Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā |
๑๐. ราชสิกฺขาปทวณฺณนา
10. Rājasikkhāpadavaṇṇanā
๕๓๗. เตน สมเยนาติ ราชสิกฺขาปทํฯ ตตฺถ อุปาสกํ สญฺญาเปตฺวาติ ชานาเปตฺวา, ‘‘อิมินา มูเลน จีวรํ กิณิตฺวา เถรสฺส เทหี’’ติ เอวํ วตฺวาติ อธิปฺปาโยฯ ปญฺญาสพโนฺธติ ปญฺญาสกหาปณทโณฺฑติ วุตฺตํ โหติฯ ปญฺญาสํ พโทฺธติปิ ปาโฐ, ปญฺญาสํ ชิโต ปญฺญาสํ ทาเปตโพฺพติ อธิปฺปาโยฯ อชฺชโณฺห, ภเนฺต, อาคเมหีติ ภเนฺต, อชฺช เอกทิวสํ อมฺหากํ ติฎฺฐ, อธิวาเสหีติ อโตฺถฯ ปรามสีติ คณฺหิฯ ชีโนสีติ ชิโตสิฯ
537.Tena samayenāti rājasikkhāpadaṃ. Tattha upāsakaṃ saññāpetvāti jānāpetvā, ‘‘iminā mūlena cīvaraṃ kiṇitvā therassa dehī’’ti evaṃ vatvāti adhippāyo. Paññāsabandhoti paññāsakahāpaṇadaṇḍoti vuttaṃ hoti. Paññāsaṃ baddhotipi pāṭho, paññāsaṃ jito paññāsaṃ dāpetabboti adhippāyo. Ajjaṇho, bhante, āgamehīti bhante, ajja ekadivasaṃ amhākaṃ tiṭṭha, adhivāsehīti attho. Parāmasīti gaṇhi. Jīnosīti jitosi.
๕๓๘-๙. ราชโภโคฺคติ ราชโต โภคฺคํ ภุญฺชิตพฺพํ อสฺสตฺถีติ ราชโภโคฺค, ราชโภโคติปิ ปาโฐ, ราชโต โภโค อสฺส อตฺถีติ อโตฺถฯ
538-9.Rājabhoggoti rājato bhoggaṃ bhuñjitabbaṃ assatthīti rājabhoggo, rājabhogotipi pāṭho, rājato bhogo assa atthīti attho.
ปหิเณยฺยาติ เปเสยฺย, อุตฺตานตฺถตฺตา ปนสฺส ปทภาชนํ น วุตฺตํฯ ยถา จ เอตสฺส, เอวํ ‘‘จีวรํ อิตฺถนฺนามํ ภิกฺขุ’’นฺติอาทีนมฺปิ ปทานํ อุตฺตานตฺถตฺตาเยว ปทภาชนํ น วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํ ฯ อาภตนฺติ อานีตํฯ กาเลน กปฺปิยนฺติ ยุตฺตปตฺตกาเลน, ยทา โน อโตฺถ โหติ, ตทา กปฺปิยํ จีวรํ คณฺหามาติ อโตฺถฯ
Pahiṇeyyāti peseyya, uttānatthattā panassa padabhājanaṃ na vuttaṃ. Yathā ca etassa, evaṃ ‘‘cīvaraṃ itthannāmaṃ bhikkhu’’ntiādīnampi padānaṃ uttānatthattāyeva padabhājanaṃ na vuttanti veditabbaṃ . Ābhatanti ānītaṃ. Kālenakappiyanti yuttapattakālena, yadā no attho hoti, tadā kappiyaṃ cīvaraṃ gaṇhāmāti attho.
เวยฺยาวจฺจกโรติ กิจฺจกโร, กปฺปิยการโกติ อโตฺถฯ สญฺญโตฺต โส มยาติ อาณโตฺต โส มยา, ยถา ตุมฺหากํ จีวเรน อเตฺถ สติ จีวรํ ทสฺสติ, เอวํ วุโตฺตติ อโตฺถฯ อโตฺถ เม อาวุโส จีวเรนาติ โจทนาลกฺขณนิทสฺสนเมตํ, อิทญฺหิ วจนํ วตฺตพฺพํ, อสฺส วา อโตฺถ ยาย กายจิ ภาสาย; อิทํ โจทนาลกฺขณํฯ ‘‘เทหิ เม จีวร’’นฺติอาทีนิ ปน นวตฺตพฺพาการทสฺสนตฺถํ วุตฺตานิ, เอตานิ หิ วจนานิ เอเตสํ วา อโตฺถ ยาย กายจิ ภาสาย น วตฺตโพฺพฯ
Veyyāvaccakaroti kiccakaro, kappiyakārakoti attho. Saññatto so mayāti āṇatto so mayā, yathā tumhākaṃ cīvarena atthe sati cīvaraṃ dassati, evaṃ vuttoti attho. Attho me āvuso cīvarenāti codanālakkhaṇanidassanametaṃ, idañhi vacanaṃ vattabbaṃ, assa vā attho yāya kāyaci bhāsāya; idaṃ codanālakkhaṇaṃ. ‘‘Dehi me cīvara’’ntiādīni pana navattabbākāradassanatthaṃ vuttāni, etāni hi vacanāni etesaṃ vā attho yāya kāyaci bhāsāya na vattabbo.
ทุติยมฺปิ วตฺตโพฺพ ตติยมฺปิ วตฺตโพฺพติ ‘‘อโตฺถ เม อาวุโส จีวเรนา’’ติ อิทเมว ยาวตติยํ วตฺตโพฺพติฯ เอวํ ‘‘ทฺวตฺติกฺขตฺตุํ โจเทตโพฺพ สาเรตโพฺพ’’ติ เอตฺถ อุทฺทิฎฺฐโจทนาปริเจฺฉทํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ‘‘ทฺวตฺติกฺขตฺตุํ โจทยมาโน สารยมาโน ตํ จีวรํ อภินิปฺผาเทยฺย, อิเจฺจตํ กุสล’’นฺติ อิเมสํ ปทานํ สเงฺขปโต อตฺถํ ทเสฺสโนฺต ‘‘สเจ อภินิปฺผาเทติ, อิเจฺจตํ กุสล’’นฺติ อาหฯ เอวํ ยาวตติยํ โจเทโนฺต ตํ จีวรํ ยทิ นิปฺผาเทติ, สโกฺกติ อตฺตโน ปฎิลาภวเสน นิปฺผาเทตุํ, อิเจฺจตํ กุสลํ สาธุ สุฎฺฐุ สุนฺทรํฯ
Dutiyampi vattabbo tatiyampi vattabboti ‘‘attho me āvuso cīvarenā’’ti idameva yāvatatiyaṃ vattabboti. Evaṃ ‘‘dvattikkhattuṃ codetabbo sāretabbo’’ti ettha uddiṭṭhacodanāparicchedaṃ dassetvā idāni ‘‘dvattikkhattuṃ codayamāno sārayamāno taṃ cīvaraṃ abhinipphādeyya, iccetaṃ kusala’’nti imesaṃ padānaṃ saṅkhepato atthaṃ dassento ‘‘sace abhinipphādeti, iccetaṃ kusala’’nti āha. Evaṃ yāvatatiyaṃ codento taṃ cīvaraṃ yadi nipphādeti, sakkoti attano paṭilābhavasena nipphādetuṃ, iccetaṃ kusalaṃ sādhu suṭṭhu sundaraṃ.
จตุกฺขตฺตุํ ปญฺจกฺขตฺตุํ ฉกฺขตฺตุปรมํ ตุณฺหีภูเตน อุทฺทิสฺส ฐาตพฺพนฺติ ฐานลกฺขณนิทสฺสนเมตํฯ ฉกฺขตฺตุปรมนฺติ จ ภาวนปุํสกวจนเมตํ, ฉกฺขตฺตุปรมญฺหิ เอเตน จีวรํ อุทฺทิสฺส ตุณฺหีภูเตน ฐาตพฺพํ, น อญฺญํ กิญฺจิ กาตพฺพํ, อิทํ ฐานลกฺขณํฯ ตตฺถ โย สพฺพฎฺฐานานํ สาธารโณ ตุณฺหีภาโว, ตํ ตาว ทเสฺสตุํ ปทภาชเน ‘‘ตตฺถ คนฺตฺวา ตุณฺหีภูเตนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ น อาสเน นิสีทิตพฺพนฺติ ‘‘อิธ, ภเนฺต, นิสีทถา’’ติ วุเตฺตนาปิ น นิสีทิตพฺพํฯ น อามิสํ ปฎิคฺคเหตพฺพนฺติ ยาคุขชฺชกาทิเภทํ กิญฺจิ อามิสํ ‘‘คณฺหถ, ภเนฺต’’ติ ยาจิยมาเนนาปิ น คณฺหิตพฺพํฯ น ธโมฺม ภาสิตโพฺพติ มงฺคลํ วา อนุโมทนํ วา ภาสถาติ ยาจิยมาเนนาปิ กิญฺจิ น ภาสิตพฺพํ, เกวลํ ‘‘กิํ การณา อาคโตสี’’ติ ปุจฺฉิยมาเนน ‘‘ชานาสิ, อาวุโส’’ติ วตฺตโพฺพฯ ปุจฺฉิยมาโนติ อิทญฺหิ กรณเตฺถ ปจฺจตฺตวจนํฯ อถ วา ปุจฺฉํ กุรุมาโน ปุจฺฉิยมาโนติ เอวเมฺปตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ โย หิ ปุจฺฉํ กโรติ, โส เอตฺตกํ วตฺตโพฺพติ ฐานํ ภญฺชตีติ อาคตการณํ ภญฺชติฯ
Catukkhattuṃ pañcakkhattuṃ chakkhattuparamaṃ tuṇhībhūtena uddissa ṭhātabbanti ṭhānalakkhaṇanidassanametaṃ. Chakkhattuparamanti ca bhāvanapuṃsakavacanametaṃ, chakkhattuparamañhi etena cīvaraṃ uddissa tuṇhībhūtena ṭhātabbaṃ, na aññaṃ kiñci kātabbaṃ, idaṃ ṭhānalakkhaṇaṃ. Tattha yo sabbaṭṭhānānaṃ sādhāraṇo tuṇhībhāvo, taṃ tāva dassetuṃ padabhājane ‘‘tattha gantvā tuṇhībhūtenā’’tiādi vuttaṃ. Tattha na āsane nisīditabbanti ‘‘idha, bhante, nisīdathā’’ti vuttenāpi na nisīditabbaṃ. Na āmisaṃ paṭiggahetabbanti yāgukhajjakādibhedaṃ kiñci āmisaṃ ‘‘gaṇhatha, bhante’’ti yāciyamānenāpi na gaṇhitabbaṃ. Na dhammo bhāsitabboti maṅgalaṃ vā anumodanaṃ vā bhāsathāti yāciyamānenāpi kiñci na bhāsitabbaṃ, kevalaṃ ‘‘kiṃ kāraṇā āgatosī’’ti pucchiyamānena ‘‘jānāsi, āvuso’’ti vattabbo. Pucchiyamānoti idañhi karaṇatthe paccattavacanaṃ. Atha vā pucchaṃ kurumāno pucchiyamānoti evampettha attho daṭṭhabbo. Yo hi pucchaṃ karoti, so ettakaṃ vattabboti ṭhānaṃ bhañjatīti āgatakāraṇaṃ bhañjati.
