Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā |
๑๐. ราชสิกฺขาปทวณฺณนา
10. Rājasikkhāpadavaṇṇanā
๕๓๗. ‘‘น โข มยํ, อาวุโส, จีวรเจตาปนฺนํ ปฎิคฺคณฺหาม…เป.… กาเลน กปฺปิย’’นฺติ อิโต ปุเพฺพ เอว รูปิยปฎิคฺคหณสิกฺขาปทสฺส ปญฺญตฺตตฺตา วุตฺตํฯ อญฺญถา อายสฺมา อุปนโนฺท มํสสฺส เจตาปนฺนํ เอกมฺปิ กหาปณํ หเตฺถน ปฎิคฺคณฺหโนฺต ตโต มหนฺตตรํ จีวรเจตาปนฺนํ กถํ น ปฎิคฺคณฺหิสฺสติ, เอวํ สเนฺตปิ จีวรปฎิสํยุตฺตตฺตา จีวรวเคฺค สงฺคายิํสูติฯ
537.‘‘Nakho mayaṃ, āvuso, cīvaracetāpannaṃ paṭiggaṇhāma…pe… kālena kappiya’’nti ito pubbe eva rūpiyapaṭiggahaṇasikkhāpadassa paññattattā vuttaṃ. Aññathā āyasmā upanando maṃsassa cetāpannaṃ ekampi kahāpaṇaṃ hatthena paṭiggaṇhanto tato mahantataraṃ cīvaracetāpannaṃ kathaṃ na paṭiggaṇhissati, evaṃ santepi cīvarapaṭisaṃyuttattā cīvaravagge saṅgāyiṃsūti.
๕๓๘-๙. ‘‘อาคตการณํ ภญฺชตี’’ติ วุตฺตตฺตา นนุ ปุน โจเทตุํ น ลภตีติ เอเกฯ อาคมนสฺส สาตฺถกํ น โหติ, จีวรํ น ลภิสฺสติ ปฎิสนฺถารสฺส กตตฺตาติ เอเกฯ โจทนาลกฺขณํ น โหตีติ กตฺวา วุตฺตนฺติ เอเกฯ ‘‘ฐตฺวา โจเทมี’’ติ อาคโต ตํ ฐานํ ภญฺชติ, กโรติ เจกํ, ตีณิปิ เจ กโรติ, เอกเมว, เอกวจนตฺตาติ เอเกฯ ตีณิ ฐานานิ ภญฺชตีติ เอเกฯ อุปติสฺสเตฺถโร ‘‘น โจทนาทิํ ภญฺชติ, โจเทตุกาโม อกตฺตพฺพํ อกาสิ, เตน วตฺตเภเท ทุกฺกฎ’’นฺติ วทติฯ ธมฺมสิริเตฺถโร ปน ‘‘อาสเน เจ นิสีทติ, เอกาย นิสชฺชาย เทฺว ฐานานิ ภญฺชติฯ อามิสํ เจ ปฎิคฺคณฺหาติ, เอเกน ปฎิคฺคเหน เทฺว ฐานานิ ภญฺชติฯ ธมฺมํ เจ ภาสติ, ธมฺมเทสนสิกฺขาปเท วุตฺตปริเจฺฉทาย เอกาย วาจาย เทฺว ฐานานิ ภญฺชติ, ตํ สนฺธาย วุตฺต’’นฺติ วทติฯ ‘‘ยตฺถา’’ติ วุเตฺต อตฺตโน เอว สนฺติกํ คนฺตพฺพนฺติ วุตฺตํ วิย โหติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘พฺยญฺชนํ ปน น สเมตี’’ติฯ อุปาสเกหิ อาณตฺตา ตํฯ มูลํ อสาทิยเนฺตนาติ มูลสฺส อกปฺปิยภาเว สติ อสาทิยเนฺตนฯ ตญฺจ โข จิเตฺตน , น มุเขนฯ สเจ เอวํ วุเตฺต อกปฺปิยํ ทเสฺสตีติ กตฺวา จิเตฺตน อกปฺปิยํ อิจฺฉโนฺตว มุเขน กปฺปิยํ นิทฺทิสติ ‘‘จีวรํ เม เทถา’’ติ, น วฎฺฎติฯ ปฎิลาเภ รูปิยปฎิคฺคหณสิกฺขาปเทน อาปตฺติฯ
538-9. ‘‘Āgatakāraṇaṃ bhañjatī’’ti vuttattā nanu puna codetuṃ na labhatīti eke. Āgamanassa sātthakaṃ na hoti, cīvaraṃ na labhissati paṭisanthārassa katattāti eke. Codanālakkhaṇaṃ na hotīti katvā vuttanti eke. ‘‘Ṭhatvā codemī’’ti āgato taṃ ṭhānaṃ bhañjati, karoti cekaṃ, tīṇipi ce karoti, ekameva, ekavacanattāti eke. Tīṇi ṭhānāni bhañjatīti eke. Upatissatthero ‘‘na codanādiṃ bhañjati, codetukāmo akattabbaṃ akāsi, tena vattabhede dukkaṭa’’nti vadati. Dhammasiritthero pana ‘‘āsane ce nisīdati, ekāya nisajjāya dve ṭhānāni bhañjati. Āmisaṃ ce paṭiggaṇhāti, ekena paṭiggahena dve ṭhānāni bhañjati. Dhammaṃ ce bhāsati, dhammadesanasikkhāpade vuttaparicchedāya ekāya vācāya dve ṭhānāni bhañjati, taṃ sandhāya vutta’’nti vadati. ‘‘Yatthā’’ti vutte attano eva santikaṃ gantabbanti vuttaṃ viya hoti. Tena vuttaṃ ‘‘byañjanaṃ pana na sametī’’ti. Upāsakehi āṇattā taṃ. Mūlaṃ asādiyantenāti mūlassa akappiyabhāve sati asādiyantena. Tañca kho cittena , na mukhena. Sace evaṃ vutte akappiyaṃ dassetīti katvā cittena akappiyaṃ icchantova mukhena kappiyaṃ niddisati ‘‘cīvaraṃ me dethā’’ti, na vaṭṭati. Paṭilābhe rūpiyapaṭiggahaṇasikkhāpadena āpatti.
ตตฺรายํ วิจารณา – จิเตฺตน สาทิยโนฺตปิ มุเขน กปฺปิยโวหาเรน เจ โวหรติ ‘‘กหาปณารเหน, ปาทารเหน วา กปฺปิยภเณฺฑน อิทญฺจิทญฺจ อาหรา’’ติฯ กิญฺจาปิ รูปิยํ สนฺธาย วทติ, วฎฺฎติ เอวฯ กสฺมา? กญฺจิ สสฺสุฎฺฐานกํ ภูมิปเทสํ สนฺธาย ‘‘สีมํ เทมาติ วทนฺติ, วฎฺฎตี’’ติ วจนโต, ‘‘วิหารสฺส เทมา’’ติ วุเตฺต ‘‘ปฎิกฺขิปิตุํ น วฎฺฎตี’’ติ วจนโต จฯ อนุคณฺฐิปเท ปน วุตฺตํ ‘‘สงฺฆํ สนฺธาย ‘วิหารสฺส เทมา’ติ ทินฺนํ ครุภณฺฑํ น โหติ, ทกฺขิโณทกํ สมฺปฎิจฺฉิตุํ, ‘สาธู’ติ จ วตฺตุํ, อนุโมเทตุญฺจ วฎฺฎติฯ กสฺมา? สงฺฆสฺส ‘วิหาโร’ติ นามาภาวโต, เขตฺตเสฺสว ‘สีมา’ติ นามภาวโต จ, จิเตฺตน อารมฺมณํ กตํ อปฺปมาณํ, กปฺปิยโวหาโรว ปมาณํฯ กปฺปิยเมวาจิกฺขิตตฺตา ‘น เตฺววาหํ, ภิกฺขเว, เกนจิ ปริยาเยน ชาตรูปรชตํ สาทิตพฺพํ ปริเยสิตพฺพนฺติ วทามี’ติ (มหาว. ๒๙๙) วจเนนปิ น วิรุชฺฌติฯ กปฺปิยวจนปจฺจยา ทายโก สยเมว กตฺตพฺพยุตฺตกํ ชานิสฺสตีติ อธิปฺปายโต ทายเกน เอตสฺส อธิปฺปายํ ญตฺวา กปฺปิยการกสฺส หเตฺถ ฐปิตํ ภิกฺขุสฺส สนฺตกเมว โหตี’’ติฯ อิทํ สพฺพมยุตฺตํ, กสฺมา? สีมาวิหารวจนสฺส ทายกวจนตฺตาฯ อิธ จ ภิกฺขุโน วจนํ ปมาณํฯ เตเนวาห ‘‘อถาปิ ‘มม ตฬากํ วา โปกฺขรณิํ วา สงฺฆสฺส