Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / พุทฺธวํส-อฎฺฐกถา • Buddhavaṃsa-aṭṭhakathā

    ฯ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ

    Namo tassa bhagavato arahato sammāsambuddhassa

    ขุทฺทกนิกาเย

    Khuddakanikāye

    พุทฺธวํส-อฎฺฐกถา

    Buddhavaṃsa-aṭṭhakathā

    คนฺถารมฺภกถา

    Ganthārambhakathā

    อนนฺตญาณํ กรุณาลยํ ลยํ, มลสฺส พุทฺธํ สุสมาหิตํ หิตํ;

    Anantañāṇaṃ karuṇālayaṃ layaṃ, malassa buddhaṃ susamāhitaṃ hitaṃ;

    นมามิ ธมฺมํ ภวสํวรํ วรํ, คุณากรเญฺจว นิรงฺคณํ คณํ

    Namāmi dhammaṃ bhavasaṃvaraṃ varaṃ, guṇākarañceva niraṅgaṇaṃ gaṇaṃ.

    ปญฺญาย เสโฎฺฐ ชินสาวกานํ, ยํ ธมฺมเสนาปติ ธมฺมราชํ;

    Paññāya seṭṭho jinasāvakānaṃ, yaṃ dhammasenāpati dhammarājaṃ;

    อปุจฺฉิ สตฺถารมปารปารคุํ, นิรงฺคณํ ญาติคณสฺส มเชฺฌฯ

    Apucchi satthāramapārapāraguṃ, niraṅgaṇaṃ ñātigaṇassa majjhe.

    สุพุทฺธวํเสนิธ พุทฺธวํโส, วิสุทฺธวํเสน วินายเกน;

    Subuddhavaṃsenidha buddhavaṃso, visuddhavaṃsena vināyakena;

    หตาวกาเสน ปกาสิโต โย, สมาธิวาเสน ตถาคเตนฯ

    Hatāvakāsena pakāsito yo, samādhivāsena tathāgatena.

    ยาวชฺชกาลา อวินาสยนฺตา, ปาฬิกฺกมเญฺจว จ ปาฬิยตฺถํ;

    Yāvajjakālā avināsayantā, pāḷikkamañceva ca pāḷiyatthaṃ;

    กถานุสนฺธิํ สุคตสฺส ปุตฺตา, ยถาสุตํเยว สมาหริํสุฯ

    Kathānusandhiṃ sugatassa puttā, yathāsutaṃyeva samāhariṃsu.

    ตเสฺสว สมฺพุทฺธวรนฺวยสฺส, สทา ชนานํ สวนามตสฺส;

    Tasseva sambuddhavaranvayassa, sadā janānaṃ savanāmatassa;

    ปสาทปญฺญาชนนสฺส ยสฺมา, สํวณฺณนานุกฺกมโต ปวตฺตาฯ

    Pasādapaññājananassa yasmā, saṃvaṇṇanānukkamato pavattā.

    สกฺกจฺจสทฺธมฺมรเตน พุทฺธสีเหน สีลาทิคุโณทิเตน;

    Sakkaccasaddhammaratena buddhasīhena sīlādiguṇoditena;

    อายาจิโตหํ สุจิรมฺปิ กาลํ, ตสฺมาสฺส สํวณฺณนมารภิสฺสํฯ

    Āyācitohaṃ sucirampi kālaṃ, tasmāssa saṃvaṇṇanamārabhissaṃ.

    สทา ชนานํ กลินาสนสฺส, จิรฎฺฐิตตฺถํ ชินสาสนสฺส;

    Sadā janānaṃ kalināsanassa, ciraṭṭhitatthaṃ jinasāsanassa;

    มมาปิ ปุโญฺญทยวุทฺธิยตฺถํ, ปสาทนตฺถญฺจ มหาชนสฺสฯ

    Mamāpi puññodayavuddhiyatthaṃ, pasādanatthañca mahājanassa.

    มหาวิหาราคตปาฬิมคฺคสนฺนิสฺสิตา สงฺกรโทสหีนา;

    Mahāvihārāgatapāḷimaggasannissitā saṅkaradosahīnā;

    สมาสโตยํ ปน พุทฺธวํสสํวณฺณนา เหสฺสติ สารภูตาฯ

    Samāsatoyaṃ pana buddhavaṃsasaṃvaṇṇanā hessati sārabhūtā.

    โสตพฺพรูปํ ปน พุทฺธวํสกถาย อญฺญํ อิธ นตฺถิ ยสฺมา;

    Sotabbarūpaṃ pana buddhavaṃsakathāya aññaṃ idha natthi yasmā;

    ปสาทนํ พุทฺธคุเณ รตานํ, ปวาหนํ ปาปมหามลสฺสฯ

    Pasādanaṃ buddhaguṇe ratānaṃ, pavāhanaṃ pāpamahāmalassa.

    ตสฺมา หิ สกฺกจฺจสมาธิยุตฺตา, วิหาย วิเกฺขปมนญฺญจิตฺตา;

    Tasmā hi sakkaccasamādhiyuttā, vihāya vikkhepamanaññacittā;

    สํวณฺณนํ วณฺณยโต สุวณฺณํ, นิธาย กณฺณํ มธุรํ สุณาถฯ

    Saṃvaṇṇanaṃ vaṇṇayato suvaṇṇaṃ, nidhāya kaṇṇaṃ madhuraṃ suṇātha.

    สพฺพมฺปิ หิตฺวา ปน กิจฺจมญฺญํ, สกฺกจฺจ มเจฺจนิธ นิจฺจกาลํ;

    Sabbampi hitvā pana kiccamaññaṃ, sakkacca maccenidha niccakālaṃ;

    โสตุํ กเถตุมฺปิ พุเธน ยุตฺตา, กถา ปนายํ อติทุลฺลภาติฯ

    Sotuṃ kathetumpi budhena yuttā, kathā panāyaṃ atidullabhāti.

    ตตฺถ ‘‘พุทฺธวํสสํวณฺณนา เหสฺสติ สารภูตา’’ติ วุตฺตตฺตา พุทฺธวํโส ตาว ววตฺถเปตโพฺพฯ ตตฺริทํ ววตฺถานํ – อิโต เหฎฺฐา กปฺปสตสหสฺสาธิเกสุ จตูสุ อสเงฺขฺยเยฺยสุ อุปฺปนฺนานํ ปญฺจวีสติยา พุทฺธานํ อุปฺปนฺนกปฺปาทิปริเจฺฉทวเสน ปเวณิวิตฺถารกถา ‘‘พุทฺธวํโส นามา’’ติ เวทิตโพฺพฯ

    Tattha ‘‘buddhavaṃsasaṃvaṇṇanā hessati sārabhūtā’’ti vuttattā buddhavaṃso tāva vavatthapetabbo. Tatridaṃ vavatthānaṃ – ito heṭṭhā kappasatasahassādhikesu catūsu asaṅkhyeyyesu uppannānaṃ pañcavīsatiyā buddhānaṃ uppannakappādiparicchedavasena paveṇivitthārakathā ‘‘buddhavaṃso nāmā’’ti veditabbo.

    สฺวายํ กปฺปปริเจฺฉโท นามปริเจฺฉโท โคตฺตปริเจฺฉโท ชาติปริเจฺฉโท นครปริเจฺฉโท ปิตุปริเจฺฉโท มาตุปริเจฺฉโท โพธิรุกฺขปริเจฺฉโท ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนปริเจฺฉโท อภิสมยปริเจฺฉโท สาวกสนฺนิปาตปริเจฺฉโท อคฺคสาวกปริเจฺฉโท อุปฎฺฐากปริเจฺฉโท อคฺคสาวิกาปริเจฺฉโท ปริวารภิกฺขุปริเจฺฉโท รํสิปริเจฺฉโท สรีรปฺปมาณปริเจฺฉโท โพธิสตฺตาธิการปริเจฺฉโท พฺยากรณปริเจฺฉโท โพธิสตฺตปธานปริเจฺฉโท อายุปริเจฺฉโท ปรินิพฺพานปริเจฺฉโทติ อิเมหิ ปาฬิยา อาคเตหิ พาวีสติยา ปริเจฺฉเทหิ ปริจฺฉิโนฺน ววตฺถิโตฯ

    Svāyaṃ kappaparicchedo nāmaparicchedo gottaparicchedo jātiparicchedo nagaraparicchedo pituparicchedo mātuparicchedo bodhirukkhaparicchedo dhammacakkappavattanaparicchedo abhisamayaparicchedo sāvakasannipātaparicchedo aggasāvakaparicchedo upaṭṭhākaparicchedo aggasāvikāparicchedo parivārabhikkhuparicchedo raṃsiparicchedo sarīrappamāṇaparicchedo bodhisattādhikāraparicchedo byākaraṇaparicchedo bodhisattapadhānaparicchedo āyuparicchedo parinibbānaparicchedoti imehi pāḷiyā āgatehi bāvīsatiyā paricchedehi paricchinno vavatthito.

    ปาฬิอนารุโฬฺห ปน สมฺพหุลวาโรเปตฺถ อาเนตโพฺพฯ โส อคารวาสปริเจฺฉโท ปาสาทตฺตยปริเจฺฉโท นาฎกิตฺถิปริเจฺฉโท อคฺคมเหสิปริเจฺฉโท ปุตฺตปริเจฺฉโท ยานปริเจฺฉโท อภินิกฺขมนปริเจฺฉโท ปธานปริเจฺฉโท อุปฎฺฐากปริเจฺฉโท วิหารปริเจฺฉโทติ ทสธา ววตฺถิโต โหติฯ

    Pāḷianāruḷho pana sambahulavāropettha ānetabbo. So agāravāsaparicchedo pāsādattayaparicchedo nāṭakitthiparicchedo aggamahesiparicchedo puttaparicchedo yānaparicchedo abhinikkhamanaparicchedo padhānaparicchedo upaṭṭhākaparicchedo vihāraparicchedoti dasadhā vavatthito hoti.

    ตํ สมฺพหุลวารมฺปิ, ยถาฎฺฐาเน มยํ ปน;

    Taṃ sambahulavārampi, yathāṭṭhāne mayaṃ pana;

    ทเสฺสตฺวาว คมิสฺสาม, ตตฺถ ตตฺถ สมาสโตฯ

    Dassetvāva gamissāma, tattha tattha samāsato.

    โส เอวํ ววตฺถิโต ปน –

    So evaṃ vavatthito pana –

    เกนายํ เทสิโต กตฺถ, กสฺสตฺถาย จ เทสิโต;

    Kenāyaṃ desito kattha, kassatthāya ca desito;

    กิมตฺถาย กทา กสฺส, วจนํ เกน จาภโตฯ

    Kimatthāya kadā kassa, vacanaṃ kena cābhato.

    สพฺพเมตํ วิธิํ วตฺวา, ปุพฺพเมว สมาสโต;

    Sabbametaṃ vidhiṃ vatvā, pubbameva samāsato;

    ปจฺฉาหํ พุทฺธวํสสฺส, กริสฺสามตฺถวณฺณนนฺติฯ

    Pacchāhaṃ buddhavaṃsassa, karissāmatthavaṇṇananti.

    ตตฺถ เกนายํ เทสิโตติ อยํ พุทฺธวํโส เกน เทสิโต? สพฺพธเมฺมสุ อปฺปฎิหตญาณจาเรน ทสพเลน จตุเวสารชฺชวิสารเทน ธมฺมราเชน ธมฺมสฺสามินา ตถาคเตน สพฺพญฺญุนา สมฺมาสมฺพุเทฺธน เทสิโตฯ

    Tattha kenāyaṃ desitoti ayaṃ buddhavaṃso kena desito? Sabbadhammesu appaṭihatañāṇacārena dasabalena catuvesārajjavisāradena dhammarājena dhammassāminā tathāgatena sabbaññunā sammāsambuddhena desito.

    กตฺถ เทสิโตติ? กปิลวตฺถุมหานคเร นิโคฺรธารามมหาวิหาเร ปรมรุจิรสนฺทสฺสเน เทวมนุสฺสนยนนิปาตภูเต รตนจงฺกเม จงฺกมเนฺตน เทสิโตฯ

    Kattha desitoti? Kapilavatthumahānagare nigrodhārāmamahāvihāre paramarucirasandassane devamanussanayananipātabhūte ratanacaṅkame caṅkamantena desito.

    กสฺสตฺถาย จ เทสิโตติ? ทฺวาสีติยา ญาติสหสฺสานํ อเนกโกฎีนญฺจ เทวมนุสฺสานํ อตฺถาย เทสิโตฯ

    Kassatthāyaca desitoti? Dvāsītiyā ñātisahassānaṃ anekakoṭīnañca devamanussānaṃ atthāya desito.

    กิมตฺถาย เทสิโตติ? จตุโรฆนิตฺถรณตฺถาย เทสิโตฯ

    Kimatthāya desitoti? Caturoghanittharaṇatthāya desito.

    กทา เทสิโตติ ภควา หิ ปฐมโพธิยํ วีสติวสฺสานิ อนิพทฺธวาโส หุตฺวา ยตฺถ ยตฺถ ผาสุกํ โหติ, ตตฺถ ตเตฺถว คนฺตฺวา วสิฯ กถํ? ปฐมํ วสฺสํ อิสิปตเน ธมฺมจกฺกํ (สํ. นิ. ๕.๑๐๘๑; มหาว. ๑๓ อาทโย; ปฎิ. ม. ๒.๓๐) ปวเตฺตตฺวา อฎฺฐารส พฺรหฺมโกฎิโย อมตปานํ ปาเยตฺวา พาราณสิํ อุปนิสฺสาย อิสิปตเน มิคทาเย วสิฯ ทุติยํ วสฺสํ ราชคหํ อุปนิสฺสาย เวฬุวเน มหาวิหาเรฯ ตติยจตุตฺถานิปิ ตเตฺถวฯ ปญฺจมํ เวสาลิํ อุปนิสฺสาย มหาวเน กูฎาคารสาลายํฯ ฉฎฺฐํ มกุลปพฺพเตฯ สตฺตมํ ตาวติํสภวเนฯ อฎฺฐมํ ภเคฺคสุ สํสุมารคิริํ อุปนิสฺสาย เภสกฬาวเนฯ นวมํ โกสมฺพิยํฯ ทสมํ ปาลิเลยฺยกวนสเณฺฑฯ เอกาทสมํ นาฬายํ พฺราหฺมณคาเมฯ ทฺวาทสมํ เวรญฺชายํฯ เตรสมํ จาลิยปพฺพเตฯ จุทฺทสมํ เชตวนมหาวิหาเรฯ ปญฺจทสมํ กปิลวตฺถุมหานคเรฯ โสฬสมํ อาฬวกํ ทเมตฺวา จตุราสีติปาณสหสฺสานิ อมตปานํ ปาเยตฺวา อาฬวิยํฯ สตฺตรสมํ ราชคเหเยวฯ อฎฺฐารสมํ จาลิยปพฺพเตเยวฯ ตถา เอกูนวีสติมํ วีสติมํ ปน วสฺสํ ราชคเหเยว วสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ภควา หิ ปฐมโพธิยํ วีสติวสฺสานิ อนิพทฺธวาโส หุตฺวา ยตฺถ ยตฺถ ผาสุกํ โหติ, ตตฺถ ตเตฺถว คนฺตฺวา วสี’’ติฯ ตโต ปฎฺฐาย ปน สาวตฺถิํเยว อุปนิสฺสาย เชตวนมหาวิหาเร จ ปุพฺพาราเม จ ธุวปริโภควเสน วสิฯ

    Kadā desitoti bhagavā hi paṭhamabodhiyaṃ vīsativassāni anibaddhavāso hutvā yattha yattha phāsukaṃ hoti, tattha tattheva gantvā vasi. Kathaṃ? Paṭhamaṃ vassaṃ isipatane dhammacakkaṃ (saṃ. ni. 5.1081; mahāva. 13 ādayo; paṭi. ma. 2.30) pavattetvā aṭṭhārasa brahmakoṭiyo amatapānaṃ pāyetvā bārāṇasiṃ upanissāya isipatane migadāye vasi. Dutiyaṃ vassaṃ rājagahaṃ upanissāya veḷuvane mahāvihāre. Tatiyacatutthānipi tattheva. Pañcamaṃ vesāliṃ upanissāya mahāvane kūṭāgārasālāyaṃ. Chaṭṭhaṃ makulapabbate. Sattamaṃ tāvatiṃsabhavane. Aṭṭhamaṃ bhaggesu saṃsumāragiriṃ upanissāya bhesakaḷāvane. Navamaṃ kosambiyaṃ. Dasamaṃ pālileyyakavanasaṇḍe. Ekādasamaṃ nāḷāyaṃ brāhmaṇagāme. Dvādasamaṃ verañjāyaṃ. Terasamaṃ cāliyapabbate. Cuddasamaṃ jetavanamahāvihāre. Pañcadasamaṃ kapilavatthumahānagare. Soḷasamaṃ āḷavakaṃ dametvā caturāsītipāṇasahassāni amatapānaṃ pāyetvā āḷaviyaṃ. Sattarasamaṃ rājagaheyeva. Aṭṭhārasamaṃ cāliyapabbateyeva. Tathā ekūnavīsatimaṃ vīsatimaṃ pana vassaṃ rājagaheyeva vasi. Tena vuttaṃ – ‘‘bhagavā hi paṭhamabodhiyaṃ vīsativassāni anibaddhavāso hutvā yattha yattha phāsukaṃ hoti, tattha tattheva gantvā vasī’’ti. Tato paṭṭhāya pana sāvatthiṃyeva upanissāya jetavanamahāvihāre ca pubbārāme ca dhuvaparibhogavasena vasi.

    ยทา ปน สตฺถา พุโทฺธ หุตฺวา พาราณสิยํ อิสิปตเน มิคทาเย ปฐมํ วสฺสํ วสิตฺวา วุฎฺฐวโสฺส ปวาเรตฺวา อุรุเวลํ คนฺตฺวา ตตฺถ ตโย มาเส วสโนฺต เตภาติกชฎิเล ทเมตฺวา ภิกฺขุสหเสฺสหิ กตปริวาโร ผุสฺสมาสปุณฺณมายํ ราชคหํ คนฺตฺวา เทฺว มาเส ตเตฺถว วสิ, ตทา พาราณสิโต นิกฺขนฺตสฺส ปนสฺส ปญฺจ มาสา ชาตาฯ สกโล เหมโนฺต อติกฺกโนฺตฯ อุทายิเตฺถรสฺส อาคตทิวสโต สตฺตฎฺฐทิวสา วีติวตฺตาฯ โส ปน ผคฺคุนีปุณฺณมาสิยํ จิเนฺตสิ – ‘‘อติกฺกโนฺต เหมโนฺต, วสนฺตกาโล อนุปฺปโตฺต, สมโย ตถาคตสฺส กปิลปุรํ คนฺตุ’’นฺติฯ โส เอวํ จิเนฺตตฺวา กุลนครคมนตฺถาย สฎฺฐิมตฺตาหิ คาถาหิ คมนวณฺณํ วเณฺณสิฯ อถ สตฺถา จสฺส วจนํ สุตฺวา ญาติสงฺคหํ กาตุกาโม หุตฺวา องฺคมคธวาสีนํ กุลปุตฺตานํ ทสหิ สหเสฺสหิ กปิลวตฺถุวาสีนํ ทสหิ สหเสฺสหีติ สเพฺพเหว วีสติยา ขีณาสวสหเสฺสหิ ปริวุโต ราชคหโต นิกฺขมิตฺวา ทิวเส ทิวเส โยชนํ คจฺฉโนฺต ราชคหโต สฎฺฐิโยชนํ กปิลวตฺถุปุรํ ทฺวีหิ มาเสหิ สมฺปาปุณิตฺวา ตตฺถ ญาตีนํ วนฺทาปนตฺถํ ยมกปาฎิหาริยํ อกาสิฯ ตทายํ พุทฺธวํโส เทสิโตฯ

    Yadā pana satthā buddho hutvā bārāṇasiyaṃ isipatane migadāye paṭhamaṃ vassaṃ vasitvā vuṭṭhavasso pavāretvā uruvelaṃ gantvā tattha tayo māse vasanto tebhātikajaṭile dametvā bhikkhusahassehi kataparivāro phussamāsapuṇṇamāyaṃ rājagahaṃ gantvā dve māse tattheva vasi, tadā bārāṇasito nikkhantassa panassa pañca māsā jātā. Sakalo hemanto atikkanto. Udāyittherassa āgatadivasato sattaṭṭhadivasā vītivattā. So pana phaggunīpuṇṇamāsiyaṃ cintesi – ‘‘atikkanto hemanto, vasantakālo anuppatto, samayo tathāgatassa kapilapuraṃ gantu’’nti. So evaṃ cintetvā kulanagaragamanatthāya saṭṭhimattāhi gāthāhi gamanavaṇṇaṃ vaṇṇesi. Atha satthā cassa vacanaṃ sutvā ñātisaṅgahaṃ kātukāmo hutvā aṅgamagadhavāsīnaṃ kulaputtānaṃ dasahi sahassehi kapilavatthuvāsīnaṃ dasahi sahassehīti sabbeheva vīsatiyā khīṇāsavasahassehi parivuto rājagahato nikkhamitvā divase divase yojanaṃ gacchanto rājagahato saṭṭhiyojanaṃ kapilavatthupuraṃ dvīhi māsehi sampāpuṇitvā tattha ñātīnaṃ vandāpanatthaṃ yamakapāṭihāriyaṃ akāsi. Tadāyaṃ buddhavaṃso desito.

    กสฺส วจนนฺติ? สาวกปเจฺจกพุทฺธานํ อสาธารณํ สมฺมาสมฺพุทฺธเสฺสว วจนํฯ

    Kassa vacananti? Sāvakapaccekabuddhānaṃ asādhāraṇaṃ sammāsambuddhasseva vacanaṃ.

    เกนาภโตติ? อาจริยปรมฺปราย อาภโตฯ อยญฺหิ สาริปุตฺตเตฺถโร ภทฺทชี ติโสฺส โกสิยปุโตฺต สิคฺคโว โมคฺคลิปุโตฺต สุทโตฺต ธมฺมิโก ทาสโก โสณโก เรวโตติ เอวมาทีหิ ยาว ตติยสงฺคีติกาลา อาภโต, ตโต อุทฺธมฺปิ เตสํเยว สิสฺสานุสิเสฺสหีติ เอวํ ตาว อาจริยปรมฺปราย ยาวชฺชกาลา อาภโตติ เวทิตโพฺพฯ

    Kenābhatoti? Ācariyaparamparāya ābhato. Ayañhi sāriputtatthero bhaddajī tisso kosiyaputto siggavo moggaliputto sudatto dhammiko dāsako soṇako revatoti evamādīhi yāva tatiyasaṅgītikālā ābhato, tato uddhampi tesaṃyeva sissānusissehīti evaṃ tāva ācariyaparamparāya yāvajjakālā ābhatoti veditabbo.

    เอตฺตาวตา –

    Ettāvatā –

    ‘‘เกนายํ เทสิโต กตฺถ, กสฺสตฺถาย จ เทสิโต;

    ‘‘Kenāyaṃ desito kattha, kassatthāya ca desito;

    กิมตฺถาย กทา กสฺส, วจนํ เกน จาภโต’’ติฯ –

    Kimatthāya kadā kassa, vacanaṃ kena cābhato’’ti. –

    อยํ คาถา วุตฺตตฺถา โหติฯ

    Ayaṃ gāthā vuttatthā hoti.

    นิทานกถา

    Nidānakathā

    พาหิรนิทานํ

    Bāhiranidānaṃ

    เอวํ อาภตสฺส ปนสฺส อิทานิ อตฺถวณฺณนา โหติ, สา ปนายํ อตฺถวณฺณนา ยสฺมา ทูเรนิทานํ อวิทูเรนิทานํ สนฺติเกนิทานนฺติ, อิมานิ ตีณิ นิทานานิ ทเสฺสตฺวาว วณฺณิตา สุวณฺณิตา นาม โหติฯ เย จ นํ สุณนฺติ, เตหิ สมุทาคมโต ปฎฺฐาย วิญฺญาตตฺตา สุวิญฺญาตาว โหติ, ตสฺมา ตานิ นิทานานิ ทเสฺสตฺวาว วณฺณยิสฺสามฯ

    Evaṃ ābhatassa panassa idāni atthavaṇṇanā hoti, sā panāyaṃ atthavaṇṇanā yasmā dūrenidānaṃ avidūrenidānaṃ santikenidānanti, imāni tīṇi nidānāni dassetvāva vaṇṇitā suvaṇṇitā nāma hoti. Ye ca naṃ suṇanti, tehi samudāgamato paṭṭhāya viññātattā suviññātāva hoti, tasmā tāni nidānāni dassetvāva vaṇṇayissāma.

    ตตฺถ อาทิโต ปฎฺฐาย ตาว เตสํ นิทานานํ ปริเจฺฉโท เวทิตโพฺพฯ ตตฺรายํ สเงฺขปโต อตฺถทีปนา – ทีปงฺกรทสพลสฺส ปาทมูเล กตาภินีหารสฺส มหาสตฺตสฺส ยาว เวสฺสนฺตรตฺตภาวา จวิตฺวา ตุสิตภวเน นิพฺพตฺติ, ตาว ปวตฺตา กถา ทูเรนิทานํ นามฯ ตุสิตภวนโต จวิตฺวา ยาว โพธิมเณฺฑ สพฺพญฺญุตญฺญาณปฺปตฺติ, ตาว ปวตฺตา กถา อวิทูเรนิทานํ นามฯ ‘‘เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเม’’ติ จ, ‘‘ราชคเห วิหรติ เวฬุวเน กลนฺทกนิวาเป’’ติ จ, ‘‘เวสาลิยํ วิหรติ มหาวเน กูฎาคารสาลาย’’นฺติ จ เอวํ มหาโพธิมเณฺฑ สพฺพญฺญุตญฺญาณปฺปตฺติโต ยาว ปรินิพฺพานมญฺจา เอตสฺมิํ อนฺตเร ภควา ยตฺถ ยตฺถ วิหาสิ, ตํ ตํ สนฺติเกนิทานํ นามาติ เวทิตพฺพํฯ เอตฺตาวตา สเงฺขเปเนว ติณฺณํ ทูราวิทูรสนฺติเกนิทานานํ วเสน พาหิรนิทานวณฺณนา สมตฺตา โหตีติฯ

    Tattha ādito paṭṭhāya tāva tesaṃ nidānānaṃ paricchedo veditabbo. Tatrāyaṃ saṅkhepato atthadīpanā – dīpaṅkaradasabalassa pādamūle katābhinīhārassa mahāsattassa yāva vessantarattabhāvā cavitvā tusitabhavane nibbatti, tāva pavattā kathā dūrenidānaṃ nāma. Tusitabhavanato cavitvā yāva bodhimaṇḍe sabbaññutaññāṇappatti, tāva pavattā kathā avidūrenidānaṃ nāma. ‘‘Ekaṃ samayaṃ bhagavā sāvatthiyaṃ viharati jetavane anāthapiṇḍikassa ārāme’’ti ca, ‘‘rājagahe viharati veḷuvane kalandakanivāpe’’ti ca, ‘‘vesāliyaṃ viharati mahāvane kūṭāgārasālāya’’nti ca evaṃ mahābodhimaṇḍe sabbaññutaññāṇappattito yāva parinibbānamañcā etasmiṃ antare bhagavā yattha yattha vihāsi, taṃ taṃ santikenidānaṃ nāmāti veditabbaṃ. Ettāvatā saṅkhepeneva tiṇṇaṃ dūrāvidūrasantikenidānānaṃ vasena bāhiranidānavaṇṇanā samattā hotīti.

    อพฺภนฺตรนิทานํ

    Abbhantaranidānaṃ

    ๑. รตนจงฺกมนกณฺฑวณฺณนา

    1. Ratanacaṅkamanakaṇḍavaṇṇanā

    อิทานิ ปน –

    Idāni pana –

    .

    1.

    ‘‘พฺรหฺมา จ โลกาธิปตี สหมฺปตี, กตญฺชลี อนธิวรํ อยาจถ;

    ‘‘Brahmā ca lokādhipatī sahampatī, katañjalī anadhivaraṃ ayācatha;

    สนฺตีธ สตฺตาปฺปรชกฺขชาติกา, เทเสหิ ธมฺมํ อนุกมฺปิมํ ปช’’นฺติฯ –

    Santīdha sattāpparajakkhajātikā, desehi dhammaṃ anukampimaṃ paja’’nti. –

    อาทินยปฺปวตฺตสฺส อพฺภนฺตรนิทานสฺส อตฺถวณฺณนา โหติฯ

    Ādinayappavattassa abbhantaranidānassa atthavaṇṇanā hoti.

    เอตฺถ ‘‘เอกํ สมยํ ภควา ราชคเห วิหรติ เวฬุวเน กลนฺทกนิวาเป’’ติอาทิสุตฺตเนฺตสุ วิย – ‘‘เอกํ สมยํ ภควา สเกฺกสุ วิหรติ กปิลวตฺถุสฺมิํ นิโคฺรธาราเมฯ อถ โข อายสฺมา สาริปุโตฺต เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ พุทฺธวํสํ อปุจฺฉี’’ติ เอวมาทินา นเยน นิทานํ อวตฺวา กสฺมา ‘‘พฺรหฺมา จ โลกาธิปตี สหมฺปตี, กตญฺชลี อนธิวรํ อยาจถา’’ติอาทินา นเยน นิทานํ วุตฺตนฺติ? วุจฺจเต – ภควโต สพฺพธมฺมเทสนาการณภูตาย พฺรหฺมุโน ธมฺมเทสนายาจนาย สนฺทสฺสนตฺถํ วุตฺตนฺติฯ

    Ettha ‘‘ekaṃ samayaṃ bhagavā rājagahe viharati veḷuvane kalandakanivāpe’’tiādisuttantesu viya – ‘‘ekaṃ samayaṃ bhagavā sakkesu viharati kapilavatthusmiṃ nigrodhārāme. Atha kho āyasmā sāriputto yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ buddhavaṃsaṃ apucchī’’ti evamādinā nayena nidānaṃ avatvā kasmā ‘‘brahmā ca lokādhipatī sahampatī, katañjalī anadhivaraṃ ayācathā’’tiādinā nayena nidānaṃ vuttanti? Vuccate – bhagavato sabbadhammadesanākāraṇabhūtāya brahmuno dhammadesanāyācanāya sandassanatthaṃ vuttanti.

    ‘‘กทายํ ธมฺมเทสนตฺถํ, อชฺฌิโฎฺฐ พฺรหฺมุนา ชิโน;

    ‘‘Kadāyaṃ dhammadesanatthaṃ, ajjhiṭṭho brahmunā jino;

    กทา กตฺถ จ เกนายํ, คาถา หิ สมุทีริตา’’ติฯ

    Kadā kattha ca kenāyaṃ, gāthā hi samudīritā’’ti.

    วุจฺจเต – พุทฺธภูตสฺส ปน ภควโต อฎฺฐเม สตฺตาเห สตฺถา ธมฺมเทสนตฺถาย พฺรหฺมุนา อชฺฌิโฎฺฐ อายาจิโตฯ ตตฺรายํ อนุปุพฺพิกถา – มหาปุริโส กิร กตาภินีหาโร มหาภินิกฺขมนทิวเส วิวฎปากฎพีภจฺฉสยนาสนเจฎิกา นาฎกิตฺถิโย ทิสฺวา อตีว สํวิคฺคหทโย ปเฎกเทสาวจฺฉนฺนํ ฉนฺนํ อามเนฺตตฺวา – ‘‘อรินรวรมนฺถกํ กณฺฑกํ นาม ตุรงฺควรมาหรา’’ติ กณฺฑกํ อาหราเปตฺวา ฉนฺนสหาโย วรตุรงฺคมารุยฺห นครทฺวาเร อธิวตฺถาย เทวตาย นครทฺวาเร วิวเฎ นครโต นิกฺขมิตฺวา ตีณิ รชฺชานิ เตน รตฺตาวเสเสน อติกฺกมิตฺวา อโนมสโตฺต อโนมาย นาม นทิยา ตีเร ฐตฺวา ฉนฺนเมวมาห – ‘‘ฉนฺน, ตฺวํ มม อิมานิ อเญฺญหิ อสาธารณานิ อาภรณานิ กณฺฑกญฺจ วรตุรงฺคมาทาย กปิลปุรํ คจฺฉาหี’’ติ ฉนฺนํ วิสฺสเชฺชตฺวา อสิโตรคนีลุปฺปลสทิเสนาสินา สเกสมกุฎํ ฉินฺทิตฺวา อากาเส อุกฺขิปิตฺวา เทวทตฺติยํ ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา สยเมว ปพฺพชิตฺวา อนุปุเพฺพน จาริกํ จรมาโน อนิลพลสมุทฺธุตตรงฺคภงฺคํ อสงฺคํ คงฺคํ นทิํ อุตฺตริตฺวา มณิคณรํสิชาลวิโชฺชติตราชคหํ ราชคหํ นาม นครํ ปวิสิตฺวา ตตฺถ อิสฺสริยมทมตฺตํ ชนํ ปริหาเสโนฺต วิย จ อุทฺธตเวสสฺส ชนสฺส ลชฺชมุปฺปาทยมาโน วิย จ วยกนฺตีหิ นาครชนหทยานิ อตฺตนิ พนฺธโนฺต วิย จ ทฺวติํสวรมหาปุริสลกฺขณวิราชิตาย รูปสิริยา สพฺพชนนยนานิ วิลุมฺปมาโน วิย จ รูปีปาทสญฺจโร ปุญฺญสญฺจโย วิย จ ปพฺพโต วิย จ คมเนน นิสฺสโงฺค สนฺตินฺทฺริโย สนฺตมานโส ยุคมตฺตํ เปกฺขมาโน ราชคหํ ปิณฺฑาย จริตฺวา ยาปนมตฺตํ ภตฺตํ คเหตฺวา นครโต นิกฺขมิตฺวา ปณฺฑวปพฺพตปเสฺส ฉายูทกสมฺปเนฺน สุจิภูมิภาเค ปรมรมณีเย ปวิวิเตฺต โอกาเส นิสีทิตฺวา ปฎิสงฺขานพเลน มิสฺสกภตฺตํ ปริภุญฺชิตฺวา ปณฺฑวคิรานุสาเรน พิมฺพิสาเรน มคธมหาราเชน มหาปุริสสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา นามโคตฺตํ ปุจฺฉิตฺวา เตน ปมุทิตหทเยน ‘‘มม รชฺชภาคํ คณฺหาหี’’ติ รเชฺชน นิมนฺติยมาโน – ‘‘อลํ, มหาราช, น มยฺหํ รเชฺชนโตฺถ อหํ รชฺชํ ปหาย โลกหิตตฺถาย ปธานมนุยุญฺชิตฺวา โลเก วิวฎจฺฉโท พุโทฺธ ภวิสฺสามีติ นิกฺขโนฺต’’ติ วตฺวา เตน จ ‘‘พุโทฺธ หุตฺวา สพฺพปฐมํ มม วิชิตํ โอสเรยฺยาถา’’ติ วุโตฺต ‘สาธู’ติ ตสฺส ปฎิญฺญํ ทตฺวา อาฬารญฺจ อุทกญฺจ อุปสงฺกมิตฺวา เตสํ ธมฺมเทสนาย สารํ อวินฺทโนฺต ตโต ปกฺกมิตฺวา อุรุเวลายํ ฉพฺพสฺสานิ ทุกฺกรการิกํ กโรโนฺตปิ อมตํ อธิคนฺตุํ อสโกฺกโนฺต โอฬาริกาหารปฎิเสวเนน สรีรํ สนฺตเปฺปสิฯ

    Vuccate – buddhabhūtassa pana bhagavato aṭṭhame sattāhe satthā dhammadesanatthāya brahmunā ajjhiṭṭho āyācito. Tatrāyaṃ anupubbikathā – mahāpuriso kira katābhinīhāro mahābhinikkhamanadivase vivaṭapākaṭabībhacchasayanāsanaceṭikā nāṭakitthiyo disvā atīva saṃviggahadayo paṭekadesāvacchannaṃ channaṃ āmantetvā – ‘‘arinaravaramanthakaṃ kaṇḍakaṃ nāma turaṅgavaramāharā’’ti kaṇḍakaṃ āharāpetvā channasahāyo varaturaṅgamāruyha nagaradvāre adhivatthāya devatāya nagaradvāre vivaṭe nagarato nikkhamitvā tīṇi rajjāni tena rattāvasesena atikkamitvā anomasatto anomāya nāma nadiyā tīre ṭhatvā channamevamāha – ‘‘channa, tvaṃ mama imāni aññehi asādhāraṇāni ābharaṇāni kaṇḍakañca varaturaṅgamādāya kapilapuraṃ gacchāhī’’ti channaṃ vissajjetvā asitoraganīluppalasadisenāsinā sakesamakuṭaṃ chinditvā ākāse ukkhipitvā devadattiyaṃ pattacīvaraṃ gahetvā sayameva pabbajitvā anupubbena cārikaṃ caramāno anilabalasamuddhutataraṅgabhaṅgaṃ asaṅgaṃ gaṅgaṃ nadiṃ uttaritvā maṇigaṇaraṃsijālavijjotitarājagahaṃ rājagahaṃ nāma nagaraṃ pavisitvā tattha issariyamadamattaṃ janaṃ parihāsento viya ca uddhatavesassa janassa lajjamuppādayamāno viya ca vayakantīhi nāgarajanahadayāni attani bandhanto viya ca dvatiṃsavaramahāpurisalakkhaṇavirājitāya rūpasiriyā sabbajananayanāni vilumpamāno viya ca rūpīpādasañcaro puññasañcayo viya ca pabbato viya ca gamanena nissaṅgo santindriyo santamānaso yugamattaṃ pekkhamāno rājagahaṃ piṇḍāya caritvā yāpanamattaṃ bhattaṃ gahetvā nagarato nikkhamitvā paṇḍavapabbatapasse chāyūdakasampanne sucibhūmibhāge paramaramaṇīye pavivitte okāse nisīditvā paṭisaṅkhānabalena missakabhattaṃ paribhuñjitvā paṇḍavagirānusārena bimbisārena magadhamahārājena mahāpurisassa santikaṃ gantvā nāmagottaṃ pucchitvā tena pamuditahadayena ‘‘mama rajjabhāgaṃ gaṇhāhī’’ti rajjena nimantiyamāno – ‘‘alaṃ, mahārāja, na mayhaṃ rajjenattho ahaṃ rajjaṃ pahāya lokahitatthāya padhānamanuyuñjitvā loke vivaṭacchado buddho bhavissāmīti nikkhanto’’ti vatvā tena ca ‘‘buddho hutvā sabbapaṭhamaṃ mama vijitaṃ osareyyāthā’’ti vutto ‘sādhū’ti tassa paṭiññaṃ datvā āḷārañca udakañca upasaṅkamitvā tesaṃ dhammadesanāya sāraṃ avindanto tato pakkamitvā uruvelāyaṃ chabbassāni dukkarakārikaṃ karontopi amataṃ adhigantuṃ asakkonto oḷārikāhārapaṭisevanena sarīraṃ santappesi.

    ตทา ปน อุรุเวลายํ เสนานิคเม เสนานิคมกุฎุมฺพิกสฺส ธีตา สุชาตา นาม ทาริกา วยปฺปตฺตา เอกสฺมิํ นิโคฺรธรุเกฺข ปตฺถนมกาสิ – ‘‘สจาหํ สมชาติกํ กุลฆรํ คนฺตฺวา ปฐมคเพฺภ ปุตฺตํ ลภิสฺสามิ, พลิกมฺมํ กริสฺสามี’’ติฯ ตสฺสา สา ปตฺถนา สมิชฺฌิฯ สา เวสาขปุณฺณมทิวเส ‘‘อชฺช พลิกมฺมํ กริสฺสามี’’ติ ปาโตว ปายาสํ อนายาสํ ปรมมธุรํ สมฺปฎิปาเทสิฯ โพธิสโตฺตปิ ตทเหว กตสรีรปฎิชคฺคโน ภิกฺขาจารกาลํ อาคมยมาโน ปาโตว คนฺตฺวา ตสฺมิํ นิโคฺรธรุกฺขมูเล นิสีทิฯ อถ โข ปุณฺณา นาม ทาสี ตสฺสา ธาตี รุกฺขมูลโสธนตฺถาย คตา โพธิสตฺตํ ปาจีนโลกธาตุํ โอโลกยมานํ นิสินฺนํ สญฺฌาปฺปภานุรญฺชิตวรกนกคิริสิขรสทิสสรีรโสภํ ติมิรนิกรนิธานกรํ กมลวนวิกสนกรํ ฆนวิวรมุปคตํ ทิวสกรมิว ตรุวรมุปคตํ มุนิทิวสกรมทฺทสฯ สรีรโต จสฺส นิกฺขนฺตาหิ ปภาหิ สกลญฺจ ตํ รุกฺขํ สุวณฺณวณฺณํ ทิสฺวา ตสฺสา เอตทโหสิ – ‘‘อชฺช อมฺหากํ เทวตา รุกฺขโต โอรุยฺห สหเตฺถเนว พลิํ ปฎิคฺคเหตุกามา หุตฺวา นิสินฺนา’’ติฯ สา เวเคน คนฺตฺวา สุชาตาย เอตมตฺถํ อาโรเจสิฯ

    Tadā pana uruvelāyaṃ senānigame senānigamakuṭumbikassa dhītā sujātā nāma dārikā vayappattā ekasmiṃ nigrodharukkhe patthanamakāsi – ‘‘sacāhaṃ samajātikaṃ kulagharaṃ gantvā paṭhamagabbhe puttaṃ labhissāmi, balikammaṃ karissāmī’’ti. Tassā sā patthanā samijjhi. Sā vesākhapuṇṇamadivase ‘‘ajja balikammaṃ karissāmī’’ti pātova pāyāsaṃ anāyāsaṃ paramamadhuraṃ sampaṭipādesi. Bodhisattopi tadaheva katasarīrapaṭijaggano bhikkhācārakālaṃ āgamayamāno pātova gantvā tasmiṃ nigrodharukkhamūle nisīdi. Atha kho puṇṇā nāma dāsī tassā dhātī rukkhamūlasodhanatthāya gatā bodhisattaṃ pācīnalokadhātuṃ olokayamānaṃ nisinnaṃ sañjhāppabhānurañjitavarakanakagirisikharasadisasarīrasobhaṃ timiranikaranidhānakaraṃ kamalavanavikasanakaraṃ ghanavivaramupagataṃ divasakaramiva taruvaramupagataṃ munidivasakaramaddasa. Sarīrato cassa nikkhantāhi pabhāhi sakalañca taṃ rukkhaṃ suvaṇṇavaṇṇaṃ disvā tassā etadahosi – ‘‘ajja amhākaṃ devatā rukkhato oruyha sahattheneva baliṃ paṭiggahetukāmā hutvā nisinnā’’ti. Sā vegena gantvā sujātāya etamatthaṃ ārocesi.

    ตโต สุชาตา สญฺชาตสทฺธา หุตฺวา สพฺพาลงฺกาเรน อลงฺกริตฺวา สตสหสฺสคฺฆนิกํ สุวณฺณปาติํ ปรมมธุรสฺส มธุปายาสสฺส ปูเรตฺวา อปราย สุวณฺณปาติยา ปิทหิตฺวา สีเสนาทาย นิโคฺรธรุกฺขาภิมุขี อคมาสิฯ สา คจฺฉนฺตี ทูรโตว ตํ โพธิสตฺตํ รุกฺขเทวตมิว สกลํ ตํ รุกฺขํ สรีรปฺปภาย สุวณฺณวณฺณํ กตฺวา ปุญฺญสญฺจยมิว รูปวนฺตํ นิสินฺนํ ทิสฺวา ปีติโสมนสฺสชาตา สุชาตา ‘‘รุกฺขเทวตา’’ติ สญฺญาย ทิฎฺฐฎฺฐานโต ปฎฺฐาย โอนโตนตา คนฺตฺวา สีสโต ตํ สุวณฺณปาติํ โอตาเรตฺวา มหาสตฺตสฺส หเตฺถ ฐเปตฺวา ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิตฺวา – ‘‘ยถา มม มโนรโถ นิปฺผโนฺน, เอวํ ตุมฺหากมฺปิ นิปฺผชฺชตู’’ติ วตฺวา ปกฺกามิฯ

    Tato sujātā sañjātasaddhā hutvā sabbālaṅkārena alaṅkaritvā satasahassagghanikaṃ suvaṇṇapātiṃ paramamadhurassa madhupāyāsassa pūretvā aparāya suvaṇṇapātiyā pidahitvā sīsenādāya nigrodharukkhābhimukhī agamāsi. Sā gacchantī dūratova taṃ bodhisattaṃ rukkhadevatamiva sakalaṃ taṃ rukkhaṃ sarīrappabhāya suvaṇṇavaṇṇaṃ katvā puññasañcayamiva rūpavantaṃ nisinnaṃ disvā pītisomanassajātā sujātā ‘‘rukkhadevatā’’ti saññāya diṭṭhaṭṭhānato paṭṭhāya onatonatā gantvā sīsato taṃ suvaṇṇapātiṃ otāretvā mahāsattassa hatthe ṭhapetvā pañcapatiṭṭhitena vanditvā – ‘‘yathā mama manoratho nipphanno, evaṃ tumhākampi nipphajjatū’’ti vatvā pakkāmi.

    อถ โข โพธิสโตฺตปิ สุวณฺณปาติํ คเหตฺวา เนรญฺชราย นทิยา ตีรํ คนฺตฺวา สุปฺปติฎฺฐิตสฺส นาม ติตฺถสฺส ตีเร สุวณฺณปาติํ ฐเปตฺวา นฺหตฺวา ปจฺจุตฺตริตฺวา เอกูนปญฺญาสปิเณฺฑ กโรโนฺต ตํ ปายาสํ ปริภุญฺชิตฺวา – ‘‘สจาหํ อชฺช พุโทฺธ ภวิสฺสามิ, อยํ สุวณฺณปาติ ปฎิโสตํ คจฺฉตู’’ติ ขิปิฯ สา ปาติ ปฎิโสตํ คนฺตฺวา กาฬสฺส นาม นาคราชสฺส ภวนํ ปวิสิตฺวา ติณฺณํ พุทฺธานํ ถาลกานิ อุกฺขิปิตฺวา เตสํ เหฎฺฐา อฎฺฐาสิฯ

    Atha kho bodhisattopi suvaṇṇapātiṃ gahetvā nerañjarāya nadiyā tīraṃ gantvā suppatiṭṭhitassa nāma titthassa tīre suvaṇṇapātiṃ ṭhapetvā nhatvā paccuttaritvā ekūnapaññāsapiṇḍe karonto taṃ pāyāsaṃ paribhuñjitvā – ‘‘sacāhaṃ ajja buddho bhavissāmi, ayaṃ suvaṇṇapāti paṭisotaṃ gacchatū’’ti khipi. Sā pāti paṭisotaṃ gantvā kāḷassa nāma nāgarājassa bhavanaṃ pavisitvā tiṇṇaṃ buddhānaṃ thālakāni ukkhipitvā tesaṃ heṭṭhā aṭṭhāsi.

    มหาสโตฺต ตเตฺถว วนสเณฺฑ ทิวาวิหารํ วีตินาเมตฺวา สายนฺหสมเย โสตฺถิเยน นาม ติณหารเกน มหาปุริสสฺส อาการํ ญตฺวา ทินฺนา อฎฺฐ ติณมุฎฺฐิโย คเหตฺวา โพธิมณฺฑมารุยฺห ทกฺขิณทิสาภาเค อฎฺฐาสิฯ โส ปน ปเทโส ปทุมินิปเตฺต อุทกพินฺทุ วิย อกมฺปิตฺถฯ มหาปุริโส – ‘‘อยํ ปเทโส มม คุณํ ธาเรตุํ อสมโตฺถ’’ติ ปจฺฉิมทิสาภาคมคมาสิฯ โสปิ ตเถว กมฺปิตฺถฯ ปุน อุตฺตรทิสาภาคมคมาสิฯ โสปิ ตเถว กมฺปิตฺถฯ ปุน ปุรตฺถิมทิสาภาคมคมาสิฯ ตตฺถ ปลฺลงฺกปฺปมาณฎฺฐานํ นิจฺจลํ อโหสิฯ มหาปุริโส – ‘‘อิทํ ฐานํ กิเลสวิทฺธํสนฎฺฐาน’’นฺติ สนฺนิฎฺฐานํ กตฺวา ตานิ ติณานิ อเคฺค คเหตฺวา จาเลสิฯ ตานิ ตูลิกเคฺคน ปริจฺฉินฺนานิ วิย อเหสุํฯ โพธิสโตฺต – ‘‘โพธิํ อปตฺวาว อิมํ ปลฺลงฺกํ น ภินฺทิสฺสามี’’ติ จตุรงฺควีริยํ อธิฎฺฐหิตฺวา ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา โพธิกฺขนฺธํ ปิฎฺฐิโต กตฺวา ปุรตฺถาภิมุโข นิสีทิฯ

    Mahāsatto tattheva vanasaṇḍe divāvihāraṃ vītināmetvā sāyanhasamaye sotthiyena nāma tiṇahārakena mahāpurisassa ākāraṃ ñatvā dinnā aṭṭha tiṇamuṭṭhiyo gahetvā bodhimaṇḍamāruyha dakkhiṇadisābhāge aṭṭhāsi. So pana padeso paduminipatte udakabindu viya akampittha. Mahāpuriso – ‘‘ayaṃ padeso mama guṇaṃ dhāretuṃ asamattho’’ti pacchimadisābhāgamagamāsi. Sopi tatheva kampittha. Puna uttaradisābhāgamagamāsi. Sopi tatheva kampittha. Puna puratthimadisābhāgamagamāsi. Tattha pallaṅkappamāṇaṭṭhānaṃ niccalaṃ ahosi. Mahāpuriso – ‘‘idaṃ ṭhānaṃ kilesaviddhaṃsanaṭṭhāna’’nti sanniṭṭhānaṃ katvā tāni tiṇāni agge gahetvā cālesi. Tāni tūlikaggena paricchinnāni viya ahesuṃ. Bodhisatto – ‘‘bodhiṃ apatvāva imaṃ pallaṅkaṃ na bhindissāmī’’ti caturaṅgavīriyaṃ adhiṭṭhahitvā pallaṅkaṃ ābhujitvā bodhikkhandhaṃ piṭṭhito katvā puratthābhimukho nisīdi.

    ตงฺขณเญฺญว สพฺพโลกาภิหาโร มาโร พาหุสหสฺสํ มาเปตฺวา ทิยฑฺฒโยชนสติกํ หิมคิริสิขรสทิสํ คิริเมขลํ นาม อริวรวารณํ วรวารณํ อภิรุยฺห นวโยชนิเกน ธนุอสิผรสุสรสตฺติสพเลนาติพหเลน มารพเลน สมฺปริวุโต สมนฺตา ปพฺพโต วิย อโชฺฌตฺถรโนฺต มหาสปตฺตํ วิย มหาสตฺตํ สมุปาคมิฯ มหาปุริโส สูริเย ธรเนฺตเยว อติตุมูลํ มารพลํ วิธมิตฺวา วิกสิตชยสุมนกุสุมสทิสสฺส จีวรสฺส อุปริ ปตมาเนหิ รตฺตปวาลงฺกุรสทิสรุจิรทสฺสเนหิ โพธิรุกฺขงฺกุเรหิ ปีติยา วิย ปูชิยมาโน เอว ปฐมยาเม ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณํ ลภิตฺวา มชฺฌิมยาเม ทิพฺพจกฺขุญาณํ วิโสเธตฺวา ปจฺฉิมยาเม ปฎิจฺจสมุปฺปาเท ญาณํ โอตาเรตฺวา วฎฺฎวิวฎฺฎํ สมฺมสโนฺต อรุโณทเย พุโทฺธ หุตฺวา –

    Taṅkhaṇaññeva sabbalokābhihāro māro bāhusahassaṃ māpetvā diyaḍḍhayojanasatikaṃ himagirisikharasadisaṃ girimekhalaṃ nāma arivaravāraṇaṃ varavāraṇaṃ abhiruyha navayojanikena dhanuasipharasusarasattisabalenātibahalena mārabalena samparivuto samantā pabbato viya ajjhottharanto mahāsapattaṃ viya mahāsattaṃ samupāgami. Mahāpuriso sūriye dharanteyeva atitumūlaṃ mārabalaṃ vidhamitvā vikasitajayasumanakusumasadisassa cīvarassa upari patamānehi rattapavālaṅkurasadisaruciradassanehi bodhirukkhaṅkurehi pītiyā viya pūjiyamāno eva paṭhamayāme pubbenivāsānussatiñāṇaṃ labhitvā majjhimayāme dibbacakkhuñāṇaṃ visodhetvā pacchimayāme paṭiccasamuppāde ñāṇaṃ otāretvā vaṭṭavivaṭṭaṃ sammasanto aruṇodaye buddho hutvā –

    ‘‘อเนกชาติสํสารํ, สนฺธาวิสฺสํ อนิพฺพิสํ;

    ‘‘Anekajātisaṃsāraṃ, sandhāvissaṃ anibbisaṃ;

    คหการํ คเวสโนฺต, ทุกฺขา ชาติ ปุนปฺปุนํฯ

    Gahakāraṃ gavesanto, dukkhā jāti punappunaṃ.

    ‘‘คหการก ทิโฎฺฐสิ, ปุน เคหํ น กาหสิ;

    ‘‘Gahakāraka diṭṭhosi, puna gehaṃ na kāhasi;

    สพฺพา เต ผาสุกา ภคฺคา, คหกูฎํ วิสงฺขตํ;

    Sabbā te phāsukā bhaggā, gahakūṭaṃ visaṅkhataṃ;

    วิสงฺขารคตํ จิตฺตํ, ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา’’ติฯ (ธ. ป. ๑๕๓-๑๕๔) –

    Visaṅkhāragataṃ cittaṃ, taṇhānaṃ khayamajjhagā’’ti. (dha. pa. 153-154) –

    อิมํ อุทานํ อุทาเนตฺวา สตฺตาหํ วิมุตฺติสุขปฎิเสวเนน วีตินาเมตฺวา อฎฺฐเม ทิวเส สมาปตฺติโต วุฎฺฐาย เทวตานํ กงฺขํ ญตฺวา ตาสํ กงฺขาวิธมนตฺถํ อากาเส อุปฺปติตฺวา ยมกปาฎิหาริยํ ทเสฺสตฺวา ตาสํ กงฺขํ วิธมิตฺวา ปลฺลงฺกโต อีสกํ ปาจีนนิสฺสิเต อุตฺตรทิสาภาเค ฐตฺวา – ‘‘อิมสฺมิํ วต เม ปลฺลเงฺก สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ปฎิวิทฺธ’’นฺติ จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ กปฺปสตสหสฺสญฺจ ปูริตานํ ปารมีนํ ผลาธิคมฎฺฐานํ ปลฺลงฺกเญฺจว โพธิรุกฺขญฺจ อนิมิเสหิ อกฺขีหิ โอโลกยมาโน สตฺตาหํ วีตินาเมสิ, ตํ ฐานํ อนิมิสเจติยํ นาม ชาตํฯ

    Imaṃ udānaṃ udānetvā sattāhaṃ vimuttisukhapaṭisevanena vītināmetvā aṭṭhame divase samāpattito vuṭṭhāya devatānaṃ kaṅkhaṃ ñatvā tāsaṃ kaṅkhāvidhamanatthaṃ ākāse uppatitvā yamakapāṭihāriyaṃ dassetvā tāsaṃ kaṅkhaṃ vidhamitvā pallaṅkato īsakaṃ pācīnanissite uttaradisābhāge ṭhatvā – ‘‘imasmiṃ vata me pallaṅke sabbaññutaññāṇaṃ paṭividdha’’nti cattāri asaṅkhyeyyāni kappasatasahassañca pūritānaṃ pāramīnaṃ phalādhigamaṭṭhānaṃ pallaṅkañceva bodhirukkhañca animisehi akkhīhi olokayamāno sattāhaṃ vītināmesi, taṃ ṭhānaṃ animisacetiyaṃ nāma jātaṃ.

    อถ ปลฺลงฺกสฺส จ ฐิตฎฺฐานสฺส จ อนฺตเร ปุรตฺถิมปจฺฉิมโต อายเต รตนจงฺกเม จงฺกมโนฺต สตฺตาหํ วีตินาเมสิ, ตํ ฐานํ รตนจงฺกมเจติยํ นาม ชาตํฯ ตโต ปจฺฉิมทิสาภาเค เทวตา รตนฆรํ นาม มาเปสุํ, ตตฺถ ปลฺลเงฺกน นิสีทิตฺวา อภิธมฺมปิฎกํ วิเสสโต เจตฺถ อนนฺตนยสมนฺตปฎฺฐานํ วิจินโนฺต สตฺตาหํ วีตินาเมสิฯ ตํ ฐานํ รตนฆรเจติยํ นาม ชาตํฯ เอวํ โพธิสมีเปเยว จตฺตาริ สตฺตาหานิ วีตินาเมตฺวา ปญฺจเม สตฺตาเห โพธิรุกฺขมูลา เยน อชปาลนิโคฺรโธ เตนุปสงฺกมิ; ตตฺถาปิ ธมฺมํ วิจินโนฺตเยว วิมุตฺติสุขญฺจ ปฎิสํเวเทโนฺต อชปาลนิโคฺรเธ สตฺตาหํ วีตินาเมสิฯ

    Atha pallaṅkassa ca ṭhitaṭṭhānassa ca antare puratthimapacchimato āyate ratanacaṅkame caṅkamanto sattāhaṃ vītināmesi, taṃ ṭhānaṃ ratanacaṅkamacetiyaṃ nāma jātaṃ. Tato pacchimadisābhāge devatā ratanagharaṃ nāma māpesuṃ, tattha pallaṅkena nisīditvā abhidhammapiṭakaṃ visesato cettha anantanayasamantapaṭṭhānaṃ vicinanto sattāhaṃ vītināmesi. Taṃ ṭhānaṃ ratanagharacetiyaṃ nāma jātaṃ. Evaṃ bodhisamīpeyeva cattāri sattāhāni vītināmetvā pañcame sattāhe bodhirukkhamūlā yena ajapālanigrodho tenupasaṅkami; tatthāpi dhammaṃ vicinantoyeva vimuttisukhañca paṭisaṃvedento ajapālanigrodhe sattāhaṃ vītināmesi.

    เอวํ อปรํ สตฺตาหํ มุจลิเนฺท นิสีทิฯ ตสฺส นิสินฺนมตฺตเสฺสว ภควโต สกลจกฺกวาฬคพฺภํ ปูเรโนฺต มหาอกาลเมโฆ อุทปาทิฯ ตสฺมิํ ปน อุปฺปเนฺน มุจลิโนฺท นาคราชา จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ มหาเมโฆ สตฺถริ มยฺหํ ภวนํ ปวิฎฺฐมเตฺต อุปฺปโนฺน วาสาคารมสฺส ลทฺธุํ วฎฺฎตี’’ติฯ โส สตฺตรตนมยํ เทววิมานสทิสํ ทิพฺพวิมานํ นิมฺมินิตุํ สมโตฺถปิ เอวํ กเต – ‘‘น มยฺหํ มหปฺผลํ ภวิสฺสติ, ทสพลสฺส กายเวยฺยาวจฺจํ กริสฺสามี’’ติ อติมหนฺตํ อตฺตภาวํ กตฺวา สตฺถารํ สตฺตกฺขตฺตุํ โภเคหิ ปริกฺขิปิตฺวา อุปริ มหนฺตํ ผณํ กตฺวา อฎฺฐาสิฯ อถ ภควา ปริเกฺขปสฺส อโนฺตว มหติ โอกาเส สพฺพรตนมเย ปจฺจคฺฆปลฺลเงฺก อุปริ วินิคฺคลนฺตวิวิธสุรภิกุสุมทามวิตาเน วิวิธสุรภิคนฺธวาสิเต คนฺธกุฎิยํ วิหรโนฺต วิย วิหาสิฯ เอวํ ภควา ตํ สตฺตาหํ ตตฺถ วีตินาเมตฺวา ตโต อปรํ สตฺตาหํ ราชายตเน นิสีทิฯ ตตฺถาปิ วิมุตฺติสุขปฎิสํเวทิเยวฯ เอตฺตาวตา สตฺตสตฺตาหานิ ปริปุณฺณานิ อเหสุํฯ เอตฺถนฺตเร ภควา ฌานสุเขน ผลสุเขน จ วีตินาเมสิฯ

    Evaṃ aparaṃ sattāhaṃ mucalinde nisīdi. Tassa nisinnamattasseva bhagavato sakalacakkavāḷagabbhaṃ pūrento mahāakālamegho udapādi. Tasmiṃ pana uppanne mucalindo nāgarājā cintesi – ‘‘ayaṃ mahāmegho satthari mayhaṃ bhavanaṃ paviṭṭhamatte uppanno vāsāgāramassa laddhuṃ vaṭṭatī’’ti. So sattaratanamayaṃ devavimānasadisaṃ dibbavimānaṃ nimminituṃ samatthopi evaṃ kate – ‘‘na mayhaṃ mahapphalaṃ bhavissati, dasabalassa kāyaveyyāvaccaṃ karissāmī’’ti atimahantaṃ attabhāvaṃ katvā satthāraṃ sattakkhattuṃ bhogehi parikkhipitvā upari mahantaṃ phaṇaṃ katvā aṭṭhāsi. Atha bhagavā parikkhepassa antova mahati okāse sabbaratanamaye paccagghapallaṅke upari viniggalantavividhasurabhikusumadāmavitāne vividhasurabhigandhavāsite gandhakuṭiyaṃ viharanto viya vihāsi. Evaṃ bhagavā taṃ sattāhaṃ tattha vītināmetvā tato aparaṃ sattāhaṃ rājāyatane nisīdi. Tatthāpi vimuttisukhapaṭisaṃvediyeva. Ettāvatā sattasattāhāni paripuṇṇāni ahesuṃ. Etthantare bhagavā jhānasukhena phalasukhena ca vītināmesi.