อิทานิ ยา ติโสฺส โจทนา, ฉ จ ฐานานิ วุตฺตานิฯ ตตฺถ วุฑฺฒิญฺจ หานิญฺจ ทเสฺสโนฺต ‘‘จตุกฺขตฺตุํ โจเทตฺวา’’ติอาทิมาหฯ ยสฺมา จ เอตฺถ เอกโจทนาวุฑฺฒิยา ทฺวินฺนํ ฐานานํ หานิ วุตฺตา, ตสฺมา ‘‘เอกา โจทนา ทิคุณํ ฐาน’’นฺติ ลกฺขณํ ทสฺสิตํ โหติฯ อิติ อิมินา ลกฺขเณน ติกฺขตฺตุํ โจเทตฺวา ฉกฺขตฺตุํ ฐาตพฺพํ, ทฺวิกฺขตฺตุํ โจเทตฺวา อฎฺฐกฺขตฺตุํ ฐาตพฺพํ, สกิํ โจเทตฺวา ทสกฺขตฺตุํ ฐาตพฺพนฺติฯ ยถา จ ‘‘ฉกฺขตฺตุํ โจเทตฺวา น ฐาตพฺพ’’นฺติ วุตฺตํ, เอวํ ‘‘ทฺวาทสกฺขตฺตุํ ฐตฺวา น โจเทตพฺพ’’นฺติปิ วุตฺตเมว โหติฯ ตสฺมา สเจ โจเทติเยว น ติฎฺฐติ, ฉ โจทนา ลพฺภนฺติฯ สเจ ติฎฺฐติเยว น โจเทติ, ทฺวาทส ฐานานิ ลพฺภนฺติฯ สเจ โจเทติปิ ติฎฺฐติปิ, เอกาย โจทนาย เทฺว ฐานานิ หาเปตพฺพานิฯ ตตฺถ โย เอกทิวสเมว ปุนปฺปุนํ คนฺตฺวา ฉกฺขตฺตุํ โจเทติ, สกิํเยว วา คนฺตฺวา ‘‘อโตฺถ เม, อาวุโส, จีวเรนา’’ติ ฉกฺขตฺตุํ วทติฯ ตถา เอกทิวสเมว ปุนปฺปุนํ คนฺตฺวา ทฺวาทสกฺขตฺตุํ ติฎฺฐติ, สกิํเยว วา คนฺตฺวา ตตฺร ตตฺร ฐาเน ติฎฺฐติ, โสปิ สพฺพโจทนาโย สพฺพฎฺฐานานิ จ ภญฺชติฯ โก ปน วาโท นานาทิวเสสุ เอวํ กโรนฺตสฺสาติ เอวเมตฺถ วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ
Idāni yā tisso codanā, cha ca ṭhānāni vuttāni. Tattha vuḍḍhiñca hāniñca dassento ‘‘catukkhattuṃ codetvā’’tiādimāha. Yasmā ca ettha ekacodanāvuḍḍhiyā dvinnaṃ ṭhānānaṃ hāni vuttā, tasmā ‘‘ekā codanā diguṇaṃ ṭhāna’’nti lakkhaṇaṃ dassitaṃ hoti. Iti iminā lakkhaṇena tikkhattuṃ codetvā chakkhattuṃ ṭhātabbaṃ, dvikkhattuṃ codetvā aṭṭhakkhattuṃ ṭhātabbaṃ, sakiṃ codetvā dasakkhattuṃ ṭhātabbanti. Yathā ca ‘‘chakkhattuṃ codetvā na ṭhātabba’’nti vuttaṃ, evaṃ ‘‘dvādasakkhattuṃ ṭhatvā na codetabba’’ntipi vuttameva hoti. Tasmā sace codetiyeva na tiṭṭhati, cha codanā labbhanti. Sace tiṭṭhatiyeva na codeti, dvādasa ṭhānāni labbhanti. Sace codetipi tiṭṭhatipi, ekāya codanāya dve ṭhānāni hāpetabbāni. Tattha yo ekadivasameva punappunaṃ gantvā chakkhattuṃ codeti, sakiṃyeva vā gantvā ‘‘attho me, āvuso, cīvarenā’’ti chakkhattuṃ vadati. Tathā ekadivasameva punappunaṃ gantvā dvādasakkhattuṃ tiṭṭhati, sakiṃyeva vā gantvā tatra tatra ṭhāne tiṭṭhati, sopi sabbacodanāyo sabbaṭṭhānāni ca bhañjati. Ko pana vādo nānādivasesu evaṃ karontassāti evamettha vinicchayo veditabbo.
ยตสฺส จีวรเจตาปนฺนํ อาภตนฺติ ยโต ราชโต วา ราชโภคฺคโต วา อสฺส ภิกฺขุโน จีวรเจตาปนฺนํ อานีตํฯ ยตฺวสฺสาติปิ ปาโฐฯ อยเมวโตฺถฯ ‘‘ยตฺถสฺสา’’ติปิ ปฐนฺติ, ยสฺมิํ ฐาเน อสฺส จีวรเจตาปนฺนํ เปสิตนฺติ จ อตฺถํ กเถนฺติ, พฺยญฺชนํ ปน น สเมติฯ ตตฺถาติ ตสฺส รโญฺญ วา ราชโภคฺคสฺส วา สนฺติเก; สมีปเตฺถ หิ อิทํ ภุมฺมวจนํฯ น ตํ ตสฺส ภิกฺขุโน กิญฺจิ อตฺถํ อนุโภตีติ ตํ จีวรเจตาปนฺนํ ตสฺส ภิกฺขุโน กิญฺจิ อปฺปมตฺตกมฺปิ กมฺมํ น นิปฺผาเทติฯ ยุญฺชนฺตายสฺมโนฺต สกนฺติ อายสฺมโนฺต อตฺตโน สนฺตกํ ธนํ ปาปุณนฺตุฯ มา โว สกํ วินสฺสาติ ตุมฺหากํ สนฺตกํ มา วินสฺสตุฯ โย ปน เนว สามํ คจฺฉติ, น ทูตํ ปาเหติ, วตฺตเภเท ทุกฺกฎํ อาปชฺชติฯ
Yatassa cīvaracetāpannaṃ ābhatanti yato rājato vā rājabhoggato vā assa bhikkhuno cīvaracetāpannaṃ ānītaṃ. Yatvassātipi pāṭho. Ayamevattho. ‘‘Yatthassā’’tipi paṭhanti, yasmiṃ ṭhāne assa cīvaracetāpannaṃ pesitanti ca atthaṃ kathenti, byañjanaṃ pana na sameti. Tatthāti tassa rañño vā rājabhoggassa vā santike; samīpatthe hi idaṃ bhummavacanaṃ. Na taṃ tassa bhikkhuno kiñci atthaṃ anubhotīti taṃ cīvaracetāpannaṃ tassa bhikkhuno kiñci appamattakampi kammaṃ na nipphādeti. Yuñjantāyasmanto sakanti āyasmanto attano santakaṃ dhanaṃ pāpuṇantu. Mā vo sakaṃ vinassāti tumhākaṃ santakaṃ mā vinassatu. Yo pana neva sāmaṃ gacchati, na dūtaṃ pāheti, vattabhede dukkaṭaṃ āpajjati.
กิํ ปน สพฺพกปฺปิยการเกสุ เอวํ ปฎิปชฺชิตพฺพนฺติ? น ปฎิปชฺชิตพฺพํฯ อยญฺหิ กปฺปิยการโก นาม สเงฺขปโต ทุวิโธ นิทฺทิโฎฺฐ จ อนิทฺทิโฎฺฐ จฯ ตตฺถ นิทฺทิโฎฺฐ ทุวิโธ – ภิกฺขุนา นิทฺทิโฎฺฐ, ทูเตน นิทฺทิโฎฺฐติฯ อนิทฺทิโฎฺฐปิ ทุวิโธ – มุขเววฎิก กปฺปิยการโก, ปรมฺมุขกปฺปิยการโกติฯ เตสุ ภิกฺขุนา นิทฺทิโฎฺฐ สมฺมุขาสมฺมุขวเสน จตุพฺพิโธ โหติฯ ตถา ทูเตน นิทฺทิโฎฺฐปิฯ
Kiṃ pana sabbakappiyakārakesu evaṃ paṭipajjitabbanti? Na paṭipajjitabbaṃ. Ayañhi kappiyakārako nāma saṅkhepato duvidho niddiṭṭho ca aniddiṭṭho ca. Tattha niddiṭṭho duvidho – bhikkhunā niddiṭṭho, dūtena niddiṭṭhoti. Aniddiṭṭhopi duvidho – mukhavevaṭika kappiyakārako, parammukhakappiyakārakoti. Tesu bhikkhunā niddiṭṭho sammukhāsammukhavasena catubbidho hoti. Tathā dūtena niddiṭṭhopi.
