Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถา • Suttanipāta-aṭṭhakathā |
๒. จูฬวโคฺค
2. Cūḷavaggo
๑. รตนสุตฺตวณฺณนา
1. Ratanasuttavaṇṇanā
ยานีธ ภูตานีติ รตนสุตฺตํฯ กา อุปฺปตฺติ? อตีเต กิร เวสาลิยํ ทุพฺภิกฺขาทโย อุปทฺทวา อุปฺปชฺชิํสุฯ เตสํ วูปสมนตฺถาย ลิจฺฉวโย ราชคหํ คนฺตฺวา, ยาจิตฺวา, ภควนฺตํ เวสาลิมานยิํสุฯ เอวํ อานีโต ภควา เตสํ อุปทฺทวานํ วูปสมนตฺถาย อิทํ สุตฺตมภาสิฯ อยเมตฺถ สเงฺขโปฯ โปราณา ปนสฺส เวสาลิวตฺถุโต ปภุติ อุปฺปตฺติํ วณฺณยนฺติฯ สา เอวํ เวทิตพฺพา – พาราณสิรโญฺญ กิร อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ คโพฺภ สณฺฐาสิฯ สา ตํ ญตฺวา รโญฺญ นิเวเทสิฯ ราชา คพฺภปริหารํ อทาสิฯ สา สมฺมา ปริหริยมานคพฺภา คพฺภปริปากกาเล วิชายนฆรํ ปาวิสิฯ ปุญฺญวตีนํ ปจฺจูสสมเย คพฺภวุฎฺฐานํ โหติ, สา จ ตาสํ อญฺญตรา, เตน ปจฺจูสสมเย อลตฺตกปฎลพนฺธุชีวกปุปฺผสทิสํ มํสเปสิํ วิชายิฯ ตโต ‘‘อญฺญา เทวิโย สุวณฺณพิมฺพสทิเส ปุเตฺต วิชายนฺติ, อคฺคมเหสี มํสเปสินฺติ รโญฺญ ปุรโต มม อวโณฺณ อุปฺปเชฺชยฺยา’’ติ จิเนฺตตฺวา เตน อวณฺณภเยน ตํ มํสเปสิํ เอกสฺมิํ ภาชเน ปกฺขิปิตฺวา อเญฺญน ปฎิกุชฺชิตฺวา ราชมุทฺทิกาย ลเญฺฉตฺวา คงฺคาย โสเต ปกฺขิปาเปสิฯ มนุเสฺสหิ ฉฑฺฑิตมเตฺต เทวตา อารกฺขํ สํวิทหิํสุฯ สุวณฺณปฎฺฎิกเญฺจตฺถ ชาติหิงฺคุลเกน ‘‘พาราณสิรโญฺญ อคฺคมเหสิยา ปชา’’ติ ลิขิตฺวา พนฺธิํสุฯ ตโต ตํ ภาชนํ อูมิภยาทีหิ อนุปทฺทุตํ คงฺคาย โสเตน ปายาสิฯ
Yānīdhabhūtānīti ratanasuttaṃ. Kā uppatti? Atīte kira vesāliyaṃ dubbhikkhādayo upaddavā uppajjiṃsu. Tesaṃ vūpasamanatthāya licchavayo rājagahaṃ gantvā, yācitvā, bhagavantaṃ vesālimānayiṃsu. Evaṃ ānīto bhagavā tesaṃ upaddavānaṃ vūpasamanatthāya idaṃ suttamabhāsi. Ayamettha saṅkhepo. Porāṇā panassa vesālivatthuto pabhuti uppattiṃ vaṇṇayanti. Sā evaṃ veditabbā – bārāṇasirañño kira aggamahesiyā kucchimhi gabbho saṇṭhāsi. Sā taṃ ñatvā rañño nivedesi. Rājā gabbhaparihāraṃ adāsi. Sā sammā parihariyamānagabbhā gabbhaparipākakāle vijāyanagharaṃ pāvisi. Puññavatīnaṃ paccūsasamaye gabbhavuṭṭhānaṃ hoti, sā ca tāsaṃ aññatarā, tena paccūsasamaye alattakapaṭalabandhujīvakapupphasadisaṃ maṃsapesiṃ vijāyi. Tato ‘‘aññā deviyo suvaṇṇabimbasadise putte vijāyanti, aggamahesī maṃsapesinti rañño purato mama avaṇṇo uppajjeyyā’’ti cintetvā tena avaṇṇabhayena taṃ maṃsapesiṃ ekasmiṃ bhājane pakkhipitvā aññena paṭikujjitvā rājamuddikāya lañchetvā gaṅgāya sote pakkhipāpesi. Manussehi chaḍḍitamatte devatā ārakkhaṃ saṃvidahiṃsu. Suvaṇṇapaṭṭikañcettha jātihiṅgulakena ‘‘bārāṇasirañño aggamahesiyā pajā’’ti likhitvā bandhiṃsu. Tato taṃ bhājanaṃ ūmibhayādīhi anupaddutaṃ gaṅgāya sotena pāyāsi.
เตน จ สมเยน อญฺญตโร ตาปโส โคปาลกุลํ นิสฺสาย คงฺคาย ตีเร วสติฯ โส ปาโตวคงฺคํ โอติโณฺณ ตํ ภาชนํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ปํสุกูลสญฺญาย อคฺคเหสิฯ ตโต ตตฺถ ตํ อกฺขรปฎฺฎิกํ ราชมุทฺทิกาลญฺฉนญฺจ ทิสฺวา มุญฺจิตฺวา ตํ มํสเปสิํ อทฺทสฯ ทิสฺวานสฺส เอตทโหสิ – ‘‘สิยา คโพฺภ, ตถา หิสฺส ทุคฺคนฺธปูติภาโว นตฺถี’’ติ ตํ อสฺสมํ เนตฺวา สุเทฺธ โอกาเส ฐเปสิฯ อถ อฑฺฒมาสจฺจเยน เทฺว มํสเปสิโย อเหสุํฯ ตาปโส ทิสฺวา สาธุกตรํ ฐเปสิฯ ตโต ปุน อทฺธมาสจฺจเยน เอกเมกิสฺสา เปสิยา หตฺถปาทสีสานมตฺถาย ปญฺจ ปญฺจ ปิฬกา อุฎฺฐหิํสุฯ อถ ตโต อทฺธมาสจฺจเยน เอกา มํสเปสิ สุวณฺณพิมฺพสทิโส ทารโก; เอกา ทาริกา อโหสิฯ เตสุ ตาปสสฺส ปุตฺตสิเนโห อุปฺปชฺชิ, องฺคุฎฺฐโต จสฺส ขีรํ นิพฺพตฺติ, ตโต ปภุติ จ ขีรภตฺตํ ลภติฯ โส ภตฺตํ ภุญฺชิตฺวา ขีรํ ทารกานํ มุเข อาสิญฺจติฯ เตสํ ยํ ยํ อุทรํ ปวิสติ, ตํ สพฺพํ มณิภาชนคตํ วิย ทิสฺสติฯ เอวํ นิจฺฉวี อเหสุํฯ อปเร ปน อาหุ – ‘‘สิพฺพิตฺวา ฐปิตา วิย เนสํ อญฺญมญฺญํ ลีนา ฉวิ อโหสี’’ติฯ เอวํ เต นิจฺฉวิตาย วา ลีนจฺฉวิตาย วา ลิจฺฉวีติ ปญฺญายิํสุฯ
Tena ca samayena aññataro tāpaso gopālakulaṃ nissāya gaṅgāya tīre vasati. So pātovagaṅgaṃ otiṇṇo taṃ bhājanaṃ āgacchantaṃ disvā paṃsukūlasaññāya aggahesi. Tato tattha taṃ akkharapaṭṭikaṃ rājamuddikālañchanañca disvā muñcitvā taṃ maṃsapesiṃ addasa. Disvānassa etadahosi – ‘‘siyā gabbho, tathā hissa duggandhapūtibhāvo natthī’’ti taṃ assamaṃ netvā suddhe okāse ṭhapesi. Atha aḍḍhamāsaccayena dve maṃsapesiyo ahesuṃ. Tāpaso disvā sādhukataraṃ ṭhapesi. Tato puna addhamāsaccayena ekamekissā pesiyā hatthapādasīsānamatthāya pañca pañca piḷakā uṭṭhahiṃsu. Atha tato addhamāsaccayena ekā maṃsapesi suvaṇṇabimbasadiso dārako; ekā dārikā ahosi. Tesu tāpasassa puttasineho uppajji, aṅguṭṭhato cassa khīraṃ nibbatti, tato pabhuti ca khīrabhattaṃ labhati. So bhattaṃ bhuñjitvā khīraṃ dārakānaṃ mukhe āsiñcati. Tesaṃ yaṃ yaṃ udaraṃ pavisati, taṃ sabbaṃ maṇibhājanagataṃ viya dissati. Evaṃ nicchavī ahesuṃ. Apare pana āhu – ‘‘sibbitvā ṭhapitā viya nesaṃ aññamaññaṃ līnā chavi ahosī’’ti. Evaṃ te nicchavitāya vā līnacchavitāya vā licchavīti paññāyiṃsu.
ตาปโส ทารเก โปเสโนฺต อุสฺสูเร คามํ ปิณฺฑาย ปวิสติ, อติทิวา ปฎิกฺกมติฯ ตสฺส ตํ พฺยาปารํ ญตฺวา โคปาลกา อาหํสุ – ‘‘ภเนฺต, ปพฺพชิตานํ ทารกโปสนํ ปลิโพโธ, อมฺหากํ ทารเก เทถ, มยํ โปเสสฺสาม, ตุเมฺห อตฺตโน กมฺมํ กโรถา’’ติฯ ตาปโส ‘‘สาธู’’ติ ปฎิสฺสุณิฯ โคปาลกา ทุติยทิวเส มคฺคํ สมํ กตฺวา, ปุเปฺผหิ โอกิริตฺวา; ธชปฎากา อุสฺสาเปตฺวา ตูริเยหิ วชฺชมาเนหิ อสฺสมํ อาคตาฯ ตาปโส ‘‘มหาปุญฺญา ทารกา, อปฺปมาเทน วเฑฺฒถ, วเฑฺฒตฺวา จ อญฺญมญฺญํ อาวาหวิวาหํ กโรถ, ปญฺจโครเสน ราชานํ โตเสตฺวา ภูมิภาคํ คเหตฺวา นครํ มาเปถ, ตตฺร กุมารํ อภิสิญฺจถา’’ติ วตฺวา ทารเก อทาสิฯ เต ‘‘สาธู’’ติ ปฎิสฺสุณิตฺวา ทารเก เนตฺวา โปเสสุํฯ
Tāpaso dārake posento ussūre gāmaṃ piṇḍāya pavisati, atidivā paṭikkamati. Tassa taṃ byāpāraṃ ñatvā gopālakā āhaṃsu – ‘‘bhante, pabbajitānaṃ dārakaposanaṃ palibodho, amhākaṃ dārake detha, mayaṃ posessāma, tumhe attano kammaṃ karothā’’ti. Tāpaso ‘‘sādhū’’ti paṭissuṇi. Gopālakā dutiyadivase maggaṃ samaṃ katvā, pupphehi okiritvā; dhajapaṭākā ussāpetvā tūriyehi vajjamānehi assamaṃ āgatā. Tāpaso ‘‘mahāpuññā dārakā, appamādena vaḍḍhetha, vaḍḍhetvā ca aññamaññaṃ āvāhavivāhaṃ karotha, pañcagorasena rājānaṃ tosetvā bhūmibhāgaṃ gahetvā nagaraṃ māpetha, tatra kumāraṃ abhisiñcathā’’ti vatvā dārake adāsi. Te ‘‘sādhū’’ti paṭissuṇitvā dārake netvā posesuṃ.
ทารกา วฑฺฒิมนฺวาย กีฬนฺตา วิวาทฎฺฐาเนสุ อเญฺญ โคปาลทารเก หเตฺถนปิ ปาเทนปิ ปหรนฺติ, เต โรทนฺติฯ ‘‘กิสฺส โรทถา’’ติ จ มาตาปิตูหิ วุตฺตา ‘‘อิเม นิมฺมาตาปิติกา ตาปสโปสิตา อเมฺห อตีว ปหรนฺตี’’ติ วทนฺติฯ ตโต เตสํ มาตาปิตโร ‘‘อิเม ทารกา อเญฺญ ทารเก วิเหเฐนฺติ ทุกฺขาเปนฺติ, น อิเม สงฺคเหตพฺพา, วเชฺชตพฺพา อิเม’’ติ อาหํสุฯ ตโต ปภุติ กิร โส ปเทโส ‘‘วชฺชี’’ติ วุจฺจติ โยชนสตํ ปริมาเณนฯ อถ ตํ ปเทสํ โคปาลกา ราชานํ โตเสตฺวา อคฺคเหสุํฯ ตเตฺถว นครํ มาเปตฺวา โสฬสวสฺสุเทฺทสิกํ กุมารํ อภิสิญฺจิตฺวา ราชานํ อกํสุฯ ตาย จสฺส ทาริกาย สทฺธิํ วาเรยฺยํ กตฺวา กติกํ อกํสุ – ‘‘น พาหิรโต ทาริกา อาเนตพฺพา, อิโต ทาริกา น กสฺสจิ ทาตพฺพา’’ติฯ เตสํ ปฐมสํวาเสน เทฺว ทารกา ชาตา ธีตา จ ปุโตฺต จ, เอวํ โสฬสกฺขตฺตุํ เทฺว เทฺว ชาตาฯ ตโต เตสํ ทารกานํ ยถากฺกมํ วฑฺฒนฺตานํ อารามุยฺยานนิวาสนฎฺฐานปริวารสมฺปตฺติํ คเหตุํ อปฺปโหนฺตํ ตํ นครํ ติกฺขตฺตุํ คาวุตนฺตเรน คาวุตนฺตเรน ปากาเรน ปริกฺขิปิํสุฯ ตสฺส ปุนปฺปุนํ วิสาลีกตตฺตา เวสาลีเตฺวว นามํ ชาตํฯ อิทํ เวสาลีวตฺถุฯ
Dārakā vaḍḍhimanvāya kīḷantā vivādaṭṭhānesu aññe gopāladārake hatthenapi pādenapi paharanti, te rodanti. ‘‘Kissa rodathā’’ti ca mātāpitūhi vuttā ‘‘ime nimmātāpitikā tāpasapositā amhe atīva paharantī’’ti vadanti. Tato tesaṃ mātāpitaro ‘‘ime dārakā aññe dārake viheṭhenti dukkhāpenti, na ime saṅgahetabbā, vajjetabbā ime’’ti āhaṃsu. Tato pabhuti kira so padeso ‘‘vajjī’’ti vuccati yojanasataṃ parimāṇena. Atha taṃ padesaṃ gopālakā rājānaṃ tosetvā aggahesuṃ. Tattheva nagaraṃ māpetvā soḷasavassuddesikaṃ kumāraṃ abhisiñcitvā rājānaṃ akaṃsu. Tāya cassa dārikāya saddhiṃ vāreyyaṃ katvā katikaṃ akaṃsu – ‘‘na bāhirato dārikā ānetabbā, ito dārikā na kassaci dātabbā’’ti. Tesaṃ paṭhamasaṃvāsena dve dārakā jātā dhītā ca putto ca, evaṃ soḷasakkhattuṃ dve dve jātā. Tato tesaṃ dārakānaṃ yathākkamaṃ vaḍḍhantānaṃ ārāmuyyānanivāsanaṭṭhānaparivārasampattiṃ gahetuṃ appahontaṃ taṃ nagaraṃ tikkhattuṃ gāvutantarena gāvutantarena pākārena parikkhipiṃsu. Tassa punappunaṃ visālīkatattā vesālītveva nāmaṃ jātaṃ. Idaṃ vesālīvatthu.
อยํ ปน เวสาลี ภควโต อุปฺปนฺนกาเล อิทฺธา เวปุลฺลปฺปตฺตา อโหสิฯ ตตฺถ หิ ราชูนํเยว สตฺต สหสฺสานิ สตฺต จ สตานิ สตฺต จ ราชาโน อเหสุํ, ตถา ยุวราชเสนาปติภณฺฑาคาริกปฺปภุตีนํฯ ยถาห –
Ayaṃ pana vesālī bhagavato uppannakāle iddhā vepullappattā ahosi. Tattha hi rājūnaṃyeva satta sahassāni satta ca satāni satta ca rājāno ahesuṃ, tathā yuvarājasenāpatibhaṇḍāgārikappabhutīnaṃ. Yathāha –
‘‘เตน โข ปน สมเยน เวสาลี อิทฺธา เจว โหติ ผีตา จ พหุชนา อากิณฺณมนุสฺสา สุภิกฺขา จ, สตฺต จ ปาสาทสหสฺสานิ, สตฺต จ ปาสาทสตานิ, สตฺต จ ปาสาทา, สตฺต จ กูฎาคารสหสฺสานิ, สตฺต จ กูฎาคารสตานิ, สตฺต จ กูฎาคารานิ, สตฺต จ อารามสหสฺสานิ, สตฺต จ อารามสตานิ, สตฺต จ อารามา, สตฺต จ โปกฺขรณิสหสฺสานิ, สตฺต จ โปกฺขรณิสตานิ, สตฺต จ โปกฺขรณิโย’’ติ (มหาว. ๓๒๖)ฯ
‘‘Tena kho pana samayena vesālī iddhā ceva hoti phītā ca bahujanā ākiṇṇamanussā subhikkhā ca, satta ca pāsādasahassāni, satta ca pāsādasatāni, satta ca pāsādā, satta ca kūṭāgārasahassāni, satta ca kūṭāgārasatāni, satta ca kūṭāgārāni, satta ca ārāmasahassāni, satta ca ārāmasatāni, satta ca ārāmā, satta ca pokkharaṇisahassāni, satta ca pokkharaṇisatāni, satta ca pokkharaṇiyo’’ti (mahāva. 326).
สา อปเรน สมเยน ทุพฺภิกฺขา อโหสิ ทุพฺพุฎฺฐิกา ทุสฺสสฺสาฯ ปฐมํ ทุคฺคตมนุสฺสา มรนฺติ, เต พหิทฺธา ฉเฑฺฑนฺติฯ มตมนุสฺสานํ กุณปคเนฺธน อมนุสฺสา นครํ ปวิสิํสุฯ ตโต พหุตรา มียนฺติ, ตาย ปฎิกูลตาย จ สตฺตานํ อหิวาตกโรโค อุปฺปชฺชิฯ อิติ ตีหิ ทุพฺภิกฺขอมนุสฺสโรคภเยหิ อุปทฺทุตาย เวสาลิยา นครวาสิโน อุปสงฺกมิตฺวา ราชานมาหํสุ – ‘‘มหาราช, อิมสฺมิํ นคเร ติวิธํ ภยมุปฺปนฺนํ, อิโต ปุเพฺพ ยาว สตฺตมา ราชกุลปริวฎฺฎา เอวรูปํ อนุปฺปนฺนปุพฺพํ, ตุมฺหากํ มเญฺญ อธมฺมิกเตฺตน เอตรหิ อุปฺปนฺน’’นฺติฯ ราชา สเพฺพ สนฺถาคาเร สนฺนิปาตาเปตฺวา, ‘‘มยฺหํ อธมฺมิกภาวํ วิจินถา’’ติ อาหฯ เต สพฺพํ ปเวณิํ วิจินนฺตา น กิญฺจิ อทฺทสํสุฯ
Sā aparena samayena dubbhikkhā ahosi dubbuṭṭhikā dussassā. Paṭhamaṃ duggatamanussā maranti, te bahiddhā chaḍḍenti. Matamanussānaṃ kuṇapagandhena amanussā nagaraṃ pavisiṃsu. Tato bahutarā mīyanti, tāya paṭikūlatāya ca sattānaṃ ahivātakarogo uppajji. Iti tīhi dubbhikkhaamanussarogabhayehi upaddutāya vesāliyā nagaravāsino upasaṅkamitvā rājānamāhaṃsu – ‘‘mahārāja, imasmiṃ nagare tividhaṃ bhayamuppannaṃ, ito pubbe yāva sattamā rājakulaparivaṭṭā evarūpaṃ anuppannapubbaṃ, tumhākaṃ maññe adhammikattena etarahi uppanna’’nti. Rājā sabbe santhāgāre sannipātāpetvā, ‘‘mayhaṃ adhammikabhāvaṃ vicinathā’’ti āha. Te sabbaṃ paveṇiṃ vicinantā na kiñci addasaṃsu.
ตโต รโญฺญ โทสํ อทิสฺวา ‘‘อิทํ ภยํ อมฺหากํ กถํ วูปสเมยฺยา’’ติ จิเนฺตสุํฯ ตตฺถ เอกเจฺจ ฉ สตฺถาโร อปทิสิํสุ – ‘‘เอเตหิ โอกฺกนฺตมเตฺต วูปสมิสฺสตี’’ติฯ เอกเจฺจ อาหํสุ – ‘‘พุโทฺธ กิร โลเก อุปฺปโนฺน, โส ภควา สพฺพสตฺตหิตาย ธมฺมํ เทเสติ มหิทฺธิโก มหานุภาโว, เตน โอกฺกนฺตมเตฺต สพฺพภยานิ วูปสเมยฺยุ’’นฺติฯ เตน เต อตฺตมนา หุตฺวา ‘‘กหํ ปน โส ภควา เอตรหิ วิหรติ, อเมฺหหิ วา เปสิเต อาคเจฺฉยฺยา’’ติ อาหํสุฯ อถาปเร อาหํสุ – ‘‘พุทฺธา นาม อนุกมฺปกา, กิสฺส นาคเจฺฉยฺยุํ, โส ปน ภควา เอตรหิ ราชคเห วิหรติ, ราชา จ พิมฺพิสาโร ตํ อุปฎฺฐหติ, กทาจิ โส อาคนฺตุํ น ทเทยฺยา’’ติฯ ‘‘เตน หิ ราชานํ สญฺญาเปตฺวา อาเนสฺสามา’’ติ เทฺว ลิจฺฉวิราชาโน มหตา พลกาเยน ปหูตํ ปณฺณาการํ ทตฺวา รโญฺญ สนฺติกํ เปเสสุํ – ‘‘พิมฺพิสารํ สญฺญาเปตฺวา ภควนฺตํ อาเนถา’’ติฯ เต คนฺตฺวา รโญฺญ ปณฺณาการํ ทตฺวา ตํ ปวตฺติํ นิเวเทตฺวา ‘‘มหาราช, ภควนฺตํ อมฺหากํ นครํ เปเสหี’’ติ อาหํสุฯ ราชา น สมฺปฎิจฺฉิ – ‘‘ตุเมฺห เอว ชานาถา’’ติ อาหฯ เต ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา เอวมาหํสุ – ‘‘ภเนฺต, อมฺหากํ นคเร ตีณิ ภยานิ อุปฺปนฺนานิฯ สเจ ภควา อาคเจฺฉยฺย, โสตฺถิ โน ภเวยฺยา’’ติฯ ภควา อาวเชฺชตฺวา ‘‘เวสาลิยํ รตนสุเตฺต วุเตฺต สา รกฺขา โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาฬานิ ผริสฺสติ, สุตฺตปริโยสาเน จตุราสีติยา ปาณสหสฺสานํ ธมฺมาภิสมโย ภวิสฺสตี’’ติ อธิวาเสสิฯ อถ ราชา พิมฺพิสาโร ภควโต อธิวาสนํ สุตฺวา ‘‘ภควตา เวสาลิคมนํ อธิวาสิต’’นฺติ นคเร โฆสนํ การาเปตฺวา ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา อาห – ‘‘กิํ, ภเนฺต, สมฺปฎิจฺฉิตฺถ เวสาลิคมน’’นฺติ? ‘‘อาม, มหาราชา’’ติฯ ‘‘เตน หิ, ภเนฺต, อาคเมถ, ยาว มคฺคํ ปฎิยาเทมี’’ติฯ
Tato rañño dosaṃ adisvā ‘‘idaṃ bhayaṃ amhākaṃ kathaṃ vūpasameyyā’’ti cintesuṃ. Tattha ekacce cha satthāro apadisiṃsu – ‘‘etehi okkantamatte vūpasamissatī’’ti. Ekacce āhaṃsu – ‘‘buddho kira loke uppanno, so bhagavā sabbasattahitāya dhammaṃ deseti mahiddhiko mahānubhāvo, tena okkantamatte sabbabhayāni vūpasameyyu’’nti. Tena te attamanā hutvā ‘‘kahaṃ pana so bhagavā etarahi viharati, amhehi vā pesite āgaccheyyā’’ti āhaṃsu. Athāpare āhaṃsu – ‘‘buddhā nāma anukampakā, kissa nāgaccheyyuṃ, so pana bhagavā etarahi rājagahe viharati, rājā ca bimbisāro taṃ upaṭṭhahati, kadāci so āgantuṃ na dadeyyā’’ti. ‘‘Tena hi rājānaṃ saññāpetvā ānessāmā’’ti dve licchavirājāno mahatā balakāyena pahūtaṃ paṇṇākāraṃ datvā rañño santikaṃ pesesuṃ – ‘‘bimbisāraṃ saññāpetvā bhagavantaṃ ānethā’’ti. Te gantvā rañño paṇṇākāraṃ datvā taṃ pavattiṃ nivedetvā ‘‘mahārāja, bhagavantaṃ amhākaṃ nagaraṃ pesehī’’ti āhaṃsu. Rājā na sampaṭicchi – ‘‘tumhe eva jānāthā’’ti āha. Te bhagavantaṃ upasaṅkamitvā vanditvā evamāhaṃsu – ‘‘bhante, amhākaṃ nagare tīṇi bhayāni uppannāni. Sace bhagavā āgaccheyya, sotthi no bhaveyyā’’ti. Bhagavā āvajjetvā ‘‘vesāliyaṃ ratanasutte vutte sā rakkhā koṭisatasahassacakkavāḷāni pharissati, suttapariyosāne caturāsītiyā pāṇasahassānaṃ dhammābhisamayo bhavissatī’’ti adhivāsesi. Atha rājā bimbisāro bhagavato adhivāsanaṃ sutvā ‘‘bhagavatā vesāligamanaṃ adhivāsita’’nti nagare ghosanaṃ kārāpetvā bhagavantaṃ upasaṅkamitvā āha – ‘‘kiṃ, bhante, sampaṭicchittha vesāligamana’’nti? ‘‘Āma, mahārājā’’ti. ‘‘Tena hi, bhante, āgametha, yāva maggaṃ paṭiyādemī’’ti.
อถ โข ราชา พิมฺพิสาโร ราชคหสฺส จ คงฺคาย จ อนฺตรา ปญฺจโยชนํ ภูมิํ สมํ กตฺวา, โยชเน โยชเน วิหารํ มาเปตฺวา, ภควโต คมนกาลํ ปฎิเวเทสิฯ ภควา ปญฺจหิ ภิกฺขุสเตหิ ปริวุโต ปายาสิฯ ราชา ปญฺจโยชนํ มคฺคํ ปญฺจวเณฺณหิ ปุเปฺผหิ ชาณุมตฺตํ โอกิราเปตฺวา ธชปฎากาปุณฺณฆฎกทลิอาทีนิ อุสฺสาเปตฺวา ภควโต เทฺว เสตจฺฉตฺตานิ, เอเกกสฺส จ ภิกฺขุสฺส เอกเมกํ อุกฺขิปาเปตฺวา สทฺธิํ อตฺตโน ปริวาเรน ปุปฺผคนฺธาทีหิ ปูชํ กโรโนฺต เอเกกสฺมิํ วิหาเร ภควนฺตํ วสาเปตฺวา มหาทานานิ ทตฺวา ปญฺจหิ ทิวเสหิ คงฺคาตีรํ เนสิฯ ตตฺถ สพฺพาลงฺกาเรหิ นาวํ อลงฺกโรโนฺต เวสาลิกานํ สาสนํ เปเสสิ – ‘‘อาคโต ภควา, มคฺคํ ปฎิยาเทตฺวา สเพฺพ ภควโต ปจฺจุคฺคมนํ กโรถา’’ติฯ เต ‘‘ทิคุณํ ปูชํ กริสฺสามา’’ติ เวสาลิยา จ คงฺคาย จ อนฺตรา ติโยชนํ ภูมิํ สมํ กตฺวา ภควโต จตฺตาริ, เอเกกสฺส จ ภิกฺขุโน เทฺว เทฺว เสตจฺฉตฺตานิ สเชฺชตฺวา ปูชํ กุรุมานา คงฺคาตีเร อาคนฺตฺวา อฎฺฐํสุฯ
Atha kho rājā bimbisāro rājagahassa ca gaṅgāya ca antarā pañcayojanaṃ bhūmiṃ samaṃ katvā, yojane yojane vihāraṃ māpetvā, bhagavato gamanakālaṃ paṭivedesi. Bhagavā pañcahi bhikkhusatehi parivuto pāyāsi. Rājā pañcayojanaṃ maggaṃ pañcavaṇṇehi pupphehi jāṇumattaṃ okirāpetvā dhajapaṭākāpuṇṇaghaṭakadaliādīni ussāpetvā bhagavato dve setacchattāni, ekekassa ca bhikkhussa ekamekaṃ ukkhipāpetvā saddhiṃ attano parivārena pupphagandhādīhi pūjaṃ karonto ekekasmiṃ vihāre bhagavantaṃ vasāpetvā mahādānāni datvā pañcahi divasehi gaṅgātīraṃ nesi. Tattha sabbālaṅkārehi nāvaṃ alaṅkaronto vesālikānaṃ sāsanaṃ pesesi – ‘‘āgato bhagavā, maggaṃ paṭiyādetvā sabbe bhagavato paccuggamanaṃ karothā’’ti. Te ‘‘diguṇaṃ pūjaṃ karissāmā’’ti vesāliyā ca gaṅgāya ca antarā tiyojanaṃ bhūmiṃ samaṃ katvā bhagavato cattāri, ekekassa ca bhikkhuno dve dve setacchattāni sajjetvā pūjaṃ kurumānā gaṅgātīre āgantvā aṭṭhaṃsu.
