Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อุทาน-อฎฺฐกถา • Udāna-aṭṭhakathā

    ๒. ราชสุตฺตวณฺณนา

    2. Rājasuttavaṇṇanā

    ๑๒. ทุติเย สมฺพหุลานนฺติ วินยปริยาเยน ตโย ชนา ‘‘สมฺพหุลา’’ติ วุจฺจนฺติ, ตโต ปรํ สโงฺฆฯ สุตฺตนฺตปริยาเยน ปน ตโย ตโย เอว, ตโต อุทฺธํ สมฺพหุลาฯ ตสฺมา อิธาปิ สุตฺตนฺตปริยาเยน สมฺพหุลาติ เวทิตพฺพาฯ อุปฎฺฐานสาลายนฺติ ธมฺมสภามณฺฑเปฯ สา หิ ธมฺมํ เทเสตุํ อาคตสฺส ตถาคตสฺส ภิกฺขูนํ อุปฎฺฐานกรณฎฺฐานนฺติ ‘‘อุปฎฺฐานสาลา’’ติ วุจฺจติฯ อถ วา ยตฺถ ภิกฺขู วินยํ วินิจฺฉินนฺติ, ธมฺมํ กเถนฺติ, สากจฺฉํ สมาปชฺชนฺติ, สนฺนิปตนวเสน ปกติยา อุปติฎฺฐนฺติ, สา สาลาปิ มณฺฑโปปิ ‘‘อุปฎฺฐานสาลา’’เตฺวว วุจฺจติฯ ตตฺถาปิ หิ พุทฺธาสนํ นิจฺจํ ปญฺญตฺตเมว โหติฯ อิทญฺหิ พุทฺธานํ ธรมานกาเล ภิกฺขูนํ จาริตฺตํฯ สนฺนิสินฺนานนฺติ นิสชฺชนวเสน สงฺคมฺม นิสินฺนานํฯ สนฺนิปติตานนฺติ ตโต ตโต อาคนฺตฺวา สนฺนิปตนวเสน สนฺนิปติตานํฯ อถ วา พุทฺธาสนํ ปุรโต กตฺวา สตฺถุ สมฺมุเข วิย อาทรุปฺปตฺติยา สกฺกจฺจํ นิสีทนวเสน สนฺนิสินฺนานํ, สมานชฺฌาสยตฺตา อญฺญมญฺญสฺมิํ อชฺฌาสเยน สุฎฺฐุ สมฺมา จ นิปตนวเสน สนฺนิปติตานํฯ อยนฺติ อิทานิ วุจฺจมานํ นิทฺทิสติฯ อนฺตรากถาติ กมฺมฎฺฐานมนสิการอุเทฺทสปริปุจฺฉาทีนํ อนฺตรา อญฺญา เอกา กถา, อถ วา มชฺฌนฺหิเก ลทฺธสฺส สุคโตวาทสฺส, สายํ ลภิตพฺพสฺส ธมฺมสฺสวนสฺส จ อนฺตรา ปวตฺตตฺตา อนฺตรากถา, สมณสมาจารเสฺสว วา อนฺตรา ปวตฺตา อญฺญา เอกา กถาติ อนฺตรากถาฯ อุทปาทีติ อุปฺปนฺนาฯ

    12. Dutiye sambahulānanti vinayapariyāyena tayo janā ‘‘sambahulā’’ti vuccanti, tato paraṃ saṅgho. Suttantapariyāyena pana tayo tayo eva, tato uddhaṃ sambahulā. Tasmā idhāpi suttantapariyāyena sambahulāti veditabbā. Upaṭṭhānasālāyanti dhammasabhāmaṇḍape. Sā hi dhammaṃ desetuṃ āgatassa tathāgatassa bhikkhūnaṃ upaṭṭhānakaraṇaṭṭhānanti ‘‘upaṭṭhānasālā’’ti vuccati. Atha vā yattha bhikkhū vinayaṃ vinicchinanti, dhammaṃ kathenti, sākacchaṃ samāpajjanti, sannipatanavasena pakatiyā upatiṭṭhanti, sā sālāpi maṇḍapopi ‘‘upaṭṭhānasālā’’tveva vuccati. Tatthāpi hi buddhāsanaṃ niccaṃ paññattameva hoti. Idañhi buddhānaṃ dharamānakāle bhikkhūnaṃ cārittaṃ. Sannisinnānanti nisajjanavasena saṅgamma nisinnānaṃ. Sannipatitānanti tato tato āgantvā sannipatanavasena sannipatitānaṃ. Atha vā buddhāsanaṃ purato katvā satthu sammukhe viya ādaruppattiyā sakkaccaṃ nisīdanavasena sannisinnānaṃ, samānajjhāsayattā aññamaññasmiṃ ajjhāsayena suṭṭhu sammā ca nipatanavasena sannipatitānaṃ. Ayanti idāni vuccamānaṃ niddisati. Antarākathāti kammaṭṭhānamanasikārauddesaparipucchādīnaṃ antarā aññā ekā kathā, atha vā majjhanhike laddhassa sugatovādassa, sāyaṃ labhitabbassa dhammassavanassa ca antarā pavattattā antarākathā, samaṇasamācārasseva vā antarā pavattā aññā ekā kathāti antarākathā. Udapādīti uppannā.