กถํ? อิเธกโจฺจ ภิกฺขุสฺส จีวรตฺถาย ทูเตน อกปฺปิยวตฺถุํ ปหิณติ, ทูโต ตํ ภิกฺขุํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘อิทํ, ภเนฺต, อิตฺถนฺนาเมน ตุมฺหากํ จีวรตฺถาย ปหิตํ, คณฺหถ น’’นฺติ วทติ, ภิกฺขุ ‘‘นยิทํ กปฺปตี’’ติ ปฎิกฺขิปติ, ทูโต ‘‘อตฺถิ ปน เต, ภเนฺต, เวยฺยาวจฺจกโร’’ติ ปุจฺฉติ, ปุญฺญตฺถิเกหิ จ อุปาสเกหิ ‘‘ภิกฺขูนํ เวยฺยาวจฺจํ กโรถา’’ติ อาณตฺตา วา, ภิกฺขูนํ วา สนฺทิฎฺฐา สมฺภตฺตา เกจิ เวยฺยาวจฺจกรา โหนฺติ, เตสํ อญฺญตโร ตสฺมิํ ขเณ ภิกฺขุสฺส สนฺติเก นิสิโนฺน โหติ, ภิกฺขุ ตํ นิทฺทิสติ ‘‘อยํ ภิกฺขูนํ เวยฺยาวจฺจกโร’’ติฯ ทูโต ตสฺส หเตฺถ อกปฺปิยวตฺถุํ ทตฺวา ‘‘เถรสฺส จีวรํ กิณิตฺวา เทหี’’ติ คจฺฉติ, อยํ ภิกฺขุนา สมฺมุขานิทฺทิโฎฺฐฯ
Kathaṃ? Idhekacco bhikkhussa cīvaratthāya dūtena akappiyavatthuṃ pahiṇati, dūto taṃ bhikkhuṃ upasaṅkamitvā ‘‘idaṃ, bhante, itthannāmena tumhākaṃ cīvaratthāya pahitaṃ, gaṇhatha na’’nti vadati, bhikkhu ‘‘nayidaṃ kappatī’’ti paṭikkhipati, dūto ‘‘atthi pana te, bhante, veyyāvaccakaro’’ti pucchati, puññatthikehi ca upāsakehi ‘‘bhikkhūnaṃ veyyāvaccaṃ karothā’’ti āṇattā vā, bhikkhūnaṃ vā sandiṭṭhā sambhattā keci veyyāvaccakarā honti, tesaṃ aññataro tasmiṃ khaṇe bhikkhussa santike nisinno hoti, bhikkhu taṃ niddisati ‘‘ayaṃ bhikkhūnaṃ veyyāvaccakaro’’ti. Dūto tassa hatthe akappiyavatthuṃ datvā ‘‘therassa cīvaraṃ kiṇitvā dehī’’ti gacchati, ayaṃ bhikkhunā sammukhāniddiṭṭho.
โน เจ ภิกฺขุสฺส สนฺติเก นิสิโนฺน โหติ, อปิจ โข ภิกฺขุ นิทฺทิสติ – ‘‘อสุกสฺมิํ นาม คาเม อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขูนํ เวยฺยาวจฺจกโร’’ติ, โส คนฺตฺวา ตสฺส หเตฺถ อกปฺปิยวตฺถุํ ทตฺวา ‘‘เถรสฺส จีวรํ กิณิตฺวา ทเทยฺยาสี’’ติ อาคนฺตฺวา ภิกฺขุสฺส อาโรเจตฺวา คจฺฉติ, อยเมโก ภิกฺขุนา อสมฺมุขานิทฺทิโฎฺฐฯ
No ce bhikkhussa santike nisinno hoti, apica kho bhikkhu niddisati – ‘‘asukasmiṃ nāma gāme itthannāmo bhikkhūnaṃ veyyāvaccakaro’’ti, so gantvā tassa hatthe akappiyavatthuṃ datvā ‘‘therassa cīvaraṃ kiṇitvā dadeyyāsī’’ti āgantvā bhikkhussa ārocetvā gacchati, ayameko bhikkhunā asammukhāniddiṭṭho.
น เหว โข โส ทูโต อตฺตนา อาคนฺตฺวา อาโรเจติ, อปิจ โข อญฺญํ ปหิณติ ‘‘ทินฺนํ มยา, ภเนฺต, ตสฺส หเตฺถ จีวรเจตาปนฺนํ, จีวรํ คเณฺหยฺยาถา’’ติ, อยํ ทุติโย ภิกฺขุนา อสมฺมุขานิทฺทิโฎฺฐฯ
Na heva kho so dūto attanā āgantvā āroceti, apica kho aññaṃ pahiṇati ‘‘dinnaṃ mayā, bhante, tassa hatthe cīvaracetāpannaṃ, cīvaraṃ gaṇheyyāthā’’ti, ayaṃ dutiyo bhikkhunā asammukhāniddiṭṭho.
น เหว โข อญฺญํ ปหิณติ, อปิจ โข คจฺฉโนฺตว ภิกฺขุํ วทติ ‘‘อหํ ตสฺส หเตฺถ จีวรเจตาปนฺนํ ทสฺสามิ, ตุเมฺห จีวรํ คเณฺหยฺยาถา’’ติ, อยํ ตติโย ภิกฺขุนา อสมฺมุขานิทฺทิโฎฺฐติ เอวํ เอโก สมฺมุขานิทฺทิโฎฺฐ ตโย อสมฺมุขานิทฺทิฎฺฐาติ อิเม จตฺตาโร ภิกฺขุนา นิทฺทิฎฺฐเวยฺยาวจฺจกรา นามฯ เอเตสุ อิมสฺมิํ ราชสิกฺขาปเท วุตฺตนเยเนว ปฎิปชฺชิตพฺพํฯ
Na heva kho aññaṃ pahiṇati, apica kho gacchantova bhikkhuṃ vadati ‘‘ahaṃ tassa hatthe cīvaracetāpannaṃ dassāmi, tumhe cīvaraṃ gaṇheyyāthā’’ti, ayaṃ tatiyo bhikkhunā asammukhāniddiṭṭhoti evaṃ eko sammukhāniddiṭṭho tayo asammukhāniddiṭṭhāti ime cattāro bhikkhunā niddiṭṭhaveyyāvaccakarā nāma. Etesu imasmiṃ rājasikkhāpade vuttanayeneva paṭipajjitabbaṃ.
อปโร ภิกฺขุ ปุริมนเยเนว ทูเตน ปุจฺฉิโต นตฺถิตาย วา, อวิจาเรตุกามตาย วา ‘‘นตฺถมฺหากํ กปฺปิยการโก’’ติ วทติ, ตสฺมิญฺจ ขเณ โกจิ มนุโสฺส อาคจฺฉติ, ทูโต ตสฺส หเตฺถ อกปฺปิยวตฺถุํ ทตฺวา ‘‘อิมสฺส หตฺถโต จีวรํ คเณฺหยฺยาถา’’ติ วตฺวา คจฺฉติ, อยํ ทูเตน สมฺมุขานิทฺทิโฎฺฐฯ
Aparo bhikkhu purimanayeneva dūtena pucchito natthitāya vā, avicāretukāmatāya vā ‘‘natthamhākaṃ kappiyakārako’’ti vadati, tasmiñca khaṇe koci manusso āgacchati, dūto tassa hatthe akappiyavatthuṃ datvā ‘‘imassa hatthato cīvaraṃ gaṇheyyāthā’’ti vatvā gacchati, ayaṃ dūtena sammukhāniddiṭṭho.
อปโร ทูโต คามํ ปวิสิตฺวา อตฺตนา อภิรุจิตสฺส กสฺสจิ หเตฺถ อกปฺปิยวตฺถุํ ทตฺวา ปุริมนเยเนว อาคนฺตฺวา อาโรเจติ, อญฺญํ วา ปหิณติ, ‘‘อหํ อสุกสฺส นาม หเตฺถ จีวรเจตาปนฺนํ ทสฺสามิ, ตุเมฺห จีวรํ คเณฺหยฺยาถา’’ติ วตฺวา วา คจฺฉติ, อยํ ตติโย ทูเตน อสมฺมุขานิทฺทิโฎฺฐติ เอวํ เอโก สมฺมุขานิทฺทิโฎฺฐ, ตโย อสมฺมุขานิทฺทิฎฺฐาติ อิเม จตฺตาโร ทูเตน นิทฺทิฎฺฐเวยฺยาวจฺจกรา นามฯ เอเตสุ เมณฺฑกสิกฺขาปเท วุตฺตนเยน ปฎิปชฺชิตพฺพํฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘สนฺติ, ภิกฺขเว, มนุสฺสา สทฺธา ปสนฺนา, เต กปฺปิยการกานํ หเตฺถ หิรญฺญํ อุปนิกฺขิปนฺติ – ‘อิมินา อยฺยสฺส ยํ กปฺปิยํ ตํ เทถา’ติฯ อนุชานามิ, ภิกฺขเว, ยํ ตโต กปฺปิยํ ตํ สาทิตุํ, น เตฺววาหํ, ภิกฺขเว, เกนจิ ปริยาเยน ชาตรูปรชตํ สาทิตพฺพํ ปริเยสิตพฺพนฺติ วทามี’’ติ (มหาว. ๒๙๙)ฯ เอตฺถ จ โจทนาย ปมาณํ นตฺถิ, มูลํ อสาทิยเนฺตน สหสฺสกฺขตฺตุมฺปิ โจทนาย วา ฐาเนน วา กปฺปิยภณฺฑํ สาทิตุํ วฎฺฎติฯ โน เจ เทติ, อญฺญํ กปฺปิยการกํ ฐเปตฺวาปิ อาหราเปตพฺพํฯ สเจ อิจฺฉติ มูลสามิกานมฺปิ กเถตพฺพํ; โน เจ อิจฺฉติ น กเถตพฺพํฯ
Aparo dūto gāmaṃ pavisitvā attanā abhirucitassa kassaci hatthe akappiyavatthuṃ datvā purimanayeneva āgantvā āroceti, aññaṃ vā pahiṇati, ‘‘ahaṃ asukassa nāma hatthe cīvaracetāpannaṃ dassāmi, tumhe cīvaraṃ gaṇheyyāthā’’ti vatvā vā gacchati, ayaṃ tatiyo dūtena asammukhāniddiṭṭhoti evaṃ eko sammukhāniddiṭṭho, tayo asammukhāniddiṭṭhāti ime cattāro dūtena niddiṭṭhaveyyāvaccakarā nāma. Etesu meṇḍakasikkhāpade vuttanayena paṭipajjitabbaṃ. Vuttañhetaṃ – ‘‘santi, bhikkhave, manussā saddhā pasannā, te kappiyakārakānaṃ hatthe hiraññaṃ upanikkhipanti – ‘iminā ayyassa yaṃ kappiyaṃ taṃ dethā’ti. Anujānāmi, bhikkhave, yaṃ tato kappiyaṃ taṃ sādituṃ, na tvevāhaṃ, bhikkhave, kenaci pariyāyena jātarūparajataṃ sāditabbaṃ pariyesitabbanti vadāmī’’ti (mahāva. 299). Ettha ca codanāya pamāṇaṃ natthi, mūlaṃ asādiyantena sahassakkhattumpi codanāya vā ṭhānena vā kappiyabhaṇḍaṃ sādituṃ vaṭṭati. No ce deti, aññaṃ kappiyakārakaṃ ṭhapetvāpi āharāpetabbaṃ. Sace icchati mūlasāmikānampi kathetabbaṃ; no ce icchati na kathetabbaṃ.