ทมฺมี’ติ วุเตฺต ‘สาธุ, อุปาสก, สโงฺฆ ปานียํ ปิวิสฺสตี’ติอาทีนิ วตฺวา ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎติ เอวา’’ติฯ อญฺญถา เขตฺตํ สนฺธาย ภิกฺขุโน เขตฺตปฎิพทฺธวจนานิ สีมาวจเนน กปฺปนฺตีติ อาปชฺชติฯ อวิหารสฺส จ ภิกฺขุสฺส รูปิยํ ทเสฺสตฺวา ‘‘อิทํ วิหารสฺส ทมฺมี’’ติ วุเตฺต อตฺตโน อตฺถาย ทิยฺยมานํ ชานเนฺตนาปิ ตํ อปฺปฎิกฺขิปิตพฺพํฯ ตถา กหาปณารหาทิโน อกปฺปิยภณฺฑภาวํ, กหาปณาทิภาวเมว วา ชานนฺตเมว สนฺธาย ตถาโวหรนฺตสฺส จ อนาปตฺตีติ อาปชฺชติฯ ‘‘น เตฺววาหํ, ภิกฺขเว, เกนจิ ปริยาเยนา’’ติ นิปฺปเทสโต วุตฺตตฺตา น สกฺกา เลสํ โอเฑฺฑตุนฺติ โน ตโกฺก, วิจาเรตฺวา ปน คเหตพฺพํฯ ‘‘โน เจ อิจฺฉติ, น กเถตพฺพ’’นฺติ วจนโต ยถาวุตฺตสามิจิยา อกรเณ อนาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสาติ ทเสฺสติฯ
Tatrāyaṃ vicāraṇā – cittena sādiyantopi mukhena kappiyavohārena ce voharati ‘‘kahāpaṇārahena, pādārahena vā kappiyabhaṇḍena idañcidañca āharā’’ti. Kiñcāpi rūpiyaṃ sandhāya vadati, vaṭṭati eva. Kasmā? Kañci sassuṭṭhānakaṃ bhūmipadesaṃ sandhāya ‘‘sīmaṃ demāti vadanti, vaṭṭatī’’ti vacanato, ‘‘vihārassa demā’’ti vutte ‘‘paṭikkhipituṃ na vaṭṭatī’’ti vacanato ca. Anugaṇṭhipade pana vuttaṃ ‘‘saṅghaṃ sandhāya ‘vihārassa demā’ti dinnaṃ garubhaṇḍaṃ na hoti, dakkhiṇodakaṃ sampaṭicchituṃ, ‘sādhū’ti ca vattuṃ, anumodetuñca vaṭṭati. Kasmā? Saṅghassa ‘vihāro’ti nāmābhāvato, khettasseva ‘sīmā’ti nāmabhāvato ca, cittena ārammaṇaṃ kataṃ appamāṇaṃ, kappiyavohārova pamāṇaṃ. Kappiyamevācikkhitattā ‘na tvevāhaṃ, bhikkhave, kenaci pariyāyena jātarūparajataṃ sāditabbaṃ pariyesitabbanti vadāmī’ti (mahāva. 299) vacanenapi na virujjhati. Kappiyavacanapaccayā dāyako sayameva kattabbayuttakaṃ jānissatīti adhippāyato dāyakena etassa adhippāyaṃ ñatvā kappiyakārakassa hatthe ṭhapitaṃ bhikkhussa santakameva hotī’’ti. Idaṃ sabbamayuttaṃ, kasmā? Sīmāvihāravacanassa dāyakavacanattā. Idha ca bhikkhuno vacanaṃ pamāṇaṃ. Tenevāha ‘‘athāpi ‘mama taḷākaṃ vā pokkharaṇiṃ vā saṅghassa dammī’ti vutte ‘sādhu, upāsaka, saṅgho pānīyaṃ pivissatī’tiādīni vatvā paribhuñjituṃ vaṭṭati evā’’ti. Aññathā khettaṃ sandhāya bhikkhuno khettapaṭibaddhavacanāni sīmāvacanena kappantīti āpajjati. Avihārassa ca bhikkhussa rūpiyaṃ dassetvā ‘‘idaṃ vihārassa dammī’’ti vutte attano atthāya diyyamānaṃ jānantenāpi taṃ appaṭikkhipitabbaṃ. Tathā kahāpaṇārahādino akappiyabhaṇḍabhāvaṃ, kahāpaṇādibhāvameva vā jānantameva sandhāya tathāvoharantassa ca anāpattīti āpajjati. ‘‘Na tvevāhaṃ, bhikkhave, kenaci pariyāyenā’’ti nippadesato vuttattā na sakkā lesaṃ oḍḍetunti no takko, vicāretvā pana gahetabbaṃ. ‘‘No ce icchati, na kathetabba’’nti vacanato yathāvuttasāmiciyā akaraṇe anāpatti dukkaṭassāti dasseti.
‘‘อญฺญาตกอปฺปวาริเตสุ วิย ปฎิปชฺชิตพฺพ’’นฺติ วจนโต ยถาวุตฺตสามิจิมฺปิ น กตฺวา เจ นิปฺผาเทติ, อญฺญาตกวิญฺญตฺติสิกฺขาปเทน กาเรตโพฺพติ ทเสฺสติฯ กปฺปิยการกา สยเมว โจเทตฺวา เทนฺติ, วฎฺฎติฯ ‘‘สยํ กรณเมว ปฎิกฺขิตฺต’’นฺติ จ วทนฺติฯ ปิณฺฑปาตาทีนํ …เป.… เอเสว นโยติ เอตฺถ ‘‘ทุกฺกฎ’’นฺติ วทนฺติ, ตํ น สุนฺทรํ, ททเนฺตสุปีติ อปิ-สเทฺทน สงฺคหิตตฺตา นิสฺสคฺคิยปาจิตฺติยเมวฯ ชาตรูปรชตํ ‘‘สเงฺฆ สาทิเต ทุกฺกฎ’’นฺติ จ วิกเปฺปนฺติฯ ตํ วิเสเสตฺวา นวุตฺตตฺตา ปาจิตฺติยเมวาติ ทเสฺสติฯ ‘‘นิสฺสคฺคิยเมวาติ เยวาปนกสิกฺขาปเทสุ สิยา’’ติ วทนฺติ, อุปปริกฺขิตพฺพํฯ ‘‘ยสฺส กสฺสจิ หิ อญฺญสฺส…เป.… มหาปจฺจริยํ วุตฺต’’นฺติ วจนโต อปพฺพชิตานํ อนฺตมโส มาตาปิตูนมฺปิ อตฺถาย สมฺปฎิจฺฉนฺตสฺส ทุกฺกฎเมวาติ ทเสฺสติฯ
‘‘Aññātakaappavāritesu viya paṭipajjitabba’’nti vacanato yathāvuttasāmicimpi na katvā ce nipphādeti, aññātakaviññattisikkhāpadena kāretabboti dasseti. Kappiyakārakā sayameva codetvā denti, vaṭṭati. ‘‘Sayaṃ karaṇameva paṭikkhitta’’nti ca vadanti. Piṇḍapātādīnaṃ…pe… eseva nayoti ettha ‘‘dukkaṭa’’nti vadanti, taṃ na sundaraṃ, dadantesupīti api-saddena saṅgahitattā nissaggiyapācittiyameva. Jātarūparajataṃ ‘‘saṅghe sādite dukkaṭa’’nti ca vikappenti. Taṃ visesetvā navuttattā pācittiyamevāti dasseti. ‘‘Nissaggiyamevāti yevāpanakasikkhāpadesu siyā’’ti vadanti, upaparikkhitabbaṃ. ‘‘Yassa kassaci hi aññassa…pe… mahāpaccariyaṃ vutta’’nti vacanato apabbajitānaṃ antamaso mātāpitūnampi atthāya sampaṭicchantassa dukkaṭamevāti dasseti.
สพฺพตฺถ สมฺปฎิจฺฉนํ นาม ‘‘อุคฺคเณฺหยฺย วา อุคฺคณฺหาเปยฺยวา อุปนิกฺขิตฺตํ วา สาทิเยยฺยา’’ติ เอวํ วุตฺตลกฺขณเมวฯ เอวํ สเนฺตปิ กตฺถจิ ปฎิกฺขิปิตพฺพํ, กตฺถจิ น ปฎิกฺขิปิตพฺพํ, กตฺถจิ ปฎิกฺขิตฺตํ สาทิตุํ วฎฺฎติ, เอวํ อปฺปฎิกฺขิตฺตํ กิญฺจิ วฎฺฎติ, อิทํ สพฺพมฺปิ ทเสฺสตุํ ‘‘สเจ ปนา’’ติ วิตฺถาโร อารโทฺธฯ ตตฺถ ‘‘เจติยสฺส…เป.… น วฎฺฎตี’’ติ วจนโต อปฺปฎิกฺขิตฺตํ วิหารสฺส ทินฺนํ สาทิตุํ วฎฺฎตีติ สิทฺธํฯ ตถา เถรสฺส ‘‘มาตุยา เทมา’’ติอาทินา วุเตฺตปิ ปฎิคฺคหเณ อาปตฺติ ปาจิตฺติยเมวฯ สาปตฺติโก โหตีติ เอตฺถ กาย อาปตฺติยา สาปตฺติโก โหตีติ? ทุกฺกฎาปตฺติยาติ เอเกฯ น ยาย กายจิ, เกวลํ อฎฺฐาเน โจเทตีติ กตฺวา ‘‘สาปตฺติโก’’ติ วุตฺตํฯ ยถา กถนฺติ? ‘‘ปญฺจหิ, ภิกฺขเว, อเงฺคหิ สมนฺนาคโต สทฺธิวิหาริโก ปณาเมตโพฺพ…เป.… ปณาเมโนฺต อนติสาโร’’ติ (มหาว. ๖๘) เอตฺถ น สมฺมาวตฺตนฺตํเยว อปณาเมนฺตสฺส ทุกฺกฎํ วุตฺตํฯ ยถาห – ‘‘น จ, ภิกฺขเว, อสมฺมาวตฺตโนฺต น ปณาเมตโพฺพ, โย น ปณาเมยฺย, อาปตฺติทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๖๘), ตสฺมา อธิมตฺตเปมาทิอภาเวปิ อปณาเมนฺตสฺส อนาปตฺติ ทิสฺสติฯ อปิจ ‘‘สาติสาโร โหตี’’ติ วุตฺตํฯ เอวํสมฺปทมิทํ ทฎฺฐพฺพํฯ อฎฺฐกถาย ‘‘สาติสาโร โหตีติ สโทโส โหติ, อาปตฺติํ อาปชฺชตี’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๖๘) วุตฺตตฺตา น ยุตฺตนฺติ เจ? น, ตทนนฺตรเมว ตํมิจฺฉาคาหนิวตฺตนตฺถํ, ตสฺมา ‘‘น สมฺมาวตฺตโนฺต ปณาเมตโพฺพ’’ติ วุตฺตตฺตา อนาปตฺติกา กตาติฯ ทุกฺกฎาปตฺติ โหตีติ อาจริโย, วีมํสิตพฺพํฯ ‘‘กปฺปิยภณฺฑมฺปิ อกปฺปิยเมวาติ ตฬากโต นิปฺผนฺนธเญฺญน ปริวเตฺตตฺวา ลทฺธํ โครสมฺปิ น วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตํฯ
Sabbattha sampaṭicchanaṃ nāma ‘‘uggaṇheyya vā uggaṇhāpeyyavā upanikkhittaṃ vā sādiyeyyā’’ti evaṃ vuttalakkhaṇameva. Evaṃ santepi katthaci paṭikkhipitabbaṃ, katthaci na paṭikkhipitabbaṃ, katthaci paṭikkhittaṃ sādituṃ vaṭṭati, evaṃ appaṭikkhittaṃ kiñci vaṭṭati, idaṃ sabbampi dassetuṃ ‘‘sace panā’’ti vitthāro āraddho. Tattha ‘‘cetiyassa…pe… na vaṭṭatī’’ti vacanato appaṭikkhittaṃ vihārassa dinnaṃ sādituṃ vaṭṭatīti siddhaṃ. Tathā therassa ‘‘mātuyā demā’’tiādinā vuttepi paṭiggahaṇe āpatti pācittiyameva. Sāpattiko hotīti ettha kāya āpattiyā sāpattiko hotīti? Dukkaṭāpattiyāti eke. Na yāya kāyaci, kevalaṃ aṭṭhāne codetīti katvā ‘‘sāpattiko’’ti vuttaṃ. Yathā kathanti? ‘‘Pañcahi, bhikkhave, aṅgehi samannāgato saddhivihāriko paṇāmetabbo…pe… paṇāmento anatisāro’’ti (mahāva. 68) ettha na sammāvattantaṃyeva apaṇāmentassa dukkaṭaṃ vuttaṃ. Yathāha – ‘‘na ca, bhikkhave, asammāvattanto na paṇāmetabbo, yo na paṇāmeyya, āpattidukkaṭassā’’ti (mahāva. 68), tasmā adhimattapemādiabhāvepi apaṇāmentassa anāpatti dissati. Apica ‘‘sātisāro hotī’’ti vuttaṃ. Evaṃsampadamidaṃ daṭṭhabbaṃ. Aṭṭhakathāya ‘‘sātisāro hotīti sadoso hoti, āpattiṃ āpajjatī’’ti (mahāva. aṭṭha. 68) vuttattā na yuttanti ce? Na, tadanantarameva taṃmicchāgāhanivattanatthaṃ, tasmā ‘‘na sammāvattanto paṇāmetabbo’’ti vuttattā anāpattikā katāti. Dukkaṭāpatti hotīti ācariyo, vīmaṃsitabbaṃ. ‘‘Kappiyabhaṇḍampi akappiyamevāti taḷākato nipphannadhaññena parivattetvā laddhaṃ gorasampi na vaṭṭatī’’ti vuttaṃ.
กปฺปิยโวหาเรปิ วิธานํ วกฺขาม, เสยฺยถิทํ – ‘‘อุทกวเสนา’’ติอาทิฯ ทุพฺพินิโพฺภคํ โหตีติ อิทํ ปรโต ‘‘ตเสฺสว อกปฺปิยํฯ กสฺมา? ธญฺญสฺส วิจาริตตฺตา’’ติ อิมินา อสทิสํ, ตสฺมา สุวุตฺตํฯ อิทญฺหิ ภิกฺขุสฺส ปโยควเสน อาทิโต ปฎฺฐาย อุปฺปเนฺนน มิสฺสนฺติฯ อกตปุพฺพํ นวสสฺสํ นามฯ ขเล วา ฐตฺวา รกฺขตีติ ‘‘อิทํ วา เอตฺตกํ วา มา คณฺห, อิทํ คเหตุํ ลพฺภตี’’ติ วา ‘‘อิโต อปเนหิ, อิธ ปุญฺชํ กโรหี’’ติ เอวมาทินา วา ปโยเคน เจ รกฺขติ, ตํ อกปฺปิยํฯ ‘‘สเจ ‘มยิฐิเต รกฺขิตํ โหตี’ติ รกฺขติ, คณฺหเนฺต วา ปสฺสิตฺวา ‘กิํ กโรถา’ติ, ภณติ วฎฺฎตี’’ติ วุตฺตํ, ตํ ยุตฺตํฯ รูปิยปฎิคฺคหณสิกฺขาปเท ‘‘ทฺวารํ ปิทหิตฺวา รกฺขเนฺตน วสิตพฺพ’’นฺติ หิ วุตฺตํฯ ตเสฺสว ตํ อกปฺปิยํฯ กสฺมา? อปุพฺพสฺส อนุปฺปาทิตตฺตาฯ เหฎฺฐา ‘‘สสฺสํ กตฺวา อาหรถา’’ติ วตฺตุํ ปน น วฎฺฎตีติฯ ปเณฺณปิ เอเสว นโยฯ ‘‘ปกติยา สยเมว กโรนฺตานํ อุสฺสาหชนนโต’’ติ วุตฺตํฯ กสฺมา? ‘‘กหาปณานํ วิจาริตตฺตา’’ติ วจนโต, ปเคว อุฎฺฐาปิตตฺตาติ สิทฺธํ โหติฯ สเจ ทายกา วา สงฺฆสฺส คามเขตฺตารามาทิํ เกณิยา คหิตมนุสฺสา วา ตตฺถ กุฎุมฺพิโน ‘‘อิเม สงฺฆสฺส กหาปณา อาหฎา’’ติ วทนฺติ, ‘‘น กปฺปตี’’ติ เอตฺตกเมว วตฺตพฺพํฯ กปฺปิยการกาว เจ วทนฺติ, ‘‘สงฺฆสฺส กหาปณา น กปฺปนฺติ, สปฺปิอาทีนิ วฎฺฎนฺตี’’ติ วตฺตพฺพํ, ตสฺมา ‘‘สงฺฆสฺส กปฺปิยการเก วา คุตฺตฎฺฐานํ วา อาจิกฺขถา’’ติ วตฺวา เตหิ สมฺปาทิตํ เกนจิ อกตฺตพฺพตาย ‘‘อิมินา สปฺปิํ อาหราหี’’ติ วิจาเรติ นิฎฺฐาเปตฺวา อิตเรสํ กปฺปิยํ ปรโต ปตฺตจตุเกฺก จตุตฺถปโตฺต วิยฯ วุตฺตญฺหิ ตตฺถ ‘‘อิเม กหาปเณ คเหตฺวา อิมํ เทหี’ติ กหาปเณ ทาเปตฺวา คหิโต, อยํ ปโตฺต เอตเสฺสว ภิกฺขุโน น วฎฺฎติ, ทุพฺพิจาริตตฺตา, อเญฺญสํ ปน วฎฺฎติ, มูลสฺส อสมฺปฎิจฺฉิตตฺตา’’ติอาทิฯ ยทิ เอวํ สเพฺพสํ อกปฺปิยํฯ กสฺมา? กหาปณานํ วิจาริตตฺตาติฯ อิทํ ทุวุตฺตนฺติ เจ? น, มูลสฺส สมฺปฎิจฺฉิตฎฺฐานํ สนฺธาย อิมสฺส วุตฺตตฺตา ปตฺตจตุเกฺก ทุติยตติยปตฺตา วิย, เตเนว วุตฺตํ สยํการิวาเร ‘‘น กปฺปตี’’ติ เอตฺตกเมว วตฺตพฺพ’นฺติฯ ตโต ปรํ มูลํ สมฺปฎิจฺฉติ นามฯ
Kappiyavohārepi vidhānaṃ vakkhāma, seyyathidaṃ – ‘‘udakavasenā’’tiādi. Dubbinibbhogaṃ hotīti idaṃ parato ‘‘tasseva akappiyaṃ. Kasmā? Dhaññassa vicāritattā’’ti iminā asadisaṃ, tasmā suvuttaṃ. Idañhi bhikkhussa payogavasena ādito paṭṭhāya uppannena missanti. Akatapubbaṃ navasassaṃ nāma. Khale vā ṭhatvā rakkhatīti ‘‘idaṃ vā ettakaṃ vā mā gaṇha, idaṃ gahetuṃ labbhatī’’ti vā ‘‘ito apanehi, idha puñjaṃ karohī’’ti evamādinā vā payogena ce rakkhati, taṃ akappiyaṃ. ‘‘Sace ‘mayiṭhite rakkhitaṃ hotī’ti rakkhati, gaṇhante vā passitvā ‘kiṃ karothā’ti, bhaṇati vaṭṭatī’’ti vuttaṃ, taṃ yuttaṃ. Rūpiyapaṭiggahaṇasikkhāpade ‘‘dvāraṃ pidahitvā rakkhantena vasitabba’’nti hi vuttaṃ. Tasseva taṃ akappiyaṃ. Kasmā? Apubbassa anuppāditattā. Heṭṭhā ‘‘sassaṃ katvā āharathā’’ti vattuṃ pana na vaṭṭatīti. Paṇṇepi eseva nayo. ‘‘Pakatiyā sayameva karontānaṃ ussāhajananato’’ti vuttaṃ. Kasmā? ‘‘Kahāpaṇānaṃ vicāritattā’’ti vacanato, pageva uṭṭhāpitattāti siddhaṃ hoti. Sace dāyakā vā saṅghassa gāmakhettārāmādiṃ keṇiyā gahitamanussā vā tattha kuṭumbino ‘‘ime saṅghassa kahāpaṇā āhaṭā’’ti vadanti, ‘‘na kappatī’’ti ettakameva vattabbaṃ. Kappiyakārakāva ce vadanti, ‘‘saṅghassa kahāpaṇā na kappanti, sappiādīni vaṭṭantī’’ti vattabbaṃ, tasmā ‘‘saṅghassa kappiyakārake vā guttaṭṭhānaṃ vā ācikkhathā’’ti vatvā tehi sampāditaṃ kenaci akattabbatāya ‘‘iminā sappiṃ āharāhī’’ti vicāreti niṭṭhāpetvā itaresaṃ kappiyaṃ parato pattacatukke catutthapatto viya. Vuttañhi tattha ‘‘ime kahāpaṇe gahetvā imaṃ dehī’ti kahāpaṇe dāpetvā gahito, ayaṃ patto etasseva bhikkhuno na vaṭṭati, dubbicāritattā, aññesaṃ pana vaṭṭati, mūlassa asampaṭicchitattā’’tiādi. Yadi evaṃ sabbesaṃ akappiyaṃ. Kasmā? Kahāpaṇānaṃ vicāritattāti. Idaṃ duvuttanti ce? Na, mūlassa sampaṭicchitaṭṭhānaṃ sandhāya imassa vuttattā pattacatukke dutiyatatiyapattā viya, teneva vuttaṃ sayaṃkārivāre ‘‘na kappatī’’ti ettakameva vattabba’nti. Tato paraṃ mūlaṃ sampaṭicchati nāma.
มหาวิสยสิกฺขตฺตา, ราชสิกฺขาปทํ อิทํ;
Mahāvisayasikkhattā, rājasikkhāpadaṃ idaṃ;
รโญฺญ วิย ทุวิเญฺญยฺยํ, จิตฺตาธิปฺปายโตปิ วาฯ
Rañño viya duviññeyyaṃ, cittādhippāyatopi vā.
ราชสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Rājasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
นิฎฺฐิโต จีวรวโคฺค ปฐโมฯ
Niṭṭhito cīvaravaggo paṭhamo.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๑๐. ราชสิกฺขาปทํ • 10. Rājasikkhāpadaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā / ๑๐. ราชสิกฺขาปทวณฺณนา • 10. Rājasikkhāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / ๑๐. ราชสิกฺขาปทวณฺณนา • 10. Rājasikkhāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ๑๐. ราชสิกฺขาปทวณฺณนา • 10. Rājasikkhāpadavaṇṇanā