พิมฺพิสาโร เทฺว นาวาโย สงฺฆาเฎตฺวา, มณฺฑปํ กตฺวา, ปุปฺผทามาทีหิ อลงฺกริตฺวา ตตฺถ สพฺพรตนมยํ พุทฺธาสนํ ปญฺญาเปสิฯ ภควา ตสฺมิํ นิสีทิฯ ปญฺจสตา ภิกฺขูปิ นาวํ อภิรุหิตฺวา ยถานุรูปํ นิสีทิํสุฯ ราชา ภควนฺตํ อนุคจฺฉโนฺต คลปฺปมาณํ อุทกํ โอโรหิตฺวา ‘‘ยาว, ภเนฺต, ภควา อาคจฺฉติ, ตาวาหํ อิเธว คงฺคาตีเร วสิสฺสามี’’ติ วตฺวา นิวโตฺตฯ อุปริ เทวตา ยาว อกนิฎฺฐภวนา ปูชมกํสุ, เหฎฺฐา คงฺคานิวาสิโน กมฺพลสฺสตราทโย นาคา ปูชมกํสุฯ เอวํ มหติยา ปูชาย ภควา โยชนมตฺตํ อทฺธานํ คงฺคาย คนฺตฺวา เวสาลิกานํ สีมนฺตรํ ปวิโฎฺฐฯ
Bimbisāro dve nāvāyo saṅghāṭetvā, maṇḍapaṃ katvā, pupphadāmādīhi alaṅkaritvā tattha sabbaratanamayaṃ buddhāsanaṃ paññāpesi. Bhagavā tasmiṃ nisīdi. Pañcasatā bhikkhūpi nāvaṃ abhiruhitvā yathānurūpaṃ nisīdiṃsu. Rājā bhagavantaṃ anugacchanto galappamāṇaṃ udakaṃ orohitvā ‘‘yāva, bhante, bhagavā āgacchati, tāvāhaṃ idheva gaṅgātīre vasissāmī’’ti vatvā nivatto. Upari devatā yāva akaniṭṭhabhavanā pūjamakaṃsu, heṭṭhā gaṅgānivāsino kambalassatarādayo nāgā pūjamakaṃsu. Evaṃ mahatiyā pūjāya bhagavā yojanamattaṃ addhānaṃ gaṅgāya gantvā vesālikānaṃ sīmantaraṃ paviṭṭho.
ตโต ลิจฺฉวิราชาโน เตน พิมฺพิสาเรน กตปูชาย ทิคุณํ กโรนฺตา คลปฺปมาเณ อุทเก ภควนฺตํ ปจฺจุคฺคจฺฉิํสุฯ เตเนว ขเณน เตน มุหุเตฺตน วิชฺชุปฺปภาวินทฺธนฺธการวิสฎกูโฎ คฬคฬายโนฺต จตูสุ ทิสาสุ มหาเมโฆ วุฎฺฐาสิฯ อถ ภควตา ปฐมปาเท คงฺคาตีเร นิกฺขิตฺตมเตฺต โปกฺขรวสฺสํ วสฺสิฯ เย เตเมตุกามา, เต เอว เตเมนฺติ, อเตเมตุกามา น เตเมนฺติฯ สพฺพตฺถ ชาณุมตฺตํ อูรุมตฺตํ กฎิมตฺตํ คลปฺปมาณํ อุทกํ วหติ, สพฺพกุณปานิ อุทเกน คงฺคํ ปเวสิตานิ ปริสุโทฺธ ภูมิภาโค อโหสิฯ
Tato licchavirājāno tena bimbisārena katapūjāya diguṇaṃ karontā galappamāṇe udake bhagavantaṃ paccuggacchiṃsu. Teneva khaṇena tena muhuttena vijjuppabhāvinaddhandhakāravisaṭakūṭo gaḷagaḷāyanto catūsu disāsu mahāmegho vuṭṭhāsi. Atha bhagavatā paṭhamapāde gaṅgātīre nikkhittamatte pokkharavassaṃ vassi. Ye temetukāmā, te eva tementi, atemetukāmā na tementi. Sabbattha jāṇumattaṃ ūrumattaṃ kaṭimattaṃ galappamāṇaṃ udakaṃ vahati, sabbakuṇapāni udakena gaṅgaṃ pavesitāni parisuddho bhūmibhāgo ahosi.
ลิจฺฉวิราชาโน ภควนฺตํ อนฺตรา โยชเน โยชเน วาสาเปตฺวา มหาทานานิ ทตฺวา ตีหิ ทิวเสหิ ทิคุณํ ปูชํ กโรนฺตา เวสาลิํ นยิํสุฯ เวสาลิํ สมฺปเตฺต ภควติ สโกฺก เทวานมิโนฺท เทวสงฺฆปุรกฺขโต อาคจฺฉิ, มเหสกฺขานํ เทวานํ สนฺนิปาเตน อมนุสฺสา เยภุเยฺยน ปลายิํสุฯ ภควา นครทฺวาเร ฐตฺวา อานนฺทเตฺถรํ อามเนฺตสิ – ‘‘อิมํ อานนฺท, รตนสุตฺตํ อุคฺคเหตฺวา พลิกมฺมูปกรณานิ คเหตฺวา ลิจฺฉวิกุมาเรหิ สทฺธิํ เวสาลิยา ตีสุ ปาการนฺตเรสุ วิจรโนฺต ปริตฺตํ กโรหี’’ติ รตนสุตฺตํ อภาสิฯ เอวํ ‘‘เกน ปเนตํ สุตฺตํ, กทา, กตฺถ, กสฺมา จ วุตฺต’’นฺติ เอเตสํ ปญฺหานํ วิสฺสชฺชนา วิตฺถาเรน เวสาลิวตฺถุโต ปภุติ โปราเณหิ วณฺณิยติฯ
Licchavirājāno bhagavantaṃ antarā yojane yojane vāsāpetvā mahādānāni datvā tīhi divasehi diguṇaṃ pūjaṃ karontā vesāliṃ nayiṃsu. Vesāliṃ sampatte bhagavati sakko devānamindo devasaṅghapurakkhato āgacchi, mahesakkhānaṃ devānaṃ sannipātena amanussā yebhuyyena palāyiṃsu. Bhagavā nagaradvāre ṭhatvā ānandattheraṃ āmantesi – ‘‘imaṃ ānanda, ratanasuttaṃ uggahetvā balikammūpakaraṇāni gahetvā licchavikumārehi saddhiṃ vesāliyā tīsu pākārantaresu vicaranto parittaṃ karohī’’ti ratanasuttaṃ abhāsi. Evaṃ ‘‘kena panetaṃ suttaṃ, kadā, kattha, kasmā ca vutta’’nti etesaṃ pañhānaṃ vissajjanā vitthārena vesālivatthuto pabhuti porāṇehi vaṇṇiyati.
เอวํ ภควโต เวสาลิํ อนุปฺปตฺตทิวเสเยว เวสาลินครทฺวาเร เตสํ อุปทฺทวานํ ปฎิฆาตตฺถาย วุตฺตมิทํ รตนสุตฺตํ อุคฺคเหตฺวา อายสฺมา อานโนฺท ปริตฺตตฺถาย ภาสมาโน ภควโต ปเตฺตน อุทกํ อาทาย สพฺพนครํ อพฺภุกฺกิรโนฺต อนุวิจริฯ ‘‘ยํ กิญฺจี’’ติ วุตฺตมเตฺตเยว จ เถเรน เย ปุเพฺพ อปลาตา สงฺการกูฎภิตฺติปฺปเทสาทินิสฺสิตา อมนุสฺสา, เต จตูหิ ทฺวาเรหิ ปลายิํสุ, ทฺวารานิ อโนกาสานิ อเหสุํฯ ตโต เอกเจฺจ ทฺวาเรสุ โอกาสํ อลภมานา ปาการํ ภินฺทิตฺวา ปลาตาฯ อมนุเสฺสสุ คตมเตฺตสุ มนุสฺสานํ คเตฺตสุ โรโค วูปสโนฺต, เต นิกฺขมิตฺวา สพฺพคนฺธปุปฺผาทีหิ เถรํ ปูเชสุํฯ มหาชโน นครมเชฺฌ สนฺถาคารํ สพฺพคเนฺธหิ ลิมฺปิตฺวา วิตานํ กตฺวา สพฺพาลงฺกาเรหิ อลงฺกริตฺวา ตตฺถ พุทฺธาสนํ ปญฺญาเปตฺวา ภควนฺตํ อาเนสิฯ
Evaṃ bhagavato vesāliṃ anuppattadivaseyeva vesālinagaradvāre tesaṃ upaddavānaṃ paṭighātatthāya vuttamidaṃ ratanasuttaṃ uggahetvā āyasmā ānando parittatthāya bhāsamāno bhagavato pattena udakaṃ ādāya sabbanagaraṃ abbhukkiranto anuvicari. ‘‘Yaṃ kiñcī’’ti vuttamatteyeva ca therena ye pubbe apalātā saṅkārakūṭabhittippadesādinissitā amanussā, te catūhi dvārehi palāyiṃsu, dvārāni anokāsāni ahesuṃ. Tato ekacce dvāresu okāsaṃ alabhamānā pākāraṃ bhinditvā palātā. Amanussesu gatamattesu manussānaṃ gattesu rogo vūpasanto, te nikkhamitvā sabbagandhapupphādīhi theraṃ pūjesuṃ. Mahājano nagaramajjhe santhāgāraṃ sabbagandhehi limpitvā vitānaṃ katvā sabbālaṅkārehi alaṅkaritvā tattha buddhāsanaṃ paññāpetvā bhagavantaṃ ānesi.
ภควา สนฺถาคารํ ปวิสิตฺวา ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีทิฯ ภิกฺขุสโงฺฆปิ โข ราชาโน มนุสฺสา จ ปติรูเป โอกาเส นิสีทิํสุฯ สโกฺกปิ เทวานมิโนฺท ทฺวีสุ เทวโลเกสุ เทวปริสาย สทฺธิํ อุปนิสีทิ อเญฺญ จ เทวาฯ อานนฺทเตฺถโรปิ สพฺพํ เวสาลิํ อนุวิจรโนฺต อารกฺขํ กตฺวา เวสาลินครวาสีหิ สทฺธิํ อาคนฺตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ ตตฺถ ภควา สเพฺพสํ ตเทว รตนสุตฺตํ อภาสีติฯ
Bhagavā santhāgāraṃ pavisitvā paññatte āsane nisīdi. Bhikkhusaṅghopi kho rājāno manussā ca patirūpe okāse nisīdiṃsu. Sakkopi devānamindo dvīsu devalokesu devaparisāya saddhiṃ upanisīdi aññe ca devā. Ānandattheropi sabbaṃ vesāliṃ anuvicaranto ārakkhaṃ katvā vesālinagaravāsīhi saddhiṃ āgantvā ekamantaṃ nisīdi. Tattha bhagavā sabbesaṃ tadeva ratanasuttaṃ abhāsīti.
๒๒๔. ตตฺถ ยานีธ ภูตานีติ ปฐมคาถายํ ยานีติ ยาทิสานิ อเปฺปสกฺขานิ วา มเหสกฺขานิ วาฯ อิธาติ อิมสฺมิํ ปเทเส, ตสฺมิํ ขเณ สนฺนิปติตฎฺฐานํ สนฺธายาหฯ ภูตานีติ กิญฺจาปิ ภูตสโทฺท ‘‘ภูตสฺมิํ ปาจิตฺติย’’นฺติ เอวมาทีสุ (ปาจิ. ๖๙) วิชฺชมาเน, ‘‘ภูตมิทนฺติ, ภิกฺขเว, สมนุปสฺสถา’’ติ เอวมาทีสุ (ม. นิ. ๑.๔๐๑) ขนฺธปญฺจเก, ‘‘จตฺตาโร โข, ภิกฺขุ, มหาภูตา เหตู’’ติ เอวมาทีสุ (ม. นิ. ๓.๘๖) จตุพฺพิเธ ปถวีธาตฺวาทิรูเป, ‘‘โย จ กาลฆโส ภูโต’’ติ เอวมาทีสุ (ชา. ๑.๒.๑๙๐) ขีณาสเว, ‘‘สเพฺพว นิกฺขิปิสฺสนฺติ, ภูตา โลเก สมุสฺสย’’นฺติ เอวมาทีสุ (ที. นิ. ๒.๒๒๐) สพฺพสเตฺต, ‘‘ภูตคามปาตพฺยตายา’’ติ เอวมาทีสุ (ปาจิ. ๙๐) รุกฺขาทิเก, ‘‘ภูตํ ภูตโต สญฺชานาตี’’ติ เอวมาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓) จาตุมหาราชิกานํ เหฎฺฐา สตฺตนิกายํ อุปาทาย วตฺตติฯ อิธ ปน อวิเสสโต อมนุเสฺสสุ ทฎฺฐโพฺพฯ
224. Tattha yānīdha bhūtānīti paṭhamagāthāyaṃ yānīti yādisāni appesakkhāni vā mahesakkhāni vā. Idhāti imasmiṃ padese, tasmiṃ khaṇe sannipatitaṭṭhānaṃ sandhāyāha. Bhūtānīti kiñcāpi bhūtasaddo ‘‘bhūtasmiṃ pācittiya’’nti evamādīsu (pāci. 69) vijjamāne, ‘‘bhūtamidanti, bhikkhave, samanupassathā’’ti evamādīsu (ma. ni. 1.401) khandhapañcake, ‘‘cattāro kho, bhikkhu, mahābhūtā hetū’’ti evamādīsu (ma. ni. 3.86) catubbidhe pathavīdhātvādirūpe, ‘‘yo ca kālaghaso bhūto’’ti evamādīsu (jā. 1.2.190) khīṇāsave, ‘‘sabbeva nikkhipissanti, bhūtā loke samussaya’’nti evamādīsu (dī. ni. 2.220) sabbasatte, ‘‘bhūtagāmapātabyatāyā’’ti evamādīsu (pāci. 90) rukkhādike, ‘‘bhūtaṃ bhūtato sañjānātī’’ti evamādīsu (ma. ni. 1.3) cātumahārājikānaṃ heṭṭhā sattanikāyaṃ upādāya vattati. Idha pana avisesato amanussesu daṭṭhabbo.
สมาคตานีติ สนฺนิปติตานิฯ ภุมฺมานีติ ภูมิยํ นิพฺพตฺตานิฯ วาติ วิกปฺปเนฯ เตน ยานีธ ภุมฺมานิ วา ภูตานิ สมาคตานีติ อิมเมกํ วิกปฺปํ กตฺวา ปุน ทุติยํ วิกปฺปํ กาตุํ ‘‘ยานิ วา อนฺตลิเกฺข’’ติ อาหฯ อนฺตลิเกฺข วา ยานิ ภูตานิ นิพฺพตฺตานิ, ตานิ สพฺพานิ อิธ สมาคตานีติ อโตฺถฯ เอตฺถ จ ยามโต ยาว อกนิฎฺฐํ, ตาว นิพฺพตฺตานิ ภูตานิ อากาเส ปาตุภูตวิมาเนสุ นิพฺพตฺตตฺตา ‘‘อนฺตลิเกฺข ภูตานี’’ติ เวทิตพฺพานิฯ ตโต เหฎฺฐา สิเนรุโต ปภุติ ยาว ภูมิยํ รุกฺขลตาทีสุ อธิวตฺถานิ ปถวิยญฺจ นิพฺพตฺตานิ ภูตานิ, ตานิ สพฺพานิ ภูมิยํ ภูมิปฎิพเทฺธสุ จ รุกฺขลตาปพฺพตาทีสุ นิพฺพตฺตตฺตา ‘‘ภุมฺมานิ ภูตานี’’ติ เวทิตพฺพานิฯ
Samāgatānīti sannipatitāni. Bhummānīti bhūmiyaṃ nibbattāni. Vāti vikappane. Tena yānīdha bhummāni vā bhūtāni samāgatānīti imamekaṃ vikappaṃ katvā puna dutiyaṃ vikappaṃ kātuṃ ‘‘yāni vā antalikkhe’’ti āha. Antalikkhe vā yāni bhūtāni nibbattāni, tāni sabbāni idha samāgatānīti attho. Ettha ca yāmato yāva akaniṭṭhaṃ, tāva nibbattāni bhūtāni ākāse pātubhūtavimānesu nibbattattā ‘‘antalikkhe bhūtānī’’ti veditabbāni. Tato heṭṭhā sineruto pabhuti yāva bhūmiyaṃ rukkhalatādīsu adhivatthāni pathaviyañca nibbattāni bhūtāni, tāni sabbāni bhūmiyaṃ bhūmipaṭibaddhesu ca rukkhalatāpabbatādīsu nibbattattā ‘‘bhummāni bhūtānī’’ti veditabbāni.
เอวํ ภควา สพฺพาเนว อมนุสฺสภูตานิ ‘‘ภุมฺมานิ วา ยานิ ว อนฺตลิเกฺข’’ติ ทฺวีหิ ปเทหิ วิกเปฺปตฺวา ปุน เอเกน ปเทน ปริคฺคเหตฺวา ‘‘สเพฺพว ภูตา สุมนา ภวนฺตู’’ติ อาหฯ สเพฺพติ อนวเสสาฯ เอวาติ อวธารเณ, เอกมฺปิ อนปเนตฺวาติ อธิปฺปาโยฯ ภูตาติ อมนุสฺสาฯ สุมนา ภวนฺตูติ สุขิตมนา, ปีติโสมนสฺสชาตา ภวนฺตูติ อโตฺถฯ อโถปีติ กิจฺจนฺตรสนฺนิโยชนตฺถํ วาโกฺยปาทาเน นิปาตทฺวยํฯ สกฺกจฺจ สุณนฺตุ ภาสิตนฺติ อฎฺฐิํ กตฺวา, มนสิ กตฺวา, สพฺพเจตโส สมนฺนาหริตฺวา ทิพฺพสมฺปตฺติโลกุตฺตรสุขาวหํ มม เทสนํ สุณนฺตุฯ
Evaṃ bhagavā sabbāneva amanussabhūtāni ‘‘bhummāni vā yāni va antalikkhe’’ti dvīhi padehi vikappetvā puna ekena padena pariggahetvā ‘‘sabbeva bhūtā sumanā bhavantū’’ti āha. Sabbeti anavasesā. Evāti avadhāraṇe, ekampi anapanetvāti adhippāyo. Bhūtāti amanussā. Sumanā bhavantūti sukhitamanā, pītisomanassajātā bhavantūti attho. Athopīti kiccantarasanniyojanatthaṃ vākyopādāne nipātadvayaṃ. Sakkacca suṇantu bhāsitanti aṭṭhiṃ katvā, manasi katvā, sabbacetaso samannāharitvā dibbasampattilokuttarasukhāvahaṃ mama desanaṃ suṇantu.
เอวเมตฺถ ภควา ‘‘ยานีธ ภูตานิ สมาคตานี’’ติ อนิยมิตวจเนน ภูตานิ ปริคฺคเหตฺวา ปุน ‘‘ภุมฺมานิ วา ยานิ ว อนฺตลิเกฺข’’ติ ทฺวิธา วิกเปฺปตฺวา ตโต ‘‘สเพฺพว ภูตา’’ติ ปุน เอกชฺฌํ กตฺวา ‘‘สุมนา ภวนฺตู’’ติ อิมินา วจเนน อาสยสมฺปตฺติยํ นิโยเชโนฺต ‘‘สกฺกจฺจ สุณนฺตุ ภาสิต’’นฺติ ปโยคสมฺปตฺติยํ, ตถา โยนิโสมนสิการสมฺปตฺติยํ ปรโตโฆสสมฺปตฺติยญฺจ, ตถา อตฺตสมฺมาปณิธิสปฺปุริสูปนิสฺสยสมฺปตฺตีสุ สมาธิปญฺญาเหตุสมฺปตฺตีสุ จ นิโยเชโนฺต คาถํ สมาเปสิฯ
Evamettha bhagavā ‘‘yānīdha bhūtāni samāgatānī’’ti aniyamitavacanena bhūtāni pariggahetvā puna ‘‘bhummāni vā yāni va antalikkhe’’ti dvidhā vikappetvā tato ‘‘sabbeva bhūtā’’ti puna ekajjhaṃ katvā ‘‘sumanā bhavantū’’ti iminā vacanena āsayasampattiyaṃ niyojento ‘‘sakkacca suṇantu bhāsita’’nti payogasampattiyaṃ, tathā yonisomanasikārasampattiyaṃ paratoghosasampattiyañca, tathā attasammāpaṇidhisappurisūpanissayasampattīsu samādhipaññāhetusampattīsu ca niyojento gāthaṃ samāpesi.
๒๒๕. ตสฺมา หิ ภูตาติ ทุติยคาถาฯ ตตฺถ ตสฺมาติ การณวจนํฯ ภูตาติ อามนฺตนวจนํฯ นิสาเมถาติ สุณาถฯ สเพฺพติ อนวเสสา ฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ยสฺมา ตุเมฺห ทิพฺพฎฺฐานานิ ตตฺถ อุปโภคสมฺปทญฺจ ปหาย ธมฺมสฺสวนตฺถํ อิธ สมาคตา, น นฎนจฺจนาทิทสฺสนตฺถํ, ตสฺมา หิ ภูตา นิสาเมถ สเพฺพติฯ อถ วา ‘‘สุมนา ภวนฺตุ สกฺกจฺจ สุณนฺตู’’ติ วจเนน เตสํ สุมนภาวํ สกฺกจฺจํ โสตุกมฺยตญฺจ ทิสฺวา อาห – ยสฺมา ตุเมฺห สุมนภาเวน อตฺตสมฺมาปณิธิโยนิโสมนสิการาสยสุทฺธีหิ สกฺกจฺจํ โสตุกมฺยตาย สปฺปุริสูปนิสฺสยปรโตโฆสปทฎฺฐานโต ปโยคสุทฺธีหิ จ ยุตฺตา, ตสฺมา หิ ภูตา นิสาเมถ สเพฺพติฯ อถ วา ยํ ปุริมคาถาย อเนฺต ‘‘ภาสิต’’นฺติ วุตฺตํ, ตํ การณภาเวน อปทิสโนฺต อาห – ‘‘ยสฺมา มม ภาสิตํ นาม อติทุลฺลภํ อฎฺฐกฺขณปริวชฺชิตสฺส ขณสฺส ทุลฺลภตฺตา, อเนกานิสํสญฺจ ปญฺญากรุณาคุเณน ปวตฺตตฺตา, ตญฺจาหํ วตฺตุกาโม ‘สุณนฺตุ ภาสิต’นฺติ อโวจํฯ ตสฺมา หิ ภูตา นิสาเมถ สเพฺพ’’ติ อิทํ อิมินา คาถาปเทน วุตฺตํ โหติฯ
225.Tasmā hi bhūtāti dutiyagāthā. Tattha tasmāti kāraṇavacanaṃ. Bhūtāti āmantanavacanaṃ. Nisāmethāti suṇātha. Sabbeti anavasesā . Kiṃ vuttaṃ hoti? Yasmā tumhe dibbaṭṭhānāni tattha upabhogasampadañca pahāya dhammassavanatthaṃ idha samāgatā, na naṭanaccanādidassanatthaṃ, tasmā hi bhūtā nisāmetha sabbeti. Atha vā ‘‘sumanā bhavantu sakkacca suṇantū’’ti vacanena tesaṃ sumanabhāvaṃ sakkaccaṃ sotukamyatañca disvā āha – yasmā tumhe sumanabhāvena attasammāpaṇidhiyonisomanasikārāsayasuddhīhi sakkaccaṃ sotukamyatāya sappurisūpanissayaparatoghosapadaṭṭhānato payogasuddhīhi ca yuttā, tasmā hi bhūtā nisāmetha sabbeti. Atha vā yaṃ purimagāthāya ante ‘‘bhāsita’’nti vuttaṃ, taṃ kāraṇabhāvena apadisanto āha – ‘‘yasmā mama bhāsitaṃ nāma atidullabhaṃ aṭṭhakkhaṇaparivajjitassa khaṇassa dullabhattā, anekānisaṃsañca paññākaruṇāguṇena pavattattā, tañcāhaṃ vattukāmo ‘suṇantu bhāsita’nti avocaṃ. Tasmā hi bhūtā nisāmetha sabbe’’ti idaṃ iminā gāthāpadena vuttaṃ hoti.
เอวเมตํ การณํ นิโรเปโนฺต อตฺตโน ภาสิตนิสามเน นิโยเชตฺวา นิสาเมตพฺพํ วตฺตุมารโทฺธ ‘‘เมตฺตํ กโรถ มานุสิยา ปชายา’’ติฯ ตสฺสโตฺถ – ยายํ ตีหิ อุปทฺทเวหิ อุปทฺทุตา มานุสี ปชา, ตสฺสา มานุสิยา ปชาย มิตฺตภาวํ หิตชฺฌาสยตํ ปจฺจุปฎฺฐาเปถาติฯ เกจิ ปน ‘‘มานุสิยํ ปช’’นฺติ ปฐนฺติ, ตํ ภุมฺมตฺถาสมฺภวา น ยุชฺชติฯ ยมฺปิ จเญฺญ อตฺถํ วณฺณยนฺติ, โสปิ น ยุชฺชติฯ อธิปฺปาโย ปเนตฺถ – นาหํ พุโทฺธติ อิสฺสริยพเลน วทามิ, อปิจ ปน ตุมฺหากญฺจ อิมิสฺสา จ มานุสิยา ปชาย หิตตฺถํ วทามิ – ‘‘เมตฺตํ กโรถ มานุสิยา ปชายา’’ติฯ เอตฺถ จ –
Evametaṃ kāraṇaṃ niropento attano bhāsitanisāmane niyojetvā nisāmetabbaṃ vattumāraddho ‘‘mettaṃ karotha mānusiyā pajāyā’’ti. Tassattho – yāyaṃ tīhi upaddavehi upaddutā mānusī pajā, tassā mānusiyā pajāya mittabhāvaṃ hitajjhāsayataṃ paccupaṭṭhāpethāti. Keci pana ‘‘mānusiyaṃ paja’’nti paṭhanti, taṃ bhummatthāsambhavā na yujjati. Yampi caññe atthaṃ vaṇṇayanti, sopi na yujjati. Adhippāyo panettha – nāhaṃ buddhoti issariyabalena vadāmi, apica pana tumhākañca imissā ca mānusiyā pajāya hitatthaṃ vadāmi – ‘‘mettaṃ karotha mānusiyā pajāyā’’ti. Ettha ca –
‘‘เย สตฺตสณฺฑํ ปถวิํ วิเชตฺวา, ราชิสโย ยชมานา อนุปริยคา;
‘‘Ye sattasaṇḍaṃ pathaviṃ vijetvā, rājisayo yajamānā anupariyagā;
อสฺสเมธํ ปุริสเมธํ, สมฺมาปาสํ วาชเปยฺยํ นิรคฺคฬํฯ
Assamedhaṃ purisamedhaṃ, sammāpāsaṃ vājapeyyaṃ niraggaḷaṃ.
‘‘เมตฺตสฺส จิตฺตสฺส สุภาวิตสฺส, กลมฺปิ เต นานุภวนฺติ โสฬสิํฯ
‘‘Mettassa cittassa subhāvitassa, kalampi te nānubhavanti soḷasiṃ.
‘‘เอกมฺปิ เจ ปาณมทุฎฺฐจิโตฺต, เมตฺตายติ กุสลี เตน โหติ;
‘‘Ekampi ce pāṇamaduṭṭhacitto, mettāyati kusalī tena hoti;
สเพฺพ จ ปาเณ มนสานุกมฺปี, ปหูตมริโย ปกโรติ ปุญฺญ’’นฺติฯ (อ. นิ. ๘.๑) –
Sabbe ca pāṇe manasānukampī, pahūtamariyo pakaroti puñña’’nti. (a. ni. 8.1) –
เอวมาทีนํ สุตฺตานํ เอกาทสานิสํสานญฺจ วเสน เย เมตฺตํ กโรนฺติ, เตสํ เมตฺตา หิตาติ เวทิตพฺพาฯ
Evamādīnaṃ suttānaṃ ekādasānisaṃsānañca vasena ye mettaṃ karonti, tesaṃ mettā hitāti veditabbā.
‘‘เทวตานุกมฺปิโต โปโส, สทา ภทฺรานิ ปสฺสตี’’ติฯ (ที. นิ. ๒.๑๕๓; อุทา. ๗๖; มหาว. ๒๘๖) –
‘‘Devatānukampito poso, sadā bhadrāni passatī’’ti. (dī. ni. 2.153; udā. 76; mahāva. 286) –
เอวมาทีนํ วเสน เยสุ กรียติ, เตสมฺปิ หิตาติ เวทิตพฺพาฯ
Evamādīnaṃ vasena yesu karīyati, tesampi hitāti veditabbā.
เอวํ อุภเยสมฺปิ หิตภาวํ ทเสฺสโนฺต ‘‘เมตฺตํ กโรถ มานุสิยา ปชายา’’ติ วตฺวา อิทานิ อุปการมฺปิ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ทิวา จ รโตฺต จ หรนฺติ เย พลิํ, ตสฺมา หิ เน รกฺขถ อปฺปมตฺตา’’ติฯ ตสฺสโตฺถ – เย มนุสฺสา จิตฺตกมฺมกฎฺฐกมฺมาทีหิปิ เทวตา กตฺวา เจติยรุกฺขาทีนิ จ อุปสงฺกมิตฺวา เทวตา อุทฺทิสฺส ทิวา พลิํ กโรนฺติ, กาฬปกฺขาทีสุ จ รตฺติํ พลิํ กโรนฺติฯ สลากภตฺตาทีนิ วา ทตฺวา อารกฺขเทวตา อุปาทาย ยาว พฺรหฺมเทวตานํ ปตฺติทานนิยฺยาตเนน ทิวา พลิํ กโรนฺติ, ฉตฺตาโรปนทีปมาลา สพฺพรตฺติกธมฺมสฺสวนาทีนิ การาเปตฺวา ปตฺติทานนิยฺยาตเนน จ รตฺติํ พลิํ กโรนฺติ, เต กถํ น รกฺขิตพฺพาฯ ยโต เอวํ ทิวา จ รโตฺต จ ตุเมฺห อุทฺทิสฺส กโรนฺติ เย พลิํ, ตสฺมา หิ เน รกฺขถฯ ตสฺมา พลิกมฺมการณาปิ เต มนุเสฺส รกฺขถ โคปยถ, อหิตํ เตสํ อปเนถ, หิตํ อุปเนถ อปฺปมตฺตา หุตฺวา ตํ กตญฺญุภาวํ หทเย กตฺวา นิจฺจมนุสฺสรนฺตาติฯ
Evaṃ ubhayesampi hitabhāvaṃ dassento ‘‘mettaṃ karotha mānusiyā pajāyā’’ti vatvā idāni upakārampi dassento āha ‘‘divā ca ratto ca haranti ye baliṃ, tasmā hi ne rakkhatha appamattā’’ti. Tassattho – ye manussā cittakammakaṭṭhakammādīhipi devatā katvā cetiyarukkhādīni ca upasaṅkamitvā devatā uddissa divā baliṃ karonti, kāḷapakkhādīsu ca rattiṃ baliṃ karonti. Salākabhattādīni vā datvā ārakkhadevatā upādāya yāva brahmadevatānaṃ pattidānaniyyātanena divā baliṃ karonti, chattāropanadīpamālā sabbarattikadhammassavanādīni kārāpetvā pattidānaniyyātanena ca rattiṃ baliṃ karonti, te kathaṃ na rakkhitabbā. Yato evaṃ divā ca ratto ca tumhe uddissa karonti ye baliṃ, tasmā hi ne rakkhatha. Tasmā balikammakāraṇāpi te manusse rakkhatha gopayatha, ahitaṃ tesaṃ apanetha, hitaṃ upanetha appamattā hutvā taṃ kataññubhāvaṃ hadaye katvā niccamanussarantāti.
๒๒๖. เอวํ เทวตาสุ มนุสฺสานํ อุปการกภาวํ ทเสฺสตฺวา เตสํ อุปทฺทววูปสมนตฺถํ พุทฺธาทิคุณปฺปกาสเนน จ เทวมนุสฺสานํ ธมฺมสฺสวนตฺถํ ‘‘ยํกิญฺจิ วิตฺต’’นฺติอาทินา นเยน สจฺจวจนํ ปยุชฺชิตุมารโทฺธฯ ตตฺถ ยํกิญฺจีติ อนิยมิตวเสน อนวเสสํ ปริยาทิยติ ยํกิญฺจิ ตตฺถ ตตฺถ โวหารูปคํ ฯ วิตฺตนฺติ ธนํฯ ตญฺหิ วิตฺติํ ชเนตีติ วิตฺตํฯ อิธ วาติ มนุสฺสโลกํ นิทฺทิสติ, หุรํ วาติ ตโต ปรํ อวเสสโลกํฯ เตน จ ฐเปตฺวา มนุเสฺส สพฺพโลกคฺคหเณ ปเตฺต ‘‘สเคฺคสุ วา’’ติ ปรโต วุตฺตตฺตา ฐเปตฺวา มนุเสฺส จ สเคฺค จ อวเสสานํ นาคสุปณฺณาทีนํ คหณํ เวทิตพฺพํฯ เอวํ อิเมหิ ทฺวีหิ ปเทหิ ยํ มนุสฺสานํ โวหารูปคํ อลงฺการปริโภคูปคญฺจ ชาตรูปรชตมุตฺตามณิเวฬุริยปวาฬโลหิตงฺกมสารคลฺลาทิกํ, ยญฺจ มุตฺตามณิวาลุกตฺถตาย ภูมิยา รตนมยวิมาเนสุ อเนกโยชนสตวิตฺถเตสุ ภวเนสุ อุปฺปนฺนานํ นาคสุปณฺณาทีนํ วิตฺตํ, ตํ นิทฺทิฎฺฐํ โหติฯ
226. Evaṃ devatāsu manussānaṃ upakārakabhāvaṃ dassetvā tesaṃ upaddavavūpasamanatthaṃ buddhādiguṇappakāsanena ca devamanussānaṃ dhammassavanatthaṃ ‘‘yaṃkiñci vitta’’ntiādinā nayena saccavacanaṃ payujjitumāraddho. Tattha yaṃkiñcīti aniyamitavasena anavasesaṃ pariyādiyati yaṃkiñci tattha tattha vohārūpagaṃ . Vittanti dhanaṃ. Tañhi vittiṃ janetīti vittaṃ. Idha vāti manussalokaṃ niddisati, huraṃ vāti tato paraṃ avasesalokaṃ. Tena ca ṭhapetvā manusse sabbalokaggahaṇe patte ‘‘saggesu vā’’ti parato vuttattā ṭhapetvā manusse ca sagge ca avasesānaṃ nāgasupaṇṇādīnaṃ gahaṇaṃ veditabbaṃ. Evaṃ imehi dvīhi padehi yaṃ manussānaṃ vohārūpagaṃ alaṅkāraparibhogūpagañca jātarūparajatamuttāmaṇiveḷuriyapavāḷalohitaṅkamasāragallādikaṃ, yañca muttāmaṇivālukatthatāya bhūmiyā ratanamayavimānesu anekayojanasatavitthatesu bhavanesu uppannānaṃ nāgasupaṇṇādīnaṃ vittaṃ, taṃ niddiṭṭhaṃ hoti.
สเคฺคสุ วาติ กามาวจรรูปาวจรเทวโลเกสุฯ เต หิ โสภเนน กเมฺมน อชียนฺติ คมฺมนฺตีติ สคฺคา, สุฎฺฐุ วา อคฺคาติปิ สคฺคาฯ ยนฺติ ยํ สสฺสามิกํ วา อสฺสามิกํ วาฯ รตนนฺติ รติํ นยติ, วหติ, ชนยติ, วเฑฺฒตีติ รตนํ, ยํกิญฺจิ จิตฺตีกตํ มหคฺฆํ อตุลํ ทุลฺลภทสฺสนํ อโนมสตฺตปริโภคญฺจ, ตเสฺสตํ อธิวจนํฯ ยถาห –
Saggesu vāti kāmāvacararūpāvacaradevalokesu. Te hi sobhanena kammena ajīyanti gammantīti saggā, suṭṭhu vā aggātipi saggā. Yanti yaṃ sassāmikaṃ vā assāmikaṃ vā. Ratananti ratiṃ nayati, vahati, janayati, vaḍḍhetīti ratanaṃ, yaṃkiñci cittīkataṃ mahagghaṃ atulaṃ dullabhadassanaṃ anomasattaparibhogañca, tassetaṃ adhivacanaṃ. Yathāha –
‘‘จิตฺตีกตํ มหคฺฆญฺจ, อตุลํ ทุลฺลภทสฺสนํ;
‘‘Cittīkataṃ mahagghañca, atulaṃ dullabhadassanaṃ;
อโนมสตฺตปริโภคํ, รตนํ เตน วุจฺจตี’’ติฯ
Anomasattaparibhogaṃ, ratanaṃ tena vuccatī’’ti.
ปณีตนฺติ อุตฺตมํ, เสฎฺฐํ, อตปฺปกํฯ เอวํ อิมินา คาถาปเทน ยํ สเคฺคสุ อเนกโยชนสตปฺปมาณสพฺพรตนมยวิมาเนสุ สุธมฺมเวชยนฺตปฺปภุตีสุ สสฺสามิกํ, ยญฺจ พุทฺธุปฺปาทวิรเหน อปายเมว ปริปูเรเนฺตสุ สเตฺตสุ สุญฺญวิมานปฎิพทฺธํ อสฺสามิกํ, ยํ วา ปนญฺญมฺปิ ปถวีมหาสมุทฺทหิมวนฺตาทินิสฺสิตํ อสฺสามิกํ รตนํ, ตํ นิทฺทิฎฺฐํ โหติฯ
Paṇītanti uttamaṃ, seṭṭhaṃ, atappakaṃ. Evaṃ iminā gāthāpadena yaṃ saggesu anekayojanasatappamāṇasabbaratanamayavimānesu sudhammavejayantappabhutīsu sassāmikaṃ, yañca buddhuppādavirahena apāyameva paripūrentesu sattesu suññavimānapaṭibaddhaṃ assāmikaṃ, yaṃ vā panaññampi pathavīmahāsamuddahimavantādinissitaṃ assāmikaṃ ratanaṃ, taṃ niddiṭṭhaṃ hoti.
น โน สมํ อตฺถิ ตถาคเตนาติ น-อิติ ปฎิเสเธ, โน-อิติ อวธารเณฯ สมนฺติ ตุลฺยํฯ อตฺถีติ วิชฺชติฯ ตถาคเตนาติ พุเทฺธนฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ยํ เอตํ วิตฺตญฺจ รตนญฺจ ปกาสิตํ, เอตฺถ เอกมฺปิ พุทฺธรตเนน สทิสํ รตนํ เนวตฺถิฯ ยมฺปิ หิ ตํ จิตฺตีกตเฎฺฐน รตนํ, เสยฺยถิทํ – รโญฺญ จกฺกวตฺติสฺส จกฺกรตนํ มณิรตนญฺจ, ยมฺหิ อุปฺปเนฺน มหาชโน น อญฺญตฺถ จิตฺตีการํ กโรติ, น โกจิ ปุปฺผคนฺธาทีนิ คเหตฺวา ยกฺขฎฺฐานํ วา ภูตฎฺฐานํ วา คจฺฉติ, สโพฺพปิ ชโน จกฺกรตนมณิรตนเมว จิตฺติํ กโรติ ปูเชติ, ตํ ตํ วรํ ปเตฺถติ, ปตฺถิตปตฺถิตญฺจสฺส เอกจฺจํ สมิชฺฌติ, ตมฺปิ รตนํ พุทฺธรตเนน สมํ นตฺถิฯ ยทิ หิ จิตฺตีกตเฎฺฐน รตนํ, ตถาคโตว รตนํฯ ตถาคเต หิ อุปฺปเนฺน เย เกจิ มเหสกฺขา เทวมนุสฺสา, น เต อญฺญตฺร จิตฺตีการํ กโรนฺติ, น กญฺจิ อญฺญํ ปูเชนฺติฯ ตถา หิ พฺรหฺมา สหมฺปติ สิเนรุมเตฺตน รตนทาเมน ตถาคตํ ปูเชสิ, ยถาพลญฺจ อเญฺญ เทวา มนุสฺสา จ พิมฺพิสารโกสลราชอนาถปิณฺฑิกาทโยฯ ปรินิพฺพุตมฺปิ จ ภควนฺตํ อุทฺทิสฺส ฉนฺนวุติโกฎิธนํ วิสฺสเชฺชตฺวา อโสกมหาราชา สกลชมฺพุทีเป จตุราสีติ วิหารสหสฺสานิ ปติฎฺฐาเปสิ, โก ปน วาโท อเญฺญสํ จิตฺตีการานํฯ อปิจ กสฺสญฺญสฺส ปรินิพฺพุตสฺสาปิ ชาติโพธิธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนปรินิพฺพานฎฺฐานานิ ปฎิมาเจติยาทีนิ วา อุทฺทิสฺส เอวํ จิตฺตีการครุกาโร วตฺตติ ยถา ภควโตฯ เอวํ จิตฺตีกตเฎฺฐนาปิ ตถาคตสมํ รตนํ นตฺถิฯ
Nano samaṃ atthi tathāgatenāti na-iti paṭisedhe, no-iti avadhāraṇe. Samanti tulyaṃ. Atthīti vijjati. Tathāgatenāti buddhena. Kiṃ vuttaṃ hoti? Yaṃ etaṃ vittañca ratanañca pakāsitaṃ, ettha ekampi buddharatanena sadisaṃ ratanaṃ nevatthi. Yampi hi taṃ cittīkataṭṭhena ratanaṃ, seyyathidaṃ – rañño cakkavattissa cakkaratanaṃ maṇiratanañca, yamhi uppanne mahājano na aññattha cittīkāraṃ karoti, na koci pupphagandhādīni gahetvā yakkhaṭṭhānaṃ vā bhūtaṭṭhānaṃ vā gacchati, sabbopi jano cakkaratanamaṇiratanameva cittiṃ karoti pūjeti, taṃ taṃ varaṃ pattheti, patthitapatthitañcassa ekaccaṃ samijjhati, tampi ratanaṃ buddharatanena samaṃ natthi. Yadi hi cittīkataṭṭhena ratanaṃ, tathāgatova ratanaṃ. Tathāgate hi uppanne ye keci mahesakkhā devamanussā, na te aññatra cittīkāraṃ karonti, na kañci aññaṃ pūjenti. Tathā hi brahmā sahampati sinerumattena ratanadāmena tathāgataṃ pūjesi, yathābalañca aññe devā manussā ca bimbisārakosalarājaanāthapiṇḍikādayo. Parinibbutampi ca bhagavantaṃ uddissa channavutikoṭidhanaṃ vissajjetvā asokamahārājā sakalajambudīpe caturāsīti vihārasahassāni patiṭṭhāpesi, ko pana vādo aññesaṃ cittīkārānaṃ. Apica kassaññassa parinibbutassāpi jātibodhidhammacakkappavattanaparinibbānaṭṭhānāni paṭimācetiyādīni vā uddissa evaṃ cittīkāragarukāro vattati yathā bhagavato. Evaṃ cittīkataṭṭhenāpi tathāgatasamaṃ ratanaṃ natthi.
ตถา ยมฺปิ ตํ มหคฺฆเฎฺฐน รตนํ, เสยฺยถิทํ – กาสิกํ วตฺถํฯ ยถาห – ‘‘ชิณฺณมฺปิ, ภิกฺขเว, กาสิกํ วตฺถํ วณฺณวนฺตเญฺจว โหติ สุขสมฺผสฺสญฺจ มหคฺฆญฺจา’’ติ, ตมฺปิ พุทฺธรตเนน สมํ นตฺถิฯ ยทิ หิ มหคฺฆเฎฺฐน รตนํ, ตถาคโตว รตนํฯ ตถาคโต หิ เยสํ ปํสุกมฺปิ ปฎิคฺคณฺหาติ, เตสํ ตํ มหปฺผลํ โหติ มหานิสํสํ, เสยฺยถาปิ อโสกสฺส รโญฺญฯ อิทมสฺส มหคฺฆตายฯ เอวํ มหคฺฆตาวจเน เจตฺถ โทสาภาวสาธกํ อิทํ ตาว สุตฺตปทํ เวทิตพฺพํ –
Tathā yampi taṃ mahagghaṭṭhena ratanaṃ, seyyathidaṃ – kāsikaṃ vatthaṃ. Yathāha – ‘‘jiṇṇampi, bhikkhave, kāsikaṃ vatthaṃ vaṇṇavantañceva hoti sukhasamphassañca mahagghañcā’’ti, tampi buddharatanena samaṃ natthi. Yadi hi mahagghaṭṭhena ratanaṃ, tathāgatova ratanaṃ. Tathāgato hi yesaṃ paṃsukampi paṭiggaṇhāti, tesaṃ taṃ mahapphalaṃ hoti mahānisaṃsaṃ, seyyathāpi asokassa rañño. Idamassa mahagghatāya. Evaṃ mahagghatāvacane cettha dosābhāvasādhakaṃ idaṃ tāva suttapadaṃ veditabbaṃ –
‘‘เยสํ โข ปน โส ปฎิคฺคณฺหาติ จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปฺปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารํ, เตสํ ตํ มหปฺผลํ โหติ มหานิสํสํฯ อิทมสฺส มหคฺฆตาย วทามิฯ เสยฺยถาปิ ตํ, ภิกฺขเว, กาสิกํ วตฺถํ มหคฺฆํ, ตถูปมาหํ, ภิกฺขเว, อิมํ ปุคฺคลํ วทามี’’ติ (อ. นิ. ๓.๑๐๐)ฯ
‘‘Yesaṃ kho pana so paṭiggaṇhāti cīvarapiṇḍapātasenāsanagilānappaccayabhesajjaparikkhāraṃ, tesaṃ taṃ mahapphalaṃ hoti mahānisaṃsaṃ. Idamassa mahagghatāya vadāmi. Seyyathāpi taṃ, bhikkhave, kāsikaṃ vatthaṃ mahagghaṃ, tathūpamāhaṃ, bhikkhave, imaṃ puggalaṃ vadāmī’’ti (a. ni. 3.100).
เอวํ มหคฺฆเฎฺฐนาปิ ตถาคตสมํ รตนํ นตฺถิฯ
Evaṃ mahagghaṭṭhenāpi tathāgatasamaṃ ratanaṃ natthi.
ตถา ยมฺปิ ตํ อตุลเฎฺฐน รตนํฯ เสยฺยถิทํ – รโญฺญ จกฺกวตฺติสฺส จกฺกรตนํ อุปฺปชฺชติ อินฺทนีลมณิมยนาภิ สตฺตรตนมยสหสฺสารํ ปวาฬมยเนมิ, รตฺตสุวณฺณมยสนฺธิ, ยสฺส ทสนฺนํ ทสนฺนํ อรานํ อุปริ เอกํ มุณฺฑารํ โหติ วาตํ คเหตฺวา สทฺทกรณตฺถํ, เยน กโต สโทฺท สุกุสลปฺปตาฬิตปญฺจงฺคิกตูริยสโทฺท วิย โหติฯ ยสฺส นาภิยา อุโภสุ ปเสฺสสุ เทฺว สีหมุขานิ โหนฺติ, อพฺภนฺตรํ สกฎจกฺกเสฺสว สุสิรํ, ตสฺส กตฺตา วา กาเรตา วา นตฺถิ, กมฺมปจฺจเยน อุตุโต สมุฎฺฐาติฯ ยํ ราชา ทสวิธํ จกฺกวตฺติวตฺตํ ปูเรตฺวา ตทหุโปสเถ ปนฺนรเส ปุณฺณมทิวเส สีสํนฺหาโต อุโปสถิโก อุปริปาสาทวรคโต สีลานิ โสเธโนฺต นิสิโนฺน ปุณฺณจนฺทํ วิย สูริยํ วิย จ อุเฎฺฐนฺตํ ปสฺสติ, ยสฺส ทฺวาทสโยชนโต สโทฺท สุยฺยติ, โยชนโต วโณฺณ ทิสฺสติ, ยํ มหาชเนน ‘‘ทุติโย มเญฺญ จโนฺท สูริโย วา อุฎฺฐิโต’’ติ อติวิย โกตูหลชาเตน ทิสฺสมานํ นครสฺส อุปริ อาคนฺตฺวา รโญฺญ อเนฺตปุรสฺส ปาจีนปเสฺส นาติอุจฺจํ นาตินีจํ หุตฺวา มหาชนสฺส คนฺธปุปฺผาทีหิ ปูเชตุํ ยุตฺตฎฺฐาเน อกฺขาหตํ วิย ติฎฺฐติฯ
Tathā yampi taṃ atulaṭṭhena ratanaṃ. Seyyathidaṃ – rañño cakkavattissa cakkaratanaṃ uppajjati indanīlamaṇimayanābhi sattaratanamayasahassāraṃ pavāḷamayanemi, rattasuvaṇṇamayasandhi, yassa dasannaṃ dasannaṃ arānaṃ upari ekaṃ muṇḍāraṃ hoti vātaṃ gahetvā saddakaraṇatthaṃ, yena kato saddo sukusalappatāḷitapañcaṅgikatūriyasaddo viya hoti. Yassa nābhiyā ubhosu passesu dve sīhamukhāni honti, abbhantaraṃ sakaṭacakkasseva susiraṃ, tassa kattā vā kāretā vā natthi, kammapaccayena ututo samuṭṭhāti. Yaṃ rājā dasavidhaṃ cakkavattivattaṃ pūretvā tadahuposathe pannarase puṇṇamadivase sīsaṃnhāto uposathiko uparipāsādavaragato sīlāni sodhento nisinno puṇṇacandaṃ viya sūriyaṃ viya ca uṭṭhentaṃ passati, yassa dvādasayojanato saddo suyyati, yojanato vaṇṇo dissati, yaṃ mahājanena ‘‘dutiyo maññe cando sūriyo vā uṭṭhito’’ti ativiya kotūhalajātena dissamānaṃ nagarassa upari āgantvā rañño antepurassa pācīnapasse nātiuccaṃ nātinīcaṃ hutvā mahājanassa gandhapupphādīhi pūjetuṃ yuttaṭṭhāne akkhāhataṃ viya tiṭṭhati.
ตเทว อนุพนฺธมานํ หตฺถิรตนํ อุปฺปชฺชติ, สพฺพเสโต รตฺตปาโท สตฺตปฺปติโฎฺฐ อิทฺธิมา เวหาสงฺคโม อุโปสถกุลา วา ฉทฺทนฺตกุลา วา อาคจฺฉติฯ อุโปสถกุลา อาคจฺฉโนฺต หิ สพฺพเชโฎฺฐ อาคจฺฉติ, ฉทฺทนฺตกุลา สพฺพกนิโฎฺฐ สิกฺขิตสิโกฺข ทมถูเปโตฯ โส ทฺวาทสโยชนํ ปริสํ คเหตฺวา สกลชมฺพุทีปํ อนุสํยายิตฺวา ปุเรปาตราสเมว สกํ ราชธานิํ อาคจฺฉติฯ
Tadeva anubandhamānaṃ hatthiratanaṃ uppajjati, sabbaseto rattapādo sattappatiṭṭho iddhimā vehāsaṅgamo uposathakulā vā chaddantakulā vā āgacchati. Uposathakulā āgacchanto hi sabbajeṭṭho āgacchati, chaddantakulā sabbakaniṭṭho sikkhitasikkho damathūpeto. So dvādasayojanaṃ parisaṃ gahetvā sakalajambudīpaṃ anusaṃyāyitvā purepātarāsameva sakaṃ rājadhāniṃ āgacchati.
ตมฺปิ อนุพนฺธมานํ อสฺสรตนํ อุปฺปชฺชติ, สพฺพเสโต รตฺตปาโท กากสีโส มุญฺชเกโส วลาหกสฺส ราชกุลา อาคจฺฉติฯ เสสเมตฺถ หตฺถิรตนสทิสเมวฯ
Tampi anubandhamānaṃ assaratanaṃ uppajjati, sabbaseto rattapādo kākasīso muñjakeso valāhakassa rājakulā āgacchati. Sesamettha hatthiratanasadisameva.
ตมฺปิ อนุพนฺธมานํ มณิรตนํ อุปฺปชฺชติฯ โส โหติ มณิ เวฬุริโย สุโภ ชาติมา อฎฺฐํโส สุปริกมฺมกโต อายามโต จกฺกนาภิสทิโส, เวปุลฺลปพฺพตา อาคจฺฉติ, โส จตุรงฺคสมนฺนาคเตปิ อนฺธกาเร รโญฺญ ธชคฺคโต โยชนํ โอภาเสติ, ยโสฺสภาเสน มนุสฺสา ‘‘ทิวา’’ติ มญฺญมานา กมฺมเนฺต ปโยเชนฺติ, อนฺตมโส กุนฺถกิปิลฺลิกํ อุปาทาย ปสฺสนฺติฯ
Tampi anubandhamānaṃ maṇiratanaṃ uppajjati. So hoti maṇi veḷuriyo subho jātimā aṭṭhaṃso suparikammakato āyāmato cakkanābhisadiso, vepullapabbatā āgacchati, so caturaṅgasamannāgatepi andhakāre rañño dhajaggato yojanaṃ obhāseti, yassobhāsena manussā ‘‘divā’’ti maññamānā kammante payojenti, antamaso kunthakipillikaṃ upādāya passanti.
ตมฺปิ อนุพนฺธมานํ อิตฺถิรตนํ อุปฺปชฺชติฯ ปกติอคฺคมเหสี วา โหติ, อุตฺตรกุรุโต วา อาคจฺฉติ มทฺทราชกุลโต วา, อติทีฆาทิฉโทสวิวชฺชิตา อติกฺกนฺตา มานุสํ วณฺณํ อปฺปตฺตา ทิพฺพํ วณฺณํ, ยสฺสา รโญฺญ สีตกาเล อุณฺหานิ คตฺตานิ โหนฺติ, อุณฺหกาเล สีตานิ, สตธา โผฎิตตูลปิจุโน วิย สมฺผโสฺส โหติ, กายโต จนฺทนคโนฺธ วายติ, มุขโต อุปฺปลคโนฺธ, ปุพฺพุฎฺฐายิตาทิอเนกคุณสมนฺนาคตา จ โหติฯ
Tampi anubandhamānaṃ itthiratanaṃ uppajjati. Pakatiaggamahesī vā hoti, uttarakuruto vā āgacchati maddarājakulato vā, atidīghādichadosavivajjitā atikkantā mānusaṃ vaṇṇaṃ appattā dibbaṃ vaṇṇaṃ, yassā rañño sītakāle uṇhāni gattāni honti, uṇhakāle sītāni, satadhā phoṭitatūlapicuno viya samphasso hoti, kāyato candanagandho vāyati, mukhato uppalagandho, pubbuṭṭhāyitādianekaguṇasamannāgatā ca hoti.
ตมฺปิ อนุพนฺธมานํ คหปติรตนํ อุปฺปชฺชติ รโญฺญ ปกติกมฺมกโร เสฎฺฐิ, ยสฺส จกฺกรตเน อุปฺปนฺนมเตฺต ทิพฺพํ จกฺขุ ปาตุภวติ, เยน สมนฺตโต โยชนมเตฺต นิธิํ ปสฺสติ สสฺสามิกมฺปิ อสฺสามิกมฺปิฯ โส ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา ปวาเรติ ‘‘อโปฺปสฺสุโกฺก ตฺวํ, เทว, โหหิ, อหํ เต ธเนน ธนกรณียํ กริสฺสามี’’ติฯ
Tampi anubandhamānaṃ gahapatiratanaṃ uppajjati rañño pakatikammakaro seṭṭhi, yassa cakkaratane uppannamatte dibbaṃ cakkhu pātubhavati, yena samantato yojanamatte nidhiṃ passati sassāmikampi assāmikampi. So rājānaṃ upasaṅkamitvā pavāreti ‘‘appossukko tvaṃ, deva, hohi, ahaṃ te dhanena dhanakaraṇīyaṃ karissāmī’’ti.
ตมฺปิ อนุพนฺธมานํ ปริณายกรตนํ อุปฺปชฺชติ รโญฺญ ปกติเชฎฺฐปุโตฺต, จกฺกรตเน อุปฺปนฺนมเตฺต อติเรกปญฺญาเวยฺยตฺติเยน สมนฺนาคโต โหติ, ทฺวาทสโยชนาย ปริสาย เจตสา จิตฺตํ ปริชานิตฺวา นิคฺคหปคฺคหสมโตฺถ โหติฯ โส ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา ปวาเรติ – ‘‘อโปฺปสฺสุโกฺก ตฺวํ, เทว, โหหิ, อหํ เต รชฺชํ อนุสาสิสฺสามี’’ติฯ ยํ วา ปนญฺญมฺปิ เอวรูปํ อตุลเฎฺฐน รตนํ, ยสฺส น สกฺกา ตุลยิตฺวา ตีรยิตฺวา อโคฺฆ กาตุํ ‘‘สตํ วา สหสฺสํ วา อคฺฆติ โกฎิํ วา’’ติฯ ตตฺถ เอกรตนมฺปิ พุทฺธรตเนน สมํ นตฺถิฯ ยทิ หิ อตุลเฎฺฐน รตนํ, ตถาคโตว รตนํฯ ตถาคโต หิ น สกฺกา สีลโต วา สมาธิโต วา ปญฺญาทีนํ วา อญฺญตรโต เกนจิ ตุลยิตฺวา ตีรยิตฺวา ‘‘เอตฺตกคุโณ วา อิมินา สโม วา สปฺปฎิภาโค วา’’ติ ปริจฺฉินฺทิตุํฯ เอวํ อตุลเฎฺฐนาปิ ตถาคตสมํ รตนํ นตฺถิฯ
Tampi anubandhamānaṃ pariṇāyakaratanaṃ uppajjati rañño pakatijeṭṭhaputto, cakkaratane uppannamatte atirekapaññāveyyattiyena samannāgato hoti, dvādasayojanāya parisāya cetasā cittaṃ parijānitvā niggahapaggahasamattho hoti. So rājānaṃ upasaṅkamitvā pavāreti – ‘‘appossukko tvaṃ, deva, hohi, ahaṃ te rajjaṃ anusāsissāmī’’ti. Yaṃ vā panaññampi evarūpaṃ atulaṭṭhena ratanaṃ, yassa na sakkā tulayitvā tīrayitvā aggho kātuṃ ‘‘sataṃ vā sahassaṃ vā agghati koṭiṃ vā’’ti. Tattha ekaratanampi buddharatanena samaṃ natthi. Yadi hi atulaṭṭhena ratanaṃ, tathāgatova ratanaṃ. Tathāgato hi na sakkā sīlato vā samādhito vā paññādīnaṃ vā aññatarato kenaci tulayitvā tīrayitvā ‘‘ettakaguṇo vā iminā samo vā sappaṭibhāgo vā’’ti paricchindituṃ. Evaṃ atulaṭṭhenāpi tathāgatasamaṃ ratanaṃ natthi.
ตถา ยมฺปิ ตํ ทุลฺลภทสฺสนเฎฺฐน รตนํฯ เสยฺยถิทํ – ทุลฺลภปาตุภาโว ราชา จกฺกวตฺติ จกฺกาทีนิ จ ตสฺส รตนานิ, ตมฺปิ พุทฺธรตเนน สมํ นตฺถิฯ ยทิ หิ ทุลฺลภทสฺสนเฎฺฐน รตนํ, ตถาคโตว รตนํ, กุโต จกฺกวตฺติอาทีนํ รตนตฺตํ, ยานิ เอกสฺมิํเยว กเปฺป อเนกานิ อุปฺปชฺชนฺติฯ ยสฺมา ปน อสเงฺขฺยเยฺยปิ กเปฺป ตถาคตสุโญฺญ โลโก โหติ, ตสฺมา ตถาคโต เอว กทาจิ กรหจิ อุปฺปชฺชนโต ทุลฺลภทสฺสโนฯ วุตฺตํ เจตํ ภควตา ปรินิพฺพานสมเย –
Tathā yampi taṃ dullabhadassanaṭṭhena ratanaṃ. Seyyathidaṃ – dullabhapātubhāvo rājā cakkavatti cakkādīni ca tassa ratanāni, tampi buddharatanena samaṃ natthi. Yadi hi dullabhadassanaṭṭhena ratanaṃ, tathāgatova ratanaṃ, kuto cakkavattiādīnaṃ ratanattaṃ, yāni ekasmiṃyeva kappe anekāni uppajjanti. Yasmā pana asaṅkhyeyyepi kappe tathāgatasuñño loko hoti, tasmā tathāgato eva kadāci karahaci uppajjanato dullabhadassano. Vuttaṃ cetaṃ bhagavatā parinibbānasamaye –
‘‘เทวตา, อานนฺท, อุชฺฌายนฺติ – ‘ทูรา จ วตมฺห อาคตา ตถาคตํ ทสฺสนาย, กทาจิ กรหจิ ตถาคตา โลเก อุปฺปชฺชนฺติ อรหโนฺต สมฺมาสมฺพุทฺธา, อเชฺชว รตฺติยา ปจฺฉิเม ยาเม ตถาคตสฺส ปรินิพฺพานํ ภวิสฺสติ, อยญฺจ มเหสโกฺข ภิกฺขุ ภควโต ปุรโต ฐิโต โอวาเรโนฺต, น มยํ ลภาม ปจฺฉิเม กาเล ตถาคตํ ทสฺสนายา’’’ติ (ที. นิ. ๒.๒๐๐)ฯ
‘‘Devatā, ānanda, ujjhāyanti – ‘dūrā ca vatamha āgatā tathāgataṃ dassanāya, kadāci karahaci tathāgatā loke uppajjanti arahanto sammāsambuddhā, ajjeva rattiyā pacchime yāme tathāgatassa parinibbānaṃ bhavissati, ayañca mahesakkho bhikkhu bhagavato purato ṭhito ovārento, na mayaṃ labhāma pacchime kāle tathāgataṃ dassanāyā’’’ti (dī. ni. 2.200).