อปโร ภิกฺขุ ปุริมนเยเนว ทูเตน ปุจฺฉิโต ‘‘นตฺถมฺหากํ กปฺปิยการโก’’ติ วทติ, ตทโญฺญ สมีเป ฐิโต สุตฺวา ‘‘อาหร โภ อหํ อยฺยสฺส จีวรํ เจตาเปตฺวา ทสฺสามี’’ติ วทติฯ ทูโต ‘‘หนฺท โภ ทเทยฺยาสี’’ติ ตสฺส หเตฺถ ทตฺวา ภิกฺขุสฺส อนาโรเจตฺวาว คจฺฉติ, อยํ มุขเววฎิกกปฺปิยการโกฯ อปโร ภิกฺขุโน อุปฎฺฐากสฺส วา อญฺญสฺส วา หเตฺถ อกปฺปิยวตฺถุํ ทตฺวา ‘‘เถรสฺส จีวรํ ทเทยฺยาสี’’ติ เอโตฺตว ปกฺกมติ, อยํ ปรมฺมุขกปฺปิยการโกติ อิเม เทฺว อนิทฺทิฎฺฐกปฺปิยการกา นามฯ เอเตสุ อญฺญาตกอปฺปวาริเตสุ วิย ปฎิปชฺชิตพฺพํฯ สเจ สยเมว จีวรํ อาเนตฺวา ททนฺติ, คเหตพฺพํฯ โน เจ, กิญฺจิ น วตฺตพฺพาฯ เทสนามตฺตเมว เจตํ ‘‘ทูเตน จีวรเจตาปนฺนํ ปหิเณยฺยา’’ติ สยํ อาหริตฺวาปิ ปิณฺฑปาตาทีนํ อตฺถาย ททเนฺตสุปิ เอเสว นโยฯ น เกวลญฺจ อตฺตโนเยว อตฺถาย สมฺปฎิจฺฉิตุํ น วฎฺฎติ, สเจปิ โกจิ ชาตรูปรชตํ อาเนตฺวา ‘‘อิทํ สงฺฆสฺส ทมฺมิ, อารามํ วา กโรถ เจติยํ วา โภชนสาลาทีนํ วา อญฺญตร’’นฺติ วทติ, อิทมฺปิ สมฺปฎิจฺฉิตุํ น วฎฺฎติฯ ยสฺส กสฺสจิ หิ อญฺญสฺสตฺถาย สมฺปฎิจฺฉนฺตสฺส ทุกฺกฎํ โหตีติ มหาปจฺจริยํ วุตฺตํฯ
Aparo bhikkhu purimanayeneva dūtena pucchito ‘‘natthamhākaṃ kappiyakārako’’ti vadati, tadañño samīpe ṭhito sutvā ‘‘āhara bho ahaṃ ayyassa cīvaraṃ cetāpetvā dassāmī’’ti vadati. Dūto ‘‘handa bho dadeyyāsī’’ti tassa hatthe datvā bhikkhussa anārocetvāva gacchati, ayaṃ mukhavevaṭikakappiyakārako. Aparo bhikkhuno upaṭṭhākassa vā aññassa vā hatthe akappiyavatthuṃ datvā ‘‘therassa cīvaraṃ dadeyyāsī’’ti ettova pakkamati, ayaṃ parammukhakappiyakārakoti ime dve aniddiṭṭhakappiyakārakā nāma. Etesu aññātakaappavāritesu viya paṭipajjitabbaṃ. Sace sayameva cīvaraṃ ānetvā dadanti, gahetabbaṃ. No ce, kiñci na vattabbā. Desanāmattameva cetaṃ ‘‘dūtena cīvaracetāpannaṃ pahiṇeyyā’’ti sayaṃ āharitvāpi piṇḍapātādīnaṃ atthāya dadantesupi eseva nayo. Na kevalañca attanoyeva atthāya sampaṭicchituṃ na vaṭṭati, sacepi koci jātarūparajataṃ ānetvā ‘‘idaṃ saṅghassa dammi, ārāmaṃ vā karotha cetiyaṃ vā bhojanasālādīnaṃ vā aññatara’’nti vadati, idampi sampaṭicchituṃ na vaṭṭati. Yassa kassaci hi aññassatthāya sampaṭicchantassa dukkaṭaṃ hotīti mahāpaccariyaṃ vuttaṃ.
สเจ ปน ‘‘นยิทํ ภิกฺขูนํ สมฺปฎิจฺฉิตุํ วฎฺฎตี’’ติ ปฎิกฺขิเตฺต ‘‘วฑฺฒกีนํ วา กมฺมกรานํ วา หเตฺถ ภวิสฺสติ, เกวลํ ตุเมฺห สุกตทุกฺกฎํ ชานาถา’’ติ วตฺวา เตสํ หเตฺถ ทตฺวา ปกฺกมติ, วฎฺฎติฯ อถาปิ ‘‘มม มนุสฺสานํ หเตฺถ ภวิสฺสติ มยฺหเมว วา หเตฺถ ภวิสฺสติ, เกวลํ ตุเมฺห ยํ ยสฺส ทาตพฺพํ, ตทตฺถาย เปเสยฺยาถา’’ติ วทติ, เอวมฺปิ วฎฺฎติฯ
Sace pana ‘‘nayidaṃ bhikkhūnaṃ sampaṭicchituṃ vaṭṭatī’’ti paṭikkhitte ‘‘vaḍḍhakīnaṃ vā kammakarānaṃ vā hatthe bhavissati, kevalaṃ tumhe sukatadukkaṭaṃ jānāthā’’ti vatvā tesaṃ hatthe datvā pakkamati, vaṭṭati. Athāpi ‘‘mama manussānaṃ hatthe bhavissati mayhameva vā hatthe bhavissati, kevalaṃ tumhe yaṃ yassa dātabbaṃ, tadatthāya peseyyāthā’’ti vadati, evampi vaṭṭati.
สเจ ปน สงฺฆํ วา คณํ วา ปุคฺคลํ วา อนามสิตฺวา ‘‘อิทํ หิรญฺญสุวณฺณํ เจติยสฺส เทม, วิหารสฺส เทม, นวกมฺมสฺส เทมา’’ติ วทนฺติ, ปฎิกฺขิปิตุํ น วฎฺฎติฯ ‘‘อิเม อิทํ ภณนฺตี’’ติ กปฺปิยการกานํ อาจิกฺขิตพฺพํฯ ‘‘เจติยาทีนํ อตฺถาย ตุเมฺห คเหตฺวา ฐเปถา’’ติ วุเตฺตน ปน ‘‘อมฺหากํ คเหตุํ น วฎฺฎตี’’ติ ปฎิกฺขิปิตพฺพํฯ
Sace pana saṅghaṃ vā gaṇaṃ vā puggalaṃ vā anāmasitvā ‘‘idaṃ hiraññasuvaṇṇaṃ cetiyassa dema, vihārassa dema, navakammassa demā’’ti vadanti, paṭikkhipituṃ na vaṭṭati. ‘‘Ime idaṃ bhaṇantī’’ti kappiyakārakānaṃ ācikkhitabbaṃ. ‘‘Cetiyādīnaṃ atthāya tumhe gahetvā ṭhapethā’’ti vuttena pana ‘‘amhākaṃ gahetuṃ na vaṭṭatī’’ti paṭikkhipitabbaṃ.
สเจ ปน โกจิ พหุํ หิรญฺญสุวณฺณํ อาเนตฺวา ‘‘อิทํ สงฺฆสฺส ทมฺมิ, จตฺตาโร ปจฺจเย ปริภุญฺชถา’’ติ วทติ, ตํ เจ สโงฺฆ สมฺปฎิจฺฉติ, ปฎิคฺคหเณปิ ปริโภเคปิ อาปตฺติฯ ตตฺร เจ เอโก ภิกฺขุ ‘‘นยิทํ กปฺปตี’’ติ ปฎิกฺขิปติ, อุปาสโก จ ‘‘ยทิ น กปฺปติ, มยฺหเมว ภวิสฺสตี’’ติ คจฺฉติฯ โส ภิกฺขุ ‘‘ตยา สงฺฆสฺส ลาภนฺตราโย กโต’’ติ น เกนจิ กิญฺจิ วตฺตโพฺพฯ โย หิ ตํ โจเทติ, เสฺวว สาปตฺติโก โหติ, เตน ปน เอเกน พหู อนาปตฺติกา กตาฯ สเจ ปน ภิกฺขูหิ ‘‘น วฎฺฎตี’’ติ ปฎิกฺขิเตฺต ‘‘กปฺปิยการกานํ วา หเตฺถ ภวิสฺสติ, มม ปุริสานํ วา มยฺหํ วา หเตฺถ ภวิสฺสติ, เกวลํ ตุเมฺห ปจฺจเย ปริภุญฺชถา’’ติ วทติ, วฎฺฎติฯ
Sace pana koci bahuṃ hiraññasuvaṇṇaṃ ānetvā ‘‘idaṃ saṅghassa dammi, cattāro paccaye paribhuñjathā’’ti vadati, taṃ ce saṅgho sampaṭicchati, paṭiggahaṇepi paribhogepi āpatti. Tatra ce eko bhikkhu ‘‘nayidaṃ kappatī’’ti paṭikkhipati, upāsako ca ‘‘yadi na kappati, mayhameva bhavissatī’’ti gacchati. So bhikkhu ‘‘tayā saṅghassa lābhantarāyo kato’’ti na kenaci kiñci vattabbo. Yo hi taṃ codeti, sveva sāpattiko hoti, tena pana ekena bahū anāpattikā katā. Sace pana bhikkhūhi ‘‘na vaṭṭatī’’ti paṭikkhitte ‘‘kappiyakārakānaṃ vā hatthe bhavissati, mama purisānaṃ vā mayhaṃ vā hatthe bhavissati, kevalaṃ tumhe paccaye paribhuñjathā’’ti vadati, vaṭṭati.
