Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Majjhima Nikāya, English translation

    มชฺฌิม นิกาย ๒๔

    The Middle-Length Suttas Collection 24

    รถวินีตสุตฺต

    Prepared Chariots

    เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ ภควา ราชคเห วิหรติ เวฬุวเน กลนฺทกนิวาเปฯ

    So I have heard. At one time the Buddha was staying near Rājagaha, in the Bamboo Grove, the squirrels’ feeding ground.

    อถ โข สมฺพหุลา ชาติภูมกา ภิกฺขู ชาติภูมิยํ วสฺสํวุฏฺฐา เยน ภควา เตนุปสงฺกมึสุ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุฯ เอกมนฺตํ นิสินฺเน โข เต ภิกฺขู ภควา เอตทโวจ:

    Then several bhikkhus who had completed the rainy season residence in their native land went to the Buddha, bowed, and sat down to one side. The Buddha said to them:

    “โก นุ โข, ภิกฺขเว, ชาติภูมิยํ ชาติภูมกานํ ภิกฺขูนํ สพฺรหฺมจารีนํ เอวํ สมฺภาวิโต: ‘อตฺตนา จ อปฺปิจฺโฉ อปฺปิจฺฉกถญฺจ ภิกฺขูนํ กตฺตา, อตฺตนา จ สนฺตุฏฺโฐ สนฺตุฏฺฐิกถญฺจ ภิกฺขูนํ กตฺตา, อตฺตนา จ ปวิวิตฺโต ปวิเวกกถญฺจ ภิกฺขูนํ กตฺตา, อตฺตนา จ อสํสฏฺโฐ อสํสคฺคกถญฺจ ภิกฺขูนํ กตฺตา, อตฺตนา จ อารทฺธวีริโย วีริยารมฺภกถญฺจ ภิกฺขูนํ กตฺตา, อตฺตนา จ สีลสมฺปนฺโน สีลสมฺปทากถญฺจ ภิกฺขูนํ กตฺตา, อตฺตนา จ สมาธิสมฺปนฺโน สมาธิสมฺปทากถญฺจ ภิกฺขูนํ กตฺตา, อตฺตนา จ ปญฺญาสมฺปนฺโน ปญฺญาสมฺปทากถญฺจ ภิกฺขูนํ กตฺตา, อตฺตนา จ วิมุตฺติสมฺปนฺโน วิมุตฺติสมฺปทากถญฺจ ภิกฺขูนํ กตฺตา, อตฺตนา จ วิมุตฺติญาณทสฺสนสมฺปนฺโน วิมุตฺติญาณทสฺสนสมฺปทากถญฺจ ภิกฺขูนํ กตฺตา, โอวาทโก วิญฺญาปโก สนฺทสฺสโก สมาทปโก สมุตฺเตชโก สมฺปหํสโก สพฺรหฺมจารีนนฺ'”ติ?

    “In your native land, bhikkhus, which of the native bhikkhus is esteemed in this way: ‘Personally having few wishes, they speak to the bhikkhus on having few wishes. Personally having contentment, seclusion, aloofness, energy, ethics, immersion, wisdom, freedom, and the knowledge and vision of freedom, they speak to the bhikkhus on all these things. They’re an adviser and instructor, one who educates, encourages, fires up, and inspires their spiritual companions.’”

    “ปุณฺโณ นาม, ภนฺเต, อายสฺมา มนฺตาณิปุตฺโต ชาติภูมิยํ ชาติภูมกานํ ภิกฺขูนํ สพฺรหฺมจารีนํ เอวํ สมฺภาวิโต: ‘อตฺตนา จ อปฺปิจฺโฉ อปฺปิจฺฉกถญฺจ ภิกฺขูนํ กตฺตา, อตฺตนา จ สนฺตุฏฺโฐ …เป… โอวาทโก วิญฺญาปโก สนฺทสฺสโก สมาทปโก สมุตฺเตชโก สมฺปหํสโก สพฺรหฺมจารีนนฺ'”ติฯ

    “Puṇṇa son of Mantāṇī, sir, is esteemed in this way in our native land.”

    เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา สาริปุตฺโต ภควโต อวิทูเร นิสินฺโน โหติฯ อถ โข อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺส เอตทโหสิ:

    Now at that time Venerable Sāriputta was meditating not far from the Buddha. Then he thought:

    “ลาภา อายสฺมโต ปุณฺณสฺส มนฺตาณิปุตฺตสฺส, สุลทฺธลาภา อายสฺมโต ปุณฺณสฺส มนฺตาณิปุตฺตสฺส, ยสฺส วิญฺญู สพฺรหฺมจารี สตฺถุ สมฺมุขา อนุมสฺส อนุมสฺส วณฺณํ ภาสนฺติ, ตญฺจ สตฺถา อพฺภนุโมทติฯ อปฺเปว นาม มยมฺปิ กทาจิ กรหจิ อายสฺมตา ปุณฺเณน มนฺตาณิปุตฺเตน สทฺธึ สมาคจฺเฉยฺยาม, อปฺเปว นาม สิยา โกจิเทว กถาสลฺลาโป”ติฯ

    “Puṇṇa son of Mantāṇī is fortunate, so very fortunate, in that his sensible spiritual companions praise him point by point in the presence of the Teacher, and that the Teacher seconds that appreciation. Hopefully, some time or other I’ll get to meet Venerable Puṇṇa, and we can have a discussion.”

    อถ โข ภควา ราชคเห ยถาภิรนฺตํ วิหริตฺวา เยน สาวตฺถิ เตน จาริกํ ปกฺกามิฯ อนุปุพฺเพน จาริกํ จรมาโน เยน สาวตฺถิ ตทวสริฯ ตตฺร สุทํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมฯ อโสฺสสิ โข อายสฺมา ปุณฺโณ มนฺตาณิปุตฺโต: “ภควา กิร สาวตฺถึ อนุปฺปตฺโต; สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเม”ติฯ

    When the Buddha had stayed in Rājagaha as long as he pleased, he set out for Sāvatthī. Traveling stage by stage, he arrived at Sāvatthī, where he stayed in Jeta’s Grove, Anāthapiṇḍika’s monastery. Puṇṇa heard that the Buddha had arrived at Sāvatthī.

    อถ โข อายสฺมา ปุณฺโณ มนฺตาณิปุตฺโต เสนาสนํ สํสาเมตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย เยน สาวตฺถิ เตน จาริกํ ปกฺกามิฯ อนุปุพฺเพน จาริกํ จรมาโน เยน สาวตฺถิ เชตวนํ อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราโม เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข อายสฺมนฺตํ ปุณฺณํ มนฺตาณิปุตฺตํ ภควา ธมฺมิยา กถาย สนฺทเสฺสสิ สมาทเปสิ สมุตฺเตเชสิ สมฺปหํเสสิฯ อถ โข อายสฺมา ปุณฺโณ มนฺตาณิปุตฺโต ภควตา ธมฺมิยา กถาย สนฺทสฺสิโต สมาทปิโต สมุตฺเตชิโต สมฺปหํสิโต ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา อุฏฺฐายาสนา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา เยน อนฺธวนํ เตนุปสงฺกมิ ทิวาวิหารายฯ

    Then he set his lodgings in order and, taking his bowl and robe, set out for Sāvatthī. Eventually he came to Sāvatthī and Jeta’s Grove. He went up to the Buddha, bowed, and sat down to one side. The Buddha educated, encouraged, fired up, and inspired him with a Dhamma talk. Then, having approved and agreed with what the Buddha said, Puṇṇa got up from his seat, bowed, and respectfully circled the Buddha, keeping him on his right. Then he went to the Dark Forest for the day’s meditation.

    อถ โข อญฺญตโร ภิกฺขุ เยนายสฺมา สาริปุตฺโต เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตํ เอตทโวจ: “ยสฺส โข ตฺวํ, อาวุโส สาริปุตฺต, ปุณฺณสฺส นาม ภิกฺขุโน มนฺตาณิปุตฺตสฺส อภิณฺหํ กิตฺตยมาโน อโหสิ, โส ภควตา ธมฺมิยา กถาย สนฺทสฺสิโต สมาทปิโต สมุตฺเตชิโต สมฺปหํสิโต ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา อุฏฺฐายาสนา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา เยน อนฺธวนํ เตน ปกฺกนฺโต ทิวาวิหารายา”ติฯ

    Then a certain bhikkhu went up to Venerable Sāriputta, and said to him, “Friend Sāriputta, the bhikkhu named Puṇṇa, of whom you have often spoken so highly, after being inspired by a talk of the Buddha’s, left for the Dark Forest for the day’s meditation.”