    อิเมสํ ทฺวินฺนํ ราชูนนฺติ นิทฺธารเณ สามิวจนํฯ มหทฺธนตโร วาติอาทีสุ ปถวิยํ นิขณิตฺวา ฐปิตํ สตฺตรตนนิจยสงฺขาตํ มหนฺตํ ธนํ เอตสฺสาติ มหทฺธโน, ทฺวีสุ อยํ อติสเยน มหทฺธโนติ มหทฺธนตโรฯ วาสโทฺท วิกปฺปโตฺถฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ อยํ ปน วิเสโส – นิจฺจปริพฺพยวเสน มหโนฺต โภโค เอตสฺสาติ มหาโภโคฯ เทวสิกํ ปวิสนอายภูโต มหโนฺต โกโส เอตสฺสาติ มหาโกโสฯ อปเร ปน ‘‘เทวสิกํ ปวิสนอายภูตํ มณิสารเผคฺคุคุมฺพาทิเภทภินฺนํ ปริคฺคหวตฺถุ ธนํ, ตเทว สารคพฺภาทีสุ นิหิตํ โกโส’’ติ วทนฺติฯ วชิโร, มหานีโล, อินฺทนีโล, มรกโต, เวฬุริโย, ปทุมราโค, ผุสฺสราโค, กเกฺกตโน, ปุลาโก, วิมโล, โลหิตโงฺก , ผลิโก, ปวาโฬ, โชติรโส, โคมุตฺตโก, โคเมทโก, โสคนฺธิโก, มุตฺตา, สโงฺข, อญฺชนมูโล, ราชปโฎฺฎ, อมตํสโก, ปิยโก, พฺราหฺมณี จาติ จตุพฺพีสติ มณิ นามฯ สตฺต โลหานิ กหาปโณ จ สาโร นามฯ สยนจฺฉาทนปาวุรณคชทนฺตสิลาทีนิ เผคฺคุ นามฯ จนฺทนาครุกุงฺกุมตครกปฺปูราทิ คุมฺพา นามฯ ตตฺถ ปุริเมน อาทิสเทฺทน สาลิวีหิอาทิมุคฺคมาสาทิปุพฺพณฺณาปรณฺณเภทํ ธญฺญวิกติํ อาทิํ กตฺวา ยํ สตฺตานํ อุปโภคปริโภคภูตํ วตฺถุ, ตํ สพฺพํ สงฺคยฺหติฯ มหนฺตํ วิชิตํ รฎฺฐํ เอตสฺสาติ มหาวิชิโตฯ มหโนฺต หตฺถิอสฺสาทิวาหโน เอตสฺสาติ มหาวาหโนฯ มหนฺตํ เสนาพลเญฺจว ถามพลญฺจ เอตสฺสาติ มหพฺพโลฯ อิจฺฉิตนิพฺพตฺติสงฺขาตา ปุญฺญกมฺมนิปฺผนฺนา มหตี อิทฺธิ เอตสฺสาติ มหิทฺธิโกฯ เตชสงฺขาโต อุสฺสาหมนฺตปภุสตฺติสงฺขาโต วา มหโนฺต อานุภาโว เอตสฺสาติ มหานุภาโว

    Imesaṃ dvinnaṃ rājūnanti niddhāraṇe sāmivacanaṃ. Mahaddhanataro vātiādīsu pathaviyaṃ nikhaṇitvā ṭhapitaṃ sattaratananicayasaṅkhātaṃ mahantaṃ dhanaṃ etassāti mahaddhano, dvīsu ayaṃ atisayena mahaddhanoti mahaddhanataro. Vāsaddo vikappattho. Sesapadesupi eseva nayo. Ayaṃ pana viseso – niccaparibbayavasena mahanto bhogo etassāti mahābhogo. Devasikaṃ pavisanaāyabhūto mahanto koso etassāti mahākoso. Apare pana ‘‘devasikaṃ pavisanaāyabhūtaṃ maṇisārapheggugumbādibhedabhinnaṃ pariggahavatthu dhanaṃ, tadeva sāragabbhādīsu nihitaṃ koso’’ti vadanti. Vajiro, mahānīlo, indanīlo, marakato, veḷuriyo, padumarāgo, phussarāgo, kakketano, pulāko, vimalo, lohitaṅko , phaliko, pavāḷo, jotiraso, gomuttako, gomedako, sogandhiko, muttā, saṅkho, añjanamūlo, rājapaṭṭo, amataṃsako, piyako, brāhmaṇī cāti catubbīsati maṇi nāma. Satta lohāni kahāpaṇo ca sāro nāma. Sayanacchādanapāvuraṇagajadantasilādīni pheggu nāma. Candanāgarukuṅkumatagarakappūrādi gumbā nāma. Tattha purimena ādisaddena sālivīhiādimuggamāsādipubbaṇṇāparaṇṇabhedaṃ dhaññavikatiṃ ādiṃ katvā yaṃ sattānaṃ upabhogaparibhogabhūtaṃ vatthu, taṃ sabbaṃ saṅgayhati. Mahantaṃ vijitaṃ raṭṭhaṃ etassāti mahāvijito. Mahanto hatthiassādivāhano etassāti mahāvāhano. Mahantaṃ senābalañceva thāmabalañca etassāti mahabbalo. Icchitanibbattisaṅkhātā puññakammanipphannā mahatī iddhi etassāti mahiddhiko. Tejasaṅkhāto ussāhamantapabhusattisaṅkhāto vā mahanto ānubhāvo etassāti mahānubhāvo.

    เอตฺถ จ ปฐเมน อายสมฺปทา, ทุติเยน วิตฺตูปกรณสมฺปทา, ตติเยน วิภวสมฺปทา, จตุเตฺถน ชนปทสมฺปทา, ปญฺจเมน ยานสมฺปทา, ฉเฎฺฐน ปริวารสมฺปทาย สทฺธิํ อตฺตสมฺปทา, สตฺตเมน ปุญฺญกมฺมสมฺปทา, อฎฺฐเมน ปภาวสมฺปทา เตสํ ราชูนํ ปกาสิตา โหติฯ เตน ยา สา สามิสมฺปตฺติ, อมจฺจสมฺปตฺติ, เสนาสมฺปตฺติ, รฎฺฐสมฺปตฺติ, วิภวสมฺปตฺติ, มิตฺตสมฺปตฺติ, ทุคฺคสมฺปตฺตีติ สตฺต ปกติสมฺปทา ราชูนํ อิจฺฉิตพฺพาฯ ตา สพฺพา ยถารหํ ปริทีปิตาติ เวทิตพฺพาฯ

    Ettha ca paṭhamena āyasampadā, dutiyena vittūpakaraṇasampadā, tatiyena vibhavasampadā, catutthena janapadasampadā, pañcamena yānasampadā, chaṭṭhena parivārasampadāya saddhiṃ attasampadā, sattamena puññakammasampadā, aṭṭhamena pabhāvasampadā tesaṃ rājūnaṃ pakāsitā hoti. Tena yā sā sāmisampatti, amaccasampatti, senāsampatti, raṭṭhasampatti, vibhavasampatti, mittasampatti, duggasampattīti satta pakatisampadā rājūnaṃ icchitabbā. Tā sabbā yathārahaṃ paridīpitāti veditabbā.

    ทานาทีหิ จตูหิ สงฺคหวตฺถูหิ ปริสํ รเญฺชตีติ ราชาฯ มคธานํ อิสฺสโรติ มาคโธฯ มหติยา เสนาย สมนฺนาคตตฺตา เสนิยโคตฺตตฺตา วา เสนิโยฯ พิมฺพิ วุจฺจติ สุวณฺณํ, ตสฺมา สารพิมฺพิวณฺณตาย พิมฺพิสาโรฯ เกจิ ปน ‘‘นามเมเวตํ ตสฺส รโญฺญ’’ติ วทนฺติฯ ปจฺจามิตฺตํ ปรเสนํ ชินาตีติ ปเสนทิฯ โกสลรฎฺฐสฺส อธิปตีติ โกสโลอยญฺจรหีติ เอตฺถ จรหีติ นิปาตมตฺตํฯ วิปฺปกตาติ อปริโยสิตาฯ อยํ เตสํ ภิกฺขูนํ อนฺตรากถา อนิฎฺฐิตาติ อโตฺถฯ

    Dānādīhi catūhi saṅgahavatthūhi parisaṃ rañjetīti rājā. Magadhānaṃ issaroti māgadho. Mahatiyā senāya samannāgatattā seniyagottattā vā seniyo. Bimbi vuccati suvaṇṇaṃ, tasmā sārabimbivaṇṇatāya bimbisāro. Keci pana ‘‘nāmamevetaṃ tassa rañño’’ti vadanti. Paccāmittaṃ parasenaṃ jinātīti pasenadi. Kosalaraṭṭhassa adhipatīti kosalo. Ayañcarahīti ettha carahīti nipātamattaṃ. Vippakatāti apariyositā. Ayaṃ tesaṃ bhikkhūnaṃ antarākathā aniṭṭhitāti attho.

    สายนฺหสมยนฺติ สายเนฺห เอกํ สมยํฯ ปฎิสลฺลานา วุฎฺฐิโตติ ตโต ตโต รูปาทิอารมฺมณโต จิตฺตสฺส ปฎิสํหรณโต ปฎิสลฺลานสงฺขาตาย ผลสมาปตฺติโต ยถากาลปริเจฺฉทํ วุฎฺฐิโตฯ ภควา หิ ปุพฺพณฺหสมยํ ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต สาวตฺถิํ ปวิสิตฺวา ภิกฺขูนํ สุลภปิณฺฑปาตํ กตฺวา กตภตฺตกิโจฺจ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ สาวตฺถิโต นิกฺขมิตฺวา วิหารํ ปวิสิตฺวา คนฺธกุฎิปฺปมุเข ฐตฺวา วตฺตํ ทเสฺสตฺวา ฐิตานํ ภิกฺขูนํ ยถาสมุฎฺฐิตํ สุคโตวาทํ ทตฺวา เตสุ อรญฺญรุกฺขมูลาทิทิวาฎฺฐานํ อุทฺทิสฺส คเตสุ คนฺธกุฎิํ ปวิสิตฺวา ผลสมาปตฺติสุเขน ทิวสภาคํ วีตินาเมตฺวา ยถากาลปริเจฺฉเท สมาปตฺติโต วุฎฺฐาย, ‘‘มยฺหํ อุปคมนํ อาคมยมานา จตโสฺส ปริสา สกลวิหารํ ปริปูเรนฺติโย นิสินฺนา, อิทานิ เม ธมฺมเทสนตฺถํ ธมฺมสภามณฺฑลํ อุปคนฺตุํ กาโล’’ติ อาสนโต วุฎฺฐาย, เกสรสีโห วิย กญฺจนคุหาย สุรภิคนฺธกุฎิโต นิกฺขมิตฺวา ยูถํ อุปสงฺกมโนฺต มตฺตวรวารโณ วิย อกายจาปเลฺลน จารุวิกฺกนฺตคมโน อสีติอนุพฺยญฺชนปฺปฎิมณฺฑิตพาตฺติํสมหาปุริสลกฺขณสมุชฺชลาย พฺยามปฺปภาย ปริเกฺขปวิลาสสมฺปนฺนาย ปภสฺสรเกตุมาลาลงฺกตาย นีลปีตโลหิโตทาตมญฺชิฎฺฐปภสฺสรานํ วเสน ฉพฺพณฺณพุทฺธรํสิโย วิสฺสเชฺชนฺติยา อจิเนฺตยฺยานุภาวาย อนุปมาย พุทฺธลีลาย สมนฺนาคตาย รูปกายสมฺปตฺติยา สกลวิหารํ เอกาโลกํ กุรุมาโน อุปฎฺฐานสาลํ อุปสงฺกมิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อถ โข ภควา…เป.… เตนุปสงฺกมี’’ติฯ

