Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya |
๘. ราชาสุตฺตํ
8. Rājāsuttaṃ
๑๗๘. ‘‘ตํ กิํ มญฺญถ, ภิกฺขเว, อปิ นุ ตุเมฺหหิ ทิฎฺฐํ วา สุตํ วา – ‘อยํ ปุริโส ปาณาติปาตํ ปหาย ปาณาติปาตา ปฎิวิรโตติ 1ฯ ตเมนํ ราชาโน คเหตฺวา ปาณาติปาตา เวรมณิเหตุ หนนฺติ วา พนฺธนฺติ วา ปพฺพาเชนฺติ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรนฺตี’’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘สาธุ, ภิกฺขเว! มยาปิ โข เอตํ, ภิกฺขเว, เนว ทิฎฺฐํ น สุตํ – ‘อยํ ปุริโส ปาณาติปาตํ ปหาย ปาณาติปาตา ปฎิวิรโตติฯ ตเมนํ ราชาโน คเหตฺวา ปาณาติปาตา เวรมณิเหตุ หนนฺติ วา พนฺธนฺติ วา ปพฺพาเชนฺติ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรนฺตี’ติฯ อปิ จ, ขฺวสฺส ตเถว ปาปกมฺมํ ปเวเทนฺติ 2 – ‘อยํ ปุริโส อิตฺถิํ วา ปุริสํ วา ชีวิตา โวโรเปสีติ 3ฯ ตเมนํ ราชาโน คเหตฺวา ปาณาติปาตเหตุ หนนฺติ วา พนฺธนฺติ วา ปพฺพาเชนฺติ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรนฺติฯ อปิ นุ ตุเมฺหหิ เอวรูปํ ทิฎฺฐํ วา สุตํ วา’’’ติ? ‘‘ทิฎฺฐญฺจ โน, ภเนฺต, สุตญฺจ สุยฺยิสฺสติ 4 จา’’ติฯ
178. ‘‘Taṃ kiṃ maññatha, bhikkhave, api nu tumhehi diṭṭhaṃ vā sutaṃ vā – ‘ayaṃ puriso pāṇātipātaṃ pahāya pāṇātipātā paṭiviratoti 5. Tamenaṃ rājāno gahetvā pāṇātipātā veramaṇihetu hananti vā bandhanti vā pabbājenti vā yathāpaccayaṃ vā karontī’’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’. ‘‘Sādhu, bhikkhave! Mayāpi kho etaṃ, bhikkhave, neva diṭṭhaṃ na sutaṃ – ‘ayaṃ puriso pāṇātipātaṃ pahāya pāṇātipātā paṭiviratoti. Tamenaṃ rājāno gahetvā pāṇātipātā veramaṇihetu hananti vā bandhanti vā pabbājenti vā yathāpaccayaṃ vā karontī’ti. Api ca, khvassa tatheva pāpakammaṃ pavedenti 6 – ‘ayaṃ puriso itthiṃ vā purisaṃ vā jīvitā voropesīti 7. Tamenaṃ rājāno gahetvā pāṇātipātahetu hananti vā bandhanti vā pabbājenti vā yathāpaccayaṃ vā karonti. Api nu tumhehi evarūpaṃ diṭṭhaṃ vā sutaṃ vā’’’ti? ‘‘Diṭṭhañca no, bhante, sutañca suyyissati 8 cā’’ti.
‘‘ตํ กิํ มญฺญถ, ภิกฺขเว, อปิ นุ ตุเมฺหหิ ทิฎฺฐํ วา สุตํ วา – ‘อยํ ปุริโส อทินฺนาทานํ ปหาย อทินฺนาทานา ปฎิวิรโตติฯ ตเมนํ ราชาโน คเหตฺวา อทินฺนาทานา เวรมณิเหตุ หนนฺติ วา พนฺธนฺติ วา ปพฺพาเชนฺติ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรนฺตี’’’ติ? ‘‘โน เหตํ ภเนฺต’’ฯ ‘‘สาธุ, ภิกฺขเว! มยาปิ โข เอตํ, ภิกฺขเว, เนว ทิฎฺฐํ น สุตํ – ‘อยํ ปุริโส อทินฺนาทานํ ปหาย อทินฺนาทานา ปฎิวิรโตติฯ ตเมนํ ราชาโน คเหตฺวา อทินฺนาทานา เวรมณิเหตุ หนนฺติ วา พนฺธนฺติ วา ปพฺพาเชนฺติ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรนฺตี’ติฯ อปิ จ ขฺวสฺส ตเถว ปาปกมฺมํ ปเวเทนฺติ – ‘อยํ ปุริโส คามา วา อรญฺญา วา อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อาทิยีติ 9ฯ ตเมนํ ราชาโน คเหตฺวา อทินฺนาทานเหตุ หนนฺติ วา พนฺธนฺติ วา ปพฺพาเชนฺติ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรนฺติฯ อปิ นุ ตุเมฺหหิ เอวรูปํ ทิฎฺฐํ วา สุตํ วา’’’ติ? ‘‘ทิฎฺฐญฺจ โน, ภเนฺต, สุตญฺจ สุยฺยิสฺสติ จา’’ติฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññatha, bhikkhave, api nu tumhehi diṭṭhaṃ vā sutaṃ vā – ‘ayaṃ puriso adinnādānaṃ pahāya adinnādānā paṭiviratoti. Tamenaṃ rājāno gahetvā adinnādānā veramaṇihetu hananti vā bandhanti vā pabbājenti vā yathāpaccayaṃ vā karontī’’’ti? ‘‘No hetaṃ bhante’’. ‘‘Sādhu, bhikkhave! Mayāpi kho etaṃ, bhikkhave, neva diṭṭhaṃ na sutaṃ – ‘ayaṃ puriso adinnādānaṃ pahāya adinnādānā paṭiviratoti. Tamenaṃ rājāno gahetvā adinnādānā veramaṇihetu hananti vā bandhanti vā pabbājenti vā yathāpaccayaṃ vā karontī’ti. Api ca khvassa tatheva pāpakammaṃ pavedenti – ‘ayaṃ puriso gāmā vā araññā vā adinnaṃ theyyasaṅkhātaṃ ādiyīti 10. Tamenaṃ rājāno gahetvā adinnādānahetu hananti vā bandhanti vā pabbājenti vā yathāpaccayaṃ vā karonti. Api nu tumhehi evarūpaṃ diṭṭhaṃ vā sutaṃ vā’’’ti? ‘‘Diṭṭhañca no, bhante, sutañca suyyissati cā’’ti.
‘‘ตํ กิํ มญฺญถ, ภิกฺขเว, อปิ นุ ตุเมฺหหิ ทิฎฺฐํ วา สุตํ วา – ‘อยํ ปุริโส กาเมสุมิจฺฉาจารํ ปหาย กาเมสุมิจฺฉาจารา ปฎิวิรโตติฯ ตเมนํ ราชาโน คเหตฺวา กาเมสุมิจฺฉาจารา เวรมณิเหตุ หนนฺติ วา พนฺธนฺติ วา ปพฺพาเชนฺติ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรนฺตี’’’ติ? ‘‘โน เหตํ , ภเนฺต’’ฯ ‘‘สาธุ, ภิกฺขเว! มยาปิ โข เอตํ, ภิกฺขเว, เนว ทิฎฺฐํ น สุตํ – ‘อยํ ปุริโส กาเมสุมิจฺฉาจารํ ปหาย กาเมสุมิจฺฉาจารา ปฎิวิรโตติฯ ตเมนํ ราชาโน คเหตฺวา กาเมสุมิจฺฉาจารา เวรมณิเหตุ หนนฺติ วา พนฺธนฺติ วา ปพฺพาเชนฺติ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรนฺตี’ติฯ อปิ จ ขฺวสฺส ตเถว ปาปกมฺมํ ปเวเทนฺติ – ‘อยํ ปุริโส ปริตฺถีสุ ปรกุมารีสุ จาริตฺตํ อาปชฺชีติ 11ฯ ตเมนํ ราชาโน คเหตฺวา กาเมสุมิจฺฉาจารเหตุ หนนฺติ วา พนฺธนฺติ วา ปพฺพาเชนฺติ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรนฺติฯ อปิ นุ ตุเมฺหหิ เอวรูปํ ทิฎฺฐํ วา สุตํ วา’’’ติ? ‘‘ทิฎฺฐญฺจ โน, ภเนฺต, สุตญฺจ สุยฺยิสฺสติ จา’’ติฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññatha, bhikkhave, api nu tumhehi diṭṭhaṃ vā sutaṃ vā – ‘ayaṃ puriso kāmesumicchācāraṃ pahāya kāmesumicchācārā paṭiviratoti. Tamenaṃ rājāno gahetvā kāmesumicchācārā veramaṇihetu hananti vā bandhanti vā pabbājenti vā yathāpaccayaṃ vā karontī’’’ti? ‘‘No hetaṃ , bhante’’. ‘‘Sādhu, bhikkhave! Mayāpi kho etaṃ, bhikkhave, neva diṭṭhaṃ na sutaṃ – ‘ayaṃ puriso kāmesumicchācāraṃ pahāya kāmesumicchācārā paṭiviratoti. Tamenaṃ rājāno gahetvā kāmesumicchācārā veramaṇihetu hananti vā bandhanti vā pabbājenti vā yathāpaccayaṃ vā karontī’ti. Api ca khvassa tatheva pāpakammaṃ pavedenti – ‘ayaṃ puriso paritthīsu parakumārīsu cārittaṃ āpajjīti 12. Tamenaṃ rājāno gahetvā kāmesumicchācārahetu hananti vā bandhanti vā pabbājenti vā yathāpaccayaṃ vā karonti. Api nu tumhehi evarūpaṃ diṭṭhaṃ vā sutaṃ vā’’’ti? ‘‘Diṭṭhañca no, bhante, sutañca suyyissati cā’’ti.
‘‘ตํ กิํ มญฺญถ, ภิกฺขเว, อปิ นุ ตุเมฺหหิ ทิฎฺฐํ วา สุตํ วา – ‘อยํ ปุริโส มุสาวาทํ ปหาย มุสาวาทา ปฎิวิรโตติฯ ตเมนํ ราชาโน คเหตฺวา มุสาวาทา เวรมณิเหตุ หนนฺติ วา พนฺธนฺติ วา ปพฺพาเชนฺติ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรนฺตี’’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘สาธุ, ภิกฺขเว! มยาปิ โข เอตํ, ภิกฺขเว, เนว ทิฎฺฐํ น สุตํ – ‘อยํ ปุริโส มุสาวาทํ ปหาย มุสาวาทา ปฎิวิรโตติฯ ตเมนํ ราชาโน คเหตฺวา มุสาวาทา เวรมณิเหตุ หนนฺติ วา พนฺธนฺติ วา ปพฺพาเชนฺติ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรนฺตี’ติฯ อปิ จ ขฺวสฺส ตเถว ปาปกมฺมํ ปเวเทนฺติ – ‘อยํ ปุริโส คหปติสฺส วา คหปติปุตฺตสฺส วา มุสาวาเทน อตฺถํ ปภญฺชีติ 13ฯ ตเมนํ ราชาโน คเหตฺวา มุสาวาทเหตุ หนนฺติ วา พนฺธนฺติ วา ปพฺพาเชนฺติ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรนฺติฯ อปิ นุ ตุเมฺหหิ เอวรูปํ ทิฎฺฐํ วา สุตํ วา’’’ติ? ‘‘ทิฎฺฐญฺจ โน, ภเนฺต, สุตญฺจ สุยฺยิสฺสติ จา’’ติ ฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññatha, bhikkhave, api nu tumhehi diṭṭhaṃ vā sutaṃ vā – ‘ayaṃ puriso musāvādaṃ pahāya musāvādā paṭiviratoti. Tamenaṃ rājāno gahetvā musāvādā veramaṇihetu hananti vā bandhanti vā pabbājenti vā yathāpaccayaṃ vā karontī’’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’. ‘‘Sādhu, bhikkhave! Mayāpi kho etaṃ, bhikkhave, neva diṭṭhaṃ na sutaṃ – ‘ayaṃ puriso musāvādaṃ pahāya musāvādā paṭiviratoti. Tamenaṃ rājāno gahetvā musāvādā veramaṇihetu hananti vā bandhanti vā pabbājenti vā yathāpaccayaṃ vā karontī’ti. Api ca khvassa tatheva pāpakammaṃ pavedenti – ‘ayaṃ puriso gahapatissa vā gahapatiputtassa vā musāvādena atthaṃ pabhañjīti 14. Tamenaṃ rājāno gahetvā musāvādahetu hananti vā bandhanti vā pabbājenti vā yathāpaccayaṃ vā karonti. Api nu tumhehi evarūpaṃ diṭṭhaṃ vā sutaṃ vā’’’ti? ‘‘Diṭṭhañca no, bhante, sutañca suyyissati cā’’ti .
‘‘ตํ กิํ มญฺญถ, ภิกฺขเว, อปิ นุ ตุเมฺหหิ ทิฎฺฐํ วา สุตํ วา – ‘อยํ ปุริโส สุราเมรยมชฺชปมาทฎฺฐานํ ปหาย สุราเมรยมชฺชปมาทฎฺฐานา ปฎิวิรโตติฯ ตเมนํ ราชาโน คเหตฺวา สุราเมรยมชฺชปมาทฎฺฐานา เวรมณิเหตุ หนนฺติ วา พนฺธนฺติ วา ปพฺพาเชนฺติ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรนฺตี’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘สาธุ, ภิกฺขเว! มยาปิ โข เอตํ, ภิกฺขเว, เนว ทิฎฺฐํ น สุตํ – ‘อยํ ปุริโส สุราเมรยมชฺชปมาทฎฺฐานํ ปหาย สุราเมรยมชฺชปมาทฎฺฐานา ปฎิวิรโตติฯ ตเมนํ ราชาโน คเหตฺวา สุราเมรยมชฺชปมาทฎฺฐานา เวรมณิเหตุ หนนฺติ วา พนฺธนฺติ วา ปพฺพาเชนฺติ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรนฺตี’ติฯ อปิ จ ขฺวสฺส ตเถว ปาปกมฺมํ ปเวเทนฺติ – ‘อยํ ปุริโส สุราเมรยมชฺชปมาทฎฺฐานํ อนุยุโตฺต อิตฺถิํ วา ปุริสํ วา ชีวิตา โวโรเปสิ 15; อยํ ปุริโส สุราเมรยมชฺชปมาทฎฺฐานํ อนุยุโตฺต คามา วา อรญฺญา วา อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อาทิยิ 16; อยํ ปุริโส สุราเมรยมชฺชปมาทฎฺฐานํ อนุยุโตฺต ปริตฺถีสุ ปรกุมารีสุ จาริตฺตํ อาปชฺชิ 17; อยํ ปุริโส สุราเมรยมชฺชปมาทฎฺฐานํ อนุยุโตฺต คหปติสฺส วา คหปติปุตฺตสฺส วา มุสาวาเทน อตฺถํ ปภญฺชีติฯ ตเมนํ ราชาโน คเหตฺวา สุราเมรยมชฺชปมาทฎฺฐานเหตุ หนนฺติ วา พนฺธนฺติ วา ปพฺพาเชนฺติ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรนฺติฯ อปิ นุ ตุเมฺหหิ เอวรูปํ ทิฎฺฐํ วา สุตํ วา’’’ติ? ‘‘ทิฎฺฐญฺจ โน, ภเนฺต, สุตญฺจ สุยฺยิสฺสติ จา’’ติฯ อฎฺฐมํฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññatha, bhikkhave, api nu tumhehi diṭṭhaṃ vā sutaṃ vā – ‘ayaṃ puriso surāmerayamajjapamādaṭṭhānaṃ pahāya surāmerayamajjapamādaṭṭhānā paṭiviratoti. Tamenaṃ rājāno gahetvā surāmerayamajjapamādaṭṭhānā veramaṇihetu hananti vā bandhanti vā pabbājenti vā yathāpaccayaṃ vā karontī’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’. ‘‘Sādhu, bhikkhave! Mayāpi kho etaṃ, bhikkhave, neva diṭṭhaṃ na sutaṃ – ‘ayaṃ puriso surāmerayamajjapamādaṭṭhānaṃ pahāya surāmerayamajjapamādaṭṭhānā paṭiviratoti. Tamenaṃ rājāno gahetvā surāmerayamajjapamādaṭṭhānā veramaṇihetu hananti vā bandhanti vā pabbājenti vā yathāpaccayaṃ vā karontī’ti. Api ca khvassa tatheva pāpakammaṃ pavedenti – ‘ayaṃ puriso surāmerayamajjapamādaṭṭhānaṃ anuyutto itthiṃ vā purisaṃ vā jīvitā voropesi 18; ayaṃ puriso surāmerayamajjapamādaṭṭhānaṃ anuyutto gāmā vā araññā vā adinnaṃ theyyasaṅkhātaṃ ādiyi 19; ayaṃ puriso surāmerayamajjapamādaṭṭhānaṃ anuyutto paritthīsu parakumārīsu cārittaṃ āpajji 20; ayaṃ puriso surāmerayamajjapamādaṭṭhānaṃ anuyutto gahapatissa vā gahapatiputtassa vā musāvādena atthaṃ pabhañjīti. Tamenaṃ rājāno gahetvā surāmerayamajjapamādaṭṭhānahetu hananti vā bandhanti vā pabbājenti vā yathāpaccayaṃ vā karonti. Api nu tumhehi evarūpaṃ diṭṭhaṃ vā sutaṃ vā’’’ti? ‘‘Diṭṭhañca no, bhante, sutañca suyyissati cā’’ti. Aṭṭhamaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๘. ราชสุตฺตวณฺณนา • 8. Rājasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๗-๘. วณิชฺชาสุตฺตาทิวณฺณนา • 7-8. Vaṇijjāsuttādivaṇṇanā