จตุปจฺจยตฺถาย จ ทินฺนํ เยน เยน ปจฺจเยน อโตฺถ โหติ, ตทตฺถํ อุปเนตพฺพํ, จีวรตฺถาย ทินฺนํ จีวเรเยว อุปเนตพฺพํฯ สเจ จีวเรน ตาทิโส อโตฺถ นตฺถิ, ปิณฺฑปาตาทีหิ สโงฺฆ กิลมติ, สงฺฆสุฎฺฐุตาย อปโลเกตฺวา ตทตฺถายปิ อุปเนตพฺพํฯ เอส นโย ปิณฺฑปาตคิลานปจฺจยตฺถาย ทิเนฺนปิ, เสนาสนตฺถาย ทินฺนํ ปน เสนาสนสฺส ครุภณฺฑตฺตา เสนาสเนเยว อุปเนตพฺพํฯ สเจ ปน ภิกฺขูสุ เสนาสนํ ฉเฑฺฑตฺวา คเตสุ เสนาสนํ วินสฺสติ, อีทิเส กาเล เสนาสนํ วิสฺสเชฺชตฺวาปิ ภิกฺขูนํ ปริโภโค อนุญฺญาโต, ตสฺมา เสนาสนชคฺคนตฺถํ มูลเจฺฉชฺชํ อกตฺวา ยาปนมตฺตํ ปริภุญฺชิตพฺพํฯ
Catupaccayatthāya ca dinnaṃ yena yena paccayena attho hoti, tadatthaṃ upanetabbaṃ, cīvaratthāya dinnaṃ cīvareyeva upanetabbaṃ. Sace cīvarena tādiso attho natthi, piṇḍapātādīhi saṅgho kilamati, saṅghasuṭṭhutāya apaloketvā tadatthāyapi upanetabbaṃ. Esa nayo piṇḍapātagilānapaccayatthāya dinnepi, senāsanatthāya dinnaṃ pana senāsanassa garubhaṇḍattā senāsaneyeva upanetabbaṃ. Sace pana bhikkhūsu senāsanaṃ chaḍḍetvā gatesu senāsanaṃ vinassati, īdise kāle senāsanaṃ vissajjetvāpi bhikkhūnaṃ paribhogo anuññāto, tasmā senāsanajagganatthaṃ mūlacchejjaṃ akatvā yāpanamattaṃ paribhuñjitabbaṃ.
น เกวลญฺจ หิรญฺญสุวณฺณเมว, อญฺญมฺปิ เขตฺตวตฺถาทิ อกปฺปิยํ น สมฺปฎิจฺฉิตพฺพํฯ สเจ หิ โกจิ ‘‘มยฺหํ ติสสฺสสมฺปาทนกํ มหาตฬากํ อตฺถิ, ตํ สงฺฆสฺส ทมฺมี’’ติ วทติ, ตํ เจ สโงฺฆ สมฺปฎิจฺฉติ, ปฎิคฺคหเณปิ ปริโภเคปิ อาปตฺติเยวฯ โย ปน ตํ ปฎิกฺขิปติ, โส ปุริมนเยเนว น เกนจิ กิญฺจิ วตฺตโพฺพฯ โย หิ ตํ โจเทติ, เสฺวว สาปตฺติโก โหติ, เตน ปน เอเกน พหู อนาปตฺติกา กตาฯ
Na kevalañca hiraññasuvaṇṇameva, aññampi khettavatthādi akappiyaṃ na sampaṭicchitabbaṃ. Sace hi koci ‘‘mayhaṃ tisassasampādanakaṃ mahātaḷākaṃ atthi, taṃ saṅghassa dammī’’ti vadati, taṃ ce saṅgho sampaṭicchati, paṭiggahaṇepi paribhogepi āpattiyeva. Yo pana taṃ paṭikkhipati, so purimanayeneva na kenaci kiñci vattabbo. Yo hi taṃ codeti, sveva sāpattiko hoti, tena pana ekena bahū anāpattikā katā.
โย ปน ‘‘ตาทิสํเยว ตฬากํ ทมฺมี’’ติ วตฺวา ภิกฺขูหิ ‘‘น วฎฺฎตี’’ติ ปฎิกฺขิโตฺต วทติ ‘‘อสุกญฺจ อสุกญฺจ สงฺฆสฺส ตฬากํ อตฺถิ, ตํ กถํ วฎฺฎตี’’ติฯ โส วตฺตโพฺพ – ‘‘กปฺปิยํ กตฺวา ทินฺนํ ภวิสฺสตี’’ติฯ กถํ ทินฺนํ กปฺปิยํ โหตีติ? ‘‘จตฺตาโร ปจฺจเย ปริภุญฺชถา’’ติ วตฺวา ทินฺนนฺติฯ โส สเจ ‘‘สาธุ, ภเนฺต, จตฺตาโร ปจฺจเย สโงฺฆ ปริภุญฺชตู’’ติ เทติ, วฎฺฎติฯ อถาปิ ‘‘ตฬากํ คณฺหถา’’ติ วตฺวา ‘‘น วฎฺฎตี’’ติ ปฎิกฺขิโตฺต ‘‘กปฺปิยการโก อตฺถี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘นตฺถี’’ติ วุเตฺต ‘‘อิทํ อสุโก นาม วิจาเรสฺสติ, อสุกสฺส วา หเตฺถ, มยฺหํ วา หเตฺถ ภวิสฺสติ, สโงฺฆ กปฺปิยภณฺฑํ ปริภุญฺชตู’’ติ วทติ, วฎฺฎติฯ สเจปิ ‘‘น วฎฺฎตี’’ติ ปฎิกฺขิโตฺต ‘‘อุทกํ ปริภุญฺชิสฺสติ, ภณฺฑกํ โธวิสฺสติ, มิคปกฺขิโน ปิวิสฺสนฺตี’’ติ วทติ, เอวมฺปิ วฎฺฎติฯ อถาปิ ‘‘น วฎฺฎตี’’ติ ปฎิกฺขิโตฺต วทติ ‘‘กปฺปิยสีเสน คณฺหถา’’ติฯ ‘‘สาธุ, อุปาสก, สโงฺฆ ปานียํ ปิวิสฺสติ, ภณฺฑกํ โธวิสฺสติ, มิคปกฺขิโน ปิวิสฺสนฺตี’’ติ วตฺวา ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎติฯ
Yo pana ‘‘tādisaṃyeva taḷākaṃ dammī’’ti vatvā bhikkhūhi ‘‘na vaṭṭatī’’ti paṭikkhitto vadati ‘‘asukañca asukañca saṅghassa taḷākaṃ atthi, taṃ kathaṃ vaṭṭatī’’ti. So vattabbo – ‘‘kappiyaṃ katvā dinnaṃ bhavissatī’’ti. Kathaṃ dinnaṃ kappiyaṃ hotīti? ‘‘Cattāro paccaye paribhuñjathā’’ti vatvā dinnanti. So sace ‘‘sādhu, bhante, cattāro paccaye saṅgho paribhuñjatū’’ti deti, vaṭṭati. Athāpi ‘‘taḷākaṃ gaṇhathā’’ti vatvā ‘‘na vaṭṭatī’’ti paṭikkhitto ‘‘kappiyakārako atthī’’ti pucchitvā ‘‘natthī’’ti vutte ‘‘idaṃ asuko nāma vicāressati, asukassa vā hatthe, mayhaṃ vā hatthe bhavissati, saṅgho kappiyabhaṇḍaṃ paribhuñjatū’’ti vadati, vaṭṭati. Sacepi ‘‘na vaṭṭatī’’ti paṭikkhitto ‘‘udakaṃ paribhuñjissati, bhaṇḍakaṃ dhovissati, migapakkhino pivissantī’’ti vadati, evampi vaṭṭati. Athāpi ‘‘na vaṭṭatī’’ti paṭikkhitto vadati ‘‘kappiyasīsena gaṇhathā’’ti. ‘‘Sādhu, upāsaka, saṅgho pānīyaṃ pivissati, bhaṇḍakaṃ dhovissati, migapakkhino pivissantī’’ti vatvā paribhuñjituṃ vaṭṭati.
อถาปิ ‘‘มม ตฬากํ วา โปกฺขรณิํ วา สงฺฆสฺส ทมฺมี’’ติ ‘‘วุเตฺต, สาธุ, อุปาสก, สโงฺฆ ปานียํ ปิวิสฺสตี’’ติอาทีนิ วตฺวา ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎติเยวฯ ยทิ ปน ภิกฺขูหิ หตฺถกมฺมํ ยาจิตฺวา สหเตฺถน จ กปฺปิยปถวิํ ขนิตฺวา อุทกปริโภคตฺถาย ตฬากํ การิตํ โหติ, ตํ เจ นิสฺสาย สสฺสํ นิปฺผาเทตฺวา มนุสฺสา วิหาเร กปฺปิยภณฺฑํ เทนฺติ, วฎฺฎติฯ อถ มนุสฺสา เอว สงฺฆสฺส อุปการตฺถาย สงฺฆิกภูมิํ ขนิตฺวา ตํ นิสฺสาย นิปฺผนฺนสสฺสโต กปฺปิยภณฺฑํ เทนฺติ, เอวมฺปิ วฎฺฎติฯ ‘‘อมฺหากํ เอกํ กปฺปิยการกํ ฐเปถา’’ติ วุเตฺต จ ฐเปตุมฺปิ ลพฺภติฯ อถ ปน เต มนุสฺสา ราชพลินา อุปทฺทุตา ปกฺกมนฺติ, อเญฺญ ปฎิปชฺชนฺติ, น จ ภิกฺขูนํ กิญฺจิ เทนฺติ, อุทกํ วาเรตุํ ลพฺภติฯ ตญฺจ โข กสิกมฺมกาเลเยว, น สสฺสกาเลฯ สเจ เต วทนฺติ ‘‘นนุ, ภเนฺต, ปุเพฺพปิ มนุสฺสา อิมํ นิสฺสาย สสฺสํ อกํสู’’ติ ฯ ตโต วตฺตพฺพา – ‘‘เต สงฺฆสฺส อิมญฺจ อิมญฺจ อุปการํ อกํสุ, อิทญฺจิทญฺจ กปฺปิยภณฺฑํ อทํสู’’ติฯ สเจ วทนฺติ – ‘‘มยมฺปิ ทสฺสามา’’ติ, เอวมฺปิ วฎฺฎติฯ
Athāpi ‘‘mama taḷākaṃ vā pokkharaṇiṃ vā saṅghassa dammī’’ti ‘‘vutte, sādhu, upāsaka, saṅgho pānīyaṃ pivissatī’’tiādīni vatvā paribhuñjituṃ vaṭṭatiyeva. Yadi pana bhikkhūhi hatthakammaṃ yācitvā sahatthena ca kappiyapathaviṃ khanitvā udakaparibhogatthāya taḷākaṃ kāritaṃ hoti, taṃ ce nissāya sassaṃ nipphādetvā manussā vihāre kappiyabhaṇḍaṃ denti, vaṭṭati. Atha manussā eva saṅghassa upakāratthāya saṅghikabhūmiṃ khanitvā taṃ nissāya nipphannasassato kappiyabhaṇḍaṃ denti, evampi vaṭṭati. ‘‘Amhākaṃ ekaṃ kappiyakārakaṃ ṭhapethā’’ti vutte ca ṭhapetumpi labbhati. Atha pana te manussā rājabalinā upaddutā pakkamanti, aññe paṭipajjanti, na ca bhikkhūnaṃ kiñci denti, udakaṃ vāretuṃ labbhati. Tañca kho kasikammakāleyeva, na sassakāle. Sace te vadanti ‘‘nanu, bhante, pubbepi manussā imaṃ nissāya sassaṃ akaṃsū’’ti . Tato vattabbā – ‘‘te saṅghassa imañca imañca upakāraṃ akaṃsu, idañcidañca kappiyabhaṇḍaṃ adaṃsū’’ti. Sace vadanti – ‘‘mayampi dassāmā’’ti, evampi vaṭṭati.
สเจ ปน โกจิ อพฺยโตฺต อกปฺปิยโวหาเรน ตฬากํ ปฎิคฺคณฺหาติ วา กาเรติ วา, ตํ ภิกฺขูหิ น ปริภุญฺชิตพฺพํ, ตํ นิสฺสาย ลทฺธํ กปฺปิยภณฺฑมฺปิ อกปฺปิยเมวฯ สเจ ภิกฺขูหิ ปริจฺจตฺตภาวํ ญตฺวา สามิโก วา ตสฺส ปุตฺตธีตโร วา อโญฺญ วา โกจิ วํเส อุปฺปโนฺน ปุน กปฺปิยโวหาเรน เทติ, วฎฺฎติฯ ปจฺฉิเนฺน กุลวํเส โย ตสฺส ชนปทสฺส สามิโก, โส อจฺฉินฺทิตฺวา ปุน เทติ, จิตฺตลปพฺพเต ภิกฺขุนา นีหฎอุทกวาหกํ อฬนาคราชมเหสี วิย, เอวมฺปิ วฎฺฎติฯ
Sace pana koci abyatto akappiyavohārena taḷākaṃ paṭiggaṇhāti vā kāreti vā, taṃ bhikkhūhi na paribhuñjitabbaṃ, taṃ nissāya laddhaṃ kappiyabhaṇḍampi akappiyameva. Sace bhikkhūhi pariccattabhāvaṃ ñatvā sāmiko vā tassa puttadhītaro vā añño vā koci vaṃse uppanno puna kappiyavohārena deti, vaṭṭati. Pacchinne kulavaṃse yo tassa janapadassa sāmiko, so acchinditvā puna deti, cittalapabbate bhikkhunā nīhaṭaudakavāhakaṃ aḷanāgarājamahesī viya, evampi vaṭṭati.
กปฺปิยโวหาเรปิ อุทกวเสน ปฎิคฺคหิตตฬาเก สุทฺธจิตฺตานํ มตฺติกุทฺธรณปาฬิพนฺธนาทีนิ จ กาตุํ วฎฺฎติฯ ตํ นิสฺสาย ปน สสฺสํ กโรเนฺต ทิสฺวา กปฺปิยการกํ ฐเปตุํ น วฎฺฎติฯ ยทิ เต สยเมว กปฺปิยภณฺฑํ เทนฺติ, คเหตพฺพํฯ โน เจ เทนฺติ, น โจเทตพฺพํ, น สาเรตพฺพํฯ ปจฺจยวเสน ปฎิคฺคหิตตฬาเก กปฺปิยการกํ ฐเปตุํ วฎฺฎติฯ มตฺติกุทฺธรณปาฬิพนฺธนาทีนิ ปน กาตุํ น วฎฺฎติฯ สเจ กปฺปิยการกา สยเมว กโรนฺติ, วฎฺฎติฯ อพฺยเตฺตน ปน ลชฺชิภิกฺขุนา การาปิเตสุ กิญฺจาปิ ปฎิคฺคหเณ กปฺปิยํ, ภิกฺขุสฺส ปโยคปจฺจยา อุปฺปเนฺนน มิสฺสกตฺตา วิสคตปิณฺฑปาโต วิย อกปฺปิยมํสรสมิสฺสกโภชนํ วิย จ ทุพฺพินิโพฺภคํ โหติ, สเพฺพสํ อกปฺปิยเมวฯ
Kappiyavohārepi udakavasena paṭiggahitataḷāke suddhacittānaṃ mattikuddharaṇapāḷibandhanādīni ca kātuṃ vaṭṭati. Taṃ nissāya pana sassaṃ karonte disvā kappiyakārakaṃ ṭhapetuṃ na vaṭṭati. Yadi te sayameva kappiyabhaṇḍaṃ denti, gahetabbaṃ. No ce denti, na codetabbaṃ, na sāretabbaṃ. Paccayavasena paṭiggahitataḷāke kappiyakārakaṃ ṭhapetuṃ vaṭṭati. Mattikuddharaṇapāḷibandhanādīni pana kātuṃ na vaṭṭati. Sace kappiyakārakā sayameva karonti, vaṭṭati. Abyattena pana lajjibhikkhunā kārāpitesu kiñcāpi paṭiggahaṇe kappiyaṃ, bhikkhussa payogapaccayā uppannena missakattā visagatapiṇḍapāto viya akappiyamaṃsarasamissakabhojanaṃ viya ca dubbinibbhogaṃ hoti, sabbesaṃ akappiyameva.
สเจ ปน ‘‘อุทกสฺส โอกาโส อตฺถิ, ตฬากสฺส ปาฬิ ถิรา, ยถา พหุํ อุทกํ คณฺหาติ, เอวํ กโรหิ, ตีรสมีเป อุทกํ กโรหี’’ติ เอวํ อุทกเมว วิจาเรติ, วฎฺฎติฯ อุทฺธเน อคฺคิํ น ปาเตนฺติ, ‘‘อุทกกมฺมํ ลพฺภตุ อุปาสกา’’ติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ ‘‘สสฺสํ กตฺวา อาหรถา’’ติ วตฺตุํ ปน น วฎฺฎติฯ สเจ ปน ตฬาเก อติพหุํ อุทกํ ทิสฺวา ปสฺสโต วา ปิฎฺฐิโต วา มาติกํ นีหราเปติ, วนํ ฉินฺทาเปตฺวา เกทาเร การาเปติ, โปราณเกทาเรสุ วา ปกติภาคํ อคฺคเหตฺวา อติเรกํ คณฺหาติ, นวสเสฺส วา อกาลสเสฺส วา อปริจฺฉินฺนภาเค ‘‘เอตฺตเก กหาปเณ เทถา’’ติ กหาปเณ อุฎฺฐาเปติ, สเพฺพสํ อกปฺปิยํฯ
Sace pana ‘‘udakassa okāso atthi, taḷākassa pāḷi thirā, yathā bahuṃ udakaṃ gaṇhāti, evaṃ karohi, tīrasamīpe udakaṃ karohī’’ti evaṃ udakameva vicāreti, vaṭṭati. Uddhane aggiṃ na pātenti, ‘‘udakakammaṃ labbhatu upāsakā’’ti vattuṃ vaṭṭati. ‘‘Sassaṃ katvā āharathā’’ti vattuṃ pana na vaṭṭati. Sace pana taḷāke atibahuṃ udakaṃ disvā passato vā piṭṭhito vā mātikaṃ nīharāpeti, vanaṃ chindāpetvā kedāre kārāpeti, porāṇakedāresu vā pakatibhāgaṃ aggahetvā atirekaṃ gaṇhāti, navasasse vā akālasasse vā aparicchinnabhāge ‘‘ettake kahāpaṇe dethā’’ti kahāpaṇe uṭṭhāpeti, sabbesaṃ akappiyaṃ.
โย ปน ‘‘กสฺสถ วปถา’’ติ อวตฺวา ‘‘เอตฺตกาย ภูมิยา, เอตฺตโก นาม ภาโค’’ติ เอวํ ภูมิํ วา ปติฎฺฐเปติ, ‘‘เอตฺตเก ภูมิภาเค อเมฺหหิ สสฺสํ กตํ, เอตฺตกํ นาม ภาคํ คณฺหถา’’ติ วทเนฺตสุ กสฺสเกสุ ภูมิปฺปมาณคฺคหณตฺถํ รชฺชุยา วา ทเณฺฑน วา มินาติ, ขเล วา ฐตฺวา รกฺขติ, ขลโต วา นีหราเปติ, โกฎฺฐาคาเร วา ปฎิสาเมติ, ตเสฺสว ตํ อกปฺปิยํฯ
Yo pana ‘‘kassatha vapathā’’ti avatvā ‘‘ettakāya bhūmiyā, ettako nāma bhāgo’’ti evaṃ bhūmiṃ vā patiṭṭhapeti, ‘‘ettake bhūmibhāge amhehi sassaṃ kataṃ, ettakaṃ nāma bhāgaṃ gaṇhathā’’ti vadantesu kassakesu bhūmippamāṇaggahaṇatthaṃ rajjuyā vā daṇḍena vā mināti, khale vā ṭhatvā rakkhati, khalato vā nīharāpeti, koṭṭhāgāre vā paṭisāmeti, tasseva taṃ akappiyaṃ.
สเจ กสฺสกา กหาปเณ อาหริตฺวา ‘‘อิเม สงฺฆสฺส อาหฎา’’ติ วทนฺติ, อญฺญตโร จ ภิกฺขุ ‘‘น สโงฺฆ กหาปเณ ขาทตี’’ติ สญฺญาย ‘‘เอตฺตเกหิ กหาปเณหิ สาฎเก อาหร, เอตฺตเกหิ ยาคุอาทีนิ สมฺปาเทหี’’ติ วทติฯ ยํ เต อาหรนฺติ, สเพฺพสํ อกปฺปิยํฯ กสฺมา? กหาปณานํ วิจาริตตฺตาฯ
Sace kassakā kahāpaṇe āharitvā ‘‘ime saṅghassa āhaṭā’’ti vadanti, aññataro ca bhikkhu ‘‘na saṅgho kahāpaṇe khādatī’’ti saññāya ‘‘ettakehi kahāpaṇehi sāṭake āhara, ettakehi yāguādīni sampādehī’’ti vadati. Yaṃ te āharanti, sabbesaṃ akappiyaṃ. Kasmā? Kahāpaṇānaṃ vicāritattā.