เอวํ ทุลฺลภทสฺสนเฎฺฐนปิ ตถาคตสมํ รตนํ นตฺถิฯ
Evaṃ dullabhadassanaṭṭhenapi tathāgatasamaṃ ratanaṃ natthi.
ตถา ยมฺปิ ตํ อโนมสตฺตปริโภคเฎฺฐน รตนํฯ เสยฺยถิทํ – รโญฺญ จกฺกวตฺติสฺส จกฺกรตนาทิฯ ตญฺหิ โกฎิสตสหสฺสธนานมฺปิ สตฺตภูมิกปาสาทวรตเล วสนฺตานมฺปิ จณฺฑาลเวนเนสาทรถการปุกฺกุสาทีนํ นีจกุลิกานํ โอมกปุริสานํ สุปินเนฺตปิ ปริโภคตฺถาย น นิพฺพตฺตติฯ อุภโต สุชาตสฺส ปน รโญฺญ ขตฺติยเสฺสว ปริปูริตทสวิธจกฺกวตฺติวตฺตสฺส ปริโภคตฺถาย นิพฺพตฺตนโต อโนมสตฺตปริโภคํเยว โหติ, ตมฺปิ พุทฺธรตเนน สมํ นตฺถิฯ ยทิ หิ อโนมสตฺตปริโภคเฎฺฐน รตนํ, ตถาคโตว รตนํฯ ตถาคโต หิ โลเก อโนมสตฺตสมฺมตานมฺปิ อนุปนิสฺสยสมฺปนฺนานํ วิปรีตทสฺสนานํ ปูรณกสฺสปาทีนํ ฉนฺนํ สตฺถารานํ อเญฺญสญฺจ เอวรูปานํ สุปินเนฺตปิ อปริโภโค, อุปนิสฺสยสมฺปนฺนานํ ปน จตุปฺปทายปิ คาถาย ปริโยสาเน อรหตฺตมธิคนฺตุํ สมตฺถานํ นิเพฺพธิกญาณทสฺสนานํ พาหิยทารุจีริยปฺปภุตีนํ อเญฺญสญฺจ มหากุลปฺปสุตานํ มหาสาวกานํ ปริโภโคฯ เต หิ ตํ ทสฺสนานุตฺตริยสวนานุตฺตริยปาริจริยานุตฺตริยาทีนิ สาเธนฺตา ตถา ตถา ปริภุญฺชนฺติฯ เอวํ อโนมสตฺตปริโภคเฎฺฐนาปิ ตถาคตสมํ รตนํ นตฺถิฯ
Tathā yampi taṃ anomasattaparibhogaṭṭhena ratanaṃ. Seyyathidaṃ – rañño cakkavattissa cakkaratanādi. Tañhi koṭisatasahassadhanānampi sattabhūmikapāsādavaratale vasantānampi caṇḍālavenanesādarathakārapukkusādīnaṃ nīcakulikānaṃ omakapurisānaṃ supinantepi paribhogatthāya na nibbattati. Ubhato sujātassa pana rañño khattiyasseva paripūritadasavidhacakkavattivattassa paribhogatthāya nibbattanato anomasattaparibhogaṃyeva hoti, tampi buddharatanena samaṃ natthi. Yadi hi anomasattaparibhogaṭṭhena ratanaṃ, tathāgatova ratanaṃ. Tathāgato hi loke anomasattasammatānampi anupanissayasampannānaṃ viparītadassanānaṃ pūraṇakassapādīnaṃ channaṃ satthārānaṃ aññesañca evarūpānaṃ supinantepi aparibhogo, upanissayasampannānaṃ pana catuppadāyapi gāthāya pariyosāne arahattamadhigantuṃ samatthānaṃ nibbedhikañāṇadassanānaṃ bāhiyadārucīriyappabhutīnaṃ aññesañca mahākulappasutānaṃ mahāsāvakānaṃ paribhogo. Te hi taṃ dassanānuttariyasavanānuttariyapāricariyānuttariyādīni sādhentā tathā tathā paribhuñjanti. Evaṃ anomasattaparibhogaṭṭhenāpi tathāgatasamaṃ ratanaṃ natthi.
ยมฺปิ ตํ อวิเสสโต รติชนนเฎฺฐน รตนํฯ เสยฺยถิทํ – รโญฺญ จกฺกวตฺติสฺส จกฺกรตนํฯ ตญฺหิ ทิสฺวา ราชา จกฺกวตฺติ อตฺตมโน โหติ, เอวมฺปิ ตํ รโญฺญ รติํ ชเนติฯ ปุน จปรํ ราชา จกฺกวตฺติ วาเมน หเตฺถน สุวณฺณภิงฺการํ คเหตฺวา ทกฺขิเณน หเตฺถน จกฺกรตนํ อพฺภุกฺกิรติ ‘‘ปวตฺตตุ ภวํ จกฺกรตนํ, อภิวิชินาตุ ภวํ จกฺกรตน’’นฺติฯ ตโต จกฺกรตนํ ปญฺจงฺคิกํ วิย ตูริยํ มธุรสฺสรํ นิจฺฉรนฺตํ อากาเสน ปุรตฺถิมํ ทิสํ คจฺฉติ, อนฺวเทว ราชา จกฺกวตฺติ จกฺกานุภาเวน ทฺวาทสโยชนวิตฺถิณฺณาย จตุรงฺคินิยา เสนาย นาติอุจฺจํ นาตินีจํ อุจฺจรุกฺขานํ เหฎฺฐาภาเคน, นีจรุกฺขานํ อุปริภาเคน, รุเกฺขสุ ปุปฺผผลปลฺลวาทิปณฺณาการํ คเหตฺวา อาคตานํ หตฺถโต ปณฺณาการญฺจ คณฺหโนฺต ‘‘เอหิ โข มหาราชา’’ติเอวมาทินา ปรมนิปจฺจกาเรน อาคเต ปฎิราชาโน ‘‘ปาโณ น หนฺตโพฺพ’’ติอาทินา นเยน อนุสาสโนฺต คจฺฉติฯ ยตฺถ ปน ราชา ภุญฺชิตุกาโม วา ทิวาเสยฺยํ วา กเปฺปตุกาโม โหติ, ตตฺถ จกฺกรตนํ อากาสา โอตริตฺวา อุทกาทิสพฺพกิจฺจกฺขเม สเม ภูมิภาเค อกฺขาหตํ วิย ติฎฺฐติฯ ปุน รโญฺญ คมนจิเตฺต อุปฺปเนฺน ปุริมนเยเนว สทฺทํ กโรนฺตํ คจฺฉติ, ยํ สุตฺวา ทฺวาทสโยชนิกาปิ ปริสา อากาเสน คจฺฉติฯ จกฺกรตนํ อนุปุเพฺพน ปุรตฺถิมํ สมุทฺทํ อโชฺฌคาหติ, ตสฺมิํ อโชฺฌคาหเนฺต อุทกํ โยชนปฺปมาณํ อปคนฺตฺวา ภิตฺตีกตํ วิย ติฎฺฐติฯ มหาชโน ยถากามํ สตฺต รตนานิ คณฺหาติฯ ปุน ราชา สุวณฺณภิงฺการํ คเหตฺวา ‘‘อิโต ปฎฺฐาย มม รชฺช’’นฺติ อุทเกน อพฺภุกฺกิริตฺวา นิวตฺตติฯ เสนา ปุรโต โหติ, จกฺกรตนํ ปจฺฉโต, ราชา มเชฺฌฯ จกฺกรตนสฺส โอสกฺกิโตสกฺกิตฎฺฐานํ อุทกํ ปริปูรติฯ เอเตเนว อุปาเยน ทกฺขิณปจฺฉิมอุตฺตเรปิ สมุเทฺท คจฺฉติฯ
Yampi taṃ avisesato ratijananaṭṭhena ratanaṃ. Seyyathidaṃ – rañño cakkavattissa cakkaratanaṃ. Tañhi disvā rājā cakkavatti attamano hoti, evampi taṃ rañño ratiṃ janeti. Puna caparaṃ rājā cakkavatti vāmena hatthena suvaṇṇabhiṅkāraṃ gahetvā dakkhiṇena hatthena cakkaratanaṃ abbhukkirati ‘‘pavattatu bhavaṃ cakkaratanaṃ, abhivijinātu bhavaṃ cakkaratana’’nti. Tato cakkaratanaṃ pañcaṅgikaṃ viya tūriyaṃ madhurassaraṃ niccharantaṃ ākāsena puratthimaṃ disaṃ gacchati, anvadeva rājā cakkavatti cakkānubhāvena dvādasayojanavitthiṇṇāya caturaṅginiyā senāya nātiuccaṃ nātinīcaṃ uccarukkhānaṃ heṭṭhābhāgena, nīcarukkhānaṃ uparibhāgena, rukkhesu pupphaphalapallavādipaṇṇākāraṃ gahetvā āgatānaṃ hatthato paṇṇākārañca gaṇhanto ‘‘ehi kho mahārājā’’tievamādinā paramanipaccakārena āgate paṭirājāno ‘‘pāṇo na hantabbo’’tiādinā nayena anusāsanto gacchati. Yattha pana rājā bhuñjitukāmo vā divāseyyaṃ vā kappetukāmo hoti, tattha cakkaratanaṃ ākāsā otaritvā udakādisabbakiccakkhame same bhūmibhāge akkhāhataṃ viya tiṭṭhati. Puna rañño gamanacitte uppanne purimanayeneva saddaṃ karontaṃ gacchati, yaṃ sutvā dvādasayojanikāpi parisā ākāsena gacchati. Cakkaratanaṃ anupubbena puratthimaṃ samuddaṃ ajjhogāhati, tasmiṃ ajjhogāhante udakaṃ yojanappamāṇaṃ apagantvā bhittīkataṃ viya tiṭṭhati. Mahājano yathākāmaṃ satta ratanāni gaṇhāti. Puna rājā suvaṇṇabhiṅkāraṃ gahetvā ‘‘ito paṭṭhāya mama rajja’’nti udakena abbhukkiritvā nivattati. Senā purato hoti, cakkaratanaṃ pacchato, rājā majjhe. Cakkaratanassa osakkitosakkitaṭṭhānaṃ udakaṃ paripūrati. Eteneva upāyena dakkhiṇapacchimauttarepi samudde gacchati.
เอวํ จตุทฺทิสํ อนุสํยายิตฺวา จกฺกรตนํ ติโยชนปฺปมาณํ อากาสํ อาโรหติฯ ตตฺถ ฐิโต ราชา จกฺกรตนานุภาเวน วิชิตํ ปญฺจสตปริตฺตทีปปฎิมณฺฑิตํ สตฺตโยชนสหสฺสปริมณฺฑลํ ปุพฺพวิเทหํ, ตถา อฎฺฐโยชนสหสฺสปริมณฺฑลํ อุตฺตรกุรุํ, สตฺตโยชนสหสฺสปริมณฺฑลํเยว อปรโคยานํ, ทสโยชนสหสฺสปริมณฺฑลํ ชมฺพุทีปญฺจาติ เอวํ จตุมหาทีปทฺวิสหสฺสปริตฺตทีปปฎิมณฺฑิตํ เอกํ จกฺกวาฬํ สุผุลฺลปุณฺฑรีกวนํ วิย โอโลเกติฯ เอวํ โอโลกยโต จสฺส อนปฺปิกา รติ อุปฺปชฺชติฯ เอวมฺปิ ตํ จกฺกรตนํ รโญฺญ รติํ ชเนติ, ตมฺปิ พุทฺธรตนสมํ นตฺถิฯ ยทิ หิ รติชนนเฎฺฐน รตนํ, ตถาคโตว รตนํฯ กิํ กริสฺสติ เอตํ จกฺกรตนํ? ตถาคโต หิ ยสฺสา ทิพฺพาย รติยา จกฺกรตนาทีหิ สเพฺพหิปิ ชนิตา จกฺกวตฺติรติ สงฺขมฺปิ กลมฺปิ กลภาคมฺปิ น อุเปติ, ตโตปิ รติโต อุตฺตริตรญฺจ ปณีตตรญฺจ อตฺตโน โอวาทปฺปติกรานํ อสเงฺขฺยยฺยานมฺปิ เทวมนุสฺสานํ ปฐมชฺฌานรติํ, ทุติยตติยจตุตฺถปญฺจมชฺฌานรติํ, อากาสานญฺจายตนรติํ, วิญฺญาณญฺจายตนอากิญฺจญฺญายตนเนวสญฺญานาสญฺญายตนรติํ, โสตาปตฺติมคฺครติํ, โสตาปตฺติผลรติํ, สกทาคามิอนาคามิอรหตฺตมคฺคผลรติญฺจ ชเนติฯ เอวํ รติชนนเฎฺฐนาปิ ตถาคตสมํ รตนํ นตฺถีติฯ
Evaṃ catuddisaṃ anusaṃyāyitvā cakkaratanaṃ tiyojanappamāṇaṃ ākāsaṃ ārohati. Tattha ṭhito rājā cakkaratanānubhāvena vijitaṃ pañcasataparittadīpapaṭimaṇḍitaṃ sattayojanasahassaparimaṇḍalaṃ pubbavidehaṃ, tathā aṭṭhayojanasahassaparimaṇḍalaṃ uttarakuruṃ, sattayojanasahassaparimaṇḍalaṃyeva aparagoyānaṃ, dasayojanasahassaparimaṇḍalaṃ jambudīpañcāti evaṃ catumahādīpadvisahassaparittadīpapaṭimaṇḍitaṃ ekaṃ cakkavāḷaṃ suphullapuṇḍarīkavanaṃ viya oloketi. Evaṃ olokayato cassa anappikā rati uppajjati. Evampi taṃ cakkaratanaṃ rañño ratiṃ janeti, tampi buddharatanasamaṃ natthi. Yadi hi ratijananaṭṭhena ratanaṃ, tathāgatova ratanaṃ. Kiṃ karissati etaṃ cakkaratanaṃ? Tathāgato hi yassā dibbāya ratiyā cakkaratanādīhi sabbehipi janitā cakkavattirati saṅkhampi kalampi kalabhāgampi na upeti, tatopi ratito uttaritarañca paṇītatarañca attano ovādappatikarānaṃ asaṅkhyeyyānampi devamanussānaṃ paṭhamajjhānaratiṃ, dutiyatatiyacatutthapañcamajjhānaratiṃ, ākāsānañcāyatanaratiṃ, viññāṇañcāyatanaākiñcaññāyatananevasaññānāsaññāyatanaratiṃ, sotāpattimaggaratiṃ, sotāpattiphalaratiṃ, sakadāgāmianāgāmiarahattamaggaphalaratiñca janeti. Evaṃ ratijananaṭṭhenāpi tathāgatasamaṃ ratanaṃ natthīti.
อปิจ รตนํ นาเมตํ ทุวิธํ โหติ สวิญฺญาณกํ อวิญฺญาณกญฺจฯ ตตฺถ อวิญฺญาณกํ จกฺกรตนํ มณิรตนํ, ยํ วา ปนญฺญมฺปิ อนินฺทฺริยพทฺธํ สุวณฺณรชตาทิ, สวิญฺญาณกํ หตฺถิรตนาทิ ปริณายกรตนปริโยสานํ, ยํ วา ปนญฺญมฺปิ เอวรูปํ อินฺทฺริยพทฺธํฯ เอวํ ทุวิเธ เจตฺถ สวิญฺญาณกรตนํ อคฺคมกฺขายติฯ กสฺมา? ยสฺมา อวิญฺญาณกํ สุวณฺณรชตมณิมุตฺตาทิรตนํ, สวิญฺญาณกานํ หตฺถิรตนาทีนํ อลงฺการตฺถาย อุปนียติฯ
Apica ratanaṃ nāmetaṃ duvidhaṃ hoti saviññāṇakaṃ aviññāṇakañca. Tattha aviññāṇakaṃ cakkaratanaṃ maṇiratanaṃ, yaṃ vā panaññampi anindriyabaddhaṃ suvaṇṇarajatādi, saviññāṇakaṃ hatthiratanādi pariṇāyakaratanapariyosānaṃ, yaṃ vā panaññampi evarūpaṃ indriyabaddhaṃ. Evaṃ duvidhe cettha saviññāṇakaratanaṃ aggamakkhāyati. Kasmā? Yasmā aviññāṇakaṃ suvaṇṇarajatamaṇimuttādiratanaṃ, saviññāṇakānaṃ hatthiratanādīnaṃ alaṅkāratthāya upanīyati.
สวิญฺญาณกรตนมฺปิ ทุวิธํ ติรจฺฉานคตรตนํ, มนุสฺสรตนญฺจฯ ตตฺถ มนุสฺสรตนํ อคฺคมกฺขายติฯ กสฺมา? ยสฺมา ติรจฺฉานคตรตนํ มนุสฺสรตนสฺส โอปวยฺหํ โหติฯ มนุสฺสรตนมฺปิ ทุวิธํ อิตฺถิรตนํ, ปุริสรตนญฺจฯ ตตฺถ ปุริสรตนํ อคฺคมกฺขายติฯ กสฺมา? ยสฺมา อิตฺถิรตนํ ปุริสรตนสฺส ปริจาริกตฺตํ อาปชฺชติฯ ปุริสรตนมฺปิ ทุวิธํ อคาริกรตนํ, อนคาริกรตนญฺจฯ ตตฺถ อนคาริกรตนํ อคฺคมกฺขายติฯ กสฺมา? ยสฺมา อคาริกรตเนสุ อโคฺค จกฺกวตฺตีปิ สีลาทิคุณยุตฺตํ อนคาริกรตนํ ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิตฺวา อุปฎฺฐหิตฺวา ปยิรุปาสิตฺวา จ ทิพฺพมานุสิกา สมฺปตฺติโย ปาปุณิตฺวา อเนฺต นิพฺพานสมฺปตฺติํ ปาปุณาติฯ
Saviññāṇakaratanampi duvidhaṃ tiracchānagataratanaṃ, manussaratanañca. Tattha manussaratanaṃ aggamakkhāyati. Kasmā? Yasmā tiracchānagataratanaṃ manussaratanassa opavayhaṃ hoti. Manussaratanampi duvidhaṃ itthiratanaṃ, purisaratanañca. Tattha purisaratanaṃ aggamakkhāyati. Kasmā? Yasmā itthiratanaṃ purisaratanassa paricārikattaṃ āpajjati. Purisaratanampi duvidhaṃ agārikaratanaṃ, anagārikaratanañca. Tattha anagārikaratanaṃ aggamakkhāyati. Kasmā? Yasmā agārikaratanesu aggo cakkavattīpi sīlādiguṇayuttaṃ anagārikaratanaṃ pañcapatiṭṭhitena vanditvā upaṭṭhahitvā payirupāsitvā ca dibbamānusikā sampattiyo pāpuṇitvā ante nibbānasampattiṃ pāpuṇāti.
เอวํ อนคาริกรตนมฺปิ ทุวิธํ – อริยปุถุชฺชนวเสนฯ อริยรตนมฺปิ ทุวิธํ เสกฺขาเสกฺขวเสนฯ อเสกฺขรตนมฺปิ ทุวิธํ สุกฺขวิปสฺสกสมถยานิกวเสน, สมถยานิกรตนมฺปิ ทุวิธํ สาวกปารมิปฺปตฺตํ, อปฺปตฺตญฺจฯ ตตฺถ สาวกปารมิปฺปตฺตํ อคฺคมกฺขายติฯ กสฺมา? คุณมหนฺตตายฯ สาวกปารมิปฺปตฺตรตนโตปิ ปเจฺจกพุทฺธรตนํ อคฺคมกฺขายติฯ กสฺมา? คุณมหนฺตตายฯ สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานสทิสาปิ หิ อเนกสตา สาวกา เอกสฺส ปเจฺจกพุทฺธสฺส คุณานํ สตภาคมฺปิ น อุเปนฺติฯ ปเจฺจกพุทฺธรตนโตปิ สมฺมาสมฺพุทฺธรตนํ อคฺคมกฺขายติฯ กสฺมา? คุณมหนฺตตายฯ สกลมฺปิ หิ ชมฺพุทีปํ ปูเรตฺวา ปลฺลเงฺกน ปลฺลงฺกํ ฆเฎฺฎนฺตา นิสินฺนา ปเจฺจกพุทฺธา เอกสฺส สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส คุณานํ เนว สงฺขํ น กลํ น กลภาคํ อุเปนฺติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ภควตา – ‘‘ยาวตา, ภิกฺขเว, สตฺตา อปทา วา…เป.… ตถาคโต เตสํ อคฺคมกฺขายตี’’ติอาทิ (สํ. นิ. ๕.๑๓๙; อ. นิ. ๔.๓๔; ๕.๓๒; อิติวุ. ๙๐)ฯ เอวํ เกนจิปิ ปริยาเยน ตถาคตสมํ รตนํ นตฺถิฯ เตนาห ภควา ‘‘น โน สมํ อตฺถิ ตถาคเตนา’’ติฯ
Evaṃ anagārikaratanampi duvidhaṃ – ariyaputhujjanavasena. Ariyaratanampi duvidhaṃ sekkhāsekkhavasena. Asekkharatanampi duvidhaṃ sukkhavipassakasamathayānikavasena, samathayānikaratanampi duvidhaṃ sāvakapāramippattaṃ, appattañca. Tattha sāvakapāramippattaṃ aggamakkhāyati. Kasmā? Guṇamahantatāya. Sāvakapāramippattaratanatopi paccekabuddharatanaṃ aggamakkhāyati. Kasmā? Guṇamahantatāya. Sāriputtamoggallānasadisāpi hi anekasatā sāvakā ekassa paccekabuddhassa guṇānaṃ satabhāgampi na upenti. Paccekabuddharatanatopi sammāsambuddharatanaṃ aggamakkhāyati. Kasmā? Guṇamahantatāya. Sakalampi hi jambudīpaṃ pūretvā pallaṅkena pallaṅkaṃ ghaṭṭentā nisinnā paccekabuddhā ekassa sammāsambuddhassa guṇānaṃ neva saṅkhaṃ na kalaṃ na kalabhāgaṃ upenti. Vuttampi cetaṃ bhagavatā – ‘‘yāvatā, bhikkhave, sattā apadā vā…pe… tathāgato tesaṃ aggamakkhāyatī’’tiādi (saṃ. ni. 5.139; a. ni. 4.34; 5.32; itivu. 90). Evaṃ kenacipi pariyāyena tathāgatasamaṃ ratanaṃ natthi. Tenāha bhagavā ‘‘na no samaṃ atthi tathāgatenā’’ti.
เอวํ ภควา พุทฺธรตนสฺส อเญฺญหิ รตเนหิ อสมตํ วตฺวา อิทานิ เตสํ สตฺตานํ อุปฺปนฺนอุปทฺทววูปสมนตฺถํ เนว ชาติํ น โคตฺตํ น โกลปุตฺติยํ น วณฺณโปกฺขรตาทิํ นิสฺสาย, อปิจ โข อวีจิมุปาทาย ภวคฺคปริยเนฺต โลเก สีลสมาธิกฺขนฺธาทีหิ คุเณหิ พุทฺธรตนสฺส อสทิสภาวํ นิสฺสาย สจฺจวจนํ ปยุญฺชติ ‘‘อิทมฺปิ พุเทฺธ รตนํ ปณีตํ, เอเตน สเจฺจน สุวตฺถิ โหตู’’ติฯ
Evaṃ bhagavā buddharatanassa aññehi ratanehi asamataṃ vatvā idāni tesaṃ sattānaṃ uppannaupaddavavūpasamanatthaṃ neva jātiṃ na gottaṃ na kolaputtiyaṃ na vaṇṇapokkharatādiṃ nissāya, apica kho avīcimupādāya bhavaggapariyante loke sīlasamādhikkhandhādīhi guṇehi buddharatanassa asadisabhāvaṃ nissāya saccavacanaṃ payuñjati ‘‘idampi buddhe ratanaṃ paṇītaṃ, etena saccena suvatthi hotū’’ti.
ตสฺสโตฺถ – อิทมฺปิ อิธ วา หุรํ วา สเคฺคสุ วา ยํกิญฺจิ อตฺถิ วิตฺตํ วา รตนํ วา, เตน สทฺธิํ เตหิ เตหิ คุเณหิ อสมตฺตา พุทฺธรตนํ ปณีตํฯ ยทิ เอตํ สจฺจํ, เอเตน สเจฺจน อิเมสํ ปาณีนํ โสตฺถิ โหตุ, โสภนานํ อตฺถิตา โหตุ, อโรคตา นิรุปทฺทวตาติฯ เอตฺถ จ ยถา ‘‘จกฺขุํ โข, อานนฺท, สุญฺญํ อเตฺตน วา อตฺตนิเยน วา’’ติเอวมาทีสุ (สํ. นิ. ๔.๘๕) อตฺตภาเวน วา อตฺตนิยภาเวน วาติ อโตฺถฯ อิตรถา หิ จกฺขุ อตฺตา วา อตฺตนิยํ วาติ อปฺปฎิสิทฺธเมว สิยาฯ เอวํ รตนํ ปณีตนฺติ รตนตฺตํ ปณีตํ, รตนภาโว ปณีโตติ อยมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อิตรถา หิ พุโทฺธ เนว รตนนฺติ สิเชฺฌยฺยฯ น หิ ยตฺถ รตนํ อตฺถิ, ตํ รตนนฺติ สิชฺฌติฯ ยตฺถ ปน จิตฺตีกตาทิอตฺถสงฺขาตํ เยน วา เตน วา วิธินา สมฺพนฺธคตํ รตนตฺตํ อตฺถิ, ยสฺมา ตํ รตนตฺตมุปาทาย รตนนฺติ ปญฺญาปียติ, ตสฺมา ตสฺส รตนตฺตสฺส อตฺถิตาย รตนนฺติ สิชฺฌติฯ อถ วา อิทมฺปิ พุเทฺธ รตนนฺติ อิมินาปิ การเณน พุโทฺธว รตนนฺติ เอวเมฺปตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ วุตฺตมตฺตาย จ ภควตา อิมาย คาถาย ราชกุลสฺส โสตฺถิ ชาตา, ภยํ วูปสนฺตํฯ อิมิสฺสา คาถาย อาณา โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาเฬสุ อมนุเสฺสหิ ปฎิคฺคหิตาติฯ
Tassattho – idampi idha vā huraṃ vā saggesu vā yaṃkiñci atthi vittaṃ vā ratanaṃ vā, tena saddhiṃ tehi tehi guṇehi asamattā buddharatanaṃ paṇītaṃ. Yadi etaṃ saccaṃ, etena saccena imesaṃ pāṇīnaṃ sotthi hotu, sobhanānaṃ atthitā hotu, arogatā nirupaddavatāti. Ettha ca yathā ‘‘cakkhuṃ kho, ānanda, suññaṃ attena vā attaniyena vā’’tievamādīsu (saṃ. ni. 4.85) attabhāvena vā attaniyabhāvena vāti attho. Itarathā hi cakkhu attā vā attaniyaṃ vāti appaṭisiddhameva siyā. Evaṃ ratanaṃ paṇītanti ratanattaṃ paṇītaṃ, ratanabhāvo paṇītoti ayamattho veditabbo. Itarathā hi buddho neva ratananti sijjheyya. Na hi yattha ratanaṃ atthi, taṃ ratananti sijjhati. Yattha pana cittīkatādiatthasaṅkhātaṃ yena vā tena vā vidhinā sambandhagataṃ ratanattaṃ atthi, yasmā taṃ ratanattamupādāya ratananti paññāpīyati, tasmā tassa ratanattassa atthitāya ratananti sijjhati. Atha vā idampi buddhe ratananti imināpi kāraṇena buddhova ratananti evampettha attho veditabbo. Vuttamattāya ca bhagavatā imāya gāthāya rājakulassa sotthi jātā, bhayaṃ vūpasantaṃ. Imissā gāthāya āṇā koṭisatasahassacakkavāḷesu amanussehi paṭiggahitāti.
๒๒๗. เอวํ พุทฺธคุเณน สจฺจํ วตฺวา อิทานิ นิพฺพานธมฺมคุเณน วตฺตุมารโทฺธ ‘‘ขยํ วิราค’’นฺติฯ ตตฺถ ยสฺมา นิพฺพานสจฺฉิกิริยาย ราคาทโย ขีณา โหนฺติ ปริกฺขีณา, ยสฺมา วา ตํ เตสํ อนุปฺปาทนิโรธกฺขยมตฺตํ, ยสฺมา จ ตํ ราคาทิวิยุตฺตํ สมฺปโยคโต จ อารมฺมณโต จ, ยสฺมา วา ตมฺหิ สจฺฉิกเต ราคาทโย อจฺจนฺตํ วิรตฺตา โหนฺติ วิคตา วิทฺธสฺตา , ตสฺมา ‘‘ขย’’นฺติ จ ‘‘วิราค’’นฺติ จ วุจฺจติฯ ยสฺมา ปนสฺส น อุปฺปาโท ปญฺญายติ, น วโย น ฐิตสฺส อญฺญถตฺตํ, ตสฺมา ตํ น ชายติ น ชียติ น มียตีติ กตฺวา ‘‘อมต’’นฺติ วุจฺจติ, อุตฺตมเฎฺฐน ปน อตปฺปกเฎฺฐน จ ปณีตนฺติฯ ยทชฺฌคาติ ยํ อชฺฌคา วินฺทิ, ปฎิลภิ, อตฺตโน ญาณพเลน สจฺฉากาสิฯ สกฺยมุนีติ สกฺยกุลปฺปสุตตฺตา สโกฺย, โมเนยฺยธมฺมสมนฺนาคตตฺตา มุนิ, สโกฺย เอว มุนิ สกฺยมุนิฯ สมาหิโตติ อริยมคฺคสมาธินา สมาหิตจิโตฺตฯ น เตน ธเมฺมน สมตฺถิ กิญฺจีติ เตน ขยาทินามเกน สกฺยมุนินา อธิคเตน ธเมฺมน สมํ กิญฺจิ ธมฺมชาตํ นตฺถิฯ ตสฺมา สุตฺตนฺตเรปิ วุตฺตํ ‘‘ยาวตา, ภิกฺขเว, ธมฺมา สงฺขตา วา อสงฺขตา วา, วิราโค เตสํ ธมฺมานํ อคฺคมกฺขายตี’’ติอาทิ (อ. นิ. ๔.๓๔; อิติวุ. ๙๐)ฯ
227. Evaṃ buddhaguṇena saccaṃ vatvā idāni nibbānadhammaguṇena vattumāraddho ‘‘khayaṃ virāga’’nti. Tattha yasmā nibbānasacchikiriyāya rāgādayo khīṇā honti parikkhīṇā, yasmā vā taṃ tesaṃ anuppādanirodhakkhayamattaṃ, yasmā ca taṃ rāgādiviyuttaṃ sampayogato ca ārammaṇato ca, yasmā vā tamhi sacchikate rāgādayo accantaṃ virattā honti vigatā viddhastā , tasmā ‘‘khaya’’nti ca ‘‘virāga’’nti ca vuccati. Yasmā panassa na uppādo paññāyati, na vayo na ṭhitassa aññathattaṃ, tasmā taṃ na jāyati na jīyati na mīyatīti katvā ‘‘amata’’nti vuccati, uttamaṭṭhena pana atappakaṭṭhena ca paṇītanti. Yadajjhagāti yaṃ ajjhagā vindi, paṭilabhi, attano ñāṇabalena sacchākāsi. Sakyamunīti sakyakulappasutattā sakyo, moneyyadhammasamannāgatattā muni, sakyo eva muni sakyamuni. Samāhitoti ariyamaggasamādhinā samāhitacitto. Na tena dhammena samatthi kiñcīti tena khayādināmakena sakyamuninā adhigatena dhammena samaṃ kiñci dhammajātaṃ natthi. Tasmā suttantarepi vuttaṃ ‘‘yāvatā, bhikkhave, dhammā saṅkhatā vā asaṅkhatā vā, virāgo tesaṃ dhammānaṃ aggamakkhāyatī’’tiādi (a. ni. 4.34; itivu. 90).
เอวํ ภควา นิพฺพานธมฺมสฺส อเญฺญหิ ธเมฺมหิ อสมตํ วตฺวา อิทานิ เตสํ สตฺตานํ อุปฺปนฺนอุปทฺทววูปสมนตฺถํ ขยวิราคามตปณีตตาคุเณหิ นิพฺพานธมฺมรตนสฺส อสทิสภาวํ นิสฺสาย สจฺจวจนํ ปยุญฺชติ ‘‘อิทมฺปิ ธเมฺม รตนํ ปณีตํ เอเตน สเจฺจน สุวตฺถิ โหตู’’ติฯ ตสฺสโตฺถ ปุริมคาถาย วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ อิมิสฺสาปิ คาถาย อาณา โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาเฬสุ อมนุเสฺสหิ ปฎิคฺคหิตาติฯ
Evaṃ bhagavā nibbānadhammassa aññehi dhammehi asamataṃ vatvā idāni tesaṃ sattānaṃ uppannaupaddavavūpasamanatthaṃ khayavirāgāmatapaṇītatāguṇehi nibbānadhammaratanassa asadisabhāvaṃ nissāya saccavacanaṃ payuñjati ‘‘idampi dhamme ratanaṃ paṇītaṃ etena saccena suvatthi hotū’’ti. Tassattho purimagāthāya vuttanayeneva veditabbo. Imissāpi gāthāya āṇā koṭisatasahassacakkavāḷesu amanussehi paṭiggahitāti.
๒๒๘. เอวํ นิพฺพานธมฺมคุเณน สจฺจํ วตฺวา อิทานิ มคฺคธมฺมคุเณน วตฺตุมารโทฺธ ‘‘ยํ พุทฺธเสโฎฺฐ’’ติฯ ตตฺถ ‘‘พุชฺฌิตา สจฺจานี’’ติอาทินา (มหานิ. ๑๙๒; จูฬนิ. ปารายนตฺถุติคาถานิเทฺทส ๙๗; ปฎิ. ม. ๑.๑๖๒) นเยน พุโทฺธ, อุตฺตโม ปสํสนีโย จาติ เสโฎฺฐ, พุโทฺธ จ โส เสโฎฺฐ จาติ พุทฺธเสโฎฺฐฯ อนุพุทฺธปเจฺจกพุทฺธสงฺขาเตสุ วา พุเทฺธสุ เสโฎฺฐติ พุทฺธเสโฎฺฐฯ โส พุทฺธเสโฎฺฐ ยํ ปริวณฺณยี, ‘‘อฎฺฐงฺคิโก จ มคฺคานํ, เขมํ นิพฺพานปฺปตฺติยา’’ติ (ม. นิ. ๒.๒๑๕) จ ‘‘อริยํ โว, ภิกฺขเว, สมฺมาสมาธิํ เทเสสฺสามิ สอุปนิสํ สปริกฺขาร’’นฺติ (ม. นิ. ๓.๑๓๖) จ เอวมาทินา นเยน ตตฺถ ตตฺถ ปสํสิ ปกาสยิฯ สุจินฺติ กิเลสมลสมุเจฺฉทกรณโต อจฺจนฺตโวทานํฯ สมาธิมานนฺตริกญฺญมาหูติ ยญฺจ อตฺตโน ปวตฺติสมนนฺตรํ นิยเมเนว ผลทานโต ‘‘อานนฺตริกสมาธี’’ติ อาหุฯ น หิ มคฺคสมาธิญฺหิ อุปฺปเนฺน ตสฺส ผลุปฺปตฺตินิเสธโก โกจิ อนฺตราโย อตฺถิฯ ยถาห –
228. Evaṃ nibbānadhammaguṇena saccaṃ vatvā idāni maggadhammaguṇena vattumāraddho ‘‘yaṃ buddhaseṭṭho’’ti. Tattha ‘‘bujjhitā saccānī’’tiādinā (mahāni. 192; cūḷani. pārāyanatthutigāthāniddesa 97; paṭi. ma. 1.162) nayena buddho, uttamo pasaṃsanīyo cāti seṭṭho, buddho ca so seṭṭho cāti buddhaseṭṭho. Anubuddhapaccekabuddhasaṅkhātesu vā buddhesu seṭṭhoti buddhaseṭṭho. So buddhaseṭṭho yaṃ parivaṇṇayī, ‘‘aṭṭhaṅgiko ca maggānaṃ, khemaṃ nibbānappattiyā’’ti (ma. ni. 2.215) ca ‘‘ariyaṃ vo, bhikkhave, sammāsamādhiṃ desessāmi saupanisaṃ saparikkhāra’’nti (ma. ni. 3.136) ca evamādinā nayena tattha tattha pasaṃsi pakāsayi. Sucinti kilesamalasamucchedakaraṇato accantavodānaṃ. Samādhimānantarikaññamāhūti yañca attano pavattisamanantaraṃ niyameneva phaladānato ‘‘ānantarikasamādhī’’ti āhu. Na hi maggasamādhiñhi uppanne tassa phaluppattinisedhako koci antarāyo atthi. Yathāha –
‘‘อยญฺจ ปุคฺคโล โสตาปตฺติผลสจฺฉิกิริยาย ปฎิปโนฺน อสฺส, กปฺปสฺส จ อุฑฺฑยฺหนเวลา อสฺส, เนว ตาว กโปฺป อุฑฺฑเยฺหยฺย, ยาวายํ ปุคฺคโล น โสตาปตฺติผลํ สจฺฉิกโรติ, อยํ วุจฺจติ ปุคฺคโล ฐิตกปฺปีฯ สเพฺพปิ มคฺคสมงฺคิโน ปุคฺคลา ฐิตกปฺปิโน’’ติ (ปุ. ป. ๑๗)ฯ
‘‘Ayañca puggalo sotāpattiphalasacchikiriyāya paṭipanno assa, kappassa ca uḍḍayhanavelā assa, neva tāva kappo uḍḍayheyya, yāvāyaṃ puggalo na sotāpattiphalaṃ sacchikaroti, ayaṃ vuccati puggalo ṭhitakappī. Sabbepi maggasamaṅgino puggalā ṭhitakappino’’ti (pu. pa. 17).
สมาธินา เตน สโม น วิชฺชตีติ เตน พุทฺธเสฎฺฐปริวณฺณิเตน สุจินา อานนฺตริกสมาธินา สโม รูปาวจรสมาธิ วา อรูปาวจรสมาธิ วา โกจิ น วิชฺชติฯ กสฺมา? เตสํ ภาวิตตฺตา ตตฺถ ตตฺถ พฺรหฺมโลเก อุปฺปนฺนสฺสาปิ ปุน นิรยาทีสุ อุปฺปตฺติสมฺภวโต, อิมสฺส จ อรหตฺตสมาธิสฺส ภาวิตตฺตา อริยปุคฺคลสฺส สพฺพุปฺปตฺติสมุคฺฆาตสมฺภวโตฯ ตสฺมา สุตฺตนฺตเรปิ วุตฺตํ ‘‘ยาวตา, ภิกฺขเว, ธมฺมา สงฺขตา, อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค เตสํ อคฺคมกฺขายตี’’ติอาทิ (อ. นิ. ๔.๓๔; อิติวุ. ๙๐)ฯ
Samādhinātena samo na vijjatīti tena buddhaseṭṭhaparivaṇṇitena sucinā ānantarikasamādhinā samo rūpāvacarasamādhi vā arūpāvacarasamādhi vā koci na vijjati. Kasmā? Tesaṃ bhāvitattā tattha tattha brahmaloke uppannassāpi puna nirayādīsu uppattisambhavato, imassa ca arahattasamādhissa bhāvitattā ariyapuggalassa sabbuppattisamugghātasambhavato. Tasmā suttantarepi vuttaṃ ‘‘yāvatā, bhikkhave, dhammā saṅkhatā, ariyo aṭṭhaṅgiko maggo tesaṃ aggamakkhāyatī’’tiādi (a. ni. 4.34; itivu. 90).
เอวํ ภควา อานนฺตริกสมาธิสฺส อเญฺญหิ สมาธีหิ อสมตํ วตฺวา อิทานิ ปุริมนเยเนว มคฺคธมฺมรตนสฺส อสทิสภาวํ นิสฺสาย สจฺจวจนํ ปยุญฺชติ ‘‘อิทมฺปิ ธเมฺม…เป.… โหตู’’ติฯ ตสฺสโตฺถ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ อิมิสฺสาปิ คาถาย อาณา โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาเฬสุ อมนุเสฺสหิ ปฎิคฺคหิตาติฯ
Evaṃ bhagavā ānantarikasamādhissa aññehi samādhīhi asamataṃ vatvā idāni purimanayeneva maggadhammaratanassa asadisabhāvaṃ nissāya saccavacanaṃ payuñjati ‘‘idampi dhamme…pe… hotū’’ti. Tassattho pubbe vuttanayeneva veditabbo. Imissāpi gāthāya āṇā koṭisatasahassacakkavāḷesu amanussehi paṭiggahitāti.
๒๒๙. เอวํ มคฺคธมฺมคุเณนาปิ สจฺจํ วตฺวา อิทานิ สงฺฆคุเณนาปิ วตฺตุมารโทฺธ ‘‘เย ปุคฺคลา’’ติฯ ตตฺถ เยติ อนิยเมตฺวา อุเทฺทโสฯ ปุคฺคลาติ สตฺตาฯ อฎฺฐาติ เตสํ คณนปริเจฺฉโทฯ เต หิ จตฺตาโร จ ปฎิปนฺนา จตฺตาโร จ ผเล ฐิตาติ อฎฺฐ โหนฺติฯ สตํ ปสตฺถาติ สปฺปุริเสหิ พุทฺธปเจฺจกพุทฺธสาวเกหิ อเญฺญหิ จ เทวมนุเสฺสหิ ปสตฺถาฯ กสฺมา? สหชาตสีลาทิคุณโยคาฯ เตสญฺหิ จมฺปกวกุลกุสุมาทีนํ สหชาตวณฺณคนฺธาทโย วิย สหชาตสีลสมาธิอาทโย คุณาฯ เตน เต วณฺณคนฺธาทิสมฺปนฺนานิ วิย ปุปฺผานิ เทวมนุสฺสานํ สตํ ปิยา มนาปา ปสํสนียา จ โหนฺติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘เย ปุคฺคลา อฎฺฐสตํ ปสตฺถา’’ติฯ
229. Evaṃ maggadhammaguṇenāpi saccaṃ vatvā idāni saṅghaguṇenāpi vattumāraddho ‘‘ye puggalā’’ti. Tattha yeti aniyametvā uddeso. Puggalāti sattā. Aṭṭhāti tesaṃ gaṇanaparicchedo. Te hi cattāro ca paṭipannā cattāro ca phale ṭhitāti aṭṭha honti. Sataṃ pasatthāti sappurisehi buddhapaccekabuddhasāvakehi aññehi ca devamanussehi pasatthā. Kasmā? Sahajātasīlādiguṇayogā. Tesañhi campakavakulakusumādīnaṃ sahajātavaṇṇagandhādayo viya sahajātasīlasamādhiādayo guṇā. Tena te vaṇṇagandhādisampannāni viya pupphāni devamanussānaṃ sataṃ piyā manāpā pasaṃsanīyā ca honti. Tena vuttaṃ ‘‘ye puggalā aṭṭhasataṃ pasatthā’’ti.
อถ วา เยติ อนิยเมตฺวา อุเทฺทโสฯ ปุคฺคลาติ สตฺตาฯ อฎฺฐสตนฺติ เตสํ คณนปริเจฺฉโทฯ เต หิ เอกพีชี โกลํโกโล สตฺตกฺขตฺตุปรโมติ ตโย โสตาปนฺนา, กามรูปารูปภเวสุ อธิคตปฺผลา ตโย สกทาคามิโน, เต สเพฺพปิ จตุนฺนํ ปฎิปทานํ วเสน จตุวีสติ, อนฺตราปรินิพฺพายี, อุปหจฺจปรินิพฺพายี, สสงฺขารปรินิพฺพายี, อสงฺขารปรินิพฺพายี, อุทฺธํโสโต อกนิฎฺฐคามีติ, อวิเหสุ ปญฺจ, ตถา อตปฺปสุทสฺสสุทสฺสีสุฯ อกนิเฎฺฐสุ ปน อุทฺธํโสตวชฺชา จตฺตาโรติ จตุวีสติ อนาคามิโน, สุกฺขวิปสฺสโก สมถยานิโกติ เทฺว อรหโนฺต, จตฺตาโร มคฺคฎฺฐาติ จตุปญฺญาสฯ เต สเพฺพปิ สทฺธาธุรปญฺญาธุรานํ วเสน ทิคุณา หุตฺวา อฎฺฐสตํ โหนฺติฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ
Atha vā yeti aniyametvā uddeso. Puggalāti sattā. Aṭṭhasatanti tesaṃ gaṇanaparicchedo. Te hi ekabījī kolaṃkolo sattakkhattuparamoti tayo sotāpannā, kāmarūpārūpabhavesu adhigatapphalā tayo sakadāgāmino, te sabbepi catunnaṃ paṭipadānaṃ vasena catuvīsati, antarāparinibbāyī, upahaccaparinibbāyī, sasaṅkhāraparinibbāyī, asaṅkhāraparinibbāyī, uddhaṃsoto akaniṭṭhagāmīti, avihesu pañca, tathā atappasudassasudassīsu. Akaniṭṭhesu pana uddhaṃsotavajjā cattāroti catuvīsati anāgāmino, sukkhavipassako samathayānikoti dve arahanto, cattāro maggaṭṭhāti catupaññāsa. Te sabbepi saddhādhurapaññādhurānaṃ vasena diguṇā hutvā aṭṭhasataṃ honti. Sesaṃ vuttanayameva.
จตฺตาริ เอตานิ ยุคานิ โหนฺตีติ เต สเพฺพปิ อฎฺฐ วา อฎฺฐสตํ วาติ วิตฺถารวเสน อุทฺทิฎฺฐปุคฺคลา, สเงฺขปวเสน โสตาปตฺติมคฺคโฎฺฐ ผลโฎฺฐติ เอกํ ยุคํ, เอวํ ยาว อรหตฺตมคฺคโฎฺฐ ผลโฎฺฐติ เอกํ ยุคนฺติ จตฺตาริ ยุคานิ โหนฺติฯ เต ทกฺขิเณยฺยาติ เอตฺถ เตติ ปุเพฺพ อนิยเมตฺวา อุทฺทิฎฺฐานํ นิยเมตฺวา นิเทฺทโสฯ เย ปุคฺคลา วิตฺถารวเสน อฎฺฐ วา อฎฺฐสตํ วา, สเงฺขปวเสน จตฺตาริ ยุคานิ โหนฺตีติ วุตฺตา, สเพฺพปิ เต ทกฺขิณํ อรหนฺตีติ ทกฺขิเณยฺยาฯ ทกฺขิณา นาม กมฺมญฺจ กมฺมวิปากญฺจ สทฺทหิตฺวา ‘‘เอส เม อิทํ เวชฺชกมฺมํ วา ชงฺฆเปสนิกํ วา กริสฺสตี’’ติ เอวมาทีนิ อนเปกฺขิตฺวา ทียมาโน เทยฺยธโมฺม, ตํ อรหนฺติ นาม สีลาทิคุณยุตฺตา ปุคฺคลาฯ อิเม จ ตาทิสา, เตน วุจฺจนฺติ เต ‘‘ทกฺขิเณยฺยา’’ติฯ
Cattāri etāni yugāni hontīti te sabbepi aṭṭha vā aṭṭhasataṃ vāti vitthāravasena uddiṭṭhapuggalā, saṅkhepavasena sotāpattimaggaṭṭho phalaṭṭhoti ekaṃ yugaṃ, evaṃ yāva arahattamaggaṭṭho phalaṭṭhoti ekaṃ yuganti cattāri yugāni honti. Te dakkhiṇeyyāti ettha teti pubbe aniyametvā uddiṭṭhānaṃ niyametvā niddeso. Ye puggalā vitthāravasena aṭṭha vā aṭṭhasataṃ vā, saṅkhepavasena cattāri yugāni hontīti vuttā, sabbepi te dakkhiṇaṃ arahantīti dakkhiṇeyyā. Dakkhiṇā nāma kammañca kammavipākañca saddahitvā ‘‘esa me idaṃ vejjakammaṃ vā jaṅghapesanikaṃ vā karissatī’’ti evamādīni anapekkhitvā dīyamāno deyyadhammo, taṃ arahanti nāma sīlādiguṇayuttā puggalā. Ime ca tādisā, tena vuccanti te ‘‘dakkhiṇeyyā’’ti.
สุคตสฺส สาวกาติ ภควา โสภเนน คมเนน ยุตฺตตฺตา, โสภนญฺจ ฐานํ คตตฺตา, สุฎฺฐุ จ คตตฺตา สุฎฺฐุ เอว จ คทตฺตา สุคโต, ตสฺส สุคตสฺสฯ สเพฺพปิ เต วจนํ สุณนฺตีติ สาวกาฯ กามญฺจ อเญฺญปิ สุณนฺติ, น ปน สุตฺวา กตฺตพฺพกิจฺจํ กโรนฺติฯ อิเม ปน สุตฺวา กตฺตพฺพํ ธมฺมานุธมฺมปฎิปตฺติํ กตฺวา มคฺคผลานิ ปตฺตา, ตสฺมา ‘‘สาวกา’’ติ วุจฺจนฺติฯ เอเตสุ ทินฺนานิ มหปฺผลานีติ เอเตสุ สุคตสาวเกสุ อปฺปกานิปิ ทานานิ ทินฺนานิ ปฎิคฺคาหกโต ทกฺขิณาวิสุทฺธิภาวํ อุปคตตฺตา มหปฺผลานิ โหนฺติฯ ตสฺมา สุตฺตนฺตเรปิ วุตฺตํ –
Sugatassa sāvakāti bhagavā sobhanena gamanena yuttattā, sobhanañca ṭhānaṃ gatattā, suṭṭhu ca gatattā suṭṭhu eva ca gadattā sugato, tassa sugatassa. Sabbepi te vacanaṃ suṇantīti sāvakā. Kāmañca aññepi suṇanti, na pana sutvā kattabbakiccaṃ karonti. Ime pana sutvā kattabbaṃ dhammānudhammapaṭipattiṃ katvā maggaphalāni pattā, tasmā ‘‘sāvakā’’ti vuccanti. Etesu dinnāni mahapphalānīti etesu sugatasāvakesu appakānipi dānāni dinnāni paṭiggāhakato dakkhiṇāvisuddhibhāvaṃ upagatattā mahapphalāni honti. Tasmā suttantarepi vuttaṃ –
‘‘ยาวตา, ภิกฺขเว, สงฺฆา วา คณา วา, ตถาคตสาวกสโงฺฆ เตสํ อคฺคมกฺขายติ, ยทิทํ จตฺตาริ ปุริสยุคานิ อฎฺฐ ปุริสปุคฺคลา, เอส ภควโต สาวกสโงฺฆ…เป.… อโคฺค วิปาโก โหตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๓๔; ๕.๓๒; อิติวุ. ๙๐)ฯ
‘‘Yāvatā, bhikkhave, saṅghā vā gaṇā vā, tathāgatasāvakasaṅgho tesaṃ aggamakkhāyati, yadidaṃ cattāri purisayugāni aṭṭha purisapuggalā, esa bhagavato sāvakasaṅgho…pe… aggo vipāko hotī’’ti (a. ni. 4.34; 5.32; itivu. 90).
เอวํ ภควา สเพฺพสมฺปิ มคฺคฎฺฐผลฎฺฐานํ วเสน สงฺฆรตนสฺส คุณํ วตฺวา อิทานิ ตเมว คุณํ นิสฺสาย สจฺจวจนํ ปยุญฺชติ ‘‘อิทมฺปิ สเงฺฆ’’ติฯ ตสฺสโตฺถ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ อิมิสฺสาปิ คาถาย อาณา โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาเฬสุ อมนุเสฺสหิ ปฎิคฺคหิตาติฯ
Evaṃ bhagavā sabbesampi maggaṭṭhaphalaṭṭhānaṃ vasena saṅgharatanassa guṇaṃ vatvā idāni tameva guṇaṃ nissāya saccavacanaṃ payuñjati ‘‘idampi saṅghe’’ti. Tassattho pubbe vuttanayeneva veditabbo. Imissāpi gāthāya āṇā koṭisatasahassacakkavāḷesu amanussehi paṭiggahitāti.
๒๓๐. เอวํ มคฺคฎฺฐผลฎฺฐานํ วเสน สงฺฆคุเณน สจฺจํ วตฺวา อิทานิ ตโต เอกจฺจิยานํ ผลสมาปตฺติสุขมนุภวนฺตานํ ขีณาสวปุคฺคลานํเยว คุเณน วตฺตุมารโทฺธ ‘‘เย สุปฺปยุตฺตา’’ติฯ ตตฺถ เยติ อนิยมิตุเทฺทสวจนํฯ สุปฺปยุตฺตาติ สุฎฺฐุ ปยุตฺตา, อเนกวิหิตํ อเนสนํ ปหาย สุทฺธาชีวิตํ นิสฺสาย วิปสฺสนาย อตฺตานํ ปยุญฺชิตุมารทฺธาติ อโตฺถฯ อถ วา สุปฺปยุตฺตาติ ปริสุทฺธกายวจีปโยคสมนฺนาคตาฯ เตน เตสํ สีลกฺขนฺธํ ทเสฺสติฯ มนสา ทเฬฺหนาติ ทเฬฺหน มนสา, ถิรสมาธิยุเตฺตน เจตสาติ อโตฺถฯ เตน เตสํ สมาธิกฺขนฺธํ ทเสฺสติฯ นิกฺกามิโนติ กาเย จ ชีวิเต จ อนเปกฺขา หุตฺวา ปญฺญาธุเรน วีริเยน สพฺพกิเลเสหิ กตนิกฺกมนาฯ เตน เตสํ วีริยสมฺปนฺนํ ปญฺญากฺขนฺธํ ทเสฺสติฯ
230. Evaṃ maggaṭṭhaphalaṭṭhānaṃ vasena saṅghaguṇena saccaṃ vatvā idāni tato ekacciyānaṃ phalasamāpattisukhamanubhavantānaṃ khīṇāsavapuggalānaṃyeva guṇena vattumāraddho ‘‘ye suppayuttā’’ti. Tattha yeti aniyamituddesavacanaṃ. Suppayuttāti suṭṭhu payuttā, anekavihitaṃ anesanaṃ pahāya suddhājīvitaṃ nissāya vipassanāya attānaṃ payuñjitumāraddhāti attho. Atha vā suppayuttāti parisuddhakāyavacīpayogasamannāgatā. Tena tesaṃ sīlakkhandhaṃ dasseti. Manasā daḷhenāti daḷhena manasā, thirasamādhiyuttena cetasāti attho. Tena tesaṃ samādhikkhandhaṃ dasseti. Nikkāminoti kāye ca jīvite ca anapekkhā hutvā paññādhurena vīriyena sabbakilesehi katanikkamanā. Tena tesaṃ vīriyasampannaṃ paññākkhandhaṃ dasseti.
โคตมสาสนมฺหีติ โคตฺตโต โคตมสฺส ตถาคตเสฺสว สาสนมฺหิฯ เตน อิโต พหิทฺธา นานปฺปการมฺปิ อมรตปํ กโรนฺตานํ สุปฺปโยคาทิคุณาภาวโต กิเลเสหิ นิกฺกมนาภาวํ ทีเปติฯ เตติ ปุเพฺพ อุทฺทิฎฺฐานํ นิเทฺทสวจนํฯ ปตฺติปตฺตาติ เอตฺถ ปตฺตพฺพาติ ปตฺติ, ปตฺตพฺพา นาม ปตฺตุํ อรหา, ยํ ปตฺวา อจฺจนฺตโยคเกฺขมิโน โหนฺติ, อรหตฺตผลเสฺสตํ อธิวจนํ, ตํ ปตฺติํ ปตฺตาติ ปตฺติปตฺตาฯ อมตนฺติ นิพฺพานํฯ วิคยฺหาติ อารมฺมณวเสน วิคาหิตฺวาฯ ลทฺธาติ ลภิตฺวาฯ มุธาติ อพฺยเยน กากณิกมตฺตมฺปิ พฺยยํ อกตฺวาฯ นิพฺพุตินฺติ ปฎิปฺปสฺสทฺธกิเลสทรถํ ผลสมาปตฺติํฯ ภุญฺชมานาติ อนุภวมานาฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? เย อิมสฺมิํ โคตมสาสนมฺหิ สีลสมฺปนฺนตฺตา สุปฺปยุตฺตา, สมาธิสมฺปนฺนตฺตา มนสา ทเฬฺหน, ปญฺญาสมฺปนฺนตฺตา นิกฺกามิโน, เต อิมาย สมฺมาปฎิปทาย อมตํ วิคยฺห มุธา ลทฺธา ผลสมาปตฺติสญฺญิตํ นิพฺพุติํ ภุญฺชมานา ปตฺติปตฺตา นาม โหนฺตีติฯ
Gotamasāsanamhīti gottato gotamassa tathāgatasseva sāsanamhi. Tena ito bahiddhā nānappakārampi amaratapaṃ karontānaṃ suppayogādiguṇābhāvato kilesehi nikkamanābhāvaṃ dīpeti. Teti pubbe uddiṭṭhānaṃ niddesavacanaṃ. Pattipattāti ettha pattabbāti patti, pattabbā nāma pattuṃ arahā, yaṃ patvā accantayogakkhemino honti, arahattaphalassetaṃ adhivacanaṃ, taṃ pattiṃ pattāti pattipattā. Amatanti nibbānaṃ. Vigayhāti ārammaṇavasena vigāhitvā. Laddhāti labhitvā. Mudhāti abyayena kākaṇikamattampi byayaṃ akatvā. Nibbutinti paṭippassaddhakilesadarathaṃ phalasamāpattiṃ. Bhuñjamānāti anubhavamānā. Kiṃ vuttaṃ hoti? Ye imasmiṃ gotamasāsanamhi sīlasampannattā suppayuttā, samādhisampannattā manasā daḷhena, paññāsampannattā nikkāmino, te imāya sammāpaṭipadāya amataṃ vigayha mudhā laddhā phalasamāpattisaññitaṃ nibbutiṃ bhuñjamānā pattipattā nāma hontīti.
เอวํ ภควา ผลสมาปตฺติสุขมนุภวนฺตานํ ขีณาสวปุคฺคลานํเยว วเสน สงฺฆรตนสฺส คุณํ วตฺวา อิทานิ ตเมว คุณํ นิสฺสาย สจฺจวจนํ ปยุญฺชติ ‘‘อิทมฺปิ สเงฺฆ’’ติฯ ตสฺสโตฺถ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ อิมิสฺสาปิ คาถาย อาณา โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาเฬสุ อมนุเสฺสหิ ปฎิคฺคหิตาติฯ
Evaṃ bhagavā phalasamāpattisukhamanubhavantānaṃ khīṇāsavapuggalānaṃyeva vasena saṅgharatanassa guṇaṃ vatvā idāni tameva guṇaṃ nissāya saccavacanaṃ payuñjati ‘‘idampi saṅghe’’ti. Tassattho pubbe vuttanayeneva veditabbo. Imissāpi gāthāya āṇā koṭisatasahassacakkavāḷesu amanussehi paṭiggahitāti.
๒๓๑. เอวํ ขีณาสวปุคฺคลานํ คุเณน สงฺฆาธิฎฺฐานํ สจฺจํ วตฺวา อิทานิ พหุชนปจฺจเกฺขน โสตาปนฺนเสฺสว คุเณน วตฺตุมารโทฺธ ‘‘ยถินฺทขีโล’’ติฯ ตตฺถ ยถาติ อุปมาวจนํฯ อินฺทขีโลติ นครทฺวารนิวารณตฺถํ อุมฺมารพฺภนฺตเร อฎฺฐ วา ทส วา หเตฺถ ปถวิํ ขณิตฺวา อาโกฎิตสฺส สารทารุมยถมฺภเสฺสตํ อธิวจนํฯ ปถวินฺติ ภูมิํฯ สิโตติ อโนฺต ปวิสิตฺวา นิสฺสิโตฯ สิยาติ ภเวยฺยฯ จตุพฺภิ วาเตหีติ จตูหิ ทิสาหิ อาคตวาเตหิฯ อสมฺปกมฺปิโยติ กเมฺปตุํ วา จาเลตุํ วา อสกฺกุเณโยฺยฯ ตถูปมนฺติ ตถาวิธํฯ สปฺปุริสนฺติ อุตฺตมปุริสํฯ วทามีติ ภณามิฯ โย อริยสจฺจานิ อเวจฺจ ปสฺสตีติ โย จตฺตาริ อริยสจฺจานิ ปญฺญาย อโชฺฌคาเหตฺวา ปสฺสติฯ ตตฺถ อริยสจฺจานิ วิสุทฺธิมเคฺค วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพานิฯ
231. Evaṃ khīṇāsavapuggalānaṃ guṇena saṅghādhiṭṭhānaṃ saccaṃ vatvā idāni bahujanapaccakkhena sotāpannasseva guṇena vattumāraddho ‘‘yathindakhīlo’’ti. Tattha yathāti upamāvacanaṃ. Indakhīloti nagaradvāranivāraṇatthaṃ ummārabbhantare aṭṭha vā dasa vā hatthe pathaviṃ khaṇitvā ākoṭitassa sāradārumayathambhassetaṃ adhivacanaṃ. Pathavinti bhūmiṃ. Sitoti anto pavisitvā nissito. Siyāti bhaveyya. Catubbhi vātehīti catūhi disāhi āgatavātehi. Asampakampiyoti kampetuṃ vā cāletuṃ vā asakkuṇeyyo. Tathūpamanti tathāvidhaṃ. Sappurisanti uttamapurisaṃ. Vadāmīti bhaṇāmi. Yo ariyasaccāni avecca passatīti yo cattāri ariyasaccāni paññāya ajjhogāhetvā passati. Tattha ariyasaccāni visuddhimagge vuttanayeneva veditabbāni.
อยํ ปเนตฺถ สเงฺขปโตฺถ – ยถา หิ อินฺทขีโล คมฺภีรเนมตาย ปถวิสฺสิโต จตุพฺภิ วาเตหิ อสมฺปกมฺปิโย สิยา, อิมมฺปิ สปฺปุริสํ ตถูปมเมว วทามิ, โย อริยสจฺจานิ อเวจฺจ ปสฺสติฯ กสฺมา? ยสฺมา โสปิ อินฺทขีโล วิย จตูหิ วาเตหิ สพฺพติตฺถิยวาทวาเตหิ อสมฺปกมฺปิโย โหติ, ตมฺหา ทสฺสนา เกนจิ กเมฺปตุํ วา จาเลตุํ วา อสกฺกุเณโยฺยฯ ตสฺมา สุตฺตนฺตเรปิ วุตฺตํ –
Ayaṃ panettha saṅkhepattho – yathā hi indakhīlo gambhīranematāya pathavissito catubbhi vātehi asampakampiyo siyā, imampi sappurisaṃ tathūpamameva vadāmi, yo ariyasaccāni avecca passati. Kasmā? Yasmā sopi indakhīlo viya catūhi vātehi sabbatitthiyavādavātehi asampakampiyo hoti, tamhā dassanā kenaci kampetuṃ vā cāletuṃ vā asakkuṇeyyo. Tasmā suttantarepi vuttaṃ –
‘‘เสยฺยถาปิ , ภิกฺขเว, อโยขีโล วา อินฺทขีโล วา คมฺภีรเนโม สุนิขาโต อจโล อสมฺปกมฺปี, ปุรตฺถิมาย เจปิ ทิสาย อาคเจฺฉยฺย ภุสา วาตวุฎฺฐิ, เนว นํ สงฺกเมฺปยฺย น สมฺปกเมฺปยฺย น สมฺปจาเลยฺยฯ ปจฺฉิมาย…เป.… ทกฺขิณาย… อุตฺตราย เจปิ…เป.… น สมฺปจาเลยฺยฯ ตํ กิสฺส เหตุ? คมฺภีรตฺตา, ภิกฺขเว, เนมสฺส สุนิขาตตฺตา อินฺทขีลสฺสฯ เอวเมว โข, ภิกฺขเว, เย จ โข เกจิ สมณา วา พฺราหฺมณา วา ‘อิทํ ทุกฺขนฺติ…เป.… ปฎิปทา’ติ ยถาภูตํ ปชานนฺติ, เต น อญฺญสฺส สมณสฺส วา พฺราหฺมณสฺส วา มุขํ โอโลเกนฺติ ‘อยํ นูน ภวํ ชานํ ชานาติ ปสฺสํ ปสฺสตี’ติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? สุทิฎฺฐตฺตา, ภิกฺขเว, จตุนฺนํ อริยสจฺจาน’’นฺติ (สํ. นิ. ๕.๑๑๐๙)ฯ
‘‘Seyyathāpi , bhikkhave, ayokhīlo vā indakhīlo vā gambhīranemo sunikhāto acalo asampakampī, puratthimāya cepi disāya āgaccheyya bhusā vātavuṭṭhi, neva naṃ saṅkampeyya na sampakampeyya na sampacāleyya. Pacchimāya…pe… dakkhiṇāya… uttarāya cepi…pe… na sampacāleyya. Taṃ kissa hetu? Gambhīrattā, bhikkhave, nemassa sunikhātattā indakhīlassa. Evameva kho, bhikkhave, ye ca kho keci samaṇā vā brāhmaṇā vā ‘idaṃ dukkhanti…pe… paṭipadā’ti yathābhūtaṃ pajānanti, te na aññassa samaṇassa vā brāhmaṇassa vā mukhaṃ olokenti ‘ayaṃ nūna bhavaṃ jānaṃ jānāti passaṃ passatī’ti. Taṃ kissa hetu? Sudiṭṭhattā, bhikkhave, catunnaṃ ariyasaccāna’’nti (saṃ. ni. 5.1109).
เอวํ ภควา พหุชนปจฺจกฺขสฺส โสตาปนฺนเสฺสว วเสน สงฺฆรตนสฺส คุณํ วตฺวา อิทานิ ตเมว คุณํ นิสฺสาย สจฺจวจนํ ปยุญฺชติ ‘‘อิทมฺปิ สเงฺฆ’’ติฯ ตสฺสโตฺถ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ อิมิสฺสาปิ คาถาย อาณา โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาเฬสุ อมนุเสฺสหิ ปฎิคฺคหิตาติฯ
Evaṃ bhagavā bahujanapaccakkhassa sotāpannasseva vasena saṅgharatanassa guṇaṃ vatvā idāni tameva guṇaṃ nissāya saccavacanaṃ payuñjati ‘‘idampi saṅghe’’ti. Tassattho pubbe vuttanayeneva veditabbo. Imissāpi gāthāya āṇā koṭisatasahassacakkavāḷesu amanussehi paṭiggahitāti.
๒๓๒. เอวํ อวิเสสโต โสตาปนฺนสฺส คุเณน สงฺฆาธิฎฺฐานํ สจฺจํ วตฺวา อิทานิ เย เต ตโย โสตาปนฺนา เอกพีชี โกลํโกโล สตฺตกฺขตฺตุปรโมติฯ ยถาห –
232. Evaṃ avisesato sotāpannassa guṇena saṅghādhiṭṭhānaṃ saccaṃ vatvā idāni ye te tayo sotāpannā ekabījī kolaṃkolo sattakkhattuparamoti. Yathāha –
‘‘อิเธกโจฺจ ปุคฺคโล ติณฺณํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา โสตาปโนฺน โหติ…เป.… โส เอกํเยว ภวํ นิพฺพตฺติตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กโรติ, อยํ เอกพีชีฯ ตถา เทฺว วา ตีณิ วา กุลานิ สนฺธาวิตฺวา สํสริตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กโรติ, อยํ โกลํโกโลฯ ตถา สตฺตกฺขตฺตุํ เทเวสุ จ มนุเสฺสสุ จ สนฺธาวิตฺวา สํสริตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กโรติ, อยํ สตฺตกฺขตฺตุปรโม’’ติ (ปุ. ป. ๓๑-๓๓)ฯ
‘‘Idhekacco puggalo tiṇṇaṃ saṃyojanānaṃ parikkhayā sotāpanno hoti…pe… so ekaṃyeva bhavaṃ nibbattitvā dukkhassantaṃ karoti, ayaṃ ekabījī. Tathā dve vā tīṇi vā kulāni sandhāvitvā saṃsaritvā dukkhassantaṃ karoti, ayaṃ kolaṃkolo. Tathā sattakkhattuṃ devesu ca manussesu ca sandhāvitvā saṃsaritvā dukkhassantaṃ karoti, ayaṃ sattakkhattuparamo’’ti (pu. pa. 31-33).
เตสํ สพฺพกนิฎฺฐสฺส สตฺตกฺขตฺตุปรมสฺส คุเณน วตฺตุมารโทฺธ ‘‘เย อริยสจฺจานี’’ติฯ ตตฺถ เย อริยสจฺจานีติ เอตํ วุตฺตนยเมวฯ วิภาวยนฺตีติ ปญฺญาโอภาเสน สจฺจปฎิจฺฉาทกํ กิเลสนฺธการํ วิธมิตฺวา อตฺตโน ปกาสานิ ปากฎานิ กโรนฺติฯ คมฺภีรปเญฺญนาติ อปฺปเมยฺยปญฺญตาย สเทวกสฺสปิ โลกสฺส ญาเณน อลพฺภเนยฺยปติฎฺฐปเญฺญน, สพฺพญฺญุนาติ วุตฺตํ โหติฯ สุเทสิตานีติ สมาสพฺยาสสากลฺยเวกลฺยาทีหิ เตหิ เตหิ นเยหิ สุฎฺฐุ เทสิตานิฯ กิญฺจาปิ เต โหนฺติ ภุสํ ปมตฺตาติ เต วิภาวิตอริยสจฺจา ปุคฺคลา กิญฺจาปิ เทวรชฺชจกฺกวตฺติรชฺชาทิปฺปมาทฎฺฐานํ อาคมฺม ภุสํ ปมตฺตา โหนฺติ, ตถาปิ โสตาปตฺติมคฺคญาเณน อภิสงฺขารวิญฺญาณสฺส นิโรธา ฐเปตฺวา สตฺต ภเว อนมตเคฺค สํสาเร เย อุปฺปเชฺชยฺยุํ นามญฺจ รูปญฺจ , เตสํ นิรุทฺธตฺตา อตฺถงฺคตตฺตา น อฎฺฐมํ ภวํ อาทิยนฺติ, สตฺตมภเว เอว ปน วิปสฺสนํ อารภิตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณนฺตีติฯ
Tesaṃ sabbakaniṭṭhassa sattakkhattuparamassa guṇena vattumāraddho ‘‘ye ariyasaccānī’’ti. Tattha ye ariyasaccānīti etaṃ vuttanayameva. Vibhāvayantīti paññāobhāsena saccapaṭicchādakaṃ kilesandhakāraṃ vidhamitvā attano pakāsāni pākaṭāni karonti. Gambhīrapaññenāti appameyyapaññatāya sadevakassapi lokassa ñāṇena alabbhaneyyapatiṭṭhapaññena, sabbaññunāti vuttaṃ hoti. Sudesitānīti samāsabyāsasākalyavekalyādīhi tehi tehi nayehi suṭṭhu desitāni. Kiñcāpi te honti bhusaṃ pamattāti te vibhāvitaariyasaccā puggalā kiñcāpi devarajjacakkavattirajjādippamādaṭṭhānaṃ āgamma bhusaṃ pamattā honti, tathāpi sotāpattimaggañāṇena abhisaṅkhāraviññāṇassa nirodhā ṭhapetvā satta bhave anamatagge saṃsāre ye uppajjeyyuṃ nāmañca rūpañca , tesaṃ niruddhattā atthaṅgatattā na aṭṭhamaṃ bhavaṃ ādiyanti, sattamabhave eva pana vipassanaṃ ārabhitvā arahattaṃ pāpuṇantīti.
เอวํ ภควา สตฺตกฺขตฺตุปรมวเสน สงฺฆรตนสฺส คุณํ วตฺวา อิทานิ ตเมว คุณํ นิสฺสาย สจฺจวจนํ ปยุญฺชติ ‘‘อิทมฺปิ สเงฺฆ’’ติฯ ตสฺสโตฺถ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ อิมิสฺสาปิ คาถาย อาณา โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาเฬสุ อมนุเสฺสหิ ปฎิคฺคหิตาติฯ
Evaṃ bhagavā sattakkhattuparamavasena saṅgharatanassa guṇaṃ vatvā idāni tameva guṇaṃ nissāya saccavacanaṃ payuñjati ‘‘idampi saṅghe’’ti. Tassattho pubbe vuttanayeneva veditabbo. Imissāpi gāthāya āṇā koṭisatasahassacakkavāḷesu amanussehi paṭiggahitāti.
๒๓๓. เอวํ สตฺตกฺขตฺตุปรมสฺส อฎฺฐมํ ภวํ อนาทิยนคุเณน สงฺฆาธิฎฺฐานํ สจฺจํ วตฺวา อิทานิ ตเสฺสว สตฺต ภเว อาทิยโตปิ อเญฺญหิ อปฺปหีนภวาทาเนหิ ปุคฺคเลหิ วิสิเฎฺฐน คุเณน วตฺตุมารโทฺธ ‘‘สหาวสฺสา’’ติฯ ตตฺถ สหาวาติ สทฺธิํเยวฯ อสฺสาติ ‘‘น เต ภวํ อฎฺฐมมาทิยนฺตี’’ติ วุเตฺตสุ อญฺญตรสฺสฯ ทสฺสนสมฺปทายาติ โสตาปตฺติมคฺคสมฺปตฺติยาฯ โสตาปตฺติมโคฺค หิ นิพฺพานํ ทิสฺวา กตฺตพฺพกิจฺจสมฺปทาย สพฺพปฐมํ นิพฺพานทสฺสนโต ‘‘ทสฺสน’’นฺติ วุจฺจติฯ ตสฺส อตฺตนิ ปาตุภาโว ทสฺสนสมฺปทา, ตาย ทสฺสนสมฺปทาย สห เอวฯ ตยสฺสุ ธมฺมา ชหิตา ภวนฺตีติ เอตฺถ สุอิติ ปทปูรณมเตฺต นิปาโตฯ ‘‘อิทํสุ เม, สาริปุตฺต, มหาวิกฎโภชนสฺมิํ โหตี’’ติเอวมาทีสุ (ม. นิ. ๑.๑๕๖) วิยฯ ยโต สหาวสฺส ทสฺสนสมฺปทาย ตโย ธมฺมา ชหิตา ภวนฺติ ปหีนา ภวนฺตีติ อยเมเวตฺถ อโตฺถฯ
233. Evaṃ sattakkhattuparamassa aṭṭhamaṃ bhavaṃ anādiyanaguṇena saṅghādhiṭṭhānaṃ saccaṃ vatvā idāni tasseva satta bhave ādiyatopi aññehi appahīnabhavādānehi puggalehi visiṭṭhena guṇena vattumāraddho ‘‘sahāvassā’’ti. Tattha sahāvāti saddhiṃyeva. Assāti ‘‘na te bhavaṃ aṭṭhamamādiyantī’’ti vuttesu aññatarassa. Dassanasampadāyāti sotāpattimaggasampattiyā. Sotāpattimaggo hi nibbānaṃ disvā kattabbakiccasampadāya sabbapaṭhamaṃ nibbānadassanato ‘‘dassana’’nti vuccati. Tassa attani pātubhāvo dassanasampadā, tāya dassanasampadāya saha eva. Tayassu dhammā jahitā bhavantīti ettha suiti padapūraṇamatte nipāto. ‘‘Idaṃsu me, sāriputta, mahāvikaṭabhojanasmiṃ hotī’’tievamādīsu (ma. ni. 1.156) viya. Yato sahāvassa dassanasampadāya tayo dhammā jahitā bhavanti pahīnā bhavantīti ayamevettha attho.
อิทานิ ชหิตธมฺมทสฺสนตฺถํ อาห ‘‘สกฺกายทิฎฺฐี วิจิกิจฺฉิตญฺจ, สีลพฺพตํ วาปิ ยทตฺถิ กิญฺจี’’ติฯ ตตฺถ สติ กาเย วิชฺชมาเน อุปาทานกฺขนฺธปญฺจกสงฺขาเต กาเย วีสติวตฺถุกา ทิฎฺฐิ สกฺกายทิฎฺฐิ, สตี วา ตตฺถ กาเย ทิฎฺฐีติปิ สกฺกายทิฎฺฐิ, ยถาวุตฺตปฺปกาเร กาเย วิชฺชมานา ทิฎฺฐีติ อโตฺถฯ สติเยว วา กาเย ทิฎฺฐีติปิ สกฺกายทิฎฺฐิ, ยถาวุตฺตปฺปกาเร กาเย วิชฺชมาเน รูปาทิสงฺขาโต อตฺตาติ เอวํ ปวตฺตา ทิฎฺฐีติ อโตฺถฯ ตสฺสา จ ปหีนตฺตา สพฺพทิฎฺฐิคตานิ ปหีนานิเยว โหนฺติฯ สา หิ เนสํ มูลํฯ สพฺพกิเลสพฺยาธิวูปสมนโต ปญฺญา ‘‘จิกิจฺฉิต’’นฺติ วุจฺจติ, ตํ ปญฺญาจิกิจฺฉิตํ อิโต วิคตํ, ตโต วา ปญฺญาจิกิจฺฉิตา อิทํ วิคตนฺติ วิจิกิจฺฉิตํ, ‘‘สตฺถริ กงฺขตี’’ติอาทินา (ธ. ส. ๑๐๐๘; วิภ. ๙๑๕) นเยน วุตฺตาย อฎฺฐวตฺถุกาย วิมติยา เอตํ อธิวจนํฯ ตสฺสา ปหีนตฺตา สพฺพวิจิกิจฺฉิตานิ ปหีนานิ โหนฺติฯ ตญฺหิ เนสํ มูลํฯ ‘‘อิโต พหิทฺธา สมณพฺราหฺมณานํ สีเลน สุทฺธิ วเตน สุทฺธี’’ติเอวมาทีสุ (ธ. ส. ๑๒๒๒; วิภ. ๙๓๘) อาคตํ โคสีลกุกฺกุรสีลาทิกํ สีลํ โควตกุกฺกุรวตาทิกญฺจ วตํ ‘‘สีลพฺพต’’นฺติ วุจฺจติฯ ตสฺส ปหีนตฺตา สพฺพมฺปิ นคฺคิยมุณฺฑิกาทิ อมรตปํ ปหีนํ โหติฯ ตญฺหิ ตสฺส มูลํฯ เตน สพฺพาวสาเน วุตฺตํ ‘‘ยทตฺถิ กิญฺจี’’ติฯ ทุกฺขทสฺสนสมฺปทาย เจตฺถ สกฺกายทิฎฺฐิ, สมุทยทสฺสนสมฺปทาย วิจิกิจฺฉิตํ, มคฺคทสฺสนนิพฺพานทสฺสนสมฺปทาย สีลพฺพตํ ปหียตีติ วิญฺญาตพฺพํฯ
Idāni jahitadhammadassanatthaṃ āha ‘‘sakkāyadiṭṭhī vicikicchitañca, sīlabbataṃ vāpi yadatthi kiñcī’’ti. Tattha sati kāye vijjamāne upādānakkhandhapañcakasaṅkhāte kāye vīsativatthukā diṭṭhi sakkāyadiṭṭhi, satī vā tattha kāye diṭṭhītipi sakkāyadiṭṭhi, yathāvuttappakāre kāye vijjamānā diṭṭhīti attho. Satiyeva vā kāye diṭṭhītipi sakkāyadiṭṭhi, yathāvuttappakāre kāye vijjamāne rūpādisaṅkhāto attāti evaṃ pavattā diṭṭhīti attho. Tassā ca pahīnattā sabbadiṭṭhigatāni pahīnāniyeva honti. Sā hi nesaṃ mūlaṃ. Sabbakilesabyādhivūpasamanato paññā ‘‘cikicchita’’nti vuccati, taṃ paññācikicchitaṃ ito vigataṃ, tato vā paññācikicchitā idaṃ vigatanti vicikicchitaṃ, ‘‘satthari kaṅkhatī’’tiādinā (dha. sa. 1008; vibha. 915) nayena vuttāya aṭṭhavatthukāya vimatiyā etaṃ adhivacanaṃ. Tassā pahīnattā sabbavicikicchitāni pahīnāni honti. Tañhi nesaṃ mūlaṃ. ‘‘Ito bahiddhā samaṇabrāhmaṇānaṃ sīlena suddhi vatena suddhī’’tievamādīsu (dha. sa. 1222; vibha. 938) āgataṃ gosīlakukkurasīlādikaṃ sīlaṃ govatakukkuravatādikañca vataṃ ‘‘sīlabbata’’nti vuccati. Tassa pahīnattā sabbampi naggiyamuṇḍikādi amaratapaṃ pahīnaṃ hoti. Tañhi tassa mūlaṃ. Tena sabbāvasāne vuttaṃ ‘‘yadatthi kiñcī’’ti. Dukkhadassanasampadāya cettha sakkāyadiṭṭhi, samudayadassanasampadāya vicikicchitaṃ, maggadassananibbānadassanasampadāya sīlabbataṃ pahīyatīti viññātabbaṃ.
๒๓๔. เอวมสฺส กิเลสวฎฺฎปฺปหานํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ตสฺมิํ กิเลสวเฎฺฎ สติ เยน วิปากวเฎฺฎน ภวิตพฺพํ, ตปฺปหานา ตสฺสาปิ ปหานํ ทีเปโนฺต อาห ‘‘จตูหปาเยหิ จ วิปฺปมุโตฺต’’ติฯ ตตฺถ จตฺตาโร อปายา นาม นิรยติรจฺฉานเปตฺติวิสยอสุรกายา, เตหิ เอส สตฺต ภเว อุปาทิยโนฺตปิ วิปฺปมุโตฺตติ อโตฺถฯ
234. Evamassa kilesavaṭṭappahānaṃ dassetvā idāni tasmiṃ kilesavaṭṭe sati yena vipākavaṭṭena bhavitabbaṃ, tappahānā tassāpi pahānaṃ dīpento āha ‘‘catūhapāyehi ca vippamutto’’ti. Tattha cattāro apāyā nāma nirayatiracchānapettivisayaasurakāyā, tehi esa satta bhave upādiyantopi vippamuttoti attho.
เอวมสฺส วิปากวฎฺฎปฺปหานํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ยํ อิมสฺส วิปากวฎฺฎสฺส มูลภูตํ กมฺมวฎฺฎํ, ตสฺสาปิ ปหานํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ฉจฺจาภิฐานานิ อภพฺพ กาตุ’’นฺติฯ ตตฺถ อภิฐานานีติ โอฬาริกฎฺฐานานิ, ตานิ เอส ฉ อภโพฺพ กาตุํฯ ตานิ จ ‘‘อฎฺฐานเมตํ, ภิกฺขเว, อนวกาโส, ยํ ทิฎฺฐิสมฺปโนฺน ปุคฺคโล มาตรํ ชีวิตา โวโรเปยฺยา’’ติอาทินา (อ. นิ. ๑.๒๗๑; ม. นิ. ๓.๑๒๘; วิภ. ๘๐๙) นเยน เอกกนิปาเต วุตฺตานิ มาตุฆาตปิตุฆาตอรหนฺตฆาตโลหิตุปฺปาทสงฺฆเภทอญฺญสตฺถารุเทฺทสกมฺมานิ เวทิตพฺพานิฯ ตานิ หิ กิญฺจาปิ ทิฎฺฐิสมฺปโนฺน อริยสาวโก กุนฺถกิปิลฺลิกมฺปิ ชีวิตา น โวโรเปติ, อปิจ โข ปน ปุถุชฺชนภาวสฺส วิครหณตฺถํ วุตฺตานิฯ ปุถุชฺชโน หิ อทิฎฺฐิสมฺปนฺนตฺตา เอวํมหาสาวชฺชานิ อภิฐานานิปิ กโรติ, ทสฺสนสมฺปโนฺน ปน อภโพฺพ ตานิ กาตุนฺติฯ อภพฺพคฺคหณเญฺจตฺถ ภวนฺตเรปิ อกรณทสฺสนตฺถํฯ ภวนฺตเรปิ หิ เอส อตฺตโน อริยสาวกภาวํ อชานโนฺตปิ ธมฺมตาย เอว เอตานิ วา ฉ, ปกติปาณาติปาตาทีนิ วา ปญฺจ เวรานิ อญฺญสตฺถารุเทฺทเสน สห ฉ ฐานานิ น กโรติ, ยานิ สนฺธาย เอกเจฺจ ‘‘ฉฉาภิฐานานี’’ติ ปฐนฺติฯ มตมจฺฉคฺคาหาทโย เจตฺถ อริยสาวกคามทารกานํ นิทสฺสนํฯ
Evamassa vipākavaṭṭappahānaṃ dassetvā idāni yaṃ imassa vipākavaṭṭassa mūlabhūtaṃ kammavaṭṭaṃ, tassāpi pahānaṃ dassento āha ‘‘chaccābhiṭhānāni abhabba kātu’’nti. Tattha abhiṭhānānīti oḷārikaṭṭhānāni, tāni esa cha abhabbo kātuṃ. Tāni ca ‘‘aṭṭhānametaṃ, bhikkhave, anavakāso, yaṃ diṭṭhisampanno puggalo mātaraṃ jīvitā voropeyyā’’tiādinā (a. ni. 1.271; ma. ni. 3.128; vibha. 809) nayena ekakanipāte vuttāni mātughātapitughātaarahantaghātalohituppādasaṅghabhedaaññasatthāruddesakammāni veditabbāni. Tāni hi kiñcāpi diṭṭhisampanno ariyasāvako kunthakipillikampi jīvitā na voropeti, apica kho pana puthujjanabhāvassa vigarahaṇatthaṃ vuttāni. Puthujjano hi adiṭṭhisampannattā evaṃmahāsāvajjāni abhiṭhānānipi karoti, dassanasampanno pana abhabbo tāni kātunti. Abhabbaggahaṇañcettha bhavantarepi akaraṇadassanatthaṃ. Bhavantarepi hi esa attano ariyasāvakabhāvaṃ ajānantopi dhammatāya eva etāni vā cha, pakatipāṇātipātādīni vā pañca verāni aññasatthāruddesena saha cha ṭhānāni na karoti, yāni sandhāya ekacce ‘‘chachābhiṭhānānī’’ti paṭhanti. Matamacchaggāhādayo cettha ariyasāvakagāmadārakānaṃ nidassanaṃ.
เอวํ ภควา สตฺต ภเว อาทิยโตปิ อริยสาวกสฺส อเญฺญหิ อปฺปหีนภวาทาเนหิ ปุคฺคเลหิ วิสิฎฺฐคุณวเสน สงฺฆรตนสฺส คุณํ วตฺวา อิทานิ ตเมว คุณํ นิสฺสาย สจฺจวจนํ ปยุญฺชติ ‘‘อิทมฺปิ สเงฺฆ’’ติฯ ตสฺสโตฺถ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ อิมิสฺสาปิ คาถาย อาณา โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาเฬสุ อมนุเสฺสหิ ปฎิคฺคหิตาติฯ
Evaṃ bhagavā satta bhave ādiyatopi ariyasāvakassa aññehi appahīnabhavādānehi puggalehi visiṭṭhaguṇavasena saṅgharatanassa guṇaṃ vatvā idāni tameva guṇaṃ nissāya saccavacanaṃ payuñjati ‘‘idampi saṅghe’’ti. Tassattho pubbe vuttanayeneva veditabbo. Imissāpi gāthāya āṇā koṭisatasahassacakkavāḷesu amanussehi paṭiggahitāti.
๒๓๕. เอวํ สตฺต ภเว อาทิยโตปิ อเญฺญหิ อปฺปหีนภวาทาเนหิ ปุคฺคเลหิ วิสิฎฺฐคุณวเสน สงฺฆาธิฎฺฐานํ สจฺจํ วตฺวา อิทานิ ‘‘น เกวลํ ทสฺสนสมฺปโนฺน ฉ อภิฐานานิ อภโพฺพ กาตุํ, กิํ ปน อปฺปมตฺตกมฺปิ ปาปํ กมฺมํ กตฺวา ตสฺส ปฎิจฺฉาทนายปิ อภโพฺพ’’ติ ปมาทวิหาริโนปิ ทสฺสนสมฺปนฺนสฺส กตปฎิจฺฉาทนาภาวคุเณน วตฺตุมารโทฺธ ‘‘กิญฺจาปิ โส กมฺมํ กโรติ ปาปก’’นฺติฯ
235. Evaṃ satta bhave ādiyatopi aññehi appahīnabhavādānehi puggalehi visiṭṭhaguṇavasena saṅghādhiṭṭhānaṃ saccaṃ vatvā idāni ‘‘na kevalaṃ dassanasampanno cha abhiṭhānāni abhabbo kātuṃ, kiṃ pana appamattakampi pāpaṃ kammaṃ katvā tassa paṭicchādanāyapi abhabbo’’ti pamādavihārinopi dassanasampannassa katapaṭicchādanābhāvaguṇena vattumāraddho ‘‘kiñcāpi so kammaṃ karoti pāpaka’’nti.
ตสฺสโตฺถ – โส ทสฺสนสมฺปโนฺน กิญฺจาปิ สติสโมฺมเสน ปมาทวิหารํ อาคมฺม ยํ ตํ ภควตา โลกวชฺชสญฺจิจฺจานติกฺกมนํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘ยํ มยา สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํ, ตํ มม สาวกา ชีวิตเหตุปิ นาติกฺกมนฺตี’’ติ (จูฬว. ๓๘๕; อ. นิ. ๘.๑๙; อุทา. ๔๕), ตํ ฐเปตฺวา อญฺญํ กุฎิการสหเสยฺยาทิํ วา ปณฺณตฺติวชฺชวีติกฺกมสงฺขาตํ พุทฺธปฎิกุฎฺฐํ กาเยน ปาปกมฺมํ กโรติ, ปทโสธมฺมอุตฺตริฉปฺปญฺจวาจาธมฺมเทสนาสมฺผปฺปลาปผรุสวจนาทิํ วา วาจาย, อุท เจตสา วา กตฺถจิ โลภโทสุปฺปาทนชาตรูปาทิสาทิยนํ จีวราทิปริโภเคสุ อปจฺจเวกฺขณาทิํ วา ปาปกมฺมํ กโรติฯ อภโพฺพ โส ตสฺส ปฎิจฺฉทาย, น โส ตํ ‘‘อิทํ อกปฺปิยมกรณีย’’นฺติ ชานิตฺวา มุหุตฺตมฺปิ ปฎิจฺฉาเทติ, ตงฺขณเญฺญว ปน สตฺถริ วา วิญฺญูสุ วา สพฺรหฺมจารีสุ อาวิ กตฺวา ยถาธมฺมํ ปฎิกโรติ, ‘‘น ปุน กริสฺสามี’’ติ เอวํ สํวริตพฺพํ วา สํวรติฯ กสฺมา? ยสฺมา อภพฺพตา ทิฎฺฐปทสฺส วุตฺตา, เอวรูปํ ปาปกมฺมํ กตฺวา ตสฺส ปฎิจฺฉาทาย ทิฎฺฐนิพฺพานปทสฺส ทสฺสนสมฺปนฺนสฺส ปุคฺคลสฺส อภพฺพตา วุตฺตาติ อโตฺถฯ
Tassattho – so dassanasampanno kiñcāpi satisammosena pamādavihāraṃ āgamma yaṃ taṃ bhagavatā lokavajjasañciccānatikkamanaṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘yaṃ mayā sāvakānaṃ sikkhāpadaṃ paññattaṃ, taṃ mama sāvakā jīvitahetupi nātikkamantī’’ti (cūḷava. 385; a. ni. 8.19; udā. 45), taṃ ṭhapetvā aññaṃ kuṭikārasahaseyyādiṃ vā paṇṇattivajjavītikkamasaṅkhātaṃ buddhapaṭikuṭṭhaṃ kāyena pāpakammaṃ karoti, padasodhammauttarichappañcavācādhammadesanāsamphappalāpapharusavacanādiṃ vā vācāya, uda cetasā vā katthaci lobhadosuppādanajātarūpādisādiyanaṃ cīvarādiparibhogesu apaccavekkhaṇādiṃ vā pāpakammaṃ karoti. Abhabbo so tassa paṭicchadāya, na so taṃ ‘‘idaṃ akappiyamakaraṇīya’’nti jānitvā muhuttampi paṭicchādeti, taṅkhaṇaññeva pana satthari vā viññūsu vā sabrahmacārīsu āvi katvā yathādhammaṃ paṭikaroti, ‘‘na puna karissāmī’’ti evaṃ saṃvaritabbaṃ vā saṃvarati. Kasmā? Yasmā abhabbatā diṭṭhapadassa vuttā, evarūpaṃ pāpakammaṃ katvā tassa paṭicchādāya diṭṭhanibbānapadassa dassanasampannassa puggalassa abhabbatā vuttāti attho.
กถํ –
Kathaṃ –
‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ทหโร กุมาโร มโนฺท อุตฺตานเสยฺยโก หเตฺถน วา ปาเทน วา องฺคารํ อกฺกมิตฺวา ขิปฺปเมว ปฎิสํหรติ , เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ฆมฺมตา เอสา ทิฎฺฐิสมฺปนฺนสฺส ปุคฺคลสฺส, กิญฺจาปิ ตถารูปิํ อาปตฺติํ อาปชฺชติ, ยถารูปาย อาปตฺติยา วุฎฺฐานํ ปญฺญายติ, อถ โข นํ ขิปฺปเมว สตฺถริ วา วิญฺญูสุ วา สพฺรหฺมจารีสุ เทเสติ วิวรติ อุตฺตานีกโรติ, เทเสตฺวา วิวริตฺวา อุตฺตานีกตฺวา อายติํ สํวรํ อาปชฺชตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๙๖)ฯ
‘‘Seyyathāpi, bhikkhave, daharo kumāro mando uttānaseyyako hatthena vā pādena vā aṅgāraṃ akkamitvā khippameva paṭisaṃharati , evameva kho, bhikkhave, ghammatā esā diṭṭhisampannassa puggalassa, kiñcāpi tathārūpiṃ āpattiṃ āpajjati, yathārūpāya āpattiyā vuṭṭhānaṃ paññāyati, atha kho naṃ khippameva satthari vā viññūsu vā sabrahmacārīsu deseti vivarati uttānīkaroti, desetvā vivaritvā uttānīkatvā āyatiṃ saṃvaraṃ āpajjatī’’ti (ma. ni. 1.496).
เอวํ ภควา ปมาทวิหาริโนปิ ทสฺสนสมฺปนฺนสฺส กตปฎิจฺฉาทนาภาวคุเณน สงฺฆรตนสฺส คุณํ วตฺวา อิทานิ ตเมว คุณํ นิสฺสาย สจฺจวจนํ ปยุญฺชติ ‘‘อิทมฺปิ สเงฺฆ’’ติฯ ตสฺสโตฺถ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ อิมิสฺสาปิ คาถาย อาณา โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาเฬสุ อมนุเสฺสหิ ปฎิคฺคหิตาติฯ
Evaṃ bhagavā pamādavihārinopi dassanasampannassa katapaṭicchādanābhāvaguṇena saṅgharatanassa guṇaṃ vatvā idāni tameva guṇaṃ nissāya saccavacanaṃ payuñjati ‘‘idampi saṅghe’’ti. Tassattho pubbe vuttanayeneva veditabbo. Imissāpi gāthāya āṇā koṭisatasahassacakkavāḷesu amanussehi paṭiggahitāti.
๒๓๖. เอวํ สงฺฆปริยาปนฺนานํ ปุคฺคลานํ เตน เตน คุณปฺปกาเรน สงฺฆาธิฎฺฐานํ สจฺจํ วตฺวา อิทานิ ยฺวายํ ภควตา รตนตฺตยคุณํ ทีเปเนฺตน อิธ สเงฺขเปน อญฺญตฺร จ วิตฺถาเรน ปริยตฺติธโมฺม เทสิโต, ตมฺปิ นิสฺสาย ปุน พุทฺธาธิฎฺฐานํ สจฺจํ วตฺตุมารโทฺธ ‘‘วนปฺปคุเมฺพ ยถ ผุสฺสิตเคฺค’’ติฯ ตตฺถ อาสนฺนสนฺนิเวสววตฺถิตานํ รุกฺขานํ สมูโห วนํ, มูลสารเผคฺคุตจสาขาปลาเสหิ ปวุโฑฺฒ คุโมฺพ ปคุโมฺพ, วเน ปคุโมฺพ วนปฺปคุโมฺพ, สฺวายํ ‘‘วนปฺปคุเมฺพ’’ติ วุโตฺต ฯ เอวมฺปิ หิ วตฺตุํ ลพฺภติ ‘‘อตฺถิ สวิตกฺกสวิจาเร, อตฺถิ อวิตกฺกวิจารมเตฺต, สุเข ทุเกฺข ชีเว’’ติอาทีสุ วิยฯ ยถาติ โอปมฺมวจนํฯ ผุสฺสิตานิ อคฺคานิ อสฺสาติ ผุสฺสิตโคฺค, สพฺพสาขาปสาขาสุ สญฺชาตปุโปฺผติ อโตฺถฯ โส ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว ‘‘ผุสฺสิตเคฺค’’ติ วุโตฺตฯ คิมฺหาน มาเส ปฐมสฺมิํ คิเมฺหติ เย จตฺตาโร คิมฺหมาสา, เตสํ จตุนฺนํ คิมฺหานํ เอกสฺมิํ มาเสฯ กตมสฺมิํ มาเส อิติ เจ? ปฐมสฺมิํ คิเมฺห, จิตฺรมาเสติ อโตฺถฯ โส หิ ‘‘ปฐมคิโมฺห’’ติ จ ‘‘พาลวสโนฺต’’ติ จ วุจฺจติฯ ตโต ปรํ ปทตฺถโต ปากฎเมวฯ
236. Evaṃ saṅghapariyāpannānaṃ puggalānaṃ tena tena guṇappakārena saṅghādhiṭṭhānaṃ saccaṃ vatvā idāni yvāyaṃ bhagavatā ratanattayaguṇaṃ dīpentena idha saṅkhepena aññatra ca vitthārena pariyattidhammo desito, tampi nissāya puna buddhādhiṭṭhānaṃ saccaṃ vattumāraddho ‘‘vanappagumbe yatha phussitagge’’ti. Tattha āsannasannivesavavatthitānaṃ rukkhānaṃ samūho vanaṃ, mūlasārapheggutacasākhāpalāsehi pavuḍḍho gumbo pagumbo, vane pagumbo vanappagumbo, svāyaṃ ‘‘vanappagumbe’’ti vutto . Evampi hi vattuṃ labbhati ‘‘atthi savitakkasavicāre, atthi avitakkavicāramatte, sukhe dukkhe jīve’’tiādīsu viya. Yathāti opammavacanaṃ. Phussitāni aggāni assāti phussitaggo, sabbasākhāpasākhāsu sañjātapupphoti attho. So pubbe vuttanayeneva ‘‘phussitagge’’ti vutto. Gimhāna māse paṭhamasmiṃ gimheti ye cattāro gimhamāsā, tesaṃ catunnaṃ gimhānaṃ ekasmiṃ māse. Katamasmiṃ māse iti ce? Paṭhamasmiṃ gimhe, citramāseti attho. So hi ‘‘paṭhamagimho’’ti ca ‘‘bālavasanto’’ti ca vuccati. Tato paraṃ padatthato pākaṭameva.
อยํ ปเนตฺถ ปิณฺฑโตฺถ – ยถา ปฐมคิมฺหนามเก พาลวสเนฺต นานาวิธรุกฺขคหเน วเน สุปุปฺผิตคฺคสาโข ตรุณรุกฺขคจฺฉปริยายนาโม ปคุโมฺพ อติวิย สสฺสิริโก โหติ, เอวเมวํ ขนฺธายตนาทีหิ สติปฎฺฐานสมฺมปฺปธานาทีหิ สีลสมาธิกฺขนฺธาทีหิ วา นานปฺปกาเรหิ อตฺถปฺปเภทปุเปฺผหิ อติวิย สสฺสิริกตฺตา ตถูปมํ นิพฺพานคามิมคฺคทีปนโต นิพฺพานคามิํ ปริยตฺติธมฺมวรํ เนว ลาภเหตุ น สกฺการาทิเหตุ, เกวลญฺหิ มหากรุณาย อพฺภุสฺสาหิตหทโย สตฺตานํ ปรมํหิตาย อเทสยีติฯ ปรมํหิตายาติ เอตฺถ จ คาถาพนฺธสุขตฺถํ อนุนาสิโก, อยํ ปนโตฺถ ‘‘ปรมหิตาย นิพฺพานาย อเทสยี’’ติฯ
Ayaṃ panettha piṇḍattho – yathā paṭhamagimhanāmake bālavasante nānāvidharukkhagahane vane supupphitaggasākho taruṇarukkhagacchapariyāyanāmo pagumbo ativiya sassiriko hoti, evamevaṃ khandhāyatanādīhi satipaṭṭhānasammappadhānādīhi sīlasamādhikkhandhādīhi vā nānappakārehi atthappabhedapupphehi ativiya sassirikattā tathūpamaṃ nibbānagāmimaggadīpanato nibbānagāmiṃ pariyattidhammavaraṃ neva lābhahetu na sakkārādihetu, kevalañhi mahākaruṇāya abbhussāhitahadayo sattānaṃ paramaṃhitāya adesayīti. Paramaṃhitāyāti ettha ca gāthābandhasukhatthaṃ anunāsiko, ayaṃ panattho ‘‘paramahitāya nibbānāya adesayī’’ti.
เอวํ ภควา อิมํ สุปุปฺผิตคฺควนปฺปคุมฺพสทิสํ ปริยตฺติธมฺมํ วตฺวา อิทานิ ตเมว นิสฺสาย พุทฺธาธิฎฺฐานํ สจฺจวจนํ ปยุญฺชติ ‘‘อิทมฺปิ พุเทฺธ’’ติฯ ตสฺสโตฺถ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพ, เกวลํ ปน อิทมฺปิ ยถาวุตฺตปฺปการปริยตฺติธมฺมสงฺขาตํ พุเทฺธ รตนํ ปณีตนฺติ โยเชตพฺพํฯ อิมิสฺสาปิ คาถาย อาณา โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาเฬสุ อมนุเสฺสหิ ปฎิคฺคหิตาติฯ
Evaṃ bhagavā imaṃ supupphitaggavanappagumbasadisaṃ pariyattidhammaṃ vatvā idāni tameva nissāya buddhādhiṭṭhānaṃ saccavacanaṃ payuñjati ‘‘idampi buddhe’’ti. Tassattho pubbe vuttanayeneva veditabbo, kevalaṃ pana idampi yathāvuttappakārapariyattidhammasaṅkhātaṃ buddhe ratanaṃ paṇītanti yojetabbaṃ. Imissāpi gāthāya āṇā koṭisatasahassacakkavāḷesu amanussehi paṭiggahitāti.
๒๓๗. เอวํ ภควา ปริยตฺติธเมฺมน พุทฺธาธิฎฺฐานํ สจฺจํ วตฺวา อิทานิ โลกุตฺตรธเมฺมน วตฺตุมารโทฺธ ‘‘วโร วรญฺญู’’ติฯ ตตฺถ วโรติ ปณีตาธิมุตฺติเกหิ อิจฺฉิโต ‘‘อโห วต มยมฺปิ เอวรูปา อสฺสามา’’ติ, วรคุณโยคโต วา วโร, อุตฺตโม เสโฎฺฐติ อโตฺถฯ วรญฺญูติ นิพฺพานญฺญูฯ นิพฺพานญฺหิ สพฺพธมฺมานํ อุตฺตมเฎฺฐน วรํ, ตเญฺจส โพธิมูเล สยํ ปฎิวิชฺฌิตฺวา อญฺญาสิฯ วรโทติ ปญฺจวคฺคิยภทฺทวคฺคิยชฎิลาทีนํ อเญฺญสญฺจ เทวมนุสฺสานํ นิเพฺพธภาคิยวาสนาภาคิยวรธมฺมทายีติ อโตฺถฯ วราหโรติ วรสฺส มคฺคสฺส อาหฎตฺตา วราหโรติ วุจฺจติฯ โส หิ ภควา ทีปงฺกรโต ปภุติ สมติํส ปารมิโย ปูเรโนฺต ปุพฺพเกหิ สมฺมาสมฺพุเทฺธหิ อนุยาตํ ปุราณํ มคฺควรํ อาหริ, เตน วราหโรติ วุจฺจติฯ อปิจ สพฺพญฺญุตญฺญาณปฎิลาเภน วโร, นิพฺพานสจฺฉิกิริยาย วรญฺญู, สตฺตานํ วิมุตฺติสุขทาเนน วรโท, อุตฺตมปฎิปทาหรเณน วราหโร, เอเตหิ โลกุตฺตรคุเณหิ อธิกสฺส กสฺสจิ อภาวโต อนุตฺตโรฯ
237. Evaṃ bhagavā pariyattidhammena buddhādhiṭṭhānaṃ saccaṃ vatvā idāni lokuttaradhammena vattumāraddho ‘‘varo varaññū’’ti. Tattha varoti paṇītādhimuttikehi icchito ‘‘aho vata mayampi evarūpā assāmā’’ti, varaguṇayogato vā varo, uttamo seṭṭhoti attho. Varaññūti nibbānaññū. Nibbānañhi sabbadhammānaṃ uttamaṭṭhena varaṃ, tañcesa bodhimūle sayaṃ paṭivijjhitvā aññāsi. Varadoti pañcavaggiyabhaddavaggiyajaṭilādīnaṃ aññesañca devamanussānaṃ nibbedhabhāgiyavāsanābhāgiyavaradhammadāyīti attho. Varāharoti varassa maggassa āhaṭattā varāharoti vuccati. So hi bhagavā dīpaṅkarato pabhuti samatiṃsa pāramiyo pūrento pubbakehi sammāsambuddhehi anuyātaṃ purāṇaṃ maggavaraṃ āhari, tena varāharoti vuccati. Apica sabbaññutaññāṇapaṭilābhena varo, nibbānasacchikiriyāya varaññū, sattānaṃ vimuttisukhadānena varado, uttamapaṭipadāharaṇena varāharo, etehi lokuttaraguṇehi adhikassa kassaci abhāvato anuttaro.
อปโร นโย – วโร อุปสมาธิฎฺฐานปริปูรเณน, วรญฺญู ปญฺญาธิฎฺฐานปริปูรเณน, วรโท จาคาธิฎฺฐานปริปูรเณน, วราหโร สจฺจาธิฎฺฐานปริปูรเณน, วรํ มคฺคสจฺจมาหรีติฯ ตถา วโร ปุญฺญุสฺสเยน, วรญฺญู ปญฺญุสฺสเยน, วรโท พุทฺธภาวตฺถิกานํ ตทุปายสมฺปทาเนน, วราหโร ปเจฺจกพุทฺธภาวตฺถิกานํ ตทุปายาหรเณน, อนุตฺตโร ตตฺถ ตตฺถ อสทิสตาย, อตฺตนา วา อนาจริยโก หุตฺวา ปเรสํ อาจริยภาเวน, ธมฺมวรํ อเทสยิ สาวกภาวตฺถิกานํ ตทตฺถาย สฺวาขาตตาทิคุณยุตฺตสฺส วรธมฺมสฺส เทสนโตฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ
Aparo nayo – varo upasamādhiṭṭhānaparipūraṇena, varaññū paññādhiṭṭhānaparipūraṇena, varado cāgādhiṭṭhānaparipūraṇena, varāharo saccādhiṭṭhānaparipūraṇena, varaṃ maggasaccamāharīti. Tathā varo puññussayena, varaññū paññussayena, varado buddhabhāvatthikānaṃ tadupāyasampadānena, varāharo paccekabuddhabhāvatthikānaṃ tadupāyāharaṇena, anuttaro tattha tattha asadisatāya, attanā vā anācariyako hutvā paresaṃ ācariyabhāvena, dhammavaraṃ adesayi sāvakabhāvatthikānaṃ tadatthāya svākhātatādiguṇayuttassa varadhammassa desanato. Sesaṃ vuttanayamevāti.
เอวํ ภควา นววิเธน โลกุตฺตรธเมฺมน อตฺตโน คุณํ วตฺวา อิทานิ ตเมว คุณํ นิสฺสาย พุทฺธาธิฎฺฐานํ สจฺจวจนํ ปยุญฺชติ ‘‘อิทมฺปิ พุเทฺธ’’ติฯ ตสฺสโตฺถ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ เกวลํ ปน ยํ วรํ นวโลกุตฺตรธมฺมํ เอส อญฺญาสิ, ยญฺจ อทาสิ, ยญฺจ อาหริ, ยญฺจ อเทสยิ, อิทมฺปิ พุเทฺธ รตนํ ปณีตนฺติ เอวํ โยเชตพฺพํฯ อิมิสฺสาปิ คาถาย อาณา โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาเฬสุ อมนุเสฺสหิ ปฎิคฺคหิตาติฯ
Evaṃ bhagavā navavidhena lokuttaradhammena attano guṇaṃ vatvā idāni tameva guṇaṃ nissāya buddhādhiṭṭhānaṃ saccavacanaṃ payuñjati ‘‘idampi buddhe’’ti. Tassattho pubbe vuttanayeneva veditabbo. Kevalaṃ pana yaṃ varaṃ navalokuttaradhammaṃ esa aññāsi, yañca adāsi, yañca āhari, yañca adesayi, idampi buddhe ratanaṃ paṇītanti evaṃ yojetabbaṃ. Imissāpi gāthāya āṇā koṭisatasahassacakkavāḷesu amanussehi paṭiggahitāti.
๒๓๘. เอวํ ภควา ปริยตฺติธมฺมํ โลกุตฺตรธมฺมญฺจ นิสฺสาย ทฺวีหิ คาถาหิ พุทฺธาธิฎฺฐานํ สจฺจํ วตฺวา อิทานิ เย ตํ ปริยตฺติธมฺมํ อโสฺสสุํ สุตานุสาเรน จ ปฎิปชฺชิตฺวา นวปฺปการมฺปิ โลกุตฺตรธมฺมํ อธิคมิํสุ, เตสํ อนุปาทิเสสนิพฺพานปฺปตฺติคุณํ นิสฺสาย ปุน สงฺฆาธิฎฺฐานํ สจฺจํ วตฺตุมารโทฺธ ‘‘ขีณํ ปุราณ’’นฺติฯ ตตฺถ ขีณนฺติ สมุจฺฉินฺนํฯ ปุราณนฺติ ปุราตนํฯ นวนฺติ สมฺปติ วตฺตมานํฯ นตฺถิสมฺภวนฺติ อวิชฺชมานปาตุภาวํฯ วิรตฺตจิตฺตาติ วิคตราคจิตฺตาฯ อายติเก ภวสฺมินฺติ อนาคตมทฺธานํ ปุนพฺภเวฯ เตติ เยสํ ขีณํ ปุราณํ นวํ นตฺถิสมฺภวํ, เย จ อายติเก ภวสฺมิํ วิรตฺตจิตฺตา, เต ขีณาสวา ภิกฺขูฯ ขีณพีชาติ อุจฺฉินฺนพีชาฯ อวิรูฬฺหิฉนฺทาติ วิรูฬฺหิฉนฺทวิรหิตาฯ นิพฺพนฺตีติ วิชฺฌายนฺติฯ ธีราติ ธิติสมฺปนฺนาฯ ยถายํ ปทีโปติ อยํ ปทีโป วิยฯ
238. Evaṃ bhagavā pariyattidhammaṃ lokuttaradhammañca nissāya dvīhi gāthāhi buddhādhiṭṭhānaṃ saccaṃ vatvā idāni ye taṃ pariyattidhammaṃ assosuṃ sutānusārena ca paṭipajjitvā navappakārampi lokuttaradhammaṃ adhigamiṃsu, tesaṃ anupādisesanibbānappattiguṇaṃ nissāya puna saṅghādhiṭṭhānaṃ saccaṃ vattumāraddho ‘‘khīṇaṃ purāṇa’’nti. Tattha khīṇanti samucchinnaṃ. Purāṇanti purātanaṃ. Navanti sampati vattamānaṃ. Natthisambhavanti avijjamānapātubhāvaṃ. Virattacittāti vigatarāgacittā. Āyatike bhavasminti anāgatamaddhānaṃ punabbhave. Teti yesaṃ khīṇaṃ purāṇaṃ navaṃ natthisambhavaṃ, ye ca āyatike bhavasmiṃ virattacittā, te khīṇāsavā bhikkhū. Khīṇabījāti ucchinnabījā. Avirūḷhichandāti virūḷhichandavirahitā. Nibbantīti vijjhāyanti. Dhīrāti dhitisampannā. Yathāyaṃ padīpoti ayaṃ padīpo viya.
กิํ วุตฺตํ โหติ? ยํ ตํ สตฺตานํ อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุทฺธมฺปิ ปุราณํ อตีตกาลิกํ กมฺมํ ตณฺหาสิเนหสฺส อปฺปหีนตฺตา ปฎิสนฺธิอาหรณสมตฺถตาย อขีณํเยว โหติ, ตํ ปุราณํ กมฺมํ เยสํ อรหตฺตมเคฺคน ตณฺหาสิเนหสฺส โสสิตตฺตา อคฺคินา ทฑฺฒพีชมิว อายติํ วิปากทานาสมตฺถตาย ขีณํฯ ยญฺจ เนสํ พุทฺธปูชาทิวเสน อิทานิ ปวตฺตมานํ กมฺมํ นวนฺติ วุจฺจติ, ตญฺจ ตณฺหาปหาเนเนว ฉินฺนมูลปาทปปุปฺผมิว อายติํ ผลทานาสมตฺถตาย เยสํ นตฺถิสมฺภวํ, เย จ ตณฺหาปหาเนเนว อายติเก ภวสฺมิํ วิรตฺตจิตฺตา, เต ขีณาสวา ภิกฺขู ‘‘กมฺมํ เขตฺตํ วิญฺญาณํ พีช’’นฺติ (อ. นิ. ๓.๗๗) เอตฺถ วุตฺตสฺส ปฎิสนฺธิวิญฺญาณสฺส กมฺมกฺขเยเนว ขีณตฺตา ขีณพีชาฯ โยปิ ปุเพฺพ ปุนพฺภวสงฺขาตาย วิรูฬฺหิยา ฉโนฺท อโหสิ, ตสฺสาปิ สมุทยปฺปหาเนเนว ปหีนตฺตา ปุเพฺพ วิย จุติกาเล อสมฺภเวน อวิรูฬฺหิฉนฺทา ธิติสมฺปนฺนตฺตา ธีรา จริมวิญฺญาณนิโรเธน ยถายํ ปทีโป นิพฺพุโต, เอวํ นิพฺพนฺติ, ปุน ‘‘รูปิโน วา อรูปิโน วา’’ติ เอวมาทิํ ปญฺญตฺติปถํ อเจฺจนฺตีติฯ ตสฺมิํ กิร สมเย นครเทวตานํ ปูชนตฺถาย ชาลิเตสุ ปทีเปสุ เอโก ปทีโป วิชฺฌายิ, ตํ ทเสฺสโนฺต อาห – ‘‘ยถายํ ปทีโป’’ติฯ
Kiṃ vuttaṃ hoti? Yaṃ taṃ sattānaṃ uppajjitvā niruddhampi purāṇaṃ atītakālikaṃ kammaṃ taṇhāsinehassa appahīnattā paṭisandhiāharaṇasamatthatāya akhīṇaṃyeva hoti, taṃ purāṇaṃ kammaṃ yesaṃ arahattamaggena taṇhāsinehassa sositattā agginā daḍḍhabījamiva āyatiṃ vipākadānāsamatthatāya khīṇaṃ. Yañca nesaṃ buddhapūjādivasena idāni pavattamānaṃ kammaṃ navanti vuccati, tañca taṇhāpahāneneva chinnamūlapādapapupphamiva āyatiṃ phaladānāsamatthatāya yesaṃ natthisambhavaṃ, ye ca taṇhāpahāneneva āyatike bhavasmiṃ virattacittā, te khīṇāsavā bhikkhū ‘‘kammaṃ khettaṃ viññāṇaṃ bīja’’nti (a. ni. 3.77) ettha vuttassa paṭisandhiviññāṇassa kammakkhayeneva khīṇattā khīṇabījā. Yopi pubbe punabbhavasaṅkhātāya virūḷhiyā chando ahosi, tassāpi samudayappahāneneva pahīnattā pubbe viya cutikāle asambhavena avirūḷhichandā dhitisampannattā dhīrā carimaviññāṇanirodhena yathāyaṃ padīpo nibbuto, evaṃ nibbanti, puna ‘‘rūpino vā arūpino vā’’ti evamādiṃ paññattipathaṃ accentīti. Tasmiṃ kira samaye nagaradevatānaṃ pūjanatthāya jālitesu padīpesu eko padīpo vijjhāyi, taṃ dassento āha – ‘‘yathāyaṃ padīpo’’ti.
เอวํ ภควา เย ตํ ปุริมาหิ ทฺวีหิ คาถาหิ วุตฺตํ ปริยตฺติธมฺมํ อโสฺสสุํ, สุตานุสาเรเนว ปฎิปชฺชิตฺวา นวปฺปการมฺปิ โลกุตฺตรธมฺมํ อธิคมิํสุ, เตสํ อนุปาทิเสสนิพฺพานปฺปตฺติคุณํ วตฺวา อิทานิ ตเมว คุณํ นิสฺสาย สงฺฆาธิฎฺฐานํ สจฺจวจนํ ปยุญฺชโนฺต เทสนํ สมาเปสิ ‘‘อิทมฺปิ สเงฺฆ’’ติฯ ตสฺสโตฺถ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพ, เกวลํ ปน อิทมฺปิ ยถาวุเตฺตน ปกาเรน ขีณาสวภิกฺขูนํ นิพฺพานสงฺขาตํ สเงฺฆ รตนํ ปณีตนฺติ เอวํ โยเชตพฺพํฯ อิมิสฺสาปิ คาถาย อาณา โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาเฬสุ อมนุเสฺสหิ ปฎิคฺคหิตาติฯ
Evaṃ bhagavā ye taṃ purimāhi dvīhi gāthāhi vuttaṃ pariyattidhammaṃ assosuṃ, sutānusāreneva paṭipajjitvā navappakārampi lokuttaradhammaṃ adhigamiṃsu, tesaṃ anupādisesanibbānappattiguṇaṃ vatvā idāni tameva guṇaṃ nissāya saṅghādhiṭṭhānaṃ saccavacanaṃ payuñjanto desanaṃ samāpesi ‘‘idampi saṅghe’’ti. Tassattho pubbe vuttanayeneva veditabbo, kevalaṃ pana idampi yathāvuttena pakārena khīṇāsavabhikkhūnaṃ nibbānasaṅkhātaṃ saṅghe ratanaṃ paṇītanti evaṃ yojetabbaṃ. Imissāpi gāthāya āṇā koṭisatasahassacakkavāḷesu amanussehi paṭiggahitāti.
เทสนาปริโยสาเน ราชกุลสฺส โสตฺถิ อโหสิ, สพฺพูปทฺทวา วูปสมิํสุ จตุราสีติยา ปาณสหสฺสานํ ธมฺมาภิสมโย อโหสิฯ
Desanāpariyosāne rājakulassa sotthi ahosi, sabbūpaddavā vūpasamiṃsu caturāsītiyā pāṇasahassānaṃ dhammābhisamayo ahosi.
๒๓๙-๒๔๑. อถ สโกฺก เทวานมิโนฺท ‘‘ภควตา รตนตฺตยคุณํ นิสฺสาย สจฺจวจนํ ปยุญฺชมาเนน นาครสฺส โสตฺถิ กตา, มยาปิ นาครสฺส โสตฺถิตฺถํ รตนตฺตยคุณํ นิสฺสาย กิญฺจิ วตฺตพฺพ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา อวสาเน คาถาตฺตยํ อภาสิ ‘‘ยานีธ ภูตานี’’ติฯ ตตฺถ ยสฺมา พุโทฺธ ยถา โลกหิตตฺถาย อุสฺสุกฺกํ อาปเนฺนหิ อาคนฺตพฺพํ, ตถา อาคตโต, ยถา จ เอเตหิ คนฺตพฺพํ, ตถา คตโต, ยถา วา เอเตหิ อาชานิตพฺพํ, ตถา อาชานนโต, ยถา จ ชานิตพฺพํ, ตถา ชานนโต, ยญฺจ ตเถว โหติ, ตสฺส คทนโต จ ‘‘ตถาคโต’’ติ วุจฺจติฯ ยสฺมา จ โส เทวมนุเสฺสหิ ปุปฺผคนฺธาทินา พหินิพฺพเตฺตน อุปกรเณน, ธมฺมานุธมฺมปฺปฎิปตฺตาทินา จ อตฺตนิ นิพฺพเตฺตน อติวิย ปูชิโต, ตสฺมา สโกฺก เทวานมิโนฺท สพฺพเทวปริสํ อตฺตนา สทฺธิํ สมฺปิเณฺฑตฺวา อาห ‘‘ตถาคตํ เทวมนุสฺสปูชิตํ, พุทฺธํ นมสฺสาม สุวตฺถิ โหตู’’ติฯ
239-241. Atha sakko devānamindo ‘‘bhagavatā ratanattayaguṇaṃ nissāya saccavacanaṃ payuñjamānena nāgarassa sotthi katā, mayāpi nāgarassa sotthitthaṃ ratanattayaguṇaṃ nissāya kiñci vattabba’’nti cintetvā avasāne gāthāttayaṃ abhāsi ‘‘yānīdha bhūtānī’’ti. Tattha yasmā buddho yathā lokahitatthāya ussukkaṃ āpannehi āgantabbaṃ, tathā āgatato, yathā ca etehi gantabbaṃ, tathā gatato, yathā vā etehi ājānitabbaṃ, tathā ājānanato, yathā ca jānitabbaṃ, tathā jānanato, yañca tatheva hoti, tassa gadanato ca ‘‘tathāgato’’ti vuccati. Yasmā ca so devamanussehi pupphagandhādinā bahinibbattena upakaraṇena, dhammānudhammappaṭipattādinā ca attani nibbattena ativiya pūjito, tasmā sakko devānamindo sabbadevaparisaṃ attanā saddhiṃ sampiṇḍetvā āha ‘‘tathāgataṃ devamanussapūjitaṃ, buddhaṃ namassāma suvatthi hotū’’ti.
ยสฺมา ปน ธเมฺม มคฺคธโมฺม ยถา ยุคนนฺธ สมถวิปสฺสนาพเลน คนฺตพฺพํ กิเลสปกฺขํ สมุจฺฉินฺทเนฺตน, ตถา คโตติ ตถาคโตฯ นิพฺพานธโมฺมปิ ยถา คโต ปญฺญาย ปฎิวิโทฺธ สพฺพทุกฺขวิฆาตาย สมฺปชฺชติ, พุทฺธาทีหิ ตถา อวคโต, ตสฺมา ‘‘ตถาคโต’’ติ วุจฺจติฯ ยสฺมา จ สโงฺฆปิ ยถา อตฺตหิตาย ปฎิปเนฺนหิ คนฺตพฺพํ เตน เตน มเคฺคน, ตถา คโต, ตสฺมา ‘‘ตถาคโต’’ เตฺวว วุจฺจติฯ ตสฺมา อวเสสคาถาทฺวเยปิ ตถาคตํ ธมฺมํ นมสฺสาม สุวตฺถิ โหตุ, ตถาคตํ สงฺฆํ นมสฺสาม สุวตฺถิ โหตูติ วุตฺตํฯ เสสํ วุตฺตนยเมวาติฯ
Yasmā pana dhamme maggadhammo yathā yuganandha samathavipassanābalena gantabbaṃ kilesapakkhaṃ samucchindantena, tathā gatoti tathāgato. Nibbānadhammopi yathā gato paññāya paṭividdho sabbadukkhavighātāya sampajjati, buddhādīhi tathā avagato, tasmā ‘‘tathāgato’’ti vuccati. Yasmā ca saṅghopi yathā attahitāya paṭipannehi gantabbaṃ tena tena maggena, tathā gato, tasmā ‘‘tathāgato’’ tveva vuccati. Tasmā avasesagāthādvayepi tathāgataṃ dhammaṃ namassāma suvatthi hotu, tathāgataṃ saṅghaṃ namassāma suvatthi hotūti vuttaṃ. Sesaṃ vuttanayamevāti.
เอวํ สโกฺก เทวานมิโนฺท อิมํ คาถาตฺตยํ ภาสิตฺวา ภควนฺตํ ปทกฺขิณํ กตฺวา เทวปุรเมว คโต สทฺธิํ เทวปริสายฯ ภควา ปน ตเทว รตนสุตฺตํ ทุติยทิวเสปิ เทเสสิ, ปุน จตุราสีติยา ปาณสหสฺสานํ ธมฺมาภิสมโย อโหสิฯ เอวํ ภควา ยาว สตฺตมํ ทิวสํ เทเสสิ, ทิวเส ทิวเส ตเถว ธมฺมาภิสมโย อโหสิฯ ภควา อฑฺฒมาสเมว เวสาลิยํ วิหริตฺวา ราชูนํ ‘‘คจฺฉามา’’ติ ปฎิเวเทสิฯ ตโต ราชาโน ทิคุเณน สกฺกาเรน ปุน ตีหิ ทิวเสหิ ภควนฺตํ คงฺคาตีรํ นยิํสุฯ คงฺคายํ นิพฺพตฺตา นาคราชาโน จิเนฺตสุํ – ‘‘มนุสฺสา ตถาคตสฺส สกฺการํ กโรนฺติ, มยํ กิํ น กริสฺสามา’’ติ สุวณฺณรชตมณิมยา นาวาโย มาเปตฺวา สุวณฺณรชตมณิมเย เอว ปลฺลเงฺก ปญฺญาเปตฺวา ปญฺจวณฺณปทุมสญฺฉนฺนํ อุทกํ กริตฺวา ‘‘อมฺหากํ อนุคฺคหํ กโรถา’’ติ ภควนฺตํ อุปคตาฯ ภควา อธิวาเสตฺวา รตนนาวมารูโฬฺห ปญฺจ จ ภิกฺขุสตานิ สกํ สกํ นาวํฯ นาคราชาโน ภควนฺตํ สทฺธิํ ภิกฺขุสเงฺฆน นาคภวนํ ปเวเสสุํฯ ตตฺร สุทํ ภควา สพฺพรตฺติํ นาคปริสาย ธมฺมํ เทเสสิฯ ทุติยทิวเส ทิเพฺพหิ ขาทนียโภชนีเยหิ มหาทานํ อทํสุฯ ภควา อนุโมทิตฺวา นาคภวนา นิกฺขมิฯ
Evaṃ sakko devānamindo imaṃ gāthāttayaṃ bhāsitvā bhagavantaṃ padakkhiṇaṃ katvā devapurameva gato saddhiṃ devaparisāya. Bhagavā pana tadeva ratanasuttaṃ dutiyadivasepi desesi, puna caturāsītiyā pāṇasahassānaṃ dhammābhisamayo ahosi. Evaṃ bhagavā yāva sattamaṃ divasaṃ desesi, divase divase tatheva dhammābhisamayo ahosi. Bhagavā aḍḍhamāsameva vesāliyaṃ viharitvā rājūnaṃ ‘‘gacchāmā’’ti paṭivedesi. Tato rājāno diguṇena sakkārena puna tīhi divasehi bhagavantaṃ gaṅgātīraṃ nayiṃsu. Gaṅgāyaṃ nibbattā nāgarājāno cintesuṃ – ‘‘manussā tathāgatassa sakkāraṃ karonti, mayaṃ kiṃ na karissāmā’’ti suvaṇṇarajatamaṇimayā nāvāyo māpetvā suvaṇṇarajatamaṇimaye eva pallaṅke paññāpetvā pañcavaṇṇapadumasañchannaṃ udakaṃ karitvā ‘‘amhākaṃ anuggahaṃ karothā’’ti bhagavantaṃ upagatā. Bhagavā adhivāsetvā ratananāvamārūḷho pañca ca bhikkhusatāni sakaṃ sakaṃ nāvaṃ. Nāgarājāno bhagavantaṃ saddhiṃ bhikkhusaṅghena nāgabhavanaṃ pavesesuṃ. Tatra sudaṃ bhagavā sabbarattiṃ nāgaparisāya dhammaṃ desesi. Dutiyadivase dibbehi khādanīyabhojanīyehi mahādānaṃ adaṃsu. Bhagavā anumoditvā nāgabhavanā nikkhami.
ภูมฎฺฐา เทวา ‘‘มนุสฺสา จ นาคา จ ตถาคตสฺส สกฺการํ กโรนฺติ, มยํ กิํ น กริสฺสามา’’ติ จิเนฺตตฺวา วนคุมฺพรุกฺขปพฺพตาทีสุ ฉตฺตาติฉตฺตานิ อุกฺขิปิํสุฯ เอเตเนว อุปาเยน ยาว อกนิฎฺฐพฺรหฺมภวนํ, ตาว มหาสกฺการวิเสโส นิพฺพตฺติฯ พิมฺพิสาโรปิ ลิจฺฉวีหิ อาคตกาเล กตสกฺการโต ทิคุณมกาสิ, ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว ปญฺจหิ ทิวเสหิ ภควนฺตํ ราชคหํ อาเนสิฯ
Bhūmaṭṭhā devā ‘‘manussā ca nāgā ca tathāgatassa sakkāraṃ karonti, mayaṃ kiṃ na karissāmā’’ti cintetvā vanagumbarukkhapabbatādīsu chattātichattāni ukkhipiṃsu. Eteneva upāyena yāva akaniṭṭhabrahmabhavanaṃ, tāva mahāsakkāraviseso nibbatti. Bimbisāropi licchavīhi āgatakāle katasakkārato diguṇamakāsi, pubbe vuttanayeneva pañcahi divasehi bhagavantaṃ rājagahaṃ ānesi.
ราชคหมนุปฺปเตฺต ภควติ ปจฺฉาภตฺตํ มณฺฑลมาเฬ สนฺนิปติตานํ ภิกฺขูนํ อยมนฺตรกถา อุทปาทิ – ‘‘อโห พุทฺธสฺส ภควโต อานุภาโว, ยํ อุทฺทิสฺส คงฺคาย โอรโต จ ปารโต จ อฎฺฐโยชโน ภูมิภาโค นินฺนญฺจ ถลญฺจ สมํ กตฺวา วาลุกาย โอกิริตฺวา ปุเปฺผหิ สญฺฉโนฺน, โยชนปฺปมาณํ คงฺคาย อุทกํ นานาวเณฺณหิ ปทุเมหิ สญฺฉนฺนํ, ยาว อกนิฎฺฐภวนา ฉตฺตาติฉตฺตานิ อุสฺสิตานี’’ติฯ ภควา ตํ ปวตฺติํ ญตฺวา คนฺธกุฎิโต นิกฺขมิตฺวา ตงฺขณานุรูเปน ปาฎิหาริเยน คนฺตฺวา มณฺฑลมาเฬ ปญฺญตฺตวรพุทฺธาสเน นิสีทิฯ นิสชฺช โข ภควา ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ? ภิกฺขู สพฺพํ อาโรเจสุํฯ ภควา เอตทโวจ – ‘‘น, ภิกฺขเว, อยํ ปูชาวิเสโส มยฺหํ พุทฺธานุภาเวน นิพฺพโตฺต, น นาคเทวพฺรหฺมานุภาเวน, อปิจ โข ปุเพฺพ อปฺปมตฺตกปริจฺจาคานุภาเวน นิพฺพโตฺต’’ติฯ ภิกฺขู อาหํสุ – ‘‘น มยํ, ภเนฺต, ตํ อปฺปมตฺตกํ ปริจฺจาคํ ชานาม, สาธุ โน ภควา ตถา กเถตุ, ยถา มยํ ตํ ชาเนยฺยามา’’ติฯ
Rājagahamanuppatte bhagavati pacchābhattaṃ maṇḍalamāḷe sannipatitānaṃ bhikkhūnaṃ ayamantarakathā udapādi – ‘‘aho buddhassa bhagavato ānubhāvo, yaṃ uddissa gaṅgāya orato ca pārato ca aṭṭhayojano bhūmibhāgo ninnañca thalañca samaṃ katvā vālukāya okiritvā pupphehi sañchanno, yojanappamāṇaṃ gaṅgāya udakaṃ nānāvaṇṇehi padumehi sañchannaṃ, yāva akaniṭṭhabhavanā chattātichattāni ussitānī’’ti. Bhagavā taṃ pavattiṃ ñatvā gandhakuṭito nikkhamitvā taṅkhaṇānurūpena pāṭihāriyena gantvā maṇḍalamāḷe paññattavarabuddhāsane nisīdi. Nisajja kho bhagavā bhikkhū āmantesi – ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti? Bhikkhū sabbaṃ ārocesuṃ. Bhagavā etadavoca – ‘‘na, bhikkhave, ayaṃ pūjāviseso mayhaṃ buddhānubhāvena nibbatto, na nāgadevabrahmānubhāvena, apica kho pubbe appamattakapariccāgānubhāvena nibbatto’’ti. Bhikkhū āhaṃsu – ‘‘na mayaṃ, bhante, taṃ appamattakaṃ pariccāgaṃ jānāma, sādhu no bhagavā tathā kathetu, yathā mayaṃ taṃ jāneyyāmā’’ti.
ภควา อาห – ภูตปุพฺพํ, ภิกฺขเว, ตกฺกสิลายํ สโงฺข นาม พฺราหฺมโณ อโหสิฯ ตสฺส ปุโตฺต สุสีโม นาม มาณโว โสฬสวสฺสุเทฺทสิโก วเยน, โส เอกทิวสํ ปิตรํ อุปสงฺกมิตฺวา อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ ตํ ปิตา อาห – ‘‘กิํ, ตาต สุสีมา’’ติ? โส อาห – ‘‘อิจฺฉามหํ, ตาต, พาราณสิํ คนฺตฺวา สิปฺปํ อุคฺคเหตุ’’นฺติฯ ‘‘เตน หิ, ตาต สุสีม, อสุโก นาม พฺราหฺมโณ มม สหายโก, ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา อุคฺคณฺหาหี’’ติ กหาปณสหสฺสํ อทาสิฯ โส ตํ คเหตฺวา มาตาปิตโร อภิวาเทตฺวา อนุปุเพฺพน พาราณสิํ คนฺตฺวา อุปจารยุเตฺตน วิธินา อาจริยํ อุปสงฺกมิตฺวา อภิวาเทตฺวา อตฺตานํ นิเวเทสิฯ อาจริโย ‘‘มม สหายกสฺส ปุโตฺต’’ติ มาณวํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา สพฺพํ ปาหุเนยฺยมกาสิฯ โส อทฺธานกิลมถํ ปฎิวิโนเทตฺวา ตํ กหาปณสหสฺสํ อาจริยสฺส ปาทมูเล ฐเปตฺวา สิปฺปํ อุคฺคเหตุํ โอกาสํ ยาจิฯ อาจริโย โอกาสํ กตฺวา อุคฺคณฺหาเปสิฯ
Bhagavā āha – bhūtapubbaṃ, bhikkhave, takkasilāyaṃ saṅkho nāma brāhmaṇo ahosi. Tassa putto susīmo nāma māṇavo soḷasavassuddesiko vayena, so ekadivasaṃ pitaraṃ upasaṅkamitvā abhivādetvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Taṃ pitā āha – ‘‘kiṃ, tāta susīmā’’ti? So āha – ‘‘icchāmahaṃ, tāta, bārāṇasiṃ gantvā sippaṃ uggahetu’’nti. ‘‘Tena hi, tāta susīma, asuko nāma brāhmaṇo mama sahāyako, tassa santikaṃ gantvā uggaṇhāhī’’ti kahāpaṇasahassaṃ adāsi. So taṃ gahetvā mātāpitaro abhivādetvā anupubbena bārāṇasiṃ gantvā upacārayuttena vidhinā ācariyaṃ upasaṅkamitvā abhivādetvā attānaṃ nivedesi. Ācariyo ‘‘mama sahāyakassa putto’’ti māṇavaṃ sampaṭicchitvā sabbaṃ pāhuneyyamakāsi. So addhānakilamathaṃ paṭivinodetvā taṃ kahāpaṇasahassaṃ ācariyassa pādamūle ṭhapetvā sippaṃ uggahetuṃ okāsaṃ yāci. Ācariyo okāsaṃ katvā uggaṇhāpesi.
โส ลหุญฺจ คณฺหโนฺต พหุญฺจ คณฺหโนฺต คหิตคหิตญฺจ สุวณฺณภาชเน ปกฺขิตฺตมิว สีหเตลํ อวินสฺสมานํ ธาเรโนฺต ทฺวาทสวสฺสิกํ สิปฺปํ กติปยมาเสเนว ปริโยสาเปสิฯ โส สชฺฌายํ กโรโนฺต อาทิมชฺฌํเยว ปสฺสติ, โน ปริโยสานํฯ อถ อาจริยํ อุปสงฺกมิตฺวา อาห – ‘‘อิมสฺส สิปฺปสฺส อาทิมชฺฌเมว ปสฺสามิ, ปริโยสานํ น ปสฺสามี’’ติฯ อาจริโย อาห – ‘‘อหมฺปิ, ตาต, เอวเมวา’’ติฯ ‘‘อถ โก, อาจริย, อิมสฺส สิปฺปสฺส ปริโยสานํ ชานาตี’’ติ? ‘‘อิสิปตเน, ตาต, อิสโย อตฺถิ, เต ชาเนยฺยุ’’นฺติฯ เต อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ปุจฺฉามิ, อาจริยา’’ติฯ ‘‘ปุจฺฉ, ตาต, ยถาสุข’’นฺติฯ โส อิสิปตนํ คนฺตฺวา ปเจฺจกพุเทฺธ อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉิ – ‘‘อาทิมชฺฌปริโยสานํ ชานาถา’’ติ? ‘‘อามาวุโส, ชานามา’’ติฯ ‘‘ตํ มมฺปิ สิกฺขาเปถา’’ติฯ ‘‘เตน, หาวุโส, ปพฺพชาหิ, น สกฺกา อปพฺพชิเตน สิกฺขิตุ’’นฺติฯ ‘‘สาธุ, ภเนฺต, ปพฺพาเชถ วา มํ, ยํ วา อิจฺฉถ, ตํ กตฺวา ปริโยสานํ ชานาเปถา’’ติฯ เต ตํ ปพฺพาเชตฺวา กมฺมฎฺฐาเน นิโยเชตุํ อสมตฺถา ‘‘เอวํ เต นิวาเสตพฺพํ, เอวํ ปารุปิตพฺพ’’นฺติอาทินา นเยน อาภิสมาจาริกํ สิกฺขาเปสุํฯ โส ตตฺถ สิกฺขโนฺต อุปนิสฺสยสมฺปนฺนตฺตา น จิเรเนว ปเจฺจกโพธิํ อภิสมฺพุชฺฌิฯ สกลพาราณสิยํ ‘‘สุสีมปเจฺจกพุโทฺธ’’ติ ปากโฎ อโหสิ ลาภคฺคยสคฺคปฺปโตฺต สมฺปนฺนปริวาโรฯ โส อปฺปายุกสํวตฺตนิกสฺส กมฺมสฺส กตตฺตา น จิเรเนว ปรินิพฺพายิฯ ตสฺส ปเจฺจกพุทฺธา จ มหาชนกาโย จ สรีรกิจฺจํ กตฺวา ธาตุโต คเหตฺวา นครทฺวาเร ถูปํ ปติฎฺฐาเปสุํฯ
So lahuñca gaṇhanto bahuñca gaṇhanto gahitagahitañca suvaṇṇabhājane pakkhittamiva sīhatelaṃ avinassamānaṃ dhārento dvādasavassikaṃ sippaṃ katipayamāseneva pariyosāpesi. So sajjhāyaṃ karonto ādimajjhaṃyeva passati, no pariyosānaṃ. Atha ācariyaṃ upasaṅkamitvā āha – ‘‘imassa sippassa ādimajjhameva passāmi, pariyosānaṃ na passāmī’’ti. Ācariyo āha – ‘‘ahampi, tāta, evamevā’’ti. ‘‘Atha ko, ācariya, imassa sippassa pariyosānaṃ jānātī’’ti? ‘‘Isipatane, tāta, isayo atthi, te jāneyyu’’nti. Te upasaṅkamitvā ‘‘pucchāmi, ācariyā’’ti. ‘‘Puccha, tāta, yathāsukha’’nti. So isipatanaṃ gantvā paccekabuddhe upasaṅkamitvā pucchi – ‘‘ādimajjhapariyosānaṃ jānāthā’’ti? ‘‘Āmāvuso, jānāmā’’ti. ‘‘Taṃ mampi sikkhāpethā’’ti. ‘‘Tena, hāvuso, pabbajāhi, na sakkā apabbajitena sikkhitu’’nti. ‘‘Sādhu, bhante, pabbājetha vā maṃ, yaṃ vā icchatha, taṃ katvā pariyosānaṃ jānāpethā’’ti. Te taṃ pabbājetvā kammaṭṭhāne niyojetuṃ asamatthā ‘‘evaṃ te nivāsetabbaṃ, evaṃ pārupitabba’’ntiādinā nayena ābhisamācārikaṃ sikkhāpesuṃ. So tattha sikkhanto upanissayasampannattā na cireneva paccekabodhiṃ abhisambujjhi. Sakalabārāṇasiyaṃ ‘‘susīmapaccekabuddho’’ti pākaṭo ahosi lābhaggayasaggappatto sampannaparivāro. So appāyukasaṃvattanikassa kammassa katattā na cireneva parinibbāyi. Tassa paccekabuddhā ca mahājanakāyo ca sarīrakiccaṃ katvā dhātuto gahetvā nagaradvāre thūpaṃ patiṭṭhāpesuṃ.
อถ โข สโงฺข พฺราหฺมโณ ‘‘ปุโตฺต เม จิรคโต, น จสฺส ปวตฺติํ ชานามี’’ติ ปุตฺตํ ทฎฺฐุกาโม ตกฺกสิลาย นิกฺขมิตฺวา อนุปุเพฺพน พาราณสิํ ปตฺวา มหาชนกายํ สนฺนิปติตํ ทิสฺวา ‘‘อทฺธา พหูสุ เอโกปิ เม ปุตฺตสฺส ปวตฺติํ ชานิสฺสตี’’ติ จิเนฺตโนฺต อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉิ – ‘‘สุสีโม นาม มาณโว อิธ อาคโต อตฺถิ, อปิ นุ ตสฺส ปวตฺติํ ชานาถา’’ติ? เต ‘‘อาม, พฺราหฺมณ, ชานาม, อสฺมิํ นคเร พฺราหฺมณสฺส สนฺติเก ติณฺณํ เวทานํ ปารคู หุตฺวา ปเจฺจกพุทฺธานํ สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา ปเจฺจกพุโทฺธ หุตฺวา อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายิ, อยมสฺส ถูโป ปติฎฺฐาปิโต’’ติ อาหํสุฯ โส ภูมิํ หเตฺถน ปหริตฺวา, โรทิตฺวา จ ปริเทวิตฺวา จ ตํ เจติยงฺคณํ คนฺตฺวา ติณานิ อุทฺธริตฺวา อุตฺตรสาฎเกน วาลุกํ อาเนตฺวา, ปเจฺจกพุทฺธเจติยงฺคเณ อากิริตฺวา, กมณฺฑลุโต อุทเกน สมนฺตโต ภูมิํ ปริโปฺผสิตฺวา วนปุเปฺผหิ ปูชํ กตฺวา อุตฺตรสาฎเกน ปฎากํ อาโรเปตฺวา ถูปสฺส อุปริ อตฺตโน ฉตฺตํ พนฺธิตฺวา ปกฺกามีติฯ
Atha kho saṅkho brāhmaṇo ‘‘putto me ciragato, na cassa pavattiṃ jānāmī’’ti puttaṃ daṭṭhukāmo takkasilāya nikkhamitvā anupubbena bārāṇasiṃ patvā mahājanakāyaṃ sannipatitaṃ disvā ‘‘addhā bahūsu ekopi me puttassa pavattiṃ jānissatī’’ti cintento upasaṅkamitvā pucchi – ‘‘susīmo nāma māṇavo idha āgato atthi, api nu tassa pavattiṃ jānāthā’’ti? Te ‘‘āma, brāhmaṇa, jānāma, asmiṃ nagare brāhmaṇassa santike tiṇṇaṃ vedānaṃ pāragū hutvā paccekabuddhānaṃ santike pabbajitvā paccekabuddho hutvā anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbāyi, ayamassa thūpo patiṭṭhāpito’’ti āhaṃsu. So bhūmiṃ hatthena paharitvā, roditvā ca paridevitvā ca taṃ cetiyaṅgaṇaṃ gantvā tiṇāni uddharitvā uttarasāṭakena vālukaṃ ānetvā, paccekabuddhacetiyaṅgaṇe ākiritvā, kamaṇḍaluto udakena samantato bhūmiṃ paripphositvā vanapupphehi pūjaṃ katvā uttarasāṭakena paṭākaṃ āropetvā thūpassa upari attano chattaṃ bandhitvā pakkāmīti.
เอวํ อตีตํ ทเสฺสตฺวา ตํ ชาตกํ ปจฺจุปฺปเนฺนน อนุสเนฺธโนฺต ภิกฺขูนํ ธมฺมกถํ กเถสิ – ‘‘สิยา โข ปน โว, ภิกฺขเว, เอวมสฺส อโญฺญ นูน เตน สมเยน สโงฺข พฺราหฺมโณ อโหสี’’ติ, น โข ปเนตํ เอวํ ทฎฺฐพฺพํ, อหํ เตน สมเยน สโงฺข พฺราหฺมโณ อโหสิํ, มยา สุสีมสฺส ปเจฺจกพุทฺธสฺส เจติยงฺคเณ ติณานิ อุทฺธฎานิ, ตสฺส เม กมฺมสฺส นิสฺสเนฺทน อฎฺฐโยชนมคฺคํ วิคตขาณุกณฺฎกํ กตฺวา สมํ สุทฺธมกํสุ, มยา ตตฺถ วาลุกา โอกิณฺณา, ตสฺส เม นิสฺสเนฺทน อฎฺฐโยชนมเคฺค วาลุกํ โอกิริํสุฯ มยา ตตฺถ วนกุสุเมหิ ปูชา กตา, ตสฺส เม นิสฺสเนฺทน นวโยชนมเคฺค ถเล จ อุทเก จ นานาปุเปฺผหิ ปุปฺผสนฺถรํ อกํสุฯ มยา ตตฺถ กมณฺฑลุทเกน ภูมิ ปริโปฺผสิตา, ตสฺส เม นิสฺสเนฺทน เวสาลิยํ โปกฺขรวสฺสํ วสฺสิฯ มยา ตสฺมิํ เจติเย ปฎากา อาโรปิตา, ฉตฺตญฺจ พทฺธํ, ตสฺส เม นิสฺสเนฺทน ยาว อกนิฎฺฐภวนา ปฎากา จ อาโรปิตา, ฉตฺตาติฉตฺตานิ จ อุสฺสิตานิฯ อิติ โข, ภิกฺขเว, อยํ มยฺหํ ปูชาวิเสโส เนว พุทฺธานุภาเวน นิพฺพโตฺต, น นาคเทวพฺรหฺมานุภาเวน, อปิจ โข อปฺปมตฺตกปริจฺจาคานุภาเวน นิพฺพโตฺต’’ติฯ ธมฺมกถาปริโยสาเน อิมํ คาถมภาสิ –
Evaṃ atītaṃ dassetvā taṃ jātakaṃ paccuppannena anusandhento bhikkhūnaṃ dhammakathaṃ kathesi – ‘‘siyā kho pana vo, bhikkhave, evamassa añño nūna tena samayena saṅkho brāhmaṇo ahosī’’ti, na kho panetaṃ evaṃ daṭṭhabbaṃ, ahaṃ tena samayena saṅkho brāhmaṇo ahosiṃ, mayā susīmassa paccekabuddhassa cetiyaṅgaṇe tiṇāni uddhaṭāni, tassa me kammassa nissandena aṭṭhayojanamaggaṃ vigatakhāṇukaṇṭakaṃ katvā samaṃ suddhamakaṃsu, mayā tattha vālukā okiṇṇā, tassa me nissandena aṭṭhayojanamagge vālukaṃ okiriṃsu. Mayā tattha vanakusumehi pūjā katā, tassa me nissandena navayojanamagge thale ca udake ca nānāpupphehi pupphasantharaṃ akaṃsu. Mayā tattha kamaṇḍaludakena bhūmi paripphositā, tassa me nissandena vesāliyaṃ pokkharavassaṃ vassi. Mayā tasmiṃ cetiye paṭākā āropitā, chattañca baddhaṃ, tassa me nissandena yāva akaniṭṭhabhavanā paṭākā ca āropitā, chattātichattāni ca ussitāni. Iti kho, bhikkhave, ayaṃ mayhaṃ pūjāviseso neva buddhānubhāvena nibbatto, na nāgadevabrahmānubhāvena, apica kho appamattakapariccāgānubhāvena nibbatto’’ti. Dhammakathāpariyosāne imaṃ gāthamabhāsi –
‘‘มตฺตาสุขปริจฺจาคา, ปเสฺส เจ วิปุลํ สุขํ;
‘‘Mattāsukhapariccāgā, passe ce vipulaṃ sukhaṃ;
จเช มตฺตาสุขํ ธีโร, สมฺปสฺสํ วิปุลํ สุข’’นฺติฯ (ธ. ป. ๒๙๐);
Caje mattāsukhaṃ dhīro, sampassaṃ vipulaṃ sukha’’nti. (dha. pa. 290);
ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทก-อฎฺฐกถาย
Paramatthajotikāya khuddaka-aṭṭhakathāya
สุตฺตนิปาต-อฎฺฐกถาย รตนสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Suttanipāta-aṭṭhakathāya ratanasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / สุตฺตนิปาตปาฬิ • Suttanipātapāḷi / ๑. รตนสุตฺตํ • 1. Ratanasuttaṃ