    อถสฺส สตฺตสตฺตาหาติกฺกเม – ‘‘มุขํ โธวิสฺสามี’’ติ จิตฺตํ อุปฺปชฺชิฯ สโกฺก เทวานมิโนฺท อคทหรีตกํ อาหริตฺวา อทาสิฯ อถสฺส สโกฺก นาคลตาทนฺตกฎฺฐญฺจ มุขโธวนอุทกญฺจ อทาสิฯ ตโต ภควา ทนฺตกฎฺฐํ ขาทิตฺวา อโนตตฺตทโหทเกน มุขํ โธวิตฺวา ราชายตนมูเล นิสีทิฯ ตสฺมิํ สมเย จตูหิ โลกปาเลหิ อุปนีเต ปจฺจเคฺฆ เสลมเย ปเตฺต ตปุสฺสภลฺลิกานํ วาณิชานํ มนฺถญฺจ มธุปิณฺฑิกญฺจ ปฎิคฺคเหตฺวา ปริภุญฺชิตฺวา ปจฺจาคนฺตฺวา อชปาลนิโคฺรธรุกฺขมูเล นิสีทิฯ อถสฺส ตตฺถ นิสินฺนมตฺตเสฺสว อตฺตนา อธิคตสฺส ธมฺมสฺส คมฺภีรภาวํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺส สพฺพพุทฺธานํ อาจิโณฺณ – ‘‘อธิคโต โข มฺยายํ ธโมฺม คมฺภีโร ทุทฺทโส ทุรนุโพโธ สโนฺต ปณีโต อตกฺกาวจโร นิปุโณ ปณฺฑิตเวทนีโย’’ติ (ม. นิ. ๒.๒๘๑; สํ. นิ. ๑.๑๗๒; มหาว. ๗) ปเรสํ ธมฺมํ อเทเสตุกามตาการปฺปโตฺต ปริวิตโกฺก อุทปาทิฯ

    Athassa sattasattāhātikkame – ‘‘mukhaṃ dhovissāmī’’ti cittaṃ uppajji. Sakko devānamindo agadaharītakaṃ āharitvā adāsi. Athassa sakko nāgalatādantakaṭṭhañca mukhadhovanaudakañca adāsi. Tato bhagavā dantakaṭṭhaṃ khāditvā anotattadahodakena mukhaṃ dhovitvā rājāyatanamūle nisīdi. Tasmiṃ samaye catūhi lokapālehi upanīte paccagghe selamaye patte tapussabhallikānaṃ vāṇijānaṃ manthañca madhupiṇḍikañca paṭiggahetvā paribhuñjitvā paccāgantvā ajapālanigrodharukkhamūle nisīdi. Athassa tattha nisinnamattasseva attanā adhigatassa dhammassa gambhīrabhāvaṃ paccavekkhantassa sabbabuddhānaṃ āciṇṇo – ‘‘adhigato kho myāyaṃ dhammo gambhīro duddaso duranubodho santo paṇīto atakkāvacaro nipuṇo paṇḍitavedanīyo’’ti (ma. ni. 2.281; saṃ. ni. 1.172; mahāva. 7) paresaṃ dhammaṃ adesetukāmatākārappatto parivitakko udapādi.

    อถ พฺรหฺมา สหมฺปติ ทสพลสฺส เจตสา เจโตปริวิตกฺกมญฺญาย – ‘‘นสฺสติ วต, โภ, โลโก, วินสฺสติ วต, โภ, โลโก’’ติ (สํ. นิ. ๑.๑๗๒; ม. นิ. ๑.๒๘๒; มหาว. ๘) วาจํ นิจฺฉาเรโนฺต ทสสหสฺสจกฺกวาฬพฺรหฺมคณปริวุโต สกฺกสุยามสนฺตุสิตปรนิมฺมิตวสวตฺตีหิ อนุคโต อาคนฺตฺวา ภควโต ปุรโต ปาตุรโหสิฯ โส อตฺตโน ปติฎฺฐานตฺถาย ปถวิํ นิมฺมินิตฺวา ทกฺขิณํ ชาณุมณฺฑลํ ปถวิยํ นิหนฺตฺวา ชลชามลาวิกลกมลมกุลสทิสํ ทสนขสโมธานสมุชฺชลมญฺชลิํ สิรสฺมิํ กตฺวา – ‘‘เทเสตุ, ภเนฺต , ภควา ธมฺมํ, เทเสตุ สุคโต ธมฺมํ, สนฺติ สตฺตา อปฺปรชกฺขชาติกา, อสฺสวนตา ธมฺมสฺส ปริหายนฺติ, ภวิสฺสนฺติ ธมฺมสฺส อญฺญาตาโร’’ติ (สํ. นิ. ๑.๑๗๒; มหาว. ๘) –

    Atha brahmā sahampati dasabalassa cetasā cetoparivitakkamaññāya – ‘‘nassati vata, bho, loko, vinassati vata, bho, loko’’ti (saṃ. ni. 1.172; ma. ni. 1.282; mahāva. 8) vācaṃ nicchārento dasasahassacakkavāḷabrahmagaṇaparivuto sakkasuyāmasantusitaparanimmitavasavattīhi anugato āgantvā bhagavato purato pāturahosi. So attano patiṭṭhānatthāya pathaviṃ nimminitvā dakkhiṇaṃ jāṇumaṇḍalaṃ pathaviyaṃ nihantvā jalajāmalāvikalakamalamakulasadisaṃ dasanakhasamodhānasamujjalamañjaliṃ sirasmiṃ katvā – ‘‘desetu, bhante , bhagavā dhammaṃ, desetu sugato dhammaṃ, santi sattā apparajakkhajātikā, assavanatā dhammassa parihāyanti, bhavissanti dhammassa aññātāro’’ti (saṃ. ni. 1.172; mahāva. 8) –

    ‘‘ปาตุรโหสิ มคเธสุ ปุเพฺพ, ธโมฺม อสุโทฺธ สมเลหิ จินฺติโต;

    ‘‘Pāturahosi magadhesu pubbe, dhammo asuddho samalehi cintito;

    อปาปุเรตํ อมตสฺส ทฺวารํ, สุณนฺตุ ธมฺมํ วิมเลนานุพุทฺธํฯ

    Apāpuretaṃ amatassa dvāraṃ, suṇantu dhammaṃ vimalenānubuddhaṃ.

    ‘‘เสเล ยถา ปพฺพตมุทฺธนิฎฺฐิโต, ยถาปิ ปเสฺส ชนตํ สมนฺตโต;

    ‘‘Sele yathā pabbatamuddhaniṭṭhito, yathāpi passe janataṃ samantato;

    ตถูปมํ ธมฺมมยํ สุเมธ, ปาสาทมารุยฺห สมนฺตจกฺขุ;

    Tathūpamaṃ dhammamayaṃ sumedha, pāsādamāruyha samantacakkhu;

    โสกาวติณฺณํ ชนตมเปตโสโก, อเวกฺขสฺสุ ชาติชราภิภูตํฯ

    Sokāvatiṇṇaṃ janatamapetasoko, avekkhassu jātijarābhibhūtaṃ.

    ‘‘อุเฎฺฐหิ วีร วิชิตสงฺคาม, สตฺถวาห อนณ วิจร โลเก;

    ‘‘Uṭṭhehi vīra vijitasaṅgāma, satthavāha anaṇa vicara loke;

    เทสสฺสุ ภควา ธมฺมํ, อญฺญาตาโร ภวิสฺสนฺตี’’ติฯ (ม. นิ. ๑.๒๘๒; สํ. นิ. ๑.๑๗๒; มหาว. ๘) –

    Desassu bhagavā dhammaṃ, aññātāro bhavissantī’’ti. (ma. ni. 1.282; saṃ. ni. 1.172; mahāva. 8) –

    ‘‘นนุ ตุเมฺหหิ ‘พุโทฺธ โพเธยฺยํ ติโณฺณ ตาเรยฺยํ มุโตฺต โมเจยฺย’’’นฺติ –

    ‘‘Nanu tumhehi ‘buddho bodheyyaṃ tiṇṇo tāreyyaṃ mutto moceyya’’’nti –

    ‘‘กิํ เม อญฺญาตเวเสน, ธมฺมํ สจฺฉิกเตนิธ;

    ‘‘Kiṃ me aññātavesena, dhammaṃ sacchikatenidha;

    สพฺพญฺญุตํ ปาปุณิตฺวา, ตารยิสฺสํ สเทวก’’นฺติฯ (พุ. วํ. ๒.๕๕) –

    Sabbaññutaṃ pāpuṇitvā, tārayissaṃ sadevaka’’nti. (bu. vaṃ. 2.55) –

    ปตฺถนํ กตฺวา ปารมิโย ปูเรตฺวา สพฺพญฺญุภาวํ ปโตฺตติ จ, ‘‘ตุเมฺหหิ ธเมฺม อเทสิยมาเน โก หิ นาม อโญฺญ ธมฺมํ เทเสสฺสติ, กิมญฺญํ โลกสฺส สรณํ ตาณํ เลณํ ปรายน’’นฺติ จ เอวมาทีหิ อเนเกหิ นเยหิ ภควนฺตํ ธมฺมเทสนตฺถํ อยาจิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘พุทฺธภูตสฺส ปน ภควโต อฎฺฐเม สตฺตาเห สตฺถา ธมฺมเทสนตฺถาย พฺรหฺมุนา อายาจิโต’’ติฯ

    Patthanaṃ katvā pāramiyo pūretvā sabbaññubhāvaṃ pattoti ca, ‘‘tumhehi dhamme adesiyamāne ko hi nāma añño dhammaṃ desessati, kimaññaṃ lokassa saraṇaṃ tāṇaṃ leṇaṃ parāyana’’nti ca evamādīhi anekehi nayehi bhagavantaṃ dhammadesanatthaṃ ayāci. Tena vuttaṃ – ‘‘buddhabhūtassa pana bhagavato aṭṭhame sattāhe satthā dhammadesanatthāya brahmunā āyācito’’ti.

    อิทานิ ‘‘กทา กตฺถ จ เกนายํ, คาถา หิ สมุทีริตา’’ติ อิเมสํ ปญฺหานํ วิสฺสชฺชนาย โอกาโส อนุปฺปโตฺตฯ ตตฺถ กทา วุตฺตาติ? ปฐมมหาสงฺคีติกาเล วุตฺตาฯ ปฐมมหาสงฺคีติ นาเมสา สงฺคีติกฺขเนฺธ (จูฬว. ๔๓๗) วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพาฯ กตฺถ เกน วุตฺตาติ? ภควติ กิร ปรินิพฺพุเต ราชคหนคเร เวภารปพฺพตปเสฺส สตฺตปณฺณิคุหาทฺวาเร วิชิตสพฺพสตฺตุนา อชาตสตฺตุนา มคธมหาราเชน ธมฺมสงฺคายนตฺถํ การิเต ปริปุณฺณจนฺทมณฺฑลสงฺกาเส ทฎฺฐพฺพสารมเณฺฑ มณฺฑเป ธมฺมาสนคเตนายสฺมตา อานนฺทเตฺถเรน ‘‘พฺรหฺมา จ โลกาธิปตี’’ติ อยํ คาถา วุตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ อยเมตฺถ คาถาสมฺพโนฺธฯ

    Idāni ‘‘kadā kattha ca kenāyaṃ, gāthā hi samudīritā’’ti imesaṃ pañhānaṃ vissajjanāya okāso anuppatto. Tattha kadā vuttāti? Paṭhamamahāsaṅgītikāle vuttā. Paṭhamamahāsaṅgīti nāmesā saṅgītikkhandhe (cūḷava. 437) vuttanayeneva veditabbā. Kattha kena vuttāti? Bhagavati kira parinibbute rājagahanagare vebhārapabbatapasse sattapaṇṇiguhādvāre vijitasabbasattunā ajātasattunā magadhamahārājena dhammasaṅgāyanatthaṃ kārite paripuṇṇacandamaṇḍalasaṅkāse daṭṭhabbasāramaṇḍe maṇḍape dhammāsanagatenāyasmatā ānandattherena ‘‘brahmā ca lokādhipatī’’ti ayaṃ gāthā vuttāti veditabbā. Ayamettha gāthāsambandho.

    เอตฺตาวตา –

    Ettāvatā –

    ‘‘กทายํ ธมฺมเทสนตฺถํ, อชฺฌิโฎฺฐ พฺรหฺมุนา ชิโน;

    ‘‘Kadāyaṃ dhammadesanatthaṃ, ajjhiṭṭho brahmunā jino;

    กทา กตฺถ จ เกนายํ, คาถา หิ สมุทีริตา’’ติฯ –

    Kadā kattha ca kenāyaṃ, gāthā hi samudīritā’’ti. –

    อยมฺปิ คาถา วุตฺตตฺถา โหติฯ เอวํ อิมินา สมฺพเนฺธน วุตฺตาย ปนสฺสา อนุตฺตานปทวณฺณนํ กริสฺสามฯ

    Ayampi gāthā vuttatthā hoti. Evaṃ iminā sambandhena vuttāya panassā anuttānapadavaṇṇanaṃ karissāma.

    ตตฺถ พฺรหฺมาติ พฺรูหิโต เตหิ เตหิ คุณวิเสเสหีติ พฺรหฺมาฯ อยํ ปน พฺรหฺม-สโทฺท มหาพฺรหฺมพฺราหฺมณตถาคตมาตาปิตุเสฎฺฐาทีสุ ทิสฺสติฯ ตถา หิ ‘‘ทฺวิสหโสฺส พฺรหฺมา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๑๖๖) มหาพฺรหฺมาติ อธิเปฺปโตฯ

    Tattha brahmāti brūhito tehi tehi guṇavisesehīti brahmā. Ayaṃ pana brahma-saddo mahābrahmabrāhmaṇatathāgatamātāpituseṭṭhādīsu dissati. Tathā hi ‘‘dvisahasso brahmā’’tiādīsu (ma. ni. 3.166) mahābrahmāti adhippeto.

    ‘‘ตโมนุโท พุโทฺธ สมนฺตจกฺขุ, โลกนฺตคู สพฺพภวาติวโตฺต;

    ‘‘Tamonudo buddho samantacakkhu, lokantagū sabbabhavātivatto;

    อนาสโว สพฺพทุกฺขปฺปหีโน, สจฺจวฺหโย พฺรเหฺม อุปาสิโต เม’’ติฯ (สุ. นิ. ๑๑๓๙) –

    Anāsavo sabbadukkhappahīno, saccavhayo brahme upāsito me’’ti. (su. ni. 1139) –

    เอตฺถ พฺราหฺมโณฯ ‘‘พฺรหฺมาติ โข, ภิกฺขเว, ตถาคตเสฺสตํ อธิวจน’’นฺติ เอตฺถ ตถาคโตฯ ‘‘พฺรหฺมาติ มาตาปิตโร ปุพฺพาจริยาติ วุจฺจเร’’ติ (อ. นิ. ๓.๓๑; ๔.๖๓; อิติวุ. ๑๐๖; ชา. ๒.๒๐.๑๘๑) เอตฺถ มาตาปิตโรฯ ‘‘พฺรหฺมจกฺกํ ปวเตฺตตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๔๘; สํ. นิ. ๒.๒๑; อ. นิ. ๔.๘; ๕.๑๑; ปฎิ. ม. ๒.๔๔) เอตฺถ เสโฎฺฐ อธิเปฺปโตฯ อิธ ปน ปฐมชฺฌานํ ปณีตํ ภาเวตฺวา ปฐมชฺฌานภูมิยํ นิพฺพโตฺต กปฺปายุโก มหาพฺรหฺมา อธิเปฺปโต (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๓)ฯ -สโทฺท สมฺปิณฺฑนโตฺถ, พฺรหฺมา จ อเญฺญ จ ทสสุ จกฺกวาฬสหเสฺสสุ พฺรหฺมาโน จาติ อโตฺถ, ปทปูรณมโตฺต วาฯ โลกาธิปตีติ เอตฺถ โลโกติ สงฺขารโลโก สตฺตโลโก โอกาสโลโกติ ตโย โลกาฯ เตสุ อิธ สตฺตโลโก อธิเปฺปโตฯ ตสฺส อิสฺสโร อธิปตีติ โลกาธิปติ, โลเกกเทสสฺสาปิ อธิปติ โลกาธิปตีติ วุจฺจติ เทวาธิปติ นราธิปติ วิยฯ

    Ettha brāhmaṇo. ‘‘Brahmāti kho, bhikkhave, tathāgatassetaṃ adhivacana’’nti ettha tathāgato. ‘‘Brahmāti mātāpitaro pubbācariyāti vuccare’’ti (a. ni. 3.31; 4.63; itivu. 106; jā. 2.20.181) ettha mātāpitaro. ‘‘Brahmacakkaṃ pavattetī’’ti (ma. ni. 1.148; saṃ. ni. 2.21; a. ni. 4.8; 5.11; paṭi. ma. 2.44) ettha seṭṭho adhippeto. Idha pana paṭhamajjhānaṃ paṇītaṃ bhāvetvā paṭhamajjhānabhūmiyaṃ nibbatto kappāyuko mahābrahmā adhippeto (ma. ni. aṭṭha. 1.3). Ca-saddo sampiṇḍanattho, brahmā ca aññe ca dasasu cakkavāḷasahassesu brahmāno cāti attho, padapūraṇamatto vā. Lokādhipatīti ettha lokoti saṅkhāraloko sattaloko okāsalokoti tayo lokā. Tesu idha sattaloko adhippeto. Tassa issaro adhipatīti lokādhipati, lokekadesassāpi adhipati lokādhipatīti vuccati devādhipati narādhipati viya.

    สหมฺปตีติ โส กิร กสฺสปสฺส ภควโต สาสเน สหโก นาม เถโร ปฐมชฺฌานํ นิพฺพเตฺตตฺวา อปริหีนชฺฌาโน ชีวิตปริโยสาเน ปฐมชฺฌานภูมิยํ กปฺปายุกมหาพฺรหฺมา หุตฺวา นิพฺพโตฺต, ตตฺร ปน นํ ‘‘สหมฺปติ พฺรหฺมา’’ติ สญฺชานนฺติฯ ‘‘สหกปตี’’ติ วตฺตเพฺพ อนุสฺสราคมํ กตฺวา รุฬฺหีวเสน ‘‘สหมฺปตี’’ติ วทนฺติฯ กตญฺชลีติ กตญฺชลิโก, อญฺชลิปุฎํ สิรสิ กตฺวาติ อโตฺถฯ อนธิวรนฺติ อจฺจนฺตวโร อธิวโร นาสฺส อตฺถีติ อนธิวโร, น ตโต อธิโก วโร อตฺถีติ วา อนธิวโร, อนุตฺตโรติ อโตฺถ, ตํ อนธิวรํฯ อยาจถาติ อยาจิตฺถ อเชฺฌสิฯ

    Sahampatīti so kira kassapassa bhagavato sāsane sahako nāma thero paṭhamajjhānaṃ nibbattetvā aparihīnajjhāno jīvitapariyosāne paṭhamajjhānabhūmiyaṃ kappāyukamahābrahmā hutvā nibbatto, tatra pana naṃ ‘‘sahampati brahmā’’ti sañjānanti. ‘‘Sahakapatī’’ti vattabbe anussarāgamaṃ katvā ruḷhīvasena ‘‘sahampatī’’ti vadanti. Katañjalīti katañjaliko, añjalipuṭaṃ sirasi katvāti attho. Anadhivaranti accantavaro adhivaro nāssa atthīti anadhivaro, na tato adhiko varo atthīti vā anadhivaro, anuttaroti attho, taṃ anadhivaraṃ. Ayācathāti ayācittha ajjhesi.

    อิทานิ ยสฺสตฺถาย โส ภควนฺตํ อยาจิ, ตมตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘สนฺตีธ สตฺตา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ สนฺตีติ สํวิชฺชนฺติ อุปลพฺภนฺติ, พุทฺธจกฺขุสฺส อาปาถํ อาคจฺฉนฺตา อตฺถีติ อโตฺถฯ อิธาติ อยํ เทสาปเทเส นิปาโต ฯ สฺวายํ กตฺถจิ สาสนํ อุปาทาย วุจฺจติฯ ยถาห – ‘‘อิเธว, ภิกฺขเว, สมโณ, อิธ ทุติโย สมโณ, อิธ ตติโย สมโณ, อิธ จตุโตฺถ สมโณ, สุญฺญา ปรปฺปวาทา สมเณภิ อเญฺญหี’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๓๙; ที. นิ. ๒.๒๑๔; อ. นิ. ๔.๒๔๑)ฯ กตฺถจิ โอกาสํ, ยถาห –

    Idāni yassatthāya so bhagavantaṃ ayāci, tamatthaṃ dassetuṃ ‘‘santīdha sattā’’tiādi vuttaṃ. Tattha santīti saṃvijjanti upalabbhanti, buddhacakkhussa āpāthaṃ āgacchantā atthīti attho. Idhāti ayaṃ desāpadese nipāto . Svāyaṃ katthaci sāsanaṃ upādāya vuccati. Yathāha – ‘‘idheva, bhikkhave, samaṇo, idha dutiyo samaṇo, idha tatiyo samaṇo, idha catuttho samaṇo, suññā parappavādā samaṇebhi aññehī’’ti (ma. ni. 1.139; dī. ni. 2.214; a. ni. 4.241). Katthaci okāsaṃ, yathāha –

    ‘‘อิเธว ติฎฺฐมานสฺส, เทวภูตสฺส เม สโต;

    ‘‘Idheva tiṭṭhamānassa, devabhūtassa me sato;

    ปุนรายุ จ เม ลโทฺธ, เอวํ ชานาหิ มาริสา’’ติฯ (ที. นิ. ๒.๓๖๙) –

    Punarāyu ca me laddho, evaṃ jānāhi mārisā’’ti. (dī. ni. 2.369) –

    กตฺถจิ ปทปูรณมตฺตเมว โหติฯ ยถาห – ‘‘อิธาหํ, ภิกฺขเว, ภุตฺตาวี อสฺสํ ปวาริโต’’ติ (ม. นิ. ๑.๓๐)ฯ กตฺถจิ โลกํ อุปาทาย, ยถาห – ‘‘อิธ ตถาคโต โลเก อุปฺปชฺชติ พหุชนหิตาย พหุชนสุขายา’’ติ (อ. นิ. ๑.๑๗๐)ฯ อิธาปิ โลกเมว อุปาทาย วุโตฺตติ เวทิตโพฺพฯ ตสฺมา อิมสฺมิํ สตฺตโลเกติ อโตฺถฯ สตฺตาติ รูปาทีสุ ขเนฺธสุ ฉนฺทราเคน สตฺตา วิสตฺตา อาสตฺตา ลคฺคา ลคิตาติ สตฺตา, สตฺตาติ ปาณิโน วุจฺจนฺติฯ รุฬฺหีสเทฺทน ปน วีตราเคสุปิ อยํ โวหาโร วตฺตติเยวฯ

    Katthaci padapūraṇamattameva hoti. Yathāha – ‘‘idhāhaṃ, bhikkhave, bhuttāvī assaṃ pavārito’’ti (ma. ni. 1.30). Katthaci lokaṃ upādāya, yathāha – ‘‘idha tathāgato loke uppajjati bahujanahitāya bahujanasukhāyā’’ti (a. ni. 1.170). Idhāpi lokameva upādāya vuttoti veditabbo. Tasmā imasmiṃ sattaloketi attho. Sattāti rūpādīsu khandhesu chandarāgena sattā visattā āsattā laggā lagitāti sattā, sattāti pāṇino vuccanti. Ruḷhīsaddena pana vītarāgesupi ayaṃ vohāro vattatiyeva.

    อปฺปรชกฺขชาติกาติ ปญฺญามเย อกฺขิมฺหิ อปฺปํ ปริตฺตํ ราคโทสโมหรชํ เอเตสํ เอวํสภาวา จ เตติ อปฺปรชกฺขชาติกา, อปฺปํ ราคาทิรชเมว วา เยสํ เต อปฺปรชกฺขา, เต อปฺปรชกฺขสภาวา อปฺปรชกฺขชาติกาติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ เตสํ อปฺปรชกฺขชาติกานํฯ ‘‘สตฺตาน’’นฺติ วิภตฺติวิปริณามํ กตฺวา – ‘‘เทเสหิ ธมฺม’’นฺติ อิมินา สมฺพนฺธํ กตฺวา อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ เทเสหีติ อายาจนวจนเมตํ, เทเสหิ กเถหิ อุปทิสาติ อโตฺถฯ ธมฺมนฺติ เอตฺถ อยํ ธมฺม-สโทฺท ปริยตฺติสมาธิปญฺญาปกติสภาวสุญฺญตาปุญฺญอาปตฺติเญยฺยจตุสจฺจธมฺมาทีสุ ทิสฺสติฯ ตถา หิ – ‘‘อิธ ภิกฺขุ ธมฺมํ ปริยาปุณาติ สุตฺตํ เคยฺยํ เวยฺยากรณํ…เป.… เวทลฺล’’นฺติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๓๙; อ. นิ. ๔.๑๐๒) ปริยตฺติยํ ทิสฺสติฯ ‘‘เอวํธมฺมา เต ภควโนฺต อเหสุ’’นฺติอาทีสุ สมาธิมฺหิฯ

    Apparajakkhajātikāti paññāmaye akkhimhi appaṃ parittaṃ rāgadosamoharajaṃ etesaṃ evaṃsabhāvā ca teti apparajakkhajātikā, appaṃ rāgādirajameva vā yesaṃ te apparajakkhā, te apparajakkhasabhāvā apparajakkhajātikāti evamettha attho daṭṭhabbo. Tesaṃ apparajakkhajātikānaṃ. ‘‘Sattāna’’nti vibhattivipariṇāmaṃ katvā – ‘‘desehi dhamma’’nti iminā sambandhaṃ katvā attho daṭṭhabbo. Desehīti āyācanavacanametaṃ, desehi kathehi upadisāti attho. Dhammanti ettha ayaṃ dhamma-saddo pariyattisamādhipaññāpakatisabhāvasuññatāpuññaāpattiñeyyacatusaccadhammādīsu dissati. Tathā hi – ‘‘idha bhikkhu dhammaṃ pariyāpuṇāti suttaṃ geyyaṃ veyyākaraṇaṃ…pe… vedalla’’ntiādīsu (ma. ni. 1.239; a. ni. 4.102) pariyattiyaṃ dissati. ‘‘Evaṃdhammā te bhagavanto ahesu’’ntiādīsu samādhimhi.

    ‘‘ยเสฺสเต จตุโร ธมฺมา, วานรินฺท ยถา ตว;

    ‘‘Yassete caturo dhammā, vānarinda yathā tava;

    สจฺจํ ธโมฺม ธิติ จาโค, ทิฎฺฐํ โส อติวตฺตตี’’ติฯ –

    Saccaṃ dhammo dhiti cāgo, diṭṭhaṃ so ativattatī’’ti. –

    อาทีสุ (ชา. ๑.๒.๑๔๗) ปญฺญายฯ ‘‘ชาติธมฺมา ชราธมฺมา, อโถ มรณธมฺมิโน’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๓.๓๙) ปกติยํฯ ‘‘กุสลา ธมฺมา, อกุสลา ธมฺมา, อพฺยากตา ธมฺมา’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ติกมาติกา) สภาเวฯ ‘‘ตสฺมิํ โข ปน สมเย ธมฺมา โหนฺติ ขนฺธา โหนฺตี’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๑๒๑) สุญฺญตายํฯ ‘‘ธโมฺม สุจิโณฺณ สุขมาวหาตี’’ติอาทีสุ (สุ. นิ. ๑๘๔; เถรคา. ๓๐๓; ชา. ๑.๑๐.๑๐๒; ๑.๑๕.๓๘๕) ปุเญฺญฯ ‘‘เทฺว อนิยตา ธมฺมา’’ติอาทีสุ อาปตฺติยํฯ ‘‘สเพฺพ ธมฺมา สพฺพากาเรน พุทฺธสฺส ภควโต ญาณมุเข อาปาถํ อาคจฺฉนฺตี’’ติอาทีสุ (มหานิ. ๑๕๖; จูฬนิ. โมฆราชมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๘๕) เญเยฺยฯ ‘‘ทิฎฺฐธโมฺม ปตฺตธโมฺม วิทิตธโมฺม’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๒๙๙; มหาว. ๒๗, ๕๗) จตุสจฺจธเมฺมฯ อิธาปิ จตุสจฺจธเมฺม ทฎฺฐโพฺพ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.สุตฺตนิเกฺขปวณฺณนา; ธ. ส. อฎฺฐ. จิตฺตุปฺปาทกณฺฑ ๑)ฯ อนุกมฺปาติ อนุกมฺปํ อนุทฺทยํ กโรหิฯ อิมนฺติ ปชํ นิทฺทิสโนฺต อาหฯ ปชนฺติ ปชาตตฺตา ปชา, ตํ ปชํ, สตฺตนิกายํ สํสารทุกฺขโต โมเจหีติ อธิปฺปาโยฯ เกจิ ปน –

    Ādīsu (jā. 1.2.147) paññāya. ‘‘Jātidhammā jarādhammā, atho maraṇadhammino’’tiādīsu (a. ni. 3.39) pakatiyaṃ. ‘‘Kusalā dhammā, akusalā dhammā, abyākatā dhammā’’tiādīsu (dha. sa. tikamātikā) sabhāve. ‘‘Tasmiṃ kho pana samaye dhammā honti khandhā hontī’’tiādīsu (dha. sa. 121) suññatāyaṃ. ‘‘Dhammo suciṇṇo sukhamāvahātī’’tiādīsu (su. ni. 184; theragā. 303; jā. 1.10.102; 1.15.385) puññe. ‘‘Dve aniyatā dhammā’’tiādīsu āpattiyaṃ. ‘‘Sabbe dhammā sabbākārena buddhassa bhagavato ñāṇamukhe āpāthaṃ āgacchantī’’tiādīsu (mahāni. 156; cūḷani. mogharājamāṇavapucchāniddesa 85) ñeyye. ‘‘Diṭṭhadhammo pattadhammo viditadhammo’’tiādīsu (dī. ni. 1.299; mahāva. 27, 57) catusaccadhamme. Idhāpi catusaccadhamme daṭṭhabbo (ma. ni. aṭṭha. 1.suttanikkhepavaṇṇanā; dha. sa. aṭṭha. cittuppādakaṇḍa 1). Anukampāti anukampaṃ anuddayaṃ karohi. Imanti pajaṃ niddisanto āha. Pajanti pajātattā pajā, taṃ pajaṃ, sattanikāyaṃ saṃsāradukkhato mocehīti adhippāyo. Keci pana –

    ‘‘ภควาติ โลกาธิปตี นรุตฺตโม,

    ‘‘Bhagavāti lokādhipatī naruttamo,

    กตญฺชลี พฺรหฺมคเณหิ ยาจิโต’’ติฯ –

    Katañjalī brahmagaṇehi yācito’’ti. –

    ปฐนฺติฯ เอตฺตาวตา สพฺพโส อยํ คาถา วุตฺตตฺถา โหติฯ

    Paṭhanti. Ettāvatā sabbaso ayaṃ gāthā vuttatthā hoti.

    อถ ภควโต ตํ พฺรหฺมุโน สหมฺปติสฺส อายาจนวจนํ สุตฺวา อปริมิตสมยสมุทิตกรุณาพลสฺส ทสพลสฺส ปรหิตกรณนิปุณมติจารสฺส สพฺพสเตฺตสุ โอกาสกรณมเตฺตน มหากรุณา อุทปาทิฯ ตํ ปน ภควโต กรุณุปฺปตฺติํ ทเสฺสเนฺตหิ สงฺคีติกาเล สงฺคีติการเกหิ –

    Atha bhagavato taṃ brahmuno sahampatissa āyācanavacanaṃ sutvā aparimitasamayasamuditakaruṇābalassa dasabalassa parahitakaraṇanipuṇamaticārassa sabbasattesu okāsakaraṇamattena mahākaruṇā udapādi. Taṃ pana bhagavato karuṇuppattiṃ dassentehi saṅgītikāle saṅgītikārakehi –

    .

    2.

    ‘‘สมฺปนฺนวิชฺชาจรณสฺส ตาทิโน, ชุตินฺธรสฺสนฺติมเทหธาริโน;

    ‘‘Sampannavijjācaraṇassa tādino, jutindharassantimadehadhārino;

    ตถาคตสฺสปฺปฎิปุคฺคลสฺส, อุปฺปชฺชิ การุญฺญตา สพฺพสเตฺต’’ติฯ –

    Tathāgatassappaṭipuggalassa, uppajji kāruññatā sabbasatte’’ti. –

    อยํ คาถา ฐปิตาฯ

    Ayaṃ gāthā ṭhapitā.

    ตตฺถ สมฺปนฺนวิชฺชาจรณสฺสาติ สมฺปนฺนํ นาม ติวิธํ ปริปุณฺณสมงฺคิมธุรวเสนฯ ตตฺถ –

    Tattha sampannavijjācaraṇassāti sampannaṃ nāma tividhaṃ paripuṇṇasamaṅgimadhuravasena. Tattha –

    ‘‘สมฺปนฺนํ สาลิเกทารํ, สุวา ภุญฺชนฺติ โกสิย;

    ‘‘Sampannaṃ sālikedāraṃ, suvā bhuñjanti kosiya;

    ปฎิเวเทมิ เต พฺรเหฺม, น นํ วาเรตุมุสฺสเห’’ติฯ (ชา. ๑.๑๔.๑) –

    Paṭivedemi te brahme, na naṃ vāretumussahe’’ti. (jā. 1.14.1) –

    อิทํ ปริปุณฺณสมฺปนฺนํ นามฯ ‘‘อิมินา ปาติโมกฺขสํวเรน อุเปโต โหติ สมุเปโต อุปคโต สมุปคโต สมฺปโนฺน สมนฺนาคโต’’ติ (วิภ. ๕๑๑) อิทํ สมงฺคิสมฺปนฺนํ นามฯ ‘‘อิมิสฺสา, ภเนฺต, มหาปถวิยา เหฎฺฐิมตลํ สมฺปนฺนํ, เสยฺยถาปิ ขุทฺทมธุํ อนีลกํ, เอวมสฺสาท’’นฺติ (ปารา. ๑๘) อิทํ มธุรสมฺปนฺนํ นามฯ อิธ ปริปุณฺณสมฺปนฺนมฺปิ สมงฺคิสมฺปนฺนมฺปิ ยุชฺชติ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๖๔)ฯ วิชฺชาติ ปฎิปกฺขธเมฺม วิชฺฌนเฎฺฐน วิทิตกรณเฎฺฐน วินฺทิตพฺพเฎฺฐน จ วิชฺชาฯ ตา ปน ติโสฺสปิ วิชฺชา อฎฺฐปิ วิชฺชาฯ ติโสฺส วิชฺชา ภยเภรวสุเตฺต (ม. นิ. ๑.๕๐ อาทโย) อาคตนเยเนว เวทิตพฺพา, อฎฺฐ อมฺพฎฺฐสุเตฺต (ที. นิ. ๑.๒๗๘ อาทโย)ฯ ตตฺร หิ วิปสฺสนาญาเณน มโนมยิทฺธิยา จ สห ฉ อภิญฺญา ปริคฺคเหตฺวา อฎฺฐ วิชฺชา วุตฺตาฯ จรณนฺติ สีลสํวโร อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวารตา โภชเน มตฺตญฺญุตา ชาคริยานุโยโค สทฺธา หิรี โอตฺตปฺปํ พาหุสจฺจํ อารทฺธวีริยตา อุปฎฺฐิตสฺสติตา ปญฺญาสมฺปนฺนตา จตฺตาริ รูปาวจรชฺฌานานีติ อิเม ปนฺนรส ธมฺมา เวทิตพฺพาฯ อิเมเยว หิ ปนฺนรส ธมฺมา ยสฺมา เอเตหิ จรติ อริยสาวโก คจฺฉติ อมตํ ทิสํ, ตสฺมา ‘‘จรณ’’นฺติ วุตฺตาฯ ยถาห – ‘‘อิธ, มหานาม, อริยสาวโก สีลวา โหตี’’ติ (ม. นิ. ๒.๒๔) สพฺพํ มชฺฌิมปณฺณาสเก วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ วิชฺชา จ จรณญฺจ วิชฺชาจรณานิ, สมฺปนฺนานิ ปริปุณฺณานิ วิชฺชาจรณานิ ยสฺส โสยํ สมฺปนฺนวิชฺชาจรโณ, วิชฺชาจรเณหิ สมฺปโนฺน สมงฺคีภูโต, สมนฺนาคโตติ วา สมฺปนฺนวิชฺชาจรโณฯ อุภยถาปิ อโตฺถ ยุชฺชเตว, ตสฺส สมฺปนฺนวิชฺชาจรณสฺส (ปารา. อฎฺฐ. ๑.๑ เวรญฺชกณฺฑวณฺณนา)ฯ

    Idaṃ paripuṇṇasampannaṃ nāma. ‘‘Iminā pātimokkhasaṃvarena upeto hoti samupeto upagato samupagato sampanno samannāgato’’ti (vibha. 511) idaṃ samaṅgisampannaṃ nāma. ‘‘Imissā, bhante, mahāpathaviyā heṭṭhimatalaṃ sampannaṃ, seyyathāpi khuddamadhuṃ anīlakaṃ, evamassāda’’nti (pārā. 18) idaṃ madhurasampannaṃ nāma. Idha paripuṇṇasampannampi samaṅgisampannampi yujjati (ma. ni. aṭṭha. 1.64). Vijjāti paṭipakkhadhamme vijjhanaṭṭhena viditakaraṇaṭṭhena vinditabbaṭṭhena ca vijjā. Tā pana tissopi vijjā aṭṭhapi vijjā. Tisso vijjā bhayabheravasutte (ma. ni. 1.50 ādayo) āgatanayeneva veditabbā, aṭṭha ambaṭṭhasutte (dī. ni. 1.278 ādayo). Tatra hi vipassanāñāṇena manomayiddhiyā ca saha cha abhiññā pariggahetvā aṭṭha vijjā vuttā. Caraṇanti sīlasaṃvaro indriyesu guttadvāratā bhojane mattaññutā jāgariyānuyogo saddhā hirī ottappaṃ bāhusaccaṃ āraddhavīriyatā upaṭṭhitassatitā paññāsampannatā cattāri rūpāvacarajjhānānīti ime pannarasa dhammā veditabbā. Imeyeva hi pannarasa dhammā yasmā etehi carati ariyasāvako gacchati amataṃ disaṃ, tasmā ‘‘caraṇa’’nti vuttā. Yathāha – ‘‘idha, mahānāma, ariyasāvako sīlavā hotī’’ti (ma. ni. 2.24) sabbaṃ majjhimapaṇṇāsake vuttanayeneva veditabbaṃ. Vijjā ca caraṇañca vijjācaraṇāni, sampannāni paripuṇṇāni vijjācaraṇāni yassa soyaṃ sampannavijjācaraṇo, vijjācaraṇehi sampanno samaṅgībhūto, samannāgatoti vā sampannavijjācaraṇo. Ubhayathāpi attho yujjateva, tassa sampannavijjācaraṇassa (pārā. aṭṭha. 1.1 verañjakaṇḍavaṇṇanā).

    ตาทิโนติ ‘‘อิเฎฺฐปิ ตาที อนิเฎฺฐปิ ตาที’’ติอาทินา นเยน มหานิเทฺทเส (มหานิ. ๓๘, ๑๙๒) อาคตตาทิลกฺขเณน ตาทิโน, อิฎฺฐานิฎฺฐาทีสุ อวิการสฺส ตาทิสสฺสาติ อโตฺถฯ ชุตินฺธรสฺสาติ ชุติมโต, ยุคนฺธเร สรทสมเย สมุทิตทิวสกราติเรกตรสสฺสิริกสรีรชุติวิสรธรสฺสาติ อโตฺถฯ ‘‘ปญฺญาปโชฺชตธรสฺสา’’ติ วา วตฺตุํ วฎฺฎติฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Tādinoti ‘‘iṭṭhepi tādī aniṭṭhepi tādī’’tiādinā nayena mahāniddese (mahāni. 38, 192) āgatatādilakkhaṇena tādino, iṭṭhāniṭṭhādīsu avikārassa tādisassāti attho. Jutindharassāti jutimato, yugandhare saradasamaye samuditadivasakarātirekatarasassirikasarīrajutivisaradharassāti attho. ‘‘Paññāpajjotadharassā’’ti vā vattuṃ vaṭṭati. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘จตฺตาโร โลเก ปโชฺชตา, ปญฺจเมตฺถ น วิชฺชติ;

    ‘‘Cattāro loke pajjotā, pañcamettha na vijjati;

    ทิวา ตปติ อาทิโจฺจ, รตฺติมาภาติ จนฺทิมาฯ

    Divā tapati ādicco, rattimābhāti candimā.

    ‘‘อถ อคฺคิ ทิวารตฺติํ, ตตฺถ ตตฺถ ปภาสติ;

    ‘‘Atha aggi divārattiṃ, tattha tattha pabhāsati;

    สมฺพุโทฺธ ตปตํ เสโฎฺฐ, เอสา อาภา อนุตฺตรา’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๒๖, ๘๕);

    Sambuddho tapataṃ seṭṭho, esā ābhā anuttarā’’ti. (saṃ. ni. 1.26, 85);

    ตสฺมา อุภยถาปิ สรีรปญฺญาชุติวิสรธรสฺสาติ อโตฺถฯ อนฺติมเทหธาริโนติ สพฺพปจฺฉิมสรีรธาริโน, อปุนพฺภวสฺสาติ อโตฺถฯ

    Tasmā ubhayathāpi sarīrapaññājutivisaradharassāti attho. Antimadehadhārinoti sabbapacchimasarīradhārino, apunabbhavassāti attho.

    ตถาคตสฺสาติ เอตฺถ อฎฺฐหิ การเณหิ ภควา ‘‘ตถาคโต’’ติ วุจฺจติฯ กตเมหิ อฎฺฐหิ? ตถา อาคโตติ ตถาคโต, ตถา คโตติ ตถาคโต, ตถลกฺขณํ อาคโตติ ตถาคโต, ตถธเมฺม ยาถาวโต อภิสมฺพุโทฺธติ ตถาคโต, ตถทสฺสิตาย ตถาคโต, ตถวาทิตาย ตถาคโต, ตถาการิตาย ตถาคโต, อภิภวนเฎฺฐน ตถาคโตติฯ

    Tathāgatassāti ettha aṭṭhahi kāraṇehi bhagavā ‘‘tathāgato’’ti vuccati. Katamehi aṭṭhahi? Tathā āgatoti tathāgato, tathā gatoti tathāgato, tathalakkhaṇaṃ āgatoti tathāgato, tathadhamme yāthāvato abhisambuddhoti tathāgato, tathadassitāya tathāgato, tathavāditāya tathāgato, tathākāritāya tathāgato, abhibhavanaṭṭhena tathāgatoti.

    กถํ ภควา ตถา อาคโตติ ตถาคโต? ยถา เยน อภินีหาเรน ทานปารมิํ ปูเรตฺวา สีลเนกฺขมฺมปญฺญาวีริยขนฺติสจฺจอธิฎฺฐานเมตฺตุเปกฺขาปารมิํ ปูเรตฺวา อิมา ทส ปารมิโย ทส อุปปารมิโย ทส ปรมตฺถปารมิโยติ สมตฺติํส ปารมิโย ปูเรตฺวา องฺคปริจฺจาคํ ชีวิตปริจฺจาคํ ธนรชฺชปุตฺตทารปริจฺจาคนฺติ อิเม ปญฺจ มหาปริจฺจาเค ปริจฺจชิตฺวา ยถา วิปสฺสิอาทโย สมฺมาสมฺพุทฺธา อาคตา, ตถา อมฺหากมฺปิ ภควา อาคโตติ ตถาคโตฯ ยถาห –

    Kathaṃ bhagavā tathā āgatoti tathāgato? Yathā yena abhinīhārena dānapāramiṃ pūretvā sīlanekkhammapaññāvīriyakhantisaccaadhiṭṭhānamettupekkhāpāramiṃ pūretvā imā dasa pāramiyo dasa upapāramiyo dasa paramatthapāramiyoti samattiṃsa pāramiyo pūretvā aṅgapariccāgaṃ jīvitapariccāgaṃ dhanarajjaputtadārapariccāganti ime pañca mahāpariccāge pariccajitvā yathā vipassiādayo sammāsambuddhā āgatā, tathā amhākampi bhagavā āgatoti tathāgato. Yathāha –

    ‘‘ยเถว โลกมฺหิ วิปสฺสิอาทโย, สพฺพญฺญุภาวํ มุนโย อิธาคตา;

    ‘‘Yatheva lokamhi vipassiādayo, sabbaññubhāvaṃ munayo idhāgatā;

    ตถา อยํ สกฺยมุนีปิ อาคโต, ตถาคโต วุจฺจติ เตน จกฺขุมา’’ติฯ

    Tathā ayaṃ sakyamunīpi āgato, tathāgato vuccati tena cakkhumā’’ti.

    กถํ ตถา คโตติ ตถาคโต? ยถา สมฺปติชาตา วิปสฺสิอาทโย สเมหิ ปาเทหิ ปถวิยํ ปติฎฺฐาย อุตฺตราภิมุขา สตฺตปทวีติหาเรน คตา, ตถา อมฺหากมฺปิ ภควา คโตติ ตถาคโตฯ ยถาห –

    Kathaṃ tathā gatoti tathāgato? Yathā sampatijātā vipassiādayo samehi pādehi pathaviyaṃ patiṭṭhāya uttarābhimukhā sattapadavītihārena gatā, tathā amhākampi bhagavā gatoti tathāgato. Yathāha –

    ‘‘มุหุตฺตชาโตว ควมฺปตี ยถา, สเมหิ ปาเทหิ ผุสี วสุนฺธรํ;

    ‘‘Muhuttajātova gavampatī yathā, samehi pādehi phusī vasundharaṃ;

    โส วิกฺกมี สตฺตปทานิ โคตโม, เสตญฺจ ฉตฺตํ อนุธารยุํ มรูฯ

    So vikkamī sattapadāni gotamo, setañca chattaṃ anudhārayuṃ marū.

    ‘‘คนฺตฺวาน โส สตฺตปทานิ โคตโม, ทิสา วิโลเกสิ สมา สมนฺตโต;

    ‘‘Gantvāna so sattapadāni gotamo, disā vilokesi samā samantato;

    อฎฺฐงฺคุเปตํ คิรมพฺภุทีรยี, สีโห ยถา ปพฺพตมุทฺธนิฎฺฐิโต’’ติฯ

    Aṭṭhaṅgupetaṃ giramabbhudīrayī, sīho yathā pabbatamuddhaniṭṭhito’’ti.

    กถํ ตถลกฺขณํ อาคโตติ ตถาคโต? สเพฺพสํ รูปารูปธมฺมานํ สลกฺขณํ สามญฺญลกฺขณญฺจ ตถํ อวิตถํ ญาณคติยา อาคโต อวิรชฺฌิตฺวา ปโตฺต อนุพุโทฺธติ ตถาคโตฯ

    Kathaṃ tathalakkhaṇaṃ āgatoti tathāgato? Sabbesaṃ rūpārūpadhammānaṃ salakkhaṇaṃ sāmaññalakkhaṇañca tathaṃ avitathaṃ ñāṇagatiyā āgato avirajjhitvā patto anubuddhoti tathāgato.

    ‘‘สเพฺพสํ ปน ธมฺมานํ, สกสามญฺญลกฺขณํ;

    ‘‘Sabbesaṃ pana dhammānaṃ, sakasāmaññalakkhaṇaṃ;

    ตถเมวาคโต ยสฺมา, ตสฺมา สตฺถา ตถาคโต’’ติฯ

    Tathamevāgato yasmā, tasmā satthā tathāgato’’ti.

    กถํ ตถธเมฺม ยาถาวโต อภิสมฺพุโทฺธติ ตถาคโต? ตถธมฺมา นาม จตฺตาริ อริยสจฺจานิฯ ยถาห – ‘‘จตฺตาริมานิ, ภิกฺขเว, ตถานิ อวิตถานิ อนญฺญถานิฯ กตมานิ จตฺตาริ? ‘อิทํ ทุกฺข’นฺติ, ภิกฺขเว, ตถเมตํ อวิตถเมตํ อนญฺญถเมต’’นฺติ (สํ. นิ. ๕.๑๐๙๐) วิตฺถาโรฯ ตานิ จ ภควา อภิสมฺพุโทฺธ, ตสฺมา ตถานํ อภิสมฺพุทฺธตฺตา ‘‘ตถาคโต’’ติ วุจฺจติฯ อภิสมฺพุทฺธโตฺถ หิ เอตฺถ คตสโทฺทฯ

    Kathaṃ tathadhamme yāthāvato abhisambuddhoti tathāgato? Tathadhammā nāma cattāri ariyasaccāni. Yathāha – ‘‘cattārimāni, bhikkhave, tathāni avitathāni anaññathāni. Katamāni cattāri? ‘Idaṃ dukkha’nti, bhikkhave, tathametaṃ avitathametaṃ anaññathameta’’nti (saṃ. ni. 5.1090) vitthāro. Tāni ca bhagavā abhisambuddho, tasmā tathānaṃ abhisambuddhattā ‘‘tathāgato’’ti vuccati. Abhisambuddhattho hi ettha gatasaddo.

    ‘‘ตถนามานิ สจฺจานิ, อภิสมฺพุชฺฌิ นายโก;

    ‘‘Tathanāmāni saccāni, abhisambujjhi nāyako;

    ตสฺมา ตถานํ สจฺจานํ, สมฺพุทฺธตฺตา ตถาคโต’’ฯ

    Tasmā tathānaṃ saccānaṃ, sambuddhattā tathāgato’’.

    กถํ ตถทสฺสิตาย ตถาคโต? ภควา หิ อปริมาณาสุ โลกธาตูสุ อปริมาณานํ สตฺตานํ จกฺขุโสตฆาณชิวฺหากายมโนทฺวาเรสุ อาปาถํ อาคจฺฉนฺตํ รูปสทฺทคนฺธรสโผฎฺฐพฺพธมฺมารมฺมณํ ตถาคโต สพฺพาการโต ชานาติ ปสฺสตีติ, เอวํ ตถทสฺสิตาย ตถาคโตฯ อถ วา ยํ โลเก ตถํ, ตํ โลกสฺส ตเถว ทเสฺสติฯ ตโตปิ ภควา ตถาคโตฯ เอตฺถ ตถทสฺสิอเตฺถ ‘‘ตถาคโต’’ติ ปทสมฺภโว เวทิตโพฺพฯ

    Kathaṃ tathadassitāya tathāgato? Bhagavā hi aparimāṇāsu lokadhātūsu aparimāṇānaṃ sattānaṃ cakkhusotaghāṇajivhākāyamanodvāresu āpāthaṃ āgacchantaṃ rūpasaddagandharasaphoṭṭhabbadhammārammaṇaṃ tathāgato sabbākārato jānāti passatīti, evaṃ tathadassitāya tathāgato. Atha vā yaṃ loke tathaṃ, taṃ lokassa tatheva dasseti. Tatopi bhagavā tathāgato. Ettha tathadassiatthe ‘‘tathāgato’’ti padasambhavo veditabbo.

    ‘‘ตถากาเรน โย ธเมฺม, ชานาติ อนุปสฺสติ;

    ‘‘Tathākārena yo dhamme, jānāti anupassati;

    ตถทสฺสีติ สมฺพุโทฺธ, ตสฺมา วุโตฺต ตถาคโต’’ฯ

    Tathadassīti sambuddho, tasmā vutto tathāgato’’.

    กถํ ตถวาทิตาย ตถาคโต? ยญฺจ อภิสโมฺพธิยา ปรินิพฺพานสฺส จ อนฺตเร ปญฺจจตฺตาลีสวสฺสปริมาณกาเล สุตฺตาทินวงฺคสงฺคหิตํ ภาสิตํ ลปิตํ ตถาคเตน, สพฺพํ ตํ เอกตุลาย ตุลิตํ วิย ตถเมว อวิตถเมว โหติฯ เตเนวาห –

    Kathaṃ tathavāditāya tathāgato? Yañca abhisambodhiyā parinibbānassa ca antare pañcacattālīsavassaparimāṇakāle suttādinavaṅgasaṅgahitaṃ bhāsitaṃ lapitaṃ tathāgatena, sabbaṃ taṃ ekatulāya tulitaṃ viya tathameva avitathameva hoti. Tenevāha –

    ‘‘ยญฺจ, จุนฺท, รตฺติํ ตถาคโต อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุชฺฌติ, ยญฺจ รตฺติํ อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายติ, ยํ เอตสฺมิํ อนฺตเร ภาสติ ลปติ นิทฺทิสติ, สพฺพํ ตํ ตเถว โหติ, โน อญฺญถาฯ ตสฺมา ‘ตถาคโต’ติ วุจฺจตี’’ติฯ

    ‘‘Yañca, cunda, rattiṃ tathāgato anuttaraṃ sammāsambodhiṃ abhisambujjhati, yañca rattiṃ anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbāyati, yaṃ etasmiṃ antare bhāsati lapati niddisati, sabbaṃ taṃ tatheva hoti, no aññathā. Tasmā ‘tathāgato’ti vuccatī’’ti.

    เอตฺถ ปน คทอโตฺถ หิ คตสโทฺทฯ เอวํ ตถวาทิตาย ตถาคโตฯ อาคทนํ อาคโท, วจนนฺติ อโตฺถฯ ตโถ อวิปรีโต อาคโท อสฺสาติ ตถาคโตฯ ท-การสฺส ต-การํ กตฺวา วุโตฺตฯ

    Ettha pana gadaattho hi gatasaddo. Evaṃ tathavāditāya tathāgato. Āgadanaṃ āgado, vacananti attho. Tatho aviparīto āgado assāti tathāgato. Da-kārassa ta-kāraṃ katvā vutto.

    ‘‘ตถาวาที ชิโน ยสฺมา, ตถธมฺมปฺปกาสโก;

    ‘‘Tathāvādī jino yasmā, tathadhammappakāsako;

    ตถามาคทนญฺจสฺส, ตสฺมา พุโทฺธ ตถาคโต’’ฯ

    Tathāmāgadanañcassa, tasmā buddho tathāgato’’.

    กถํ ตถาการิตาย ตถาคโต? ภควา หิ ยํ ยํ วาจํ อภาสิ, ตํ ตํ เอว กาเยน กโรติ, วาจาย กาโย อนุโลเมติ, กายสฺสปิ วาจาฯ เตเนวาห –

    Kathaṃ tathākāritāya tathāgato? Bhagavā hi yaṃ yaṃ vācaṃ abhāsi, taṃ taṃ eva kāyena karoti, vācāya kāyo anulometi, kāyassapi vācā. Tenevāha –

    ‘‘ยถา วาที, ภิกฺขเว, ตถาคโต ตถา การี, ยถา การี ตถา วาที…เป.… ตสฺมา ‘ตถาคโต’ติ วุจฺจตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๓; จูฬนิ. โปสาลมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๘๓)ฯ

    ‘‘Yathā vādī, bhikkhave, tathāgato tathā kārī, yathā kārī tathā vādī…pe… tasmā ‘tathāgato’ti vuccatī’’ti (a. ni. 4.23; cūḷani. posālamāṇavapucchāniddesa 83).

    ยถา จ วาจา คตา, กาโยปิ ตถา คโต, ยถา กาโย คโต, วาจาปิ ตถา คตาฯ เอวํ ตถาการิตาย ตถาคโตฯ

    Yathā ca vācā gatā, kāyopi tathā gato, yathā kāyo gato, vācāpi tathā gatā. Evaṃ tathākāritāya tathāgato.

    ‘‘ยถา วาจา คตา ตสฺส, ตถา กาโย คโต ยโต;

    ‘‘Yathā vācā gatā tassa, tathā kāyo gato yato;

    ตถาวาทิตาย สมฺพุโทฺธ, สตฺถา ตสฺมา ตถาคโต’’ฯ

    Tathāvāditāya sambuddho, satthā tasmā tathāgato’’.

    กถํ อภิภวนเฎฺฐน ตถาคโต? อุปริ ภวคฺคํ เหฎฺฐา อวีจิํ ปริยนฺตํ กตฺวา ติริยํ อปริมาณาสุ โลกธาตูสุ สพฺพสเตฺต อภิภวติ สีเลนปิ สมาธินาปิ ปญฺญายปิ วิมุตฺติยาปิ วิมุตฺติญาณทสฺสเนนปิ, น ตสฺส ตุลา วา ปมาณํ วา อตฺถิ, อถ โข อตุโล อปฺปเมโยฺย อนุตฺตโรฯ เตเนวาห –

    Kathaṃ abhibhavanaṭṭhena tathāgato? Upari bhavaggaṃ heṭṭhā avīciṃ pariyantaṃ katvā tiriyaṃ aparimāṇāsu lokadhātūsu sabbasatte abhibhavati sīlenapi samādhināpi paññāyapi vimuttiyāpi vimuttiñāṇadassanenapi, na tassa tulā vā pamāṇaṃ vā atthi, atha kho atulo appameyyo anuttaro. Tenevāha –

    ‘‘สเทวเก, ภิกฺขเว, โลเก…เป.… ตถาคโต อภิภู อนภิภูโต อญฺญทตฺถุ ทโส วสวตฺตี, ตสฺมา ‘ตถาคโต’ติ วุจฺจตี’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๓; โปสาลมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๘๓)ฯ

    ‘‘Sadevake, bhikkhave, loke…pe… tathāgato abhibhū anabhibhūto aññadatthu daso vasavattī, tasmā ‘tathāgato’ti vuccatī’’ti (a. ni. 1.23; posālamāṇavapucchāniddesa 83).

    ตเตฺรวํ ปทสิทฺธิ เวทิตพฺพา – อคโท วิย อคโทฯ โก ปเนส? เทสนาวิลาโส เจว ปุญฺญุสฺสโย จฯ เตน เหส มหานุภาโว ภิสโกฺก ทิพฺพาคเทน สเปฺป วิย สพฺพปรปฺปวาทิโน สเทวกญฺจ โลกํ อภิภวติ, อิติ สพฺพโลกาภิภวนโต อวิปรีโต เทสนาวิลาโส เจว ปุญฺญุสฺสโย จ อคโท อสฺสาติ ท-การสฺส ต-การํ กตฺวา ‘‘ตถาคโต’’ติ เวทิตโพฺพฯ เอวํ อภิภวนเฎฺฐน ตถาคโตฯ

    Tatrevaṃ padasiddhi veditabbā – agado viya agado. Ko panesa? Desanāvilāso ceva puññussayo ca. Tena hesa mahānubhāvo bhisakko dibbāgadena sappe viya sabbaparappavādino sadevakañca lokaṃ abhibhavati, iti sabbalokābhibhavanato aviparīto desanāvilāso ceva puññussayo ca agado assāti da-kārassa ta-kāraṃ katvā ‘‘tathāgato’’ti veditabbo. Evaṃ abhibhavanaṭṭhena tathāgato.

    ‘‘ตโถ อวิปรีโต จ, อคโท ยสฺส สตฺถุโน;

    ‘‘Tatho aviparīto ca, agado yassa satthuno;

    วสวตฺตีติ โส เตน, โหติ สตฺถา ตถาคโต’’ฯ

    Vasavattīti so tena, hoti satthā tathāgato’’.

    อปฺปฎิปุคฺคลสฺสาติ ปฎิปุคฺคลวิรหิตสฺส, อโญฺญ โกจิ ‘‘อหํ พุโทฺธ’’ติ เอวํ ปฎิญฺญํ ทาตุํ สมโตฺถ นามสฺส ปุคฺคโล, นตฺถีติ อปฺปฎิปุคฺคโล, ตสฺส อปฺปฎิปุคฺคลสฺสฯ อุปฺปชฺชีติ อุปฺปโนฺน อุทปาทิฯ การุญฺญตาติ กรุณาย ภาโว การุญฺญตาฯ สพฺพสเตฺตติ นิรวเสสสตฺตปริยาทานวจนํ, สกเล สตฺตนิกาเยติ อโตฺถฯ เอตฺตาวตา อยมฺปิ คาถา วุตฺตตฺถา โหติฯ

    Appaṭipuggalassāti paṭipuggalavirahitassa, añño koci ‘‘ahaṃ buddho’’ti evaṃ paṭiññaṃ dātuṃ samattho nāmassa puggalo, natthīti appaṭipuggalo, tassa appaṭipuggalassa. Uppajjīti uppanno udapādi. Kāruññatāti karuṇāya bhāvo kāruññatā. Sabbasatteti niravasesasattapariyādānavacanaṃ, sakale sattanikāyeti attho. Ettāvatā ayampi gāthā vuttatthā hoti.

    อถ ภควา พฺรหฺมุนา ธมฺมเทสนตฺถาย อายาจิโต สเตฺตสุ การุญฺญตํ อุปฺปาเทตฺวา ธมฺมํ เทเสตุกาโม มหาพฺรหฺมานํ คาถาย อชฺฌภาสิ –

    Atha bhagavā brahmunā dhammadesanatthāya āyācito sattesu kāruññataṃ uppādetvā dhammaṃ desetukāmo mahābrahmānaṃ gāthāya ajjhabhāsi –

    ‘‘อปารุตา เตสํ อมตสฺส ทฺวารา, เย โสตวโนฺต ปมุญฺจนฺตุ สทฺธํ;

    ‘‘Apārutā tesaṃ amatassa dvārā, ye sotavanto pamuñcantu saddhaṃ;

    วิหิํสสญฺญี ปคุณํ น ภาสิํ, ธมฺมํ ปณีตํ มนุเชสุ พฺรเหฺม’’ติฯ (ม. นิ. ๑.๒๘๓; ที. นิ. ๒.๗๑; สํ. นิ. ๑.๑๗๒; มหาว. ๙);

    Vihiṃsasaññī paguṇaṃ na bhāsiṃ, dhammaṃ paṇītaṃ manujesu brahme’’ti. (ma. ni. 1.283; dī. ni. 2.71; saṃ. ni. 1.172; mahāva. 9);

    อถ โข พฺรหฺมา สหมฺปติ ‘‘กตาวกาโส โขมฺหิ ภควตา ธมฺมเทสนายา’’ติ ญตฺวา ทสนขสโมธานสมุชฺชลํ อญฺชลิํ สิรสิ กตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา พฺรหฺมคณปริวุโต ปกฺกามิฯ อถ สตฺถา ตสฺส พฺรหฺมุโน ปฎิญฺญํ ทตฺวา – ‘‘กสฺส นุ โข อหํ ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺย’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๒๘๓; มหาว. ๑๐) จิเนฺตโนฺต – ‘‘อาฬาโร ปณฺฑิโต โส อิมํ ธมฺมํ ขิปฺปํ อาชานิสฺสตี’’ติ จิตฺตํ อุปฺปาเทตฺวา ปุน โอโลเกโนฺต ตสฺส สตฺตาหํ กาลงฺกตภาวํ ญตฺวา อุทกสฺส จ อภิโทสกาลงฺกตภาวํ ญตฺวา ปุน – ‘‘กหํ นุ โข เอตรหิ ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู วิหรนฺตี’’ติ ปญฺจวคฺคิเย อาวเชฺชโนฺต ‘‘พาราณสิยํ อิสิปตเน มิคทาเย’’ติ ญตฺวา อาสาฬฺหิยํ ปภาตาย รตฺติยา กาลเสฺสว ปตฺตจีวรมาทาย อฎฺฐารสโยชนิกํ มคฺคํ ปฎิปโนฺน อนฺตรามเคฺค อุปกํ นาม อาชีวกํ ทิสฺวา ตสฺส อตฺตโน พุทฺธภาวมาวิกตฺวา ตํทิวสเมว สายนฺหสมเย อิสิปตนมคมาสิฯ ตตฺถ ปญฺจวคฺคิยานํ อตฺตโน พุทฺธภาวํ ปกาเสตฺวา ปญฺญตฺตวรพุทฺธาสนคโต ปญฺจวคฺคิเย ภิกฺขู อามเนฺตตฺวา ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนสุตฺตนฺตํ (สํ. นิ. ๕.๑๐๘๑; มหาว. ๑๓ อาทโย; ปฎิ. ม. ๒.๓๐) เทเสสิฯ

    Atha kho brahmā sahampati ‘‘katāvakāso khomhi bhagavatā dhammadesanāyā’’ti ñatvā dasanakhasamodhānasamujjalaṃ añjaliṃ sirasi katvā bhagavantaṃ abhivādetvā padakkhiṇaṃ katvā brahmagaṇaparivuto pakkāmi. Atha satthā tassa brahmuno paṭiññaṃ datvā – ‘‘kassa nu kho ahaṃ paṭhamaṃ dhammaṃ deseyya’’nti (ma. ni. 1.283; mahāva. 10) cintento – ‘‘āḷāro paṇḍito so imaṃ dhammaṃ khippaṃ ājānissatī’’ti cittaṃ uppādetvā puna olokento tassa sattāhaṃ kālaṅkatabhāvaṃ ñatvā udakassa ca abhidosakālaṅkatabhāvaṃ ñatvā puna – ‘‘kahaṃ nu kho etarahi pañcavaggiyā bhikkhū viharantī’’ti pañcavaggiye āvajjento ‘‘bārāṇasiyaṃ isipatane migadāye’’ti ñatvā āsāḷhiyaṃ pabhātāya rattiyā kālasseva pattacīvaramādāya aṭṭhārasayojanikaṃ maggaṃ paṭipanno antarāmagge upakaṃ nāma ājīvakaṃ disvā tassa attano buddhabhāvamāvikatvā taṃdivasameva sāyanhasamaye isipatanamagamāsi. Tattha pañcavaggiyānaṃ attano buddhabhāvaṃ pakāsetvā paññattavarabuddhāsanagato pañcavaggiye bhikkhū āmantetvā dhammacakkappavattanasuttantaṃ (saṃ. ni. 5.1081; mahāva. 13 ādayo; paṭi. ma. 2.30) desesi.