    Sāyanhasamayanti sāyanhe ekaṃ samayaṃ. Paṭisallānā vuṭṭhitoti tato tato rūpādiārammaṇato cittassa paṭisaṃharaṇato paṭisallānasaṅkhātāya phalasamāpattito yathākālaparicchedaṃ vuṭṭhito. Bhagavā hi pubbaṇhasamayaṃ bhikkhusaṅghaparivuto sāvatthiṃ pavisitvā bhikkhūnaṃ sulabhapiṇḍapātaṃ katvā katabhattakicco bhikkhūhi saddhiṃ sāvatthito nikkhamitvā vihāraṃ pavisitvā gandhakuṭippamukhe ṭhatvā vattaṃ dassetvā ṭhitānaṃ bhikkhūnaṃ yathāsamuṭṭhitaṃ sugatovādaṃ datvā tesu araññarukkhamūlādidivāṭṭhānaṃ uddissa gatesu gandhakuṭiṃ pavisitvā phalasamāpattisukhena divasabhāgaṃ vītināmetvā yathākālaparicchede samāpattito vuṭṭhāya, ‘‘mayhaṃ upagamanaṃ āgamayamānā catasso parisā sakalavihāraṃ paripūrentiyo nisinnā, idāni me dhammadesanatthaṃ dhammasabhāmaṇḍalaṃ upagantuṃ kālo’’ti āsanato vuṭṭhāya, kesarasīho viya kañcanaguhāya surabhigandhakuṭito nikkhamitvā yūthaṃ upasaṅkamanto mattavaravāraṇo viya akāyacāpallena cāruvikkantagamano asītianubyañjanappaṭimaṇḍitabāttiṃsamahāpurisalakkhaṇasamujjalāya byāmappabhāya parikkhepavilāsasampannāya pabhassaraketumālālaṅkatāya nīlapītalohitodātamañjiṭṭhapabhassarānaṃ vasena chabbaṇṇabuddharaṃsiyo vissajjentiyā acinteyyānubhāvāya anupamāya buddhalīlāya samannāgatāya rūpakāyasampattiyā sakalavihāraṃ ekālokaṃ kurumāno upaṭṭhānasālaṃ upasaṅkami. Tena vuttaṃ – ‘‘atha kho bhagavā…pe… tenupasaṅkamī’’ti.

    เอวํ อุปสงฺกมิตฺวา วตฺตํ ทเสฺสตฺวา นิสิเนฺน เต ภิกฺขู ตุณฺหีภูเต ทิสฺวา ‘‘มยิ อกเถเนฺต อิเม ภิกฺขู พุทฺธคารเวน กปฺปมฺปิ น กเถสฺสนฺตี’’ติ กถาสมุฎฺฐาปนตฺถํ ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ กาย นุตฺถาติ กตมาย นุ ภวถฯ ‘‘กาย โนตฺถา’’ติปิ ปาฬิ, โส เอวโตฺถ, ‘‘กาย เนฺวตฺถา’’ติปิ ปฐนฺติ, ตสฺส กตมาย นุ เอตฺถาติ อโตฺถฯ ตตฺรายํ สเงฺขปโตฺถ – ภิกฺขเว, กตมาย นาม กถาย อิธ สนฺนิสินฺนา ภวถ, กตมา จ ตุมฺหากํ กถา มมาคมนปจฺจยา อนิฎฺฐิตา, ตํ นิฎฺฐาเปสฺสามีติ เอวํ สพฺพญฺญุปวารณาย ปวาเรสิฯ

    Evaṃ upasaṅkamitvā vattaṃ dassetvā nisinne te bhikkhū tuṇhībhūte disvā ‘‘mayi akathente ime bhikkhū buddhagāravena kappampi na kathessantī’’ti kathāsamuṭṭhāpanatthaṃ ‘‘kāya nuttha, bhikkhave’’tiādimāha. Tattha kāya nutthāti katamāya nu bhavatha. ‘‘Kāya notthā’’tipi pāḷi, so evattho, ‘‘kāya nvetthā’’tipi paṭhanti, tassa katamāya nu etthāti attho. Tatrāyaṃ saṅkhepattho – bhikkhave, katamāya nāma kathāya idha sannisinnā bhavatha, katamā ca tumhākaṃ kathā mamāgamanapaccayā aniṭṭhitā, taṃ niṭṭhāpessāmīti evaṃ sabbaññupavāraṇāya pavāresi.

    น เขฺวตนฺติ น โข เอตํ, อยเมว วา ปาโฐฯ ‘‘น โขต’’นฺติปิ ปฐนฺติ, น โข เอตํ อิเจฺจว ปทวิภาโคฯ กุลปุตฺตานนฺติ ชาติอาจารกุลปุตฺตานํฯ สทฺธาติ สทฺธาย, กมฺมผลสทฺธาย รตนตฺตยสทฺธาย จฯ อคารสฺมาติ ฆรโต, คหฎฺฐภาวาติ อโตฺถฯ อนคาริยนฺติ ปพฺพชฺชํฯ ปพฺพชิตานนฺติ อุปคตานํ ฯ นฺติ กิริยาปรามสนํฯ ตตฺถายํ ปทโยชนา – ‘‘ภิกฺขเว, ตุเมฺห เนว ราชาภินีตา น โจราภินีตา น อิณฎฺฎา น ชีวิตปกตา ปพฺพชิตา, อถ โข สทฺธาย อคารโต นิกฺขมิตฺวา มม สาสเน ปพฺพชิตา, ตุเมฺห เอตรหิ เอวรูปิํ ราชปฺปฎิสํยุตฺตํ ติรจฺฉานกถํ กเถยฺยาถ, ยํ เอวรูปาย กถาย กถนํ, เอตํ ตุมฺหากํ น โข ปติรูปํ น ยุตฺตเมวา’’ติฯ

    Na khvetanti na kho etaṃ, ayameva vā pāṭho. ‘‘Na khota’’ntipi paṭhanti, na kho etaṃ icceva padavibhāgo. Kulaputtānanti jātiācārakulaputtānaṃ. Saddhāti saddhāya, kammaphalasaddhāya ratanattayasaddhāya ca. Agārasmāti gharato, gahaṭṭhabhāvāti attho. Anagāriyanti pabbajjaṃ. Pabbajitānanti upagatānaṃ . Yanti kiriyāparāmasanaṃ. Tatthāyaṃ padayojanā – ‘‘bhikkhave, tumhe neva rājābhinītā na corābhinītā na iṇaṭṭā na jīvitapakatā pabbajitā, atha kho saddhāya agārato nikkhamitvā mama sāsane pabbajitā, tumhe etarahi evarūpiṃ rājappaṭisaṃyuttaṃ tiracchānakathaṃ katheyyātha, yaṃ evarūpāya kathāya kathanaṃ, etaṃ tumhākaṃ na kho patirūpaṃ na yuttamevā’’ti.

    เอวํ สนฺนิปติตานํ ปพฺพชิตานํ อปฺปติรูปํ ปฎิกฺขิปิตฺวา อิทานิ เนสํ ปติรูปํ ปฎิปตฺติํ อนุชานโนฺต ‘‘สนฺนิปติตานํ โว, ภิกฺขเว, ทฺวยํ กรณียํ ธมฺมี วา กถา อริโย วา ตุณฺหีภาโว’’ติ อาหฯ ตตฺถ โวติ ตุมฺหากํฯ กรณียนฺติ หิ ปทํ อเปกฺขิตฺวา กตฺตริ สามิวจนเมตํ, ตสฺมา ตุเมฺหหีติ อโตฺถฯ ทฺวยํ กรณียนฺติ เทฺว กาตพฺพาฯ ธมฺมี กถาติ จตุสจฺจธมฺมโต อนเปตา กถา, ปวตฺตินิวตฺติปริทีปินี ธมฺมเทสนาติ อโตฺถฯ ทสกถาวตฺถุสงฺขาตาปิ หิ ธมฺมกถา ตเทกเทสา เอวาติฯ อริโยติ เอกนฺตหิตาวหตฺตา อริโย, วิสุโทฺธ อุตฺตโมติ วา อริโยฯ ตุณฺหีภาโวติ สมถวิปสฺสนาภาวนาภูตํ อกถนํฯ เกจิ ปน ‘‘วจีสงฺขารปฎิปกฺขภาวโต ทุติยชฺฌานํ อริโย ตุณฺหีภาโว’’ติ วทนฺติฯ อปเร ‘‘จตุตฺถชฺฌานํ อริโย ตุณฺหีภาโว’’ติ วทนฺติฯ อยํ ปเนตฺถ อโตฺถ – ‘‘ภิกฺขเว, จิตฺตวิเวกสฺส ปริพฺรูหนตฺถํ วิเวกฎฺฐกายา สุญฺญาคาเร วิหรนฺตา สเจ กทาจิ สนฺนิปตถ, เอวํ สนฺนิปติเตหิ ตุเมฺหหิ ‘อสฺสุตํ สาเวติ สุตํ วา ปริโยทเปตี’ติ วุตฺตนเยน อญฺญมญฺญสฺสูปการาย ขนฺธาทีนํ อนิจฺจตาทิปฎิสํยุตฺตา ธมฺมกถา วา ปวเตฺตตพฺพา, อญฺญมญฺญํ อพฺยาพาธนตฺถํ ฌานสมาปตฺติยา วา วิหริตพฺพ’’นฺติฯ

    Evaṃ sannipatitānaṃ pabbajitānaṃ appatirūpaṃ paṭikkhipitvā idāni nesaṃ patirūpaṃ paṭipattiṃ anujānanto ‘‘sannipatitānaṃ vo, bhikkhave, dvayaṃ karaṇīyaṃ dhammī vā kathā ariyo vā tuṇhībhāvo’’ti āha. Tattha voti tumhākaṃ. Karaṇīyanti hi padaṃ apekkhitvā kattari sāmivacanametaṃ, tasmā tumhehīti attho. Dvayaṃ karaṇīyanti dve kātabbā. Dhammī kathāti catusaccadhammato anapetā kathā, pavattinivattiparidīpinī dhammadesanāti attho. Dasakathāvatthusaṅkhātāpi hi dhammakathā tadekadesā evāti. Ariyoti ekantahitāvahattā ariyo, visuddho uttamoti vā ariyo. Tuṇhībhāvoti samathavipassanābhāvanābhūtaṃ akathanaṃ. Keci pana ‘‘vacīsaṅkhārapaṭipakkhabhāvato dutiyajjhānaṃ ariyo tuṇhībhāvo’’ti vadanti. Apare ‘‘catutthajjhānaṃ ariyo tuṇhībhāvo’’ti vadanti. Ayaṃ panettha attho – ‘‘bhikkhave, cittavivekassa paribrūhanatthaṃ vivekaṭṭhakāyā suññāgāre viharantā sace kadāci sannipatatha, evaṃ sannipatitehi tumhehi ‘assutaṃ sāveti sutaṃ vā pariyodapetī’ti vuttanayena aññamaññassūpakārāya khandhādīnaṃ aniccatādipaṭisaṃyuttā dhammakathā vā pavattetabbā, aññamaññaṃ abyābādhanatthaṃ jhānasamāpattiyā vā viharitabba’’nti.

    ตตฺถ ปุริเมน กรณียวจเนน อโนติณฺณานํ สาสเน โอตรณูปายํ ทเสฺสติ, ปจฺฉิเมน โอติณฺณานํ สํสารโต นิสฺสรณูปายํฯ ปุริเมน วา อาคมเวยฺยตฺติเย นิโยเชติ, ปจฺฉิเมน อธิคมเวยฺยตฺติเยฯ อถ วา ปุริเมน สมฺมาทิฎฺฐิยา ปฐมํ อุปฺปตฺติเหตุํ ทีเปติ, ทุติเยน ทุติยํฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Tattha purimena karaṇīyavacanena anotiṇṇānaṃ sāsane otaraṇūpāyaṃ dasseti, pacchimena otiṇṇānaṃ saṃsārato nissaraṇūpāyaṃ. Purimena vā āgamaveyyattiye niyojeti, pacchimena adhigamaveyyattiye. Atha vā purimena sammādiṭṭhiyā paṭhamaṃ uppattihetuṃ dīpeti, dutiyena dutiyaṃ. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘เทฺวเม, ภิกฺขเว, เหตู เทฺว ปจฺจยา สมฺมาทิฎฺฐิยา อุปฺปาทาย ปรโต จ โฆโส, ปจฺจตฺตญฺจ โยนิโส มนสิกาโร’’ติ (อ. นิ. ๒.๑๒๗)ฯ

    ‘‘Dveme, bhikkhave, hetū dve paccayā sammādiṭṭhiyā uppādāya parato ca ghoso, paccattañca yoniso manasikāro’’ti (a. ni. 2.127).

    ปุริเมน วา โลกิยสมฺมาทิฎฺฐิยา มูลการณํ วิภาเวติ, ปจฺฉิเมน โลกุตฺตรสมฺมาทิฎฺฐิยา มูลการณนฺติ เอวมาทินา เอตฺถ โยชนา เวทิตพฺพาฯ

    Purimena vā lokiyasammādiṭṭhiyā mūlakāraṇaṃ vibhāveti, pacchimena lokuttarasammādiṭṭhiyā mūlakāraṇanti evamādinā ettha yojanā veditabbā.

    เอตมตฺถํ วิทิตฺวาติ เตหิ ภิกฺขูหิ กิตฺติตกามสมฺปตฺติโต ฌานาทิสมฺปตฺติ สนฺตตรา เจว ปณีตตรา จาติ เอตมตฺถํ สพฺพาการโต วิทิตฺวาฯ อิมํ อุทานนฺติ อิมํ อริยวิหารสุขานุภาวทีปกํ อุทานํ อุทาเนสิฯ

    Etamatthaṃ viditvāti tehi bhikkhūhi kittitakāmasampattito jhānādisampatti santatarā ceva paṇītatarā cāti etamatthaṃ sabbākārato viditvā. Imaṃ udānanti imaṃ ariyavihārasukhānubhāvadīpakaṃ udānaṃ udānesi.

    ตตฺถ ยญฺจ กามสุขํ โลเกติ โลกสโทฺท ‘‘ขนฺธโลโก อายตนโลโก ธาตุโลโก’’ติอาทีสุ (มหานิ. ๓, ๗; จูฬนิ. อชิตมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๒) สงฺขาเรสุ อาคโตฯ

    Tattha yañca kāmasukhaṃ loketi lokasaddo ‘‘khandhaloko āyatanaloko dhātuloko’’tiādīsu (mahāni. 3, 7; cūḷani. ajitamāṇavapucchāniddesa 2) saṅkhāresu āgato.

    ‘‘ยาวตา จนฺทิมสูริยา ปริหรนฺติ,

    ‘‘Yāvatā candimasūriyā pariharanti,

    ทิสา ภนฺติ วิโรจนา;

    Disā bhanti virocanā;

    ตาว สหสฺสธา โลโก,

    Tāva sahassadhā loko,

    เอตฺถ เต วตฺตตี วโส’’ติฯ –

    Ettha te vattatī vaso’’ti. –

    อาทีสุ (ม. นิ. ๑.๕๐๓) โอกาเส อาคโตฯ ‘‘อทฺทสา โข ภควา พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกโนฺต’’ติอาทีสุ (มหาว. ๙; ม. นิ. ๑.๒๘๓) สเตฺตสุฯ อิธ ปน สตฺตโลเก โอกาสโลเก จ เวทิตโพฺพฯ ตสฺมา อวีจิโต ปฎฺฐาย อุปริ พฺรหฺมโลกโต เหฎฺฐา เอตสฺมิํ โลเก ยํ วตฺถุกาเม ปฎิจฺจ กิเลสกามวเสน อุปฺปชฺชนโต กามสหคตํ สุขํฯ ยญฺจิทํ ทิวิยํ สุขนฺติ ยญฺจ อิทํ ทิวิ ภวํ ทิพฺพวิหารวเสน จ ลทฺธพฺพํ พฺรหฺมานํ มนุสฺสานญฺจ รูปสมาปตฺติสุขํฯ ตณฺหกฺขยสุขสฺสาติ ยํ อาคมฺม ตณฺหา ขียติ, ตํ นิพฺพานํ อารมฺมณํ กตฺวา ตณฺหาย จ ปฎิปสฺสมฺภนวเสน ปวตฺตผลสมาปตฺติสุขํ ตณฺหกฺขยสุขํ นาม, ตสฺส ตณฺหกฺขยสุขสฺสฯ เอเตติ ลิงฺควิปลฺลาเสน นิเทฺทโส, เอตานิ สุขานีติ อโตฺถฯ เกจิ อุภยมฺปิ สุขสามเญฺญน คเหตฺวา ‘‘เอต’’นฺติ ปฐนฺติ, เตสํ ‘‘กลํ นาคฺฆตี’’ติ ปาเฐน ภวิตพฺพํฯ

    Ādīsu (ma. ni. 1.503) okāse āgato. ‘‘Addasā kho bhagavā buddhacakkhunā lokaṃ volokento’’tiādīsu (mahāva. 9; ma. ni. 1.283) sattesu. Idha pana sattaloke okāsaloke ca veditabbo. Tasmā avīcito paṭṭhāya upari brahmalokato heṭṭhā etasmiṃ loke yaṃ vatthukāme paṭicca kilesakāmavasena uppajjanato kāmasahagataṃ sukhaṃ. Yañcidaṃ diviyaṃ sukhanti yañca idaṃ divi bhavaṃ dibbavihāravasena ca laddhabbaṃ brahmānaṃ manussānañca rūpasamāpattisukhaṃ. Taṇhakkhayasukhassāti yaṃ āgamma taṇhā khīyati, taṃ nibbānaṃ ārammaṇaṃ katvā taṇhāya ca paṭipassambhanavasena pavattaphalasamāpattisukhaṃ taṇhakkhayasukhaṃ nāma, tassa taṇhakkhayasukhassa. Eteti liṅgavipallāsena niddeso, etāni sukhānīti attho. Keci ubhayampi sukhasāmaññena gahetvā ‘‘eta’’nti paṭhanti, tesaṃ ‘‘kalaṃ nāgghatī’’ti pāṭhena bhavitabbaṃ.

    โสฬสินฺติ โสฬสนฺนํ ปูรณิํฯ อยเญฺหตฺถ สเงฺขปโตฺถ – จกฺกวตฺติสุขํ อาทิํ กตฺวา สพฺพสฺมิํ มนุสฺสโลเก มนุสฺสสุขํ, นาคสุปณฺณาทิโลเก นาคาทีหิ อนุภวิตพฺพํ สุขํ, จาตุมหาราชิกาทิเทวโลเก ฉพฺพิธํ กามสุขนฺติ ยํ เอกาทสวิเธ กามโลเก อุปฺปชฺชนฺตํ กามสุขํ, ยญฺจ อิทํ รูปารูปเทเวสุ ทิพฺพวิหารภูเตสุ รูปารูปชฺฌาเนสุ จ อุปฺปนฺนตฺตา ‘‘ทิวิย’’นฺติ ลทฺธนามํ โลกิยชฺฌานสุขํ, สกลมฺปิ ตทุภยํ ตณฺหกฺขยสุขสงฺขาตํ ผลสมาปตฺติสุขํ โสฬส ภาเค กตฺวา ตโต เอกภาคํ โสฬสภาคคุเณ ลทฺธํ เอกภาคสงฺขาตํ กลํ น อคฺฆตีติฯ

    Soḷasinti soḷasannaṃ pūraṇiṃ. Ayañhettha saṅkhepattho – cakkavattisukhaṃ ādiṃ katvā sabbasmiṃ manussaloke manussasukhaṃ, nāgasupaṇṇādiloke nāgādīhi anubhavitabbaṃ sukhaṃ, cātumahārājikādidevaloke chabbidhaṃ kāmasukhanti yaṃ ekādasavidhe kāmaloke uppajjantaṃ kāmasukhaṃ, yañca idaṃ rūpārūpadevesu dibbavihārabhūtesu rūpārūpajjhānesu ca uppannattā ‘‘diviya’’nti laddhanāmaṃ lokiyajjhānasukhaṃ, sakalampi tadubhayaṃ taṇhakkhayasukhasaṅkhātaṃ phalasamāpattisukhaṃ soḷasa bhāge katvā tato ekabhāgaṃ soḷasabhāgaguṇe laddhaṃ ekabhāgasaṅkhātaṃ kalaṃ na agghatīti.

    อยญฺจ อตฺถวณฺณนา ผลสมาปตฺติสามเญฺญน วุตฺตาฯ ปาฬิยํ อวิเสเสน ตณฺหกฺขยสฺส อาคตตฺตา ปฐมผลสมาปตฺติสุขสฺสาปิ กลํ โลกิยํ น อคฺฆติ เอวฯ ตถา หิ วุตฺตํ –

    Ayañca atthavaṇṇanā phalasamāpattisāmaññena vuttā. Pāḷiyaṃ avisesena taṇhakkhayassa āgatattā paṭhamaphalasamāpattisukhassāpi kalaṃ lokiyaṃ na agghati eva. Tathā hi vuttaṃ –

    ‘‘ปถพฺยา เอกรเชฺชน, สคฺคสฺส คมเนน วา;

    ‘‘Pathabyā ekarajjena, saggassa gamanena vā;

    สพฺพโลกาธิปเจฺจน, โสตาปตฺติผลํ วร’’นฺติฯ (ธ. ป. ๑๗๘);

    Sabbalokādhipaccena, sotāpattiphalaṃ vara’’nti. (dha. pa. 178);

    โสตาปตฺติสํยุเตฺตปิ วุตฺตํ –

    Sotāpattisaṃyuttepi vuttaṃ –

    ‘‘กิญฺจาปิ, ภิกฺขเว, ราชา จกฺกวตฺตี จตุนฺนํ ทีปานํ อิสฺสริยาธิปจฺจํ รชฺชํ กาเรตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชติ เทวานํ ตาวติํสานํ สหพฺยตํ, โส ตตฺถ นนฺทเน วเน อจฺฉราสงฺฆปริวุโต ทิเพฺพหิ จ ปญฺจหิ กามคุเณหิ สมปฺปิโต สมงฺคีภูโต ปริจาเรติ, โส จตูหิ ธเมฺมหิ อสมนฺนาคโตฯ อถ โข โส อปริมุโตฺตว นิรยา, อปริมุโตฺต ติรจฺฉานโยนิยา, อปริมุโตฺต เปตฺติวิสยา, อปริมุโตฺต อปายทุคฺคติวินิปาตาฯ กิญฺจาปิ, ภิกฺขเว, อริยสาวโก ปิณฺฑิยาโลเปน ยาเปติ, นนฺตกานิ จ ธาเรติ, โส จตูหิ ธเมฺมหิ สมนฺนาคโต, อถ โข โส ปริมุโตฺต นิรยา, ปริมุโตฺต ติรจฺฉานโยนิยา, ปริมุโตฺต เปตฺติวิสยา, ปริมุโตฺต อปายทุคฺคติวินิปาตาฯ

    ‘‘Kiñcāpi, bhikkhave, rājā cakkavattī catunnaṃ dīpānaṃ issariyādhipaccaṃ rajjaṃ kāretvā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjati devānaṃ tāvatiṃsānaṃ sahabyataṃ, so tattha nandane vane accharāsaṅghaparivuto dibbehi ca pañcahi kāmaguṇehi samappito samaṅgībhūto paricāreti, so catūhi dhammehi asamannāgato. Atha kho so aparimuttova nirayā, aparimutto tiracchānayoniyā, aparimutto pettivisayā, aparimutto apāyaduggativinipātā. Kiñcāpi, bhikkhave, ariyasāvako piṇḍiyālopena yāpeti, nantakāni ca dhāreti, so catūhi dhammehi samannāgato, atha kho so parimutto nirayā, parimutto tiracchānayoniyā, parimutto pettivisayā, parimutto apāyaduggativinipātā.

    ‘‘กตเมหิ จตูหิ? อิธ, ภิกฺขเว, อริยสาวโก พุเทฺธ อเวจฺจปฺปสาเทน สมนฺนาคโต โหติ ‘อิติปิ โส ภควา อรหํ…เป... พุโทฺธ ภควา’ติฯ ธเมฺม อเวจฺจปฺปสาเทน…เป.… วิญฺญูหี’ติฯ สเงฺฆ อเวจฺจปฺปสาเทน…เป.… ปุญฺญเกฺขตฺตํ โลกสฺสา’ติฯ อริยกเนฺตหิ สีเลหิ สมนฺนาคโต โหติ อขเณฺฑหิ…เป.… สมาธิสํวตฺตนิเกหิฯ อิเมหิ จตูหิ ธเมฺมหิ สมนฺนาคโต โหติฯ โย จ, ภิกฺขเว, จตุนฺนํ ทีปานํ ปฎิลาโภ, โย จตุนฺนํ ธมฺมานํ ปฎิลาโภ, จตุนฺนํ ทีปานํ ปฎิลาโภ จตุนฺนํ ธมฺมานํ ปฎิลาภสฺส กลํ นาคฺฆติ โสฬสิ’’นฺติ (สํ. นิ. ๕.๙๙๗)ฯ

    ‘‘Katamehi catūhi? Idha, bhikkhave, ariyasāvako buddhe aveccappasādena samannāgato hoti ‘itipi so bhagavā arahaṃ…pe... buddho bhagavā’ti. Dhamme aveccappasādena…pe… viññūhī’ti. Saṅghe aveccappasādena…pe… puññakkhettaṃ lokassā’ti. Ariyakantehi sīlehi samannāgato hoti akhaṇḍehi…pe… samādhisaṃvattanikehi. Imehi catūhi dhammehi samannāgato hoti. Yo ca, bhikkhave, catunnaṃ dīpānaṃ paṭilābho, yo catunnaṃ dhammānaṃ paṭilābho, catunnaṃ dīpānaṃ paṭilābho catunnaṃ dhammānaṃ paṭilābhassa kalaṃ nāgghati soḷasi’’nti (saṃ. ni. 5.997).

    เอวํ ภควา สพฺพตฺถ โลกิยสุขํ สอุตฺตรํ สาติสยํ, โลกุตฺตรสุขเมว อนุตฺตรนฺติ อติสยนฺติ ภาเชสีติฯ

    Evaṃ bhagavā sabbattha lokiyasukhaṃ sauttaraṃ sātisayaṃ, lokuttarasukhameva anuttaranti atisayanti bhājesīti.

    ทุติยสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Dutiyasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อุทานปาฬิ • Udānapāḷi / ๒. ราชสุตฺตํ • 2. Rājasuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact