายา’’ติ วตฺวา อญฺญมฺปิ พหุํ อตฺตโน อนุรูปํ วทโนฺต อฎฺฐาสิฯ ภควา กตภตฺตกิโจฺจ อนุโมทนํ กตฺวา อุฎฺฐายาสนา ปกฺกามิฯ กุมาโรปิ ‘‘ทายชฺชํ เม สมณ เทหิ, ทายชฺชํ เม สมณ เทหี’’ติ ภควนฺตํ อนุพนฺธิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อนุปุเพฺพน จาริกํ จรมาโน เยน กปิลวตฺถุ…เป.… ทายชฺชํ เม สมณ เทหี’’ติฯ
Sattame divase rāhulamātā kumāraṃ alaṅkaritvā bhagavato santikaṃ pesesi – ‘‘passa tāta etaṃ vīsatisahassasamaṇaparivutaṃ suvaṇṇavaṇṇaṃ brahmarūpavaṇṇaṃ samaṇaṃ, ayaṃ te pitā, etassa mahantā nidhayo ahesuṃ, tyassa nikkhamanato paṭṭhāya na passāma, gaccha naṃ dāyajjaṃ yāca, ahaṃ tāta kumāro chattaṃ ussāpetvā cakkavattī bhavissāmi, dhanena me attho, dhanaṃ me dehi, sāmiko hi putto pitusantakassā’’ti. Rāhulakumāro bhagavato santikaṃ gantvāva pitusinehaṃ paṭilabhitvā haṭṭhacitto ‘‘sukhā te samaṇa chāyā’’ti vatvā aññampi bahuṃ attano anurūpaṃ vadanto aṭṭhāsi. Bhagavā katabhattakicco anumodanaṃ katvā uṭṭhāyāsanā pakkāmi. Kumāropi ‘‘dāyajjaṃ me samaṇa dehi, dāyajjaṃ me samaṇa dehī’’ti bhagavantaṃ anubandhi. Tena vuttaṃ – ‘‘anupubbena cārikaṃ caramāno yena kapilavatthu…pe… dāyajjaṃ me samaṇa dehī’’ti.
อถ โข ภควา อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตํ อามเนฺตสีติ ภควา กุมารํ น นิวตฺตาเปสิ, ปริชโนปิ ภควตา สทฺธิํ คจฺฉนฺตํ นิวเตฺตตุํ น วิสหติฯ อถ อารามํ คนฺตฺวา ‘‘ยํ อยํ ปิตุสนฺตกํ ธนํ อิจฺฉติ, ตํ วฎฺฎานุคตํ สวิฆาตกํ, หนฺทสฺส โพธิมเณฺฑ ปฎิลทฺธํ สตฺตวิธํ อริยธนํ เทมิ, โลกุตฺตรทายชฺชสฺส นํ สามิกํ กโรมี’’ติ อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตํ อามเนฺตสิฯ อามเนฺตตฺวา จ ปนาห – ‘‘เตน หิ ตฺวํ สาริปุตฺต ราหุลกุมารํ ปพฺพาเชหี’’ติฯ ยสฺมา อยํ ทายชฺชํ ยาจติ, ตสฺมา นํ โลกุตฺตรทายชฺชปฎิลาภาย ปพฺพาเชหีติ อโตฺถฯ
Athakho bhagavā āyasmantaṃ sāriputtaṃ āmantesīti bhagavā kumāraṃ na nivattāpesi, parijanopi bhagavatā saddhiṃ gacchantaṃ nivattetuṃ na visahati. Atha ārāmaṃ gantvā ‘‘yaṃ ayaṃ pitusantakaṃ dhanaṃ icchati, taṃ vaṭṭānugataṃ savighātakaṃ, handassa bodhimaṇḍe paṭiladdhaṃ sattavidhaṃ ariyadhanaṃ demi, lokuttaradāyajjassa naṃ sāmikaṃ karomī’’ti āyasmantaṃ sāriputtaṃ āmantesi. Āmantetvā ca panāha – ‘‘tena hi tvaṃ sāriputta rāhulakumāraṃ pabbājehī’’ti. Yasmā ayaṃ dāyajjaṃ yācati, tasmā naṃ lokuttaradāyajjapaṭilābhāya pabbājehīti attho.
อิทานิ ยา สา ภควตา พาราณสิยํ ตีหิ สรณคมเนหิ ปพฺพชฺชา จ อุปสมฺปทา จ อนุญฺญาตา, ตโต ยสฺมา อุปสมฺปทํ ปฎิกฺขิปิตฺวา ครุภาเว ฐเปตฺวา ญตฺติจตุเตฺถน กเมฺมน อุปสมฺปทา อนุญฺญาตา, ปพฺพชฺชา ปน เนว ปฎิกฺขิตฺตา, น ปุน อนุญฺญาตา, ตสฺมา อนาคเต ภิกฺขูนํ วิมติ อุปฺปชฺชิสฺสติ – ‘‘อยํ ปพฺพชฺชา นาม ปุเพฺพ อุปสมฺปทาสทิสา, กิํ นุ โข อิทานิปิ อุปสมฺปทา วิย กมฺมวาจาย เอว กตฺตพฺพา, อุทาหุ สรณคมเนหี’’ติฯ อิมญฺจ ปนตฺถํ วิทิตฺวา ภควา ปุน ตีหิ สรณคมเนหิ สามเณรปพฺพชฺชํ อนุชานิตุกาโม, ตสฺมา ธมฺมเสนาปติ ตํ ภควโต อชฺฌาสยํ วิทิตฺวา ภควนฺตํ ปุน ปพฺพชฺชํ อนุชานาเปตุกาโม อาห – ‘‘กถาหํ ภเนฺต ราหุลกุมารํ ปพฺพาเชมี’’ติฯ
Idāni yā sā bhagavatā bārāṇasiyaṃ tīhi saraṇagamanehi pabbajjā ca upasampadā ca anuññātā, tato yasmā upasampadaṃ paṭikkhipitvā garubhāve ṭhapetvā ñatticatutthena kammena upasampadā anuññātā, pabbajjā pana neva paṭikkhittā, na puna anuññātā, tasmā anāgate bhikkhūnaṃ vimati uppajjissati – ‘‘ayaṃ pabbajjā nāma pubbe upasampadāsadisā, kiṃ nu kho idānipi upasampadā viya kammavācāya eva kattabbā, udāhu saraṇagamanehī’’ti. Imañca panatthaṃ viditvā bhagavā puna tīhi saraṇagamanehi sāmaṇerapabbajjaṃ anujānitukāmo, tasmā dhammasenāpati taṃ bhagavato ajjhāsayaṃ viditvā bhagavantaṃ puna pabbajjaṃ anujānāpetukāmo āha – ‘‘kathāhaṃ bhante rāhulakumāraṃ pabbājemī’’ti.
อถ โข อายสฺมา สาริปุโตฺต ราหุลกุมารํ ปพฺพาเชสีติ กุมารสฺส มหาโมคฺคลฺลานเตฺถโร เกเส ฉินฺทิตฺวา กาสายานิ ทตฺวา สรณานิ อทาสิฯ มหากสฺสปเตฺถโร โอวาทาจริโย อโหสิฯ ยสฺมา ปน อุปชฺฌายมูลกา ปพฺพชฺชา จ อุปสมฺปทา จ, อุปชฺฌาโยว ตตฺถ อิสฺสโร, น อาจริโย, ตสฺมา วุตฺตํ – ‘‘อถ โข อายสฺมา สาริปุโตฺต ราหุลกุมารํ ปพฺพาเชสี’’ติฯ
Atha kho āyasmā sāriputto rāhulakumāraṃ pabbājesīti kumārassa mahāmoggallānatthero kese chinditvā kāsāyāni datvā saraṇāni adāsi. Mahākassapatthero ovādācariyo ahosi. Yasmā pana upajjhāyamūlakā pabbajjā ca upasampadā ca, upajjhāyova tattha issaro, na ācariyo, tasmā vuttaṃ – ‘‘atha kho āyasmā sāriputto rāhulakumāraṃ pabbājesī’’ti.
เอวํ ‘‘กุมาโร ปพฺพชิโต’’ติ สุตฺวา อุปฺปนฺนสํเวเคน หทเยน อถ โข สุโทฺธทโน สโกฺกติ สพฺพํ วตฺตพฺพํฯ ตตฺถ ยสฺมา อุญฺฉาจริยาย ชีวโต ปพฺพชิตสฺส อวิเสเสน ‘‘วรํ ยาจามี’’ติ วุเตฺต ‘‘ยาจสฺสู’’ติ วจนํ อปฺปติรูปํ, น จ พุทฺธานํ อาจิณฺณํ, ตสฺมา ‘‘อติกฺกนฺตวรา โข โคตม ตถาคตา’’ติ วุตฺตํฯ ยญฺจ ภเนฺต กปฺปติ ยญฺจ อนวชฺชนฺติ ยํ ตุมฺหากเญฺจว ทาตุํ กปฺปติ, อนวชฺชญฺจ โหติ, มม จ สมฺปฎิจฺฉนปจฺจยา วิญฺญูหิ น ครหิตพฺพํ , ตํ ยาจามีติ อโตฺถฯ ตถา นเนฺท อธิมตฺตํ ราหุเลติ ยเถว กิร โพธิสตฺตํ เอวํ นนฺทมฺปิ ราหุลมฺปิ มงฺคลทิวเส เนมิตฺตกา ‘‘จกฺกวตฺตี ภวิสฺสตี’’ติ พฺยากริํสุฯ อถ ราชา ‘‘ปุตฺตสฺส จกฺกวตฺติสิริํ ปสฺสิสฺสามี’’ติ อุสฺสาหชาโต ภควโต ปพฺพชฺชาย มหนฺตํ อิจฺฉาวิฆาตํ ปาปุณิฯ ตโต ‘‘นนฺทสฺส จกฺกวตฺติสิริํ ปสฺสิสฺสามี’’ติ อุสฺสาหํ ชเนสิ, ตมฺปิ ภควา ปพฺพาเชสิฯ อิติ ตมฺปิ ทุกฺขํ อธิวาเสตฺวา ‘‘อิทานิ ราหุลสฺส จกฺกวตฺติสิริํ ปสฺสิสฺสามี’’ติ อุสฺสาหํ ชเนสิ, ตมฺปิ ภควา ปพฺพาเชสิฯ เตนสฺส ‘‘อิทานิ กุลวํโสปิ ปจฺฉิโนฺน, กุโต จกฺกวตฺติสิรี’’ติ อธิกตรํ ทุกฺขํ อุปฺปชฺชิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ตถา นเนฺท อธิมตฺตํ ราหุเล’’ติฯ รโญฺญ ปน อิโต ปจฺฉา อนาคามิผลปฺปตฺติ เวทิตพฺพาฯ
Evaṃ ‘‘kumāro pabbajito’’ti sutvā uppannasaṃvegena hadayena athakho suddhodano sakkoti sabbaṃ vattabbaṃ. Tattha yasmā uñchācariyāya jīvato pabbajitassa avisesena ‘‘varaṃ yācāmī’’ti vutte ‘‘yācassū’’ti vacanaṃ appatirūpaṃ, na ca buddhānaṃ āciṇṇaṃ, tasmā ‘‘atikkantavarā kho gotama tathāgatā’’ti vuttaṃ. Yañca bhante kappati yañca anavajjanti yaṃ tumhākañceva dātuṃ kappati, anavajjañca hoti, mama ca sampaṭicchanapaccayā viññūhi na garahitabbaṃ , taṃ yācāmīti attho. Tathā nande adhimattaṃ rāhuleti yatheva kira bodhisattaṃ evaṃ nandampi rāhulampi maṅgaladivase nemittakā ‘‘cakkavattī bhavissatī’’ti byākariṃsu. Atha rājā ‘‘puttassa cakkavattisiriṃ passissāmī’’ti ussāhajāto bhagavato pabbajjāya mahantaṃ icchāvighātaṃ pāpuṇi. Tato ‘‘nandassa cakkavattisiriṃ passissāmī’’ti ussāhaṃ janesi, tampi bhagavā pabbājesi. Iti tampi dukkhaṃ adhivāsetvā ‘‘idāni rāhulassa cakkavattisiriṃ passissāmī’’ti ussāhaṃ janesi, tampi bhagavā pabbājesi. Tenassa ‘‘idāni kulavaṃsopi pacchinno, kuto cakkavattisirī’’ti adhikataraṃ dukkhaṃ uppajji. Tena vuttaṃ – ‘‘tathā nande adhimattaṃ rāhule’’ti. Rañño pana ito pacchā anāgāmiphalappatti veditabbā.
สาธุ ภเนฺต อยฺยาติ อิทํ กสฺมา อาห? โส กิร จิเนฺตสิ – ‘‘ยตฺร หิ นาม อหมฺปิ พุทฺธมามโก ธมฺมมามโก สงฺฆมามโก สมาโน อตฺตโน ปิยตรปุเตฺต ปพฺพาชิยมาเน ญาติวิโยคทุกฺขํ อธิวาเสตุํ น สโกฺกมิ, อเญฺญ ชนา ปุตฺตนตฺตเกสุ ปพฺพาชิเตสุ กถํ อธิวาเสสฺสนฺติ, ตสฺมา อเญฺญสมฺปิ ตาว เอวรูปํ ทุกฺขํ มา อโหสี’’ติ อาหฯ ภควา ‘‘สาสเน นิยฺยานิกการณํ ราชา วทตี’’ติ ธมฺมกถํ กตฺวา ‘‘น ภิกฺขเว อนนุญฺญาโต มาตาปิตูหิ ปุโตฺต ปพฺพาเชตโพฺพ’’ติ สิกฺขาปทํ ปญฺญเปสิฯ
Sādhu bhante ayyāti idaṃ kasmā āha? So kira cintesi – ‘‘yatra hi nāma ahampi buddhamāmako dhammamāmako saṅghamāmako samāno attano piyataraputte pabbājiyamāne ñātiviyogadukkhaṃ adhivāsetuṃ na sakkomi, aññe janā puttanattakesu pabbājitesu kathaṃ adhivāsessanti, tasmā aññesampi tāva evarūpaṃ dukkhaṃ mā ahosī’’ti āha. Bhagavā ‘‘sāsane niyyānikakāraṇaṃ rājā vadatī’’ti dhammakathaṃ katvā ‘‘na bhikkhave ananuññāto mātāpitūhi putto pabbājetabbo’’ti sikkhāpadaṃ paññapesi.
ตตฺถ มาตาปิตูหีติ ชนนิชนเก สนฺธาย วุตฺตํฯ สเจ เทฺว อตฺถิ, เทฺวปิ อาปุจฺฉิตพฺพาฯ สเจ ปิตา มโต มาตา วา, โย ชีวติ โส อาปุจฺฉิตโพฺพฯ ปพฺพชิตาปิ อาปุจฺฉิตพฺพาวฯ อาปุจฺฉเนฺตน สยํ วา คนฺตฺวา อาปุจฺฉิตพฺพํ, อโญฺญ วา เปเสตโพฺพ, โส เอว วา เปเสตโพฺพ ‘‘คจฺฉ มาตาปิตโร อาปุจฺฉิตฺวา เอหี’’ติฯ สเจ ‘‘อนุญฺญาโตมฺหี’’ติ วทติ, สทฺทหเนฺตน ปพฺพาเชตโพฺพฯ ปิตา สยํ ปพฺพชิโต ปุตฺตมฺปิ ปพฺพาเชตุกาโม โหติ, มาตรํ อาปุจฺฉิตฺวาว ปพฺพาเชตุฯ มาตา วา ธีตรํ ปพฺพาเชตุกามา, ปิตรํ อาปุจฺฉิตฺวาว ปพฺพาเชตุฯ ปิตา ปุตฺตทาเรน อนตฺถิโก ปลายิ, มาตา ‘‘อิมํ ปพฺพาเชถา’’ติ ปุตฺตํ ภิกฺขูนํ เทติ, ‘‘ปิตาสฺส กุหิ’’นฺติ วุเตฺต ‘‘จิตฺตเกฬิยํ กีฬิตุํ ปลาโต’’ติ วทติ, ตํ ปพฺพาเชตุํ วฎฺฎติฯ มาตา เกนจิ ปุริเสน สทฺธิํ ปลาตา โหติ, ปิตา ปน ‘‘ปพฺพาเชถา’’ติ เทติ, เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ ปิตา วิปฺปวุโตฺถ โหติ, มาตา ปุตฺตํ ‘‘ปพฺพาเชถา’’ติ อนุชานาติ, ‘‘ปิตา ตสฺส กุหิ’’นฺติ วุเตฺต ‘‘กิํ ตุมฺหากํ ปิตรา, อหํ ชานิสฺสามี’’ติ วทติ, ปพฺพาเชตุํ วฎฺฎตีติ กุรุนฺทิยํ วุตฺตํฯ
Tattha mātāpitūhīti jananijanake sandhāya vuttaṃ. Sace dve atthi, dvepi āpucchitabbā. Sace pitā mato mātā vā, yo jīvati so āpucchitabbo. Pabbajitāpi āpucchitabbāva. Āpucchantena sayaṃ vā gantvā āpucchitabbaṃ, añño vā pesetabbo, so eva vā pesetabbo ‘‘gaccha mātāpitaro āpucchitvā ehī’’ti. Sace ‘‘anuññātomhī’’ti vadati, saddahantena pabbājetabbo. Pitā sayaṃ pabbajito puttampi pabbājetukāmo hoti, mātaraṃ āpucchitvāva pabbājetu. Mātā vā dhītaraṃ pabbājetukāmā, pitaraṃ āpucchitvāva pabbājetu. Pitā puttadārena anatthiko palāyi, mātā ‘‘imaṃ pabbājethā’’ti puttaṃ bhikkhūnaṃ deti, ‘‘pitāssa kuhi’’nti vutte ‘‘cittakeḷiyaṃ kīḷituṃ palāto’’ti vadati, taṃ pabbājetuṃ vaṭṭati. Mātā kenaci purisena saddhiṃ palātā hoti, pitā pana ‘‘pabbājethā’’ti deti, etthāpi eseva nayo. Pitā vippavuttho hoti, mātā puttaṃ ‘‘pabbājethā’’ti anujānāti, ‘‘pitā tassa kuhi’’nti vutte ‘‘kiṃ tumhākaṃ pitarā, ahaṃ jānissāmī’’ti vadati, pabbājetuṃ vaṭṭatīti kurundiyaṃ vuttaṃ.
มาตาปิตโร มตา, ทารโก จูฬมาตาทีนํ สนฺติเก สํวโทฺธ, ตสฺมิํ ปพฺพาชิยมาเน ญาตกา กลหํ วา กโรนฺติ, ขิยฺยนฺติ วา, ตสฺมา วิวาทุปเจฺฉทนตฺถํ อาปุจฺฉิตฺวาว ปพฺพาเชตโพฺพฯ อนาปุจฺฉา ปพฺพาเชนฺตสฺส ปน อาปตฺติ นตฺถิฯ ทหรกาเล คเหตฺวา โปสนกา มาตาปิตโร นาม โหนฺติ, เตสุปิ เอเสว นโยฯ ปุโตฺต อตฺตานํ นิสฺสาย ชีวติ, น มาตาปิตโรฯ สเจปิ ราชา โหติ, อาปุจฺฉิตฺวาว ปพฺพาเชตโพฺพฯ มาตาปิตูหิ อนุญฺญาโต ปพฺพชิตฺวา ปุน วิพฺภมติ, สเจปิ สตกฺขตฺตุํ ปพฺพชิตฺวา วิพฺภมติ, อาคตาคตกาเล ปุนปฺปุนํ อาปุจฺฉิตฺวาว ปพฺพาเชตโพฺพฯ สเจ เอวํ วทนฺติ – ‘‘อยํ วิพฺภมิตฺวา เคหํ อาคโต อมฺหากํ กมฺมํ น กโรติ, ปพฺพชิตฺวา ตุมฺหากํ วตฺตํ น ปูเรติ, นตฺถิ อิมสฺสาปุจฺฉนกิจฺจํ, อาคตาคตํ ปพฺพาเชยฺยาถา’’ติ เอวํ นิสฺสฎฺฐํ ปุน อนาปุจฺฉาปิ ปพฺพาเชตุํ วฎฺฎติฯ
Mātāpitaro matā, dārako cūḷamātādīnaṃ santike saṃvaddho, tasmiṃ pabbājiyamāne ñātakā kalahaṃ vā karonti, khiyyanti vā, tasmā vivādupacchedanatthaṃ āpucchitvāva pabbājetabbo. Anāpucchā pabbājentassa pana āpatti natthi. Daharakāle gahetvā posanakā mātāpitaro nāma honti, tesupi eseva nayo. Putto attānaṃ nissāya jīvati, na mātāpitaro. Sacepi rājā hoti, āpucchitvāva pabbājetabbo. Mātāpitūhi anuññāto pabbajitvā puna vibbhamati, sacepi satakkhattuṃ pabbajitvā vibbhamati, āgatāgatakāle punappunaṃ āpucchitvāva pabbājetabbo. Sace evaṃ vadanti – ‘‘ayaṃ vibbhamitvā gehaṃ āgato amhākaṃ kammaṃ na karoti, pabbajitvā tumhākaṃ vattaṃ na pūreti, natthi imassāpucchanakiccaṃ, āgatāgataṃ pabbājeyyāthā’’ti evaṃ nissaṭṭhaṃ puna anāpucchāpi pabbājetuṃ vaṭṭati.
โยปิ ทหรกาเลเยว ‘‘อยํ ตุมฺหากํ ทิโนฺน, ยทา อิจฺฉถ, ตทา ปพฺพาเชยฺยาถา’’ติ เอวํ ทิโนฺน โหติ, โสปิ อาคตาคโต ปุน อนาปุจฺฉาว ปพฺพาเชตโพฺพฯ ยํ ปน ทหรกาเลเยว ‘‘อิมํ ภเนฺต ปพฺพาเชยฺยาถา’’ติ อนุชานิตฺวา ปจฺฉา วุฑฺฒิปฺปตฺตกาเล นานุชานนฺติ, อยํ น อนาปุจฺฉา ปพฺพาเชตโพฺพฯ เอโก มาตาปิตูหิ สทฺธิํ ภณฺฑิตฺวา ‘‘ปพฺพาเชถ ม’’นฺติ อาคจฺฉติ, ‘‘อาปุจฺฉิตฺวา เอหี’’ติ จ วุโตฺต ‘‘นาหํ คจฺฉามิ, สเจ มํ น ปพฺพาเชถ, วิหารํ วา ฌาเปมิ, สเตฺถน วา ตุเมฺห ปหรามิ, ตุมฺหากํ ญาตกอุปฎฺฐากานํ วา อารามเจฺฉทนาทีหิ อนตฺถํ อุปฺปาเทมิ, รุกฺขา วา ปติตฺวา มรามิ, โจรมชฺฌํ วา ปวิสามิ, เทสนฺตรํ วา คจฺฉามี’’ติ วทติ, ตํ ชีวเสฺสว รกฺขณตฺถาย ปพฺพาเชตุํ วฎฺฎติฯ สเจ ปนสฺส มาตาปิตโร อาคนฺตฺวา ‘‘กสฺมา อมฺหากํ ปุตฺตํ ปพฺพาชยิตฺถา’’ติ วทนฺติ, เตสํ ตมตฺถํ อาโรเจตฺวา ‘‘รกฺขณตฺถาย นํ ปพฺพาชยิมฺห, ปญฺญายถ ตุเมฺห ปุเตฺตนา’’ติ วตฺตพฺพาฯ ‘‘รุกฺขา ปติสฺสามี’’ติ อารุหิตฺวา ปน หตฺถปาเท มุญฺจนฺตํ ปพฺพาเชตุํ วฎฺฎติเยวฯ
Yopi daharakāleyeva ‘‘ayaṃ tumhākaṃ dinno, yadā icchatha, tadā pabbājeyyāthā’’ti evaṃ dinno hoti, sopi āgatāgato puna anāpucchāva pabbājetabbo. Yaṃ pana daharakāleyeva ‘‘imaṃ bhante pabbājeyyāthā’’ti anujānitvā pacchā vuḍḍhippattakāle nānujānanti, ayaṃ na anāpucchā pabbājetabbo. Eko mātāpitūhi saddhiṃ bhaṇḍitvā ‘‘pabbājetha ma’’nti āgacchati, ‘‘āpucchitvā ehī’’ti ca vutto ‘‘nāhaṃ gacchāmi, sace maṃ na pabbājetha, vihāraṃ vā jhāpemi, satthena vā tumhe paharāmi, tumhākaṃ ñātakaupaṭṭhākānaṃ vā ārāmacchedanādīhi anatthaṃ uppādemi, rukkhā vā patitvā marāmi, coramajjhaṃ vā pavisāmi, desantaraṃ vā gacchāmī’’ti vadati, taṃ jīvasseva rakkhaṇatthāya pabbājetuṃ vaṭṭati. Sace panassa mātāpitaro āgantvā ‘‘kasmā amhākaṃ puttaṃ pabbājayitthā’’ti vadanti, tesaṃ tamatthaṃ ārocetvā ‘‘rakkhaṇatthāya naṃ pabbājayimha, paññāyatha tumhe puttenā’’ti vattabbā. ‘‘Rukkhā patissāmī’’ti āruhitvā pana hatthapāde muñcantaṃ pabbājetuṃ vaṭṭatiyeva.
เอโกปิ วิเทสํ คนฺตฺวา ปพฺพชฺชํ ยาจติ, อาปุจฺฉิตฺวา เจ คโต, ปพฺพาเชตโพฺพฯ โน เจ ทหรภิกฺขุํ เปเสตฺวา อาปุจฺฉาเปตฺวา ปพฺพาเชตโพฺพ, อติทูรเญฺจ โหติ; ปพฺพาเชตฺวาปิ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ เปเสตฺวา ทเสฺสตุํ วฎฺฎติฯ กุรุนฺทิยํ ปน วุตฺตํ – ‘‘สเจ ทูรํ โหติ มโคฺค จ มหากนฺตาโร, ‘คนฺตฺวา อาปุจฺฉิสฺสามา’ติ ปพฺพาเชตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ สเจ ปน มาตาปิตูนํ พหู ปุตฺตา โหนฺติ, เอวญฺจ วทนฺติ – ‘‘ภเนฺต เอเตสํ ทารกานํ ยํ อิจฺฉถ, ตํ ปพฺพาเชยฺยาถา’’ติฯ ทารเก วีมํสิตฺวา ยํ อิจฺฉติ, โส ปพฺพาเชตโพฺพฯ สเจปิ สกเลน กุเลน วา คาเมน วา อนุญฺญาตํ โหติ ‘‘ภเนฺต อิมสฺมิํ กุเล วา คาเม วา ยํ อิจฺฉถ, ตํ ปพฺพาเชยฺยาถา’’ติฯ ยํ อิจฺฉติ, โส ปพฺพาเชตโพฺพติฯ
Ekopi videsaṃ gantvā pabbajjaṃ yācati, āpucchitvā ce gato, pabbājetabbo. No ce daharabhikkhuṃ pesetvā āpucchāpetvā pabbājetabbo, atidūrañce hoti; pabbājetvāpi bhikkhūhi saddhiṃ pesetvā dassetuṃ vaṭṭati. Kurundiyaṃ pana vuttaṃ – ‘‘sace dūraṃ hoti maggo ca mahākantāro, ‘gantvā āpucchissāmā’ti pabbājetuṃ vaṭṭatī’’ti. Sace pana mātāpitūnaṃ bahū puttā honti, evañca vadanti – ‘‘bhante etesaṃ dārakānaṃ yaṃ icchatha, taṃ pabbājeyyāthā’’ti. Dārake vīmaṃsitvā yaṃ icchati, so pabbājetabbo. Sacepi sakalena kulena vā gāmena vā anuññātaṃ hoti ‘‘bhante imasmiṃ kule vā gāme vā yaṃ icchatha, taṃ pabbājeyyāthā’’ti. Yaṃ icchati, so pabbājetabboti.
ยาวตเก วา ปน อุสฺสหตีติ ยตฺตเก สโกฺกติฯ
Yāvatakevā pana ussahatīti yattake sakkoti.
ราหุลวตฺถุกถา นิฎฺฐิตาฯ
Rāhulavatthukathā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวคฺคปาฬิ • Mahāvaggapāḷi / ๔๑. ราหุลวตฺถุ • 41. Rāhulavatthu
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / ราหุลวตฺถุกถาวณฺณนา • Rāhulavatthukathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / ราหุลวตฺถุกถาวณฺณนา • Rāhulavatthukathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ราหุลวตฺถุกถาวณฺณนา • Rāhulavatthukathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / ปาจิตฺยาทิโยชนาปาฬิ • Pācityādiyojanāpāḷi / ๔๑. ราหุลวตฺถุกถา • 41. Rāhulavatthukathā