    เตสุ อญฺญาสิโกณฺฑญฺญเตฺถโร เทสนานุสาเรน ญาณํ เปเสตฺวา สุตฺตปริโยสาเน อฎฺฐารสหิ พฺรหฺมโกฎีหิ สทฺธิํ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิฯ สตฺถา ตเตฺถว วสฺสํ อุปคนฺตฺวา ปุนทิวเส วปฺปเตฺถรํ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาเปสิฯ เอเตเนว อุปาเยน สเพฺพ เต โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาเปตฺวา ปุน ปญฺจมิยํ ปกฺขสฺส ปญฺจปิ เต เถเร สนฺนิปาเตตฺวา อนตฺตลกฺขณสุตฺตนฺตํ (สํ. นิ. ๓.๕๙; มหาว. ๒๐ อาทโย) เทเสสิ, เทสนาปริโยสาเน ปญฺจปิ เถรา อรหเตฺต ปติฎฺฐหิํสุฯ

    Tesu aññāsikoṇḍaññatthero desanānusārena ñāṇaṃ pesetvā suttapariyosāne aṭṭhārasahi brahmakoṭīhi saddhiṃ sotāpattiphale patiṭṭhāsi. Satthā tattheva vassaṃ upagantvā punadivase vappattheraṃ sotāpattiphale patiṭṭhāpesi. Eteneva upāyena sabbe te sotāpattiphale patiṭṭhāpetvā puna pañcamiyaṃ pakkhassa pañcapi te there sannipātetvā anattalakkhaṇasuttantaṃ (saṃ. ni. 3.59; mahāva. 20 ādayo) desesi, desanāpariyosāne pañcapi therā arahatte patiṭṭhahiṃsu.

    อถ สตฺถา ตเตฺถว ยสสฺส กุลปุตฺตสฺส อุปนิสฺสยํ ทิสฺวา เคหํ ปหาย นิกฺขนฺตํ ทิสฺวา – ‘‘เอหิ ยสา’’ติ (มหาว. ๒๖) ปโกฺกสิตฺวา ตสฺมิเญฺญว รตฺติภาเค โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาเปตฺวา ปุนทิวเส อรหเตฺต จ ปติฎฺฐาเปตฺวา อปเรปิ ตสฺส สหายเก จตุปณฺณาสชเน เอหิภิกฺขุปพฺพชฺชาย ปพฺพาเชตฺวา อรหเตฺต ปติฎฺฐาเปสิฯ เอวํ โลเก เอกสฎฺฐิยา อรหเนฺตสุ ชาเตสุ สตฺถา วุฎฺฐวโสฺส ปวาเรตฺวา ภิกฺขู อามเนฺตตฺวา เอตทโวจ –

    Atha satthā tattheva yasassa kulaputtassa upanissayaṃ disvā gehaṃ pahāya nikkhantaṃ disvā – ‘‘ehi yasā’’ti (mahāva. 26) pakkositvā tasmiññeva rattibhāge sotāpattiphale patiṭṭhāpetvā punadivase arahatte ca patiṭṭhāpetvā aparepi tassa sahāyake catupaṇṇāsajane ehibhikkhupabbajjāya pabbājetvā arahatte patiṭṭhāpesi. Evaṃ loke ekasaṭṭhiyā arahantesu jātesu satthā vuṭṭhavasso pavāretvā bhikkhū āmantetvā etadavoca –

    ‘‘ปรตฺถํ จตฺตโน อตฺถํ, กโรนฺตา ปถวิํ อิมํ;

    ‘‘Paratthaṃ cattano atthaṃ, karontā pathaviṃ imaṃ;

    พฺยาหรนฺตา มนุสฺสานํ, ธมฺมํ จรถ ภิกฺขโวฯ

    Byāharantā manussānaṃ, dhammaṃ caratha bhikkhavo.

    ‘‘วิหรถ วิวิเตฺตสุ, ปพฺพเตสุ วเนสุ จ;

    ‘‘Viharatha vivittesu, pabbatesu vanesu ca;

    ปกาสยนฺตา สทฺธมฺมํ, โลกสฺส สตตํ มมฯ

    Pakāsayantā saddhammaṃ, lokassa satataṃ mama.

    ‘‘กโรนฺตา ธมฺมทูเตยฺยํ, วิขฺยาปยถ ภิกฺขโว;

    ‘‘Karontā dhammadūteyyaṃ, vikhyāpayatha bhikkhavo;

    สนฺติ อตฺถาย สตฺตานํ, สุพฺพตา วจนํ มมฯ

    Santi atthāya sattānaṃ, subbatā vacanaṃ mama.

    ‘‘สพฺพํ ปิทหถ ทฺวารํ, อปายานมนาสวา;

    ‘‘Sabbaṃ pidahatha dvāraṃ, apāyānamanāsavā;

    สคฺคโมกฺขสฺส มคฺคสฺส, ทฺวารํ วิวรถาสมาฯ

    Saggamokkhassa maggassa, dvāraṃ vivarathāsamā.

    ‘‘เทสนาปฎิปตฺตีหิ, กรุณาทิคุณาลยา;

    ‘‘Desanāpaṭipattīhi, karuṇādiguṇālayā;

    พุทฺธิํ สทฺธญฺจ โลกสฺส, อภิวเฑฺฒถ สพฺพโสฯ

    Buddhiṃ saddhañca lokassa, abhivaḍḍhetha sabbaso.

    ‘‘คิหีนมุปกโรนฺตานํ, นิจฺจมามิสทานโต;

    ‘‘Gihīnamupakarontānaṃ, niccamāmisadānato;

    กโรถ ธมฺมทาเนน, เตสํ ปจฺจูปการกํฯ

    Karotha dhammadānena, tesaṃ paccūpakārakaṃ.

    ‘‘สมุสฺสยถ สทฺธมฺมํ, เทสยนฺตา อิสิทฺธชํ;

    ‘‘Samussayatha saddhammaṃ, desayantā isiddhajaṃ;

    กตกตฺตพฺพกมฺมนฺตา, ปรตฺถํ ปฎิปชฺชถา’’ติฯ

    Katakattabbakammantā, paratthaṃ paṭipajjathā’’ti.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา ภควา เต ภิกฺขู ทิสาสุ วิสฺสเชฺชตฺวา สยํ อุรุเวลํ คจฺฉโนฺต อนฺตรามเคฺค กปฺปาสิกวนสเณฺฑ ติํส ภทฺทวคฺคิยกุมาเร วิเนสิฯ เตสุ โย สพฺพปจฺฉิมโก, โส โสตาปโนฺน, สพฺพเสโฎฺฐ อนาคามี, เอโกปิ อรหา วา ปุถุชฺชโน วา นาโหสิฯ เตปิ สเพฺพ เอหิภิกฺขุปพฺพชฺชาย ปพฺพาเชตฺวา ทิสาสุ เปเสตฺวา สยํ อุรุเวลํ คนฺตฺวา อฑฺฒุฑฺฒานิ ปาฎิหาริยสหสฺสานิ ทเสฺสตฺวา อุรุเวลกสฺสปาทโย สหสฺสชฎิลปริวาเร เตภาติกชฎิเล ทเมตฺวา เอหิภิกฺขุภาเวน ปพฺพาเชตฺวา คยาสีเส นิสีทาเปตฺวา อาทิตฺตปริยายเทสนาย (สํ. นิ. ๔.๒๘; มหาว. ๕๔) อรหเตฺต ปติฎฺฐาเปตฺวา เตน อรหนฺตสหเสฺสน ภควา ปริวุโต ‘‘พิมฺพิสารสฺส รโญฺญ ปฎิญฺญํ โมเจสฺสามี’’ติ ราชคหนครูปจาเร ลฎฺฐิวนุยฺยานํ นาม อคมาสิฯ ตโต อุยฺยานปาลโก รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา – ‘‘สตฺถา อาคโต’’ติ สุตฺวา ทฺวาทสนหุเตหิ พฺราหฺมณคหปติเกหิ ปริวุโต ทสพลํ ฆนวิวรคตมิว ทิวสกรํ วนวิวรคตํ มุนิวรทิวสกรํ อุปสงฺกมิตฺวา จกฺกาลงฺกตตเลสุ ชลชามลาวิกลกมลโกมเลสุ ทสพลสฺส ปาเทสุ มกุฎมณิชุติวิสรวิโชฺชตินา สิรสา นิปติตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิ สทฺธิํ ปริสายฯ

    Evañca pana vatvā bhagavā te bhikkhū disāsu vissajjetvā sayaṃ uruvelaṃ gacchanto antarāmagge kappāsikavanasaṇḍe tiṃsa bhaddavaggiyakumāre vinesi. Tesu yo sabbapacchimako, so sotāpanno, sabbaseṭṭho anāgāmī, ekopi arahā vā puthujjano vā nāhosi. Tepi sabbe ehibhikkhupabbajjāya pabbājetvā disāsu pesetvā sayaṃ uruvelaṃ gantvā aḍḍhuḍḍhāni pāṭihāriyasahassāni dassetvā uruvelakassapādayo sahassajaṭilaparivāre tebhātikajaṭile dametvā ehibhikkhubhāvena pabbājetvā gayāsīse nisīdāpetvā ādittapariyāyadesanāya (saṃ. ni. 4.28; mahāva. 54) arahatte patiṭṭhāpetvā tena arahantasahassena bhagavā parivuto ‘‘bimbisārassa rañño paṭiññaṃ mocessāmī’’ti rājagahanagarūpacāre laṭṭhivanuyyānaṃ nāma agamāsi. Tato uyyānapālako rañño ārocesi. Rājā – ‘‘satthā āgato’’ti sutvā dvādasanahutehi brāhmaṇagahapatikehi parivuto dasabalaṃ ghanavivaragatamiva divasakaraṃ vanavivaragataṃ munivaradivasakaraṃ upasaṅkamitvā cakkālaṅkatatalesu jalajāmalāvikalakamalakomalesu dasabalassa pādesu makuṭamaṇijutivisaravijjotinā sirasā nipatitvā ekamantaṃ nisīdi saddhiṃ parisāya.

    อถ โข เตสํ พฺราหฺมณคหปติกานํ เอตทโหสิ – ‘‘กิํ นุ โข มหาสมโณ อุรุเวลกสฺสเป พฺรหฺมจริยํ จรติ, อุทาหุ อุรุเวลกสฺสโป มหาสมเณ’’ติ? อถ โข ภควา เตสํ เจโตปริวิตกฺกมญฺญาย เถรํ คาถาย อชฺฌภาสิ –

    Atha kho tesaṃ brāhmaṇagahapatikānaṃ etadahosi – ‘‘kiṃ nu kho mahāsamaṇo uruvelakassape brahmacariyaṃ carati, udāhu uruvelakassapo mahāsamaṇe’’ti? Atha kho bhagavā tesaṃ cetoparivitakkamaññāya theraṃ gāthāya ajjhabhāsi –

    ‘‘กิเมว ทิสฺวา อุรุเวลวาสิ, ปหาสิ อคฺคิํ กิสโกวทาโน;

    ‘‘Kimeva disvā uruvelavāsi, pahāsi aggiṃ kisakovadāno;

    ปุจฺฉามิ ตํ กสฺสป เอตมตฺถํ, กถํ ปหีนํ ตว อคฺคิหุตฺต’’นฺติฯ (มหาว. ๕๕);

    Pucchāmi taṃ kassapa etamatthaṃ, kathaṃ pahīnaṃ tava aggihutta’’nti. (mahāva. 55);

    เถโร ภควโต อธิปฺปายํ วิทิตฺวา –

    Thero bhagavato adhippāyaṃ viditvā –

    ‘‘รูเป จ สเทฺท จ อโถ รเส จ, กามิตฺถิโย จาภิวทนฺติ ยญฺญา;

    ‘‘Rūpe ca sadde ca atho rase ca, kāmitthiyo cābhivadanti yaññā;

    เอตํ มลนฺตี อุปธีสุ ญตฺวา, ตสฺมา น ยิเฎฺฐ น หุเต อรญฺชิ’’นฺติฯ (มหาว. ๕๕) –

    Etaṃ malantī upadhīsu ñatvā, tasmā na yiṭṭhe na hute arañji’’nti. (mahāva. 55) –

    อิมํ คาถํ วตฺวา อตฺตโน สาวกภาวปฺปกาสนตฺถํ ตถาคตสฺส ปาเทสุ สิรสา นิปติตฺวา – ‘‘สตฺถา เม, ภเนฺต, ภควา, สาวโกหมสฺมี’’ติ วตฺวา เอกตาลทฺวิตาล…เป.… สตฺตตาลปฺปมาณํ เวหาสํ สตฺตกฺขตฺตุํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา ปาฎิหาริยํ กตฺวา อากาสโต โอรุยฺห ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ

    Imaṃ gāthaṃ vatvā attano sāvakabhāvappakāsanatthaṃ tathāgatassa pādesu sirasā nipatitvā – ‘‘satthā me, bhante, bhagavā, sāvakohamasmī’’ti vatvā ekatāladvitāla…pe… sattatālappamāṇaṃ vehāsaṃ sattakkhattuṃ abbhuggantvā pāṭihāriyaṃ katvā ākāsato oruyha bhagavantaṃ vanditvā ekamantaṃ nisīdi.

    อถ โข มหาชโน ตสฺส ตํ ปาฎิหาริยํ ทิสฺวา – ‘‘อโห มหานุภาวา พุทฺธา นาม, เอวํ ถามคตทิฎฺฐิโก อตฺตานํ ‘อรหา อห’นฺติ มญฺญมาโน อุรุเวลกสฺสโปปิ ทิฎฺฐิชาลํ ภินฺทิตฺวา ตถาคเตน ทมิโต’’ติ ทสพลสฺส คุณกถํ กเถสิฯ ตํ สุตฺวา สตฺถา – ‘‘นาหมิทานิเยว อิมํ อุรุเวลกสฺสปํ ทเมมิ, อตีเตปิ เอส มยา ทมิโตเยวา’’ติ อาหฯ อถ โข โส มหาชโน อุฎฺฐายาสนา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา สิรสิ อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา เอวมาห – ‘‘ภเนฺต, อิทานิ อเมฺหหิ เอส ทมิโต ทิโฎฺฐ, กถํ ปเนส อตีเต ภควตา ทมิโต’’ติฯ ตโต สตฺถา เตน มหาชเนน ยาจิโต ภวนฺตเรน ปฎิจฺฉนฺนํ มหานารทกสฺสปชาตกํ (ชา. ๒.๒๒.๑๑๕๓) กเถตฺวา จตฺตาริ อริยสจฺจานิ ปกาเสสิฯ ตโต สตฺถุ ธมฺมกถํ สุตฺวา ราชา พิมฺพิสาโร เอกาทสนหุเตหิ สทฺธิํ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิ, เอกนหุตํ อุปาสกตฺตํ ปฎิเวเทสิฯ ราชา สรณํ คนฺตฺวา สฺวาตนาย ภควนฺตํ สทฺธิํ ภิกฺขุสเงฺฆน นิมเนฺตตฺวา ภควนฺตํ ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กตฺวา วนฺทิตฺวา ปกฺกามิฯ

    Atha kho mahājano tassa taṃ pāṭihāriyaṃ disvā – ‘‘aho mahānubhāvā buddhā nāma, evaṃ thāmagatadiṭṭhiko attānaṃ ‘arahā aha’nti maññamāno uruvelakassapopi diṭṭhijālaṃ bhinditvā tathāgatena damito’’ti dasabalassa guṇakathaṃ kathesi. Taṃ sutvā satthā – ‘‘nāhamidāniyeva imaṃ uruvelakassapaṃ damemi, atītepi esa mayā damitoyevā’’ti āha. Atha kho so mahājano uṭṭhāyāsanā bhagavantaṃ vanditvā sirasi añjaliṃ paggahetvā evamāha – ‘‘bhante, idāni amhehi esa damito diṭṭho, kathaṃ panesa atīte bhagavatā damito’’ti. Tato satthā tena mahājanena yācito bhavantarena paṭicchannaṃ mahānāradakassapajātakaṃ (jā. 2.22.1153) kathetvā cattāri ariyasaccāni pakāsesi. Tato satthu dhammakathaṃ sutvā rājā bimbisāro ekādasanahutehi saddhiṃ sotāpattiphale patiṭṭhāsi, ekanahutaṃ upāsakattaṃ paṭivedesi. Rājā saraṇaṃ gantvā svātanāya bhagavantaṃ saddhiṃ bhikkhusaṅghena nimantetvā bhagavantaṃ tikkhattuṃ padakkhiṇaṃ katvā vanditvā pakkāmi.

    ปุนทิวเส ภควา ภิกฺขุสหสฺสปริวุโต มรุคณปริวุโต วิย ทสสตนยโน เทวราชา, พฺรหฺมคณปริวุโต วิย มหาพฺรหฺมา ราชคหํ ปาวิสิฯ ราชา พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส ทานํ ทตฺวา โภชนปริโยสาเน ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อหํ, ภเนฺต, ตีณิ รตนานิ วินา วสิตุํ น สกฺขิสฺสามิ, เวลาย วา อเวลาย วา ภควโต สนฺติกํ อาคมิสฺสามิ, ลฎฺฐิวนํ นาม อติทูเร, อิทํ ปน อมฺหากํ เวฬุวนํ นาม อุยฺยานํ ปวิเวกกามานํ นาติทูรํ นจฺจาสนฺนํ คมนาคมนสมฺปนฺนํ นิชฺชนสมฺพาธํ ปวิเวกสุขํ ฉายูทกสมฺปนฺนํ สีตลสิลาตลสมลงฺกตํ ปรมรมณียภูมิภาคํ สุรภิกุสุมตรุวรนิรนฺตรํ รมณียปาสาทหมฺมิยวิมานวิหารฑฺฒุโยคมณฺฑปาทิปฎิมณฺฑิตํฯ อิทํ เม, ภเนฺต, ภควา ปฎิคฺคณฺหาตุ นวตปนงฺคารสงฺกาเสน สุวณฺณภิงฺคาเรน สุรภิกุสุมวาสิตํ มณิวณฺณอุทกํ คเหตฺวา เวฬุวนารามํ ปริจฺจชโนฺต ทสพลสฺส หเตฺถ อุทกํ ปาเตสิฯ ตสฺมิํ อารามปฎิคฺคหเณ ‘‘พุทฺธสาสนสฺส มูลานิ โอติณฺณานี’’ติ ปีติวสํ คตา นจฺจนฺตี วิย อยํ มหาปถวี กมฺปิฯ ชมฺพุทีเป ปน ฐเปตฺวา เวฬุวนมหาวิหารํ อญฺญํ ปถวิํ กเมฺปตฺวา คหิตเสนาสนํ นาม นตฺถิฯ อถ สตฺถา เวฬุวนารามํ ปฎิคฺคเหตฺวา รโญฺญ วิหารทานานุโมทนมกาสิ –

    Punadivase bhagavā bhikkhusahassaparivuto marugaṇaparivuto viya dasasatanayano devarājā, brahmagaṇaparivuto viya mahābrahmā rājagahaṃ pāvisi. Rājā buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa dānaṃ datvā bhojanapariyosāne bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘ahaṃ, bhante, tīṇi ratanāni vinā vasituṃ na sakkhissāmi, velāya vā avelāya vā bhagavato santikaṃ āgamissāmi, laṭṭhivanaṃ nāma atidūre, idaṃ pana amhākaṃ veḷuvanaṃ nāma uyyānaṃ pavivekakāmānaṃ nātidūraṃ naccāsannaṃ gamanāgamanasampannaṃ nijjanasambādhaṃ pavivekasukhaṃ chāyūdakasampannaṃ sītalasilātalasamalaṅkataṃ paramaramaṇīyabhūmibhāgaṃ surabhikusumataruvaranirantaraṃ ramaṇīyapāsādahammiyavimānavihāraḍḍhuyogamaṇḍapādipaṭimaṇḍitaṃ. Idaṃ me, bhante, bhagavā paṭiggaṇhātu navatapanaṅgārasaṅkāsena suvaṇṇabhiṅgārena surabhikusumavāsitaṃ maṇivaṇṇaudakaṃ gahetvā veḷuvanārāmaṃ pariccajanto dasabalassa hatthe udakaṃ pātesi. Tasmiṃ ārāmapaṭiggahaṇe ‘‘buddhasāsanassa mūlāni otiṇṇānī’’ti pītivasaṃ gatā naccantī viya ayaṃ mahāpathavī kampi. Jambudīpe pana ṭhapetvā veḷuvanamahāvihāraṃ aññaṃ pathaviṃ kampetvā gahitasenāsanaṃ nāma natthi. Atha satthā veḷuvanārāmaṃ paṭiggahetvā rañño vihāradānānumodanamakāsi –

    ‘‘อาวาสทานสฺส ปนานิสํสํ, โก นาม วตฺตุํ, ปุริโส สมโตฺถ;

    ‘‘Āvāsadānassa panānisaṃsaṃ, ko nāma vattuṃ, puriso samattho;

    อญฺญตฺร พุทฺธา ปน โลกนาถา, ยุโตฺต มุขานํ นหุเตน จาปิฯ

    Aññatra buddhā pana lokanāthā, yutto mukhānaṃ nahutena cāpi.

    ‘‘อายุญฺจ วณฺณญฺจ สุขํ พลญฺจ, วรํ ปสตฺถํ ปฎิภานเมว;

    ‘‘Āyuñca vaṇṇañca sukhaṃ balañca, varaṃ pasatthaṃ paṭibhānameva;

    ททาติ นามาติ ปวุจฺจเต โส, โย เทติ สงฺฆสฺส นโร วิหารํฯ

    Dadāti nāmāti pavuccate so, yo deti saṅghassa naro vihāraṃ.

    ‘‘ทาตา นิวาสสฺส นิวารณสฺส, สีตาทิโน ชีวิตุปทฺทวสฺส;

    ‘‘Dātā nivāsassa nivāraṇassa, sītādino jīvitupaddavassa;

    ปาเลติ อายุํ ปน ตสฺส ยสฺมา, อายุปฺปโท โหติ ตมาหุ สโนฺตฯ

    Pāleti āyuṃ pana tassa yasmā, āyuppado hoti tamāhu santo.

    ‘‘อจฺจุณฺหสีเต วสโต นิวาเส, พลญฺจ วโณฺณ ปฎิภา น โหติ;

    ‘‘Accuṇhasīte vasato nivāse, balañca vaṇṇo paṭibhā na hoti;

    ตสฺมา หิ โส เทติ วิหารทาตา, พลญฺจ วณฺณํ ปฎิภานเมวฯ

    Tasmā hi so deti vihāradātā, balañca vaṇṇaṃ paṭibhānameva.

    ‘‘ทุกฺขสฺส สีตุณฺหสรีสปา จ, วาตาตปาทิปฺปภวสฺส โลเก;

    ‘‘Dukkhassa sītuṇhasarīsapā ca, vātātapādippabhavassa loke;

    นิวารณา เนกวิธสฺส นิจฺจํ, สุขปฺปโท โหติ วิหารทาตาฯ

    Nivāraṇā nekavidhassa niccaṃ, sukhappado hoti vihāradātā.

    ‘‘สีตุณฺหวาตาตปฑํสวุฎฺฐิ , สรีสปาวาฬมิคาทิทุกฺขํ;

    ‘‘Sītuṇhavātātapaḍaṃsavuṭṭhi , sarīsapāvāḷamigādidukkhaṃ;

    ยสฺมา นิวาเรติ วิหารทาตา, ตสฺมา สุขํ วินฺทติ โส ปรตฺถฯ

    Yasmā nivāreti vihāradātā, tasmā sukhaṃ vindati so parattha.

    ‘‘ปสนฺนจิโตฺต ภวโภคเหตุํ, มโนภิรามํ มุทิโต วิหารํ;

    ‘‘Pasannacitto bhavabhogahetuṃ, manobhirāmaṃ mudito vihāraṃ;

    โย เทติ สีลาทิคุโณทิตานํ, สพฺพํ ทโท นาม ปวุจฺจเต โสฯ

    Yo deti sīlādiguṇoditānaṃ, sabbaṃ dado nāma pavuccate so.

    ‘‘ปหาย มเจฺฉรมลํ สโลภํ, คุณาลยานํ นิลยํ ททาติ;

    ‘‘Pahāya maccheramalaṃ salobhaṃ, guṇālayānaṃ nilayaṃ dadāti;

    ขิโตฺตว โส ตตฺถ ปเรหิ สเคฺค, ยถาภตํ ชายติ วีตโสโกฯ

    Khittova so tattha parehi sagge, yathābhataṃ jāyati vītasoko.

    ‘‘วเร จารุรูเป วิหาเร อุฬาเร, นโร การเย วาสเย ตตฺถ ภิกฺขู;

    ‘‘Vare cārurūpe vihāre uḷāre, naro kāraye vāsaye tattha bhikkhū;

    ทเทยฺยนฺนปานญฺจ วตฺถญฺจ เนสํ, ปสเนฺนน จิเตฺตน สกฺกจฺจ นิจฺจํฯ

    Dadeyyannapānañca vatthañca nesaṃ, pasannena cittena sakkacca niccaṃ.

    ‘‘ตสฺมา มหาราช ภเวสุ โภเค, มโนรเม ปจฺจนุภุยฺย ภิโยฺย;

    ‘‘Tasmā mahārāja bhavesu bhoge, manorame paccanubhuyya bhiyyo;

    วิหารทานสฺส ผเลน สนฺตํ, สุขํ อโสกํ อธิคจฺฉ ปจฺฉา’’ติฯ

    Vihāradānassa phalena santaṃ, sukhaṃ asokaṃ adhigaccha pacchā’’ti.

    อิเจฺจวํ มุนิราชา นรราชสฺส พิมฺพิสารสฺส วิหารทานานุโมทนํ กตฺวา อุฎฺฐายาสนา ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต ปรมทสฺสนียาย อตฺตโน สรีรปฺปภาย สุวณฺณรสเสกปิญฺฉรานิ วิย นครวนวิมานาทีนิ กุรุมาโน อโนปมาย พุทฺธลีฬาย อนนฺตาย พุทฺธสิริยา เวฬุวนมหาวิหารเมว ปาวิสีติฯ

    Iccevaṃ munirājā nararājassa bimbisārassa vihāradānānumodanaṃ katvā uṭṭhāyāsanā bhikkhusaṅghaparivuto paramadassanīyāya attano sarīrappabhāya suvaṇṇarasasekapiñcharāni viya nagaravanavimānādīni kurumāno anopamāya buddhalīḷāya anantāya buddhasiriyā veḷuvanamahāvihārameva pāvisīti.

    ‘‘อกีฬเน เวฬุวเน วิหาเร, ตถาคโต ตตฺถ มโนภิราเม;

    ‘‘Akīḷane veḷuvane vihāre, tathāgato tattha manobhirāme;

    นานาวิหาเรน วิหาสิ ธีโร, เวเนยฺยกานํ สมุทิกฺขมาโน’’ฯ

    Nānāvihārena vihāsi dhīro, veneyyakānaṃ samudikkhamāno’’.

    อเถวํ ภควติ ตสฺมิํ วิหรเนฺต สุโทฺธทนมหาราชา ‘‘ปุโตฺต เม ฉพฺพสฺสานิ ทุกฺกรการิกํ กตฺวา ปรมาภิสโมฺพธิํ ปตฺวา ปวตฺติตวรธมฺมจโกฺก ราชคหํ ปตฺวา เวฬุวนมหาวิหาเร วิหรตี’’ติ สุตฺวา อญฺญตรํ มหามจฺจํ อามเนฺตสิ – ‘‘เอหิ, ภเณ, ปุริสสหสฺสปริวาโร ราชคหํ คนฺตฺวา มม วจเนน ‘ปิตา โว สุโทฺธทนมหาราชา ตํ ทฎฺฐุกาโม’ติ วตฺวา ปุตฺตํ เม คณฺหิตฺวา เอหี’’ติฯ โส ‘‘สาธุ, เทวา’’ติ รโญฺญ ปฎิสฺสุณิตฺวา ปุริสสหสฺสปริวาโร สฎฺฐิโยชนมคฺคํ คนฺตฺวา ธมฺมเทสนเวลาย วิหารํ ปาวิสิฯ โส ‘‘ติฎฺฐตุ ตาว รญฺญา ปหิตสาสน’’นฺติ ปริสปริยเนฺต ฐิโต สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ยถาฐิโตว สทฺธิํ ปุริสสหเสฺสน อรหตฺตํ ปตฺวา ปพฺพชฺชํ ยาจิฯ ภควา – ‘‘เอถ, ภิกฺขโว’’ติ หตฺถํ ปสาเรสิฯ เต สเพฺพ ตงฺขณเญฺญว อิทฺธิมยปตฺตจีวรธรา วสฺสสฎฺฐิกเตฺถรา วิย อากปฺปสมฺปนฺนา หุตฺวา ภควนฺตํ ปริวาเรสุํฯ ราชา ‘‘เนว คโต อาคจฺฉติ, น จ สาสนํ สุยฺยตี’’ติ จิเนฺตตฺวา เตเนว นีหาเรน นวกฺขตฺตุํ อมเจฺจ เปเสสิฯ เตสุ นวสุ ปุริสสหเสฺสสุ เอโกปิ รโญฺญ นาโรเจสิ, น สาสนํ วา ปหิณิฯ สเพฺพ อรหตฺตํ ปตฺวาว ปพฺพชิํสุฯ

    Athevaṃ bhagavati tasmiṃ viharante suddhodanamahārājā ‘‘putto me chabbassāni dukkarakārikaṃ katvā paramābhisambodhiṃ patvā pavattitavaradhammacakko rājagahaṃ patvā veḷuvanamahāvihāre viharatī’’ti sutvā aññataraṃ mahāmaccaṃ āmantesi – ‘‘ehi, bhaṇe, purisasahassaparivāro rājagahaṃ gantvā mama vacanena ‘pitā vo suddhodanamahārājā taṃ daṭṭhukāmo’ti vatvā puttaṃ me gaṇhitvā ehī’’ti. So ‘‘sādhu, devā’’ti rañño paṭissuṇitvā purisasahassaparivāro saṭṭhiyojanamaggaṃ gantvā dhammadesanavelāya vihāraṃ pāvisi. So ‘‘tiṭṭhatu tāva raññā pahitasāsana’’nti parisapariyante ṭhito satthu dhammadesanaṃ sutvā yathāṭhitova saddhiṃ purisasahassena arahattaṃ patvā pabbajjaṃ yāci. Bhagavā – ‘‘etha, bhikkhavo’’ti hatthaṃ pasāresi. Te sabbe taṅkhaṇaññeva iddhimayapattacīvaradharā vassasaṭṭhikattherā viya ākappasampannā hutvā bhagavantaṃ parivāresuṃ. Rājā ‘‘neva gato āgacchati, na ca sāsanaṃ suyyatī’’ti cintetvā teneva nīhārena navakkhattuṃ amacce pesesi. Tesu navasu purisasahassesu ekopi rañño nārocesi, na sāsanaṃ vā pahiṇi. Sabbe arahattaṃ patvāva pabbajiṃsu.

    อถ ราชา จิเนฺตสิ – ‘‘โก นุ โข มม วจนํ กริสฺสตี’’ติ สพฺพราชพลํ โอโลเกโนฺต อุทายิํ อทฺทสฯ โส กิร รโญฺญ สพฺพตฺถสาธโก อมโจฺจ อพฺภนฺตริโก อติวิสฺสาสิโก โพธิสเตฺตน สทฺธิํ เอกทิวเสเยว ชาโต สหปํสุกีฬิโต สหาโยฯ อถ นํ ราชา อามเนฺตสิ – ‘‘ตาต อุทายิ, อหํ มม ปุตฺตํ ทฎฺฐุกาโม นวปุริสสหสฺสานิ เปเสสิํ, เอกปุริโสปิ อาคนฺตฺวา สาสนมตฺตมฺปิ อาโรเจตา นตฺถิ, ทุชฺชาโน โข ปน เม ชีวิตนฺตราโย, อหํ ชีวมาโนว ปุตฺตํ ทฎฺฐุมิจฺฉามิฯ สกฺขิสฺสสิ เม ปุตฺตํ ทเสฺสตุ’’นฺติ? โส ‘‘สกฺขิสฺสามิ, เทว, สเจ ปพฺพชิตุํ ลภิสฺสามี’’ติ อาหฯ ‘‘ตาต, ตฺวํ ปพฺพชิตฺวา วา อปพฺพชิตฺวา วา มยฺหํ ปุตฺตํ ทเสฺสหี’’ติฯ โส ‘‘สาธุ, เทวา’’ติ รโญฺญ สาสนํ อาทาย ราชคหํ คนฺตฺวา สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา สทฺธิํ ปุริสสหเสฺสน อรหตฺตํ ปตฺวา เอหิภิกฺขุภาเว ปติฎฺฐาย ผคฺคุนีปุณฺณมาสิยํ จิเนฺตสิ – ‘‘อติกฺกโนฺต เหมโนฺต, วสนฺตสมโย อนุปฺปโตฺต, สุปุปฺผิตา วนสณฺฑา, ปฎิปชฺชนกฺขโม มโคฺค, กาโล ทสพลสฺส ญาติสงฺคหํ กาตุ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา สฎฺฐิมตฺตาหิ คาถาหิ ภควโต กุลนครํ คมนตฺถาย คมนวณฺณํ วเณฺณสิ –

    Atha rājā cintesi – ‘‘ko nu kho mama vacanaṃ karissatī’’ti sabbarājabalaṃ olokento udāyiṃ addasa. So kira rañño sabbatthasādhako amacco abbhantariko ativissāsiko bodhisattena saddhiṃ ekadivaseyeva jāto sahapaṃsukīḷito sahāyo. Atha naṃ rājā āmantesi – ‘‘tāta udāyi, ahaṃ mama puttaṃ daṭṭhukāmo navapurisasahassāni pesesiṃ, ekapurisopi āgantvā sāsanamattampi ārocetā natthi, dujjāno kho pana me jīvitantarāyo, ahaṃ jīvamānova puttaṃ daṭṭhumicchāmi. Sakkhissasi me puttaṃ dassetu’’nti? So ‘‘sakkhissāmi, deva, sace pabbajituṃ labhissāmī’’ti āha. ‘‘Tāta, tvaṃ pabbajitvā vā apabbajitvā vā mayhaṃ puttaṃ dassehī’’ti. So ‘‘sādhu, devā’’ti rañño sāsanaṃ ādāya rājagahaṃ gantvā satthu dhammadesanaṃ sutvā saddhiṃ purisasahassena arahattaṃ patvā ehibhikkhubhāve patiṭṭhāya phaggunīpuṇṇamāsiyaṃ cintesi – ‘‘atikkanto hemanto, vasantasamayo anuppatto, supupphitā vanasaṇḍā, paṭipajjanakkhamo maggo, kālo dasabalassa ñātisaṅgahaṃ kātu’’nti cintetvā bhagavantaṃ upasaṅkamitvā saṭṭhimattāhi gāthāhi bhagavato kulanagaraṃ gamanatthāya gamanavaṇṇaṃ vaṇṇesi –

    ‘‘องฺคาริโน ทานิ ทุมา ภทเนฺต, ผเลสิโน ฉทนํ วิปฺปหาย;

    ‘‘Aṅgārino dāni dumā bhadante, phalesino chadanaṃ vippahāya;

    เต อจฺจิมโนฺตว ปภาสยนฺติ, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Te accimantova pabhāsayanti, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘ทุมา วิจิตฺตา สุวิราชมานา, รตฺตงฺกุเรเหว จ ปลฺลเวหิ;

    ‘‘Dumā vicittā suvirājamānā, rattaṅkureheva ca pallavehi;

    รตนุชฺชลมณฺฑปสนฺนิภาสา, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Ratanujjalamaṇḍapasannibhāsā, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘สุปุปฺผิตคฺคา กุสุเมหิ ภูสิตา, มนุญฺญภูตา สุจิสาธุคนฺธา;

    ‘‘Supupphitaggā kusumehi bhūsitā, manuññabhūtā sucisādhugandhā;

    รุกฺขา วิโรจนฺติ อุโภสุ ปเสฺสสุ, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Rukkhā virocanti ubhosu passesu, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘ผเลหิเนเกหิ สมิทฺธิภูตา, วิจิตฺตรุกฺขา อุภโตวกาเส;

    ‘‘Phalehinekehi samiddhibhūtā, vicittarukkhā ubhatovakāse;

    ขุทฺทํ ปิปาสมฺปิ วิโนทยนฺติ, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Khuddaṃ pipāsampi vinodayanti, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘วิจิตฺตมาลา สุจิปลฺลเวหิ, สุสชฺชิตา โมรกลาปสนฺนิภา;

    ‘‘Vicittamālā sucipallavehi, susajjitā morakalāpasannibhā;

    รุกฺขา วิโรจนฺติ อุโภสุ ปเสฺสสุ, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Rukkhā virocanti ubhosu passesu, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘วิโรจมานา ผลปลฺลเวหิ, สุสชฺชิตา วาสนิวาสภูตา;

    ‘‘Virocamānā phalapallavehi, susajjitā vāsanivāsabhūtā;

    โตเสนฺติ อทฺธานกิลนฺตสเตฺต, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Tosenti addhānakilantasatte, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘สุผุลฺลิตคฺคา วนคุมฺพนิสฺสิตา, ลตา อเนกา สุวิราชมานา;

    ‘‘Suphullitaggā vanagumbanissitā, latā anekā suvirājamānā;

    โตเสนฺติ สเตฺต มณิมณฺฑปาว, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Tosenti satte maṇimaṇḍapāva, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘ลตา อเนกา ทุมนิสฺสิตาว, ปิเยหิ สทฺธิํ สหิตา วธูว;

    ‘‘Latā anekā dumanissitāva, piyehi saddhiṃ sahitā vadhūva;

    ปโลภยนฺตี หิ สุคนฺธคนฺธา, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Palobhayantī hi sugandhagandhā, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘วิจิตฺตนีลาทิมนุญฺญวณฺณา , ทิชา สมนฺตา อภิกูชมานา;

    ‘‘Vicittanīlādimanuññavaṇṇā , dijā samantā abhikūjamānā;

    โตเสนฺติ มญฺชุสฺสรตา รตีหิ, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Tosenti mañjussaratā ratīhi, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘มิคา จ นานา สุวิราชมานา, อุตฺตุงฺคกณฺณา จ มนุญฺญเนตฺตา;

    ‘‘Migā ca nānā suvirājamānā, uttuṅgakaṇṇā ca manuññanettā;

    ทิสา สมนฺตา มภิธาวยนฺติ, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Disā samantā mabhidhāvayanti, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘มนุญฺญภูตา จ มหี สมนฺตา, วิราชมานา หริตาว สทฺทลา;

    ‘‘Manuññabhūtā ca mahī samantā, virājamānā haritāva saddalā;

    สุปุปฺผิรุกฺขา โมฬินิวลงฺกตา, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Supupphirukkhā moḷinivalaṅkatā, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘สุสชฺชิตา มุตฺตมยาว วาลุกา, สุสณฺฐิตา จารุสุผสฺสทาตา;

    ‘‘Susajjitā muttamayāva vālukā, susaṇṭhitā cārusuphassadātā;

    วิโรจยเนฺตว ทิสา สมนฺตา, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Virocayanteva disā samantā, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘สมํ สุผสฺสํ สุจิภูมิภาคํ, มนุญฺญปุโปฺผทยคนฺธวาสิตํ;

    ‘‘Samaṃ suphassaṃ sucibhūmibhāgaṃ, manuññapupphodayagandhavāsitaṃ;

    วิราชมานํ สุจิมญฺจ โสภํ, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Virājamānaṃ sucimañca sobhaṃ, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘สุสชฺชิตํ นนฺทนกานนํว, วิจิตฺตนานาทุมสณฺฑมณฺฑิตํ;

    ‘‘Susajjitaṃ nandanakānanaṃva, vicittanānādumasaṇḍamaṇḍitaṃ;

    สุคนฺธภูตํ ปวนํ สุรมฺมํ, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Sugandhabhūtaṃ pavanaṃ surammaṃ, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘สรา วิจิตฺตา วิวิธา มโนรมา, สุสชฺชิตา ปงฺกชปุณฺฑรีกา;

    ‘‘Sarā vicittā vividhā manoramā, susajjitā paṅkajapuṇḍarīkā;

    ปสนฺนสีโตทกจารุปุณฺณา, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Pasannasītodakacārupuṇṇā, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘สุผุลฺลนานาวิธปงฺกเชหิ , วิราชมานา สุจิคนฺธคนฺธา;

    ‘‘Suphullanānāvidhapaṅkajehi , virājamānā sucigandhagandhā;

    ปโมทยเนฺตว นรามรานํ, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Pamodayanteva narāmarānaṃ, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘สุผุลฺลปเงฺกรุหสนฺนิสินฺนา, ทิชา สมนฺตา มภินาทยนฺตา;

    ‘‘Suphullapaṅkeruhasannisinnā, dijā samantā mabhinādayantā;

    โมทนฺติ ภริยาหิ สมงฺคิโน เต, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Modanti bhariyāhi samaṅgino te, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘สุผุลฺลปุเปฺผหิ รชํ คเหตฺวา, อลี วิธาวนฺติ วิกูชมานา;

    ‘‘Suphullapupphehi rajaṃ gahetvā, alī vidhāvanti vikūjamānā;

    มธุมฺหิ คโนฺธ วิทิสํ ปวายติ, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Madhumhi gandho vidisaṃ pavāyati, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘อภินฺนนาทา มทวารณา จ, คิรีหิ ธาวนฺติ จ วาริธารา;

    ‘‘Abhinnanādā madavāraṇā ca, girīhi dhāvanti ca vāridhārā;

    สวนฺติ นโชฺช สุวิราชิตาว สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Savanti najjo suvirājitāva samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘คิรี สมนฺตาว ปทิสฺสมานา, มยูรคีวา อิว นีลวณฺณา;

    ‘‘Girī samantāva padissamānā, mayūragīvā iva nīlavaṇṇā;

    ทิสา รชินฺทาว วิโรจยนฺติ, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Disā rajindāva virocayanti, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘มยูรสงฺฆา คิริมุทฺธนสฺมิํ, นจฺจนฺติ นารีหิ สมงฺคิภูตา;

    ‘‘Mayūrasaṅghā girimuddhanasmiṃ, naccanti nārīhi samaṅgibhūtā;

    กูชนฺติ นานามธุรสฺสเรหิ, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Kūjanti nānāmadhurassarehi, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘สุวาทิกา เนกทิชา มนุญฺญา, วิจิตฺตปเตฺตหิ วิราชมานา;

    ‘‘Suvādikā nekadijā manuññā, vicittapattehi virājamānā;

    คิริมฺหิ ฐตฺวา อภินาทยนฺติ, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Girimhi ṭhatvā abhinādayanti, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘สุผุลฺลปุปฺผากรมาภิกิณฺณา , สุคนฺธนานาทลลงฺกตา จ;

    ‘‘Suphullapupphākaramābhikiṇṇā , sugandhanānādalalaṅkatā ca;

    คิรี วิโรจนฺติ ทิสา สมนฺตา, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Girī virocanti disā samantā, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘ชลาสยา เนกสุคนฺธคนฺธา, สุรินฺทอุยฺยานชลาสยาว;

    ‘‘Jalāsayā nekasugandhagandhā, surindauyyānajalāsayāva;

    สวนฺติ นโชฺช สุวิราชมานา, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Savanti najjo suvirājamānā, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘วิจิตฺตติเตฺถหิ อลงฺกตา จ, มนุญฺญนานามิคปกฺขิปาสา;

    ‘‘Vicittatitthehi alaṅkatā ca, manuññanānāmigapakkhipāsā;

    นโชฺช วิโรจนฺติ สุสนฺทมานา, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Najjo virocanti susandamānā, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘อุโภสุ ปเสฺสสุ ชลาสเยสุ, สุปุปฺผิตา จารุสุคนฺธรุกฺขา;

    ‘‘Ubhosu passesu jalāsayesu, supupphitā cārusugandharukkhā;

    วิภูสิตคฺคา สุรสุนฺทรี จ, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Vibhūsitaggā surasundarī ca, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘สุคนฺธนานาทุมชาลกิณฺณํ , วนํ วิจิตฺตํ สุรนนฺทนํว;

    ‘‘Sugandhanānādumajālakiṇṇaṃ , vanaṃ vicittaṃ suranandanaṃva;

    มโนภิรามํ สตตํ คตีนํ, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Manobhirāmaṃ satataṃ gatīnaṃ, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘สมฺปนฺนนานาสุจิอนฺนปานา, สพฺยญฺชนา สาทุรเสน ยุตฺตา;

    ‘‘Sampannanānāsuciannapānā, sabyañjanā sādurasena yuttā;

    ปเถสุ คาเม สุลภา มนุญฺญา, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Pathesu gāme sulabhā manuññā, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘วิราชิตา อาสิ มหี สมนฺตา, วิจิตฺตวณฺณา กุสุมาสนสฺส;

    ‘‘Virājitā āsi mahī samantā, vicittavaṇṇā kusumāsanassa;

    รตฺตินฺทโคเปหิ อลงฺกตาว สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Rattindagopehi alaṅkatāva samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘วิสุทฺธสทฺธาทิคุเณหิ ยุตฺตา, สมฺพุทฺธราชํ อภิปตฺถยนฺตา;

    ‘‘Visuddhasaddhādiguṇehi yuttā, sambuddharājaṃ abhipatthayantā;

    พหูหิ ตเตฺถว ชนา สมนฺตา, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Bahūhi tattheva janā samantā, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘วิจิตฺรอารามสุโปกฺขรโญฺญ, วิจิตฺรนานาปทุเมหิ ฉนฺนา;

    ‘‘Vicitraārāmasupokkharañño, vicitranānāpadumehi channā;

    ภิเสหิ ขีรํว รสํ ปวายติ, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Bhisehi khīraṃva rasaṃ pavāyati, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘วิจิตฺรนีลจฺฉทเนนลงฺกตา, มนุญฺญรุกฺขา อุภโตวกาเส;

    ‘‘Vicitranīlacchadanenalaṅkatā, manuññarukkhā ubhatovakāse;

    สมุคฺคตา สตฺตสมูหภูตา, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Samuggatā sattasamūhabhūtā, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘วิจิตฺรนีลพฺภมิวายตํ วนํ, สุรินฺทโลเก อิว นนฺทนํ วนํ;

    ‘‘Vicitranīlabbhamivāyataṃ vanaṃ, surindaloke iva nandanaṃ vanaṃ;

    สโพฺพตุกํ สาธุสุคนฺธปุปฺผํ, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Sabbotukaṃ sādhusugandhapupphaṃ, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘สุภญฺชสํ โยชนโยชเนสุ, สุภิกฺขคามา สุลภา มนุญฺญา;

    ‘‘Subhañjasaṃ yojanayojanesu, subhikkhagāmā sulabhā manuññā;

    ชนาภิกิณฺณา สุลภนฺนปานา, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Janābhikiṇṇā sulabhannapānā, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘ปหูตฉายูทกรมฺมภูตา, นิวาสินํ สพฺพสุขปฺปทาตา;

    ‘‘Pahūtachāyūdakarammabhūtā, nivāsinaṃ sabbasukhappadātā;

    วิสาลสาลา จ สภา จ พหู, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Visālasālā ca sabhā ca bahū, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘วิจิตฺตนานาทุมสณฺฑมณฺฑิตา, มนุญฺญอุยฺยานสุโปกฺขรโญฺญ;

    ‘‘Vicittanānādumasaṇḍamaṇḍitā, manuññauyyānasupokkharañño;

    สุมาปิตา สาธุสุคนฺธคนฺธา, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Sumāpitā sādhusugandhagandhā, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘วาโต มุทูสีตลสาธุรูโป, นภา จ อพฺภา วิคตา สมนฺตา;

    ‘‘Vāto mudūsītalasādhurūpo, nabhā ca abbhā vigatā samantā;

    ทิสา จ สพฺพาว วิโรจยนฺติ, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Disā ca sabbāva virocayanti, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘ปเถ รโชนุคฺคมนตฺถเมว, รตฺติํ ปวสฺสนฺติ จ มนฺทวุฎฺฐี;

    ‘‘Pathe rajonuggamanatthameva, rattiṃ pavassanti ca mandavuṭṭhī;

    นเภ จ สูโร มุทุโกว ตาโป, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Nabhe ca sūro mudukova tāpo, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘มทปฺปพาหา มทหตฺถิสงฺฆา, กเรณุสเงฺฆหิ สุกีฬยนฺติ;

    ‘‘Madappabāhā madahatthisaṅghā, kareṇusaṅghehi sukīḷayanti;

    ทิสา วิธาวนฺติ จ คชฺชยนฺตา, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Disā vidhāvanti ca gajjayantā, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘วนํ สุนีลํ อภิทสฺสนียํ, นีลพฺภกูฎํ อิว รมฺมภูตํ;

    ‘‘Vanaṃ sunīlaṃ abhidassanīyaṃ, nīlabbhakūṭaṃ iva rammabhūtaṃ;

    วิโลกิตานํ อติวิมฺหนียํ, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Vilokitānaṃ ativimhanīyaṃ, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘วิสุทฺธมพฺภํ คคนํ สุรมฺมํ, มณิมเยหิ สมลงฺกตาว;

    ‘‘Visuddhamabbhaṃ gaganaṃ surammaṃ, maṇimayehi samalaṅkatāva;

    ทิสา จ สพฺพา อติโรจยนฺติ, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Disā ca sabbā atirocayanti, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘คนฺธพฺพวิชฺชาธรกินฺนรา จ, สุคีติยนฺตา มธุรสฺสเรน;

    ‘‘Gandhabbavijjādharakinnarā ca, sugītiyantā madhurassarena;

    จรนฺติ ตสฺมิํ ปวเน สุรเมฺม, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Caranti tasmiṃ pavane suramme, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘กิเลสสงฺฆสฺส ภิตาสเกหิ, ตปสฺสิสเงฺฆหิ นิเสวิตํ วนํ;

    ‘‘Kilesasaṅghassa bhitāsakehi, tapassisaṅghehi nisevitaṃ vanaṃ;

    วิหารอารามสมิทฺธิภูตํ, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Vihāraārāmasamiddhibhūtaṃ, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘สมิทฺธินานาผลิโน วนนฺตา, อนากุลา นิจฺจมโนภิรมฺมา;

    ‘‘Samiddhinānāphalino vanantā, anākulā niccamanobhirammā;

    สมาธิปีติํ อภิวฑฺฒยนฺติ, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Samādhipītiṃ abhivaḍḍhayanti, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘นิเสวิตํ เนกทิเชหิ นิจฺจํ, คาเมน คามํ สตตํ วสนฺตา;

    ‘‘Nisevitaṃ nekadijehi niccaṃ, gāmena gāmaṃ satataṃ vasantā;

    ปุเร ปุเร คามวรา จ สนฺติ, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Pure pure gāmavarā ca santi, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘วตฺถนฺนปานํ สยนาสนญฺจ, คนฺธญฺจ มาลญฺจ วิเลปนญฺจ;

    ‘‘Vatthannapānaṃ sayanāsanañca, gandhañca mālañca vilepanañca;

    ตหิํ สมิทฺธา ชนตา พหู จ, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Tahiṃ samiddhā janatā bahū ca, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘ปุญฺญิทฺธิยา สพฺพยสคฺคปตฺตา, ชนา จ ตสฺมิํ สุขิตา สมิทฺธา;

    ‘‘Puññiddhiyā sabbayasaggapattā, janā ca tasmiṃ sukhitā samiddhā;

    ปหูตโภคา วิวิธา วสนฺติ, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Pahūtabhogā vividhā vasanti, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘นเภ จ อพฺภา สุวิสุทฺธวณฺณา, ทิสา จ จโนฺท สุวิราชิโตว;

    ‘‘Nabhe ca abbhā suvisuddhavaṇṇā, disā ca cando suvirājitova;

    รตฺติญฺจ วาโต มุทุสีตโล จ, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Rattiñca vāto mudusītalo ca, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘จนฺทุคฺคเม สพฺพชนา ปหฎฺฐา, สกงฺคเณ จิตฺรกถา วทนฺตา;

    ‘‘Canduggame sabbajanā pahaṭṭhā, sakaṅgaṇe citrakathā vadantā;

    ปิเยหิ สทฺธิํ อภิโมทยนฺติ, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Piyehi saddhiṃ abhimodayanti, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘จนฺทสฺส รํสีหิ นภํ วิโรจิ, มหี จ สํสุทฺธมนุญฺญวณฺณา;

    ‘‘Candassa raṃsīhi nabhaṃ viroci, mahī ca saṃsuddhamanuññavaṇṇā;

    ทิสา จ สพฺพา ปริสุทฺธรูปา, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Disā ca sabbā parisuddharūpā, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘ทูเร จ ทิสฺวา วรจนฺทรํสิํ, ปุปฺผิํสุ ปุปฺผานิ มหีตลสฺมิํ;

    ‘‘Dūre ca disvā varacandaraṃsiṃ, pupphiṃsu pupphāni mahītalasmiṃ;

    สมนฺตโต คนฺธคุณตฺถิกานํ, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Samantato gandhaguṇatthikānaṃ, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘จนฺทสฺส รํสีหิ วิลิมฺปิตาว, มหี สมนฺตา กุสุเมนลงฺกตา;

    ‘‘Candassa raṃsīhi vilimpitāva, mahī samantā kusumenalaṅkatā;

    วิโรจิ สพฺพงฺคสุมาลินีว, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Viroci sabbaṅgasumālinīva, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘กุจนฺติ หตฺถีปิ มเทน มตฺตา, วิจิตฺตปิญฺฉา จ ทิชา สมนฺตา;

    ‘‘Kucanti hatthīpi madena mattā, vicittapiñchā ca dijā samantā;

    กโรนฺติ นาทํ ปวเน สุรเมฺม, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Karonti nādaṃ pavane suramme, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘ปถญฺจ สพฺพํ ปฎิปชฺชนกฺขมํ, อิทฺธญฺจ รฎฺฐํ สธนํ สโภคํ;

    ‘‘Pathañca sabbaṃ paṭipajjanakkhamaṃ, iddhañca raṭṭhaṃ sadhanaṃ sabhogaṃ;

    สพฺพตฺถุตํ สพฺพสุขปฺปทานํ, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Sabbatthutaṃ sabbasukhappadānaṃ, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘วนญฺจ สพฺพํ สุวิจิตฺตรูปํ, สุมาปิตํ นนฺทนกานนํว;

    ‘‘Vanañca sabbaṃ suvicittarūpaṃ, sumāpitaṃ nandanakānanaṃva;

    ยตีน ปีติํ สตตํ ชเนติ, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Yatīna pītiṃ satataṃ janeti, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘อลงฺกตํ เทวปุรํว รมฺมํ, กปีลวตฺถุํ อิติ นามเธยฺยํ;

    ‘‘Alaṅkataṃ devapuraṃva rammaṃ, kapīlavatthuṃ iti nāmadheyyaṃ;

    กุลนครํ อิธ สสฺสิริกํ, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Kulanagaraṃ idha sassirikaṃ, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘มนุญฺญอฎฺฎาลวิจิตฺตรูปํ, สุผุลฺลปเงฺกรุหสณฺฑมณฺฑิตํ;

    ‘‘Manuññaaṭṭālavicittarūpaṃ, suphullapaṅkeruhasaṇḍamaṇḍitaṃ;

    วิจิตฺตปริขาหิ ปุรํ สุรมฺมํ, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Vicittaparikhāhi puraṃ surammaṃ, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘วิจิตฺตปาการญฺจ โตรณญฺจ, สุภงฺคณํ เทวนิวาสภูตํ;

    ‘‘Vicittapākārañca toraṇañca, subhaṅgaṇaṃ devanivāsabhūtaṃ;

    มนุญฺญวีถิ สุรโลกสนฺนิภํ, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Manuññavīthi suralokasannibhaṃ, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘อลงฺกตา สากิยราชปุตฺตา, วิราชมานา วรภูสเนหิ;

    ‘‘Alaṅkatā sākiyarājaputtā, virājamānā varabhūsanehi;

    สุรินฺทโลเก อิว เทวปุตฺตา, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Surindaloke iva devaputtā, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘สุโทฺธทโน มุนิวรํ อภิทสฺสนาย, อมจฺจปุเตฺต ทสธา อเปสยิ;

    ‘‘Suddhodano munivaraṃ abhidassanāya, amaccaputte dasadhā apesayi;

    พเลน สทฺธิํ มหตา มุนินฺท, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Balena saddhiṃ mahatā muninda, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘เนวาคตํ ปสฺสติ เนว วาจํ, โสกาภิภูตํ นรวีรเสฎฺฐํ;

    ‘‘Nevāgataṃ passati neva vācaṃ, sokābhibhūtaṃ naravīraseṭṭhaṃ;

    โตเสตุมิจฺฉามิ นราธิปตฺตํ, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Tosetumicchāmi narādhipattaṃ, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘ตํทสฺสเนนพฺภุตปีติราสิ, อุทิกฺขมานํ ทฺวิปทานมินฺทํ;

    ‘‘Taṃdassanenabbhutapītirāsi, udikkhamānaṃ dvipadānamindaṃ;

    โตเสหิ ตํ มุนินฺท คุณเสฎฺฐํ, สมโย มหาวีร องฺคีรสานํฯ

    Tosehi taṃ muninda guṇaseṭṭhaṃ, samayo mahāvīra aṅgīrasānaṃ.

    ‘‘อาสาย กสฺสเต เขตฺตํ, พีชํ อาสาย วปฺปติ;

    ‘‘Āsāya kassate khettaṃ, bījaṃ āsāya vappati;

    อาสาย วาณิชา ยนฺติ, สมุทฺทํ ธนหารกา;

    Āsāya vāṇijā yanti, samuddaṃ dhanahārakā;

    ยาย อาสาย ติฎฺฐามิ, สา เม อาสา สมิชฺฌตุฯ

    Yāya āsāya tiṭṭhāmi, sā me āsā samijjhatu.

    ‘‘นาติสีตํ นาติอุณฺหํ, นาติทุพฺภิกฺขฉาตกํ;

    ‘‘Nātisītaṃ nātiuṇhaṃ, nātidubbhikkhachātakaṃ;

    สทฺทลา หริตา ภูมิ, เอส กาโล มหามุนี’’ติฯ

    Saddalā haritā bhūmi, esa kālo mahāmunī’’ti.

    อถ นํ สตฺถา – ‘‘กิํ นุ โข, อุทายิ, คมนวณฺณํ วเณฺณสี’’ติ อาหฯ ‘‘ภเนฺต, ตุมฺหากํ ปิตา สุโทฺธทนมหาราชา ทฎฺฐุกาโม, กโรถ ญาตกานํ สงฺคห’’นฺติ อาหฯ ‘‘สาธุ, อุทายิ, กริสฺสามิ ญาติสงฺคหํ, เตน หิ ภิกฺขุสงฺฆสฺส อาโรเจหิ , คมิยวตฺตํ ปูเรสฺสนฺตี’’ติ อาหฯ ‘‘สาธุ, ภเนฺต’’ติ เถโร ภิกฺขุสงฺฆสฺส อาโรเจสิฯ

    Atha naṃ satthā – ‘‘kiṃ nu kho, udāyi, gamanavaṇṇaṃ vaṇṇesī’’ti āha. ‘‘Bhante, tumhākaṃ pitā suddhodanamahārājā daṭṭhukāmo, karotha ñātakānaṃ saṅgaha’’nti āha. ‘‘Sādhu, udāyi, karissāmi ñātisaṅgahaṃ, tena hi bhikkhusaṅghassa ārocehi , gamiyavattaṃ pūressantī’’ti āha. ‘‘Sādhu, bhante’’ti thero bhikkhusaṅghassa ārocesi.

    สตฺถา องฺคมคธวาสีนํ กุลปุตฺตานํ ทสหิ สหเสฺสหิ, กปิลวตฺถุวาสีนํ ทสหิ สหเสฺสหีติ สเพฺพเหว วีสติยา ขีณาสวภิกฺขุสหเสฺสหิ ปริวุโต ราชคหา นิกฺขมิตฺวา ทิวเส ทิวเส โยชนํ โยชนํ คจฺฉโนฺต ทฺวีหิ มาเสหิ กปิลวตฺถุปุรํ สมฺปาปุณิฯ สากิยาปิ อนุปฺปเตฺตเยว ภควติ – ‘‘อมฺหากํ ญาติเสฎฺฐํ ปสฺสิสฺสามา’’ติ ภควโต วสนฎฺฐานํ วีมํสมานา ‘‘นิโคฺรธสกฺกสฺสาราโม รมณีโย’’ติ สลฺลเกฺขตฺวา สพฺพํ ปฎิชคฺคนวิธิํ กาเรตฺวา คนฺธปุปฺผหตฺถา ปจฺจุคฺคมนํ กโรนฺตา สพฺพาลงฺกาเรหิ สมลงฺกตคตฺตา คนฺธปุปฺผจุณฺณาทีหิ ปูชยมานา ภควนฺตํ ปุรกฺขตฺวา นิโคฺรธารามเมว อคมํสุฯ

    Satthā aṅgamagadhavāsīnaṃ kulaputtānaṃ dasahi sahassehi, kapilavatthuvāsīnaṃ dasahi sahassehīti sabbeheva vīsatiyā khīṇāsavabhikkhusahassehi parivuto rājagahā nikkhamitvā divase divase yojanaṃ yojanaṃ gacchanto dvīhi māsehi kapilavatthupuraṃ sampāpuṇi. Sākiyāpi anuppatteyeva bhagavati – ‘‘amhākaṃ ñātiseṭṭhaṃ passissāmā’’ti bhagavato vasanaṭṭhānaṃ vīmaṃsamānā ‘‘nigrodhasakkassārāmo ramaṇīyo’’ti sallakkhetvā sabbaṃ paṭijagganavidhiṃ kāretvā gandhapupphahatthā paccuggamanaṃ karontā sabbālaṅkārehi samalaṅkatagattā gandhapupphacuṇṇādīhi pūjayamānā bhagavantaṃ purakkhatvā nigrodhārāmameva agamaṃsu.

    ตตฺร ภควา วีสติยา ขีณาสวสหเสฺสหิ ปริวุโต ปญฺญตฺตวรพุทฺธาสเน นิสีทิฯ สากิยา ปน มานชาติกา มานตฺถทฺธา, ‘‘สิทฺธตฺถกุมาโร อเมฺหหิ ทหรตโร, อมฺหากํ กนิโฎฺฐ ภาตา, ปุโตฺต, ภาคิเนโยฺย, นตฺตา’’ติ จิเนฺตตฺวา ทหรทหเร ราชกุมาเร อาหํสุ – ‘‘ตุเมฺห วนฺทถ, มยํ ตุมฺหากํ ปิฎฺฐิโต ปิฎฺฐิโต นิสีทิสฺสามา’’ติฯ เตเสฺววํ นิสิเนฺนสุ ภควา เตสํ อชฺฌาสยํ โอโลเกตฺวา – ‘‘อิเม ญาตกา อตฺตโน โมฆชิณฺณภาเวน น มํ วนฺทนฺติ, น ปเนเต ชานนฺติ ‘พุโทฺธ นาม กีทิโส, พุทฺธพลํ นาม กีทิส’นฺติ วา, ‘พุโทฺธ นาม เอทิโส, พุทฺธพลํ นาม เอทิส’นฺติ วา, หนฺทาหํ อตฺตโน พุทฺธพลํ อิทฺธิพลญฺจ ทเสฺสโนฺต ปาฎิหาริยญฺจ กเรยฺยํ, อากาเส ทสสหสฺสจกฺกวาฬวิตฺถตํ สพฺพรตนมยํ จงฺกมํ มาเปตฺวา ตตฺถ จงฺกมโนฺต มหาชนสฺส อชฺฌาสยํ โอโลเกตฺวา ธมฺมญฺจ เทเสยฺย’’นฺติ จิเนฺตสิฯ เตน วุตฺตํ สงฺคีติการเกหิ ภควโต ปริวิตกฺกทสฺสนตฺถํ –

    Tatra bhagavā vīsatiyā khīṇāsavasahassehi parivuto paññattavarabuddhāsane nisīdi. Sākiyā pana mānajātikā mānatthaddhā, ‘‘siddhatthakumāro amhehi daharataro, amhākaṃ kaniṭṭho bhātā, putto, bhāgineyyo, nattā’’ti cintetvā daharadahare rājakumāre āhaṃsu – ‘‘tumhe vandatha, mayaṃ tumhākaṃ piṭṭhito piṭṭhito nisīdissāmā’’ti. Tesvevaṃ nisinnesu bhagavā tesaṃ ajjhāsayaṃ oloketvā – ‘‘ime ñātakā attano moghajiṇṇabhāvena na maṃ vandanti, na panete jānanti ‘buddho nāma kīdiso, buddhabalaṃ nāma kīdisa’nti vā, ‘buddho nāma ediso, buddhabalaṃ nāma edisa’nti vā, handāhaṃ attano buddhabalaṃ iddhibalañca dassento pāṭihāriyañca kareyyaṃ, ākāse dasasahassacakkavāḷavitthataṃ sabbaratanamayaṃ caṅkamaṃ māpetvā tattha caṅkamanto mahājanassa ajjhāsayaṃ oloketvā dhammañca deseyya’’nti cintesi. Tena vuttaṃ saṅgītikārakehi bhagavato parivitakkadassanatthaṃ –

    .

    3.

    ‘‘น เหเต ชานนฺติ สเทวมานุสา, พุโทฺธ อยํ กีทิสโก นรุตฺตโม;

    ‘‘Na hete jānanti sadevamānusā, buddho ayaṃ kīdisako naruttamo;

    อิทฺธิพลํ ปญฺญาพลญฺจ กีทิสํ, พุทฺธพลํ โลกหิตสฺส กีทิสํฯ

    Iddhibalaṃ paññābalañca kīdisaṃ, buddhabalaṃ lokahitassa kīdisaṃ.

    .

    4.

    ‘‘น เหเต ชานนฺติ สเทวมานุสา, พุโทฺธ อยํ เอทิสโก นรุตฺตโม;

    ‘‘Na hete jānanti sadevamānusā, buddho ayaṃ edisako naruttamo;

    อิทฺธิพลํ ปญฺญาพลญฺจ เอทิสํ, พุทฺธพลํ โลกหิตสฺส เอทิสํฯ

    Iddhibalaṃ paññābalañca edisaṃ, buddhabalaṃ lokahitassa edisaṃ.

    .

    5.

    ‘‘หนฺทาหํ ทสฺสยิสฺสามิ, พุทฺธพลมนุตฺตรํ;

    ‘‘Handāhaṃ dassayissāmi, buddhabalamanuttaraṃ;

    จงฺกมํ มาปยิสฺสามิ, นเภ รตนมณฺฑิต’’นฺติฯ

    Caṅkamaṃ māpayissāmi, nabhe ratanamaṇḍita’’nti.

    ตตฺถ น เหเต ชานนฺตีติ น หิ เอเต ชานนฺติฯ -กาโร ปฎิเสธโตฺถฯ หิ-กาโร การณเตฺถ นิปาโตฯ ยสฺมา ปเนเต มม ญาติอาทโย เทวมนุสฺสา มยา พุทฺธพเล จ อิทฺธิพเล จ อนาวิกเต น ชานนฺติ ‘‘เอทิโส พุโทฺธ, เอทิสํ อิทฺธิพล’’นฺติ, ตสฺมา อหํ มม พุทฺธพลญฺจ อิทฺธิพลญฺจ ทเสฺสยฺยนฺติ อโตฺถฯ สเทวมานุสาติ เอตฺถ เทวาติ อุปปตฺติเทวา อธิเปฺปตาฯ สห เทเวหีติ สเทวาฯ เก เต? มานุสา, สเทวา เอว มานุสา สเทวมานุสาฯ อถ วา เทโวติ สมฺมุติเทโว, สุโทฺธทโน ราชา อธิเปฺปโตฯ สห เทเวน รญฺญา สุโทฺธทเนนาติ สเทวาฯ มานุสาติ ญาติมานุสา, สเทวา สสุโทฺธทนา มานุสา สเทวมานุสา สราชาโน วา เอเต มม ญาติมานุสา มม พลํ น วิชานนฺตีติ อโตฺถฯ เสสเทวาปิ สงฺคหํ คจฺฉนฺติเยวฯ สเพฺพปิ เทวา เทวนเฎฺฐน ‘‘เทวา’’ติ วุจฺจนฺติฯ เทวนํ นาม ธาตุอโตฺถ กีฬาทิฯ อถ วา เทวา จ มานุสา จ เทวมานุสา, สห เทวมานุเสหิ สเทวมานุสาฯ เก เต? โลกาติ วจนเสโส ทฎฺฐโพฺพฯ พุโทฺธติ จตุสจฺจธเมฺม พุโทฺธ อนุพุโทฺธติ พุโทฺธฯ ยถาห –

    Tattha na hete jānantīti na hi ete jānanti. Na-kāro paṭisedhattho. Hi-kāro kāraṇatthe nipāto. Yasmā panete mama ñātiādayo devamanussā mayā buddhabale ca iddhibale ca anāvikate na jānanti ‘‘ediso buddho, edisaṃ iddhibala’’nti, tasmā ahaṃ mama buddhabalañca iddhibalañca dasseyyanti attho. Sadevamānusāti ettha devāti upapattidevā adhippetā. Saha devehīti sadevā. Ke te? Mānusā, sadevā eva mānusā sadevamānusā. Atha vā devoti sammutidevo, suddhodano rājā adhippeto. Saha devena raññā suddhodanenāti sadevā. Mānusāti ñātimānusā, sadevā sasuddhodanā mānusā sadevamānusā sarājāno vā ete mama ñātimānusā mama balaṃ na vijānantīti attho. Sesadevāpi saṅgahaṃ gacchantiyeva. Sabbepi devā devanaṭṭhena ‘‘devā’’ti vuccanti. Devanaṃ nāma dhātuattho kīḷādi. Atha vā devā ca mānusā ca devamānusā, saha devamānusehi sadevamānusā. Ke te? Lokāti vacanaseso daṭṭhabbo. Buddhoti catusaccadhamme buddho anubuddhoti buddho. Yathāha –

    ‘‘อภิเญฺญยฺยํ อภิญฺญาตํ, ภาเวตพฺพญฺจ ภาวิตํ;

    ‘‘Abhiññeyyaṃ abhiññātaṃ, bhāvetabbañca bhāvitaṃ;

    ปหาตพฺพํ ปหีนํ เม, ตสฺมา พุโทฺธสฺมิ พฺราหฺมณา’’ติฯ (ม. นิ. ๒.๓๙๙; สุ. นิ. ๕๖๓);

    Pahātabbaṃ pahīnaṃ me, tasmā buddhosmi brāhmaṇā’’ti. (ma. ni. 2.399; su. ni. 563);

    อิธ ปน กตฺตุการเก พุทฺธสทฺทสิทฺธิ ทฎฺฐพฺพาฯ อธิคตวิเสเสหิ เทวมนุเสฺสหิ ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ วต โส ภควา’’ติ เอวํ พุทฺธตฺตา ญาตตฺตา พุโทฺธฯ อิธ กมฺมการเก พุทฺธสทฺทสิทฺธิ ทฎฺฐพฺพาฯ พุทฺธมสฺส อตฺถีติ วา พุโทฺธ, พุทฺธวโนฺตติ อโตฺถฯ ตํ สพฺพํ สทฺทสตฺถานุสาเรน เวทิตพฺพํฯ กีทิสโกติ กีทิโส กิํสริกฺขโก กิํสทิโส กิํวโณฺณ กิํสณฺฐาโน ทีโฆ วา รโสฺส วาติ อโตฺถฯ

    Idha pana kattukārake buddhasaddasiddhi daṭṭhabbā. Adhigatavisesehi devamanussehi ‘‘sammāsambuddho vata so bhagavā’’ti evaṃ buddhattā ñātattā buddho. Idha kammakārake buddhasaddasiddhi daṭṭhabbā. Buddhamassa atthīti vā buddho, buddhavantoti attho. Taṃ sabbaṃ saddasatthānusārena veditabbaṃ. Kīdisakoti kīdiso kiṃsarikkhako kiṃsadiso kiṃvaṇṇo kiṃsaṇṭhāno dīgho vā rasso vāti attho.

    นรุตฺตโมติ นรานํ นเรสุ วา อุตฺตโม ปวโร เสโฎฺฐติ นรุตฺตโมฯ อิทฺธิพลนฺติ เอตฺถ อิชฺฌนํ อิทฺธิ นิปฺผตฺติอเตฺถน ปฎิลาภเฎฺฐน จ อิทฺธิฯ อถ วา อิชฺฌนฺติ ตาย สตฺตา อิทฺธา วุทฺธา อุกฺกํสคตา โหนฺตีติ อิทฺธิฯ สา ปน ทสวิธา โหติฯ ยถาห –

    Naruttamoti narānaṃ naresu vā uttamo pavaro seṭṭhoti naruttamo. Iddhibalanti ettha ijjhanaṃ iddhi nipphattiatthena paṭilābhaṭṭhena ca iddhi. Atha vā ijjhanti tāya sattā iddhā vuddhā ukkaṃsagatā hontīti iddhi. Sā pana dasavidhā hoti. Yathāha –

    ‘‘อิทฺธิโยติ ทส อิทฺธิโยฯ กตมา ทส? อธิฎฺฐานา อิทฺธิ, วิกุพฺพนา อิทฺธิ, มโนมยา อิทฺธิ, ญาณวิปฺผารา อิทฺธิ, สมาธิวิปฺผารา อิทฺธิ, อริยา อิทฺธิ, กมฺมวิปากชา อิทฺธิ, ปุญฺญวโต อิทฺธิ, วิชฺชามยา อิทฺธิ, ตตฺถ ตตฺถ สมฺมาปโยคปจฺจยา อิชฺฌนเฎฺฐน อิทฺธี’’ติ (ปฎิ. ม. ๓.๑๐)ฯ

    ‘‘Iddhiyoti dasa iddhiyo. Katamā dasa? Adhiṭṭhānā iddhi, vikubbanā iddhi, manomayā iddhi, ñāṇavipphārā iddhi, samādhivipphārā iddhi, ariyā iddhi, kammavipākajā iddhi, puññavato iddhi, vijjāmayā iddhi, tattha tattha sammāpayogapaccayā ijjhanaṭṭhena iddhī’’ti (paṭi. ma. 3.10).

    ตาสํ อิทํ นานตฺตํ – ปกติยา เอโก พหุกํ อาวเชฺชติ, สตํ วา สหสฺสํ วา อาวชฺชิตฺวา ญาเณน อธิฎฺฐาติ ‘‘พหุโก โหมี’’ติ (ปฎิ. ม. ๓.๑๐) เอวํ วิภชิตฺวา ทสฺสิตา อิทฺธิ อธิฎฺฐานวเสน นิปฺผนฺนตฺตา อธิฎฺฐานา อิทฺธิ นามฯ ตสฺสายมโตฺถ – อภิญฺญาปาทกํ จตุตฺถชฺฌานํ สมาปชฺชิตฺวา ตโต วุฎฺฐาย สเจ สตํ อิจฺฉติ ‘‘สตํ โหมิ, สตํ โหมี’’ติ กามาวจรปริกมฺมจิเตฺตหิ ปริกมฺมํ กตฺวา ปุน อภิญฺญาปาทกํ ฌานํ สมาปชฺชิตฺวา ตโต วุฎฺฐาย ปุน อาวชฺชิตฺวา อธิฎฺฐาติ, อธิฎฺฐานจิเตฺตน สเหว สตํ โหติฯ สหสฺสาทีสุปิ เอเสว นโยฯ

    Tāsaṃ idaṃ nānattaṃ – pakatiyā eko bahukaṃ āvajjeti, sataṃ vā sahassaṃ vā āvajjitvā ñāṇena adhiṭṭhāti ‘‘bahuko homī’’ti (paṭi. ma. 3.10) evaṃ vibhajitvā dassitā iddhi adhiṭṭhānavasena nipphannattā adhiṭṭhānā iddhi nāma. Tassāyamattho – abhiññāpādakaṃ catutthajjhānaṃ samāpajjitvā tato vuṭṭhāya sace sataṃ icchati ‘‘sataṃ homi, sataṃ homī’’ti kāmāvacaraparikammacittehi parikammaṃ katvā puna abhiññāpādakaṃ jhānaṃ samāpajjitvā tato vuṭṭhāya puna āvajjitvā adhiṭṭhāti, adhiṭṭhānacittena saheva sataṃ hoti. Sahassādīsupi eseva nayo.

    ตตฺถ ปาทกชฺฌานจิตฺตํ นิมิตฺตารมฺมณํ ปริกมฺมจิตฺตานิ สตารมฺมณานิ วา สหสฺสาทีสุ อญฺญตรารมฺมณานิ วา, ตานิ จ โข วณฺณวเสน, โน ปณฺณตฺติวเสนฯ อธิฎฺฐานจิตฺตมฺปิ สตารมฺมณเมว, ตํ ปน อปฺปนาจิตฺตํ วิย โคตฺรภุอนนฺตรเมว อุปฺปชฺชติ รูปาวจรจตุตฺถฌานิกํ ฯ โส ปน ปกติวณฺณํ วิชหิตฺวา กุมารวณฺณํ วา ทเสฺสติ นาควณฺณํ วา ทเสฺสติฯ สุปณฺณวณฺณํ วา…เป.… วิวิธมฺปิ เสนาพฺยูหํ วา ทเสฺสตีติ (ปฎิ. ม. ๓.๑๓) เอวํ อาคตา อิทฺธิ ปกติวณฺณวิชหนวิการวเสน ปวตฺตตฺตา วิกุพฺพนิทฺธิ นามฯ

    Tattha pādakajjhānacittaṃ nimittārammaṇaṃ parikammacittāni satārammaṇāni vā sahassādīsu aññatarārammaṇāni vā, tāni ca kho vaṇṇavasena, no paṇṇattivasena. Adhiṭṭhānacittampi satārammaṇameva, taṃ pana appanācittaṃ viya gotrabhuanantarameva uppajjati rūpāvacaracatutthajhānikaṃ . So pana pakativaṇṇaṃ vijahitvā kumāravaṇṇaṃ vā dasseti nāgavaṇṇaṃ vā dasseti. Supaṇṇavaṇṇaṃ vā…pe… vividhampi senābyūhaṃ vā dassetīti (paṭi. ma. 3.13) evaṃ āgatā iddhi pakativaṇṇavijahanavikāravasena pavattattā vikubbaniddhi nāma.

    ‘‘อิธ ภิกฺขุ อิมมฺหา กายา อญฺญํ กายํ อภินิมฺมินาติ รูปิํ มโนมยํ สพฺพงฺคปจฺจงฺคิํ อหีนินฺทฺริย’’นฺติ (ปฎิ. ม. ๓.๑๔) อิมินา นเยน อาคตา อิทฺธิ สรีรเสฺสว อพฺภนฺตเร อญฺญสฺส มโนมยสฺส สรีรสฺส นิปฺผตฺติวเสน ปวตฺตตฺตา มโนมยิทฺธิ นามฯ

    ‘‘Idha bhikkhu imamhā kāyā aññaṃ kāyaṃ abhinimmināti rūpiṃ manomayaṃ sabbaṅgapaccaṅgiṃ ahīnindriya’’nti (paṭi. ma. 3.14) iminā nayena āgatā iddhi sarīrasseva abbhantare aññassa manomayassa sarīrassa nipphattivasena pavattattā manomayiddhi nāma.

    ญาณุปฺปตฺติโต ปุเพฺพ วา ปจฺฉา วา ตงฺขเณ วา เตน อตฺตภาเวน ปฎิลภิตพฺพอรหตฺตญาณานุภาเวน นิพฺพโตฺต วิเสโส ญาณวิปฺผาโร อิทฺธิ นามฯ อายสฺมโต พากุลสฺส จ อายสฺมโต สํกิจฺจสฺส จ ญาณวิปฺผารา อิทฺธิ, เตสํ วตฺถุ เจตฺถ กเถตพฺพํ (อ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๒๒๖)ฯ

    Ñāṇuppattito pubbe vā pacchā vā taṅkhaṇe vā tena attabhāvena paṭilabhitabbaarahattañāṇānubhāvena nibbatto viseso ñāṇavipphāro iddhi nāma. Āyasmato bākulassa ca āyasmato saṃkiccassa ca ñāṇavipphārā iddhi, tesaṃ vatthu cettha kathetabbaṃ (a. ni. aṭṭha. 1.1.226).

    สมาธิโต ปุเพฺพ วา ปจฺฉา วา ตงฺขเณ วา สมถานุภาเวน นิพฺพโตฺต วิเสโส สมาธิวิปฺผารา อิทฺธิ นามฯ อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺส สมาธิวิปฺผารา อิทฺธิ (อุทา. ๓๔), อายสฺมโต สญฺชีวสฺส สมาธิวิปฺผารา อิทฺธิ (ม. นิ. ๑.๕๐๗), อายสฺมโต ขาณุโกณฺฑญฺญสฺส สมาธิวิปฺผารา อิทฺธิ (ธ. ป. อฎฺฐ. ๑.ขาณุโกณฺฑญฺญเตฺถรวตฺถุ), อุตฺตราย อุปาสิกาย สมาธิวิปฺผารา อิทฺธิ (ธ. ป. อฎฺฐ. ๒.อุตฺตราอุปาสิกาวตฺถุ; อ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๒๖๒), สามาวติยา อุปาสิกาย สมาธิวิปฺผารา อิทฺธีติ (ธ. ป. อฎฺฐ. ๑.สามาวตีวตฺถุ; อ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๒๖๐-๒๖๑) เตสํ วตฺถูเนตฺถ กเถตพฺพานิ, คนฺถวิตฺถารโทสปริหารตฺถํ ปน มยา น วิตฺถาริตานิฯ

    Samādhito pubbe vā pacchā vā taṅkhaṇe vā samathānubhāvena nibbatto viseso samādhivipphārā iddhi nāma. Āyasmato sāriputtassa samādhivipphārā iddhi (udā. 34), āyasmato sañjīvassa samādhivipphārā iddhi (ma. ni. 1.507), āyasmato khāṇukoṇḍaññassa samādhivipphārā iddhi (dha. pa. aṭṭha. 1.khāṇukoṇḍaññattheravatthu), uttarāya upāsikāya samādhivipphārā iddhi (dha. pa. aṭṭha. 2.uttarāupāsikāvatthu; a. ni. aṭṭha. 1.1.262), sāmāvatiyā upāsikāya samādhivipphārā iddhīti (dha. pa. aṭṭha. 1.sāmāvatīvatthu; a. ni. aṭṭha. 1.1.260-261) tesaṃ vatthūnettha kathetabbāni, ganthavitthāradosaparihāratthaṃ pana mayā na vitthāritāni.

    กตมา อริยา อิทฺธิ? อิธ ภิกฺขุ สเจ อากงฺขติ ‘‘ปฎิกฺกูเล อปฺปฎิกฺกูลสญฺญี วิหเรยฺย’’นฺติ อปฺปฎิกฺกูลสญฺญี ตตฺถ วิหรติ, สเจ อากงฺขติ ‘‘อปฺปฎิกฺกูเล ปฎิกฺกูลสญฺญี วิหเรยฺย’’นฺติ ปฎิกฺกูลสญฺญี ตตฺถ วิหรติ…เป.… อุเปกฺขโก ตตฺถ วิหรติ สโต สมฺปชาโนติ (ปฎิ. ม. ๓.๑๗)ฯ อยญฺหิ เจโตวสิปฺปตฺตานํ อริยานํเยว สมฺภวโต อริยา อิทฺธิ นามฯ

    Katamā ariyā iddhi? Idha bhikkhu sace ākaṅkhati ‘‘paṭikkūle appaṭikkūlasaññī vihareyya’’nti appaṭikkūlasaññī tattha viharati, sace ākaṅkhati ‘‘appaṭikkūle paṭikkūlasaññī vihareyya’’nti paṭikkūlasaññī tattha viharati…pe… upekkhako tattha viharati sato sampajānoti (paṭi. ma. 3.17). Ayañhi cetovasippattānaṃ ariyānaṃyeva sambhavato ariyā iddhi nāma.

    กตมา กมฺมวิปากชา อิทฺธิ? สเพฺพสํ ปกฺขีนํ สเพฺพสํ เทวานํ ปฐมกปฺปิกานํ มนุสฺสานํ เอกจฺจานญฺจ วินิปาติกานํ เวหาสคมนาทิกา กมฺมวิปากชา อิทฺธิ นามฯ กตมา ปุญฺญวโต อิทฺธิ? ราชา จกฺกวตฺตี เวหาสํ คจฺฉติ สทฺธิํ จตุรงฺคินิยา เสนายฯ ชฎิลกสฺส คหปติสฺส อสีติหโตฺถ สุวณฺณปพฺพโต นิพฺพตฺติฯ อยํ ปุญฺญวโต อิทฺธิ นามฯ โฆสกสฺส คหปติโน (ธ. ป. อฎฺฐ. ๑.กุมฺภโฆสกเสฎฺฐิวตฺถุ) สตฺตสุ ฐาเนสุ มารณตฺถาย อุปกฺกเม กเตปิ อโรคภาโว ปุญฺญวโต อิทฺธิฯ เมณฺฑกเสฎฺฐิสฺส (ธ. ป. อฎฺฐ. ๒.เมณฺฑกเสฎฺฐิวตฺถุ) อฎฺฐกรีสมเตฺต ปเทเส สตฺตรตนมยานํ เมณฺฑกานํ ปาตุภาโว ปุญฺญวโต อิทฺธิ

    Katamā kammavipākajā iddhi? Sabbesaṃ pakkhīnaṃ sabbesaṃ devānaṃ paṭhamakappikānaṃ manussānaṃ ekaccānañca vinipātikānaṃ vehāsagamanādikā kammavipākajā iddhi nāma. Katamā puññavato iddhi? Rājā cakkavattī vehāsaṃ gacchati saddhiṃ caturaṅginiyā senāya. Jaṭilakassa gahapatissa asītihattho suvaṇṇapabbato nibbatti. Ayaṃ puññavato iddhi nāma. Ghosakassa gahapatino (dha. pa. aṭṭha. 1.kumbhaghosakaseṭṭhivatthu) sattasu ṭhānesu māraṇatthāya upakkame katepi arogabhāvo puññavato iddhi. Meṇḍakaseṭṭhissa (dha. pa. aṭṭha. 2.meṇḍakaseṭṭhivatthu) aṭṭhakarīsamatte padese sattaratanamayānaṃ meṇḍakānaṃ pātubhāvo puññavato iddhi.

    กตมา วิชฺชามยา อิทฺธิ? วิชฺชาธรา วิชฺชํ ปริชปฺปิตฺวา เวหาสํ คจฺฉนฺติ, อากาเส อนฺตลิเกฺข หตฺถิมฺปิ ทเสฺสนฺติ…เป.… วิวิธมฺปิ เสนาพฺยูหํ ทเสฺสนฺตีติ (ปฎิ. ม. ๓.๑๘)ฯ อาทินยปฺปวตฺตา วิชฺชามยา อิทฺธิ นามฯ ตํ ตํ กมฺมํ กตฺวา นิพฺพโตฺต วิเสโส ‘สมฺมาปโยคปจฺจยา อิชฺฌนเฎฺฐน อิทฺธี’ติ อยํ ตตฺถ ตตฺถ สมฺมาปโยคปจฺจยา อิชฺฌนเฎฺฐน อิทฺธิ นามฯ อิมิสฺสา ทสวิธาย อิทฺธิยา พลํ อิทฺธิพลํ นาม, อิทํ มยฺหํ อิทฺธิพลํ น ชานนฺตีติ อโตฺถ (วิสุทฺธิ. ๒.๓๗๕ อาทโย)ฯ

    Katamā vijjāmayā iddhi? Vijjādharā vijjaṃ parijappitvā vehāsaṃ gacchanti, ākāse antalikkhe hatthimpi dassenti…pe… vividhampi senābyūhaṃ dassentīti (paṭi. ma. 3.18). Ādinayappavattā vijjāmayā iddhi nāma. Taṃ taṃ kammaṃ katvā nibbatto viseso ‘sammāpayogapaccayā ijjhanaṭṭhena iddhī’ti ayaṃ tattha tattha sammāpayogapaccayā ijjhanaṭṭhena iddhi nāma. Imissā dasavidhāya iddhiyā balaṃ iddhibalaṃ nāma, idaṃ mayhaṃ iddhibalaṃ na jānantīti attho (visuddhi. 2.375 ādayo).

    ปญฺญาพลนฺติ สพฺพโลกิยโลกุตฺตรคุณวิเสสทายกํ อรหตฺตมคฺคปญฺญาพลํ อธิเปฺปตํ, ตมฺปิ เอเต น ชานนฺติฯ เกจิ ‘‘ฉนฺนํ อสาธารณญาณานเมตํ อธิวจนํ ปญฺญาพล’’นฺติ วทนฺติฯ พุทฺธพลนฺติ เอตฺถ พุทฺธพลํ นาม พุทฺธานุภาโว, ทสพลญาณานิ วาฯ ตตฺถ ทสพลญาณานิ นาม ฐานาฎฺฐานญาณํ, อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนกมฺมวิปากชานนญาณํ, สพฺพตฺถคามินิปฎิปทาญาณํ, อเนกธาตุนานาธาตุโลกชานนญาณํ, นานาธิมุตฺติกญาณํ, อาสยานุสยญาณํ, ฌานวิโมกฺขสมาธิสมาปตฺตีนํ สํกิเลสโวทานวุฎฺฐาเนสุ ยถาภูตญาณํ, ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณํ, จุตูปปาตญาณํ, อาสวกฺขยญาณนฺติ อิมานิ ทสฯ อิเมสํ ทสนฺนํ ญาณานํ อธิวจนํ พุทฺธพลนฺติฯ เอทิสนฺติ อีทิสํ, อยเมว วา ปาโฐฯ

    Paññābalanti sabbalokiyalokuttaraguṇavisesadāyakaṃ arahattamaggapaññābalaṃ adhippetaṃ, tampi ete na jānanti. Keci ‘‘channaṃ asādhāraṇañāṇānametaṃ adhivacanaṃ paññābala’’nti vadanti. Buddhabalanti ettha buddhabalaṃ nāma buddhānubhāvo, dasabalañāṇāni vā. Tattha dasabalañāṇāni nāma ṭhānāṭṭhānañāṇaṃ, atītānāgatapaccuppannakammavipākajānanañāṇaṃ, sabbatthagāminipaṭipadāñāṇaṃ, anekadhātunānādhātulokajānanañāṇaṃ, nānādhimuttikañāṇaṃ, āsayānusayañāṇaṃ, jhānavimokkhasamādhisamāpattīnaṃ saṃkilesavodānavuṭṭhānesu yathābhūtañāṇaṃ, pubbenivāsānussatiñāṇaṃ, cutūpapātañāṇaṃ, āsavakkhayañāṇanti imāni dasa. Imesaṃ dasannaṃ ñāṇānaṃ adhivacanaṃ buddhabalanti. Edisanti īdisaṃ, ayameva vā pāṭho.

    หนฺทาติ ววสฺสคฺคเตฺถ นิปาโตฯ อหนฺติ อตฺตานํ นิทฺทิสติฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ยสฺมา ปเนเต มม ญาตกา พุทฺธพลํ วา พุทฺธคุเณ วา น ชานนฺติ, เกวลํ อตฺตโน โมฆชิณฺณภาวํ นิสฺสาย มานวเสน สพฺพโลกเชฎฺฐเสฎฺฐํ มํ น วนฺทนฺติฯ ตสฺมา เตสํ มานเกตุ อตฺถิ, ตํ ภญฺชิตฺวา วนฺทนตฺถํ พุทฺธพลํ ทเสฺสยฺยนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ทสฺสยิสฺสามีติ ทเสฺสยฺยํฯ ‘‘ทเสฺสสฺสามี’’ติ จ ปาโฐ, โสเยวโตฺถฯ พุทฺธพลนฺติ พุทฺธานุภาวํ, พุทฺธญาณวิเสสํ วาฯ อนุตฺตรนฺติ นิรุตฺตรํฯ จงฺกมนฺติ จงฺกมิตพฺพฎฺฐานํ วุจฺจติฯ มาปยิสฺสามีติ มาเปยฺยํฯ ‘‘จงฺกมนํ มาเปสฺสามี’’ติ จ ปาโฐ, โสเยวโตฺถฯ นเภติ อากาเสฯ สพฺพรตนมณฺฑิตนฺติ สเพฺพหิ รติชนนเฎฺฐน รตเนหิ มุตฺตา-มณิ-เวฬุริย-สงฺข-สิลา-ปวาฬ-รชต-สุวณฺณ-มสารคลฺล-โลหิตเงฺกหิ ทสหิ ทสหิ มณฺฑิโต อลงฺกโต สพฺพรตนมณฺฑิโต, ตํ สพฺพรตนมณฺฑิตํฯ ‘‘นเภ รตนมณฺฑิต’’นฺติ ปฐนฺติ เกจิฯ

    Handāti vavassaggatthe nipāto. Ahanti attānaṃ niddisati. Kiṃ vuttaṃ hoti? Yasmā panete mama ñātakā buddhabalaṃ vā buddhaguṇe vā na jānanti, kevalaṃ attano moghajiṇṇabhāvaṃ nissāya mānavasena sabbalokajeṭṭhaseṭṭhaṃ maṃ na vandanti. Tasmā tesaṃ mānaketu atthi, taṃ bhañjitvā vandanatthaṃ buddhabalaṃ dasseyyanti vuttaṃ hoti. Dassayissāmīti dasseyyaṃ. ‘‘Dassessāmī’’ti ca pāṭho, soyevattho. Buddhabalanti buddhānubhāvaṃ, buddhañāṇavisesaṃ vā. Anuttaranti niruttaraṃ. Caṅkamanti caṅkamitabbaṭṭhānaṃ vuccati. Māpayissāmīti māpeyyaṃ. ‘‘Caṅkamanaṃ māpessāmī’’ti ca pāṭho, soyevattho. Nabheti ākāse. Sabbaratanamaṇḍitanti sabbehi ratijananaṭṭhena ratanehi muttā-maṇi-veḷuriya-saṅkha-silā-pavāḷa-rajata-suvaṇṇa-masāragalla-lohitaṅkehi dasahi dasahi maṇḍito alaṅkato sabbaratanamaṇḍito, taṃ sabbaratanamaṇḍitaṃ. ‘‘Nabhe ratanamaṇḍita’’nti paṭhanti keci.

    อเถวํ ภควตา จินฺติตมเตฺต ทสสหสฺสจกฺกวาฬวาสิโน ภุมฺมาทโย เทวา ปมุทิตหทยา สาธุการมทํสุฯ ตมตฺถํ ปกาเสเนฺตหิ สงฺคีติการเกหิ –

    Athevaṃ bhagavatā cintitamatte dasasahassacakkavāḷavāsino bhummādayo devā pamuditahadayā sādhukāramadaṃsu. Tamatthaṃ pakāsentehi saṅgītikārakehi –

    .

    6.

    ‘‘ภุมฺมา มหาราชิกา ตาวติํสา, ยามา จ เทวา ตุสิตา จ นิมฺมิตา;

    ‘‘Bhummā mahārājikā tāvatiṃsā, yāmā ca devā tusitā ca nimmitā;

    ปรนิมฺมิตา เยปิ จ พฺรหฺมกายิกา, อานนฺทิตา วิปุลมกํสุ โฆส’’นฺติฯ –

    Paranimmitā yepi ca brahmakāyikā, ānanditā vipulamakaṃsu ghosa’’nti. –

    อาทิคาถาโย ฐปิตาติ เวทิตพฺพาฯ

    Ādigāthāyo ṭhapitāti veditabbā.

    ตตฺถ ภุมฺมาติ ภุมฺมฎฺฐา, ปาสาณปพฺพตวนรุกฺขาทีสุ ฐิตาฯ มหาราชิกาติ มหาราชปกฺขิกาฯ ภุมฺมฎฺฐานํ เทวตานํ สทฺทํ สุตฺวา อากาสฎฺฐกเทวตา, ตโต อพฺภวลาหกา เทวตา, ตโต อุณฺหวลาหกา เทวตา, ตโต สีตวลาหกา เทวตา, ตโต วสฺสวลาหกา เทวตา, ตโต วาตวลาหกา เทวตา, ตโต จตฺตาโร มหาราชาโน, ตโต ตาวติํสา, ตโต ยามา, ตโต ตุสิตา, ตโต นิมฺมานรตี, ตโต ปรนิมฺมิตวสวตฺตี, ตโต พฺรหฺมกายิกา, ตโต พฺรหฺมปุโรหิตา, ตโต มหาพฺรหฺมาโน, ตโต ปริตฺตาภา, ตโต อปฺปมาณาภา, ตโต อาภสฺสรา, ตโต ปริตฺตสุภา, ตโต อปฺปมาณสุภา, ตโต สุภกิณฺหา, ตโต เวหปฺผลา, ตโต อวิหา, ตโต อตปฺปา, ตโต สุทสฺสา, ตโต สุทสฺสี, ตโต อกนิฎฺฐา เทวตา สทฺทํ สุตฺวา มหนฺตํ สทฺทํ อกํสุฯ อสญฺญิโน จ อรูปาวจรสเตฺต จ ฐเปตฺวา โสตายตนปวตฺติฎฺฐาเน สเพฺพ เทวมนุสฺสนาคาทโย ปีติวสํ คตหทยา อุกฺกุฎฺฐิสทฺทมกํสูติ อโตฺถฯ อานนฺทิตาติ ปมุทิตหทยา, สญฺชาตปีติโสมนสฺสา หุตฺวาติ อโตฺถฯ วิปุลนฺติ ปุถุลํฯ

    Tattha bhummāti bhummaṭṭhā, pāsāṇapabbatavanarukkhādīsu ṭhitā. Mahārājikāti mahārājapakkhikā. Bhummaṭṭhānaṃ devatānaṃ saddaṃ sutvā ākāsaṭṭhakadevatā, tato abbhavalāhakā devatā, tato uṇhavalāhakā devatā, tato sītavalāhakā devatā, tato vassavalāhakā devatā, tato vātavalāhakā devatā, tato cattāro mahārājāno, tato tāvatiṃsā, tato yāmā, tato tusitā, tato nimmānaratī, tato paranimmitavasavattī, tato brahmakāyikā, tato brahmapurohitā, tato mahābrahmāno, tato parittābhā, tato appamāṇābhā, tato ābhassarā, tato parittasubhā, tato appamāṇasubhā, tato subhakiṇhā, tato vehapphalā, tato avihā, tato atappā, tato sudassā, tato sudassī, tato akaniṭṭhā devatā saddaṃ sutvā mahantaṃ saddaṃ akaṃsu. Asaññino ca arūpāvacarasatte ca ṭhapetvā sotāyatanapavattiṭṭhāne sabbe devamanussanāgādayo pītivasaṃ gatahadayā ukkuṭṭhisaddamakaṃsūti attho. Ānanditāti pamuditahadayā, sañjātapītisomanassā hutvāti attho. Vipulanti puthulaṃ.

    อถ สตฺถา จินฺติตสมนนฺตรเมว โอทาตกสิณสมาปตฺติํ สมาปชฺชิตฺวา – ‘‘ทสสุ จกฺกวาฬสหเสฺสสุ อาโลโก โหตู’’ติ อธิฎฺฐาสิฯ เตน อธิฎฺฐานจิเตฺตน สเหว อาโลโก อโหสิ ปถวิโต ปฎฺฐาย ยาว อกนิฎฺฐภวนาฯ เตน วุตฺตํ –

    Atha satthā cintitasamanantarameva odātakasiṇasamāpattiṃ samāpajjitvā – ‘‘dasasu cakkavāḷasahassesu āloko hotū’’ti adhiṭṭhāsi. Tena adhiṭṭhānacittena saheva āloko ahosi pathavito paṭṭhāya yāva akaniṭṭhabhavanā. Tena vuttaṃ –

    .

    7.

    ‘‘โอภาสิตา จ ปถวี สเทวกา, ปุถู จ โลกนฺตริกา อสํวุตา;

    ‘‘Obhāsitā ca pathavī sadevakā, puthū ca lokantarikā asaṃvutā;

    ตโม จ ติโพฺพ วิหโต ตทา อหุ, ทิสฺวาน อเจฺฉรกํ ปาฎิหีร’’นฺติฯ

    Tamo ca tibbo vihato tadā ahu, disvāna accherakaṃ pāṭihīra’’nti.

    ตตฺถ โอภาสิตาติ ปกาสิตาฯ ปถวีติ เอตฺถายํ ปถวี จตุพฺพิธา – กกฺขฬปถวี, สสมฺภารปถวี, นิมิตฺตปถวี, สมฺมุติปถวีติฯ ตาสุ ‘‘กตมา จาวุโส, อชฺฌตฺติกา ปถวีธาตุ? ยํ อชฺฌตฺตํ ปจฺจตฺตํ กกฺขฬํ ขริคต’’นฺติอาทีสุ (วิภ. ๑๗๓) วุตฺตา อยํ กกฺขฬปถวี นามฯ ‘‘โย ปน ภิกฺขุ ปถวิํ ขเณยฺย วา ขณาเปยฺย วา’’ติอาทีสุ (ปาจิ. ๘๕) วุตฺตา สสมฺภารปถวี, เย จ เกสาทโย วีสติ โกฎฺฐาสา, อโยโลหาทโย จ พาหิรา; สาปิ วณฺณาทีหิ สมฺภาเรหิ สทฺธิํ ปถวีติ สสมฺภารปถวี นามฯ ‘‘ปถวีกสิณเมโก สญฺชานาตี’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๓.๓๖๐) นิมิตฺตปถวี ‘‘อารมฺมณปถวี’’ติปิ วุจฺจติฯ ปถวีกสิณฌานลาภี เทวโลเก นิพฺพโตฺต อาคมนวเสน ‘‘ปถวีเทโว’’ติ นามํ ลภติฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘อาโป จ เทวา ปถวี’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๓๔๐) อยํ สมฺมุติปถวี, ปญฺญตฺติปถวี นามาติ เวทิตพฺพาฯ อิธ ปน สสมฺภารปถวี อธิเปฺปตา (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๒ ปถวีวารวณฺณนา)ฯ

    Tattha obhāsitāti pakāsitā. Pathavīti etthāyaṃ pathavī catubbidhā – kakkhaḷapathavī, sasambhārapathavī, nimittapathavī, sammutipathavīti. Tāsu ‘‘katamā cāvuso, ajjhattikā pathavīdhātu? Yaṃ ajjhattaṃ paccattaṃ kakkhaḷaṃ kharigata’’ntiādīsu (vibha. 173) vuttā ayaṃ kakkhaḷapathavī nāma. ‘‘Yo pana bhikkhu pathaviṃ khaṇeyya vā khaṇāpeyya vā’’tiādīsu (pāci. 85) vuttā sasambhārapathavī, ye ca kesādayo vīsati koṭṭhāsā, ayolohādayo ca bāhirā; sāpi vaṇṇādīhi sambhārehi saddhiṃ pathavīti sasambhārapathavī nāma. ‘‘Pathavīkasiṇameko sañjānātī’’tiādīsu (dī. ni. 3.360) nimittapathavī ‘‘ārammaṇapathavī’’tipi vuccati. Pathavīkasiṇajhānalābhī devaloke nibbatto āgamanavasena ‘‘pathavīdevo’’ti nāmaṃ labhati. Vuttañhetaṃ – ‘‘āpo ca devā pathavī’’tiādīsu (dī. ni. 2.340) ayaṃ sammutipathavī, paññattipathavī nāmāti veditabbā. Idha pana sasambhārapathavī adhippetā (ma. ni. aṭṭha. 1.2 pathavīvāravaṇṇanā).

    สเทวกาติ สเทวโลกาฯ ‘‘สเทวตา’’ติปิ ปาโฐ อตฺถิ เจ สุนฺทรตรํ, สเทวโก มนุสฺสโลโก โอภาสิโตติ อโตฺถฯ ปุถูติ พหูฯ โลกนฺตริกาติ อสุรกายนรกานเมตํ อธิวจนํ, ตา ปน ติณฺณํ จกฺกวาฬานํ อนฺตรา เอกา โลกนฺตริกา โหติ, ติณฺณํ สกฎจกฺกานํ อญฺญมญฺญํ อาหจฺจ ฐิตานํ มเชฺฌ โอกาโส วิย เอเกโก โลกนฺตริกนิรโย, ปริมาณโต อฎฺฐโยชนสหโสฺส โหติฯ อสํวุตาติ เหฎฺฐา อปฺปติฎฺฐาฯ ตโม จาติ อนฺธกาโรฯ ติโพฺพติ พหโล ฆโนฯ จนฺทิมสูริยาโลกาภาวโต นิจฺจนฺธกาโรว โหติฯ วิหโตติ วิทฺธโสฺตฯ ตทาติ ยทา ปน ภควา สเตฺตสุ การุญฺญตํ ปฎิจฺจ ปาฎิหาริยกรณตฺถํ อาโลกํ ผริ, ตทา โส ตโม ติโพฺพ โลกนฺตริกาสุ ฐิโต, วิหโต วิทฺธโสฺต อโหสีติ อโตฺถฯ

    Sadevakāti sadevalokā. ‘‘Sadevatā’’tipi pāṭho atthi ce sundarataraṃ, sadevako manussaloko obhāsitoti attho. Puthūti bahū. Lokantarikāti asurakāyanarakānametaṃ adhivacanaṃ, tā pana tiṇṇaṃ cakkavāḷānaṃ antarā ekā lokantarikā hoti, tiṇṇaṃ sakaṭacakkānaṃ aññamaññaṃ āhacca ṭhitānaṃ majjhe okāso viya ekeko lokantarikanirayo, parimāṇato aṭṭhayojanasahasso hoti. Asaṃvutāti heṭṭhā appatiṭṭhā. Tamo cāti andhakāro. Tibboti bahalo ghano. Candimasūriyālokābhāvato niccandhakārova hoti. Vihatoti viddhasto. Tadāti yadā pana bhagavā sattesu kāruññataṃ paṭicca pāṭihāriyakaraṇatthaṃ ālokaṃ phari, tadā so tamo tibbo lokantarikāsu ṭhito, vihato viddhasto ahosīti attho.

    อเจฺฉรกนฺติ อจฺฉราปหรณโยคฺคํ, วิมฺหยวเสน องฺคุลีหิ ปหรณโยคฺคนฺติ อโตฺถฯ ปาฎิหีรนฺติ ปฎิปกฺขหรณโต ปาฎิหีรํฯ ปฎิหรติ สตฺตานํ ทิฎฺฐิมาโนปคตานิ จิตฺตานีติ วา ปาฎิหีรํ, อปฺปสนฺนานํ สตฺตานํ ปสาทํ ปฎิอาหรตีติ วา ปาฎิหีรํฯ ‘‘ปาฎิเหร’’นฺติปิ ปาโฐ, โสเยวโตฺถฯ เอตฺถ อาโลกวิธานวิเสสเสฺสตํ อธิวจนํฯ ทิสฺวาน อเจฺฉรกํ ปาฎิหีรนฺติ เอตฺถ เทวา จ มนุสฺสา จ โลกนฺตริกาสุ นิพฺพตฺตสตฺตาปิ จ ตํ ภควโต ปาฎิหาริยํ ทิสฺวา ปรมปฺปีติโสมนสฺสํ อคมํสูติ อิทํ วจนํ อาหริตฺวา อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพ, อิตรถา น ปุเพฺพน วา ปรํ, น ปเรน วา ปุพฺพํ ยุชฺชติฯ

    Accherakanti accharāpaharaṇayoggaṃ, vimhayavasena aṅgulīhi paharaṇayogganti attho. Pāṭihīranti paṭipakkhaharaṇato pāṭihīraṃ. Paṭiharati sattānaṃ diṭṭhimānopagatāni cittānīti vā pāṭihīraṃ, appasannānaṃ sattānaṃ pasādaṃ paṭiāharatīti vā pāṭihīraṃ. ‘‘Pāṭihera’’ntipi pāṭho, soyevattho. Ettha ālokavidhānavisesassetaṃ adhivacanaṃ. Disvāna accherakaṃpāṭihīranti ettha devā ca manussā ca lokantarikāsu nibbattasattāpi ca taṃ bhagavato pāṭihāriyaṃ disvā paramappītisomanassaṃ agamaṃsūti idaṃ vacanaṃ āharitvā attho daṭṭhabbo, itarathā na pubbena vā paraṃ, na parena vā pubbaṃ yujjati.

    อิทานิ น เกวลํ มนุสฺสโลเกสุเยว อาโลโก อตฺถิ, สพฺพตฺถ ติวิเธปิ สงฺขารสโตฺตกาสสงฺขาเต โลเก อาโลโกเยวาติ ทสฺสนตฺถํ –

    Idāni na kevalaṃ manussalokesuyeva āloko atthi, sabbattha tividhepi saṅkhārasattokāsasaṅkhāte loke ālokoyevāti dassanatthaṃ –

    .

    8.

    ‘‘สเทวคนฺธพฺพมนุสฺสรกฺขเส,

    ‘‘Sadevagandhabbamanussarakkhase,

    อาภา อุฬารา วิปุลา อชายถ;

    Ābhā uḷārā vipulā ajāyatha;

    อิมสฺมิํ โลเก ปรสฺมิโญฺจภยสฺมิํ,

    Imasmiṃ loke parasmiñcobhayasmiṃ,

    อโธ จ อุทฺธํ ติริยญฺจ วิตฺถต’’นฺติฯ – อยํ คาถา วุตฺตา;

    Adho ca uddhaṃ tiriyañca vitthata’’nti. – ayaṃ gāthā vuttā;

    ตตฺถ เทวาติ สมฺมุติเทวา อุปปตฺติเทวา วิสุทฺธิเทวาติ สเพฺพปิ เทวา อิธ สงฺคหิตาฯ เทวา จ คนฺธพฺพา จ มนุสฺสา จ รกฺขสา จ เทวคนฺธพฺพมนุสฺสรกฺขสาฯ สห เทวคนฺธพฺพมนุสฺสรกฺขเสหีติ สเทวคนฺธพฺพมนุสฺสรกฺขโสฯ โก ปน โส? โลโก, ตสฺมิํ สเทวคนฺธพฺพมนุสฺสรกฺขเส โลเกฯ อาภาติ อาโลโกฯ อุฬาราติ เอตฺถายํ อุฬาร-สโทฺท มธุรเสฎฺฐวิปุลาทีสุ ทิสฺสติฯ ตถา เหส ‘‘อุฬารานิ ขาทนียโภชนียานิ ขาทนฺติ ภุญฺชนฺตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๖๖) มธุเร ทิสฺสติฯ ‘‘อุฬาราย โข ปน ภวํ วจฺฉายโน ปสํสาย สมณํ โคตมํ ปสํสตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๘๘) เสเฎฺฐฯ ‘‘อติกฺกมฺม เทวานํ เทวานุภาวํ อปฺปมาโณ อุฬาโร โอภาโส’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๓๒; ม. นิ. ๓.๒๐๑) วิปุเลฯ สฺวายํ อิธ เสเฎฺฐ ทฎฺฐโพฺพ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๓.๑๔๒; วิ. ว. อฎฺฐ. ๑)ฯ วิปุลาติ อปฺปมาณาฯ อชายถาติ อุปฺปชฺชิ อุทปาทิ ปวตฺติตฺถฯ อิมสฺมิํ โลเก ปรสฺมิญฺจาติ อิมสฺมิํ มนุสฺสโลเก จ ปรสฺมิํ เทวโลเก จาติ อโตฺถฯ อุภยสฺมินฺติ ตทุภยสฺมิํ, อชฺฌตฺตพหิทฺธาทีสุ วิย ทฎฺฐพฺพํฯ อโธ จาติ อวีจิอาทีสุ นิรเยสุฯ อุทฺธนฺติ ภวคฺคโตปิ อุทฺธํ อชฎากาเสปิฯ ติริยญฺจาติ ติริยโตปิ ทสสุ จกฺกวาฬสหเสฺสสุฯ วิตฺถตนฺติ วิสฎํฯ อนฺธการํ วิธมิตฺวา วุตฺตปฺปการํ โลกญฺจ ปเทสญฺจ อโชฺฌตฺถริตฺวา อาภา ปวตฺติตฺถาติ อโตฺถฯ อถ วา ติริยญฺจ วิตฺถตนฺติ ติริยโต วิตฺถตํ มหนฺตํ, อปฺปมาณํ ปเทสํ อาภา ผริตฺวา อฎฺฐาสีติ อโตฺถฯ

    Tattha devāti sammutidevā upapattidevā visuddhidevāti sabbepi devā idha saṅgahitā. Devā ca gandhabbā ca manussā ca rakkhasā ca devagandhabbamanussarakkhasā. Saha devagandhabbamanussarakkhasehīti sadevagandhabbamanussarakkhaso. Ko pana so? Loko, tasmiṃ sadevagandhabbamanussarakkhase loke. Ābhāti āloko. Uḷārāti etthāyaṃ uḷāra-saddo madhuraseṭṭhavipulādīsu dissati. Tathā hesa ‘‘uḷārāni khādanīyabhojanīyāni khādanti bhuñjantī’’tiādīsu (ma. ni. 1.366) madhure dissati. ‘‘Uḷārāya kho pana bhavaṃ vacchāyano pasaṃsāya samaṇaṃ gotamaṃ pasaṃsatī’’tiādīsu (ma. ni. 1.288) seṭṭhe. ‘‘Atikkamma devānaṃ devānubhāvaṃ appamāṇo uḷāro obhāso’’tiādīsu (dī. ni. 2.32; ma. ni. 3.201) vipule. Svāyaṃ idha seṭṭhe daṭṭhabbo (dī. ni. aṭṭha. 3.142; vi. va. aṭṭha. 1). Vipulāti appamāṇā. Ajāyathāti uppajji udapādi pavattittha. Imasmiṃ loke parasmiñcāti imasmiṃ manussaloke ca parasmiṃ devaloke cāti attho. Ubhayasminti tadubhayasmiṃ, ajjhattabahiddhādīsu viya daṭṭhabbaṃ. Adho cāti avīciādīsu nirayesu. Uddhanti bhavaggatopi uddhaṃ ajaṭākāsepi. Tiriyañcāti tiriyatopi dasasu cakkavāḷasahassesu. Vitthatanti visaṭaṃ. Andhakāraṃ vidhamitvā vuttappakāraṃ lokañca padesañca ajjhottharitvā ābhā pavattitthāti attho. Atha vā tiriyañca vitthatanti tiriyato vitthataṃ mahantaṃ, appamāṇaṃ padesaṃ ābhā pharitvā aṭṭhāsīti attho.

    อถ ภควา ทสสหสฺสจกฺกวาเฬสุ อาโลกผรณํ กตฺวา อภิญฺญาปาทกํ จตุตฺถชฺฌานํ สมาปชฺชิตฺวา ตโต วุฎฺฐาย อาวชฺชิตฺวา อธิฎฺฐานจิเตฺตน อากาสมพฺภุคฺคนฺตฺวา เตสํ ญาตีนํ สีเสสุ ปาทปํสุํ โอกิรมาโน วิย มหติยา เทวมนุสฺสปริสาย มเชฺฌ ยมกปาฎิหาริยํ ทเสฺสติฯ ตํ ปน ปาฬิโต เอวํ เวทิตพฺพํ (ปฎิ. ม. ๑.๑๑๖) –

    Atha bhagavā dasasahassacakkavāḷesu ālokapharaṇaṃ katvā abhiññāpādakaṃ catutthajjhānaṃ samāpajjitvā tato vuṭṭhāya āvajjitvā adhiṭṭhānacittena ākāsamabbhuggantvā tesaṃ ñātīnaṃ sīsesu pādapaṃsuṃ okiramāno viya mahatiyā devamanussaparisāya majjhe yamakapāṭihāriyaṃ dasseti. Taṃ pana pāḷito evaṃ veditabbaṃ (paṭi. ma. 1.116) –

    ‘‘กตมํ ตถาคตสฺส ยมกปาฎิหีเร ญาณํ? อิธ ตถาคโต ยมกปาฎิหีรํ กโรติ อสาธารณํ สาวเกหิ อุปริมกายโต อคฺคิกฺขโนฺธ ปวตฺตติ, เหฎฺฐิมกายโต อุทกธารา ปวตฺตติฯ เหฎฺฐิมกายโต อคฺคิกฺขโนฺธ ปวตฺตติ, อุปริมกายโต อุทกธารา ปวตฺตติ…เป.… ปุรตฺถิมกายโต อคฺคิกฺขโนฺธ ปวตฺตติ, ปจฺฉิมกายโต อุทกธารา ปวตฺตติฯ ปจฺฉิมกายโต อคฺคิกฺขโนฺธ ปวตฺตติ, ปุรตฺถิมกายโต อุทกธารา ปวตฺตติ…เป.… ทกฺขิณอกฺขิโต อคฺคิกฺขโนฺธ ปวตฺตติ, วามอกฺขิโต อุทกธารา ปวตฺตติฯ วามอกฺขิโต อคฺคิกฺขโนฺธ ปวตฺตติ, ทกฺขิณอกฺขิโต อุทกธารา ปวตฺตติ…เป.… ทกฺขิณกณฺณโสตโต อคฺคิกฺขโนฺธ ปวตฺตติ, วามกณฺณโสตโต อุทกธารา ปวตฺตติฯ วามกณฺณโสตโต อคฺคิกฺขโนฺธ ปวตฺตติ, ทกฺขิณกณฺณโสตโต อุทกธารา ปวตฺตติ…เป.… ทกฺขิณนาสิกาโสตโต อคฺคิกฺขโนฺธ ปวตฺตติ, วามนาสิกาโสตโต อุทกธารา ปวตฺตติฯ วามนาสิกาโสตโต อคฺคิกฺขโนฺธ ปวตฺตติ, ทกฺขิณนาสิกาโสตโต อุทกธารา ปวตฺตติ…เป.… ทกฺขิณอํสกูฎโต อคฺคิกฺขโนฺธ ปวตฺตติ, วามอํสกูฎโต อุทกธารา ปวตฺตติฯ วามอํสกูฎโต อคฺคิกฺขโนฺธ ปวตฺตติ, ทกฺขิณอํสกูฎโต อุทกธารา ปวตฺตติ…เป.… ทกฺขิณหตฺถโต อคฺคิกฺขโนฺธ ปวตฺตติ, วามหตฺถโต อุทกธารา ปวตฺตติฯ วามหตฺถโต อคฺคิกฺขโนฺธ ปวตฺตติ, ทกฺขิณหตฺถโต อุทกธารา ปวตฺตติ…เป.… ทกฺขิณปสฺสโต อคฺคิกฺขโนฺธ ปวตฺตติ, วามปสฺสโต อุทกธารา ปวตฺตติฯ วามปสฺสโต อคฺคิกฺขโนฺธ ปวตฺตติ, ทกฺขิณปสฺสโต อุทกธารา ปวตฺตติ…เป.… ทกฺขิณปาทโต อคฺคิกฺขโนฺธ ปวตฺตติ, วามปาทโต อุทกธารา ปวตฺตติฯ วามปาทโต อคฺคิกฺขโนฺธ ปวตฺตติ, ทกฺขิณปาทโต อุทกธารา ปวตฺตติ…เป.… องฺคุลงฺคุเลหิ อคฺคิกฺขโนฺธ ปวตฺตติ, องฺคุลนฺตริกาหิ อุทกธารา ปวตฺตติฯ องฺคุลนฺตริกาหิ อคฺคิกฺขโนฺธ ปวตฺตติ, องฺคุลงฺคุเลหิ อุทกธารา ปวตฺตติ…เป.… เอเกกโลมโต อคฺคิกฺขโนฺธ ปวตฺตติ, เอเกกโลมโต อุทกธารา ปวตฺตติฯ โลมกูปโต โลมกูปโต อคฺคิกฺขโนฺธ ปวตฺตติ, โลมกูปโต โลมกูปโต อุทกธารา ปวตฺตติ – ฉนฺนํ วณฺณานํ นีลานํ ปีตกานํ โลหิตกานํ โอทาตานํ มญฺชิฎฺฐานํ ปภสฺสรานํฯ

    ‘‘Katamaṃ tathāgatassa yamakapāṭihīre ñāṇaṃ? Idha tathāgato yamakapāṭihīraṃ karoti asādhāraṇaṃ sāvakehi uparimakāyato aggikkhandho pavattati, heṭṭhimakāyato udakadhārā pavattati. Heṭṭhimakāyato aggikkhandho pavattati, uparimakāyato udakadhārā pavattati…pe… puratthimakāyato aggikkhandho pavattati, pacchimakāyato udakadhārā pavattati. Pacchimakāyato aggikkhandho pavattati, puratthimakāyato udakadhārā pavattati…pe… dakkhiṇaakkhito aggikkhandho pavattati, vāmaakkhito udakadhārā pavattati. Vāmaakkhito aggikkhandho pavattati, dakkhiṇaakkhito udakadhārā pavattati…pe… dakkhiṇakaṇṇasotato aggikkhandho pavattati, vāmakaṇṇasotato udakadhārā pavattati. Vāmakaṇṇasotato aggikkhandho pavattati, dakkhiṇakaṇṇasotato udakadhārā pavattati…pe… dakkhiṇanāsikāsotato aggikkhandho pavattati, vāmanāsikāsotato udakadhārā pavattati. Vāmanāsikāsotato aggikkhandho pavattati, dakkhiṇanāsikāsotato udakadhārā pavattati…pe… dakkhiṇaaṃsakūṭato aggikkhandho pavattati, vāmaaṃsakūṭato udakadhārā pavattati. Vāmaaṃsakūṭato aggikkhandho pavattati, dakkhiṇaaṃsakūṭato udakadhārā pavattati…pe… dakkhiṇahatthato aggikkhandho pavattati, vāmahatthato udakadhārā pavattati. Vāmahatthato aggikkhandho pavattati, dakkhiṇahatthato udakadhārā pavattati…pe… dakkhiṇapassato aggikkhandho pavattati, vāmapassato udakadhārā pavattati. Vāmapassato aggikkhandho pavattati, dakkhiṇapassato udakadhārā pavattati…pe… dakkhiṇapādato aggikkhandho pavattati, vāmapādato udakadhārā pavattati. Vāmapādato aggikkhandho pavattati, dakkhiṇapādato udakadhārā pavattati…pe… aṅgulaṅgulehi aggikkhandho pavattati, aṅgulantarikāhi udakadhārā pavattati. Aṅgulantarikāhi aggikkhandho pavattati, aṅgulaṅgulehi udakadhārā pavattati…pe… ekekalomato aggikkhandho pavattati, ekekalomato udakadhārā pavattati. Lomakūpato lomakūpato aggikkhandho pavattati, lomakūpato lomakūpato udakadhārā pavattati – channaṃ vaṇṇānaṃ nīlānaṃ pītakānaṃ lohitakānaṃ odātānaṃ mañjiṭṭhānaṃ pabhassarānaṃ.

    ‘‘ภควา จงฺกมติ, นิมฺมิโต ติฎฺฐติ วา นิสีทติ วา เสยฺยํ วา กเปฺปติฯ ภควา ติฎฺฐติ, นิมฺมิโต จงฺกมติ วา นิสีทติ วา เสยฺยํ วา กเปฺปติฯ ภควา นิสีทติ, นิมฺมิโต จงฺกมติ วา ติฎฺฐติ วา เสยฺยํ วา กเปฺปติฯ ภควา เสยฺยํ กเปฺปติ, นิมฺมิโต จงฺกมติ วา ติฎฺฐติ วา นิสีทติ วาฯ นิมฺมิโต จงฺกมติ, ภควา ติฎฺฐติ วา นิสีทติ วา เสยฺยํ วา กเปฺปติฯ นิมฺมิโต ติฎฺฐติ, ภควา จงฺกมติ วา นิสีทติ วา เสยฺยํ วา กเปฺปติฯ นิมฺมิโต นิสีทติ, ภควา จงฺกมติ วา ติฎฺฐติ วา เสยฺยํ วา กเปฺปติฯ นิมฺมิโต เสยฺยํ กเปฺปติ, ภควา จงฺกมติ วา ติฎฺฐติ วา นิสีทติ วา, อิทํ ตถาคตสฺส ยมกปาฎิหีเร ญาณนฺติ เวทิตพฺพํ’’ฯ

    ‘‘Bhagavā caṅkamati, nimmito tiṭṭhati vā nisīdati vā seyyaṃ vā kappeti. Bhagavā tiṭṭhati, nimmito caṅkamati vā nisīdati vā seyyaṃ vā kappeti. Bhagavā nisīdati, nimmito caṅkamati vā tiṭṭhati vā seyyaṃ vā kappeti. Bhagavā seyyaṃ kappeti, nimmito caṅkamati vā tiṭṭhati vā nisīdati vā. Nimmito caṅkamati, bhagavā tiṭṭhati vā nisīdati vā seyyaṃ vā kappeti. Nimmito tiṭṭhati, bhagavā caṅkamati vā nisīdati vā seyyaṃ vā kappeti. Nimmito nisīdati, bhagavā caṅkamati vā tiṭṭhati vā seyyaṃ vā kappeti. Nimmito seyyaṃ kappeti, bhagavā caṅkamati vā tiṭṭhati vā nisīdati vā, idaṃ tathāgatassa yamakapāṭihīre ñāṇanti veditabbaṃ’’.

    ตสฺส ปน ภควโต เตโชกสิณสมาปตฺติวเสน อุปริมกายโต อคฺคิกฺขโนฺธ ปวตฺตติฯ อาโปกสิณสมาปตฺติวเสน เหฎฺฐิมกายโต อุทกธารา ปวตฺตตีติ ปุน อุทกธาราย ปวตฺตฎฺฐานโต อคฺคิกฺขโนฺธ ปวตฺตติ, อคฺคิกฺขนฺธสฺส ปวตฺตฎฺฐานโต อุทกธารา ปวตฺตตีติ ทเสฺสตุํ, ‘‘เหฎฺฐิมกายโต อคฺคิกฺขโนฺธ ปวตฺตติ, อุปริมกายโต อุทกธารา ปวตฺตตี’’ติ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพาฯ เอเสว นโย เสสปเทสุปิฯ อคฺคิกฺขโนฺธ ปเนตฺถ อุทกธาราย อสมฺมิโสฺสว อโหสิฯ ตถา อุทกธารา อคฺคิกฺขเนฺธนฯ รสฺมีสุ ปน ทุติยา ทุติยา รสฺมิ ปุริมาย ปุริมาย ยมกา วิย เอกกฺขเณ ปวตฺตติฯ ทฺวินฺนญฺจ จิตฺตานํ เอกกฺขเณ ปวตฺติ นาม นตฺถิ, พุทฺธานํ ปน ภวงฺคปริวาสสฺส ลหุกตาย ปญฺจหากาเรหิ จิณฺณวสิตาย เอตา รสฺมิโย เอกกฺขเณ วิย ปวตฺตนฺติ, ตสฺสา ปน รสฺมิยา อาวชฺชนปริกมฺมาธิฎฺฐานานิ วิสุํเยวฯ นีลรสฺมิอตฺถาย หิ ภควา นีลกสิณํ สมาปชฺชติฯ ปีตรสฺมิอาทีนํ อตฺถาย ปีตกสิณาทีนิ สมาปชฺชติฯ

    Tassa pana bhagavato tejokasiṇasamāpattivasena uparimakāyato aggikkhandho pavattati. Āpokasiṇasamāpattivasena heṭṭhimakāyato udakadhārā pavattatīti puna udakadhārāya pavattaṭṭhānato aggikkhandho pavattati, aggikkhandhassa pavattaṭṭhānato udakadhārā pavattatīti dassetuṃ, ‘‘heṭṭhimakāyato aggikkhandho pavattati, uparimakāyato udakadhārā pavattatī’’ti vuttanti veditabbā. Eseva nayo sesapadesupi. Aggikkhandho panettha udakadhārāya asammissova ahosi. Tathā udakadhārā aggikkhandhena. Rasmīsu pana dutiyā dutiyā rasmi purimāya purimāya yamakā viya ekakkhaṇe pavattati. Dvinnañca cittānaṃ ekakkhaṇe pavatti nāma natthi, buddhānaṃ pana bhavaṅgaparivāsassa lahukatāya pañcahākārehi ciṇṇavasitāya etā rasmiyo ekakkhaṇe viya pavattanti, tassā pana rasmiyā āvajjanaparikammādhiṭṭhānāni visuṃyeva. Nīlarasmiatthāya hi bhagavā nīlakasiṇaṃ samāpajjati. Pītarasmiādīnaṃ atthāya pītakasiṇādīni samāpajjati.

    เอวํ ภควโต ยมกปาฎิหีเร กยิรมาเน สกลสฺสาปิ ทสสหสฺสจกฺกวาฬสฺส อลงฺการกรณกาโล วิย อโหสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Evaṃ bhagavato yamakapāṭihīre kayiramāne sakalassāpi dasasahassacakkavāḷassa alaṅkārakaraṇakālo viya ahosi. Tena vuttaṃ –

    .

    9.

    ‘‘สตฺตุตฺตโม อนธิวโร วินายโก, สตฺถา อหู เทวมนุสฺสปูชิโต;

    ‘‘Sattuttamo anadhivaro vināyako, satthā ahū devamanussapūjito;

    มหานุภาโว สตปุญฺญลกฺขโณ, ทเสฺสสิ อเจฺฉรกํ ปาฎิหีร’’นฺติฯ

    Mahānubhāvo satapuññalakkhaṇo, dassesi accherakaṃ pāṭihīra’’nti.

    ตตฺถ สตฺตุตฺตโมติ อตฺตโน สีลาทีหิ คุเณหิ สเพฺพสุ สเตฺตสุ อุตฺตโม ปวโร เสโฎฺฐติ สตฺตุตฺตโม, สตฺตานํ วา อุตฺตโม สตฺตุตฺตโมฯ สตฺตนฺติ หิ ญาณสฺส นามํ, เตน ทสพลจตุเวสารชฺชฉอสาธารณญาณสงฺขาเตน สเตฺตน เสโฎฺฐ อุตฺตโมติ สตฺตุตฺตโม, สมานาธิกรณวเสน สโตฺต อุตฺตโมติ วา สตฺตุตฺตโมฯ ยทิ เอวํ ‘‘อุตฺตมสโตฺต’’ติ วตฺตพฺพํ อุตฺตม-สทฺทสฺส ปุพฺพนิปาตปาฐโตฯ น ปเนส เภโท อนิยมโต พหุลวจนโต จ นรุตฺตมปุริสุตฺตมนรวราทิ-สทฺทา วิย ทฎฺฐโพฺพฯ อถ วา สตฺตํ อุตฺตมํ ยสฺส โส สตฺตุตฺตโม, อิธาปิ จ อุตฺตม-สทฺทสฺส ปุพฺพนิปาโต ภวติฯ อุตฺตมสโตฺตติ วิเสสนสฺส ปุพฺพนิปาตปาฐโต ‘‘จิตฺตคู ปทฺธคู’’ติ เอตฺถ วิยาติ นายํ โทโสฯ อุภยวิเสสนโต วา อาหิตคฺคิอาทิปาโฐ วิย ทฎฺฐโพฺพฯ วินายโกติ พหูหิ วินยนูปาเยหิ สเตฺต วิเนติ ทเมตีติ วินายโกฯ สตฺถาติ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกเตฺถหิ ยถารหํ สเตฺต อนุสาสตีติ สตฺถาฯ อหูติ อโหสิฯ เทวมนุสฺสปูชิโตติ ทิเพฺพหิ ปญฺจกามคุเณหิ ทิพฺพนฺติ กีฬนฺตีติ เทวาฯ มนสฺส อุสฺสนฺนตฺตา มนุสฺสา, เทวา จ มนุสฺสา จ เทวมนุสฺสา, เทวมนุเสฺสหิ ปูชิโต เทวมนุสฺสปูชิโตฯ ปุปฺผาทิปูชาย จ ปจฺจยปูชาย จ ปูชิโต, อปจิโตติ อโตฺถฯ กสฺมา ปน เทวมนุสฺสานเมว คหณํ กตํ, นนุ ภควา ติรจฺฉานคเตหิปิ อารวาฬกาฬาปลาลธนปาลปาลิเลยฺยกนาคาทีหิ สาตาคิราฬวกเหมวตสูจิโลมขรโลมยกฺขาทีหิ วินิปาตคเตหิปิ ปูชิโตเยวาติ? สจฺจเมเวตํ, อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉทวเสน สพฺพปุคฺคลปริเจฺฉทวเสน เจตํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ มหานุภาโวติ มหตา พุทฺธานุภาเวน สมนฺนาคโตฯ สตปุญฺญลกฺขโณติ อนเนฺตสุ จกฺกวาเฬสุ สเพฺพ สตฺตา เอเกกํ ปุญฺญกมฺมํ สตกฺขตฺตุํ กเรยฺยุํ เอตฺตเกหิ ชเนหิ กตกมฺมํ โพธิสโตฺต สยเมว เอกโก สตคุณํ กตฺวา นิพฺพโตฺตฯ ตสฺมา ‘‘สตปุญฺญลกฺขโณ’’ติ วุจฺจติฯ เกจิ ปน ‘‘สเตน สเตน ปุญฺญกเมฺมน นิพฺพตฺตเอเกกลกฺขโณ’’ติ วทนฺติฯ ‘‘เอวํ สเนฺต โย โกจิ พุโทฺธ ภเวยฺยา’’ติ ตํ อฎฺฐกถาสุ ปฎิกฺขิตฺตํฯ ทเสฺสสีติ สเพฺพสํ เทวมนุสฺสานํ อติวิมฺหยกรํ ยมกปาฎิหาริยํ ทเสฺสสิฯ

    Tattha sattuttamoti attano sīlādīhi guṇehi sabbesu sattesu uttamo pavaro seṭṭhoti sattuttamo, sattānaṃ vā uttamo sattuttamo. Sattanti hi ñāṇassa nāmaṃ, tena dasabalacatuvesārajjachaasādhāraṇañāṇasaṅkhātena sattena seṭṭho uttamoti sattuttamo, samānādhikaraṇavasena satto uttamoti vā sattuttamo. Yadi evaṃ ‘‘uttamasatto’’ti vattabbaṃ uttama-saddassa pubbanipātapāṭhato. Na panesa bhedo aniyamato bahulavacanato ca naruttamapurisuttamanaravarādi-saddā viya daṭṭhabbo. Atha vā sattaṃ uttamaṃ yassa so sattuttamo, idhāpi ca uttama-saddassa pubbanipāto bhavati. Uttamasattoti visesanassa pubbanipātapāṭhato ‘‘cittagū paddhagū’’ti ettha viyāti nāyaṃ doso. Ubhayavisesanato vā āhitaggiādipāṭho viya daṭṭhabbo. Vināyakoti bahūhi vinayanūpāyehi satte vineti dametīti vināyako. Satthāti diṭṭhadhammikasamparāyikatthehi yathārahaṃ satte anusāsatīti satthā. Ahūti ahosi. Devamanussapūjitoti dibbehi pañcakāmaguṇehi dibbanti kīḷantīti devā. Manassa ussannattā manussā, devā ca manussā ca devamanussā, devamanussehi pūjito devamanussapūjito. Pupphādipūjāya ca paccayapūjāya ca pūjito, apacitoti attho. Kasmā pana devamanussānameva gahaṇaṃ kataṃ, nanu bhagavā tiracchānagatehipi āravāḷakāḷāpalāladhanapālapālileyyakanāgādīhi sātāgirāḷavakahemavatasūcilomakharalomayakkhādīhi vinipātagatehipi pūjitoyevāti? Saccamevetaṃ, ukkaṭṭhaparicchedavasena sabbapuggalaparicchedavasena cetaṃ vuttanti veditabbaṃ. Mahānubhāvoti mahatā buddhānubhāvena samannāgato. Satapuññalakkhaṇoti anantesu cakkavāḷesu sabbe sattā ekekaṃ puññakammaṃ satakkhattuṃ kareyyuṃ ettakehi janehi katakammaṃ bodhisatto sayameva ekako sataguṇaṃ katvā nibbatto. Tasmā ‘‘satapuññalakkhaṇo’’ti vuccati. Keci pana ‘‘satena satena puññakammena nibbattaekekalakkhaṇo’’ti vadanti. ‘‘Evaṃ sante yo koci buddho bhaveyyā’’ti taṃ aṭṭhakathāsu paṭikkhittaṃ. Dassesīti sabbesaṃ devamanussānaṃ ativimhayakaraṃ yamakapāṭihāriyaṃ dassesi.

    อถ สตฺถา อากาเส ปาฎิหาริยํ กตฺวา มหาชนสฺส จิตฺตาจารํ โอโลเกตฺวา ตสฺส อชฺฌาสยานุกูลํ ธมฺมกถํ จงฺกมโนฺต กเถตุกาโม อากาเส ทสสหสฺสจกฺกวาฬวิตฺถตํ สพฺพรตนมยํ รตนจงฺกมํ มาเปสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Atha satthā ākāse pāṭihāriyaṃ katvā mahājanassa cittācāraṃ oloketvā tassa ajjhāsayānukūlaṃ dhammakathaṃ caṅkamanto kathetukāmo ākāse dasasahassacakkavāḷavitthataṃ sabbaratanamayaṃ ratanacaṅkamaṃ māpesi. Tena vuttaṃ –

    ๑๐.

    10.

    ‘‘โส ยาจิโต เทววเรน จกฺขุมา, อตฺถํ สเมกฺขิตฺวา ตทา นรุตฺตโม;

    ‘‘So yācito devavarena cakkhumā, atthaṃ samekkhitvā tadā naruttamo;

    จงฺกมํ มาปยิ โลกนายโก, สุนิฎฺฐิตํ สพฺพรตนนิมฺมิต’’นฺติฯ

    Caṅkamaṃ māpayi lokanāyako, suniṭṭhitaṃ sabbaratananimmita’’nti.

    ตตฺถ โสติ โส สตฺถาฯ ยาจิโตติ ปฐมเมว อฎฺฐเม สตฺตาเห ธมฺมเทสนาย ยาจิโตติ อโตฺถฯ เทววเรนาติ สหมฺปติพฺรหฺมุนาฯ จกฺขุมาติ เอตฺถ จกฺขตีติ จกฺขุ, สมวิสมํ วิภาวยตีติ อโตฺถฯ ตํ ปน จกฺขุ ทุวิธํ – ญาณจกฺขุ, มํสจกฺขูติฯ ตตฺถ ญาณจกฺขุ ปญฺจวิธํ – พุทฺธจกฺขุ, ธมฺมจกฺขุ, สมนฺตจกฺขุ, ทิพฺพจกฺขุ, ปญฺญาจกฺขูติฯ เตสุ พุทฺธจกฺขุ นาม อาสยานุสยญาณเญฺจว อินฺทฺริยปโรปริยตฺตญาณญฺจ, ยํ ‘‘พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกโนฺต’’ติ (ที. นิ. ๒.๖๙; ม. นิ. ๑.๒๘๓; ๒.๓๓๙; สํ. นิ. ๑.๑๗๒; มหาว. ๙) อาคตํฯ ธมฺมจกฺขุ นาม เหฎฺฐิมา ตโย มคฺคา ตีณิ จ ผลานิ, ยํ ‘‘วิรชํ วีตมลํ ธมฺมจกฺขุํ อุทปาที’’ติ (ที. นิ. ๑.๓๕๕; สํ. นิ. ๕.๑๐๘๑; มหาว. ๑๖; ปฎิ. ม. ๒.๓๐) อาคตํฯ สมนฺตจกฺขุ นาม สพฺพญฺญุตญฺญาณํ , ยํ ‘‘ตถูปมํ ธมฺมมยํ, สุเมธ, ปาสาทมารุยฺห สมนฺตจกฺขู’’ติ (ที. นิ. ๒.๗๐; ม. นิ. ๑.๒๘๒; ๒.๓๓๘; สํ. นิ. ๑.๑๗๒; มหาว. ๘) อาคตํฯ ทิพฺพจกฺขุ นาม อาโลกวฑฺฒเนน อุปฺปนฺนาภิญฺญาจิเตฺตน สมฺปยุตฺตญาณํ, ยํ ‘‘ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธนา’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๔๘, ๒๘๔, ๓๘๕, ๔๓๒; ๒.๓๔๑; ๓.๘๒, ๒๖๑; มหาว. ๑๐) อาคตํฯ ปญฺญาจกฺขุ นาม ‘‘จกฺขุํ อุทปาทิ, ญาณํ อุทปาที’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๐๘๒; มหาว. ๑๕; กถา. ๔๐๕; ปฎิ. ม. ๒.๓๐) เอตฺถ ปุเพฺพนิวาสาทิญาณํ ปญฺญาจกฺขูติ อาคตํฯ

    Tattha soti so satthā. Yācitoti paṭhamameva aṭṭhame sattāhe dhammadesanāya yācitoti attho. Devavarenāti sahampatibrahmunā. Cakkhumāti ettha cakkhatīti cakkhu, samavisamaṃ vibhāvayatīti attho. Taṃ pana cakkhu duvidhaṃ – ñāṇacakkhu, maṃsacakkhūti. Tattha ñāṇacakkhu pañcavidhaṃ – buddhacakkhu, dhammacakkhu, samantacakkhu, dibbacakkhu, paññācakkhūti. Tesu buddhacakkhu nāma āsayānusayañāṇañceva indriyaparopariyattañāṇañca, yaṃ ‘‘buddhacakkhunā lokaṃ volokento’’ti (dī. ni. 2.69; ma. ni. 1.283; 2.339; saṃ. ni. 1.172; mahāva. 9) āgataṃ. Dhammacakkhu nāma heṭṭhimā tayo maggā tīṇi ca phalāni, yaṃ ‘‘virajaṃ vītamalaṃ dhammacakkhuṃ udapādī’’ti (dī. ni. 1.355; saṃ. ni. 5.1081; mahāva. 16; paṭi. ma. 2.30) āgataṃ. Samantacakkhu nāma sabbaññutaññāṇaṃ , yaṃ ‘‘tathūpamaṃ dhammamayaṃ, sumedha, pāsādamāruyha samantacakkhū’’ti (dī. ni. 2.70; ma. ni. 1.282; 2.338; saṃ. ni. 1.172; mahāva. 8) āgataṃ. Dibbacakkhu nāma ālokavaḍḍhanena uppannābhiññācittena sampayuttañāṇaṃ, yaṃ ‘‘dibbena cakkhunā visuddhenā’’ti (ma. ni. 1.148, 284, 385, 432; 2.341; 3.82, 261; mahāva. 10) āgataṃ. Paññācakkhu nāma ‘‘cakkhuṃ udapādi, ñāṇaṃ udapādī’’ti (saṃ. ni. 5.1082; mahāva. 15; kathā. 405; paṭi. ma. 2.30) ettha pubbenivāsādiñāṇaṃ paññācakkhūti āgataṃ.

    มํสจกฺขุ นาม ‘‘จกฺขุญฺจ ปฎิจฺจ รูเป จา’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๐๔, ๔๐๐; ๓.๔๒๑, ๔๒๕-๔๒๖; สํ. นิ. ๒.๔๓; ๔.๖๐; กถา. ๔๖๕, ๔๖๗) เอตฺถ ปสาทมํสจกฺขุ วุตฺตํ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๒๑๓)ฯ ตํ ปน ทุวิธํ – สสมฺภารจกฺขุ ปสาทจกฺขูติฯ เตสุ ยฺวายํ อกฺขิกูปเก อกฺขิปตฺตเกหิ ปริวาริโต มํสปิโณฺฑ ยตฺถ จตโสฺส ธาตุโย วณฺณคนฺธรโสชา สมฺภโว ชีวิตํ ภาโว จกฺขุปสาโท กายปสาโทติ สเงฺขปโต เตรส สมฺภารา โหนฺติฯ วิตฺถารโต ปน สมฺภวมานานิ จตุสมุฎฺฐานานิ ฉตฺติํส ชีวิตํ ภาโว จกฺขุปสาโท กายปสาโทติ อิเม กมฺมสมุฎฺฐานา จตฺตาโร จาติ สสมฺภารา โหนฺติ, อิทํ สสมฺภารจกฺขุ นามฯ ยํ ปน เสตมณฺฑลปริจฺฉิเนฺนน กณฺหมณฺฑเลน ปริวาริเต ทิฎฺฐมณฺฑเล สนฺนิวิฎฺฐํ รูปทสฺสนสมตฺถํ ปสาทมตฺตํ, อิทํ ปสาทจกฺขุ นามฯ สพฺพานิ ปเนตานิ เอกวิธานิ อนิจฺจโต สงฺขตโต, ทุวิธานิ สาสวานาสวโต โลกิยโลกุตฺตรโต, ติวิธานิ ภูมิโต อุปาทิณฺณตฺติกโต, จตุพฺพิธานิ เอกนฺตปริตฺตอปฺปมาณานิยตารมฺมณโต, ปญฺจวิธานิ รูปนิพฺพานารูปสพฺพารมฺมณานารมฺมณวเสน, ฉพฺพิธานิ โหนฺติ พุทฺธจกฺขาทิวเสนฯ อิเจฺจวเมตานิ วุตฺตปฺปการานิ จกฺขูนิ อสฺส ภควโต สนฺตีติ ภควา จกฺขุมาติ วุจฺจติฯ อตฺถํ สเมกฺขิตฺวาติ จงฺกมํ มาเปตฺวา, ธมฺมเทสนานิมิตฺตํ เทวมนุสฺสานํ หิตตฺถํ อุปปริกฺขิตฺวา อุปธาเรตฺวาติ อธิปฺปาโยฯ มาปยีติ มาเปสิฯ โลกนายโกติ สคฺคโมกฺขาภิมุขํ โลกํ นยตีติ โลกนายโกฯ สุนิฎฺฐิตนฺติ สุฎฺฐุ นิฎฺฐิตํ, ปริโยสิตนฺติ อโตฺถฯ สพฺพรตนนิมฺมิตนฺติ ทสวิธรตนมยํฯ

    Maṃsacakkhu nāma ‘‘cakkhuñca paṭicca rūpe cā’’ti (ma. ni. 1.204, 400; 3.421, 425-426; saṃ. ni. 2.43; 4.60; kathā. 465, 467) ettha pasādamaṃsacakkhu vuttaṃ (dī. ni. aṭṭha. 1.213). Taṃ pana duvidhaṃ – sasambhāracakkhu pasādacakkhūti. Tesu yvāyaṃ akkhikūpake akkhipattakehi parivārito maṃsapiṇḍo yattha catasso dhātuyo vaṇṇagandharasojā sambhavo jīvitaṃ bhāvo cakkhupasādo kāyapasādoti saṅkhepato terasa sambhārā honti. Vitthārato pana sambhavamānāni catusamuṭṭhānāni chattiṃsa jīvitaṃ bhāvo cakkhupasādo kāyapasādoti ime kammasamuṭṭhānā cattāro cāti sasambhārā honti, idaṃ sasambhāracakkhu nāma. Yaṃ pana setamaṇḍalaparicchinnena kaṇhamaṇḍalena parivārite diṭṭhamaṇḍale sanniviṭṭhaṃ rūpadassanasamatthaṃ pasādamattaṃ, idaṃ pasādacakkhu nāma. Sabbāni panetāni ekavidhāni aniccato saṅkhatato, duvidhāni sāsavānāsavato lokiyalokuttarato, tividhāni bhūmito upādiṇṇattikato, catubbidhāni ekantaparittaappamāṇāniyatārammaṇato, pañcavidhāni rūpanibbānārūpasabbārammaṇānārammaṇavasena, chabbidhāni honti buddhacakkhādivasena. Iccevametāni vuttappakārāni cakkhūni assa bhagavato santīti bhagavā cakkhumāti vuccati. Atthaṃ samekkhitvāti caṅkamaṃ māpetvā, dhammadesanānimittaṃ devamanussānaṃ hitatthaṃ upaparikkhitvā upadhāretvāti adhippāyo. Māpayīti māpesi. Lokanāyakoti saggamokkhābhimukhaṃ lokaṃ nayatīti lokanāyako. Suniṭṭhitanti suṭṭhu niṭṭhitaṃ, pariyositanti attho. Sabbaratananimmitanti dasavidharatanamayaṃ.

    อิทานิ ภควโต ติวิธปาฎิหาริยสมฺปตฺติทสฺสนตฺถํ –

    Idāni bhagavato tividhapāṭihāriyasampattidassanatthaṃ –

    ๑๑.

    11.

    ‘‘อิทฺธี จ อาเทสนานุสาสนี, ติปาฎิหีเร ภควา วสี อหุ;

    ‘‘Iddhī ca ādesanānusāsanī, tipāṭihīre bhagavā vasī ahu;

    จงฺกมํ มาปยิ โลกนายโก, สุนิฎฺฐิตํ สพฺพรตนนิมฺมิต’’นฺติฯ – วุตฺตํ;

    Caṅkamaṃ māpayi lokanāyako, suniṭṭhitaṃ sabbaratananimmita’’nti. – vuttaṃ;

    ตตฺถ อิทฺธีติ อิทฺธิวิธํ อิทฺธิปาฎิหาริยํ นามฯ ตํ ปน เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหตีติอาทินยปฺปวตฺตํ (ที. นิ. ๑.๒๓๙; ม. นิ. ๑.๑๔๗; ปฎิ. ม. ๓.๑๐)ฯ อาเทสนาติ ปรสฺส จิตฺตาจารํ ญตฺวา กถนํ อาเทสนาปาฎิหาริยํ, ตํ สาวกานญฺจ พุทฺธานญฺจ สตตธมฺมเทสนาฯ อนุสาสนีติ อนุสาสนิปาฎิหาริยํ, ตสฺส ตสฺส อชฺฌาสยานุกูลโมวาโทติ อโตฺถฯ อิติ เอตานิ ตีณิ ปาฎิหาริยานิฯ ตตฺถ อิทฺธิปาฎิหาริเยน อนุสาสนิปาฎิหาริยํ มหาโมคฺคลฺลานสฺส อาจิณฺณํ, อาเทสนาปาฎิหาริเยน อนุสาสนิปาฎิหาริยํ ธมฺมเสนาปติสฺส, อนุสาสนิปาฎิหาริยํ ปน พุทฺธานํ สตตธมฺมเทสนาฯ ติปาฎิหีเรติ เอเตสุ ตีสุ ปาฎิหาริเยสูติ อโตฺถฯ ภควาติ อิทํ คุณวิสิฎฺฐสตฺตุตฺตมครุคารวาธิวจนํฯ วุตฺตเญฺหตํ โปราเณหิ –

    Tattha iddhīti iddhividhaṃ iddhipāṭihāriyaṃ nāma. Taṃ pana ekopi hutvā bahudhā hoti, bahudhāpi hutvā eko hotītiādinayappavattaṃ (dī. ni. 1.239; ma. ni. 1.147; paṭi. ma. 3.10). Ādesanāti parassa cittācāraṃ ñatvā kathanaṃ ādesanāpāṭihāriyaṃ, taṃ sāvakānañca buddhānañca satatadhammadesanā. Anusāsanīti anusāsanipāṭihāriyaṃ, tassa tassa ajjhāsayānukūlamovādoti attho. Iti etāni tīṇi pāṭihāriyāni. Tattha iddhipāṭihāriyena anusāsanipāṭihāriyaṃ mahāmoggallānassa āciṇṇaṃ, ādesanāpāṭihāriyena anusāsanipāṭihāriyaṃ dhammasenāpatissa, anusāsanipāṭihāriyaṃ pana buddhānaṃ satatadhammadesanā. Tipāṭihīreti etesu tīsu pāṭihāriyesūti attho. Bhagavāti idaṃ guṇavisiṭṭhasattuttamagarugāravādhivacanaṃ. Vuttañhetaṃ porāṇehi –

    ‘‘ภควาติ วจนํ เสฎฺฐํ, ภควาติ วจนมุตฺตมํ;

    ‘‘Bhagavāti vacanaṃ seṭṭhaṃ, bhagavāti vacanamuttamaṃ;

    ครุคารวยุโตฺต โส, ภควา เตน วุจฺจตี’’ติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๑๔๒; ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.มูลปริยายสุตฺตวณฺณนา; ปารา. อฎฺฐ. ๑.๑ เวรญฺชกณฺฑวณฺณนา; อิติวุ. อฎฺฐ. นิทานวณฺณนา; มหานิ. อฎฺฐ. ๕๐);

    Garugāravayutto so, bhagavā tena vuccatī’’ti. (visuddhi. 1.142; ma. ni. aṭṭha. 1.mūlapariyāyasuttavaṇṇanā; pārā. aṭṭha. 1.1 verañjakaṇḍavaṇṇanā; itivu. aṭṭha. nidānavaṇṇanā; mahāni. aṭṭha. 50);

    วสีติ เอตสฺมิํ ติวิเธปิ ปาฎิหาริเย วสิปฺปโตฺต, จิณฺณวสีติ อโตฺถฯ วสิโย นาม ปญฺจ วสิโย – อาวชฺชนสมาปชฺชนอธิฎฺฐานวุฎฺฐานปจฺจเวกฺขณสงฺขาตาฯ ตตฺร ยํ ยํ ฌานํ ยถิจฺฉกํ ยทิจฺฉกํ ยาวติจฺฉกํ อาวชฺชติ อาวชฺชนาย ทนฺธายิตตฺตํ นตฺถีติ สีฆํ อาวเชฺชตุํ สมตฺถตา อาวชฺชนวสี นามฯ ตถา ยํ ยํ ฌานํ ยถิจฺฉกํ…เป.… สมาปชฺชติ สมาปชฺชนาย ทนฺธายิตตฺตํ นตฺถีติ สีฆํ สมาปชฺชนสมตฺถตา สมาปชฺชนวสี นามฯ ทีฆํ กาลํ ฐเปตุํ สมตฺถตา อธิฎฺฐานวสี นามฯ ตเถว ลหุํ วุฎฺฐาตุํ สมตฺถตา วุฎฺฐานวสี นามฯ ปจฺจเวกฺขณวสี ปน ปจฺจเวกฺขณชวนาเนว โหนฺติ ตานิ อาวชฺชนานนฺตราเนว หุตฺวา อุปฺปชฺชนฺตีติ อาวชฺชนวสิยา เอว วุตฺตานิฯ อิติ อิมาสุ ปญฺจสุ วสีสุ จิณฺณวสิตา วสี นาม โหติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ติปาฎิหีเร ภควา วสี อหู’’ติฯ

    Vasīti etasmiṃ tividhepi pāṭihāriye vasippatto, ciṇṇavasīti attho. Vasiyo nāma pañca vasiyo – āvajjanasamāpajjanaadhiṭṭhānavuṭṭhānapaccavekkhaṇasaṅkhātā. Tatra yaṃ yaṃ jhānaṃ yathicchakaṃ yadicchakaṃ yāvaticchakaṃ āvajjati āvajjanāya dandhāyitattaṃ natthīti sīghaṃ āvajjetuṃ samatthatā āvajjanavasī nāma. Tathā yaṃ yaṃ jhānaṃ yathicchakaṃ…pe… samāpajjati samāpajjanāya dandhāyitattaṃ natthīti sīghaṃ samāpajjanasamatthatā samāpajjanavasī nāma. Dīghaṃ kālaṃ ṭhapetuṃ samatthatā adhiṭṭhānavasī nāma. Tatheva lahuṃ vuṭṭhātuṃ samatthatā vuṭṭhānavasī nāma. Paccavekkhaṇavasī pana paccavekkhaṇajavanāneva honti tāni āvajjanānantarāneva hutvā uppajjantīti āvajjanavasiyā eva vuttāni. Iti imāsu pañcasu vasīsu ciṇṇavasitā vasī nāma hoti. Tena vuttaṃ – ‘‘tipāṭihīre bhagavā vasī ahū’’ti.

    อิทานิ ตสฺส รตนจงฺกมสฺส นิมฺมิตวิธานสฺส ทสฺสนตฺถํ –

    Idāni tassa ratanacaṅkamassa nimmitavidhānassa dassanatthaṃ –

    ๑๒.

    12.

    ‘‘ทสสหสฺสีโลกธาตุยา, สิเนรุปพฺพตุตฺตเม;

    ‘‘Dasasahassīlokadhātuyā, sinerupabbatuttame;

    ถเมฺภว ทเสฺสสิ ปฎิปาฎิยา, จงฺกเม รตนามเย’’ติฯ – อาทิคาถาโย วุตฺตา;

    Thambheva dassesi paṭipāṭiyā, caṅkame ratanāmaye’’ti. – ādigāthāyo vuttā;

    ตตฺถ ทสสหสฺสีโลกธาตุยาติ ทสสุ จกฺกวาฬสหเสฺสสุฯ สิเนรุปพฺพตุตฺตเมติ มหาเมรุสงฺขาเต เสฎฺฐปพฺพเตฯ ถเมฺภวาติ ถเมฺภ วิย ทสจกฺกวาฬสหเสฺสสุ เย สิเนรุปพฺพตา, เต ปฎิปาฎิยา ฐิเต สุวณฺณถเมฺภ วิย กตฺวา เตสํ อุปริ จงฺกมํ มาเปตฺวา ทเสฺสสีติ อโตฺถฯ รตนามเยติ รตนมเยฯ

    Tattha dasasahassīlokadhātuyāti dasasu cakkavāḷasahassesu. Sinerupabbatuttameti mahāmerusaṅkhāte seṭṭhapabbate. Thambhevāti thambhe viya dasacakkavāḷasahassesu ye sinerupabbatā, te paṭipāṭiyā ṭhite suvaṇṇathambhe viya katvā tesaṃ upari caṅkamaṃ māpetvā dassesīti attho. Ratanāmayeti ratanamaye.

    ๑๓. ทสสหสฺสี อติกฺกมฺมาติ รตนจงฺกมํ ปน ภควา มาเปโนฺต ตสฺส เอกํ โกฎิํ สพฺพปริยนฺตํ ปาจีนจกฺกวาฬมุขวฎฺฎิํ เอกํ โกฎิํ ปจฺฉิมจกฺกวาฬมุขวฎฺฎิํ อติกฺกมิตฺวา ฐิตํ กตฺวา มาเปสิฯ เตน วุตฺตํ –

    13.Dasasahassī atikkammāti ratanacaṅkamaṃ pana bhagavā māpento tassa ekaṃ koṭiṃ sabbapariyantaṃ pācīnacakkavāḷamukhavaṭṭiṃ ekaṃ koṭiṃ pacchimacakkavāḷamukhavaṭṭiṃ atikkamitvā ṭhitaṃ katvā māpesi. Tena vuttaṃ –

    ‘‘ทสสหสฺสี อติกฺกมฺม, จงฺกมํ มาปยี ชิโน;

    ‘‘Dasasahassī atikkamma, caṅkamaṃ māpayī jino;

    สพฺพโสณฺณมยา ปเสฺส, จงฺกเม รตนามเย’’ติฯ

    Sabbasoṇṇamayā passe, caṅkame ratanāmaye’’ti.

    ตตฺถ ชิโนติ กิเลสาริชยนโต ชิโนฯ สพฺพโสณฺณมยา ปเสฺสติ ตสฺส ปน เอวํ นิมฺมิตสฺส จงฺกมสฺส อุภยปเสฺสสุ สุวณฺณมยา ปรมรมณียา มริยาทภูมิ อโหสิ, มเชฺฌ มณิมยาติ อธิปฺปาโยฯ

    Tattha jinoti kilesārijayanato jino. Sabbasoṇṇamayā passeti tassa pana evaṃ nimmitassa caṅkamassa ubhayapassesu suvaṇṇamayā paramaramaṇīyā mariyādabhūmi ahosi, majjhe maṇimayāti adhippāyo.

    ๑๔. ตุลาสงฺฆาฎาติ ตุลายุคฬา, ตา นานารตนมยาติ เวทิตพฺพาฯ อนุวคฺคาติ อนุรูปาฯ โสวณฺณผลกตฺถตาติ โสวณฺณมเยหิ ผลเกหิ อตฺถตา, ตุลาสงฺฆาตานํ อุปริ สุวณฺณมโย ปทรจฺฉโทติ อโตฺถฯ เวทิกา สพฺพโสวณฺณาติ เวทิกา ปน สพฺพาปิ สุวณฺณมยา, ยา ปเนสา จงฺกมนปริเกฺขปเวทิกา, สา เอกาว อเญฺญหิ รตเนหิ อสมฺมิสฺสาติ อโตฺถฯ ทุภโต ปเสฺสสุ นิมฺมิตาติ อุโภสุ ปเสฺสสุ นิมฺมิตาฯ -กาโร ปทสนฺธิกโรฯ

    14.Tulāsaṅghāṭāti tulāyugaḷā, tā nānāratanamayāti veditabbā. Anuvaggāti anurūpā. Sovaṇṇaphalakatthatāti sovaṇṇamayehi phalakehi atthatā, tulāsaṅghātānaṃ upari suvaṇṇamayo padaracchadoti attho. Vedikā sabbasovaṇṇāti vedikā pana sabbāpi suvaṇṇamayā, yā panesā caṅkamanaparikkhepavedikā, sā ekāva aññehi ratanehi asammissāti attho. Dubhato passesu nimmitāti ubhosu passesu nimmitā. Da-kāro padasandhikaro.

    ๑๕. มณิมุตฺตาวาลุกากิณฺณาติ มณิมุตฺตามยวาลุกากิณฺณาฯ อถ วา มณโย จ มุตฺตา จ วาลุกา จ มณิมุตฺตาวาลุกาฯ ตาหิ มณิมุตฺตาวาลุกาหิ อากิณฺณา สนฺถตาติ มณิมุตฺตาวาลุกากิณฺณาฯ นิมฺมิโตติ อิมินากาเรน นิมฺมิโต กโตฯ รตนามโยติ สพฺพรตนมโย, จงฺกโมติ อโตฺถฯ โอภาเสติ ทิสา สพฺพาติ สพฺพาปิ ทส ทิสา โอภาเสติ ปกาเสติฯ สตรํสีวาติ สหสฺสรํสิอาทิโจฺจ วิยฯ อุคฺคโตติ อุทิโตฯ ยถา ปน อพฺภุคฺคโต สหสฺสรํสิ สพฺพาปิ ทส ทิสา โอภาเสติ, เอวเมว เอโสปิ สพฺพรตนมโย จงฺกโม โอภาเสตีติ อโตฺถฯ

    15.Maṇimuttāvālukākiṇṇāti maṇimuttāmayavālukākiṇṇā. Atha vā maṇayo ca muttā ca vālukā ca maṇimuttāvālukā. Tāhi maṇimuttāvālukāhi ākiṇṇā santhatāti maṇimuttāvālukākiṇṇā. Nimmitoti iminākārena nimmito kato. Ratanāmayoti sabbaratanamayo, caṅkamoti attho. Obhāseti disā sabbāti sabbāpi dasa disā obhāseti pakāseti. Sataraṃsīvāti sahassaraṃsiādicco viya. Uggatoti udito. Yathā pana abbhuggato sahassaraṃsi sabbāpi dasa disā obhāseti, evameva esopi sabbaratanamayo caṅkamo obhāsetīti attho.

    อิทานิ ปน นิฎฺฐิเต จงฺกเม ตตฺถ ภควโต ปวตฺติทสฺสนตฺถํ –

    Idāni pana niṭṭhite caṅkame tattha bhagavato pavattidassanatthaṃ –

    ๑๖.

    16.

    ‘‘ตสฺมิํ จงฺกมเน ธีโร, ทฺวตฺติํสวรลกฺขโณ;

    ‘‘Tasmiṃ caṅkamane dhīro, dvattiṃsavaralakkhaṇo;

    วิโรจมาโน สมฺพุโทฺธ, จงฺกเม จงฺกมี ชิโนฯ

    Virocamāno sambuddho, caṅkame caṅkamī jino.

    ๑๗.

    17.

    ‘‘ทิพฺพํ มนฺทารวํ ปุปฺผํ, ปทุมํ ปาริฉตฺตกํ;

    ‘‘Dibbaṃ mandāravaṃ pupphaṃ, padumaṃ pārichattakaṃ;

    จงฺกมเน โอกิรนฺติ, สเพฺพ เทวา สมาคตาฯ

    Caṅkamane okiranti, sabbe devā samāgatā.

    ๑๘.

    18.

    ‘‘ปสฺสนฺติ ตํ เทวสงฺฆา, ทสสหสฺสี ปโมทิตา;

    ‘‘Passanti taṃ devasaṅghā, dasasahassī pamoditā;

    นมสฺสมานา นิปตนฺติ, ตุฎฺฐหฎฺฐา ปโมทิตา’’ติฯ – คาถาโย วุตฺตา;

    Namassamānā nipatanti, tuṭṭhahaṭṭhā pamoditā’’ti. – gāthāyo vuttā;

    ตตฺถ ธีโรติ ธิติยุโตฺตฯ ทฺวตฺติํสวรลกฺขโณติ สุปฺปติฎฺฐิตปาทตลาทีหิ ทฺวตฺติํสมหาปุริสลกฺขเณหิ สมนฺนาคโตติ อโตฺถฯ ทิพฺพนฺติ เทวโลเก ภวํ ชาตํ ทิพฺพํฯ ปาริฉตฺตกนฺติ เทวานํ ตาวติํสานํ โกวิฬารรุกฺขสฺส นิสฺสเนฺทน สมนฺตา โยชนสตปริมาโณ ปรมทสฺสนีโย ปาริจฺฉตฺตกรุโกฺข นิพฺพตฺติฯ ยสฺมิํ ปุปฺผิเต สกลํ เทวนครํ เอกสุรภิคนฺธวาสิตํ โหติ, ตสฺส กุสุมเรณุโอกิณฺณานิ นวกนกวิมานานิ ปิญฺชรานิ หุตฺวา ขายนฺติฯ อิมสฺส ปน ปาริจฺฉตฺตกรุกฺขสฺส ปุปฺผญฺจ ปาริจฺฉตฺตกนฺติ วุตฺตํฯ จงฺกเม โอกิรนฺตีติ ตสฺมิํ รตนจงฺกเม อวกิรนฺติ, เตน วุตฺตปฺปกาเรน ปุเปฺผน ตสฺมิํ จงฺกเม จงฺกมมานํ ภควนฺตํ ปูเชนฺตีติ อโตฺถฯ สเพฺพ เทวาติ กามาวจรเทวาทโย เทวาฯ เตนาห ‘‘ปสฺสนฺติ ตํ เทวสงฺฆา’’ติฯ ตํ ภควนฺตํ รตนจงฺกมเน จงฺกมนฺตํ สเกสุ อาลเยสุปิ ปสฺสนฺตีติ อโตฺถฯ ทสสหสฺสีติ ภุมฺมเตฺถ ปจฺจตฺตวจนํ, ทสสหสฺสิยํ เทวสงฺฆา ตํ ปสฺสนฺตีติ อโตฺถฯ ปโมทิตาติ ปมุทิตาฯ นิปตนฺตีติ สนฺนิปตนฺติฯ ตุฎฺฐหฎฺฐาติ ปีติวเสน ตุฎฺฐหฎฺฐาฯ ปโมทิตาติ อิทานิ วตฺตเพฺพหิ ตาวติํสาทิเทเวหิ สทฺธินฺติ สมฺพโนฺธ ทฎฺฐโพฺพ, อิตรถา ปุนรุตฺติโทสโต น มุจฺจติฯ อถ วา ปโมทิตา ตํ ภควนฺตํ ปสฺสนฺติ, ตุฎฺฐหฎฺฐา ปโมทิตา ตหิํ ตหิํ สนฺนิปตนฺตีติ อโตฺถฯ

    Tattha dhīroti dhitiyutto. Dvattiṃsavaralakkhaṇoti suppatiṭṭhitapādatalādīhi dvattiṃsamahāpurisalakkhaṇehi samannāgatoti attho. Dibbanti devaloke bhavaṃ jātaṃ dibbaṃ. Pārichattakanti devānaṃ tāvatiṃsānaṃ koviḷārarukkhassa nissandena samantā yojanasataparimāṇo paramadassanīyo pāricchattakarukkho nibbatti. Yasmiṃ pupphite sakalaṃ devanagaraṃ ekasurabhigandhavāsitaṃ hoti, tassa kusumareṇuokiṇṇāni navakanakavimānāni piñjarāni hutvā khāyanti. Imassa pana pāricchattakarukkhassa pupphañca pāricchattakanti vuttaṃ. Caṅkame okirantīti tasmiṃ ratanacaṅkame avakiranti, tena vuttappakārena pupphena tasmiṃ caṅkame caṅkamamānaṃ bhagavantaṃ pūjentīti attho. Sabbe devāti kāmāvacaradevādayo devā. Tenāha ‘‘passanti taṃ devasaṅghā’’ti. Taṃ bhagavantaṃ ratanacaṅkamane caṅkamantaṃ sakesu ālayesupi passantīti attho. Dasasahassīti bhummatthe paccattavacanaṃ, dasasahassiyaṃ devasaṅghā taṃ passantīti attho. Pamoditāti pamuditā. Nipatantīti sannipatanti. Tuṭṭhahaṭṭhāti pītivasena tuṭṭhahaṭṭhā. Pamoditāti idāni vattabbehi tāvatiṃsādidevehi saddhinti sambandho daṭṭhabbo, itarathā punaruttidosato na muccati. Atha vā pamoditā taṃ bhagavantaṃ passanti, tuṭṭhahaṭṭhā pamoditā tahiṃ tahiṃ sannipatantīti attho.

    อิทานิ เย ปสฺสิํสุ เย สนฺนิปติํสุ, เต สรูปโต ทเสฺสตุํ –

    Idāni ye passiṃsu ye sannipatiṃsu, te sarūpato dassetuṃ –

    ๑๙.

    19.

    ‘‘ตาวติํสา จ ยามา จ, ตุสิตา จาปิ เทวตา;

    ‘‘Tāvatiṃsā ca yāmā ca, tusitā cāpi devatā;

    นิมฺมานรติโน เทวา, เย เทวา วสวตฺติโน;

    Nimmānaratino devā, ye devā vasavattino;

    อุทคฺคจิตฺตา สุมนา, ปสฺสนฺติ โลกนายกํฯ

    Udaggacittā sumanā, passanti lokanāyakaṃ.

    ๒๐.

    20.

    ‘‘สเทวคนฺธพฺพมนุสฺสรกฺขสา , นาคา สุปณฺณา อถ วาปิ กินฺนรา;

    ‘‘Sadevagandhabbamanussarakkhasā , nāgā supaṇṇā atha vāpi kinnarā;

    ปสฺสนฺติ ตํ โลกหิตานุกมฺปกํ, นเภว อจฺจุคฺคตจนฺทมณฺฑลํฯ

    Passanti taṃ lokahitānukampakaṃ, nabheva accuggatacandamaṇḍalaṃ.

    ๒๑.

    21.

    ‘‘อาภสฺสรา สุภกิณฺหา, เวหปฺผลา อกนิฎฺฐา จ เทวตา;

    ‘‘Ābhassarā subhakiṇhā, vehapphalā akaniṭṭhā ca devatā;

    สุสุทฺธสุกฺกวตฺถวสนา, ติฎฺฐนฺติ ปญฺชลีกตาฯ

    Susuddhasukkavatthavasanā, tiṭṭhanti pañjalīkatā.

    ๒๒.

    22.

    ‘‘มุญฺจนฺติ ปุปฺผํ ปน ปญฺจวณฺณิกํ, มนฺทารวํ จนฺทนจุณฺณมิสฺสิตํ;

    ‘‘Muñcanti pupphaṃ pana pañcavaṇṇikaṃ, mandāravaṃ candanacuṇṇamissitaṃ;

    ภเมนฺติ เจลานิ จ อมฺพเร ตทา, อโห ชิโน โลกหิตานุกมฺปโก’’ติฯ –

    Bhamenti celāni ca ambare tadā, aho jino lokahitānukampako’’ti. –

    อิมา คาถาโย วุตฺตาฯ

    Imā gāthāyo vuttā.

    ตตฺถ อุทคฺคจิตฺตาติ ปีติโสมนสฺสวเสน อุทคฺคจิตฺตาฯ สุมนาติ อุทคฺคจิตฺตตฺตา เอว สุมนาฯ โลกหิตานุกมฺปกนฺติ โลกหิตญฺจ โลกานุกมฺปกญฺจฯ โลกหิเตน วา อนุกมฺปกํ โลกหิตานุกมฺปกํฯ นเภว อจฺจุคฺคตจนฺทมณฺฑลนฺติ เอตฺถ อากาเส อภินโวทิตํ ปริปุณฺณํ สโพฺพปทฺทววินิมุตฺตํ สรทสมเย จนฺทมณฺฑลํ วิย พุทฺธสิริยา วิโรจมานํ นยนานนฺทกรํ ปสฺสนฺตีติ อโตฺถฯ

    Tattha udaggacittāti pītisomanassavasena udaggacittā. Sumanāti udaggacittattā eva sumanā. Lokahitānukampakanti lokahitañca lokānukampakañca. Lokahitena vā anukampakaṃ lokahitānukampakaṃ. Nabheva accuggatacandamaṇḍalanti ettha ākāse abhinavoditaṃ paripuṇṇaṃ sabbopaddavavinimuttaṃ saradasamaye candamaṇḍalaṃ viya buddhasiriyā virocamānaṃ nayanānandakaraṃ passantīti attho.

    อาภสฺสราติ อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉทวเสน วุตฺตํฯ ปริตฺตาภอปฺปมาณาภอาภสฺสราปริตฺตมชฺฌิมปณีตเภเทน ทุติยชฺฌาเนนาภินิพฺพตฺตา สเพฺพว คหิตาติ เวทิตพฺพาฯ สุภกิณฺหาติ อิทํ อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉทวเสเนว วุตฺตํ, ตสฺมา ปริตฺตสุภอปฺปมาณสุภสุภกิณฺหาปริตฺตาทิเภเทน ตติยชฺฌาเนน นิพฺพตฺตา สเพฺพว คหิตาติ เวทิตพฺพาฯ เวหปฺผลาติ วิปุลา ผลาติ เวหปฺผลาฯ เต จตุตฺถชฺฌานนิพฺพตฺตา อสญฺญสเตฺตหิ เอกตลวาสิโนฯ เหฎฺฐา ปน ปฐมชฺฌานนิพฺพตฺตา พฺรหฺมกายิกาทโย ทสฺสิตาฯ ตสฺมา อิธ น ทสฺสิตาฯ จกฺขุโสตานมภาวโต อสญฺญสตฺตา จ อรูปิโน จ อิธ น อุทฺทิฎฺฐาฯ อกนิฎฺฐา จ เทวตาติ อิธาปิ อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉทวเสเนว วุตฺตํฯ ตสฺมา อวิหาตปฺปสุทสฺสาสุทสฺสิอกนิฎฺฐสงฺขาตา ปญฺจปิ สุทฺธาวาสา คหิตาติ เวทิตพฺพาฯ สุสุทฺธสุกฺกวตฺถวสนาติ สุฎฺฐุ สุทฺธานิ สุสุทฺธานิ สุกฺกานิ โอทาตานิฯ สุสุทฺธานิ สุกฺกานิ วตฺถานิ นิวตฺถานิ เจว ปารุตานิ จ เยหิ เต สุสุทฺธสุกฺกวตฺถวสนา, ปริทหิตปริสุทฺธปณฺฑรวตฺถาติ อโตฺถฯ ‘‘สุสุทฺธสุกฺกวสนา’’ติปิ ปาโฐฯ ปญฺชลีกตาติ กตปญฺชลิกา กมลมกุลสทิสํ อญฺชลิํ สิรสิ กตฺวา ติฎฺฐนฺติฯ

    Ābhassarāti ukkaṭṭhaparicchedavasena vuttaṃ. Parittābhaappamāṇābhaābhassarāparittamajjhimapaṇītabhedena dutiyajjhānenābhinibbattā sabbeva gahitāti veditabbā. Subhakiṇhāti idaṃ ukkaṭṭhaparicchedavaseneva vuttaṃ, tasmā parittasubhaappamāṇasubhasubhakiṇhāparittādibhedena tatiyajjhānena nibbattā sabbeva gahitāti veditabbā. Vehapphalāti vipulā phalāti vehapphalā. Te catutthajjhānanibbattā asaññasattehi ekatalavāsino. Heṭṭhā pana paṭhamajjhānanibbattā brahmakāyikādayo dassitā. Tasmā idha na dassitā. Cakkhusotānamabhāvato asaññasattā ca arūpino ca idha na uddiṭṭhā. Akaniṭṭhā ca devatāti idhāpi ukkaṭṭhaparicchedavaseneva vuttaṃ. Tasmā avihātappasudassāsudassiakaniṭṭhasaṅkhātā pañcapi suddhāvāsā gahitāti veditabbā. Susuddhasukkavatthavasanāti suṭṭhu suddhāni susuddhāni sukkāni odātāni. Susuddhāni sukkāni vatthāni nivatthāni ceva pārutāni ca yehi te susuddhasukkavatthavasanā, paridahitaparisuddhapaṇḍaravatthāti attho. ‘‘Susuddhasukkavasanā’’tipi pāṭho. Pañjalīkatāti katapañjalikā kamalamakulasadisaṃ añjaliṃ sirasi katvā tiṭṭhanti.

    มุญฺจนฺตีติ โอกิรนฺติฯ ปุปฺผํ ปนาติ กุสุมํ ปนฯ ‘‘ปุปฺผานิ วา’’ติปิ ปาโฐ, วจนวิปริยาโส ทฎฺฐโพฺพ, อโตฺถ ปนสฺส โสเยวฯ ปญฺจวณฺณิกนฺติ ปญฺจวณฺณํ – นีลปีตโลหิโตทาตมญฺชิฎฺฐกวณฺณวเสน ปญฺจวณฺณํฯ จนฺทนจุณฺณมิสฺสิตนฺติ จนฺทนจุเณฺณน มิสฺสิตํฯ ภเมนฺติ เจลานีติ ภมยนฺติ วตฺถานิฯ อโห ชิโน โลกหิตานุกมฺปโกติ ‘‘อโห ชิโน โลกหิโต อโห จ โลกหิตานุกมฺปโก อโห การุณิโก’’ติ เอวมาทีนิ ถุติวจนานิ อุคฺคิรนฺตาฯ มุญฺจนฺติ ปุปฺผํ ภมยนฺติ เจลานีติ สมฺพโนฺธฯ

    Muñcantīti okiranti. Pupphaṃ panāti kusumaṃ pana. ‘‘Pupphāni vā’’tipi pāṭho, vacanavipariyāso daṭṭhabbo, attho panassa soyeva. Pañcavaṇṇikanti pañcavaṇṇaṃ – nīlapītalohitodātamañjiṭṭhakavaṇṇavasena pañcavaṇṇaṃ. Candanacuṇṇamissitanti candanacuṇṇena missitaṃ. Bhamenti celānīti bhamayanti vatthāni. Aho jino lokahitānukampakoti ‘‘aho jino lokahito aho ca lokahitānukampako aho kāruṇiko’’ti evamādīni thutivacanāni uggirantā. Muñcanti pupphaṃ bhamayanti celānīti sambandho.

    อิทานิ เตหิ ปยุตฺตานิ ถุติวจนานิ ทเสฺสตุํ อิมา คาถาโย วุตฺตา –

    Idāni tehi payuttāni thutivacanāni dassetuṃ imā gāthāyo vuttā –

    ๒๓.

    23.

    ‘‘ตุวํ สตฺถา จ เกตู จ, ธโช ยูโป จ ปาณินํ;

    ‘‘Tuvaṃ satthā ca ketū ca, dhajo yūpo ca pāṇinaṃ;

    ปรายโน ปติฎฺฐา จ, ทีโป จ ทฺวิปทุตฺตโมฯ

    Parāyano patiṭṭhā ca, dīpo ca dvipaduttamo.

    ๒๔.

    24.

    ‘‘ทสสหสฺสีโลกธาตุยา, เทวตาโย มหิทฺธิกา;

    ‘‘Dasasahassīlokadhātuyā, devatāyo mahiddhikā;

    ปริวาเรตฺวา นมสฺสนฺติ, ตุฎฺฐหฎฺฐา ปโมทิตาฯ

    Parivāretvā namassanti, tuṭṭhahaṭṭhā pamoditā.

    ๒๕.

    25.

    ‘‘เทวตา เทวกญฺญา จ, ปสนฺนา ตุฎฺฐมานสา;

    ‘‘Devatā devakaññā ca, pasannā tuṭṭhamānasā;

    ปญฺจวณฺณิกปุเปฺผหิ, ปูชยนฺติ นราสภํฯ

    Pañcavaṇṇikapupphehi, pūjayanti narāsabhaṃ.

    ๒๖.

    26.

    ‘‘ปสฺสนฺติ ตํ เทวสงฺฆา, ปสนฺนา ตุฎฺฐมานสา;

    ‘‘Passanti taṃ devasaṅghā, pasannā tuṭṭhamānasā;

    ปญฺจวณฺณิกปุเปฺผหิ, ปูชยนฺติ นราสภํฯ

    Pañcavaṇṇikapupphehi, pūjayanti narāsabhaṃ.

    ๒๗.

    27.

    ‘‘อโห อจฺฉริยํ โลเก, อพฺภุตํ โลมหํสนํ;

    ‘‘Aho acchariyaṃ loke, abbhutaṃ lomahaṃsanaṃ;

    น เมทิสํ ภูตปุพฺพํ, อเจฺฉรํ โลมหํสนํฯ

    Na medisaṃ bhūtapubbaṃ, accheraṃ lomahaṃsanaṃ.

    ๒๘.

    28.

    ‘‘สกสกมฺหิ ภวเน, นิสีทิตฺวาน เทวตา;

    ‘‘Sakasakamhi bhavane, nisīditvāna devatā;

    หสนฺติ ตา มหาหสิตํ, ทิสฺวานเจฺฉรกํ นเภฯ

    Hasanti tā mahāhasitaṃ, disvānaccherakaṃ nabhe.

    ๒๙.

    29.

    ‘‘อากาสฎฺฐา จ ภูมฎฺฐา, ติณปนฺถนิวาสิโน;

    ‘‘Ākāsaṭṭhā ca bhūmaṭṭhā, tiṇapanthanivāsino;

    กตญฺชลี นมสฺสนฺติ, ตุฎฺฐหฎฺฐา ปโมทิตาฯ

    Katañjalī namassanti, tuṭṭhahaṭṭhā pamoditā.

    ๓๐.

    30.

    ‘‘เยปิ ทีฆายุกา นาคา, ปุญฺญวโนฺต มหิทฺธิโก;

    ‘‘Yepi dīghāyukā nāgā, puññavanto mahiddhiko;

    ปโมทิตา นมสฺสนฺติ, ปูชยนฺติ นรุตฺตมํฯ

    Pamoditā namassanti, pūjayanti naruttamaṃ.

    ๓๑.

    31.

    ‘‘สงฺคีติโย ปวเตฺตนฺติ, อมฺพเร อนิลญฺชเส;

    ‘‘Saṅgītiyo pavattenti, ambare anilañjase;

    จมฺมนทฺธานิ วาเทนฺติ, ทิสฺวานเจฺฉรกํ นเภฯ

    Cammanaddhāni vādenti, disvānaccherakaṃ nabhe.

    ๓๒.

    32.

    ‘‘สงฺขา จ ปณวา เจว, อโถปิ ฑิณฺฑิมา พหู;

    ‘‘Saṅkhā ca paṇavā ceva, athopi ḍiṇḍimā bahū;

    อนฺตลิกฺขสฺมิํ วชฺชนฺติ, ทิสฺวานเจฺฉรกํ นเภฯ

    Antalikkhasmiṃ vajjanti, disvānaccherakaṃ nabhe.

    ๓๓.

    33.

    ‘‘อพฺภุโต วต โน อชฺช, อุปฺปชฺชิ โลมหํสโน;

    ‘‘Abbhuto vata no ajja, uppajji lomahaṃsano;

    ธุวมตฺถสิทฺธิํ ลภาม, ขโณ โน ปฎิปาทิโตฯ

    Dhuvamatthasiddhiṃ labhāma, khaṇo no paṭipādito.

    ๓๔.

    34.

    ‘‘พุโทฺธติ เตสํ สุตฺวาน, ปีติ อุปฺปชฺชิ ตาวเท;

    ‘‘Buddhoti tesaṃ sutvāna, pīti uppajji tāvade;

    พุโทฺธ พุโทฺธติ กถยนฺตา, ติฎฺฐนฺติ ปญฺชลีกตาฯ

    Buddho buddhoti kathayantā, tiṭṭhanti pañjalīkatā.

    ๓๕.

    35.

    ‘‘หิงฺการา สาธุการา จ, อุกฺกุฎฺฐิ สมฺปหํสนํ;

    ‘‘Hiṅkārā sādhukārā ca, ukkuṭṭhi sampahaṃsanaṃ;

    ปชา จ วิวิธา คคเน, วตฺตนฺติ ปญฺชลีกตาฯ

    Pajā ca vividhā gagane, vattanti pañjalīkatā.

    ๓๖.

    36.

    ‘‘คายนฺติ เสเฬนฺติ จ วาทยนฺติ จ, ภุชานิ โปเถนฺติ จ นจฺจยนฺติ จ;

    ‘‘Gāyanti seḷenti ca vādayanti ca, bhujāni pothenti ca naccayanti ca;

    มุญฺจนฺติ ปุปฺผํ ปน ปญฺจวณฺณิกํ, มนฺทารวํ จนฺทนจุณฺณมิสฺสิตํฯ

    Muñcanti pupphaṃ pana pañcavaṇṇikaṃ, mandāravaṃ candanacuṇṇamissitaṃ.

    ๓๗.

    37.

    ‘‘ยถา ตุยฺหํ มหาวีร, ปาเทสุ จกฺกลกฺขณํ;

    ‘‘Yathā tuyhaṃ mahāvīra, pādesu cakkalakkhaṇaṃ;

    ธชวชิรปฎากา, วฑฺฒมานงฺกุสาจิต’’นฺติฯ

    Dhajavajirapaṭākā, vaḍḍhamānaṅkusācita’’nti.

    ตตฺถ อิธโลกปรโลกหิตตฺถํ สาสตีติ สตฺถาฯ เกตูติ เกตุโน อปจิติกาตพฺพเฎฺฐน เกตุ วิยาติ เกตุฯ ธโชติ อินฺทธโช สมุสฺสยเฎฺฐน ทสฺสนียเฎฺฐน จ ตุวํ ธโช วิยาติ ธโชติฯ อถ วา ยถา หิ โลเก ยสฺส กสฺสจิ ธชํ ทิสฺวาว – ‘‘อยํ ธโช อิตฺถนฺนามสฺสา’’ติ ธชวา ธชีติ ปญฺญายติ, เอวเมว ภควา ปญฺญานิพฺพานาธิคมาย ภควนฺตํ ทิสฺวาว นิพฺพานาธิคโม ปญฺญายติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ธโช ยูโป จา’’ติฯ กูฎทนฺตสุเตฺต วุตฺตานํ ทานาทิอาสวกฺขยญาณปริโยสานานํ สพฺพยาคานํ ยชนตฺถาย สมุสฺสิโต ยูโป ตุวนฺติ อโตฺถฯ ปรายโนติ ปฎิสรณํฯ ปติฎฺฐาติ ยถา มหาปถวี สพฺพปาณีนํ อาธารภาเวน ปติฎฺฐา นิสฺสยภูตา, เอวํ ตุวมฺปิ ปติฎฺฐาภูตาฯ ทีโป จาติ ปทีโปฯ ยถา จตุรเงฺค ตมสิ วตฺตมานานํ สตฺตานํ อาโรปิโต ปทีโป รูปสนฺทสฺสโน โหติฯ เอวํ อวิชฺชนฺธกาเร วตฺตมานานํ สตฺตานํ ปรมตฺถสนฺทสฺสโน ปทีโป ตุวนฺติ อโตฺถฯ อถ วา มหาสมุเทฺท ภินฺนนาวานํ สตฺตานํ สมุทฺททีโป ยถา ปติฎฺฐา โหติ, เอวํ ตุวมฺปิ สํสารสาคเร อลพฺภเนยฺยปติเฎฺฐ โอสีทนฺตานํ ปาณีนํ ทีโป วิยาติ ทีโปติ อโตฺถฯ

    Tattha idhalokaparalokahitatthaṃ sāsatīti satthā. Ketūti ketuno apacitikātabbaṭṭhena ketu viyāti ketu. Dhajoti indadhajo samussayaṭṭhena dassanīyaṭṭhena ca tuvaṃ dhajo viyāti dhajoti. Atha vā yathā hi loke yassa kassaci dhajaṃ disvāva – ‘‘ayaṃ dhajo itthannāmassā’’ti dhajavā dhajīti paññāyati, evameva bhagavā paññānibbānādhigamāya bhagavantaṃ disvāva nibbānādhigamo paññāyati. Tena vuttaṃ – ‘‘dhajo yūpo cā’’ti. Kūṭadantasutte vuttānaṃ dānādiāsavakkhayañāṇapariyosānānaṃ sabbayāgānaṃ yajanatthāya samussito yūpo tuvanti attho. Parāyanoti paṭisaraṇaṃ. Patiṭṭhāti yathā mahāpathavī sabbapāṇīnaṃ ādhārabhāvena patiṭṭhā nissayabhūtā, evaṃ tuvampi patiṭṭhābhūtā. Dīpo cāti padīpo. Yathā caturaṅge tamasi vattamānānaṃ sattānaṃ āropito padīpo rūpasandassano hoti. Evaṃ avijjandhakāre vattamānānaṃ sattānaṃ paramatthasandassano padīpo tuvanti attho. Atha vā mahāsamudde bhinnanāvānaṃ sattānaṃ samuddadīpo yathā patiṭṭhā hoti, evaṃ tuvampi saṃsārasāgare alabbhaneyyapatiṭṭhe osīdantānaṃ pāṇīnaṃ dīpo viyāti dīpoti attho.

    ทฺวิปทุตฺตโมติ ทฺวิปทานํ อุตฺตโม ทฺวิปทุตฺตโม, เอตฺถ ปน นิทฺธารณลกฺขณสฺส อภาวโต ฉฎฺฐีสมาสสฺส ปฎิเสโธ นตฺถิ, นิทฺธารณลกฺขณาย ฉฎฺฐิยา สมาโส ปฎิสิโทฺธฯ สมฺมาสมฺพุโทฺธ ปน อปทานํ ทฺวิปทานํ จตุปฺปทานํ พหุปฺปทานํ รูปีนํ อรูปีนํ สญฺญีนํ อสญฺญีนํ เนวสญฺญีนาสญฺญีนํ อุตฺตโมวฯ กสฺมา ปนิธ ‘‘ทฺวิปทุตฺตโม’’ติ วุโตฺตติ เจ? เสฎฺฐตรวเสนฯ อิมสฺมิญฺหิ โลเก เสโฎฺฐ นาม อุปฺปชฺชมาโน อปทจตุปฺปทพหุปฺปเทสุปิ นุปฺปชฺชติฯ อยํ ทฺวิปเทสุเยว อุปฺปชฺชติฯ กตรทฺวิปเทสูติ? มนุเสฺสสุ เจว เทเวสุ จฯ มนุเสฺสสุ อุปฺปชฺชมาโน ติสหสฺสิมหาสหสฺสิโลกธาตุ วเส กตฺตุํ สมโตฺถ พุโทฺธ หุตฺวา นิพฺพตฺตติฯ เทเวสุ อุปฺปชฺชมาโน ทสสหสฺสิโลกธาตุ วสวตฺตี มหาพฺรหฺมา หุตฺวา นิพฺพตฺตติฯ โส ตสฺส กปฺปิยการโก วา อารามิโก วา สมฺปชฺชติฯ อิติ ตโตปิ เสฎฺฐตรวเสน ‘‘ทฺวิปทุตฺตโม’’ติ วุโตฺตฯ

    Dvipaduttamoti dvipadānaṃ uttamo dvipaduttamo, ettha pana niddhāraṇalakkhaṇassa abhāvato chaṭṭhīsamāsassa paṭisedho natthi, niddhāraṇalakkhaṇāya chaṭṭhiyā samāso paṭisiddho. Sammāsambuddho pana apadānaṃ dvipadānaṃ catuppadānaṃ bahuppadānaṃ rūpīnaṃ arūpīnaṃ saññīnaṃ asaññīnaṃ nevasaññīnāsaññīnaṃ uttamova. Kasmā panidha ‘‘dvipaduttamo’’ti vuttoti ce? Seṭṭhataravasena. Imasmiñhi loke seṭṭho nāma uppajjamāno apadacatuppadabahuppadesupi nuppajjati. Ayaṃ dvipadesuyeva uppajjati. Kataradvipadesūti? Manussesu ceva devesu ca. Manussesu uppajjamāno tisahassimahāsahassilokadhātu vase kattuṃ samattho buddho hutvā nibbattati. Devesu uppajjamāno dasasahassilokadhātu vasavattī mahābrahmā hutvā nibbattati. So tassa kappiyakārako vā ārāmiko vā sampajjati. Iti tatopi seṭṭhataravasena ‘‘dvipaduttamo’’ti vutto.

    ทสสหสฺสิโลกธาตุยาติ ทสสหสฺสิสงฺขาตาย โลกธาตุยาฯ มหิทฺธิกาติ มหติยา อิทฺธิยา ยุตฺตา, มหานุภาวาติ อโตฺถฯ ปริวาเรตฺวาติ ภควนฺตํ สมนฺตโต ปริกฺขิปิตฺวาฯ ปสนฺนาติ สญฺชาตสทฺธาฯ นราสภนฺติ นรปุงฺควํฯ อโห อจฺฉริยนฺติ เอตฺถ อนฺธสฺส ปพฺพตาโรหนํ วิย นิจฺจํ น โหตีติ อจฺฉริยํ, อจฺฉราโยคฺคนฺติ วา อจฺฉริยํ, ‘‘อโห, อิทํ วิมฺหย’’นฺติ อจฺฉรํ ปหริตุํ ยุตฺตนฺติ อโตฺถฯ อพฺภุตนฺติ อภูตปุพฺพํ อภูตนฺติ อพฺภุตํฯ อุภยเมฺปตํ วิมฺหยาวหสฺสาธิวจนํฯ โลมหํสนนฺติ โลมานํ อุทฺธคฺคภาวกรณํฯ น เมทิสํ ภูตปุพฺพนฺติ น มยา อีทิสํ ภูตปุพฺพํ, อพฺภุตํ ทิฎฺฐนฺติ อโตฺถฯ ทิฎฺฐนฺติ วจนํ อาหริตฺวา คเหตพฺพํฯ อเจฺฉรนฺติ อจฺฉริยํฯ

    Dasasahassilokadhātuyāti dasasahassisaṅkhātāya lokadhātuyā. Mahiddhikāti mahatiyā iddhiyā yuttā, mahānubhāvāti attho. Parivāretvāti bhagavantaṃ samantato parikkhipitvā. Pasannāti sañjātasaddhā. Narāsabhanti narapuṅgavaṃ. Aho acchariyanti ettha andhassa pabbatārohanaṃ viya niccaṃ na hotīti acchariyaṃ, accharāyogganti vā acchariyaṃ, ‘‘aho, idaṃ vimhaya’’nti accharaṃ paharituṃ yuttanti attho. Abbhutanti abhūtapubbaṃ abhūtanti abbhutaṃ. Ubhayampetaṃ vimhayāvahassādhivacanaṃ. Lomahaṃsananti lomānaṃ uddhaggabhāvakaraṇaṃ. Na medisaṃ bhūtapubbanti na mayā īdisaṃ bhūtapubbaṃ, abbhutaṃ diṭṭhanti attho. Diṭṭhanti vacanaṃ āharitvā gahetabbaṃ. Accheranti acchariyaṃ.

    สกสกมฺหิ ภวเนติ อตฺตโน อตฺตโน ภวเนฯ นิสีทิตฺวานาติ อุปวิสฺสฯ เทวตาติ อิทํ ปน วจนํ เทวานมฺปิ เทวธีตานมฺปิ สาธารณวจนนฺติ เวทิตพฺพํฯ หสนฺติตาติ ตา เทวตา มหาหสิตํ หสนฺติ, ปีติวสํ คตหทยตาย มิหิตมตฺตํ อกตฺวา อฎฺฎหาสํ หสนฺตีติ อโตฺถฯ นเภติ อากาเสฯ

    Sakasakamhi bhavaneti attano attano bhavane. Nisīditvānāti upavissa. Devatāti idaṃ pana vacanaṃ devānampi devadhītānampi sādhāraṇavacananti veditabbaṃ. Hasantitāti tā devatā mahāhasitaṃ hasanti, pītivasaṃ gatahadayatāya mihitamattaṃ akatvā aṭṭahāsaṃ hasantīti attho. Nabheti ākāse.

    อากาสฎฺฐาติ อากาเส วิมานาทีสุ ฐิตา, เอเสว นโย ภูมเฎฺฐสุปิฯ ติณปนฺถนิวาสิโนติ ติณเคฺคสุ เจว ปเนฺถสุ จ นิวาสิโนฯ ปุญฺญวโนฺตติ มหาปุญฺญาฯ มหิทฺธิกาติ มหานุภาวาฯ สงฺคีติโย ปวเตฺตนฺตีติ เทวนาฎกสงฺคีติโย ปวเตฺตนฺติ, ตถาคตํ ปูชนตฺถาย ปยุชฺชนฺตีติ อโตฺถฯ อมฺพเรติ อากาเสฯ อนิลญฺชเสติ อนิลปเถ, อมฺพรสฺส อเนกตฺถตฺตา ‘‘อนิลญฺชเส’’ติ วุตฺตํ, ปุริมเสฺสว เววจนํฯ จมฺมนทฺธานีติ จมฺมวินทฺธานิฯ อยเมว วา ปาโฐ, เทวทุนฺทุภิโยติ อโตฺถฯ วาเทนฺตีติ วาทยนฺติ เทวตาฯ

    Ākāsaṭṭhāti ākāse vimānādīsu ṭhitā, eseva nayo bhūmaṭṭhesupi. Tiṇapanthanivāsinoti tiṇaggesu ceva panthesu ca nivāsino. Puññavantoti mahāpuññā. Mahiddhikāti mahānubhāvā. Saṅgītiyo pavattentīti devanāṭakasaṅgītiyo pavattenti, tathāgataṃ pūjanatthāya payujjantīti attho. Ambareti ākāse. Anilañjaseti anilapathe, ambarassa anekatthattā ‘‘anilañjase’’ti vuttaṃ, purimasseva vevacanaṃ. Cammanaddhānīti cammavinaddhāni. Ayameva vā pāṭho, devadundubhiyoti attho. Vādentīti vādayanti devatā.

    สงฺขาติ ธมนสงฺขาฯ ปณวาติ ตนุมชฺฌตุริยวิเสสาฯ ฑิณฺฑิมาติ ติณวาขุทฺทกเภริโย วุจฺจนฺติฯ วชฺชนฺตีติ วาทยนฺติฯ อพฺภุโต วต โนติ อจฺฉริโย วต นุฯ อุปฺปชฺชีติ อุปฺปโนฺนฯ โลมหํสโนติ โลมหํสนกโรฯ ธุวนฺติ ยสฺมา ปน อพฺภุโต อยํ สตฺถา โลเก อุปฺปโนฺน, ตสฺมา ธุวํ อวสฺสํ อตฺถสิทฺธิํ ลภามาติ อธิปฺปาโยฯ ลภามาติ ลภิสฺสามฯ ขโณติ อฎฺฐกฺขณวิรหิโต นวโม ขโณติ อโตฺถฯ โนติ อมฺหากํฯ ปฎิปาทิโตติ ปฎิลโทฺธฯ

    Saṅkhāti dhamanasaṅkhā. Paṇavāti tanumajjhaturiyavisesā. Ḍiṇḍimāti tiṇavākhuddakabheriyo vuccanti. Vajjantīti vādayanti. Abbhuto vata noti acchariyo vata nu. Uppajjīti uppanno. Lomahaṃsanoti lomahaṃsanakaro. Dhuvanti yasmā pana abbhuto ayaṃ satthā loke uppanno, tasmā dhuvaṃ avassaṃ atthasiddhiṃ labhāmāti adhippāyo. Labhāmāti labhissāma. Khaṇoti aṭṭhakkhaṇavirahito navamo khaṇoti attho. Noti amhākaṃ. Paṭipāditoti paṭiladdho.

    พุโทฺธติ เตสํ สุตฺวานาติ พุโทฺธติ อิทํ วจนํ สุตฺวา เตสํ เทวานํ ปญฺจวณฺณา ปีติ อุทปาทีติ อโตฺถฯ ตาวเทติ ตสฺมิํ กาเลฯ หิงฺการาติ หิงฺการสทฺทา, หิํหินฺติ ยกฺขาทโย ปหฎฺฐกาเล กโรนฺติฯ สาธุการาติ สาธุการสทฺทา จ ปวตฺตนฺติฯ อุกฺกุฎฺฐีติ อุกฺกุฎฺฐิสโทฺท จ อุนฺนาทสโทฺท จาติ อโตฺถฯ ปชาติ เทวาทโย อธิเปฺปตาฯ เกจิ ‘‘ปฎากา วิวิธา คคเน วตฺตนฺตี’’ติ ปฐนฺติฯ คายนฺตีติ พุทฺธคุณปฎิสํยุตฺตํ คีตํ คายนฺติฯ

    Buddhoti tesaṃ sutvānāti buddhoti idaṃ vacanaṃ sutvā tesaṃ devānaṃ pañcavaṇṇā pīti udapādīti attho. Tāvadeti tasmiṃ kāle. Hiṅkārāti hiṅkārasaddā, hiṃhinti yakkhādayo pahaṭṭhakāle karonti. Sādhukārāti sādhukārasaddā ca pavattanti. Ukkuṭṭhīti ukkuṭṭhisaddo ca unnādasaddo cāti attho. Pajāti devādayo adhippetā. Keci ‘‘paṭākā vividhā gagane vattantī’’ti paṭhanti. Gāyantīti buddhaguṇapaṭisaṃyuttaṃ gītaṃ gāyanti.

    เสเฬนฺตีติ มุเขน เสฬิตสทฺทํ กโรนฺติฯ วาทยนฺตีติ มหตี วิปญฺจิกามกรมุขาทโย วีณา จ ตุริยานิ จ ตถาคตสฺส ปูชนตฺถาย วาเทนฺติ ปโยเชนฺติฯ ภุชานิ โปเถนฺตีติ ภุเช อโปฺผเฎนฺติฯ ลิงฺควิปริยาโส ทฎฺฐโพฺพฯ นจฺจนฺติ จาติ อเญฺญ จ นจฺจาเปนฺติ สยญฺจ นจฺจนฺติฯ

    Seḷentīti mukhena seḷitasaddaṃ karonti. Vādayantīti mahatī vipañcikāmakaramukhādayo vīṇā ca turiyāni ca tathāgatassa pūjanatthāya vādenti payojenti. Bhujāni pothentīti bhuje apphoṭenti. Liṅgavipariyāso daṭṭhabbo. Naccanti cāti aññe ca naccāpenti sayañca naccanti.

    ยถา ตุยฺหํ มหาวีร, ปาเทสุ จกฺกลกฺขณนฺติ เอตฺถ เยน ปกาเรน ยถาฯ มหาวีริเยน โยคโต มหาวีโรฯ ปาเทสุ จกฺกลกฺขณนฺติ ตว อุโภสุ ปาทตเลสุ สหสฺสารํ สเนมิกํ สนาภิกํ สพฺพาการปริปูรํ จกฺกลกฺขณํ โสภตีติ อโตฺถฯ จกฺก-สโทฺท ปนายํ สมฺปตฺติรถงฺคอิริยาปถทานรตนธมฺมขุรจกฺกลกฺขณาทีสุ ทิสฺสติฯ ‘‘จตฺตาริมานิ, ภิกฺขเว, จกฺกานิ เยหิ สมนฺนาคตานํ เทวมนุสฺสาน’’นฺติอาทีสุ (อ. นิ. ๔.๓๑) สมฺปตฺติยํ ทิสฺสติฯ ‘‘จกฺกํว วหโต ปท’’นฺติอาทีสุ (ธ. ป. ๑) รถเงฺคฯ ‘‘จตุจกฺกํ นวทฺวาร’’นฺติอาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๒๙) อิริยาปเถฯ ‘‘ททํ ภุญฺช จ มา จ ปมาโท, จกฺกํ วตฺตย สพฺพปาณิน’’นฺติ (ชา. ๑.๗.๑๔๙) เอตฺถ ทาเนฯ ‘‘ทิพฺพํ จกฺกรตนํ ปาตุภูต’’นฺติ (ที. นิ. ๒.๒๔๓; ๓.๘๕; ม. นิ. ๓.๒๕๖) เอตฺถ รตนจเกฺกฯ ‘‘มยา ปวตฺติตํ จกฺก’’นฺติ (สุ. นิ. ๕๖๒; พุ. วํ. ๒๘.๑๗) เอตฺถ ปน ธมฺมจเกฺกฯ ‘‘อิจฺฉาหตสฺส โปสสฺส, จกฺกํ ภมติ มตฺถเก’’ติ (ชา. ๑.๑.๑๐๔; ๑.๕.๑๐๓) เอตฺถ ขุรจเกฺก, ปหรณจเกฺกติ อโตฺถฯ ‘‘ปาทตเลสุ จกฺกานิ ชาตานี’’ติ (ที. นิ. ๒.๓๕; ๓.๒๐๐, ๒๐๔; ม. นิ. ๒.๓๘๖) เอตฺถ ลกฺขเณฯ อิธาปิ ลกฺขณจเกฺก ทฎฺฐโพฺพ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๔๘; อ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๑๘๗; ๒.๔.๘; ปฎิ. ม. อฎฺฐ. ๒.๒.๔๔)ฯ ธชวชิรปฎากา, วฑฺฒมานงฺกุสาจิตนฺติ ธเชน จ วชิเรน จ ปฎากาย จ วฑฺฒมาเนน จ องฺกุเสน จ อาจิตํ อลงฺกตํ ปริวาริตํ ปาเทสุ จกฺกลกฺขณนฺติ อโตฺถฯ จกฺกลกฺขเณ ปน คหิเต เสสลกฺขณานิ คหิตาเนว โหนฺติฯ ตถา อสีติ อนุพฺยญฺชนานิ พฺยามปฺปภา จฯ ตสฺมา เตหิ ทฺวตฺติํสมหาปุริสลกฺขณาสีติอนุพฺยญฺชนพฺยามปฺปภาหิ สมลงฺกโต ภควโต กาโย สพฺพผาลิผุโลฺล วิย ปาริจฺฉตฺตโก วิกสิตปทุมํ วิย กมลวนํ วิวิธรตนวิจิตฺตํ วิย นวกนกโตรณํ ตารามรีจิวิราชิตมิว คคนตลํ อิโต จิโต จ วิธาวมานา วิปฺผนฺทมานา ฉพฺพณฺณพุทฺธรสฺมิโย มุญฺจมาโน อติวิย โสภติฯ

    Yathā tuyhaṃ mahāvīra, pādesu cakkalakkhaṇanti ettha yena pakārena yathā. Mahāvīriyena yogato mahāvīro. Pādesu cakkalakkhaṇanti tava ubhosu pādatalesu sahassāraṃ sanemikaṃ sanābhikaṃ sabbākāraparipūraṃ cakkalakkhaṇaṃ sobhatīti attho. Cakka-saddo panāyaṃ sampattirathaṅgairiyāpathadānaratanadhammakhuracakkalakkhaṇādīsu dissati. ‘‘Cattārimāni, bhikkhave, cakkāni yehi samannāgatānaṃ devamanussāna’’ntiādīsu (a. ni. 4.31) sampattiyaṃ dissati. ‘‘Cakkaṃva vahato pada’’ntiādīsu (dha. pa. 1) rathaṅge. ‘‘Catucakkaṃ navadvāra’’ntiādīsu (saṃ. ni. 1.29) iriyāpathe. ‘‘Dadaṃ bhuñja ca mā ca pamādo, cakkaṃ vattaya sabbapāṇina’’nti (jā. 1.7.149) ettha dāne. ‘‘Dibbaṃ cakkaratanaṃ pātubhūta’’nti (dī. ni. 2.243; 3.85; ma. ni. 3.256) ettha ratanacakke. ‘‘Mayā pavattitaṃ cakka’’nti (su. ni. 562; bu. vaṃ. 28.17) ettha pana dhammacakke. ‘‘Icchāhatassa posassa, cakkaṃ bhamati matthake’’ti (jā. 1.1.104; 1.5.103) ettha khuracakke, paharaṇacakketi attho. ‘‘Pādatalesu cakkāni jātānī’’ti (dī. ni. 2.35; 3.200, 204; ma. ni. 2.386) ettha lakkhaṇe. Idhāpi lakkhaṇacakke daṭṭhabbo (ma. ni. aṭṭha. 1.148; a. ni. aṭṭha. 1.1.187; 2.4.8; paṭi. ma. aṭṭha. 2.2.44). Dhajavajirapaṭākā, vaḍḍhamānaṅkusācitanti dhajena ca vajirena ca paṭākāya ca vaḍḍhamānena ca aṅkusena ca ācitaṃ alaṅkataṃ parivāritaṃ pādesu cakkalakkhaṇanti attho. Cakkalakkhaṇe pana gahite sesalakkhaṇāni gahitāneva honti. Tathā asīti anubyañjanāni byāmappabhā ca. Tasmā tehi dvattiṃsamahāpurisalakkhaṇāsītianubyañjanabyāmappabhāhi samalaṅkato bhagavato kāyo sabbaphāliphullo viya pāricchattako vikasitapadumaṃ viya kamalavanaṃ vividharatanavicittaṃ viya navakanakatoraṇaṃ tārāmarīcivirājitamiva gaganatalaṃ ito cito ca vidhāvamānā vipphandamānā chabbaṇṇabuddharasmiyo muñcamāno ativiya sobhati.

    อิทานิ ภควโต รูปกายธมฺมกายสมฺปตฺติทสฺสนตฺถํ –

    Idāni bhagavato rūpakāyadhammakāyasampattidassanatthaṃ –

    ๓๘.

    38.

    ‘‘รูเป สีเล สมาธิมฺหิ, ปญฺญาย จ อสาทิโส;

    ‘‘Rūpe sīle samādhimhi, paññāya ca asādiso;

    วิมุตฺติยา อสมสโม, ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตเน’’ติฯ – อยํ คาถา วุตฺตา;

    Vimuttiyā asamasamo, dhammacakkappavattane’’ti. – ayaṃ gāthā vuttā;

    ตตฺถ รูเปติ อยํ รูป-สโทฺท ขนฺธภวนิมิตฺตปจฺจยสรีรวณฺณสณฺฐานาทีสุ ทิสฺสติฯ ยถาห – ‘‘ยํ กิญฺจิ รูปํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺน’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๓๖๑; ๓.๘๖, ๘๙; วิภ. ๒; มหาว. ๒๒) เอตฺถ รูปกฺขเนฺธ ทิสฺสติฯ ‘‘รูปูปปตฺติยา มคฺคํ ภาเวตี’’ติ (ธ. ส. ๑๖๐-๑๖๑; วิภ. ๖๒๔) เอตฺถ รูปภเวฯ ‘‘อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสตี’’ติ (ที. นิ. ๓.๓๓๘; ม. นิ. ๒.๒๔๙; อ. นิ. ๑.๔๓๕-๔๔๒; ธ. ส. ๒๐๔-๒๐๕) เอตฺถ กสิณนิมิเตฺตฯ ‘‘สรูปา, ภิกฺขเว, อุปฺปชฺชนฺติ ปาปกา อกุสลา ธมฺมา โน อรูปา’’ติ (อ. นิ. ๒.๘๓) เอตฺถ ปจฺจเยฯ ‘‘อากาโส ปริวาริโต รูปเนฺตฺวว สงฺขํ คจฺฉตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๓๐๖) เอตฺถ สรีเรฯ ‘‘จกฺขุญฺจ ปฎิจฺจ รูเป จ อุปฺปชฺชติ จกฺขุวิญฺญาณ’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๒๐๔, ๔๐๐; ๓.๔๒๑, ๔๒๕-๔๒๖; สํ. นิ. ๔.๖๐; กถา. ๔๖๕) เอตฺถ วเณฺณฯ ‘‘รูปปฺปมาโณ รูปปฺปสโนฺน’’ติ (อ. นิ. ๔.๖๕) เอตฺถ สณฺฐาเนฯ อิธาปิ สณฺฐาเน ทฎฺฐโพฺพ (อ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๑ รูปาทิวคฺควณฺณนา)ฯ สีเลติ จตุพฺพิเธ สีเลฯ สมาธิมฺหีติ ติวิเธปิ สมาธิมฺหิฯ ปญฺญายาติ โลกิยโลกุตฺตราย ปญฺญายฯ อสาทิโสติ อสทิโส อนุปโมฯ วิมุตฺติยาติ ผลวิมุตฺติยา ฯ อสมสโมติ อสมา อตีตา พุทฺธา เตหิ อสเมหิ พุเทฺธหิ สีลาทีหิ สโมติ อสมสโมฯ เอตฺตาวตา ภควโต รูปกายสมฺปตฺติ ทสฺสิตาฯ

    Tattha rūpeti ayaṃ rūpa-saddo khandhabhavanimittapaccayasarīravaṇṇasaṇṭhānādīsu dissati. Yathāha – ‘‘yaṃ kiñci rūpaṃ atītānāgatapaccuppanna’’nti (ma. ni. 1.361; 3.86, 89; vibha. 2; mahāva. 22) ettha rūpakkhandhe dissati. ‘‘Rūpūpapattiyā maggaṃ bhāvetī’’ti (dha. sa. 160-161; vibha. 624) ettha rūpabhave. ‘‘Ajjhattaṃ arūpasaññī bahiddhā rūpāni passatī’’ti (dī. ni. 3.338; ma. ni. 2.249; a. ni. 1.435-442; dha. sa. 204-205) ettha kasiṇanimitte. ‘‘Sarūpā, bhikkhave, uppajjanti pāpakā akusalā dhammā no arūpā’’ti (a. ni. 2.83) ettha paccaye. ‘‘Ākāso parivārito rūpantveva saṅkhaṃ gacchatī’’ti (ma. ni. 1.306) ettha sarīre. ‘‘Cakkhuñca paṭicca rūpe ca uppajjati cakkhuviññāṇa’’nti (ma. ni. 1.204, 400; 3.421, 425-426; saṃ. ni. 4.60; kathā. 465) ettha vaṇṇe. ‘‘Rūpappamāṇo rūpappasanno’’ti (a. ni. 4.65) ettha saṇṭhāne. Idhāpi saṇṭhāne daṭṭhabbo (a. ni. aṭṭha. 1.1.1 rūpādivaggavaṇṇanā). Sīleti catubbidhe sīle. Samādhimhīti tividhepi samādhimhi. Paññāyāti lokiyalokuttarāya paññāya. Asādisoti asadiso anupamo. Vimuttiyāti phalavimuttiyā . Asamasamoti asamā atītā buddhā tehi asamehi buddhehi sīlādīhi samoti asamasamo. Ettāvatā bhagavato rūpakāyasampatti dassitā.

    อิทานิ ภควโต กายพลาทิํ ทเสฺสตุํ –

    Idāni bhagavato kāyabalādiṃ dassetuṃ –

    ๓๙.

    39.

    ‘‘ทสนาคพลํ กาเย, ตุยฺหํ ปากติกํ พลํ;

    ‘‘Dasanāgabalaṃ kāye, tuyhaṃ pākatikaṃ balaṃ;

    อิทฺธิพเลน อสโม, ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตเน’’ติฯ – วุตฺตํ;

    Iddhibalena asamo, dhammacakkappavattane’’ti. – vuttaṃ;

    ตตฺถ ทสนาคพลนฺติ ทสฉทฺทนฺตนาคพลํฯ ทุวิธญฺหิ ตถาคตสฺส พลํ – กายพลํ, ญาณพลญฺจาติฯ ตตฺถ กายพลํ หตฺถิกุลานุสาเรน เวทิตพฺพํฯ กถํ?

    Tattha dasanāgabalanti dasachaddantanāgabalaṃ. Duvidhañhi tathāgatassa balaṃ – kāyabalaṃ, ñāṇabalañcāti. Tattha kāyabalaṃ hatthikulānusārena veditabbaṃ. Kathaṃ?

    ‘‘กาฬาวกญฺจ คเงฺคยฺยํ, ปณฺฑรํ ตมฺพปิงฺคลํ;

    ‘‘Kāḷāvakañca gaṅgeyyaṃ, paṇḍaraṃ tambapiṅgalaṃ;

    คนฺธมงฺคลเหมญฺจ, อุโปสถฉทฺทนฺติเม ทสา’’ติฯ(ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๔๘; สํ. นิ. อฎฺฐ. ๒.๒.๒๒; อ. นิ. อฎฺฐ. ๓.๑๐.๒๑; ที. นิ. อฎฺฐ. ๒.๑๙๘; วิภ. อฎฺฐ. ๗๖๐; อุทา. อฎฺฐ. ๗๕; จูฬนิ. อฎฺฐ. ๘๑; ปฎิ. ม. อฎฺฐ. ๒.๒.๔๔) –

    Gandhamaṅgalahemañca, uposathachaddantime dasā’’ti.(ma. ni. aṭṭha. 1.148; saṃ. ni. aṭṭha. 2.2.22; a. ni. aṭṭha. 3.10.21; dī. ni. aṭṭha. 2.198; vibha. aṭṭha. 760; udā. aṭṭha. 75; cūḷani. aṭṭha. 81; paṭi. ma. aṭṭha. 2.2.44) –

    อิมานิ ทส หตฺถิกุลานิ เวทิตพฺพานิฯ กาฬาวโกติ ปกติหตฺถิกุลํฯ ยํ ทสนฺนํ ปุริสานํ กายพลํ, ตํ เอกสฺส กาฬาวกสฺส หตฺถิโน พลํฯ ยํ ทสนฺนํ กาฬาวกานํ พลํ, ตํ เอกสฺส คเงฺคยฺยสฺสาติ เอเตเนว อุปาเยน ยาว ฉทฺทนฺตพลํ เนตพฺพนฺติฯ ยํ ทสนฺนํ ฉทฺทนฺตานํ พลํ, ตํ เอกสฺส ตถาคตสฺส พลํ, นารายนพลํ วชิรพลนฺติ อิทเมว วุจฺจติฯ ตเทตํ ปกติหตฺถิคณนาย หตฺถิโกฎิสหสฺสานํ พลํ, ปุริสคณนาย ทสนฺนํ ปุริสโกฎิสหสฺสานํ พลํ โหติฯ อิทํ ตาว ตถาคตสฺส ปกติกายพลํ, ญาณพลํ ปน อปฺปเมยฺยํ ทสพลญาณํ จตุเวสารชฺชญาณํ อฎฺฐสุ ปริสาสุ อกมฺปนญาณํ จตุโยนิปริเจฺฉทกญาณํ ปญฺจคติปริเจฺฉทกญาณํ จุทฺทส พุทฺธญาณานีติ เอวมาทิกํ ญาณพลํฯ อิธ ปน กายพลํ อธิเปฺปตํฯ กาเย, ตุยฺหํ ปากติกํ พลนฺติ ตญฺจ ปน ตว กาเย ปากติกพลนฺติ อโตฺถฯ ตสฺมา ‘‘ทสนาคพล’’นฺติ ทสฉทฺทนฺตนาคพลนฺติ อโตฺถฯ

    Imāni dasa hatthikulāni veditabbāni. Kāḷāvakoti pakatihatthikulaṃ. Yaṃ dasannaṃ purisānaṃ kāyabalaṃ, taṃ ekassa kāḷāvakassa hatthino balaṃ. Yaṃ dasannaṃ kāḷāvakānaṃ balaṃ, taṃ ekassa gaṅgeyyassāti eteneva upāyena yāva chaddantabalaṃ netabbanti. Yaṃ dasannaṃ chaddantānaṃ balaṃ, taṃ ekassa tathāgatassa balaṃ, nārāyanabalaṃ vajirabalanti idameva vuccati. Tadetaṃ pakatihatthigaṇanāya hatthikoṭisahassānaṃ balaṃ, purisagaṇanāya dasannaṃ purisakoṭisahassānaṃ balaṃ hoti. Idaṃ tāva tathāgatassa pakatikāyabalaṃ, ñāṇabalaṃ pana appameyyaṃ dasabalañāṇaṃ catuvesārajjañāṇaṃ aṭṭhasu parisāsu akampanañāṇaṃ catuyoniparicchedakañāṇaṃ pañcagatiparicchedakañāṇaṃ cuddasa buddhañāṇānīti evamādikaṃ ñāṇabalaṃ. Idha pana kāyabalaṃ adhippetaṃ. Kāye, tuyhaṃ pākatikaṃ balanti tañca pana tava kāye pākatikabalanti attho. Tasmā ‘‘dasanāgabala’’nti dasachaddantanāgabalanti attho.

    อิทานิ ญาณพลํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อิทฺธิพเลน อสโม, ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตเน’’ติ อาหฯ ตตฺถ อิทฺธิพเลน อสโมติ วิกุพฺพนาธิฎฺฐานาทินา อิทฺธิพเลน อสโม อสทิโส อนุปโมฯ ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตเนติ เทสนาญาเณปิ อสโมติ อโตฺถฯ

    Idāni ñāṇabalaṃ dassento ‘‘iddhibalena asamo, dhammacakkappavattane’’ti āha. Tattha iddhibalena asamoti vikubbanādhiṭṭhānādinā iddhibalena asamo asadiso anupamo. Dhammacakkappavattaneti desanāñāṇepi asamoti attho.

    อิทานิ ‘‘โย เอวมาทิคุณสมนฺนาคโต สตฺถา, โส สพฺพโลเกกนายโก, ตํ สตฺถารํ นมสฺสถา’’ติ ตถาคตสฺส ปณามเน นิโยคทสฺสนตฺถํ –

    Idāni ‘‘yo evamādiguṇasamannāgato satthā, so sabbalokekanāyako, taṃ satthāraṃ namassathā’’ti tathāgatassa paṇāmane niyogadassanatthaṃ –

    ๔๐.

    40.

    ‘‘เอวํ สพฺพคุณูเปตํ, สพฺพงฺคสมุปาคตํ;

    ‘‘Evaṃ sabbaguṇūpetaṃ, sabbaṅgasamupāgataṃ;

    มหามุนิํ การุณิกํ, โลกนาถํ นมสฺสถา’’ติฯ – วุตฺตํ;

    Mahāmuniṃ kāruṇikaṃ, lokanāthaṃ namassathā’’ti. – vuttaṃ;

    ตตฺถ เอวนฺติ วุตฺตปฺปการนิทสฺสเน นิปาโตฯ สพฺพคุณูเปตนฺติ เอตฺถ สโพฺพติ อยํ นิรวเสสวาจีฯ คุโณติ อยํ คุณ-สโทฺท อเนเกสุ อเตฺถสุ ทิสฺสติฯ ตถา เหส – ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อหตานํ วตฺถานํ ทิคุณํ สงฺฆาฎิ’’นฺติ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๕๔๖; มหาว. ๓๔๘) เอตฺถ ปฎลเตฺถ ทิสฺสติฯ ‘‘อเจฺจนฺติ กาลา ตรยนฺติ รตฺติโย, วโยคุณา อนุปุพฺพํ ชหนฺตี’’ติ (สํ. นิ. ๑.๔) เอตฺถ ราสเตฺถฯ ‘‘สตคุณา ทกฺขิณา ปาฎิกงฺขิตพฺพา’’ติ (ม. นิ. ๓.๓๗๙) เอตฺถ อานิสํสเตฺถฯ ‘‘อนฺตํ อนฺตคุณํ’’ (ที. นิ. ๒.๓๗๗; ม. นิ. ๑.๑๑๐, ๓๐๒; ๒.๑๑๔; ๓.๑๕๔, ๓๔๙; ขุ. ปา. ๓.ทฺวตฺติํสาการ) ‘‘กยิรา มาลาคุเณ พหู’’ติ (ธ. ป. ๕๓) เอตฺถ พนฺธนเตฺถฯ ‘‘อฎฺฐคุณสมุเปตํ, อภิญฺญาพลมาหริ’’นฺติ (พุ. วํ. ๒.๒๙) เอตฺถ สมฺปตฺติอเตฺถฯ อิธาปิ สมฺปตฺติอเตฺถ ทฎฺฐโพฺพ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๕๔๖; ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๖๖; จูฬนิ. อฎฺฐ. ๑๓๖)ฯ ตสฺมา สเพฺพหิ โลกิยโลกุตฺตเรหิ คุเณหิ สพฺพสมฺปตฺตีหิ อุเปตํ สมนฺนาคตนฺติ อโตฺถฯ สพฺพงฺคสมุปาคตนฺติ สเพฺพหิ พุทฺธคุเณหิ คุณเงฺคหิ วา สมุปาคตํ สมนฺนาคตํฯ มหามุนินฺติ อเญฺญหิ ปเจฺจกพุทฺธาทีหิ มุนีหิ อธิกภาวโต มหโนฺต มุนีติ วุจฺจติ มหามุนิฯ การุณิกนฺติ กรุณาคุณโยคโต การุณิกํฯ โลกนาถนฺติ สพฺพโลเกกนาถํ, สพฺพโลเกหิ ‘‘อยํ โน ทุโกฺขปตาปสฺส อาหนฺตา สเมตา’’ติ เอวมาสีสียตีติ อโตฺถฯ

    Tattha evanti vuttappakāranidassane nipāto. Sabbaguṇūpetanti ettha sabboti ayaṃ niravasesavācī. Guṇoti ayaṃ guṇa-saddo anekesu atthesu dissati. Tathā hesa – ‘‘anujānāmi, bhikkhave, ahatānaṃ vatthānaṃ diguṇaṃ saṅghāṭi’’nti (dī. ni. aṭṭha. 1.546; mahāva. 348) ettha paṭalatthe dissati. ‘‘Accenti kālā tarayanti rattiyo, vayoguṇā anupubbaṃ jahantī’’ti (saṃ. ni. 1.4) ettha rāsatthe. ‘‘Sataguṇā dakkhiṇā pāṭikaṅkhitabbā’’ti (ma. ni. 3.379) ettha ānisaṃsatthe. ‘‘Antaṃ antaguṇaṃ’’ (dī. ni. 2.377; ma. ni. 1.110, 302; 2.114; 3.154, 349; khu. pā. 3.dvattiṃsākāra) ‘‘kayirā mālāguṇe bahū’’ti (dha. pa. 53) ettha bandhanatthe. ‘‘Aṭṭhaguṇasamupetaṃ, abhiññābalamāhari’’nti (bu. vaṃ. 2.29) ettha sampattiatthe. Idhāpi sampattiatthe daṭṭhabbo (dī. ni. aṭṭha. 1.546; ma. ni. aṭṭha. 1.166; cūḷani. aṭṭha. 136). Tasmā sabbehi lokiyalokuttarehi guṇehi sabbasampattīhi upetaṃ samannāgatanti attho. Sabbaṅgasamupāgatanti sabbehi buddhaguṇehi guṇaṅgehi vā samupāgataṃ samannāgataṃ. Mahāmuninti aññehi paccekabuddhādīhi munīhi adhikabhāvato mahanto munīti vuccati mahāmuni. Kāruṇikanti karuṇāguṇayogato kāruṇikaṃ. Lokanāthanti sabbalokekanāthaṃ, sabbalokehi ‘‘ayaṃ no dukkhopatāpassa āhantā sametā’’ti evamāsīsīyatīti attho.

    อิทานิ ทสพลสฺส สพฺพนิปจฺจาการสฺส อรหภาวทสฺสนตฺถํ –

    Idāni dasabalassa sabbanipaccākārassa arahabhāvadassanatthaṃ –

    ๔๑.

    41.

    ‘‘อภิวาทนํ โถมนญฺจ, วนฺทนญฺจ ปสํสนํ;

    ‘‘Abhivādanaṃ thomanañca, vandanañca pasaṃsanaṃ;

    นมสฺสนญฺจ ปูชญฺจ, สพฺพํ อรหสี ตุวํฯ

    Namassanañca pūjañca, sabbaṃ arahasī tuvaṃ.

    ๔๒.

    42.

    ‘‘เย เกจิ โลเก วนฺทเนยฺยา, วนฺทนํ อรหนฺติ เย;

    ‘‘Ye keci loke vandaneyyā, vandanaṃ arahanti ye;

    สพฺพเสโฎฺฐ มหาวีร, สทิโส เต น วิชฺชตี’’ติฯ – วุตฺตํ;

    Sabbaseṭṭho mahāvīra, sadiso te na vijjatī’’ti. – vuttaṃ;

    ตตฺถ อภิวาทนนฺติ อเญฺญหิ อตฺตโน อภิวาทนการาปนํฯ โถมนนฺติ ปรมฺมุขโต ถุติฯ วนฺทนนฺติ ปณามนํฯ ปสํสนนฺติ สมฺมุขโต ปสํสนํฯ นมสฺสนนฺติ อญฺชลิกรณํ, มนสา นมสฺสนํ วาฯ ปูชนนฺติ มาลาคนฺธวิเลปนาทีหิ ปูชนญฺจฯ สพฺพนฺติ สพฺพมฺปิ ตํ วุตฺตปฺปการํ สกฺการวิเสสํ ตุวํ อรหสิ ยุโตฺตติ อโตฺถฯ เย เกจิ โลเก วนฺทเนยฺยาติ เย เกจิ โลเก วนฺทิตพฺพา วนฺทนียา วนฺทนํ อรหนฺติฯ เยติ เย ปน โลเก วนฺทนํ อรหนฺติฯ อิทํ ปน ปุริมปทเสฺสว เววจนํฯ สพฺพเสโฎฺฐติ สเพฺพสํ เตสํ เสโฎฺฐ อุตฺตโม, ตฺวํ มหาวีร สทิโส เต โลเก โกจิ น วิชฺชตีติ อโตฺถฯ

    Tattha abhivādananti aññehi attano abhivādanakārāpanaṃ. Thomananti parammukhato thuti. Vandananti paṇāmanaṃ. Pasaṃsananti sammukhato pasaṃsanaṃ. Namassananti añjalikaraṇaṃ, manasā namassanaṃ vā. Pūjananti mālāgandhavilepanādīhi pūjanañca. Sabbanti sabbampi taṃ vuttappakāraṃ sakkāravisesaṃ tuvaṃ arahasi yuttoti attho. Ye keci loke vandaneyyāti ye keci loke vanditabbā vandanīyā vandanaṃ arahanti. Yeti ye pana loke vandanaṃ arahanti. Idaṃ pana purimapadasseva vevacanaṃ. Sabbaseṭṭhoti sabbesaṃ tesaṃ seṭṭho uttamo, tvaṃ mahāvīra sadiso te loke koci na vijjatīti attho.

    อถ ภควติ ยมกปาฎิหาริยํ ทเสฺสตฺวา รตนจงฺกมํ มาเปตฺวา ตตฺร จงฺกมมาเน อายสฺมา สาริปุโตฺต ราชคเห วิหรติ คิชฺฌกูเฎ ปพฺพเต ปญฺจหิ ปริวารภิกฺขุสเตหิฯ อถ เถโร ภควนฺตํ โอโลเกโนฺต อทฺทส กปิลปุเร อากาเส รตนจงฺกเม จงฺกมมานํฯ เตน วุตฺตํ –

    Atha bhagavati yamakapāṭihāriyaṃ dassetvā ratanacaṅkamaṃ māpetvā tatra caṅkamamāne āyasmā sāriputto rājagahe viharati gijjhakūṭe pabbate pañcahi parivārabhikkhusatehi. Atha thero bhagavantaṃ olokento addasa kapilapure ākāse ratanacaṅkame caṅkamamānaṃ. Tena vuttaṃ –

    ๔๓.

    43.

    ‘‘สาริปุโตฺต มหาปโญฺญ, สมาธิชฺฌานโกวิโท;

    ‘‘Sāriputto mahāpañño, samādhijjhānakovido;

    คิชฺฌกูเฎ ฐิโตเยว, ปสฺสติ โลกนายก’’นฺติฯ – อาทิ;

    Gijjhakūṭe ṭhitoyeva, passati lokanāyaka’’nti. – ādi;

    ตตฺถ สาริปุโตฺตติ รูปสาริยา นาม พฺราหฺมณิยา ปุโตฺตติ สาริปุโตฺตฯ มหาปโญฺญติ มหติยา โสฬสวิธาย ปญฺญาย สมนฺนาคโตติ มหาปโญฺญฯ สมาธิชฺฌานโกวิโทติ เอตฺถ สมาธีติ จิตฺตํ สมํ อาทหติ อารมฺมเณ ฐเปตีติ สมาธิฯ โส ติวิโธ โหติ สวิตกฺกสวิจาโร อวิตกฺกวิจารมโตฺต อวิตกฺกอวิจาโร สมาธีติฯ ฌานนฺติ ปฐมชฺฌานํ ทุติยชฺฌานํ ตติยชฺฌานํ จตุตฺถชฺฌานนฺติ อิเมหิ ปฐมชฺฌานาทีหิ เมตฺตาฌานาทีนิปิ สงฺคหิตาเนว โหนฺติ, ฌานมฺปิ ทุวิธํ โหติ ลกฺขณูปนิชฺฌานํ อารมฺมณูปนิชฺฌานนฺติฯ ตตฺถ อนิจฺจาทิลกฺขณํ อุปนิชฺฌายตีติ วิปสฺสนาญาณํ ‘‘ลกฺขณูปนิชฺฌาน’’นฺติ วุจฺจติฯ ปฐมชฺฌานาทิกํ ปน อารมฺมณูปนิชฺฌานโต ปจฺจนีกฌาปนโต วา ฌานนฺติ วุจฺจติฯ สมาธีสุ จ ฌาเนสุ จ โกวิโทติ สมาธิชฺฌานโกวิโท, สมาธิชฺฌานกุสโลติ อโตฺถฯ คิชฺฌกูเฎติ เอวํนามเก ปพฺพเต ฐิโตเยว ปสฺสตีติ ปสฺสิฯ

    Tattha sāriputtoti rūpasāriyā nāma brāhmaṇiyā puttoti sāriputto. Mahāpaññoti mahatiyā soḷasavidhāya paññāya samannāgatoti mahāpañño. Samādhijjhānakovidoti ettha samādhīti cittaṃ samaṃ ādahati ārammaṇe ṭhapetīti samādhi. So tividho hoti savitakkasavicāro avitakkavicāramatto avitakkaavicāro samādhīti. Jhānanti paṭhamajjhānaṃ dutiyajjhānaṃ tatiyajjhānaṃ catutthajjhānanti imehi paṭhamajjhānādīhi mettājhānādīnipi saṅgahitāneva honti, jhānampi duvidhaṃ hoti lakkhaṇūpanijjhānaṃ ārammaṇūpanijjhānanti. Tattha aniccādilakkhaṇaṃ upanijjhāyatīti vipassanāñāṇaṃ ‘‘lakkhaṇūpanijjhāna’’nti vuccati. Paṭhamajjhānādikaṃ pana ārammaṇūpanijjhānato paccanīkajhāpanato vā jhānanti vuccati. Samādhīsu ca jhānesu ca kovidoti samādhijjhānakovido, samādhijjhānakusaloti attho. Gijjhakūṭeti evaṃnāmake pabbate ṭhitoyeva passatīti passi.

    ๔๔. สุผุลฺลํ สาลราชํ วาติ สมวฎฺฎกฺขนฺธํ สมุคฺคตวิปุลโกมลผลปลฺลวงฺกุรสมลงฺกตสาขํ สพฺพผาลิผุลฺลํ สาลราชํ วิย สีลมูลํ สมาธิกฺขนฺธํ ปญฺญาสาขํ อภิญฺญาปุปฺผํ วิมุตฺติผลํ ทสพลสาลราชํ โอโลเกสีติ เอวํ โอโลกปเทน สมฺพโนฺธฯ จนฺทํว คคเน ยถาติ อพฺภาหิมธูมรโชราหุปสคฺควินิมุตฺตํ ตารคณปริวุตํ สรทสมเย ปริปุณฺณํ วิย รชนิกรํ สพฺพกิเลสติมิรวิธมนกรํ เวเนยฺยชนกุมุทวนวิกสนกรํ มุนิวรรชนิกรํ โอโลเกตีติ อโตฺถฯ ยถาติ นิปาตมตฺตํฯ มชฺฌนฺหิเกว สูริยนฺติ มชฺฌนฺหิกสมเย สิริยา ปฎุตรกิรณมาลินํ อํสุมาลินมิว วิโรจมานํฯ นราสภนฺติ นรวสภํฯ

    44.Suphullaṃsālarājaṃ vāti samavaṭṭakkhandhaṃ samuggatavipulakomalaphalapallavaṅkurasamalaṅkatasākhaṃ sabbaphāliphullaṃ sālarājaṃ viya sīlamūlaṃ samādhikkhandhaṃ paññāsākhaṃ abhiññāpupphaṃ vimuttiphalaṃ dasabalasālarājaṃ olokesīti evaṃ olokapadena sambandho. Candaṃva gagane yathāti abbhāhimadhūmarajorāhupasaggavinimuttaṃ tāragaṇaparivutaṃ saradasamaye paripuṇṇaṃ viya rajanikaraṃ sabbakilesatimiravidhamanakaraṃ veneyyajanakumudavanavikasanakaraṃ munivararajanikaraṃ oloketīti attho. Yathāti nipātamattaṃ. Majjhanhikeva sūriyanti majjhanhikasamaye siriyā paṭutarakiraṇamālinaṃ aṃsumālinamiva virocamānaṃ. Narāsabhanti naravasabhaṃ.

    ๔๕. ชลนฺตนฺติ ททฺทฬฺหมานํ, สรทสมยํ ปริปุณฺณจนฺทสสฺสิริกจารุวทนโสภํ ลกฺขณานุพฺยญฺชนสมลงฺกตวรสรีรํ ปรมาย พุทฺธสิริยา วิโรจมานนฺติ อโตฺถฯ ทีปรุกฺขํ วาติ อาโรปิตทีปํ ทีปรุกฺขมิวฯ ตรุณสูริยํว อุคฺคตนฺติ อภินโวทิตาทิจฺจมิว, โสมฺมภาเวน ชลนฺตนฺติ อโตฺถฯ สูริยสฺส ตรุณภาโว ปน อุทยํ ปฎิจฺจ วุจฺจติฯ น หิ จนฺทสฺส วิย หานิวุทฺธิโย อตฺถิฯ พฺยามปฺปภานุรญฺชิตนฺติ พฺยามปฺปภาย อนุรญฺชิตํฯ ธีรํ ปสฺสติ โลกนายกนฺติ สพฺพโลเกกธีรํ ปสฺสติ นายกนฺติ อโตฺถฯ

    45.Jalantanti daddaḷhamānaṃ, saradasamayaṃ paripuṇṇacandasassirikacāruvadanasobhaṃ lakkhaṇānubyañjanasamalaṅkatavarasarīraṃ paramāya buddhasiriyā virocamānanti attho. Dīparukkhaṃ vāti āropitadīpaṃ dīparukkhamiva. Taruṇasūriyaṃva uggatanti abhinavoditādiccamiva, sommabhāvena jalantanti attho. Sūriyassa taruṇabhāvo pana udayaṃ paṭicca vuccati. Na hi candassa viya hānivuddhiyo atthi. Byāmappabhānurañjitanti byāmappabhāya anurañjitaṃ. Dhīraṃ passati lokanāyakanti sabbalokekadhīraṃ passati nāyakanti attho.

    อถายสฺมา ธมฺมเสนาปติ อติสีตลสลิลธรนิกรปริจุมฺพิตกูเฎ นานาวิธสุรภิตรุกุสุมวาสิตกูเฎ ปรมรุจิรจิตฺตกูเฎ คิชฺฌกูเฎ ปพฺพเต ฐตฺวาว ทสหิ จกฺกวาฬสหเสฺสหิ อาคเตหิ เทวพฺรหฺมคเณหิ ปริวุตํ ภควนฺตํ อนุตฺตราย พุทฺธสิริยา อโนปมาย พุทฺธลีฬาย สพฺพรตนมเย จงฺกเม จงฺกมมานํ ทิสฺวา – ‘‘หนฺทาหํ ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา พุทฺธคุณปริทีปนํ พุทฺธวํสเทสนํ ยาเจยฺย’’นฺติ จิเนฺตตฺวา อตฺตนา สทฺธิํ วสมานานิ ปญฺจ ภิกฺขุสตานิ สนฺนิปาเตสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Athāyasmā dhammasenāpati atisītalasaliladharanikaraparicumbitakūṭe nānāvidhasurabhitarukusumavāsitakūṭe paramaruciracittakūṭe gijjhakūṭe pabbate ṭhatvāva dasahi cakkavāḷasahassehi āgatehi devabrahmagaṇehi parivutaṃ bhagavantaṃ anuttarāya buddhasiriyā anopamāya buddhalīḷāya sabbaratanamaye caṅkame caṅkamamānaṃ disvā – ‘‘handāhaṃ bhagavantaṃ upasaṅkamitvā buddhaguṇaparidīpanaṃ buddhavaṃsadesanaṃ yāceyya’’nti cintetvā attanā saddhiṃ vasamānāni pañca bhikkhusatāni sannipātesi. Tena vuttaṃ –

    ๔๖.

    46.

    ‘‘ปญฺจนฺนํ ภิกฺขุสตานํ, กตกิจฺจาน ตาทินํ;

    ‘‘Pañcannaṃ bhikkhusatānaṃ, katakiccāna tādinaṃ;

    ขีณาสวานํ วิมลานํ, ขเณน สนฺนิปาตยี’’ติฯ

    Khīṇāsavānaṃ vimalānaṃ, khaṇena sannipātayī’’ti.

    ตตฺถ ปญฺจนฺนํ ภิกฺขุสตานนฺติ ปญฺจ ภิกฺขุสตานิ, อุปโยคเตฺถ สามิวจนํ ทฎฺฐพฺพํฯ กตกิจฺจานนฺติ จตูสุ สเจฺจสุ จตูหิ มเคฺคหิ ปริญฺญาปหานสจฺฉิกิริยภาวนาวเสน ปรินิฎฺฐิตโสฬสกิจฺจานนฺติ อโตฺถฯ ขีณาสวานนฺติ ปริกฺขีณจตุราสวานํฯ วิมลานนฺติ วิคตมลานํ , ขีณาสวตฺตา วา วิมลานํ ปรมปริสุทฺธจิตฺตสนฺตานานนฺติ อโตฺถฯ ขเณนาติ ขเณเยวฯ สนฺนิปาตยีติ สนฺนิปาเตสิฯ

    Tattha pañcannaṃ bhikkhusatānanti pañca bhikkhusatāni, upayogatthe sāmivacanaṃ daṭṭhabbaṃ. Katakiccānanti catūsu saccesu catūhi maggehi pariññāpahānasacchikiriyabhāvanāvasena pariniṭṭhitasoḷasakiccānanti attho. Khīṇāsavānanti parikkhīṇacaturāsavānaṃ. Vimalānanti vigatamalānaṃ , khīṇāsavattā vā vimalānaṃ paramaparisuddhacittasantānānanti attho. Khaṇenāti khaṇeyeva. Sannipātayīti sannipātesi.

    อิทานิ เตสํ ภิกฺขูนํ สนฺนิปาเต คมเน จ การณํ ทสฺสนตฺถํ –

    Idāni tesaṃ bhikkhūnaṃ sannipāte gamane ca kāraṇaṃ dassanatthaṃ –

    ๔๗.

    47.

    ‘‘โลกปฺปสาทนํ นาม, ปาฎิหีรํ นิทสฺสยิ;

    ‘‘Lokappasādanaṃ nāma, pāṭihīraṃ nidassayi;

    อเมฺหปิ ตตฺถ คนฺตฺวาน, วนฺทิสฺสาม มยํ ชินํฯ

    Amhepi tattha gantvāna, vandissāma mayaṃ jinaṃ.

    ๔๘.

    48.

    ‘‘เอถ สเพฺพ คมิสฺสาม, ตุจฺฉิสฺสาม มยํ ชินํ;

    ‘‘Etha sabbe gamissāma, tucchissāma mayaṃ jinaṃ;

    กงฺขํ วิโนทยิสฺสาม, ปสฺสิตฺวา โลกนายก’’นฺติฯ – อิมา คาถาโย วุตฺตา;

    Kaṅkhaṃ vinodayissāma, passitvā lokanāyaka’’nti. – imā gāthāyo vuttā;

    ตตฺถ โลกปฺปสาทนํ นามาติ โลกสฺส ปสาทกรณโต โลกปฺปสาทนํ ปาฎิหีรํ วุจฺจติฯ ‘‘อุโลฺลกปฺปสาทนํ นามาติปิ ปาโฐ, ตสฺส โลกวิวรณปาฎิหาริยนฺติ อโตฺถฯ ตํ ปน อุทฺธํ อกนิฎฺฐภวนโต เหฎฺฐา ยาว อวีจิ เอตฺถนฺตเร เอกาโลกํ กตฺวา เอตฺถนฺตเร สเพฺพสมฺปิ สตฺตานํ อญฺญมญฺญํ ทสฺสนกรณาธิฎฺฐานนฺติ วุจฺจติฯ นิทสฺสยีติ ทเสฺสสิฯ อเมฺหปีติ มยมฺปิฯ ตตฺถาติ ยตฺถ ภควา, ตตฺถ คนฺตฺวานาติ อโตฺถฯ วนฺทิสฺสามาติ มยํ ภควโต ปาเท สิรสา วนฺทิสฺสามฯ เอตฺถ ปน อเมฺหปิ, มยนฺติ อิเมสํ ทฺวินฺนํ สทฺทานํ ปุริมสฺส คมนกิริยาย สมฺพโนฺธ ทฎฺฐโพฺพ, ปจฺฉิมสฺส วนฺทนกิริยายฯ อิตรถา หิ ปุนรุตฺติโทสโต น มุจฺจติฯ

    Tattha lokappasādanaṃ nāmāti lokassa pasādakaraṇato lokappasādanaṃ pāṭihīraṃ vuccati. ‘‘Ullokappasādanaṃ nāmātipi pāṭho, tassa lokavivaraṇapāṭihāriyanti attho. Taṃ pana uddhaṃ akaniṭṭhabhavanato heṭṭhā yāva avīci etthantare ekālokaṃ katvā etthantare sabbesampi sattānaṃ aññamaññaṃ dassanakaraṇādhiṭṭhānanti vuccati. Nidassayīti dassesi. Amhepīti mayampi. Tatthāti yattha bhagavā, tattha gantvānāti attho. Vandissāmāti mayaṃ bhagavato pāde sirasā vandissāma. Ettha pana amhepi, mayanti imesaṃ dvinnaṃ saddānaṃ purimassa gamanakiriyāya sambandho daṭṭhabbo, pacchimassa vandanakiriyāya. Itarathā hi punaruttidosato na muccati.

    เอถาติ อาคจฺฉถฯ กงฺขํ วิโนทยิสฺสามาติ เอตฺถาห – ขีณาสวานํ ปน กงฺขา นาม กาจิปิ นตฺถิ, กสฺมา เถโร เอวมาหาติ? สจฺจเมเวตํ, ปฐมมเคฺคเนว สมุเจฺฉทํ คตาฯ ยถาห –

    Ethāti āgacchatha. Kaṅkhaṃvinodayissāmāti etthāha – khīṇāsavānaṃ pana kaṅkhā nāma kācipi natthi, kasmā thero evamāhāti? Saccamevetaṃ, paṭhamamaggeneva samucchedaṃ gatā. Yathāha –

    ‘‘กตเม ธมฺมา ทสฺสเนน ปหาตพฺพาติ? จตฺตาโร ทิฎฺฐิคตสมฺปยุตฺตจิตฺตุปฺปาทา วิจิกิจฺฉาสหคโต จิตฺตุปฺปาโท อปายคมนีโย โลโภ โทโส โมโห มาโน ตเทกฎฺฐา จ กิเลสา’’ติ (ธ. ส. ๑๔๐๕ โถกํ วิสทิสํ)ฯ

    ‘‘Katame dhammā dassanena pahātabbāti? Cattāro diṭṭhigatasampayuttacittuppādā vicikicchāsahagato cittuppādo apāyagamanīyo lobho doso moho māno tadekaṭṭhā ca kilesā’’ti (dha. sa. 1405 thokaṃ visadisaṃ).

    น ปเนสา วิจิกิจฺฉาสงฺขาตา กงฺขาติ, กินฺตุ ปญฺญตฺติอชานนํ นามฯ เถโร ปน ภควนฺตํ พุทฺธวํสํ ปุจฺฉิตุกาโม, โส ปน พุทฺธานํเยว วิสโย, น ปเจฺจกพุทฺธพุทฺธสาวกานํ, ตสฺมา เถโร อวิสยตฺตา เอวมาหาติ เวทิตพฺพํฯ วิโนทยิสฺสามาติ วิโนเทสฺสามฯ

    Na panesā vicikicchāsaṅkhātā kaṅkhāti, kintu paññattiajānanaṃ nāma. Thero pana bhagavantaṃ buddhavaṃsaṃ pucchitukāmo, so pana buddhānaṃyeva visayo, na paccekabuddhabuddhasāvakānaṃ, tasmā thero avisayattā evamāhāti veditabbaṃ. Vinodayissāmāti vinodessāma.

    อถ โข เต ภิกฺขู เถรสฺส วจนํ สุตฺวา อตฺตโน อตฺตโน ปตฺตจีวรมาทาย สุวมฺมิตา วิย มหานาคา ปภินฺนกิเลสา ฉินฺนพนฺธนา อปฺปิจฺฉา สนฺตุฎฺฐา ปวิวิตฺตา อสํสฎฺฐา สีลสมาธิปญฺญาวิมุตฺติวิมุตฺติญาณทสฺสนสมฺปนฺนา ตรมานา สนฺนิปตฺติํสุฯ เตน วุตฺตํ –

    Atha kho te bhikkhū therassa vacanaṃ sutvā attano attano pattacīvaramādāya suvammitā viya mahānāgā pabhinnakilesā chinnabandhanā appicchā santuṭṭhā pavivittā asaṃsaṭṭhā sīlasamādhipaññāvimuttivimuttiñāṇadassanasampannā taramānā sannipattiṃsu. Tena vuttaṃ –

    ๔๙.

    49.

    ‘‘สาธูติ เต ปฎิสฺสุตฺวา, นิปกา สํวุตินฺทฺริยา;

    ‘‘Sādhūti te paṭissutvā, nipakā saṃvutindriyā;

    ปตฺตจีวรมาทาย, ตรมานา อุปาคมุ’’นฺติฯ

    Pattacīvaramādāya, taramānā upāgamu’’nti.

    ตตฺถ สาธูติ อยํ สาธุ-สโทฺท อายาจนสมฺปฎิจฺฉนสมฺปหํสนสุนฺทราทีสุ ทิสฺสติฯ ตถา เหส – ‘‘สาธุ เม, ภเนฺต ภควา, สํขิเตฺตน ธมฺมํ เทเสตู’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๔.๙๕; ๕.๓๘๒; อ. นิ. ๔.๒๕๗) อายาจเน ทิสฺสติฯ ‘‘สาธุ, ภเนฺตติ โข โส ภิกฺขุ ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๘๖) สมฺปฎิจฺฉเนฯ ‘‘สาธุ สาธุ, สาริปุตฺตา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๓.๓๔๙) สมฺปหํสเนฯ

    Tattha sādhūti ayaṃ sādhu-saddo āyācanasampaṭicchanasampahaṃsanasundarādīsu dissati. Tathā hesa – ‘‘sādhu me, bhante bhagavā, saṃkhittena dhammaṃ desetū’’tiādīsu (saṃ. ni. 4.95; 5.382; a. ni. 4.257) āyācane dissati. ‘‘Sādhu, bhanteti kho so bhikkhu bhagavato bhāsitaṃ abhinanditvā anumoditvā’’tiādīsu (ma. ni. 3.86) sampaṭicchane. ‘‘Sādhu sādhu, sāriputtā’’tiādīsu (dī. ni. 3.349) sampahaṃsane.

    ‘‘สาธุ ธมฺมรุจิ ราชา, สาธุ ปญฺญาณวา นโร;

    ‘‘Sādhu dhammaruci rājā, sādhu paññāṇavā naro;

    สาธุ มิตฺตานมทฺทุโพฺภ, ปาปสฺสากรณํ สุข’’นฺติฯ –

    Sādhu mittānamaddubbho, pāpassākaraṇaṃ sukha’’nti. –

    อาทีสุ (ชา. ๒.๑๘.๑๐๑) สุนฺทเรฯ อิธ สมฺปฎิจฺฉเนฯ ตสฺมา สาธุ สุฎฺฐูติ เถรสฺส วจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวาติ อโตฺถ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๘๙; ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑ สุตฺตนิเกฺขปวณฺณนา; สํ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๑๕ อคฺคิกภารทฺวาชสุตฺตวณฺณนา)ฯ นิปกาติ ปณฺฑิตา ปญฺญวนฺตาฯ สํวุตินฺทฺริยาติ อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวารา, อินฺทฺริยสํวรสมนฺนาคตาติ อโตฺถฯ ตรมานาติ ตุริตาฯ อุปาคมุนฺติ เถรํ อุปสงฺกมิํสุฯ

    Ādīsu (jā. 2.18.101) sundare. Idha sampaṭicchane. Tasmā sādhu suṭṭhūti therassa vacanaṃ sampaṭicchitvāti attho (dī. ni. aṭṭha. 1.189; ma. ni. aṭṭha. 1.1 suttanikkhepavaṇṇanā; saṃ. ni. aṭṭha. 1.115 aggikabhāradvājasuttavaṇṇanā). Nipakāti paṇḍitā paññavantā. Saṃvutindriyāti indriyesu guttadvārā, indriyasaṃvarasamannāgatāti attho. Taramānāti turitā. Upāgamunti theraṃ upasaṅkamiṃsu.

    ๕๐-๑. อิทานิ ธมฺมเสนาปติสฺส ปวตฺติํ ทเสฺสเนฺตหิ สงฺคีติการเกหิ ‘‘ขีณาสเวหิ วิมเลหี’’ติอาทิคาถาโย วุตฺตา ตตฺถ ทเนฺตหีติ กาเยน จ จิเตฺตน จ ทเนฺตหิฯ อุตฺตเม ทเมติ อรหเตฺต, นิมิตฺตเตฺถ ภุมฺมํ ทฎฺฐพฺพํฯ เตหิ ภิกฺขูหีติ ปญฺจหิ ภิกฺขุสเตหิฯ มหาคณีติ สีลาทีหิ จ สงฺขฺยาวเสน จ มหโนฺต คโณ อสฺส อตฺถีติ มหาคณี, นานาปทวเสน วา สีลาทีหิ คุเณหิ มหโนฺต คโณติ มหาคโณ, มหาคโณ อสฺส อตฺถีติ มหาคณีฯ ลฬโนฺต เทโวว คคเนติ อิทฺธิวิลาเสน วิลาเสโนฺต เทโว วิย คคนตเล ภควนฺตํ อุปสงฺกมีติ อโตฺถฯ

    50-1. Idāni dhammasenāpatissa pavattiṃ dassentehi saṅgītikārakehi ‘‘khīṇāsavehi vimalehī’’tiādigāthāyo vuttā tattha dantehīti kāyena ca cittena ca dantehi. Uttame dameti arahatte, nimittatthe bhummaṃ daṭṭhabbaṃ. Tehi bhikkhūhīti pañcahi bhikkhusatehi. Mahāgaṇīti sīlādīhi ca saṅkhyāvasena ca mahanto gaṇo assa atthīti mahāgaṇī, nānāpadavasena vā sīlādīhi guṇehi mahanto gaṇoti mahāgaṇo, mahāgaṇo assa atthīti mahāgaṇī. Laḷanto devova gaganeti iddhivilāsena vilāsento devo viya gaganatale bhagavantaṃ upasaṅkamīti attho.

    ๕๒. อิทานิ ‘‘เต อิตฺถมฺภูตา อุปสงฺกมิํสู’’ติ อุปสงฺกมวิธานทสฺสนตฺถํ ‘‘อุกฺกาสิตญฺจ ขิปิต’’นฺติอาทิ อารทฺธํฯ ตตฺถ อุกฺกาสิตญฺจาติ อุกฺกาสิตสทฺทญฺจฯ ขิปิตนฺติ ขิปิตสทฺทญฺจฯ อชฺฌุเปกฺขิยาติ อุเปกฺขิตฺวา, ตํ อุภยํ อกตฺวาติ อธิปฺปาโยฯ สุพฺพตาติ สุวิมลธุตคุณาฯ สปฺปติสฺสาติ สหปติสฺสยา, นีจวุตฺติโนติ อโตฺถฯ

    52. Idāni ‘‘te itthambhūtā upasaṅkamiṃsū’’ti upasaṅkamavidhānadassanatthaṃ ‘‘ukkāsitañca khipita’’ntiādi āraddhaṃ. Tattha ukkāsitañcāti ukkāsitasaddañca. Khipitanti khipitasaddañca. Ajjhupekkhiyāti upekkhitvā, taṃ ubhayaṃ akatvāti adhippāyo. Subbatāti suvimaladhutaguṇā. Sappatissāti sahapatissayā, nīcavuttinoti attho.

    ๕๓. สยมฺภุนฺติ สยเมว อญฺญาปเทสํ วินา ปารมิโย ปูเรตฺวา อธิคตพุทฺธภาวนฺติ อโตฺถฯ อจฺจุคฺคตนฺติ อภินโวทิตํฯ จนฺทํ วาติ จนฺทํ วิย, นเภ ชลนฺตํ ภควนฺตํ คคเน จนฺทํ วิย ปสฺสนฺตีติ เอวํ ปทสมฺพโนฺธ ทฎฺฐโพฺพฯ อิธาปิ ยถา-สโทฺท นิปาตมโตฺตวฯ

    53.Sayambhunti sayameva aññāpadesaṃ vinā pāramiyo pūretvā adhigatabuddhabhāvanti attho. Accuggatanti abhinavoditaṃ. Candaṃ vāti candaṃ viya, nabhe jalantaṃ bhagavantaṃ gagane candaṃ viya passantīti evaṃ padasambandho daṭṭhabbo. Idhāpi yathā-saddo nipātamattova.

    ๕๔. วิชฺชุํ วาติ วิชฺชุฆนํ วิยฯ ยทิ จิรฎฺฐิติกา อจิรปฺปภา อสฺส ตาทิสนฺติ อโตฺถฯ คคเน ยถาติ อากาเส ยถา, อิธาปิ ยถา-สโทฺท นิปาตมโตฺตวฯ อิโต ปรมฺปิ อีทิเสสุ ฐาเนสุ ยถา-สโทฺท นิปาตมโตฺตติ ทฎฺฐโพฺพฯ

    54.Vijjuṃ vāti vijjughanaṃ viya. Yadi ciraṭṭhitikā acirappabhā assa tādisanti attho. Gagane yathāti ākāse yathā, idhāpi yathā-saddo nipātamattova. Ito parampi īdisesu ṭhānesu yathā-saddo nipātamattoti daṭṭhabbo.

    ๕๕. รหทมิว วิปฺปสนฺนนฺติ อติคมฺภีรวิตฺถตํ มหารหทํ วิย อนาวิลํ วิปฺปสนฺนํ สลิลํฯ สุผุลฺลํ ปทุมํ ยถาติ สุวิกสิตปทุมวนํ รหทมิวาติ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ‘‘สุผุลฺลํ กมลํ ยถา’’ติปิ ปาโฐ, ตสฺส กมนียภาเวน สุผุลฺลํ กมลวนมิวาติ อโตฺถฯ

    55.Rahadamiva vippasannanti atigambhīravitthataṃ mahārahadaṃ viya anāvilaṃ vippasannaṃ salilaṃ. Suphullaṃ padumaṃ yathāti suvikasitapadumavanaṃ rahadamivāti attho daṭṭhabbo. ‘‘Suphullaṃ kamalaṃ yathā’’tipi pāṭho, tassa kamanīyabhāvena suphullaṃ kamalavanamivāti attho.

    ๕๖. อถ เต ภิกฺขู ธมฺมเสนาปติปฺปมุขา อญฺชลิํ สิรสิ กตฺวา ทสพลสฺส จกฺกาลงฺกตตเลสุ ปาเทสุ นิปติํสูติ อโตฺถฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวาน, ตุฎฺฐหฎฺฐา ปโมทิตา’’ติอาทิฯ ตตฺถ นิปตนฺตีติ นิปติํสุ, วนฺทิํสูติ อโตฺถฯ จกฺกลกฺขเณติ จกฺกํ ลกฺขณํ ยสฺมิํ ปาเท โส ปาโท จกฺกลกฺขโณ, ตสฺมิํ จกฺกลกฺขเณฯ ชาติวเสน ‘‘ปาเท’’ติ วุตฺตํ, สตฺถุโน จกฺกาลงฺกตตเลสุ ปาเทสุ นิปติํสูติ อโตฺถฯ

    56. Atha te bhikkhū dhammasenāpatippamukhā añjaliṃ sirasi katvā dasabalassa cakkālaṅkatatalesu pādesu nipatiṃsūti attho. Tena vuttaṃ – ‘‘añjaliṃ paggahetvāna, tuṭṭhahaṭṭhā pamoditā’’tiādi. Tattha nipatantīti nipatiṃsu, vandiṃsūti attho. Cakkalakkhaṇeti cakkaṃ lakkhaṇaṃ yasmiṃ pāde so pādo cakkalakkhaṇo, tasmiṃ cakkalakkhaṇe. Jātivasena ‘‘pāde’’ti vuttaṃ, satthuno cakkālaṅkatatalesu pādesu nipatiṃsūti attho.

    ๕๗. อิทานิ เตสํ เกสญฺจิ เถรานํ นามํ ทเสฺสเนฺตหิ ‘‘สาริปุโตฺต มหาปโญฺญ, โกรณฺฑสมสาทิโส’’ติอาทิ คาถาโย วุตฺตาฯ ตตฺถ โกรณฺฑสมสาทิโสติ โกรณฺฑกุสุมสทิสวโณฺณ, ยทิ เอวํ ‘‘โกรณฺฑสโม’’ติ วา, ‘‘โกรณฺฑสทิโส’’ติ วา วตฺตพฺพํ, กิํ ทฺวิกฺขตฺตุํ ‘‘สมสาทิโส’’ติ วุตฺตนฺติ เจ? นายํ โทโส, ตาทิโส โกรณฺฑสมตฺตา โกรณฺฑสทิสภาเวเนว โกรณฺฑสมสาทิโสฯ น ปนาธิกวจนวเสนาติ อธิปฺปาโยฯ สมาธิชฺฌานกุสโลติ เอตฺถ อยํ กุสล-สโทฺท ตาว อโรคฺยานวชฺชเฉกสุขวิปากาทีสุ ทิสฺสติฯ อยญฺหิ ‘‘กจฺจิ นุ โภโต กุสลํ, กจฺจิ โภโต อนามย’’นฺติอาทีสุ (ชา. ๑.๑๕.๑๔๖; ๒.๒๐.๑๒๙) อาโรเคฺย ทิสฺสติฯ ‘‘กตโม ปน, ภเนฺต, กายสมาจาโร กุสโล ? โย โข, มหาราช, กายสมาจาโร อนวโชฺช’’ติ (ม. นิ. ๒.๓๖๑) เอวมาทีสุ อนวเชฺชฯ ‘‘กุสโล ตฺวํ รถสฺส องฺคปจฺจงฺคาน’’นฺติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๘๗) เฉเกฯ ‘‘กุสลสฺส กมฺมสฺส กตตฺตา อุปจิตตฺตา’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๔๓๑ อาทโย) สุขวิปาเกฯ อิธ ปน เฉเก ทฎฺฐโพฺพฯ วนฺทเตติ วนฺทิตฺถฯ

    57. Idāni tesaṃ kesañci therānaṃ nāmaṃ dassentehi ‘‘sāriputto mahāpañño, koraṇḍasamasādiso’’tiādi gāthāyo vuttā. Tattha koraṇḍasamasādisoti koraṇḍakusumasadisavaṇṇo, yadi evaṃ ‘‘koraṇḍasamo’’ti vā, ‘‘koraṇḍasadiso’’ti vā vattabbaṃ, kiṃ dvikkhattuṃ ‘‘samasādiso’’ti vuttanti ce? Nāyaṃ doso, tādiso koraṇḍasamattā koraṇḍasadisabhāveneva koraṇḍasamasādiso. Na panādhikavacanavasenāti adhippāyo. Samādhijjhānakusaloti ettha ayaṃ kusala-saddo tāva arogyānavajjachekasukhavipākādīsu dissati. Ayañhi ‘‘kacci nu bhoto kusalaṃ, kacci bhoto anāmaya’’ntiādīsu (jā. 1.15.146; 2.20.129) ārogye dissati. ‘‘Katamo pana, bhante, kāyasamācāro kusalo ? Yo kho, mahārāja, kāyasamācāro anavajjo’’ti (ma. ni. 2.361) evamādīsu anavajje. ‘‘Kusalo tvaṃ rathassa aṅgapaccaṅgāna’’ntiādīsu (ma. ni. 2.87) cheke. ‘‘Kusalassa kammassa katattā upacitattā’’tiādīsu (dha. sa. 431 ādayo) sukhavipāke. Idha pana cheke daṭṭhabbo. Vandateti vandittha.

    ๕๘. คชฺชิตาติ คชฺชนฺตีติ คชฺชิตาฯ กาลเมโฆ วาติ นีลสลิลธโร วิย คชฺชิตา อิทฺธิวิสเยติ อธิปฺปาโยฯ นีลุปฺปลสมสาทิโสติ นีลกุวลยสทิสวโณฺณฯ เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนเวตฺถาปิ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ โมคฺคลฺลาโนติ เอวํ โคตฺตวเสน ลทฺธนาโม โกลิโตฯ

    58.Gajjitāti gajjantīti gajjitā. Kālamegho vāti nīlasaliladharo viya gajjitā iddhivisayeti adhippāyo. Nīluppalasamasādisoti nīlakuvalayasadisavaṇṇo. Heṭṭhā vuttanayenevetthāpi attho veditabbo. Moggallānoti evaṃ gottavasena laddhanāmo kolito.

    ๕๙. มหากสฺสโปปิ จาติ อุรุเวลกสฺสปนทีกสฺสปคยากสฺสปกุมารกสฺสเป ขุทฺทานุขุทฺทเก เถเร อุปาทาย อยํ มหา, ตสฺมา ‘‘มหากสฺสโป’’ติ วุโตฺตฯ ปิ จาติ สมฺภาวนสมฺปิณฺฑนโตฺถฯ อุตฺตตฺตกนกสนฺนิโภติ สนฺตตฺตสุวณฺณสทิสฉวิวโณฺณฯ ธุตคุเณติ เอตฺถ กิเลสธุนนโต ธโมฺม ธุโต นาม, ธุตคุโณ นาม ธุตธโมฺมฯ กตโม ปน ธุตธโมฺม นาม? อปฺปิจฺฉตา, สนฺตุฎฺฐิตา, สเลฺลขตา, ปวิเวกตา, อิทมฎฺฐิกตาติ อิเม ธุตงฺคเจตนาย ปริวารภูตา ปญฺจ ธมฺมา ‘‘อปฺปิจฺฉํเยว นิสฺสายา’’ติอาทิวจนโต ธุตธมฺมา นามฯ อถ วา กิเลเส ธุนนโต ญาณํ ธุตํ นาม, ตสฺมิํ ธุตคุเณฯ อคฺคนิกฺขิโตฺตติ อโคฺค เสโฎฺฐ โกฎิภูโตติ ฐปิโตฯ ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ ธุตวาทานํ ยทิทํ มหากสฺสโป’’ติ (อ. นิ. ๑.๑๘๘, ๑๙๑) ฐานนฺตเร ฐปิโตติ อโตฺถฯ อยํ ปน อคฺค-สโทฺท อาทิโกฎิโกฎฺฐาสเสฎฺฐาทีสุ ทิสฺสติฯ ตถา เหส – ‘‘อชฺชตเคฺค, สมฺม โทวาริก , อาวรามิ ทารํ นิคณฺฐานํ นิคณฺฐีน’’นฺติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๗๐) อาทิมฺหิ ทิสฺสติฯ ‘‘เตเนว องฺคุลเคฺคน ตํ องฺคุลคฺคํ ปรามเสยฺย’’ (กถา. ๔๔๑), ‘‘อุจฺฉคฺคํ เวฬคฺค’’นฺติอาทีสุ โกฎิยํฯ ‘‘อมฺพิลคฺคํ วา มธุรคฺคํ วา’’ (สํ. นิ. ๕.๓๗๔) ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, วิหารเคฺคน วา ปริเวณเคฺคน วา ภาเชตุ’’นฺติอาทีสุ (จูฬว. ๓๑๘) โกฎฺฐาเสฯ ‘‘ยาวตา, ภิกฺขเว, สตฺตา อปทา วา ทฺวิปทา วา…เป.… ตถาคโต เตสํ อคฺคมกฺขายตี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๔.๓๔) เสเฎฺฐฯ สฺวายมิธ เสเฎฺฐ ทฎฺฐโพฺพฯ โกฎิยมฺปิ วตฺตติฯ เถโร อตฺตโน ฐาเน เสโฎฺฐ เจว โกฎิภูโต จฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อคฺคนิกฺขิโตฺต’’ติ, อโคฺค เสโฎฺฐ โกฎิภูโตติ อโตฺถ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๒๕๐ สรณคมนกถา; ปารา. อฎฺฐ. ๑.๑๕)ฯ โถมิโตติ ปสํสิโต เทวมนุสฺสาทีหิฯ สตฺถุ วณฺณิโตติ สตฺถารา วณฺณิโต ถุโต, ‘‘กสฺสโป, ภิกฺขเว, จนฺทูปโม กุลานิ อุปสงฺกมติ อปกเสฺสว กายํ อปกสฺส จิตฺตํ นิจฺจนวโก กุเลสุ อปฺปคโพฺภ’’ติ เอวมาทีหิ อเนเกหิ สุตฺตนเยหิ (สํ. นิ. ๒.๑๔๖) วณฺณิโต ปสโตฺถ, โสปิ ภควนฺตํ วนฺทตีติ อโตฺถฯ

    59.Mahākassapopi cāti uruvelakassapanadīkassapagayākassapakumārakassape khuddānukhuddake there upādāya ayaṃ mahā, tasmā ‘‘mahākassapo’’ti vutto. Pi cāti sambhāvanasampiṇḍanattho. Uttattakanakasannibhoti santattasuvaṇṇasadisachavivaṇṇo. Dhutaguṇeti ettha kilesadhunanato dhammo dhuto nāma, dhutaguṇo nāma dhutadhammo. Katamo pana dhutadhammo nāma? Appicchatā, santuṭṭhitā, sallekhatā, pavivekatā, idamaṭṭhikatāti ime dhutaṅgacetanāya parivārabhūtā pañca dhammā ‘‘appicchaṃyeva nissāyā’’tiādivacanato dhutadhammā nāma. Atha vā kilese dhunanato ñāṇaṃ dhutaṃ nāma, tasmiṃ dhutaguṇe. Agganikkhittoti aggo seṭṭho koṭibhūtoti ṭhapito. ‘‘Etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ dhutavādānaṃ yadidaṃ mahākassapo’’ti (a. ni. 1.188, 191) ṭhānantare ṭhapitoti attho. Ayaṃ pana agga-saddo ādikoṭikoṭṭhāsaseṭṭhādīsu dissati. Tathā hesa – ‘‘ajjatagge, samma dovārika , āvarāmi dāraṃ nigaṇṭhānaṃ nigaṇṭhīna’’ntiādīsu (ma. ni. 2.70) ādimhi dissati. ‘‘Teneva aṅgulaggena taṃ aṅgulaggaṃ parāmaseyya’’ (kathā. 441), ‘‘ucchaggaṃ veḷagga’’ntiādīsu koṭiyaṃ. ‘‘Ambilaggaṃ vā madhuraggaṃ vā’’ (saṃ. ni. 5.374) ‘‘anujānāmi, bhikkhave, vihāraggena vā pariveṇaggena vā bhājetu’’ntiādīsu (cūḷava. 318) koṭṭhāse. ‘‘Yāvatā, bhikkhave, sattā apadā vā dvipadā vā…pe… tathāgato tesaṃ aggamakkhāyatī’’tiādīsu (a. ni. 4.34) seṭṭhe. Svāyamidha seṭṭhe daṭṭhabbo. Koṭiyampi vattati. Thero attano ṭhāne seṭṭho ceva koṭibhūto ca. Tena vuttaṃ – ‘‘agganikkhitto’’ti, aggo seṭṭho koṭibhūtoti attho (dī. ni. aṭṭha. 1.250 saraṇagamanakathā; pārā. aṭṭha. 1.15). Thomitoti pasaṃsito devamanussādīhi. Satthu vaṇṇitoti satthārā vaṇṇito thuto, ‘‘kassapo, bhikkhave, candūpamo kulāni upasaṅkamati apakasseva kāyaṃ apakassa cittaṃ niccanavako kulesu appagabbho’’ti evamādīhi anekehi suttanayehi (saṃ. ni. 2.146) vaṇṇito pasattho, sopi bhagavantaṃ vandatīti attho.

    ๖๐. ทิพฺพจกฺขูนนฺติ ทิพฺพํ จกฺขุ เยสํ อตฺถิ เต ทิพฺพจกฺขู, เตสํ ทิพฺพจกฺขูนํ ภิกฺขูนํ อโคฺค เสโฎฺฐติ อโตฺถฯ ยถาห – ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ ทิพฺพจกฺขุกานํ ยทิทํ อนุรุโทฺธ’’ติ (อ. นิ. ๑.๑๘๘, ๑๙๒)ฯ อนุรุทฺธเตฺถโร ภควโต จูฬปิตุโน อมิโตทนสฺส นาม สกฺกสฺส ปุโตฺต มหานามสฺส กนิฎฺฐภาตา มหาปุโญฺญ ปรมสุขุมาโล, โส อตฺตสตฺตโม นิกฺขมิตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต, ตสฺส ปพฺพชฺชานุกฺกโม สงฺฆเภทกกฺขนฺธเก (จูฬว. ๓๓๐ อาทโย) อาคโตวฯ อวิทูเร วาติ ภควโต สนฺติเกเยวฯ

    60.Dibbacakkhūnanti dibbaṃ cakkhu yesaṃ atthi te dibbacakkhū, tesaṃ dibbacakkhūnaṃ bhikkhūnaṃ aggo seṭṭhoti attho. Yathāha – ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ dibbacakkhukānaṃ yadidaṃ anuruddho’’ti (a. ni. 1.188, 192). Anuruddhatthero bhagavato cūḷapituno amitodanassa nāma sakkassa putto mahānāmassa kaniṭṭhabhātā mahāpuñño paramasukhumālo, so attasattamo nikkhamitvā agārasmā anagāriyaṃ pabbajito, tassa pabbajjānukkamo saṅghabhedakakkhandhake (cūḷava. 330 ādayo) āgatova. Avidūre vāti bhagavato santikeyeva.

    ๖๑. อาปตฺติอนาปตฺติยาติ อาปตฺติยญฺจ อนาปตฺติยญฺจ โกวิโทฯ สเตกิจฺฉายาติ สปฺปฎิกมฺมายปิ อปฺปฎิกมฺมายปิ จาติ อโตฺถฯ ตตฺถ สปฺปฎิกมฺมา สา ฉพฺพิธา โหติ, อปฺปฎิกมฺมา สา ปาราชิกาปตฺติฯ ‘‘อาปตฺติอนาปตฺติยา, สเตกิจฺฉาย โกวิโท’’ติปิ ปาโฐ, โสเยว อโตฺถฯ วินเยติ วินยปิฎเกฯ อคฺคนิกฺขิโตฺตติ ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว , มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ วินยธรานํ ยทิทํ, อุปาลี’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๑๙, ๒๒๘) เอตทคฺคฎฺฐาเน ฐปิโตติ อโตฺถฯ อุปาลีติ อุปาลิเตฺถโรฯ สตฺถุ วณฺณิโตติ สตฺถารา วณฺณิโต ปสโตฺถฯ เถโร กิร ตถาคตเสฺสว สนฺติเก วินยปิฎกํ อุคฺคณฺหิตฺวา ภารุกจฺฉกวตฺถุํ (ปารา. ๗๘), อชฺชุกวตฺถุํ (ปารา. ๑๕๘), กุมารกสฺสปวตฺถุนฺติ (ม. นิ. ๑.๒๔๙) อิมานิ ตีณิ วตฺถูนิ สพฺพญฺญุตญฺญาเณน สทฺธิํ สํสนฺทิตฺวา กเถสิฯ ตสฺมา เถโร วินยธรานํ อโคฺคติ เอวมาทินา นเยน สตฺถารา วณฺณิโตติ วุโตฺตฯ

    61.Āpattianāpattiyāti āpattiyañca anāpattiyañca kovido. Satekicchāyāti sappaṭikammāyapi appaṭikammāyapi cāti attho. Tattha sappaṭikammā sā chabbidhā hoti, appaṭikammā sā pārājikāpatti. ‘‘Āpattianāpattiyā, satekicchāya kovido’’tipi pāṭho, soyeva attho. Vinayeti vinayapiṭake. Agganikkhittoti ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave , mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ vinayadharānaṃ yadidaṃ, upālī’’ti (a. ni. 1.219, 228) etadaggaṭṭhāne ṭhapitoti attho. Upālīti upālitthero. Satthu vaṇṇitoti satthārā vaṇṇito pasattho. Thero kira tathāgatasseva santike vinayapiṭakaṃ uggaṇhitvā bhārukacchakavatthuṃ (pārā. 78), ajjukavatthuṃ (pārā. 158), kumārakassapavatthunti (ma. ni. 1.249) imāni tīṇi vatthūni sabbaññutaññāṇena saddhiṃ saṃsanditvā kathesi. Tasmā thero vinayadharānaṃ aggoti evamādinā nayena satthārā vaṇṇitoti vutto.

    ๖๒. สุขุมนิปุณตฺถปฎิวิโทฺธติ ปฎิวิทฺธสุขุมนิปุณโตฺถ, ปฎิวิทฺธทุทฺทสนิปุณโตฺถติ อโตฺถฯ กถิกานํ ปวโรติ ธมฺมกถิกานํ เสโฎฺฐฯ ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ ธมฺมกถิกานํ ยทิทํ ปุโณฺณ มนฺตาณิปุโตฺต’’ติ (อ. นิ. ๑.๑๘๘, ๑๙๖) เอตทคฺคปาฬิยํ อาโรปิโตฯ เตน วุตฺตํ ‘‘กถิกานํ ปวโร’’ติฯ คณีติ สสโงฺฆฯ เถรสฺส กิร สนฺติเก ปพฺพชิตา กุลปุตฺตา ปญฺจสตา อเหสุํฯ สเพฺพปิ เต ทสพลสฺส ชาตภูมิกา ชาตรฎฺฐวาสิโน สเพฺพว ขีณาสวา สเพฺพว ทสกถาวตฺถุลาภิโนฯ เตน วุตฺตํ ‘‘คณี’’ติฯ อิสีติ เอสติ คเวสติ กุสเล ธเมฺมติ อิสิฯ มนฺตาณิยา ปุโตฺตติ มนฺตาณิยา นาม พฺราหฺมณิยา ปุโตฺตฯ ปุโณฺณติ ตสฺส นามํฯ วิสฺสุโตติ อตฺตโน อปฺปิจฺฉตาทีหิ คุเณหิ วิสฺสุโตฯ

    62.Sukhumanipuṇatthapaṭividdhoti paṭividdhasukhumanipuṇattho, paṭividdhaduddasanipuṇatthoti attho. Kathikānaṃ pavaroti dhammakathikānaṃ seṭṭho. ‘‘Etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ dhammakathikānaṃ yadidaṃ puṇṇo mantāṇiputto’’ti (a. ni. 1.188, 196) etadaggapāḷiyaṃ āropito. Tena vuttaṃ ‘‘kathikānaṃ pavaro’’ti. Gaṇīti sasaṅgho. Therassa kira santike pabbajitā kulaputtā pañcasatā ahesuṃ. Sabbepi te dasabalassa jātabhūmikā jātaraṭṭhavāsino sabbeva khīṇāsavā sabbeva dasakathāvatthulābhino. Tena vuttaṃ ‘‘gaṇī’’ti. Isīti esati gavesati kusale dhammeti isi. Mantāṇiyā puttoti mantāṇiyā nāma brāhmaṇiyā putto. Puṇṇoti tassa nāmaṃ. Vissutoti attano appicchatādīhi guṇehi vissuto.

    อญฺญาสิโกณฺฑญฺญเตฺถโร ปน สตฺถริ อภิสโมฺพธิํ ปตฺวา ปวตฺติตวรธมฺมจเกฺก อนุปุเพฺพน อาคนฺตฺวา ราชคหํ อุปนิสฺสาย วิหรเนฺต กปิลวตฺถุํ อาคนฺตฺวา อตฺตโน ภาคิเนยฺยํ ปุณฺณํ นาม มาณวํ ปพฺพาเชตฺวา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา อาปุจฺฉิตฺวา นิวาสตฺถาย สยํ ฉทฺทนฺตทหํ คโตฯ ปุโณฺณ ปน ภควนฺตํ ทสฺสนาย เถเรน สทฺธิํ อาคนฺตฺวา – ‘‘มยฺหํ ปพฺพชิตกิจฺจํ มตฺถกํ ปาเปตฺวาว ทสพลสฺส สนฺติกํ คมิสฺสามี’’ติ กปิลปุเรเยว โอหีโน, โส โยนิโสมนสิการํ กโรโนฺต นจิรเสฺสว อรหตฺตํ ปตฺวา ภควนฺตํ อุปสงฺกมิฯ เอตฺถ ปน อนุรุทฺธเตฺถโรอุปาลิเตฺถโร จ อิเม เทฺว เถรา ภควโต กปิลวตฺถุปุรํ ปวิสิตฺวา ญาติสมาคมทิวเส ปพฺพชิตา วิย ทสฺสิตา, ตํ ปน ขนฺธกปาฬิยา อฎฺฐกถาย จ น สเมติฯ วีมํสิตฺวา คเหตพฺพํฯ

    Aññāsikoṇḍaññatthero pana satthari abhisambodhiṃ patvā pavattitavaradhammacakke anupubbena āgantvā rājagahaṃ upanissāya viharante kapilavatthuṃ āgantvā attano bhāgineyyaṃ puṇṇaṃ nāma māṇavaṃ pabbājetvā bhagavantaṃ vanditvā āpucchitvā nivāsatthāya sayaṃ chaddantadahaṃ gato. Puṇṇo pana bhagavantaṃ dassanāya therena saddhiṃ āgantvā – ‘‘mayhaṃ pabbajitakiccaṃ matthakaṃ pāpetvāva dasabalassa santikaṃ gamissāmī’’ti kapilapureyeva ohīno, so yonisomanasikāraṃ karonto nacirasseva arahattaṃ patvā bhagavantaṃ upasaṅkami. Ettha pana anuruddhatthero ca upālitthero ca ime dve therā bhagavato kapilavatthupuraṃ pavisitvā ñātisamāgamadivase pabbajitā viya dassitā, taṃ pana khandhakapāḷiyā aṭṭhakathāya ca na sameti. Vīmaṃsitvā gahetabbaṃ.

    อถ สตฺถา สาริปุตฺตเตฺถราทีนํ ปญฺจนฺนํ ภิกฺขุสตานํ จิตฺตาจารมญฺญาย อตฺตโน คุเณ กเถตุมารภิฯ เตน วุตฺตํ –

    Atha satthā sāriputtattherādīnaṃ pañcannaṃ bhikkhusatānaṃ cittācāramaññāya attano guṇe kathetumārabhi. Tena vuttaṃ –

    ๖๓.

    63.

    ‘‘เอเตสํ จิตฺตมญฺญาย, โอปมฺมกุสโล มุนิ;

    ‘‘Etesaṃ cittamaññāya, opammakusalo muni;

    กงฺขเจฺฉโท มหาวีโร, กเถสิ อตฺตโน คุณ’’นฺติฯ

    Kaṅkhacchedo mahāvīro, kathesi attano guṇa’’nti.

    ตตฺถ โอปมฺมกุสโลติ อุปมาย กุสโลฯ กงฺขเจฺฉโทติ สพฺพสตฺตานํ สํสยเจฺฉทโกฯ

    Tattha opammakusaloti upamāya kusalo. Kaṅkhacchedoti sabbasattānaṃ saṃsayacchedako.

    อิทานิ เต อตฺตโน คุเณ กเถสิ, เต ทเสฺสตุํ –

    Idāni te attano guṇe kathesi, te dassetuṃ –

    ๖๔.

    64.

    ‘‘จตฺตาโร เต อสเงฺขฺยยฺยา, โกฎิ เยสํ น นายติ;

    ‘‘Cattāro te asaṅkhyeyyā, koṭi yesaṃ na nāyati;

    สตฺตกาโย จ อากาโส, จกฺกวาฬา จนนฺตกา;

    Sattakāyo ca ākāso, cakkavāḷā canantakā;

    พุทฺธญาณํ อปฺปเมยฺยํ, น สกฺกา เอเต วิชานิตุ’’นฺติฯ – วุตฺตํ;

    Buddhañāṇaṃ appameyyaṃ, na sakkā ete vijānitu’’nti. – vuttaṃ;

    ตตฺถ จตฺตาโรติ คณนปริเจฺฉโทฯ เอเตติ อิทานิ วตฺตเพฺพ อเตฺถ นิทเสฺสติฯ อสเงฺขฺยยฺยาติ สงฺขฺยาตุมสกฺกุเณยฺยตฺตา อสเงฺขฺยยฺยา, คณนปถํ วีติวตฺตาติ อโตฺถฯ โกฎีติอาทิ วา อโนฺต วา มริยาทาฯ เยสนฺติ เยสํ จตุนฺนํ อสเงฺขฺยยฺยานํฯ น นายตีติ น ปญฺญายติฯ อิทานิ เต วุตฺตปฺปกาเร จตฺตาโร อสเงฺขฺยเยฺย ทเสฺสตุํ ‘‘สตฺตกาโย’’ติอาทิ วุตฺตํฯ สตฺตกาโยติ สตฺตสมูโห, สตฺตกาโย อนโนฺต อปริมาโณ อปฺปเมโยฺยฯ ตถา อากาโส อากาสสฺสาปิ อโนฺต นตฺถิฯ ตถา จกฺกวาฬานิ อนนฺตานิ เอวฯ พุทฺธญาณํ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ อปฺปเมยฺยํฯ น สกฺกา เอเต วิชานิตุนฺติ ยสฺมา ปเนเต อนนฺตา, ตสฺมา น สกฺกา วิชานิตุํฯ

    Tattha cattāroti gaṇanaparicchedo. Eteti idāni vattabbe atthe nidasseti. Asaṅkhyeyyāti saṅkhyātumasakkuṇeyyattā asaṅkhyeyyā, gaṇanapathaṃ vītivattāti attho. Koṭītiādi vā anto vā mariyādā. Yesanti yesaṃ catunnaṃ asaṅkhyeyyānaṃ. Na nāyatīti na paññāyati. Idāni te vuttappakāre cattāro asaṅkhyeyye dassetuṃ ‘‘sattakāyo’’tiādi vuttaṃ. Sattakāyoti sattasamūho, sattakāyo ananto aparimāṇo appameyyo. Tathā ākāso ākāsassāpi anto natthi. Tathā cakkavāḷāni anantāni eva. Buddhañāṇaṃ sabbaññutaññāṇaṃ appameyyaṃ. Na sakkā ete vijānitunti yasmā panete anantā, tasmā na sakkā vijānituṃ.

    ๖๕. อิทานิ สตฺถา อตฺตโน อิทฺธิวิกุพฺพเน สญฺชาตจฺฉริยพฺภุตานํ เทวมนุสฺสาทีนํ กินฺนาเมตํ อจฺฉริยํ, อิโตปิ วิสิฎฺฐตรํ อจฺฉริยํ อพฺภุตํ อตฺถิ, มม ตํ สุณาถาติ ธมฺมเทสนํ วเฑฺฒโนฺต –

    65. Idāni satthā attano iddhivikubbane sañjātacchariyabbhutānaṃ devamanussādīnaṃ kinnāmetaṃ acchariyaṃ, itopi visiṭṭhataraṃ acchariyaṃ abbhutaṃ atthi, mama taṃ suṇāthāti dhammadesanaṃ vaḍḍhento –

    ‘‘กิเมตํ อจฺฉริยํ โลเก, ยํ เม อิทฺธิวิกุพฺพนํ;

    ‘‘Kimetaṃ acchariyaṃ loke, yaṃ me iddhivikubbanaṃ;

    อเญฺญ พหู อจฺฉริยา, อพฺภุตา โลมหํสนา’’ติฯ – อาทิมาห;

    Aññe bahū acchariyā, abbhutā lomahaṃsanā’’ti. – ādimāha;

    ตตฺถ กินฺติ ปฎิเกฺขปวจนํฯเอตนฺติ อิทํ อิทฺธิวิกุพฺพนํ สนฺธายาหฯ นฺติ อยํ ยํ-สโทฺท ‘‘ยํ ตํ อปุจฺฉิมฺห อกิตฺตยี โน, อญฺญํ ตํ ปุจฺฉาม ตทิงฺฆ พฺรูหี’’ติอาทีสุ (สุ. นิ. ๑๐๕๘; มหานิ. ๑๑๐; จูฬนิ. เมตฺตคูมาณวปุจฺฉา ๗๗) อุปโยควจเน ทิสฺสติ ฯ ‘‘อฎฺฐานเมตํ, ภิกฺขเว, อนวกาโส; ยํ เอกิสฺสา โลกธาตุยา เทฺว อรหโนฺต สมฺมาสมฺพุทฺธา’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๗๗; วิภ. ๘๐๙; มิ. ป. ๕.๑.๑) เอตฺถ การณวจเนฯ ‘‘ยํ วิปสฺสี ภควา กเปฺป อุทปาที’’ติ (ที. นิ. ๒.๔) เอตฺถ ภุเมฺมฯ ‘‘ยํ โข เม, ภเนฺต, เทวานํ ตาวติํสานํ สมฺมุขา สุตํ สมฺมุขา ปฎิคฺคหิตํ, อาโรเจมิ ตํ ภควโต’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๒๙๓) ปจฺจตฺตวจเนฯ อิธาปิ ปจฺจตฺตวจเน ทฎฺฐโพฺพ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๒.๔)ฯ อเญฺญ พหู มม อจฺฉริยา อพฺภุตวิเสสา สนฺตีติ ทีเปติฯ

    Tattha kinti paṭikkhepavacanaṃ.Etanti idaṃ iddhivikubbanaṃ sandhāyāha. Yanti ayaṃ yaṃ-saddo ‘‘yaṃ taṃ apucchimha akittayī no, aññaṃ taṃ pucchāma tadiṅgha brūhī’’tiādīsu (su. ni. 1058; mahāni. 110; cūḷani. mettagūmāṇavapucchā 77) upayogavacane dissati . ‘‘Aṭṭhānametaṃ, bhikkhave, anavakāso; yaṃ ekissā lokadhātuyā dve arahanto sammāsambuddhā’’ti (a. ni. 1.277; vibha. 809; mi. pa. 5.1.1) ettha kāraṇavacane. ‘‘Yaṃ vipassī bhagavā kappe udapādī’’ti (dī. ni. 2.4) ettha bhumme. ‘‘Yaṃ kho me, bhante, devānaṃ tāvatiṃsānaṃ sammukhā sutaṃ sammukhā paṭiggahitaṃ, ārocemi taṃ bhagavato’’tiādīsu (dī. ni. 2.293) paccattavacane. Idhāpi paccattavacane daṭṭhabbo (dī. ni. aṭṭha. 2.4). Aññe bahū mama acchariyā abbhutavisesā santīti dīpeti.

    อิทานิ เต อจฺฉริเย ทเสฺสโนฺต –

    Idāni te acchariye dassento –

    ๖๖.

    66.

    ‘‘ยทาหํ ตุสิเต กาเย, สนฺตุสิโต นามหํ ตทา;

    ‘‘Yadāhaṃ tusite kāye, santusito nāmahaṃ tadā;

    ทสสหสฺสี สมาคมฺม, ยาจนฺติ ปญฺชลี มม’’นฺติฯ – อาทิมาห;

    Dasasahassī samāgamma, yācanti pañjalī mama’’nti. – ādimāha;

    ตตฺถ ยทาติ ยสฺมิํ กาเลฯ อหนฺติ อตฺตานํ นิทฺทิสติฯ ตุสิเต กาเยติ ตุสิตสงฺขาเต เทวนิกาเยฯ ยทา ปนาหํ สมตฺติํสปารมิโย ปูเรตฺวา ปญฺจมหาปริจฺจาเค ปริจฺจชิตฺวา ญาตตฺถจริยโลกตฺถจริยพุทฺธตฺถจริยานํ โกฎิํ ปตฺวา สตฺตสตกมหาทานานิ ทตฺวา สตฺตกฺขตฺตุํ ปถวิํ กเมฺปตฺวา เวสฺสนฺตรตฺตภาวโต จวิตฺวา ทุติเย จิตฺตวาเร ตุสิตภวเน นิพฺพโตฺต ตทาปิ สนฺตุสิโต นาม เทวราชา อโหสิํฯ ทสสหสฺสี สมาคมฺมาติ ทสสหสฺสจกฺกวาเฬสุ เทวตา สนฺนิปติตฺวาติ อโตฺถฯ ยาจนฺติ ปญฺชลี มมนฺติ มํ อุปสงฺกมิตฺวา, ‘‘มาริส, ตยา ทส ปารมิโย ปูเรเนฺตน น สกฺกสมฺปตฺติํ น มาร น พฺรหฺม น จกฺกวตฺติสมฺปตฺติํ ปเตฺถเนฺตน ปูริตา, โลกนิตฺถรณตฺถาย ปน พุทฺธตฺตํ ปตฺถยมาเนน ปูริตา, โส ตว กาโล, มาริส, พุทฺธตฺตาย สมโย , มาริส, พุทฺธตฺตายา’’ติ (ชา. อฎฺฐ. ๑.นิทานกถา, อวิทูเรนิทานกถา) ยาจนฺติ มมนฺติฯ เตน วุตฺตํ –

    Tattha yadāti yasmiṃ kāle. Ahanti attānaṃ niddisati. Tusite kāyeti tusitasaṅkhāte devanikāye. Yadā panāhaṃ samattiṃsapāramiyo pūretvā pañcamahāpariccāge pariccajitvā ñātatthacariyalokatthacariyabuddhatthacariyānaṃ koṭiṃ patvā sattasatakamahādānāni datvā sattakkhattuṃ pathaviṃ kampetvā vessantarattabhāvato cavitvā dutiye cittavāre tusitabhavane nibbatto tadāpi santusito nāma devarājā ahosiṃ. Dasasahassī samāgammāti dasasahassacakkavāḷesu devatā sannipatitvāti attho. Yācanti pañjalī mamanti maṃ upasaṅkamitvā, ‘‘mārisa, tayā dasa pāramiyo pūrentena na sakkasampattiṃ na māra na brahma na cakkavattisampattiṃ patthentena pūritā, lokanittharaṇatthāya pana buddhattaṃ patthayamānena pūritā, so tava kālo, mārisa, buddhattāya samayo , mārisa, buddhattāyā’’ti (jā. aṭṭha. 1.nidānakathā, avidūrenidānakathā) yācanti mamanti. Tena vuttaṃ –

    ๖๗.

    67.

    ‘‘กาโล โข เต มหาวีร, อุปฺปชฺช มาตุกุจฺฉิยํ;

    ‘‘Kālo kho te mahāvīra, uppajja mātukucchiyaṃ;

    สเทวกํ ตารยโนฺต, พุชฺฌสฺสุ อมตํ ปท’’นฺติฯ

    Sadevakaṃ tārayanto, bujjhassu amataṃ pada’’nti.

    ตตฺถ กาโล เตติ กาโล ตว, อยเมว วา ปาโฐฯ อุปฺปชฺชาติ ปฎิสนฺธิํ คณฺห, ‘‘โอกฺกมา’’ติปิ ปาโฐฯ สเทวกนฺติ สเทวกํ โลกนฺติ อโตฺถฯ ตารยโนฺตติ เอตฺถ ปารมิโย ปูเรโนฺตปิ ตารยติ นาม, ปารมิโย มตฺถกํ ปาเปโนฺตปิ ตารยติ นาม, เวสฺสนฺตรตฺตภาวโต จวิตฺวา ตุสิตปุเร ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา สฎฺฐิวสฺสสตสหสฺสาธิกานิ สตฺตปณฺณาสวสฺสโกฎิโย ตตฺถ ติฎฺฐโนฺตปิ ตารยติ นาม, เทวตาหิ ยาจิโต ปญฺจวิธํ มหาวิโลกิตํ วิโลเกตฺวา มหามายาเทวิยา กุจฺฉิสฺมิํ ปฎิสนฺธิํ คณฺหโนฺตปิ ทสมาเส คพฺภวาสํ วสโนฺตปิ ตารยติ นาม, เอกูนติํส วสฺสานิ อคารมเชฺฌ ติฎฺฐโนฺตปิ ตารยติ นามฯ ราหุลภทฺทสฺส ชาตทิวเส ฉนฺนสหาโย กณฺฑกํ อารุยฺห นิกฺขมโนฺตปิ ตีณิ รชฺชานิ อติกฺกมิตฺวา อโนมาย นาม นทิยา ตีเร ปพฺพชโนฺตปิ ตารยติ นาม, ฉพฺพสฺสานิ ปธานํ กโรโนฺตปิ วิสาขปุณฺณมายํ มหาโพธิมณฺฑํ อารุยฺห มารพลํ วิธมิตฺวา ปฐมยาเม ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสริตฺวา มชฺฌิมยาเม ทิพฺพจกฺขุํ วิโสเธตฺวา ปจฺฉิมยาเม ทฺวาทสงฺคํ ปฎิจฺจสมุปฺปาทํ อนุโลมปฎิโลมโต สมฺมสิตฺวา โสตาปตฺติมคฺคํ ปฎิวิชฺฌโนฺตปิ ตารยติ นาม, โสตาปตฺติผลกฺขเณปิ, สกทาคามิมคฺคกฺขเณปิ, สกทาคามิผลกฺขเณปิ, อนาคามิมคฺคกฺขเณปิ, อนาคามิผลกฺขเณปิ, อรหตฺตมคฺคกฺขเณปิ, อรหตฺตผลกฺขเณปิ ตารยติ นาม, ยทา อฎฺฐารสเทวตาโกฎิสหเสฺสหิ ปญฺจวคฺคิยานํ อมตปานํ อทาสิ, ตโต ปฎฺฐาย ตารยิ นามาติ วุจฺจติฯ เตน วุตฺตํ –

    Tattha kālo teti kālo tava, ayameva vā pāṭho. Uppajjāti paṭisandhiṃ gaṇha, ‘‘okkamā’’tipi pāṭho. Sadevakanti sadevakaṃ lokanti attho. Tārayantoti ettha pāramiyo pūrentopi tārayati nāma, pāramiyo matthakaṃ pāpentopi tārayati nāma, vessantarattabhāvato cavitvā tusitapure paṭisandhiṃ gahetvā saṭṭhivassasatasahassādhikāni sattapaṇṇāsavassakoṭiyo tattha tiṭṭhantopi tārayati nāma, devatāhi yācito pañcavidhaṃ mahāvilokitaṃ viloketvā mahāmāyādeviyā kucchismiṃ paṭisandhiṃ gaṇhantopi dasamāse gabbhavāsaṃ vasantopi tārayati nāma, ekūnatiṃsa vassāni agāramajjhe tiṭṭhantopi tārayati nāma. Rāhulabhaddassa jātadivase channasahāyo kaṇḍakaṃ āruyha nikkhamantopi tīṇi rajjāni atikkamitvā anomāya nāma nadiyā tīre pabbajantopi tārayati nāma, chabbassāni padhānaṃ karontopi visākhapuṇṇamāyaṃ mahābodhimaṇḍaṃ āruyha mārabalaṃ vidhamitvā paṭhamayāme pubbenivāsaṃ anussaritvā majjhimayāme dibbacakkhuṃ visodhetvā pacchimayāme dvādasaṅgaṃ paṭiccasamuppādaṃ anulomapaṭilomato sammasitvā sotāpattimaggaṃ paṭivijjhantopi tārayati nāma, sotāpattiphalakkhaṇepi, sakadāgāmimaggakkhaṇepi, sakadāgāmiphalakkhaṇepi, anāgāmimaggakkhaṇepi, anāgāmiphalakkhaṇepi, arahattamaggakkhaṇepi, arahattaphalakkhaṇepi tārayati nāma, yadā aṭṭhārasadevatākoṭisahassehi pañcavaggiyānaṃ amatapānaṃ adāsi, tato paṭṭhāya tārayi nāmāti vuccati. Tena vuttaṃ –

    ‘‘สเทวกํ ตารยโนฺต, พุชฺฌสฺสุ อมตํ ปท’’นฺติฯ

    ‘‘Sadevakaṃ tārayanto, bujjhassu amataṃ pada’’nti.

    อถ มหาสโตฺต เทวตาหิ ยาจิยมาโนปิ เทวตานํ ปฎิญฺญํ อทตฺวาว กาลทีปเทสกุลชเนตฺติอายุปริเจฺฉทวเสน ปญฺจวิธํ มหาวิโลกนํ นาม วิโลเกสิฯ ตตฺถ ‘‘กาโล นุ โข, น กาโล’’ติ ปฐมํ กาลํ วิโลเกสิฯ ตตฺถ วสฺสสตสหสฺสโต อุทฺธํ อายุกาโล กาโล นาม น โหติฯ กสฺมา? ชาติชรามรณาทีนํ อปากฎตฺตา, พุทฺธานญฺจ ธมฺมเทสนา นาม ติลกฺขณมุตฺตา นาม นตฺถิ, เตสํ อนิจฺจํ ทุกฺขมนตฺตาติ กเถนฺตานํ ‘‘กินฺนาเมเต กเถนฺตี’’ติ น สทฺทหนฺติ, ตโต อภิสมโย น โหติ, ตสฺมิํ อสติ อนิยฺยานิกํ สาสนํ โหติ ฯ ตสฺมา โส อกาโลฯ วสฺสสตโต อูโน อายุกาโลปิ กาโล น โหติฯ กสฺมา? ตทา สตฺตา อุสฺสนฺนกิเลสา โหนฺติ, อุสฺสนฺนกิเลสานญฺจ ทิโนฺน โอวาโท โอวาทฎฺฐาเน น ติฎฺฐติ, ตสฺมา โสปิ อกาโลฯ วสฺสสตสหสฺสโต ปฎฺฐาย เหฎฺฐา วสฺสสตโต ปฎฺฐาย อุทฺธํ อายุกาโล กาโล นามฯ อิทานิ วสฺสสตายุกา มนุสฺสาติ อถ โพธิสโตฺต ‘‘นิพฺพตฺติตพฺพกาโล’’ติ อทฺทสฯ

    Atha mahāsatto devatāhi yāciyamānopi devatānaṃ paṭiññaṃ adatvāva kāladīpadesakulajanettiāyuparicchedavasena pañcavidhaṃ mahāvilokanaṃ nāma vilokesi. Tattha ‘‘kālo nu kho, na kālo’’ti paṭhamaṃ kālaṃ vilokesi. Tattha vassasatasahassato uddhaṃ āyukālo kālo nāma na hoti. Kasmā? Jātijarāmaraṇādīnaṃ apākaṭattā, buddhānañca dhammadesanā nāma tilakkhaṇamuttā nāma natthi, tesaṃ aniccaṃ dukkhamanattāti kathentānaṃ ‘‘kinnāmete kathentī’’ti na saddahanti, tato abhisamayo na hoti, tasmiṃ asati aniyyānikaṃ sāsanaṃ hoti . Tasmā so akālo. Vassasatato ūno āyukālopi kālo na hoti. Kasmā? Tadā sattā ussannakilesā honti, ussannakilesānañca dinno ovādo ovādaṭṭhāne na tiṭṭhati, tasmā sopi akālo. Vassasatasahassato paṭṭhāya heṭṭhā vassasatato paṭṭhāya uddhaṃ āyukālo kālo nāma. Idāni vassasatāyukā manussāti atha bodhisatto ‘‘nibbattitabbakālo’’ti addasa.

    ตโต ทีปํ โอโลเกโนฺต ‘‘ชมฺพุทีเปเยว พุทฺธา นิพฺพตฺตนฺตี’’ติ ทีปํ ปสฺสิฯ ตโต ชมฺพุทีโป นาม มหา ทสโยชนสหสฺสปริมาโณ, กตรสฺมิํ นุ โข ปเทเส พุทฺธา นิพฺพตฺตนฺตี’’ติ เทสํ วิโลเกโนฺต มชฺฌิมเทสํ ปสฺสิฯ ตโต กุลํ วิโลเกโนฺต ‘‘พุทฺธา นาม โลกสมฺมเต กุเล นิพฺพตฺตนฺติ, อิทานิ ขตฺติยกุลํ โลกสมฺมตํ, ตตฺถ นิพฺพตฺติสฺสามิ, สุโทฺธทโน นาม เม ราชา ปิตา ภวิสฺสตี’’ติ กุลํ อทฺทสฯ ตโต มาตรํ วิโลเกโนฺต ‘‘พุทฺธมาตา นาม โลลา สุราธุตฺตา น โหติ, อขณฺฑปญฺจสีลาติ อยญฺจ มหามายา นาม เทวี เอทิสา, อยํ เม มาตา ภวิสฺสตีติ กิตฺตกํ อสฺสา อายู’’ติ อาวเชฺชโนฺต ทสนฺนํ มาสานํ อุปริ สตฺตทิวสานิ ปสฺสิฯ อิติ อิมํ ปญฺจวิธวิโลกนํ วิโลเกตฺวา – ‘‘กาโล เม, มาริส, พุทฺธภาวายา’’ติ เทวตานํ ปฎิญฺญํ ทตฺวา ตตฺถ ยาวตายุกํ ฐตฺวา ตโต จวิตฺวา สกฺยราชกุเล มายาเทวิยา กุจฺฉิยํ ปฎิสนฺธิํ อคฺคเหสิ (ชา. อฎฺฐ. ๑.นิทานกถา, อวิทูเรนิทานกถา; อป. อฎฺฐ. ๑.นิทานกถา, อวิทูเรนิทานกถา)ฯ เตน วุตฺตํ –

    Tato dīpaṃ olokento ‘‘jambudīpeyeva buddhā nibbattantī’’ti dīpaṃ passi. Tato jambudīpo nāma mahā dasayojanasahassaparimāṇo, katarasmiṃ nu kho padese buddhā nibbattantī’’ti desaṃ vilokento majjhimadesaṃ passi. Tato kulaṃ vilokento ‘‘buddhā nāma lokasammate kule nibbattanti, idāni khattiyakulaṃ lokasammataṃ, tattha nibbattissāmi, suddhodano nāma me rājā pitā bhavissatī’’ti kulaṃ addasa. Tato mātaraṃ vilokento ‘‘buddhamātā nāma lolā surādhuttā na hoti, akhaṇḍapañcasīlāti ayañca mahāmāyā nāma devī edisā, ayaṃ me mātā bhavissatīti kittakaṃ assā āyū’’ti āvajjento dasannaṃ māsānaṃ upari sattadivasāni passi. Iti imaṃ pañcavidhavilokanaṃ viloketvā – ‘‘kālo me, mārisa, buddhabhāvāyā’’ti devatānaṃ paṭiññaṃ datvā tattha yāvatāyukaṃ ṭhatvā tato cavitvā sakyarājakule māyādeviyā kucchiyaṃ paṭisandhiṃ aggahesi (jā. aṭṭha. 1.nidānakathā, avidūrenidānakathā; apa. aṭṭha. 1.nidānakathā, avidūrenidānakathā). Tena vuttaṃ –

    ๖๘.

    68.

    ‘‘ตุสิตา กายา จวิตฺวาน, ยทา โอกฺกมิ กุจฺฉิยํ;

    ‘‘Tusitā kāyā cavitvāna, yadā okkami kucchiyaṃ;

    ทสสหสฺสีโลกธาตุ, กมฺปิตฺถ ธรณี ตทา’’ติฯ – อาทิ;

    Dasasahassīlokadhātu, kampittha dharaṇī tadā’’ti. – ādi;

    ตตฺถ โอกฺกมีติ โอกฺกมิํ ปาวิสิํฯ กุจฺฉิยนฺติ มาตุกุจฺฉิมฺหิฯ ทสสหสฺสีโลกธาตุ, กมฺปิตฺถาติ สโต สมฺปชาโน ปน โพธิสโตฺต มาตุกุจฺฉิํ โอกฺกมโนฺต เอกูนวีสติยา ปฎิสนฺธิจิเตฺตสุ เมตฺตาปุพฺพภาคสฺส โสมนสฺสสหคตญาณสมฺปยุตฺตอสงฺขาริกกุสลจิตฺตสฺส สทิส มหาวิปากจิเตฺตน อาสาฬฺหิปุณฺณมายํ อุตฺตราสาฬฺหนกฺขเตฺตเนว ปฎิสนฺธิํ อคฺคเหสิฯ ตทา ทสสหสฺสีโลกธาตุ สกลาปิ กมฺปิ สงฺกมฺปิ สมฺปกมฺปีติ อโตฺถฯ ธรณีติ ธาเรติ สเพฺพ ถาวรชงฺคเมติ ธรณี, ปถวีฯ

    Tattha okkamīti okkamiṃ pāvisiṃ. Kucchiyanti mātukucchimhi. Dasasahassīlokadhātu, kampitthāti sato sampajāno pana bodhisatto mātukucchiṃ okkamanto ekūnavīsatiyā paṭisandhicittesu mettāpubbabhāgassa somanassasahagatañāṇasampayuttaasaṅkhārikakusalacittassa sadisa mahāvipākacittena āsāḷhipuṇṇamāyaṃ uttarāsāḷhanakkhatteneva paṭisandhiṃ aggahesi. Tadā dasasahassīlokadhātu sakalāpi kampi saṅkampi sampakampīti attho. Dharaṇīti dhāreti sabbe thāvarajaṅgameti dharaṇī, pathavī.

    ๖๙. สมฺปชาโนว นิกฺขมินฺติ เอตฺถ ยทา ปนาหํ สโต สมฺปชาโนว มาตุกุจฺฉิโต ธมฺมาสนโต โอตรโนฺต ธมฺมกถิโก วิย นิเสฺสณิโต โอตรโนฺต ปุริโส วิย จ เทฺว หเตฺถ จ ปาเท จ ปสาเรตฺวา ฐิตโกว มาตุกุจฺฉิสมฺภเวน เกนจิ อสุจินา อมกฺขิโตว นิกฺขมิํฯ สาธุการํ ปวเตฺตนฺตีติ สาธุการํ ปวตฺตยนฺติ, สาธุการํ เทนฺตีติ อโตฺถฯ ปกมฺปิตฺถาติ กมฺปิตฺถ, โอกฺกมเนปิ มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขมเนปิ ทสสหสฺสี ปกมฺปิตฺถาติ อโตฺถฯ

    69.Sampajānova nikkhaminti ettha yadā panāhaṃ sato sampajānova mātukucchito dhammāsanato otaranto dhammakathiko viya nisseṇito otaranto puriso viya ca dve hatthe ca pāde ca pasāretvā ṭhitakova mātukucchisambhavena kenaci asucinā amakkhitova nikkhamiṃ. Sādhukāraṃ pavattentīti sādhukāraṃ pavattayanti, sādhukāraṃ dentīti attho. Pakampitthāti kampittha, okkamanepi mātukucchito nikkhamanepi dasasahassī pakampitthāti attho.

    ๗๐. อถ ภควา คโพฺภกฺกนฺติอาทีสุ อตฺตนา สมสมํ อทิสฺวา คโพฺภกฺกนฺติอาทีสุ อตฺตโน อจฺฉริยทสฺสนตฺถํ ‘‘โอกฺกนฺติ เม สโม นตฺถี’’ติ อิมํ คาถมาหฯ ตตฺถ โอกฺกนฺตีติ คโพฺภกฺกนฺติยํ, ภุมฺมเตฺถ ปจฺจตฺตวจนํ, ปฎิสนฺธิคฺคหเณติ อโตฺถฯ เมติ มยาฯ สโมติ สทิโส นตฺถิฯ ชาติโตติ เอตฺถ ชายติ เอตาย มาตุยาติ มาตา ‘‘ชาตี’’ติ วุจฺจติ, ตโต ชาติโต มาตุยาติ อโตฺถฯ อภินิกฺขเมติ มาตุกุจฺฉิโต อภินิกฺขมเน ปสเว สตีติ อโตฺถฯ สโมฺพธิยนฺติ เอตฺถ ปสตฺถา สุนฺทรา โพธิ สโมฺพธิฯ อยํ ปน โพธิ-สโทฺท รุกฺขมคฺคนิพฺพานสพฺพญฺญุตญฺญาณาทีสุ ทิสฺสติ – ‘‘โพธิรุกฺขมูเล ปฐมาภิสมฺพุโทฺธ’’ติ (มหาว. ๑; อุทา. ๑) จ, ‘‘อนฺตรา จ คยํ อนฺตรา จ โพธิ’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๒๘๕; ๒.๓๔๑; มหาว. ๑๑) จ อาคตฎฺฐาเน หิ รุโกฺข โพธีติ วุจฺจติฯ ‘‘โพธิ วุจฺจติ จตูสุ มเคฺคสุ ญาณ’’นฺติ (จูฬนิ. ขคฺควิสาณสุตฺตนิเทฺทส ๑๒๑) อาคตฎฺฐาเน มโคฺคฯ ‘‘ปตฺวาน โพธิํ อมตํ อสงฺขต’’นฺติ อาคตฎฺฐาเน นิพฺพานํฯ ‘‘ปโปฺปติ โพธิํ วรภูริเมธโส’’ติ (ที. นิ. ๓.๒๑๗) อาคตฎฺฐาเน สพฺพญฺญุตญฺญาณํฯ อิธ ปน ภควโต อรหตฺตมคฺคญาณํ อธิเปฺปตํ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๓; ปารา. อฎฺฐ. ๑.๑๑; อุทา. อฎฺฐ. ๒๐; จริยา. อฎฺฐ. นิทานกถา)ฯ อปเร ‘‘สพฺพญฺญุตญฺญาณ’’นฺติปิ วทนฺติ, ตสฺสํ สโมฺพธิยํ อหํ เสโฎฺฐติ อโตฺถฯ

    70. Atha bhagavā gabbhokkantiādīsu attanā samasamaṃ adisvā gabbhokkantiādīsu attano acchariyadassanatthaṃ ‘‘okkanti me samo natthī’’ti imaṃ gāthamāha. Tattha okkantīti gabbhokkantiyaṃ, bhummatthe paccattavacanaṃ, paṭisandhiggahaṇeti attho. Meti mayā. Samoti sadiso natthi. Jātitoti ettha jāyati etāya mātuyāti mātā ‘‘jātī’’ti vuccati, tato jātito mātuyāti attho. Abhinikkhameti mātukucchito abhinikkhamane pasave satīti attho. Sambodhiyanti ettha pasatthā sundarā bodhi sambodhi. Ayaṃ pana bodhi-saddo rukkhamagganibbānasabbaññutaññāṇādīsu dissati – ‘‘bodhirukkhamūle paṭhamābhisambuddho’’ti (mahāva. 1; udā. 1) ca, ‘‘antarā ca gayaṃ antarā ca bodhi’’nti (ma. ni. 1.285; 2.341; mahāva. 11) ca āgataṭṭhāne hi rukkho bodhīti vuccati. ‘‘Bodhi vuccati catūsu maggesu ñāṇa’’nti (cūḷani. khaggavisāṇasuttaniddesa 121) āgataṭṭhāne maggo. ‘‘Patvāna bodhiṃ amataṃ asaṅkhata’’nti āgataṭṭhāne nibbānaṃ. ‘‘Pappoti bodhiṃ varabhūrimedhaso’’ti (dī. ni. 3.217) āgataṭṭhāne sabbaññutaññāṇaṃ. Idha pana bhagavato arahattamaggañāṇaṃ adhippetaṃ (ma. ni. aṭṭha. 1.13; pārā. aṭṭha. 1.11; udā. aṭṭha. 20; cariyā. aṭṭha. nidānakathā). Apare ‘‘sabbaññutaññāṇa’’ntipi vadanti, tassaṃ sambodhiyaṃ ahaṃ seṭṭhoti attho.

    กสฺมา ปน ภควา สโมฺพธิํ ปฎิจฺจ อตฺตานํ ปสํสตีติ? สพฺพคุณทายกตฺตาฯ ภควโต หิ สโมฺพธิ สพฺพคุณทายิกา สเพฺพปิ นิรวเสเส พุทฺธคุเณ ททาติ, น ปน อเญฺญสํฯ อเญฺญสํ ปน กสฺสจิ อรหตฺตมโคฺค อรหตฺตผลเมว เทติ, กสฺสจิ ติโสฺส วิชฺชา, กสฺสจิ ฉ อภิญฺญา, กสฺสจิ จตโสฺส ปฎิสมฺภิทา, กสฺสจิ สาวกปารมิญาณํ, ปเจฺจกพุทฺธานํ ปเจฺจกโพธิญาณเมว เทติฯ พุทฺธานํ ปน สพฺพคุณสมฺปตฺติํ เทติฯ ตสฺมา ภควา สพฺพคุณทายกตฺตา ‘‘สโมฺพธิยํ อหํ เสโฎฺฐ’’ติ อตฺตานํ ปสํสติฯ อปิ จ ภูมิํ จาเลตฺวา สโมฺพธิํ ปาปุณิ, ตสฺมา ‘‘สโมฺพธิยํ อหํ เสโฎฺฐ’’ติ วทติฯ ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตเนติ เอตฺถ ธมฺมจกฺกํ ปน ทุวิธํ โหติ – ปฎิเวธญาณญฺจ เทสนาญาณญฺจาติฯ ตตฺถ ปญฺญาปภาวิตํ อตฺตโน อริยผลาวหํ ปฎิเวธญาณํ, กรุณาปภาวิตํ สาวกานํ อริยผลาวหํ เทสนาญาณํฯ ปฎิเวธญาณํ โลกุตฺตรํ กุสลํ อุเปกฺขาสหคตํ อวิตกฺกอวิจารํ, เทสนาญาณํ โลกิยํ อพฺยากตํ , อุภยมฺปิ ปเนตํ อเญฺญหิ อสาธารณํฯ อิธ ปน เทสนาญาณํ อธิเปฺปตํ (ปฎิ. ม. อฎฺฐ. ๒.๒.๔๔)ฯ

    Kasmā pana bhagavā sambodhiṃ paṭicca attānaṃ pasaṃsatīti? Sabbaguṇadāyakattā. Bhagavato hi sambodhi sabbaguṇadāyikā sabbepi niravasese buddhaguṇe dadāti, na pana aññesaṃ. Aññesaṃ pana kassaci arahattamaggo arahattaphalameva deti, kassaci tisso vijjā, kassaci cha abhiññā, kassaci catasso paṭisambhidā, kassaci sāvakapāramiñāṇaṃ, paccekabuddhānaṃ paccekabodhiñāṇameva deti. Buddhānaṃ pana sabbaguṇasampattiṃ deti. Tasmā bhagavā sabbaguṇadāyakattā ‘‘sambodhiyaṃ ahaṃ seṭṭho’’ti attānaṃ pasaṃsati. Api ca bhūmiṃ cāletvā sambodhiṃ pāpuṇi, tasmā ‘‘sambodhiyaṃ ahaṃ seṭṭho’’ti vadati. Dhammacakkappavattaneti ettha dhammacakkaṃ pana duvidhaṃ hoti – paṭivedhañāṇañca desanāñāṇañcāti. Tattha paññāpabhāvitaṃ attano ariyaphalāvahaṃ paṭivedhañāṇaṃ, karuṇāpabhāvitaṃ sāvakānaṃ ariyaphalāvahaṃ desanāñāṇaṃ. Paṭivedhañāṇaṃ lokuttaraṃ kusalaṃ upekkhāsahagataṃ avitakkaavicāraṃ, desanāñāṇaṃ lokiyaṃ abyākataṃ , ubhayampi panetaṃ aññehi asādhāraṇaṃ. Idha pana desanāñāṇaṃ adhippetaṃ (paṭi. ma. aṭṭha. 2.2.44).

    ๗๑. อิทานิ ภควโต คโพฺภกฺกมเนว ปถวิกมฺปนาทิกํ ปวตฺติํ สุตฺวา ‘‘อโห อจฺฉริยํ โลเก’’ติ เทวตาหิ อยํ คาถา วุตฺตาฯ ตตฺถ พุทฺธานํ คุณมหนฺตตาติ อโห พุทฺธานํ คุณมหนฺตภาโว, อโห พุทฺธานํ มหานุภาโวติ อโตฺถ ทสสหสฺสีโลกธาตุ, ฉปฺปการํ ปกมฺปถาติ ทสสุ จกฺกวาฬสหเสฺสสุ มหาปถวี ฉปฺปการํ ปกมฺปิตฺถ จลิตฺถฯ กถํ? ปุรตฺถิมโต อุนฺนมติ ปจฺฉิมโต โอนมติ, ปจฺฉิมโต อุนฺนมติ ปุรตฺถิมโต โอนมติ, อุตฺตรโต อุนฺนมติ ทกฺขิณโต โอนมติ, ทกฺขิณโต อุนฺนมติ อุตฺตรโต โอนมติ, มชฺฌิมโต อุนฺนมติ ปริยนฺตโต โอนมติ, ปริยนฺตโต อุนฺนมติ มชฺฌิมโต โอนมตีติ เอวํ ฉปฺปการํ อนิลพลจลิตชลตรงฺคภงฺคสงฺฆฎฺฎิตา วิย นาวา จตุนหุตาธิกทฺวิโยชนสตสหสฺสพหลา ปถวิสนฺธารกชลปริยนฺตา อเจตนาปิ สมานา สเจตนา วิย อยํ มหาปถวี ปีติยา นจฺจนฺตี วิย อกมฺปิตฺถาติ อโตฺถฯ โอภาโส จ มหา อาสีติ อติกฺกเมฺมว เทวานํ เทวานุภาวํ อุฬาโร โอภาโส อโหสีติ อโตฺถฯ อเจฺฉรํ โลมหํสนนฺติ อเจฺฉรญฺจ โลมหํสนญฺจ อโหสีติ อโตฺถฯ

    71. Idāni bhagavato gabbhokkamaneva pathavikampanādikaṃ pavattiṃ sutvā ‘‘aho acchariyaṃ loke’’ti devatāhi ayaṃ gāthā vuttā. Tattha buddhānaṃ guṇamahantatāti aho buddhānaṃ guṇamahantabhāvo, aho buddhānaṃ mahānubhāvoti attho dasasahassīlokadhātu, chappakāraṃ pakampathāti dasasu cakkavāḷasahassesu mahāpathavī chappakāraṃ pakampittha calittha. Kathaṃ? Puratthimato unnamati pacchimato onamati, pacchimato unnamati puratthimato onamati, uttarato unnamati dakkhiṇato onamati, dakkhiṇato unnamati uttarato onamati, majjhimato unnamati pariyantato onamati, pariyantato unnamati majjhimato onamatīti evaṃ chappakāraṃ anilabalacalitajalataraṅgabhaṅgasaṅghaṭṭitā viya nāvā catunahutādhikadviyojanasatasahassabahalā pathavisandhārakajalapariyantā acetanāpi samānā sacetanā viya ayaṃ mahāpathavī pītiyā naccantī viya akampitthāti attho. Obhāsoca mahā āsīti atikkammeva devānaṃ devānubhāvaṃ uḷāro obhāso ahosīti attho. Accheraṃ lomahaṃsananti accherañca lomahaṃsanañca ahosīti attho.

    ๗๒. อิทานิ ปถวิกมฺปนาโลกปาตุภาวาทีสุ อจฺฉริเยสุ วตฺตมาเนสุ ภควโต ปวตฺติทสฺสนตฺถํ ‘‘ภควา ตมฺหิ สมเย’’ติอาทิคาถาโย วุตฺตาฯ ตตฺถ โลกเชโฎฺฐติ โลกเสโฎฺฐฯ สเทวกนฺติ สเทวกสฺส โลกสฺส, สามิอเตฺถ อุปโยควจนํ ทฎฺฐพฺพํฯ ทสฺสยโนฺตติ ปาฎิหาริยํ ทเสฺสโนฺตฯ

    72. Idāni pathavikampanālokapātubhāvādīsu acchariyesu vattamānesu bhagavato pavattidassanatthaṃ ‘‘bhagavā tamhi samaye’’tiādigāthāyo vuttā. Tattha lokajeṭṭhoti lokaseṭṭho. Sadevakanti sadevakassa lokassa, sāmiatthe upayogavacanaṃ daṭṭhabbaṃ. Dassayantoti pāṭihāriyaṃ dassento.

    ๗๓. จงฺกมโนฺตวาติ ทสโลกธาตุสหสฺสานิ อโชฺฌตฺถริตฺวา ฐิเต ตสฺมิํ รตนมเย จงฺกเม จงฺกมมาโนว กเถสิฯ โลกนายโกติ อถ สตฺถา มโนสิลาตเล สีหนาทํ นทโนฺต สีโห วิย คชฺชโนฺต ปาวุสฺสกเมโฆ วิย จ อากาสคงฺคํ โอตาเรโนฺต วิย จ อฎฺฐงฺคสมนฺนาคเตน (ที. นิ. ๒.๒๘๕, ๓๐๑) สวนีเยน กมนีเยน พฺรหฺมสฺสเรน นานานยวิจิตฺตํ จตุสจฺจปฎิสํยุตฺตํ ติลกฺขณาหตํ มธุรธมฺมกถํ กเถสีติ อโตฺถฯ

    73.Caṅkamantovāti dasalokadhātusahassāni ajjhottharitvā ṭhite tasmiṃ ratanamaye caṅkame caṅkamamānova kathesi. Lokanāyakoti atha satthā manosilātale sīhanādaṃ nadanto sīho viya gajjanto pāvussakamegho viya ca ākāsagaṅgaṃ otārento viya ca aṭṭhaṅgasamannāgatena (dī. ni. 2.285, 301) savanīyena kamanīyena brahmassarena nānānayavicittaṃ catusaccapaṭisaṃyuttaṃ tilakkhaṇāhataṃ madhuradhammakathaṃ kathesīti attho.

    อนฺตรา น นิวเตฺตติ, จตุหเตฺถ จงฺกเม ยถาติ เอตฺถ สตฺถารา ปน นิมฺมิตสฺส ตสฺส จงฺกมสฺส เอกา โกฎิ ปาจีนจกฺกวาฬมุขวฎฺฎิยํ เอกา ปจฺฉิมจกฺกวาฬมุขวฎฺฎิยํ เอวํ ฐิเต ตสฺมิํ รตนจงฺกเม จงฺกมมาโน สตฺถา อุโภ โกฎิโย ปตฺวาว นิวตฺตติ, อนฺตรา อุโภ โกฎิโย อปตฺวา น นิวตฺตติฯ ยถา จตุหตฺถปฺปมาเณ จงฺกเม จงฺกมมาโน อุโภ โกฎิโย สีฆเมว ปตฺวา นิวตฺตติ, เอวํ อนฺตรา น นิวตฺตตีติ อโตฺถฯ กิํ ปน ภควา ทสสหสฺสโยชนปฺปมาณายามํ จงฺกมํ รสฺสมกาสิ , ตาวมหนฺตํ วา อตฺตภาวํ นิมฺมินีติ? น ปเนวมกาสิฯ อจิเนฺตโยฺย พุทฺธานํ พุทฺธานุภาโวฯ อกนิฎฺฐภวนโต ปฎฺฐาย ยาว อวีจิ, ตาว เอกงฺคณา อโหสิฯ ติริยโต จ ทสจกฺกวาฬสหสฺสานิ เอกงฺคณานิ อเหสุํฯ เทวา มนุเสฺส ปสฺสนฺติ, มนุสฺสาปิ เทเว ปสฺสนฺติฯ ยถา สเพฺพ เทวมนุสฺสา ปกติยา จงฺกมมานํ ปสฺสนฺติ, เอวํ ภควนฺตํ จงฺกมมานํ ปสฺสิํสูติฯ ภควา ปน จงฺกมโนฺตว ธมฺมํ เทเสติ อนฺตราสมาปตฺติญฺจ สมาปชฺชติฯ

    Antarā na nivatteti, catuhatthe caṅkame yathāti ettha satthārā pana nimmitassa tassa caṅkamassa ekā koṭi pācīnacakkavāḷamukhavaṭṭiyaṃ ekā pacchimacakkavāḷamukhavaṭṭiyaṃ evaṃ ṭhite tasmiṃ ratanacaṅkame caṅkamamāno satthā ubho koṭiyo patvāva nivattati, antarā ubho koṭiyo apatvā na nivattati. Yathā catuhatthappamāṇe caṅkame caṅkamamāno ubho koṭiyo sīghameva patvā nivattati, evaṃ antarā na nivattatīti attho. Kiṃ pana bhagavā dasasahassayojanappamāṇāyāmaṃ caṅkamaṃ rassamakāsi , tāvamahantaṃ vā attabhāvaṃ nimminīti? Na panevamakāsi. Acinteyyo buddhānaṃ buddhānubhāvo. Akaniṭṭhabhavanato paṭṭhāya yāva avīci, tāva ekaṅgaṇā ahosi. Tiriyato ca dasacakkavāḷasahassāni ekaṅgaṇāni ahesuṃ. Devā manusse passanti, manussāpi deve passanti. Yathā sabbe devamanussā pakatiyā caṅkamamānaṃ passanti, evaṃ bhagavantaṃ caṅkamamānaṃ passiṃsūti. Bhagavā pana caṅkamantova dhammaṃ deseti antarāsamāpattiñca samāpajjati.

    อถ อายสฺมา สาริปุโตฺต อปริมิตสมยสมุปจิตกุสลพลชนิตทฺวตฺติํสวรลกฺขโณปโสภิตํ อสีตานุพฺยญฺชนวิราชิตํ วรสรีรํ สรทสมเย ปริปุณฺณํ วิย รชนิกรํ สพฺพผาลิผุลฺลํ วิย จ โยชนสตุเพฺพธํ ปาริจฺฉตฺตกํ อฎฺฐารสรตนุเพฺพธํ พฺยามปฺปภาปริเกฺขปสสฺสิริกํ วรกนกคิริมิว ชงฺคมํ อโนปมาย พุทฺธลีฬาย อโนปเมน พุทฺธสิริวิลาเสน จงฺกมนฺตํ ทสสหสฺสิเทวคณปริวุตํ ภควนฺตํ อทฺทสฯ ทิสฺวาน อยํ ปน สกลาปิ ทสสหสฺสี โลกธาตุ สนฺนิปติตา, มหติยา ปเนตฺถ ธมฺมเทสนาย ภวิตพฺพํ, พุทฺธวํสเทสนา ปน พหูปการา ภควติ ปสาทาวหา, ยํนูนาหํ ทสพลสฺส อภินีหารโต ปฎฺฐาย พุทฺธวํสํ ปริปุเจฺฉยฺย’’นฺติ จิเนฺตตฺวา เอกํสํ จีวรํ กตฺวา ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ทสนขสมุชฺชลํ ชลชามลาวิกล-กมล-มกุลสทิสํ อญฺชลิํ สิรสิ กตฺวา ภควนฺตํ ‘‘กีทิโส เต มหาวีรา’’ติอาทิกํ ปริปุจฺฉิฯ เตน วุตฺตํ –

    Atha āyasmā sāriputto aparimitasamayasamupacitakusalabalajanitadvattiṃsavaralakkhaṇopasobhitaṃ asītānubyañjanavirājitaṃ varasarīraṃ saradasamaye paripuṇṇaṃ viya rajanikaraṃ sabbaphāliphullaṃ viya ca yojanasatubbedhaṃ pāricchattakaṃ aṭṭhārasaratanubbedhaṃ byāmappabhāparikkhepasassirikaṃ varakanakagirimiva jaṅgamaṃ anopamāya buddhalīḷāya anopamena buddhasirivilāsena caṅkamantaṃ dasasahassidevagaṇaparivutaṃ bhagavantaṃ addasa. Disvāna ayaṃ pana sakalāpi dasasahassī lokadhātu sannipatitā, mahatiyā panettha dhammadesanāya bhavitabbaṃ, buddhavaṃsadesanā pana bahūpakārā bhagavati pasādāvahā, yaṃnūnāhaṃ dasabalassa abhinīhārato paṭṭhāya buddhavaṃsaṃ paripuccheyya’’nti cintetvā ekaṃsaṃ cīvaraṃ katvā bhagavantaṃ upasaṅkamitvā dasanakhasamujjalaṃ jalajāmalāvikala-kamala-makulasadisaṃ añjaliṃ sirasi katvā bhagavantaṃ ‘‘kīdiso te mahāvīrā’’tiādikaṃ paripucchi. Tena vuttaṃ –

    ๗๔.

    74.

    ‘‘สาริปุโตฺต มหาปโญฺญ, สมาธิชฺฌานโกวิโท;

    ‘‘Sāriputto mahāpañño, samādhijjhānakovido;

    ปญฺญาย ปารมิปฺปโตฺต, ปุจฺฉติ โลกนายกํฯ

    Paññāya pāramippatto, pucchati lokanāyakaṃ.

    ๗๕.

    75.

    ‘‘กีทิโส เต มหาวีร, อภินีหาโร นรุตฺตม;

    ‘‘Kīdiso te mahāvīra, abhinīhāro naruttama;

    กมฺหิ กาเล ตยา ธีร, ปตฺถิตา โพธิมุตฺตมา’’ติฯ –

    Kamhi kāle tayā dhīra, patthitā bodhimuttamā’’ti. –

    อาทิฯ กา นามายํ อนุสนฺธีติ? ปุจฺฉานุสนฺธิ นามฯ ติโสฺส หิ อนุสนฺธิโย – ปุจฺฉานุสนฺธิ อชฺฌาสยานุสนฺธิ ยถานุสนฺธีติฯ ตตฺถ ‘‘เอวํ วุเตฺต อญฺญตโร ภิกฺขุ ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘กิํ นุ โข, ภเนฺต, โอริมํ ตีรํ กิํ ปาริมํ ตีร’’นฺติ (สํ. นิ. ๔.๒๔๑) เอวํ ปุจฺฉนฺตานํ ภควตา วิสฺสชฺชิตสุตฺตวเสน ปุจฺฉานุสนฺธิ เวทิตพฺพาฯ

    Ādi. Kā nāmāyaṃ anusandhīti? Pucchānusandhi nāma. Tisso hi anusandhiyo – pucchānusandhi ajjhāsayānusandhi yathānusandhīti. Tattha ‘‘evaṃ vutte aññataro bhikkhu bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘kiṃ nu kho, bhante, orimaṃ tīraṃ kiṃ pārimaṃ tīra’’nti (saṃ. ni. 4.241) evaṃ pucchantānaṃ bhagavatā vissajjitasuttavasena pucchānusandhi veditabbā.

    ‘‘อถ โข อญฺญตรสฺส ภิกฺขุโน เอวํ เจตโส ปริวิตโกฺก อุทปาทิ ‘อิติ กิร, โภ, รูปํ อนตฺตา, เวทนา อนตฺตา, สญฺญา อนตฺตา, สงฺขารา อนตฺตา, วิญฺญาณํ อนตฺตา, อนตฺตกตานิ กมฺมานิ กมตฺตานํ ผุสิสฺสนฺตี’ติฯ อถ โข ภควา ตสฺส ภิกฺขุโน เจตสา เจโตปริวิตกฺกมญฺญาย ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ฐานํ โข ปเนตํ, ภิกฺขเว, วิชฺชติ, ยํ อิเธกโจฺจ โมฆปุริโส อวิทฺวา อวิชฺชาคโต ตณฺหาธิปเตเยฺยน เจตสา สตฺถุสาสนํ อติธาวิตพฺพํ มเญฺญยฺย ‘อิติ กิร, โภ, รูปํ อนตฺตา, เวทนา อนตฺตา, สญฺญา อนตฺตา, สงฺขารา อนตฺตา, วิญฺญาณํ อนตฺตา, อนตฺตกตานิ กมฺมานิ กมตฺตานํ ผุสิสฺสนฺตี’ติ…เป.… ตํ กิํ มญฺญถ, ภิกฺขเว, รูปํ นิจฺจํ วา อนิจฺจํ วา’’ติ (ม. นิ. ๓.๙๐) เอวํ ปเรสํ อชฺฌาสยํ วิทิตฺวา ภควตา วุตฺตวเสน อชฺฌาสยานุสนฺธิ เวทิตพฺพาฯ

    ‘‘Atha kho aññatarassa bhikkhuno evaṃ cetaso parivitakko udapādi ‘iti kira, bho, rūpaṃ anattā, vedanā anattā, saññā anattā, saṅkhārā anattā, viññāṇaṃ anattā, anattakatāni kammāni kamattānaṃ phusissantī’ti. Atha kho bhagavā tassa bhikkhuno cetasā cetoparivitakkamaññāya bhikkhū āmantesi – ṭhānaṃ kho panetaṃ, bhikkhave, vijjati, yaṃ idhekacco moghapuriso avidvā avijjāgato taṇhādhipateyyena cetasā satthusāsanaṃ atidhāvitabbaṃ maññeyya ‘iti kira, bho, rūpaṃ anattā, vedanā anattā, saññā anattā, saṅkhārā anattā, viññāṇaṃ anattā, anattakatāni kammāni kamattānaṃ phusissantī’ti…pe… taṃ kiṃ maññatha, bhikkhave, rūpaṃ niccaṃ vā aniccaṃ vā’’ti (ma. ni. 3.90) evaṃ paresaṃ ajjhāsayaṃ viditvā bhagavatā vuttavasena ajjhāsayānusandhi veditabbā.

    เยน ปน ธเมฺมน อาทิมฺหิ เทสนา อุฎฺฐิตา, ตสฺส ธมฺมสฺส อนุรูปธมฺมวเสน วา ปฎิเกฺขปวเสน วา เยสุ สุเตฺตสุ อุปริเทสนา อาคจฺฉติ, เตสํ วเสน ยถานุสนฺธิ เวทิตพฺพาฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ปุจฺฉานุสนฺธี’’ติฯ

    Yena pana dhammena ādimhi desanā uṭṭhitā, tassa dhammassa anurūpadhammavasena vā paṭikkhepavasena vā yesu suttesu uparidesanā āgacchati, tesaṃ vasena yathānusandhi veditabbā. Tena vuttaṃ ‘‘pucchānusandhī’’ti.

    ตตฺถ ปญฺญาย ปารมิปฺปโตฺตติ สาวกปารมิญาณสฺส มตฺถกํ ปโตฺตฯ ปุจฺฉตีติ อปุจฺฉิฯ ตตฺถ ปุจฺฉา นาม อทิฎฺฐโชตนาปุจฺฉา, ทิฎฺฐสํสนฺทนาปุจฺฉา, วิมติเจฺฉทนาปุจฺฉา, อนุมติปุจฺฉา, กเถตุกมฺยตาปุจฺฉาติ ปญฺจวิธา โหติฯ ตตฺถายํ เถรสฺส กตมา ปุจฺฉาติ เจ? ยสฺมา ปนายํ พุทฺธวํโส กปฺปสตสหสฺสาธิกอสเงฺขฺยโยฺยปจิตปุญฺญสมฺภารานํ ปเจฺจกพุทฺธานํ กปฺปสตสหสฺสาธิกอสเงฺขฺยโยฺยปจิตปุญฺญสมฺภารานํ ทฺวินฺนํ อคฺคสาวกานญฺจ กปฺปสตสหโสฺสปจิตปุญฺญสมฺภารานํ เสสมหาสาวกานํ วา อวิสโย, สพฺพญฺญุพุทฺธานํเยว วิสโย, ตสฺมา เถรสฺส อทิฎฺฐโชตนา ปุจฺฉาติ เวทิตพฺพาฯ

    Tattha paññāya pāramippattoti sāvakapāramiñāṇassa matthakaṃ patto. Pucchatīti apucchi. Tattha pucchā nāma adiṭṭhajotanāpucchā, diṭṭhasaṃsandanāpucchā, vimaticchedanāpucchā, anumatipucchā, kathetukamyatāpucchāti pañcavidhā hoti. Tatthāyaṃ therassa katamā pucchāti ce? Yasmā panāyaṃ buddhavaṃso kappasatasahassādhikaasaṅkhyeyyopacitapuññasambhārānaṃ paccekabuddhānaṃ kappasatasahassādhikaasaṅkhyeyyopacitapuññasambhārānaṃ dvinnaṃ aggasāvakānañca kappasatasahassopacitapuññasambhārānaṃ sesamahāsāvakānaṃ vā avisayo, sabbaññubuddhānaṃyeva visayo, tasmā therassa adiṭṭhajotanā pucchāti veditabbā.

    กีทิโสติ ปุจฺฉนากาโร, กิํปกาโรติ อโตฺถฯ เตติ ตวฯ อภินีหาโรติ อภินีหาโร นาม พุทฺธภาวตฺถํ มานสํ พนฺธิตฺวา ‘‘พุทฺธพฺยากรณํ อลทฺธา น อุฎฺฐหิสฺสามี’’ติ วีริยมธิฎฺฐาย นิปชฺชนํฯ เตน วุตฺตํ –

    Kīdisoti pucchanākāro, kiṃpakāroti attho. Teti tava. Abhinīhāroti abhinīhāro nāma buddhabhāvatthaṃ mānasaṃ bandhitvā ‘‘buddhabyākaraṇaṃ aladdhā na uṭṭhahissāmī’’ti vīriyamadhiṭṭhāya nipajjanaṃ. Tena vuttaṃ –

    ‘‘กีทิโส เต มหาวีร, อภินีหาโร นรุตฺตมา’’ติฯ

    ‘‘Kīdiso te mahāvīra, abhinīhāro naruttamā’’ti.

    กมฺหิ กาเลติ ตสฺมิํ กาเลฯ ปตฺถิตาติ อิจฺฉิตา อภิกงฺขิตา, ‘‘พุโทฺธ โพเธยฺยํ มุโตฺต โมเจยฺย’’นฺติอาทินา นเยน พุทฺธภาวาย ปณิธานํ กทา กตนฺติ อปุจฺฉิฯ โพธีติ สมฺมาสโมฺพธิ, อรหตฺตมคฺคญาณสฺส จ สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส เจตํ อธิวจนํฯ อุตฺตมาติ สาวกโพธิปเจฺจกโพธีหิ เสฎฺฐตฺตา อุตฺตมาติ วุตฺตาฯ อุภินฺนมนฺตรา -กาโร ปทสนฺธิกโรฯ

    Kamhi kāleti tasmiṃ kāle. Patthitāti icchitā abhikaṅkhitā, ‘‘buddho bodheyyaṃ mutto moceyya’’ntiādinā nayena buddhabhāvāya paṇidhānaṃ kadā katanti apucchi. Bodhīti sammāsambodhi, arahattamaggañāṇassa ca sabbaññutaññāṇassa cetaṃ adhivacanaṃ. Uttamāti sāvakabodhipaccekabodhīhi seṭṭhattā uttamāti vuttā. Ubhinnamantarā ma-kāro padasandhikaro.

    อิทานิ พุทฺธภาวการเก ธเมฺม ปุจฺฉโนฺต –

    Idāni buddhabhāvakārake dhamme pucchanto –

    ๗๖.

    76.

    ‘‘ทานํ สีลญฺจ เนกฺขมฺมํ, ปญฺญาวีริยญฺจ กีทิสํ;

    ‘‘Dānaṃ sīlañca nekkhammaṃ, paññāvīriyañca kīdisaṃ;

    ขนฺติสจฺจมธิฎฺฐานํ, เมตฺตุเปกฺขา จ กีทิสาฯ

    Khantisaccamadhiṭṭhānaṃ, mettupekkhā ca kīdisā.

    ๗๗.

    77.

    ‘‘ทส ปารมี ตยา ธีร, กีทิสี โลกนายก;

    ‘‘Dasa pāramī tayā dhīra, kīdisī lokanāyaka;

    กถํ อุปปารมี ปุณฺณา, ปรมตฺถปารมี กถ’’นฺติฯ – อาห;

    Kathaṃ upapāramī puṇṇā, paramatthapāramī katha’’nti. – āha;

    ตตฺถ ทานปารมิยํ ตาว พาหิรภณฺฑปริจฺจาโค ปารมี นาม, องฺคปริจฺจาโค อุปปารมี นาม, ชีวิตปริจฺจาโค ปรมตฺถปารมี นามาติฯ เอส นโย เสสปารมีสุปิฯ เอวํ ทส ปารมิโย ทส อุปปารมิโย ทส ปรมตฺถปารมิโยติ สมตฺติํส ปารมิโย โหนฺติฯ ตตฺถ โพธิสตฺตสฺส ทานปารมิตาย ปูริตตฺตภาวานํ ปริมาณํ นาม นตฺถิฯ เอกเนฺตน ปนสฺส สสปณฺฑิตชาตเก

    Tattha dānapāramiyaṃ tāva bāhirabhaṇḍapariccāgo pāramī nāma, aṅgapariccāgo upapāramī nāma, jīvitapariccāgo paramatthapāramī nāmāti. Esa nayo sesapāramīsupi. Evaṃ dasa pāramiyo dasa upapāramiyo dasa paramatthapāramiyoti samattiṃsa pāramiyo honti. Tattha bodhisattassa dānapāramitāya pūritattabhāvānaṃ parimāṇaṃ nāma natthi. Ekantena panassa sasapaṇḍitajātake

    ‘‘ภิกฺขาย อุปคตํ ทิสฺวา, สกตฺตานํ ปริจฺจชิํ;

    ‘‘Bhikkhāya upagataṃ disvā, sakattānaṃ pariccajiṃ;

    ทาเนน เม สโม นตฺถิ, เอสา เม ทานปารมี’’ติฯ (จริยา. ๑.๑๔๓ ตสฺสุทฺทานํ) –

    Dānena me samo natthi, esā me dānapāramī’’ti. (cariyā. 1.143 tassuddānaṃ) –

    เอวํ ปรํ ชีวิตปริจฺจาคํ กโรนฺตสฺส ทานปารมี ปรมตฺถปารมี นาม ชาตาฯ

    Evaṃ paraṃ jīvitapariccāgaṃ karontassa dānapāramī paramatthapāramī nāma jātā.

    ตถา สีลปารมิตาย ปูริตตฺตภาวานํ ปริมาณํ นาม นตฺถิฯ เอกเนฺตเนว ปนสฺส สงฺขปาลชาตเก

    Tathā sīlapāramitāya pūritattabhāvānaṃ parimāṇaṃ nāma natthi. Ekanteneva panassa saṅkhapālajātake

    ‘‘สูเลหิ วินิวิชฺฌเนฺต, โกฎฺฎยเนฺตปิ สตฺติภิ;

    ‘‘Sūlehi vinivijjhante, koṭṭayantepi sattibhi;

    โภชปุเตฺต น กุปฺปามิ, เอสา เม สีลปารมี’’ติฯ (จริยา. ๒.๙๑) –

    Bhojaputte na kuppāmi, esā me sīlapāramī’’ti. (cariyā. 2.91) –

    เอวํ อตฺตปริจฺจาคํ กโรนฺตสฺส สีลปารมี ปรมตฺถปารมี นาม ชาตาฯ

    Evaṃ attapariccāgaṃ karontassa sīlapāramī paramatthapāramī nāma jātā.

    ตถา มหารชฺชํ ปหาย เนกฺขมฺมปารมิยา ปูริตตฺตภาวานํ ปริมาณํ นาม นตฺถิฯ เอกเนฺตน ปนสฺส จูฬสุตโสมชาตเก

    Tathā mahārajjaṃ pahāya nekkhammapāramiyā pūritattabhāvānaṃ parimāṇaṃ nāma natthi. Ekantena panassa cūḷasutasomajātake

    ‘‘มหารชฺชํ หตฺถคตํ, เขฬปิณฺฑํว ฉฑฺฑยิํ;

    ‘‘Mahārajjaṃ hatthagataṃ, kheḷapiṇḍaṃva chaḍḍayiṃ;

    จชโต น โหติ ลคฺคนํ, เอสา เม เนกฺขมฺมปารมี’’ติฯ (ธ. ส. อฎฺฐ. นิทานกถา; ชา. อฎฺฐ. ๑.ทูเรนิทานกถา; อป. อฎฺฐ. ๑.ทูเรนิทานกถา) –

    Cajato na hoti lagganaṃ, esā me nekkhammapāramī’’ti. (dha. sa. aṭṭha. nidānakathā; jā. aṭṭha. 1.dūrenidānakathā; apa. aṭṭha. 1.dūrenidānakathā) –

    เอวํ นิสฺสงฺคตาย รชฺชํ ฉเฑฺฑตฺวา นิกฺขมนฺตสฺส เนกฺขมฺมปารมี ปรมตฺถปารมี นาม ชาตาฯ

    Evaṃ nissaṅgatāya rajjaṃ chaḍḍetvā nikkhamantassa nekkhammapāramī paramatthapāramī nāma jātā.

    ตถา มโหสธปณฺฑิตกาลาทีสุ ปญฺญาปารมิยา ปูริตตฺตภาวานํ ปริมาณํ นาม นตฺถิฯ เอกเนฺตน ปนสฺส สตฺตุภตฺตกปณฺฑิตกาเล

    Tathā mahosadhapaṇḍitakālādīsu paññāpāramiyā pūritattabhāvānaṃ parimāṇaṃ nāma natthi. Ekantena panassa sattubhattakapaṇḍitakāle

    ‘‘ปญฺญาย วิจินโนฺตหํ, พฺราหฺมณํ โมจยิํ ทุขา;

    ‘‘Paññāya vicinantohaṃ, brāhmaṇaṃ mocayiṃ dukhā;

    ปญฺญาย เม สโม นตฺถิ, เอสา เม ปญฺญาปารมี’’ติฯ (ธ. ส. อฎฺฐ. นิทานกถา; ชา. อฎฺฐ. ๑.ทูเรนิทานกถา; อป. อฎฺฐ. ๑.ทูเรนิทานกถา) –

    Paññāya me samo natthi, esā me paññāpāramī’’ti. (dha. sa. aṭṭha. nidānakathā; jā. aṭṭha. 1.dūrenidānakathā; apa. aṭṭha. 1.dūrenidānakathā) –

    อโนฺตภสฺตคตํ สปฺปํ ทเสฺสนฺตสฺส ปญฺญาปารมี ปรมตฺถปารมี นาม ชาตาฯ

    Antobhastagataṃ sappaṃ dassentassa paññāpāramī paramatthapāramī nāma jātā.

    ตถา วีริยปารมิตาย ปูริตตฺตภาวานํ ปริมาณํ นาม นตฺถิฯ เอกเนฺตน ปนสฺส มหาชนกชาตเก

    Tathā vīriyapāramitāya pūritattabhāvānaṃ parimāṇaṃ nāma natthi. Ekantena panassa mahājanakajātake

    ‘‘อตีรทสฺสี ชลมเชฺฌ, หตา สเพฺพว มานุสา;

    ‘‘Atīradassī jalamajjhe, hatā sabbeva mānusā;

    จิตฺตสฺส อญฺญถา นตฺถิ, เอสา เม วีริยปารมี’’ติฯ (ธ. ส. อฎฺฐ. นิทานกถา; ชา. อฎฺฐ. ๑.ทูเรนิทานกถา; อป. อฎฺฐ. ๑.ทูเรนิทานกถา) –

    Cittassa aññathā natthi, esā me vīriyapāramī’’ti. (dha. sa. aṭṭha. nidānakathā; jā. aṭṭha. 1.dūrenidānakathā; apa. aṭṭha. 1.dūrenidānakathā) –

    เอวํ มหาสมุทฺทํ ตรนฺตสฺส วีริยปารมี ปรมตฺถปารมี นาม ชาตาฯ

    Evaṃ mahāsamuddaṃ tarantassa vīriyapāramī paramatthapāramī nāma jātā.

    ตถา ขนฺติวาทิชาตเก

    Tathā khantivādijātake

    ‘‘อเจตนํว โกเฎฺฎเนฺต, ติเณฺหน ผรสุนา มมํ;

    ‘‘Acetanaṃva koṭṭente, tiṇhena pharasunā mamaṃ;

    กาสิราเช น กุปฺปามิ, เอสา เม ขนฺติปารมี’’ติฯ (ธ. ส. อฎฺฐ. นิทานกถา; ชา. อฎฺฐ. ๑.ทูเรนิทานกถา; อป. อฎฺฐ. ๑.ทูเรนิทานกถา) –

    Kāsirāje na kuppāmi, esā me khantipāramī’’ti. (dha. sa. aṭṭha. nidānakathā; jā. aṭṭha. 1.dūrenidānakathā; apa. aṭṭha. 1.dūrenidānakathā) –

    เอวํ อเจตนภาเวน วิย มหาทุกฺขํ อธิวาเสนฺตสฺส ขนฺติปารมี ปรมตฺถปารมี นาม ชาตาฯ

    Evaṃ acetanabhāvena viya mahādukkhaṃ adhivāsentassa khantipāramī paramatthapāramī nāma jātā.

    ตถา มหาสุตโสมชาตเก

    Tathā mahāsutasomajātake

    ‘‘สจฺจวาจํนุรกฺขโนฺต, จชิตฺวา มม ชีวิตํ;

    ‘‘Saccavācaṃnurakkhanto, cajitvā mama jīvitaṃ;

    โมเจสิํ เอกสตํ ขตฺติเย, เอสา เม สจฺจปารมี’’ติฯ (ธ. ส. อฎฺฐ. นิทานกถา; ชา. อฎฺฐ. ๑.ทูเรนิทานกถา; อป. อฎฺฐ. ๑.ทูเรนิทานกถา) –

    Mocesiṃ ekasataṃ khattiye, esā me saccapāramī’’ti. (dha. sa. aṭṭha. nidānakathā; jā. aṭṭha. 1.dūrenidānakathā; apa. aṭṭha. 1.dūrenidānakathā) –

    เอวํ ชีวิตํ จชิตฺวา สจฺจํ อนุรกฺขนฺตสฺส สจฺจปารมี ปรมตฺถปารมี นาม ชาตาฯ

    Evaṃ jīvitaṃ cajitvā saccaṃ anurakkhantassa saccapāramī paramatthapāramī nāma jātā.

    ตถา มูคปกฺขชาตเก

    Tathā mūgapakkhajātake

    ‘‘มาตา ปิตา น เม เทสฺสา, อตฺตา เม น จ เทสฺสิโย;

    ‘‘Mātā pitā na me dessā, attā me na ca dessiyo;

    สพฺพญฺญุตํ ปิยํ มยฺหํ, ตสฺมา วตํ อธิฎฺฐหิ’’นฺติฯ (ธ. ส. อฎฺฐ. นิทานกถา; ชา. อฎฺฐ. ๑.ทูเรนิทานกถา; อป. อฎฺฐ. ๑.ทูเรนิทานกถา; จริยา ๓.๖๕) –

    Sabbaññutaṃ piyaṃ mayhaṃ, tasmā vataṃ adhiṭṭhahi’’nti. (dha. sa. aṭṭha. nidānakathā; jā. aṭṭha. 1.dūrenidānakathā; apa. aṭṭha. 1.dūrenidānakathā; cariyā 3.65) –

    เอวํ ชีวิตมฺปิ ปริจฺจชิตฺวา วตํ อธิฎฺฐหนฺตสฺส อธิฎฺฐานปารมี ปรมตฺถปารมี นาม ชาตาฯ

    Evaṃ jīvitampi pariccajitvā vataṃ adhiṭṭhahantassa adhiṭṭhānapāramī paramatthapāramī nāma jātā.

    ตถา สุวณฺณสามชาตเก

    Tathā suvaṇṇasāmajātake

    ‘‘น มํ โกจิ อุตฺตสติ, นปิ ภายามิ กสฺสจิ;

    ‘‘Na maṃ koci uttasati, napi bhāyāmi kassaci;

    เมตฺตาพเลนุปตฺถโทฺธ, รมามิ ปวเน ตทา’’ติฯ (ธ. ส. อฎฺฐ. นิทานกถา; ชา. อฎฺฐ. ๑.ทูเรนิทานกถา; อป. อฎฺฐ. ๑.ทูเรนิทานกถา; จริยา. ๓.๑๑๓) –

    Mettābalenupatthaddho, ramāmi pavane tadā’’ti. (dha. sa. aṭṭha. nidānakathā; jā. aṭṭha. 1.dūrenidānakathā; apa. aṭṭha. 1.dūrenidānakathā; cariyā. 3.113) –

    เอวํ ชีวิตมฺปิ อโนโลเกตฺวา เมตฺตายนฺตสฺส เมตฺตาปารมี ปรมตฺถปารมี นาม ชาตาฯ

    Evaṃ jīvitampi anoloketvā mettāyantassa mettāpāramī paramatthapāramī nāma jātā.

    ตโต โลมหํสชาตเก

    Tato lomahaṃsajātake

    ‘‘สุสาเน เสยฺยํ กเปฺปมิ, ฉวฎฺฐิกํ อุปนิธายหํ;

    ‘‘Susāne seyyaṃ kappemi, chavaṭṭhikaṃ upanidhāyahaṃ;

    คามณฺฑลา อุปคนฺตฺวา, รูปํ ทเสฺสนฺตินปฺปก’’นฺติฯ (ธ. ส. อฎฺฐ. นิทานกถา; ชา. อฎฺฐ. ๑.ทูเรนิทานกถา; อป. อฎฺฐ. ๑.ทูเรนิทานกถา; จริยา. ๓.๑๑๙) –

    Gāmaṇḍalā upagantvā, rūpaṃ dassentinappaka’’nti. (dha. sa. aṭṭha. nidānakathā; jā. aṭṭha. 1.dūrenidānakathā; apa. aṭṭha. 1.dūrenidānakathā; cariyā. 3.119) –

    เอวํ คามทารเกสุ นิฎฺฐุภนาทีหิ เจว มาลาคนฺธูปหาราทีหิ จ สุขทุกฺขํ อุปฺปาเทเนฺตสุปิ อุเปกฺขํ อนติวตฺตนฺตสฺส อุเปกฺขาปารมี ปรมตฺถปารมี นาม ชาตาฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน จริยาปิฎกโต คเหตโพฺพฯ

    Evaṃ gāmadārakesu niṭṭhubhanādīhi ceva mālāgandhūpahārādīhi ca sukhadukkhaṃ uppādentesupi upekkhaṃ anativattantassa upekkhāpāramī paramatthapāramī nāma jātā. Ayamettha saṅkhepo, vitthāro pana cariyāpiṭakato gahetabbo.

    อิทานิ เถเรน ปุฎฺฐสฺส ภควโต พฺยากรณํ ทเสฺสเนฺตหิ สงฺคีติการเกหิ –

    Idāni therena puṭṭhassa bhagavato byākaraṇaṃ dassentehi saṅgītikārakehi –

    ๗๘.

    78.

    ‘‘ตสฺส ปุโฎฺฐ วิยากาสิ, กรวีกมธุรคิโร;

    ‘‘Tassa puṭṭho viyākāsi, karavīkamadhuragiro;

    นิพฺพาปยโนฺต หทยํ, หาสยโนฺต สเทวกํฯ

    Nibbāpayanto hadayaṃ, hāsayanto sadevakaṃ.

    ๗๙.

    79.

    ‘‘อตีตพุทฺธานํ ชินานํ เทสิตํ, นิกีลิตํ พุทฺธปรมฺปราคตํ;

    ‘‘Atītabuddhānaṃ jinānaṃ desitaṃ, nikīlitaṃ buddhaparamparāgataṃ;

    ปุเพฺพนิวาสานุคตาย พุทฺธิยา, ปกาสยี โลกหิตํ สเทวเก’’ติฯ – วุตฺตํ;

    Pubbenivāsānugatāya buddhiyā, pakāsayī lokahitaṃ sadevake’’ti. – vuttaṃ;

    ตตฺถ ตสฺส ปุโฎฺฐ วิยากาสีติ เตน ธมฺมเสนาปตินา ปุโฎฺฐ หุตฺวา ตสฺส พฺยากาสิ, อตฺตโน อภินีหารโต ปฎฺฐาย อภิสโมฺพธิปริโยสานํ สพฺพํ พุทฺธวํสํ กเถสีติ อโตฺถฯ กรวีกมธุรคิโรติ กรวีกสกุณสฺส วิย มธุรา คิรา ยสฺส โส กรวีกมธุรคิโร, กรวีกมธุรมญฺชุสฺสโรติ อโตฺถฯ ตตฺริทํ กรวีกานํ มธุรสฺสรตา – กรวีกสกุณา กิร มธุรรสํ อมฺพปกฺกํ มุขตุณฺฑเกน ปหริตฺวา ปคฺฆริตํ ผลรสํ ปิวิตฺวา ปเกฺขน ตาฬํ ทตฺวา วิกูชมาเน จตุปฺปทา มทมตฺตา วิย ลฬิตุํ อารภนฺติ, โคจรปสุตาปิ จตุปฺปทคณา มุขคตานิปิ ติณานิ ฉเฑฺฑตฺวา ตํ นาทํ สุณนฺติ, วาฬมิคา ขุทฺทกมิเค อนุพนฺธมานา อุกฺขิตฺตํ ปาทํ อนิกฺขิปิตฺวา จิตฺตกตา วิย ติฎฺฐนฺติ, อนุพนฺธมิคาปิ มรณภยํ หิตฺวา ติฎฺฐนฺติ, อากาเส ปกฺขนฺทนฺตา ปกฺขิโนปิ ปเกฺข ปสาเรตฺวา ติฎฺฐนฺติ, อุทเก มจฺฉาปิ กณฺณปฎลํ อจาเลนฺตา ตํ สทฺทํ สุณมานา ติฎฺฐนฺติฯ เอวํ มธุรสฺสรา กรวีกา (ที. นิ. อฎฺฐ. ๒.๓๘; ม. นิ. อฎฺฐ. ๒.๓๘๖)ฯ นิพฺพาปยโนฺต หทยนฺติ กิเลสคฺคิสนฺตตฺตสพฺพชนมานสํ ธมฺมกถามตธาราย สีติภาวํ ชนยโนฺตติ อโตฺถฯ หาสยโนฺตติ โตสยโนฺตฯ สเทวกนฺติ สเทวกํ โลกํฯ

    Tattha tassa puṭṭho viyākāsīti tena dhammasenāpatinā puṭṭho hutvā tassa byākāsi, attano abhinīhārato paṭṭhāya abhisambodhipariyosānaṃ sabbaṃ buddhavaṃsaṃ kathesīti attho. Karavīkamadhuragiroti karavīkasakuṇassa viya madhurā girā yassa so karavīkamadhuragiro, karavīkamadhuramañjussaroti attho. Tatridaṃ karavīkānaṃ madhurassaratā – karavīkasakuṇā kira madhurarasaṃ ambapakkaṃ mukhatuṇḍakena paharitvā paggharitaṃ phalarasaṃ pivitvā pakkhena tāḷaṃ datvā vikūjamāne catuppadā madamattā viya laḷituṃ ārabhanti, gocarapasutāpi catuppadagaṇā mukhagatānipi tiṇāni chaḍḍetvā taṃ nādaṃ suṇanti, vāḷamigā khuddakamige anubandhamānā ukkhittaṃ pādaṃ anikkhipitvā cittakatā viya tiṭṭhanti, anubandhamigāpi maraṇabhayaṃ hitvā tiṭṭhanti, ākāse pakkhandantā pakkhinopi pakkhe pasāretvā tiṭṭhanti, udake macchāpi kaṇṇapaṭalaṃ acālentā taṃ saddaṃ suṇamānā tiṭṭhanti. Evaṃ madhurassarā karavīkā (dī. ni. aṭṭha. 2.38; ma. ni. aṭṭha. 2.386). Nibbāpayanto hadayanti kilesaggisantattasabbajanamānasaṃ dhammakathāmatadhārāya sītibhāvaṃ janayantoti attho. Hāsayantoti tosayanto. Sadevakanti sadevakaṃ lokaṃ.

    อตีตพุทฺธานนฺติ อตีตานํ พุทฺธานํฯ อมฺหากํ ภควโต อภินีหารสฺส ปุรโต ปน ตณฺหงฺกโร เมธงฺกโร สรณงฺกโร ทีปงฺกโรติ จตฺตาโร พุทฺธา เอกสฺมิํ กเปฺป นิพฺพตฺติํสุฯ เตสํ อปรภาเค โกณฺฑญฺญาทโย เตวีสติ พุทฺธาติ สเพฺพ ทีปงฺกราทโย จตุวีสติ พุทฺธา อิธ ‘‘อตีตพุทฺธา’’ติ อธิเปฺปตา, เตสํ อตีตพุทฺธานํฯ ชินานนฺติ ตเสฺสว เววจนํฯ เทสิตนฺติ กถิตํฯ จตุวีสติยา พุทฺธานํ จตุสจฺจปฎิสํยุตฺตํ ธมฺมกถํฯ นิกีลิตนฺติ เตสํ จริตํ กปฺปชาติโคตฺตายุโพธิสาวกสนฺนิปาตอุปฎฺฐากมาตาปิตุปุตฺตภริยาปริเจฺฉทาทิกํ นิกีลิตํ นามฯ พุทฺธปรมฺปราคตนฺติ ทีปงฺกรทสพลโต ปฎฺฐาย ยาว กสฺสปปรมฺปรโต อาคตํ เทสิตํ นิกีลิตํ วาติ อโตฺถฯ ปุเพฺพนิวาสานุคตาย พุทฺธิยาติ เอกมฺปิ ชาติํ เทฺวปิ ชาติโยติ (ม. นิ. ๑.๑๔๘, ๓๘๔, ๔๒๑; ๒.๒๓๓; ๓.๘๒; ปารา. ๑๒) เอวํ วิภตฺตํ ปุเพฺพ นิวุฎฺฐกฺขนฺธสนฺตานสงฺขาตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุคตา อุปคตา ตาย ปุเพฺพนิวาสานุคตาย พุทฺธิยา, ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาเณนาติ อโตฺถฯ ปกาสยีติ พฺยากาสิฯ โลกหิตนฺติ สพฺพโลกหิตํ พุทฺธวํสํฯ สเทวเกติ สเทวเก โลเกติ อโตฺถฯ

    Atītabuddhānanti atītānaṃ buddhānaṃ. Amhākaṃ bhagavato abhinīhārassa purato pana taṇhaṅkaro medhaṅkaro saraṇaṅkaro dīpaṅkaroti cattāro buddhā ekasmiṃ kappe nibbattiṃsu. Tesaṃ aparabhāge koṇḍaññādayo tevīsati buddhāti sabbe dīpaṅkarādayo catuvīsati buddhā idha ‘‘atītabuddhā’’ti adhippetā, tesaṃ atītabuddhānaṃ. Jinānanti tasseva vevacanaṃ. Desitanti kathitaṃ. Catuvīsatiyā buddhānaṃ catusaccapaṭisaṃyuttaṃ dhammakathaṃ. Nikīlitanti tesaṃ caritaṃ kappajātigottāyubodhisāvakasannipātaupaṭṭhākamātāpituputtabhariyāparicchedādikaṃ nikīlitaṃ nāma. Buddhaparamparāgatanti dīpaṅkaradasabalato paṭṭhāya yāva kassapaparamparato āgataṃ desitaṃ nikīlitaṃ vāti attho. Pubbenivāsānugatāya buddhiyāti ekampi jātiṃ dvepi jātiyoti (ma. ni. 1.148, 384, 421; 2.233; 3.82; pārā. 12) evaṃ vibhattaṃ pubbe nivuṭṭhakkhandhasantānasaṅkhātaṃ pubbenivāsaṃ anugatā upagatā tāya pubbenivāsānugatāya buddhiyā, pubbenivāsānussatiñāṇenāti attho. Pakāsayīti byākāsi. Lokahitanti sabbalokahitaṃ buddhavaṃsaṃ. Sadevaketi sadevake loketi attho.

    ๘๐. อถ ภควา กรุณาสีตเลน หทเยน สเทวกํ โลกํ สวเน นิโยเชโนฺต ‘‘ปีติปาโมชฺชชนน’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปีติปาโมชฺชชนนนฺติ ปีติปาโมชฺชกรํ ปีติยา ปุพฺพภาคํ ปาโมชฺชํ, ปญฺจวณฺณาย ปีติยา ชนนนฺติ อโตฺถฯ โสกสลฺลวิโนทนนฺติ โสกสงฺขาตานํ สลฺลานํ วิโนทนํ วิทฺธํสนํฯ สพฺพสมฺปตฺติปฎิลาภนฺติ สพฺพาปิ เทวมนุสฺสสมฺปตฺติอาทโย สมฺปตฺติโย ปฎิลภนฺติ เอเตนาติ สพฺพสมฺปตฺติปฎิลาโภ, ตํ สพฺพสมฺปตฺติปฎิลาภํ พุทฺธวํสเทสนนฺติ อโตฺถฯ จิตฺตีกตฺวาติ จิเตฺต กตฺวา, พุทฺธานุสฺสติํ ปุรกฺขตฺวาติ อโตฺถฯ สุณาถาติ นิสาเมถ นิโพธถฯ เมติ มมฯ

    80. Atha bhagavā karuṇāsītalena hadayena sadevakaṃ lokaṃ savane niyojento ‘‘pītipāmojjajanana’’ntiādimāha. Tattha pītipāmojjajanananti pītipāmojjakaraṃ pītiyā pubbabhāgaṃ pāmojjaṃ, pañcavaṇṇāya pītiyā janananti attho. Sokasallavinodananti sokasaṅkhātānaṃ sallānaṃ vinodanaṃ viddhaṃsanaṃ. Sabbasampattipaṭilābhanti sabbāpi devamanussasampattiādayo sampattiyo paṭilabhanti etenāti sabbasampattipaṭilābho, taṃ sabbasampattipaṭilābhaṃ buddhavaṃsadesananti attho. Cittīkatvāti citte katvā, buddhānussatiṃ purakkhatvāti attho. Suṇāthāti nisāmetha nibodhatha. Meti mama.

    ๘๑. มทนิมฺมทนนฺติ ชาติมทาทีนํ สพฺพมทานํ นิมฺมทนกรํฯ โสกนุทนฺติ โสโก นาม ญาติพฺยสนาทีหิ ผุฎฺฐสฺส จิตฺตสนฺตาโปฯ กิญฺจาปิ อตฺถโต โทมนสฺสเมว โหติ, เอวํ สเนฺตปิ อโนฺตนิชฺฌานลกฺขโณ, เจตโส ปรินิชฺฌายนรโส, อนุโสจนปจฺจุปฎฺฐาโน, ตํ โสกํ นุทตีติ โสกนุโท, ตํ โสกนุทํฯ สํสารปริโมจนนฺติ สํสารพนฺธนโต ปริโมจนกรํฯ ‘‘สํสารสมติกฺกม’’นฺติปิ ปาโฐ, ตสฺส สํสารสมติกฺกมกรนฺติ อโตฺถฯ

    81.Madanimmadananti jātimadādīnaṃ sabbamadānaṃ nimmadanakaraṃ. Sokanudanti soko nāma ñātibyasanādīhi phuṭṭhassa cittasantāpo. Kiñcāpi atthato domanassameva hoti, evaṃ santepi antonijjhānalakkhaṇo, cetaso parinijjhāyanaraso, anusocanapaccupaṭṭhāno, taṃ sokaṃ nudatīti sokanudo, taṃ sokanudaṃ. Saṃsāraparimocananti saṃsārabandhanato parimocanakaraṃ. ‘‘Saṃsārasamatikkama’’ntipi pāṭho, tassa saṃsārasamatikkamakaranti attho.

    สพฺพทุกฺขกฺขยนฺติ เอตฺถ ทุกฺข-สโทฺท ทุกฺขเวทนา-ทุกฺขวตฺถุ-ทุกฺขารมฺมณ-ทุกฺขปจฺจย-ทุกฺขฎฺฐานาทีสุ ทิสฺสติฯ อยญฺหิ ‘‘ทุกฺขสฺส จ ปหานา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๒๓๒; ม. นิ. ๑.๓๘๓, ๔๓๐; ปารา. ๑๑) ทุกฺขเวทนายํ ทิสฺสติฯ ‘‘ชาติปิ ทุกฺขา ชราปิ ทุกฺขา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๓๘๗; สํ. นิ. ๕.๑๐๘๑) ทุกฺขวตฺถุสฺมิํฯ ‘‘ยสฺมา จ โข, มหาลิ, รูปํ ทุกฺขํ ทุกฺขานุปติตํ ทุกฺขาวกฺกนฺต’’นฺติอาทีสุ (สํ. นิ. ๓.๖๐) ทุกฺขารมฺมเณฯ ‘‘ทุโกฺข ปาปสฺส อุจฺจโย’’ติอาทีสุ (ธ. ป. ๑๑๗) ทุกฺขปจฺจเยฯ ‘‘ยาวญฺจิทํ, ภิกฺขเว, น สุกรา อกฺขาเนน ปาปุณิตํ ยาว ทุกฺขา นิรยา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๒๕๐) ทุกฺขฎฺฐาเนฯ อิธ ปนายํ ทุกฺขวตฺถุสฺมิํ ทุกฺขปจฺจเยปิ จ ทฎฺฐโพฺพฯ ตสฺมา ชาติอาทิสพฺพทุกฺขกฺขยกรนฺติ อโตฺถ (ธ. ส. อฎฺฐ. ๒ อาทโย)ฯ มคฺคนฺติ เอตฺถ กุสลตฺถิเกหิ มคฺคียติ, กิเลเส วา มาเรโนฺต คจฺฉตีติ มโคฺคติ พุทฺธวํสเทสนา วุจฺจติ, ตํ นิพฺพานสฺส มคฺคภูตํ พุทฺธวํสเทสนํฯ สกฺกจฺจนฺติ สกฺกจฺจํ จิตฺตีกตฺวา, โอหิตโสตา หุตฺวาติ อโตฺถฯ ปฎิปชฺชถาติ อธิติฎฺฐถ, สุณาถาติ อโตฺถฯ อถ วา ปีติปาโมชฺชชนนํ โสกสลฺลวิโนทนํ สพฺพสมฺปตฺติปฎิลาภเหตุภูตํ อิมํ พุทฺธวํสเทสนํ สุตฺวา อิทานิ มทนิมฺมทนาทิคุณวิเสสาวหํ สพฺพทุกฺขกฺขยํ พุทฺธภาวมคฺคํ ปฎิปชฺชถาติ สเพฺพสํ เทวมนุสฺสานํ พุทฺธตฺตํ ปณิธาย อุสฺสาหํ ชเนติฯ เสสเมตฺถ อุตฺตานเมวาติฯ

    Sabbadukkhakkhayanti ettha dukkha-saddo dukkhavedanā-dukkhavatthu-dukkhārammaṇa-dukkhapaccaya-dukkhaṭṭhānādīsu dissati. Ayañhi ‘‘dukkhassa ca pahānā’’tiādīsu (dī. ni. 1.232; ma. ni. 1.383, 430; pārā. 11) dukkhavedanāyaṃ dissati. ‘‘Jātipi dukkhā jarāpi dukkhā’’tiādīsu (dī. ni. 2.387; saṃ. ni. 5.1081) dukkhavatthusmiṃ. ‘‘Yasmā ca kho, mahāli, rūpaṃ dukkhaṃ dukkhānupatitaṃ dukkhāvakkanta’’ntiādīsu (saṃ. ni. 3.60) dukkhārammaṇe. ‘‘Dukkho pāpassa uccayo’’tiādīsu (dha. pa. 117) dukkhapaccaye. ‘‘Yāvañcidaṃ, bhikkhave, na sukarā akkhānena pāpuṇitaṃ yāva dukkhā nirayā’’tiādīsu (ma. ni. 3.250) dukkhaṭṭhāne. Idha panāyaṃ dukkhavatthusmiṃ dukkhapaccayepi ca daṭṭhabbo. Tasmā jātiādisabbadukkhakkhayakaranti attho (dha. sa. aṭṭha. 2 ādayo). Magganti ettha kusalatthikehi maggīyati, kilese vā mārento gacchatīti maggoti buddhavaṃsadesanā vuccati, taṃ nibbānassa maggabhūtaṃ buddhavaṃsadesanaṃ. Sakkaccanti sakkaccaṃ cittīkatvā, ohitasotā hutvāti attho. Paṭipajjathāti adhitiṭṭhatha, suṇāthāti attho. Atha vā pītipāmojjajananaṃ sokasallavinodanaṃ sabbasampattipaṭilābhahetubhūtaṃ imaṃ buddhavaṃsadesanaṃ sutvā idāni madanimmadanādiguṇavisesāvahaṃ sabbadukkhakkhayaṃ buddhabhāvamaggaṃ paṭipajjathāti sabbesaṃ devamanussānaṃ buddhattaṃ paṇidhāya ussāhaṃ janeti. Sesamettha uttānamevāti.

    อิติ มธุรตฺถวิลาสินิยา พุทฺธวํส-อฎฺฐกถาย

    Iti madhuratthavilāsiniyā buddhavaṃsa-aṭṭhakathāya

    รตนจงฺกมนกณฺฑวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Ratanacaṅkamanakaṇḍavaṇṇanā niṭṭhitā.

    นิฎฺฐิตา จ สพฺพากาเรน อพฺภนฺตรนิทานสฺสตฺถวณฺณนาฯ

    Niṭṭhitā ca sabbākārena abbhantaranidānassatthavaṇṇanā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / พุทฺธวํสปาฬิ • Buddhavaṃsapāḷi / ๑. รตนจงฺกมนกณฺฑํ • 1. Ratanacaṅkamanakaṇḍaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact