Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga |
๑๐. ราชสิกฺขาปทํ
10. Rājasikkhāpadaṃ
๕๓๗. เตน สมเยน พุโทฺธ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมฯ เตน โข ปน สมเยน อายสฺมโต อุปนนฺทสฺส สกฺยปุตฺตสฺส อุปฎฺฐาโก มหามโตฺต อายสฺมโต อุปนนฺทสฺส สกฺยปุตฺตสฺส ทูเตน จีวรเจตาปนฺนํ ปาเหสิ – ‘‘อิมินา จีวรเจตาปเนฺนน จีวรํ เจตาเปตฺวา อยฺยํ อุปนนฺทํ จีวเรน อจฺฉาเทหี’’ติฯ อถ โข โส ทูโต เยนายสฺมา อุปนโนฺท สกฺยปุโตฺต เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ อุปนนฺทํ สกฺยปุตฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อิทํ โข, ภเนฺต, อายสฺมนฺตํ อุทฺทิสฺส จีวรเจตาปนฺนํ อาภตํฯ ปฎิคฺคณฺหาตุ อายสฺมา จีวรเจตาปนฺน’’นฺติฯ เอวํ วุเตฺต อายสฺมา อุปนโนฺท สกฺยปุโตฺต ตํ ทูตํ เอตทโวจ – ‘‘น โข มยํ, อาวุโส, จีวรเจตาปนฺนํ ปฎิคฺคณฺหาม, จีวรญฺจ โข มยํ ปฎิคฺคณฺหาม กาเลน กปฺปิย’’นฺติฯ เอวํ วุเตฺต โส ทูโต อายสฺมนฺตํ อุปนนฺทํ สกฺยปุตฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อตฺถิ ปนายสฺมโต โกจิ เวยฺยาวจฺจกโร’’ติ ? เตน โข ปน สมเยน อญฺญตโร อุปาสโก อารามํ อคมาสิ เกนจิเทว กรณีเยนฯ อถ โข อายสฺมา อุปนโนฺท สกฺยปุโตฺต ตํ ทูตํ เอตทโวจ – ‘‘เอโส โข, อาวุโส, อุปาสโก ภิกฺขูนํ เวยฺยาวจฺจกโร’’ติฯ อถ โข โส ทูโต ตํ อุปาสกํ สญฺญาเปตฺวา เยนายสฺมา อุปนโนฺท สกฺยปุโตฺต เตนุปสงฺกมิ ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ อุปนนฺทํ สกฺยปุตฺตํ เอตทโวจ – ‘‘ยํ โข, ภเนฺต, อายสฺมา เวยฺยาวจฺจกรํ นิทฺทิสิ สญฺญโตฺต โส มยาฯ อุปสงฺกมตุ อายสฺมา กาเลน, จีวเรน ตํ อจฺฉาเทสฺสตี’’ติฯ
537. Tena samayena buddho bhagavā sāvatthiyaṃ viharati jetavane anāthapiṇḍikassa ārāme. Tena kho pana samayena āyasmato upanandassa sakyaputtassa upaṭṭhāko mahāmatto āyasmato upanandassa sakyaputtassa dūtena cīvaracetāpannaṃ pāhesi – ‘‘iminā cīvaracetāpannena cīvaraṃ cetāpetvā ayyaṃ upanandaṃ cīvarena acchādehī’’ti. Atha kho so dūto yenāyasmā upanando sakyaputto tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā āyasmantaṃ upanandaṃ sakyaputtaṃ etadavoca – ‘‘idaṃ kho, bhante, āyasmantaṃ uddissa cīvaracetāpannaṃ ābhataṃ. Paṭiggaṇhātu āyasmā cīvaracetāpanna’’nti. Evaṃ vutte āyasmā upanando sakyaputto taṃ dūtaṃ etadavoca – ‘‘na kho mayaṃ, āvuso, cīvaracetāpannaṃ paṭiggaṇhāma, cīvarañca kho mayaṃ paṭiggaṇhāma kālena kappiya’’nti. Evaṃ vutte so dūto āyasmantaṃ upanandaṃ sakyaputtaṃ etadavoca – ‘‘atthi panāyasmato koci veyyāvaccakaro’’ti ? Tena kho pana samayena aññataro upāsako ārāmaṃ agamāsi kenacideva karaṇīyena. Atha kho āyasmā upanando sakyaputto taṃ dūtaṃ etadavoca – ‘‘eso kho, āvuso, upāsako bhikkhūnaṃ veyyāvaccakaro’’ti. Atha kho so dūto taṃ upāsakaṃ saññāpetvā yenāyasmā upanando sakyaputto tenupasaṅkami ; upasaṅkamitvā āyasmantaṃ upanandaṃ sakyaputtaṃ etadavoca – ‘‘yaṃ kho, bhante, āyasmā veyyāvaccakaraṃ niddisi saññatto so mayā. Upasaṅkamatu āyasmā kālena, cīvarena taṃ acchādessatī’’ti.
เตน โข ปน สมเยน โส มหามโตฺต อายสฺมโต อุปนนฺทสฺส สกฺยปุตฺตสฺส สนฺติเก ทูตํ ปาเหสิ – ‘‘ปริภุญฺชตุ อโยฺย ตํ จีวรํ, อิจฺฉาม มยํ อเยฺยน ตํ จีวรํ ปริภุตฺต’’นฺติฯ อถ โข อายสฺมา อุปนโนฺท สกฺยปุโตฺต ตํ อุปาสกํ น กิญฺจิ อวจาสิฯ ทุติยมฺปิ โข โส มหามโตฺต อายสฺมโต อุปนนฺทสฺส สกฺยปุตฺตสฺส สนฺติเก ทูตํ ปาเหสิ – ‘‘ปริภุญฺชตุ อโยฺย ตํ จีวรํ, อิจฺฉาม มยํ อเยฺยน ตํ จีวรํ ปริภุตฺต’’นฺติฯ ทุติยมฺปิ โข อายสฺมา อุปนโนฺท สกฺยปุโตฺต ตํ อุปาสกํ น กิญฺจิ อวจาสิฯ ตติยมฺปิ โข โส มหามโตฺต อายสฺมโต อุปนนฺทสฺส สกฺยปุตฺตสฺส สนฺติเก ทูตํ ปาเหสิ – ‘‘ปริภุญฺชตุ อโยฺย ตํ จีวรํ, อิจฺฉาม มยํ อเยฺยน ตํ จีวรํ ปริภุตฺต’’นฺติฯ
Tena kho pana samayena so mahāmatto āyasmato upanandassa sakyaputtassa santike dūtaṃ pāhesi – ‘‘paribhuñjatu ayyo taṃ cīvaraṃ, icchāma mayaṃ ayyena taṃ cīvaraṃ paribhutta’’nti. Atha kho āyasmā upanando sakyaputto taṃ upāsakaṃ na kiñci avacāsi. Dutiyampi kho so mahāmatto āyasmato upanandassa sakyaputtassa santike dūtaṃ pāhesi – ‘‘paribhuñjatu ayyo taṃ cīvaraṃ, icchāma mayaṃ ayyena taṃ cīvaraṃ paribhutta’’nti. Dutiyampi kho āyasmā upanando sakyaputto taṃ upāsakaṃ na kiñci avacāsi. Tatiyampi kho so mahāmatto āyasmato upanandassa sakyaputtassa santike dūtaṃ pāhesi – ‘‘paribhuñjatu ayyo taṃ cīvaraṃ, icchāma mayaṃ ayyena taṃ cīvaraṃ paribhutta’’nti.
เตน โข ปน สมเยน เนคมสฺส สมโย โหติฯ เนคเมน จ กติกา กตา โหติ – ‘‘โย ปจฺฉา อาคจฺฉติ ปญฺญาสํ พโทฺธ’’ติฯ อถ โข อายสฺมา อุปนโนฺท สกฺยปุโตฺต เยน โส อุปาสโก เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ตํ อุปาสกํ เอตทโวจ – ‘‘อโตฺถ เม, อาวุโส, จีวเรนา’’ติฯ ‘‘อชฺชโณฺห, ภเนฺต , อาคเมหิ, อชฺช เนคมสฺส สมโยฯ เนคเมน จ กติกา กตา โหติ – ‘โย ปจฺฉา อาคจฺฉติ ปญฺญาสํ พโทฺธ’’’ติฯ ‘‘อเชฺชว เม, อาวุโส, จีวรํ เทหี’’ติ โอวฎฺฎิกาย ปรามสิฯ อถ โข โส อุปาสโก อายสฺมตา อุปนเนฺทน สกฺยปุเตฺตน นิปฺปีฬิยมาโน อายสฺมโต อุปนนฺทสฺส สกฺยปุตฺตสฺส จีวรํ เจตาเปตฺวา ปจฺฉา อคมาสิฯ มนุสฺสา ตํ อุปาสกํ เอตทโวจุํ – ‘‘กิสฺส ตฺวํ, อโยฺย, ปจฺฉา อาคโต, ปญฺญาสํ ชีโนสี’’ติฯ
Tena kho pana samayena negamassa samayo hoti. Negamena ca katikā katā hoti – ‘‘yo pacchā āgacchati paññāsaṃ baddho’’ti. Atha kho āyasmā upanando sakyaputto yena so upāsako tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā taṃ upāsakaṃ etadavoca – ‘‘attho me, āvuso, cīvarenā’’ti. ‘‘Ajjaṇho, bhante , āgamehi, ajja negamassa samayo. Negamena ca katikā katā hoti – ‘yo pacchā āgacchati paññāsaṃ baddho’’’ti. ‘‘Ajjeva me, āvuso, cīvaraṃ dehī’’ti ovaṭṭikāya parāmasi. Atha kho so upāsako āyasmatā upanandena sakyaputtena nippīḷiyamāno āyasmato upanandassa sakyaputtassa cīvaraṃ cetāpetvā pacchā agamāsi. Manussā taṃ upāsakaṃ etadavocuṃ – ‘‘kissa tvaṃ, ayyo, pacchā āgato, paññāsaṃ jīnosī’’ti.
อถ โข โส อุปาสโก เตสํ มนุสฺสานํ เอตมตฺถํ อาโรเจสิฯ มนุสฺสา อุชฺฌายนฺติ ขิยฺยนฺติ วิปาเจนฺติ – ‘‘มหิจฺฉา อิเม สมณา สกฺยปุตฺติยา อสนฺตุฎฺฐา ฯ นยิเมสํ สุกรํ เวยฺยาวจฺจมฺปิ กาตุํฯ กถญฺหิ นาม อายสฺมา อุปนโนฺท อุปาสเกน – ‘อชฺชโณฺห, ภเนฺต, อาคเมหี’ติ วุจฺจมาโน นาคเมสฺสตี’’ติ! อโสฺสสุํ โข ภิกฺขู เตสํ มนุสฺสานํ อุชฺฌายนฺตานํ ขิยฺยนฺตานํ วิปาเจนฺตานํฯ เย เต ภิกฺขู อปฺปิจฺฉา… เต อุชฺฌายนฺติ ขิยฺยนฺติ วิปาเจนฺติ – ‘‘กถญฺหิ นาม อายสฺมา อุปนโนฺท สกฺยปุโตฺต อุปาสเกน – ‘อชฺชโณฺห, ภเนฺต, อาคเมหี’ติ วุจฺจมาโน นาคเมสฺสตี’’ติ! อถ โข เต ภิกฺขู อายสฺมนฺตํ อุปนนฺทํ สกฺยปุตฺตํ อเนกปริยาเยน วิครหิตฺวา ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจสุํ…เป.… ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ, อุปนนฺท, อุปาสเกน – ‘อชฺชโณฺห, ภเนฺต, อาคเมหี’ติ วุจฺจมาโน นาคเมสี’’ติ ? ‘‘สจฺจํ, ภควา’’ติฯ วิครหิ พุโทฺธ ภควา…เป.… กถญฺหิ นาม ตฺวํ, โมฆปุริส, อุปาสเกน – ‘อชฺชโณฺห, ภเนฺต, อาคเมหี’ติ วุจฺจมาโน นาคเมสฺสสิ! เนตํ, โมฆปุริส, อปฺปสนฺนานํ วา ปสาทาย…เป.… เอวญฺจ ปน, ภิกฺขเว, อิมํ สิกฺขาปทํ อุทฺทิเสยฺยาถ –
Atha kho so upāsako tesaṃ manussānaṃ etamatthaṃ ārocesi. Manussā ujjhāyanti khiyyanti vipācenti – ‘‘mahicchā ime samaṇā sakyaputtiyā asantuṭṭhā . Nayimesaṃ sukaraṃ veyyāvaccampi kātuṃ. Kathañhi nāma āyasmā upanando upāsakena – ‘ajjaṇho, bhante, āgamehī’ti vuccamāno nāgamessatī’’ti! Assosuṃ kho bhikkhū tesaṃ manussānaṃ ujjhāyantānaṃ khiyyantānaṃ vipācentānaṃ. Ye te bhikkhū appicchā… te ujjhāyanti khiyyanti vipācenti – ‘‘kathañhi nāma āyasmā upanando sakyaputto upāsakena – ‘ajjaṇho, bhante, āgamehī’ti vuccamāno nāgamessatī’’ti! Atha kho te bhikkhū āyasmantaṃ upanandaṃ sakyaputtaṃ anekapariyāyena vigarahitvā bhagavato etamatthaṃ ārocesuṃ…pe… ‘‘saccaṃ kira tvaṃ, upananda, upāsakena – ‘ajjaṇho, bhante, āgamehī’ti vuccamāno nāgamesī’’ti ? ‘‘Saccaṃ, bhagavā’’ti. Vigarahi buddho bhagavā…pe… kathañhi nāma tvaṃ, moghapurisa, upāsakena – ‘ajjaṇho, bhante, āgamehī’ti vuccamāno nāgamessasi! Netaṃ, moghapurisa, appasannānaṃ vā pasādāya…pe… evañca pana, bhikkhave, imaṃ sikkhāpadaṃ uddiseyyātha –
๕๓๘. ‘‘ภิกฺขุํ ปเนว อุทฺทิสฺส ราชา วา ราชโภโคฺค วา พฺราหฺมโณ วา คหปติโก วา ทูเตน จีวรเจตาปนฺนํ ปหิเณยฺย – ‘อิมินา จีวรเจตาปเนฺนน จีวรํ เจตาเปตฺวา อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุํ จีวเรน อจฺฉาเทหี’ติฯ โส เจ ทูโต ตํ ภิกฺขุํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวํ วเทยฺย – ‘อิทํ โข, ภเนฺต, อายสฺมนฺตํ อุทฺทิสฺส จีวรเจตาปนฺนํ อาภตํ, ปฎิคฺคณฺหาตุ อายสฺมา จีวรเจตาปนฺน’นฺติ, เตน ภิกฺขุนา โส ทูโต เอวมสฺส วจนีโย – ‘น โข มยํ, อาวุโส, จีวรเจตาปนฺนํ ปฎิคฺคณฺหามฯ จีวรญฺจ โข มยํ ปฎิคฺคณฺหาม, กาเลน กปฺปิย’นฺติฯ โส เจ ทูโต ตํ ภิกฺขุํ เอวํ วเทยฺย – ‘อตฺถิ ปนายสฺมโต โกจิ เวยฺยาวจฺจกโร’ติ, จีวรตฺถิเกน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุนา เวยฺยาวจฺจกโร นิทฺทิสิตโพฺพ อารามิโก วา อุปาสโก วา – ‘เอโส โข, อาวุโส, ภิกฺขูนํ เวยฺยาวจฺจกโร’ติฯ โส เจ ทูโต ตํ เวยฺยาวจฺจกรํ สญฺญาเปตฺวา ตํ ภิกฺขุํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวํ วเทยฺย – ‘ยํ โข, ภเนฺต, อายสฺมา เวยฺยาวจฺจกรํ นิทฺทิสิ สญฺญโตฺต โส มยา, อุปสงฺกมตุ อายสฺมา กาเลน, จีวเรน ตํ อจฺฉาเทสฺสตี’ติ, จีวรตฺถิเกน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุนา เวยฺยาวจฺจกโร อุปสงฺกมิตฺวา ทฺวตฺติกฺขตฺตุํ โจเทตโพฺพ สาเรตโพฺพ – ‘อโตฺถ เม, อาวุโส, จีวเรนา’ติฯ ทฺวตฺติกฺขตฺตุํ โจทยมาโน สารยมาโน ตํ จีวรํ อภินิปฺผาเทยฺย, อิเจฺจตํ กุสลํ; โน เจ อภินิปฺผาเทยฺย, จตุกฺขตฺตุํ ปญฺจกฺขตฺตุํ ฉกฺขตฺตุปรมํ ตุณฺหีภูเตน อุทฺทิสฺส ฐาตพฺพํฯ จตุกฺขตฺตุํ ปญฺจกฺขตฺตุํ ฉกฺขตฺตุปรมํ ตุณฺหีภูโต อุทฺทิสฺส ติฎฺฐมาโน ตํ จีวรํ อภินิปฺผาเทยฺย, อิเจฺจตํ กุสลํ; ตโต เจ อุตฺตริ วายมมาโน ตํ จีวร อภินิปฺผาเทยฺย, นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํฯ โน เจ อภินิปฺผาเทยฺย, ยตสฺส จีวรเจตาปนฺนํ อาภตํ, ตตฺถ สามํ วา คนฺตพฺพํ ทูโต วา ปาเหตโพฺพ – ‘ยํ โข ตุเมฺห อายสฺมโนฺต ภิกฺขุํ อุทฺทิสฺส จีวรเจตาปนฺนํ ปหิณิตฺถ, น ตํ ตสฺส ภิกฺขุโน กิญฺจิ อตฺถํ อนุโภติ, ยุญฺชนฺตายสฺมโนฺต สกํ, มา โว สกํ วินสฺสา’ติ, อยํ ตตฺถ สามีจี’’ติฯ
538.‘‘Bhikkhuṃ paneva uddissa rājā vā rājabhoggo vā brāhmaṇo vā gahapatiko vā dūtena cīvaracetāpannaṃ pahiṇeyya – ‘iminā cīvaracetāpannena cīvaraṃ cetāpetvā itthannāmaṃ bhikkhuṃ cīvarena acchādehī’ti. So ce dūto taṃ bhikkhuṃ upasaṅkamitvā evaṃ vadeyya – ‘idaṃ kho, bhante, āyasmantaṃ uddissa cīvaracetāpannaṃ ābhataṃ, paṭiggaṇhātu āyasmā cīvaracetāpanna’nti, tena bhikkhunā so dūto evamassa vacanīyo – ‘na kho mayaṃ, āvuso, cīvaracetāpannaṃ paṭiggaṇhāma. Cīvarañca kho mayaṃ paṭiggaṇhāma, kālena kappiya’nti. So ce dūto taṃ bhikkhuṃ evaṃ vadeyya – ‘atthi panāyasmato koci veyyāvaccakaro’ti, cīvaratthikena, bhikkhave, bhikkhunā veyyāvaccakaro niddisitabbo ārāmiko vā upāsako vā – ‘eso kho, āvuso, bhikkhūnaṃ veyyāvaccakaro’ti. So ce dūto taṃ veyyāvaccakaraṃ saññāpetvā taṃ bhikkhuṃ upasaṅkamitvā evaṃ vadeyya – ‘yaṃ kho, bhante, āyasmā veyyāvaccakaraṃ niddisi saññatto so mayā, upasaṅkamatu āyasmā kālena, cīvarena taṃ acchādessatī’ti, cīvaratthikena, bhikkhave, bhikkhunā veyyāvaccakaro upasaṅkamitvā dvattikkhattuṃ codetabbo sāretabbo – ‘attho me, āvuso, cīvarenā’ti. Dvattikkhattuṃ codayamāno sārayamāno taṃ cīvaraṃ abhinipphādeyya, iccetaṃ kusalaṃ; no ce abhinipphādeyya, catukkhattuṃpañcakkhattuṃ chakkhattuparamaṃ tuṇhībhūtena uddissa ṭhātabbaṃ. Catukkhattuṃ pañcakkhattuṃ chakkhattuparamaṃ tuṇhībhūto uddissa tiṭṭhamāno taṃ cīvaraṃ abhinipphādeyya, iccetaṃ kusalaṃ; tato ce uttarivāyamamāno taṃ cīvara abhinipphādeyya, nissaggiyaṃ pācittiyaṃ. No ce abhinipphādeyya, yatassa cīvaracetāpannaṃ ābhataṃ, tattha sāmaṃ vā gantabbaṃ dūto vā pāhetabbo – ‘yaṃ kho tumhe āyasmanto bhikkhuṃ uddissa cīvaracetāpannaṃ pahiṇittha, na taṃ tassa bhikkhuno kiñci atthaṃ anubhoti, yuñjantāyasmanto sakaṃ, mā vo sakaṃ vinassā’ti, ayaṃ tattha sāmīcī’’ti.
๕๓๙. ภิกฺขุํ ปเนว อุทฺทิสฺสาติ ภิกฺขุสฺสตฺถาย, ภิกฺขุํ อารมฺมณํ กริตฺวา , ภิกฺขุํ อจฺฉาเทตุกาโมฯ
539.Bhikkhuṃ paneva uddissāti bhikkhussatthāya, bhikkhuṃ ārammaṇaṃ karitvā , bhikkhuṃ acchādetukāmo.
ราชา นาม โย โกจิ รชฺชํ กาเรติฯ
Rājā nāma yo koci rajjaṃ kāreti.
ราชโภโคฺค นาม โย โกจิ รโญฺญ ภตฺตเวตนาหาโรฯ
Rājabhoggo nāma yo koci rañño bhattavetanāhāro.
พฺราหฺมโณ นาม ชาติยา พฺราหฺมโณฯ
Brāhmaṇo nāma jātiyā brāhmaṇo.
คหปติโก นาม ฐเปตฺวา ราชํ ราชโภคฺคํ พฺราหฺมณํ อวเสโส คหปติโก นามฯ
Gahapatiko nāma ṭhapetvā rājaṃ rājabhoggaṃ brāhmaṇaṃ avaseso gahapatiko nāma.
จีวรเจตาปนฺนํ นาม หิรญฺญํ วา สุวณฺณํ วา มุตฺตา วา มณิ วาฯ
Cīvaracetāpannaṃ nāma hiraññaṃ vā suvaṇṇaṃ vā muttā vā maṇi vā.
อิมินา จีวรเจตาปเนฺนนาติ ปจฺจุปฎฺฐิเตนฯ
Iminā cīvaracetāpannenāti paccupaṭṭhitena.
เจตาเปตฺวาติ ปริวเตฺตตฺวาฯ
Cetāpetvāti parivattetvā.
อจฺฉาเทหีติ ทเชฺชหิฯ
Acchādehīti dajjehi.
โส เจ ทูโต ตํ ภิกฺขุํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวํ วเทยฺย – ‘‘อิทํ โข, ภเนฺต, อายสฺมนฺตํ อุทฺทิสฺส จีวรเจตาปนฺนํ อาภตํฯ ปฎิคฺคณฺหาตุ อายสฺมา จีวรเจตาปนฺน’’นฺติ, เตน ภิกฺขุนา โส ทูโต เอวมสฺส วจนีโย – ‘‘น โข มยํ, อาวุโส, จีวรเจตาปนฺนํ ปฎิคฺคณฺหามฯ จีวรญฺจ โข มยํ ปฎิคฺคณฺหาม, กาเลน กปฺปิย’’นฺติฯ โส เจ ทูโต ตํ ภิกฺขุํ เอวํ วเทยฺย – ‘‘อตฺถิ ปนายสฺมโต โกจิ เวยฺยาวจฺจกโร’’ติ? จีวรตฺถิเกน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุนา เวยฺยาวจฺจกโร นิทฺทิสิตโพฺพ อารามิโก วา อุปาสโก วา – ‘‘เอโส โข, อาวุโส , ภิกฺขูนํ เวยฺยาวจฺจกโร’’ติฯ น วตฺตโพฺพ – ‘‘ตสฺส เทหีติ วา, โส วา นิกฺขิปิสฺสติ, โส วา ปริวเตฺตสฺสติ, โส วา เจตาเปสฺสตี’’ติฯ
So ce dūto taṃ bhikkhuṃ upasaṅkamitvā evaṃ vadeyya – ‘‘idaṃ kho, bhante, āyasmantaṃ uddissa cīvaracetāpannaṃ ābhataṃ. Paṭiggaṇhātu āyasmā cīvaracetāpanna’’nti, tena bhikkhunā so dūto evamassa vacanīyo – ‘‘na kho mayaṃ, āvuso, cīvaracetāpannaṃ paṭiggaṇhāma. Cīvarañca kho mayaṃ paṭiggaṇhāma, kālena kappiya’’nti. So ce dūto taṃ bhikkhuṃ evaṃ vadeyya – ‘‘atthi panāyasmato koci veyyāvaccakaro’’ti? Cīvaratthikena, bhikkhave, bhikkhunā veyyāvaccakaro niddisitabbo ārāmiko vā upāsako vā – ‘‘eso kho, āvuso , bhikkhūnaṃ veyyāvaccakaro’’ti. Na vattabbo – ‘‘tassa dehīti vā, so vā nikkhipissati, so vā parivattessati, so vā cetāpessatī’’ti.
โส เจ ทูโต ตํ เวยฺยาวจฺจกรํ สญฺญาเปตฺวา ตํ ภิกฺขุํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวํ วเทยฺย – ‘‘ยํ โข, ภเนฺต, อายสฺมา เวยฺยาวจฺจกรํ นิทฺทิสิ สญฺญโตฺต โส มยาฯ อุปสงฺกมตุ อายสฺมา กาเลน, จีวเรน ตํ อจฺฉาเทสฺสตี’’ติ, จีวรตฺถิเกน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุนา เวยฺยาวจฺจกโร อุปสงฺกมิตฺวา ทฺวตฺติกฺขตฺตุํ โจเทตโพฺพ สาเรตโพฺพ – ‘‘อโตฺถ เม, อาวุโส, จีวเรนา’’ติฯ น วตฺตโพฺพ – ‘‘เทหิ เม จีวรํ, อาหร เม จีวรํ, ปริวเตฺตหิ เม จีวรํ, เจตาเปหิ เม จีวร’’นฺติฯ ทุติยมฺปิ วตฺตโพฺพฯ ตติยมฺปิ วตฺตโพฺพฯ สเจ อภินิปฺผาเทติ, อิเจฺจตํ กุสลํ; โน เจ อภินิปฺผาเทติ, ตตฺถ คนฺตฺวา ตุณฺหีภูเตน อุทฺทิสฺส ฐาตพฺพํฯ น อาสเน นิสีทิตพฺพํฯ น อามิสํ ปฎิคฺคเหตพฺพํฯ น ธโมฺม ภาสิตโพฺพฯ ‘‘กิํ การณา อาคโตสี’’ติ ปุจฺฉิยมาโน ‘‘ชานาหิ, อาวุโส’’ติ วตฺตโพฺพฯ สเจ อาสเน วา นิสีทติ , อามิสํ วา ปฎิคฺคณฺหาติ, ธมฺมํ วา ภาสติ, ฐานํ ภญฺชติฯ ทุติยมฺปิ ฐาตพฺพํฯ ตติยมฺปิ ฐาตพฺพํฯ จตุกฺขตฺตุํ โจเทตฺวา จตุกฺขตฺตุํ ฐาตพฺพํฯ ปญฺจกฺขตุํ โจเทตฺวา ทฺวิกฺขตฺตุํ ฐาตพฺพํฯ ฉกฺขตฺตุํ โจเทตฺวา น ฐาตพฺพํฯ ตโต เจ อุตฺตริ วายมมาโน ตํ จีวรํ อภินิปฺผาเทติ, ปโยเค ทุกฺกฎํฯ ปฎิลาเภน นิสฺสคฺคิยํ โหติฯ นิสฺสชฺชิตพฺพํ สงฺฆสฺส วา คณสฺส วา ปุคฺคลสฺส วาฯ เอวญฺจ ปน, ภิกฺขเว, นิสฺสชฺชิตพฺพํ…เป.… อิทํ เม , ภเนฺต, จีวรํ อติเรกติกฺขตฺตุํ โจทนาย อติเรกฉกฺขตฺตุํ ฐาเนน อภินิปฺผาทิตํ นิสฺสคฺคิยํฯ อิมาหํ สงฺฆสฺส นิสฺสชฺชามีติ…เป.… ทเทยฺยาติ…เป.… ทเทยฺยุนฺติ…เป.… อายสฺมโต ทมฺมีติฯ
So ce dūto taṃ veyyāvaccakaraṃ saññāpetvā taṃ bhikkhuṃ upasaṅkamitvā evaṃ vadeyya – ‘‘yaṃ kho, bhante, āyasmā veyyāvaccakaraṃ niddisi saññatto so mayā. Upasaṅkamatu āyasmā kālena, cīvarena taṃ acchādessatī’’ti, cīvaratthikena, bhikkhave, bhikkhunā veyyāvaccakaro upasaṅkamitvā dvattikkhattuṃ codetabbo sāretabbo – ‘‘attho me, āvuso, cīvarenā’’ti. Na vattabbo – ‘‘dehi me cīvaraṃ, āhara me cīvaraṃ, parivattehi me cīvaraṃ, cetāpehi me cīvara’’nti. Dutiyampi vattabbo. Tatiyampi vattabbo. Sace abhinipphādeti, iccetaṃ kusalaṃ; no ce abhinipphādeti, tattha gantvā tuṇhībhūtena uddissa ṭhātabbaṃ. Na āsane nisīditabbaṃ. Na āmisaṃ paṭiggahetabbaṃ. Na dhammo bhāsitabbo. ‘‘Kiṃ kāraṇā āgatosī’’ti pucchiyamāno ‘‘jānāhi, āvuso’’ti vattabbo. Sace āsane vā nisīdati , āmisaṃ vā paṭiggaṇhāti, dhammaṃ vā bhāsati, ṭhānaṃ bhañjati. Dutiyampi ṭhātabbaṃ. Tatiyampi ṭhātabbaṃ. Catukkhattuṃ codetvā catukkhattuṃ ṭhātabbaṃ. Pañcakkhatuṃ codetvā dvikkhattuṃ ṭhātabbaṃ. Chakkhattuṃ codetvā na ṭhātabbaṃ. Tato ce uttari vāyamamāno taṃ cīvaraṃ abhinipphādeti, payoge dukkaṭaṃ. Paṭilābhena nissaggiyaṃ hoti. Nissajjitabbaṃ saṅghassa vā gaṇassa vā puggalassa vā. Evañca pana, bhikkhave, nissajjitabbaṃ…pe… idaṃ me , bhante, cīvaraṃ atirekatikkhattuṃ codanāya atirekachakkhattuṃ ṭhānena abhinipphāditaṃ nissaggiyaṃ. Imāhaṃ saṅghassa nissajjāmīti…pe… dadeyyāti…pe… dadeyyunti…pe… āyasmato dammīti.
โน เจ อภินิปฺผาเทยฺย, ยตสฺส จีวรเจตาปนฺนํ อาภตํ ตตฺถ สามํ วา คนฺตพฺพํ ทูโต วา ปาเหตโพฺพ – ‘‘ยํ โข ตุเมฺห อายสฺมโนฺต ภิกฺขุํ อุทฺทิสฺส จีวรเจตาปนฺนํ ปหิณิตฺถ น ตํ ตสฺส ภิกฺขุโน กิญฺจิ อตฺถํ อนุโภติฯ ยุญฺชนฺตายสฺมโนฺต สกํ, มา โว สกํ วินสฺสา’’ติฯ
No ce abhinipphādeyya, yatassa cīvaracetāpannaṃ ābhataṃ tattha sāmaṃ vā gantabbaṃ dūto vā pāhetabbo – ‘‘yaṃ kho tumhe āyasmanto bhikkhuṃ uddissa cīvaracetāpannaṃ pahiṇittha na taṃ tassa bhikkhuno kiñci atthaṃ anubhoti. Yuñjantāyasmanto sakaṃ, mā vo sakaṃ vinassā’’ti.
อยํ ตตฺถ สามีจีติ อยํ ตตฺถ อนุธมฺมตาฯ
Ayaṃ tattha sāmīcīti ayaṃ tattha anudhammatā.
๕๔๐. อติเรกติกฺขตฺตุํ โจทนาย อติเรกฉกฺขตฺตุํ ฐาเนน อติเรกสญฺญี อภินิปฺผาเทติ, นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํฯ อติเรกติกฺขตฺตุํ โจทนาย อติเรกฉกฺขตฺตุํ ฐาเนน เวมติโก อภินิปฺผาเทติ, นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํฯ อติเรกติกฺขตฺตุํ โจทนาย อติเรกฉกฺขตฺตุํ ฐาเนน อูนกสญฺญี อภินิปฺผาเทติ, นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํฯ
540. Atirekatikkhattuṃ codanāya atirekachakkhattuṃ ṭhānena atirekasaññī abhinipphādeti, nissaggiyaṃ pācittiyaṃ. Atirekatikkhattuṃ codanāya atirekachakkhattuṃ ṭhānena vematiko abhinipphādeti, nissaggiyaṃ pācittiyaṃ. Atirekatikkhattuṃ codanāya atirekachakkhattuṃ ṭhānena ūnakasaññī abhinipphādeti, nissaggiyaṃ pācittiyaṃ.
อูนกติกฺขตฺตุํ โจทนาย อูนกฉกฺขตฺตุํ ฐาเนน อติเรกสญฺญี, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ อูนกติกฺขตฺตุํ โจทนาย อูนกฉกฺขตฺตุํ ฐาเนน เวมติโก, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสฯ อูนกติกฺขตฺตุํ โจทนาย อูนกฉกฺขตฺตุํ ฐาเนน อูนกสญฺญี อนาปตฺติฯ
Ūnakatikkhattuṃ codanāya ūnakachakkhattuṃ ṭhānena atirekasaññī, āpatti dukkaṭassa. Ūnakatikkhattuṃ codanāya ūnakachakkhattuṃ ṭhānena vematiko, āpatti dukkaṭassa. Ūnakatikkhattuṃ codanāya ūnakachakkhattuṃ ṭhānena ūnakasaññī anāpatti.
๕๔๑. อนาปตฺติ – ติกฺขตฺตุํ โจทนาย, ฉกฺขตฺตุํ ฐาเนน, อูนกติกฺขตฺตุํ โจทนาย, อูนกฉกฺขตฺตุํ ฐาเนน, อโจทิยมาโน เทติ, สามิกา โจเทตฺวา เทนฺติ, อุมฺมตฺตกสฺส, อาทิกมฺมิกสฺสาติฯ
541. Anāpatti – tikkhattuṃ codanāya, chakkhattuṃ ṭhānena, ūnakatikkhattuṃ codanāya, ūnakachakkhattuṃ ṭhānena, acodiyamāno deti, sāmikā codetvā denti, ummattakassa, ādikammikassāti.
ราชสิกฺขาปทํ นิฎฺฐิตํ ทสมํฯ
Rājasikkhāpadaṃ niṭṭhitaṃ dasamaṃ.
กถินวโคฺค ปฐโมฯ
Kathinavaggo paṭhamo.
ตสฺสุทฺทานํ –
Tassuddānaṃ –
อุพฺภตํ กถินํ ตีณิ, โธวนญฺจ ปฎิคฺคโห;
Ubbhataṃ kathinaṃ tīṇi, dhovanañca paṭiggaho;
อญฺญาตกานิ ตีเณว, อุภินฺนํ ทูตเกน จาติฯ
Aññātakāni tīṇeva, ubhinnaṃ dūtakena cāti.
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā / ๑๐. ราชสิกฺขาปทวณฺณนา • 10. Rājasikkhāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / ๑๐. ราชสิกฺขาปทวณฺณนา • 10. Rājasikkhāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / ๑๐. ราชสิกฺขาปทวณฺณนา • 10. Rājasikkhāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ๑๐. ราชสิกฺขาปทวณฺณนา • 10. Rājasikkhāpadavaṇṇanā