สเจ ธญฺญํ อาหริตฺวา อิทํ สงฺฆสฺส อาหฎนฺติ วทนฺติ, อญฺญตโร จ ภิกฺขุ ปุริมนเยเนว ‘‘เอตฺตเกหิ วีหีหิ อิทญฺจิทญฺจ อาหรถา’’ติ วทติฯ ยํ เต อาหรนฺติ, ตเสฺสว อกปฺปิยํฯ กสฺมา? ธญฺญสฺส วิจาริตตฺตาฯ
Sace dhaññaṃ āharitvā idaṃ saṅghassa āhaṭanti vadanti, aññataro ca bhikkhu purimanayeneva ‘‘ettakehi vīhīhi idañcidañca āharathā’’ti vadati. Yaṃ te āharanti, tasseva akappiyaṃ. Kasmā? Dhaññassa vicāritattā.
สเจ ตณฺฑุลํ วา อปรณฺณํ วา อาหริตฺวา ‘‘อิทํ สงฺฆสฺส อาหฎ’’นฺติ วทนฺติ, อญฺญตโร จ ภิกฺขุ ปุริมนเยเนว ‘‘เอตฺตเกหิ ตณฺฑุเลหิ อิทญฺจิทญฺจ อาหรถา’’ติ วทติฯ ยํ เต อาหรนฺติ, สเพฺพสํ กปฺปิยํฯ กสฺมา? กปฺปิยานํ ตณฺฑุลาทีนํ วิจาริตตฺตาฯ กยวิกฺกเยปิ อนาปตฺติ, กปฺปิยการกสฺส อาจิกฺขิตตฺตาฯ
Sace taṇḍulaṃ vā aparaṇṇaṃ vā āharitvā ‘‘idaṃ saṅghassa āhaṭa’’nti vadanti, aññataro ca bhikkhu purimanayeneva ‘‘ettakehi taṇḍulehi idañcidañca āharathā’’ti vadati. Yaṃ te āharanti, sabbesaṃ kappiyaṃ. Kasmā? Kappiyānaṃ taṇḍulādīnaṃ vicāritattā. Kayavikkayepi anāpatti, kappiyakārakassa ācikkhitattā.
ปุเพฺพ ปน จิตฺตลปพฺพเต เอโก ภิกฺขุ จตุสาลทฺวาเร ‘‘อโห วต เสฺว สงฺฆสฺส เอตฺตกปฺปมาเณ ปูเว ปเจยฺยุ’’นฺติ อารามิกานํ สญฺญาชนนตฺถํ ภูมิยํ มณฺฑลํ อกาสิ, ตํ ทิสฺวา เฉโก อารามิโก ตเถว กตฺวา ทุติยทิวเส เภริยา อาโกฎิตาย สนฺนิปติเต สเงฺฆ ปูวํ คเหตฺวา สงฺฆเตฺถรํ อาห – ‘‘ภเนฺต, อเมฺหหิ อิโต ปุเพฺพ เนว ปิตูนํ น ปิตามหานํ เอวรูปํ สุตปุพฺพํ, เอเกน อเยฺยน จตุสฺสาลทฺวาเร ปูวตฺถาย สญฺญา กตา, อิโต ทานิ ปภุติ อยฺยา อตฺตโน อตฺตโน จิตฺตานุรูปํ วทนฺตุ, อมฺหากมฺปิ ผาสุวิหาโร ภวิสฺสตี’’ติฯ มหาเถโร ตโตว นิวตฺติ, เอกภิกฺขุนาปิ ปูโว น คหิโตฯ เอวํ ปุเพฺพ ตตฺรุปฺปาทมฺปิ น ปริภุญฺชิํสุฯ ตสฺมา –
Pubbe pana cittalapabbate eko bhikkhu catusāladvāre ‘‘aho vata sve saṅghassa ettakappamāṇe pūve paceyyu’’nti ārāmikānaṃ saññājananatthaṃ bhūmiyaṃ maṇḍalaṃ akāsi, taṃ disvā cheko ārāmiko tatheva katvā dutiyadivase bheriyā ākoṭitāya sannipatite saṅghe pūvaṃ gahetvā saṅghattheraṃ āha – ‘‘bhante, amhehi ito pubbe neva pitūnaṃ na pitāmahānaṃ evarūpaṃ sutapubbaṃ, ekena ayyena catussāladvāre pūvatthāya saññā katā, ito dāni pabhuti ayyā attano attano cittānurūpaṃ vadantu, amhākampi phāsuvihāro bhavissatī’’ti. Mahāthero tatova nivatti, ekabhikkhunāpi pūvo na gahito. Evaṃ pubbe tatruppādampi na paribhuñjiṃsu. Tasmā –
สเลฺลขํ อจฺจชเนฺตน, อปฺปมเตฺตน ภิกฺขุนา;
Sallekhaṃ accajantena, appamattena bhikkhunā;
กปฺปิเยปิ น กาตพฺพา, อามิสตฺถาย โลลตาติฯ
Kappiyepi na kātabbā, āmisatthāya lolatāti.
โย จายํ ตฬาเก วุโตฺต, โปกฺขรณี-อุทกวาหกมาติกาทีสุปิ เอเสว นโยฯ
Yo cāyaṃ taḷāke vutto, pokkharaṇī-udakavāhakamātikādīsupi eseva nayo.
ปุพฺพณฺณาปรณฺณอุจฺฉุผลาผลาทีนํ วิรุหนฎฺฐานํ ยํ กิญฺจิ เขตฺตํ วา วตฺถุํ วา ทมฺมีติ วุเตฺตปิ ‘‘น วฎฺฎตี’’ติ ปฎิกฺขิปิตฺวา ตฬาเก วุตฺตนเยเนว ยทา กปฺปิยโวหาเรน ‘‘จตุปจฺจยปริโภคตฺถาย ทมฺมี’’ติ วทติ, ตทา สมฺปฎิจฺฉิตพฺพํ, ‘‘วนํ ทมฺมิ, อรญฺญํ ทมฺมี’’ติ วุเตฺต ปน วฎฺฎติฯ สเจ มนุสฺสา ภิกฺขูหิ อนาณตฺตาเยว ตตฺถ รุเกฺข ฉินฺทิตฺวา อปรณฺณาทีนิ สมฺปาเทตฺวา ภิกฺขูนํ ภาคํ เทนฺติ, วฎฺฎติ; อเทนฺตา น โจเทตพฺพาฯ สเจ เกนจิเทว อนฺตราเยน เตสุ ปกฺกเนฺตสุ อเญฺญ กโรนฺติ, น จ ภิกฺขูนํ กิญฺจิ เทนฺติ, เต วาเรตพฺพาฯ สเจ วทนฺติ – ‘‘นนุ, ภเนฺต, ปุเพฺพปิ มนุสฺสา อิธ สสฺสานิ อกํสู’’ติ, ตโต เต วตฺตพฺพา – ‘‘เต สงฺฆสฺส อิทญฺจิทญฺจ กปฺปิยภณฺฑํ อทํสู’’ติฯ สเจ วทนฺติ – ‘‘มยมฺปิ ทสฺสามา’’ติ เอวํ วฎฺฎติฯ
Pubbaṇṇāparaṇṇaucchuphalāphalādīnaṃ viruhanaṭṭhānaṃ yaṃ kiñci khettaṃ vā vatthuṃ vā dammīti vuttepi ‘‘na vaṭṭatī’’ti paṭikkhipitvā taḷāke vuttanayeneva yadā kappiyavohārena ‘‘catupaccayaparibhogatthāya dammī’’ti vadati, tadā sampaṭicchitabbaṃ, ‘‘vanaṃ dammi, araññaṃ dammī’’ti vutte pana vaṭṭati. Sace manussā bhikkhūhi anāṇattāyeva tattha rukkhe chinditvā aparaṇṇādīni sampādetvā bhikkhūnaṃ bhāgaṃ denti, vaṭṭati; adentā na codetabbā. Sace kenacideva antarāyena tesu pakkantesu aññe karonti, na ca bhikkhūnaṃ kiñci denti, te vāretabbā. Sace vadanti – ‘‘nanu, bhante, pubbepi manussā idha sassāni akaṃsū’’ti, tato te vattabbā – ‘‘te saṅghassa idañcidañca kappiyabhaṇḍaṃ adaṃsū’’ti. Sace vadanti – ‘‘mayampi dassāmā’’ti evaṃ vaṭṭati.
กญฺจิ สสฺสุฎฺฐานกํ ภูมิปฺปเทสํ สนฺธาย ‘‘สีมํ เทมา’’ติ วทนฺติ, วฎฺฎติฯ สีมา ปริเจฺฉทนตฺถํ ปน ถมฺภา วา ปาสาณา วา สยํ น ฐเปตพฺพาฯ กสฺมา? ภูมิ นาม อนคฺฆา อปฺปเกนาปิ ปาราชิโก ภเวยฺย, อารามิกานํ ปน วตฺตพฺพํ – ‘‘อิมินา ฐาเนน อมฺหากํ สีมา คตา’’ติฯ สเจปิ หิ เต อธิกํ คณฺหนฺติ, ปริยาเยน กถิตตฺตา อนาปตฺติฯ ยทิ ปน ราชราชมหามตฺตาทโย สยเมว ถเมฺภ ฐปาเปตฺวา ‘‘จตฺตาโร ปจฺจเย ปริภุญฺชถา’’ติ เทนฺติ, วฎฺฎติเยวฯ
Kañci sassuṭṭhānakaṃ bhūmippadesaṃ sandhāya ‘‘sīmaṃ demā’’ti vadanti, vaṭṭati. Sīmā paricchedanatthaṃ pana thambhā vā pāsāṇā vā sayaṃ na ṭhapetabbā. Kasmā? Bhūmi nāma anagghā appakenāpi pārājiko bhaveyya, ārāmikānaṃ pana vattabbaṃ – ‘‘iminā ṭhānena amhākaṃ sīmā gatā’’ti. Sacepi hi te adhikaṃ gaṇhanti, pariyāyena kathitattā anāpatti. Yadi pana rājarājamahāmattādayo sayameva thambhe ṭhapāpetvā ‘‘cattāro paccaye paribhuñjathā’’ti denti, vaṭṭatiyeva.
สเจ โกจิ อโนฺตสีมาย ตฬากํ ขนติ, วิหารมเชฺฌน วา มาติกํ เนติ, เจติยงฺคณโพธิยงฺคณาทีนิ ทุสฺสนฺติ, วาเรตโพฺพฯ สเจ สโงฺฆ กิญฺจิ ลภิตฺวา อามิสครุกตาย น วาเรติ, เอโก ภิกฺขุ วาเรติ, โสว ภิกฺขุ อิสฺสโรฯ สเจ เอโก ภิกฺขุ น วาเรติ, ‘‘เนถ ตุเมฺห’’ติ เตสํเยว ปโกฺข โหติ, สโงฺฆ วาเรติ, สโงฺฆว อิสฺสโรฯ สงฺฆิเกสุ หิ กเมฺมสุ โย ธมฺมกมฺมํ กโรติ, โสว อิสฺสโรฯ สเจ วาริยมาโนปิ กโรติ, เหฎฺฐา คหิตํ ปํสุํ เหฎฺฐา ปกฺขิปิตฺวา, อุปริ คหิตํ ปํสุํ อุปริ ปกฺขิปิตฺวา ปูเรตพฺพาฯ
Sace koci antosīmāya taḷākaṃ khanati, vihāramajjhena vā mātikaṃ neti, cetiyaṅgaṇabodhiyaṅgaṇādīni dussanti, vāretabbo. Sace saṅgho kiñci labhitvā āmisagarukatāya na vāreti, eko bhikkhu vāreti, sova bhikkhu issaro. Sace eko bhikkhu na vāreti, ‘‘netha tumhe’’ti tesaṃyeva pakkho hoti, saṅgho vāreti, saṅghova issaro. Saṅghikesu hi kammesu yo dhammakammaṃ karoti, sova issaro. Sace vāriyamānopi karoti, heṭṭhā gahitaṃ paṃsuṃ heṭṭhā pakkhipitvā, upari gahitaṃ paṃsuṃ upari pakkhipitvā pūretabbā.
สเจ โกจิ ยถาชาตเมว อุจฺฉุํ วา อปรณฺณํ วา อลาพุกุมฺภณฺฑาทิกํ วา วลฺลิผลํ ทาตุกาโม ‘‘เอตํ สพฺพํ อุจฺฉุเขตฺตํ อปรณฺณวตฺถุํ วลฺลิผลาวาฎํ ทมฺมี’’ติ วทติ, สห วตฺถุนา ปรามฎฺฐตฺตา ‘‘น วฎฺฎตี’’ติ มหาสุมเตฺถโร อาหฯ มหาปทุมเตฺถโร ปน ‘‘อภิลาปมตฺตเมตํ สามิกานํเยว หิ โส ภูมิภาโค ตสฺมา วฎฺฎตี’’ติ อาหฯ
Sace koci yathājātameva ucchuṃ vā aparaṇṇaṃ vā alābukumbhaṇḍādikaṃ vā valliphalaṃ dātukāmo ‘‘etaṃ sabbaṃ ucchukhettaṃ aparaṇṇavatthuṃ valliphalāvāṭaṃ dammī’’ti vadati, saha vatthunā parāmaṭṭhattā ‘‘na vaṭṭatī’’ti mahāsumatthero āha. Mahāpadumatthero pana ‘‘abhilāpamattametaṃ sāmikānaṃyeva hi so bhūmibhāgo tasmā vaṭṭatī’’ti āha.
‘‘ทาสํ ทมฺมี’’ติ วทติ, น วฎฺฎติฯ ‘‘อารามิกํ ทมฺมิ, เวยฺยาวจฺจกรํ ทมฺมิ, กปฺปิยการกํ ทมฺมี’’ติ วุเตฺต วฎฺฎติฯ สเจ โส อารามิโก ปุเรภตฺตมฺปิ ปจฺฉาภตฺตมฺปิ สงฺฆเสฺสว กมฺมํ กโรติ, สามเณรสฺส วิย สพฺพํ เภสชฺชปฎิชคฺคนมฺปิ ตสฺส กาตพฺพํฯ สเจ ปุเรภตฺตเมว สงฺฆสฺส กมฺมํ กโรติ, ปจฺฉาภตฺตํ อตฺตโน กมฺมํ กโรติ, สายํ นิวาโป น ทาตโพฺพฯ เยปิ ปญฺจทิวสวาเรน วา ปกฺขวาเรน วา สงฺฆสฺส กมฺมํ กตฺวา เสสกาเล อตฺตโน กมฺมํ กโรนฺติ, เตสมฺปิ กรณกาเลเยว ภตฺตญฺจ นิวาโป จ ทาตโพฺพฯ สเจ สงฺฆสฺส กมฺมํ นตฺถิ, อตฺตโนเยว กมฺมํ กตฺวา ชีวนฺติ, เต เจ หตฺถกมฺมมูลํ อาเนตฺวา เทนฺติ, คเหตพฺพํฯ โน เจ เทนฺติ, น กิญฺจิ วตฺตพฺพาฯ ยํ กิญฺจิ รชกทาสมฺปิ เปสการทาสมฺปิ อารามิกนาเมน สมฺปฎิจฺฉิตุํ วฎฺฎติฯ
‘‘Dāsaṃ dammī’’ti vadati, na vaṭṭati. ‘‘Ārāmikaṃ dammi, veyyāvaccakaraṃ dammi, kappiyakārakaṃ dammī’’ti vutte vaṭṭati. Sace so ārāmiko purebhattampi pacchābhattampi saṅghasseva kammaṃ karoti, sāmaṇerassa viya sabbaṃ bhesajjapaṭijagganampi tassa kātabbaṃ. Sace purebhattameva saṅghassa kammaṃ karoti, pacchābhattaṃ attano kammaṃ karoti, sāyaṃ nivāpo na dātabbo. Yepi pañcadivasavārena vā pakkhavārena vā saṅghassa kammaṃ katvā sesakāle attano kammaṃ karonti, tesampi karaṇakāleyeva bhattañca nivāpo ca dātabbo. Sace saṅghassa kammaṃ natthi, attanoyeva kammaṃ katvā jīvanti, te ce hatthakammamūlaṃ ānetvā denti, gahetabbaṃ. No ce denti, na kiñci vattabbā. Yaṃ kiñci rajakadāsampi pesakāradāsampi ārāmikanāmena sampaṭicchituṃ vaṭṭati.
สเจ ‘‘คาโว เทมา’’ติ วทนฺติ, ‘‘น วฎฺฎตี’’ติ ปฎิกฺขิปิตพฺพาฯ อิมา คาโว กุโตติ ปณฺฑิเตหิ ปญฺจ โครสปริโภคตฺถาย ทินฺนาติ, ‘‘มยมฺปิ ปญฺจโครสปริโภคตฺถาย เทมา’’ติ วุเตฺต วฎฺฎติฯ อชิกาทีสุปิ เอเสว นโยฯ ‘‘หตฺถิํ เทม, อสฺสํ มหิสํ กุกฺกุฎํ สูกรํ เทมา’’ติ วทนฺติ, สมฺปฎิจฺฉิตุํ น วฎฺฎติฯ สเจ เกจิ มนุสฺสา ‘‘อโปฺปสฺสุกฺกา, ภเนฺต, ตุเมฺห โหถ, มยํ อิเม คเหตฺวา ตุมฺหากํ กปฺปิยภณฺฑํ ทสฺสามา’’ติ คณฺหนฺติ, วฎฺฎติฯ ‘‘กุกฺกุฎสูกรา สุขํ ชีวนฺตู’’ติ อรเญฺญ วิสฺสเชฺชตุํ วฎฺฎติฯ ‘‘อิมํ ตฬากํ, อิมํ เขตฺตํ, อิมํ วตฺถุํ, วิหารสฺส เทมา’’ติ วุเตฺต ปฎิกฺขิปิตุํ น ลพฺภตีติฯ เสสเมตฺถ อุตฺตานตฺถเมวฯ
Sace ‘‘gāvo demā’’ti vadanti, ‘‘na vaṭṭatī’’ti paṭikkhipitabbā. Imā gāvo kutoti paṇḍitehi pañca gorasaparibhogatthāya dinnāti, ‘‘mayampi pañcagorasaparibhogatthāya demā’’ti vutte vaṭṭati. Ajikādīsupi eseva nayo. ‘‘Hatthiṃ dema, assaṃ mahisaṃ kukkuṭaṃ sūkaraṃ demā’’ti vadanti, sampaṭicchituṃ na vaṭṭati. Sace keci manussā ‘‘appossukkā, bhante, tumhe hotha, mayaṃ ime gahetvā tumhākaṃ kappiyabhaṇḍaṃ dassāmā’’ti gaṇhanti, vaṭṭati. ‘‘Kukkuṭasūkarā sukhaṃ jīvantū’’ti araññe vissajjetuṃ vaṭṭati. ‘‘Imaṃ taḷākaṃ, imaṃ khettaṃ, imaṃ vatthuṃ, vihārassa demā’’ti vutte paṭikkhipituṃ na labbhatīti. Sesamettha uttānatthameva.
สมุฎฺฐานาทีสุ อิทมฺปิ ฉสมุฎฺฐานํ กิริยํ, โนสญฺญาวิโมกฺขํ, อจิตฺตกํ, ปณฺณตฺติวชฺชํ, กายกมฺมวจีกมฺมํ , ติจิตฺตํ, ติเวทนนฺติฯ
Samuṭṭhānādīsu idampi chasamuṭṭhānaṃ kiriyaṃ, nosaññāvimokkhaṃ, acittakaṃ, paṇṇattivajjaṃ, kāyakammavacīkammaṃ , ticittaṃ, tivedananti.
ราชสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Rājasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
นิฎฺฐิโต จีวรวโคฺค ปฐโมฯ
Niṭṭhito cīvaravaggo paṭhamo.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๑๐. ราชสิกฺขาปทํ • 10. Rājasikkhāpadaṃ
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / ๑๐. ราชสิกฺขาปทวณฺณนา • 10. Rājasikkhāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / ๑๐. ราชสิกฺขาปทวณฺณนา • 10. Rājasikkhāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ๑๐. ราชสิกฺขาปทวณฺณนา • 10. Rājasikkhāpadavaṇṇanā