    อถ โข อายสฺมา สาริปุตฺโต ตรมานรูโป นิสีทนํ อาทาย อายสฺมนฺตํ ปุณฺณํ มนฺตาณิปุตฺตํ ปิฏฺฐิโต ปิฏฺฐิโต อนุพนฺธิ สีสานุโลกีฯ อถ โข อายสฺมา ปุณฺโณ มนฺตาณิปุตฺโต อนฺธวนํ อชฺโฌคาเหตฺวา อญฺญตรสฺมึ รุกฺขมูเล ทิวาวิหารํ นิสีทิฯ อายสฺมาปิ โข สาริปุตฺโต อนฺธวนํ อชฺโฌคาเหตฺวา อญฺญตรสฺมึ รุกฺขมูเล ทิวาวิหารํ นิสีทิฯ

    Sāriputta quickly grabbed his sitting cloth and followed behind Puṇṇa, keeping sight of his head. Puṇṇa plunged deep into the Dark Forest and sat at the root of a tree for the day’s meditation. And Sāriputta did likewise.

    อถ โข อายสฺมา สาริปุตฺโต สายนฺหสมยํ ปฏิสลฺลานา วุฏฺฐิโต เยนายสฺมา ปุณฺโณ มนฺตาณิปุตฺโต เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมตา ปุณฺเณน มนฺตาณิปุตฺเตน สทฺธึ สมฺโมทิฯ สมฺโมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข อายสฺมา สาริปุตฺโต อายสฺมนฺตํ ปุณฺณํ มนฺตาณิปุตฺตํ เอตทโวจ:

    Then in the late afternoon, Sāriputta came out of retreat, went to Puṇṇa, and exchanged greetings with him. When the greetings and polite conversation were over, he sat down to one side and said to Puṇṇa:

    “ภควติ โน, อาวุโส, พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี”ติ?

    “Friend, is our spiritual life lived under the Buddha?”

    “เอวมาวุโส”ติฯ

    “Yes, friend.”

    “กึ นุ โข, อาวุโส, สีลวิสุทฺธตฺถํ ภควติ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี”ติ?

    “Is the spiritual life lived under the Buddha for the sake of purification of ethics?”

    “โน หิทํ, อาวุโส”ฯ

    “Certainly not.”

    “กึ ปนาวุโส, จิตฺตวิสุทฺธตฺถํ ภควติ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี”ติ?

    “Then is the spiritual life lived under the Buddha for the sake of purification of mind?”

    “โน หิทํ, อาวุโส”ฯ

    “Certainly not.”

    “กึ นุ โข, อาวุโส, ทิฏฺฐิวิสุทฺธตฺถํ ภควติ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี”ติ?

    “Is the spiritual life lived under the Buddha for the sake of purification of view?”

    “โน หิทํ, อาวุโส”ฯ

    “Certainly not.”

    “กึ ปนาวุโส, กงฺขาวิตรณวิสุทฺธตฺถํ ภควติ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี”ติ?

    “Then is the spiritual life lived under the Buddha for the sake of purification through overcoming doubt?”

    “โน หิทํ, อาวุโส”ฯ

    “Certainly not.”

    “กึ นุ โข, อาวุโส, มคฺคามคฺคญาณทสฺสนวิสุทฺธตฺถํ ภควติ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี”ติ?

    “Is the spiritual life lived under the Buddha for the sake of purification of knowledge and vision of the variety of paths?”

    “โน หิทํ, อาวุโส”ฯ

    “Certainly not.”

    “กึ ปนาวุโส, ปฏิปทาญาณทสฺสนวิสุทฺธตฺถํ ภควติ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี”ติ?

    “Then is the spiritual life lived under the Buddha for the sake of purification of knowledge and vision of the practice?”

    “โน หิทํ, อาวุโส”ฯ

    “Certainly not.”

    “กึ นุ โข, อาวุโส, ญาณทสฺสนวิสุทฺธตฺถํ ภควติ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี”ติ?

    “Is the spiritual life lived under the Buddha for the sake of purification of knowledge and vision?”

    “โน หิทํ, อาวุโส”ฯ

    “Certainly not.”

    “‘กึ นุ โข, อาวุโส, สีลวิสุทฺธตฺถํ ภควติ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี'ติ อิติ ปุฏฺโฐ สมาโน ‘โน หิทํ, อาวุโส'ติ วเทสิฯ ‘กึ ปนาวุโส, จิตฺตวิสุทฺธตฺถํ ภควติ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี'ติ อิติ ปุฏฺโฐ สมาโน ‘โน หิทํ, อาวุโส'ติ วเทสิฯ ‘กึ นุ โข, อาวุโส, ทิฏฺฐิวิสุทฺธตฺถํ …เป… กงฺขาวิตรณวิสุทฺธตฺถํ …เป… มคฺคามคฺคญาณทสฺสนวิสุทฺธตฺถํ …เป… ปฏิปทาญาณทสฺสนวิสุทฺธตฺถํ …เป… กึ นุ โข, อาวุโส, ญาณทสฺสนวิสุทฺธตฺถํ ภควติ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี'ติ อิติ ปุฏฺโฐ สมาโน ‘โน หิทํ อาวุโส'ติ วเทสิฯ กิมตฺถํ จรหาวุโส, ภควติ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี”ติ?

    “When asked each of these questions, you answered, ‘Certainly not.’ Then what exactly is the purpose of leading the spiritual life under the Buddha?”

    “อนุปาทาปรินิพฺพานตฺถํ โข, อาวุโส, ภควติ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี”ติฯ

    “The purpose of leading the spiritual life under the Buddha is Nibbana by not grasping.”

    “กึ นุ โข, อาวุโส, สีลวิสุทฺธิ อนุปาทาปรินิพฺพานนฺ”ติ?

    “Friend, is purification of ethics Nibbana by not grasping?”

    “โน หิทํ, อาวุโส”ฯ

    “Certainly not.”

    “กึ ปนาวุโส, จิตฺตวิสุทฺธิ อนุปาทาปรินิพฺพานนฺ”ติ?

    “โน หิทํ, อาวุโส”ฯ

    “กึ นุ โข, อาวุโส, ทิฏฺฐิวิสุทฺธิ อนุปาทาปรินิพฺพานนฺ”ติ?

    “โน หิทํ, อาวุโส”ฯ

    “กึ ปนาวุโส, กงฺขาวิตรณวิสุทฺธิ อนุปาทาปรินิพฺพานนฺ”ติ?

    “โน หิทํ, อาวุโส”ฯ

    “กึ นุ โข, อาวุโส, มคฺคามคฺคญาณทสฺสนวิสุทฺธิ อนุปาทาปรินิพฺพานนฺ”ติ?

    “โน หิทํ, อาวุโส”ฯ

    “กึ ปนาวุโส, ปฏิปทาญาณทสฺสนวิสุทฺธิ อนุปาทาปรินิพฺพานนฺ”ติ?

    “โน หิทํ, อาวุโส”ฯ

    “กึ นุ โข, อาวุโส, ญาณทสฺสนวิสุทฺธิ อนุปาทาปรินิพฺพานนฺ”ติ?

    “Is purification of knowledge and vision Nibbana by not grasping?”

    “โน หิทํ, อาวุโส”ฯ

    “Certainly not.”

    “กึ ปนาวุโส, อญฺญตฺร อิเมหิ ธมฺเมหิ อนุปาทาปรินิพฺพานนฺ”ติ?

    “Then is Nibbana by not grasping something apart from these things?”

    “โน หิทํ, อาวุโส”ฯ

    “Certainly not.”

    “‘กึ นุ โข, อาวุโส, สีลวิสุทฺธิ อนุปาทาปรินิพฺพานนฺ'ติ อิติ ปุฏฺโฐ สมาโน ‘โน หิทํ, อาวุโส'ติ วเทสิฯ ‘กึ ปนาวุโส, จิตฺตวิสุทฺธิ อนุปาทาปรินิพฺพานนฺ'ติ อิติ ปุฏฺโฐ สมาโน ‘โน หิทํ, อาวุโส'ติ วเทสิฯ ‘กึ นุ โข, อาวุโส, ทิฏฺฐิวิสุทฺธิ อนุปาทาปรินิพฺพานนฺ'ติ …เป… กงฺขาวิตรณวิสุทฺธิ … มคฺคามคฺคญาณทสฺสนวิสุทฺธิ … ปฏิปทาญาณทสฺสนวิสุทฺธิ … ‘กึ นุ โข, อาวุโส, ญาณทสฺสนวิสุทฺธิ อนุปาทาปรินิพฺพานนฺ'ติ อิติ ปุฏฺโฐ สมาโน ‘โน หิทํ, อาวุโส'ติ วเทสิฯ ‘กึ ปนาวุโส, อญฺญตฺร อิเมหิ ธมฺเมหิ อนุปาทาปรินิพฺพานนฺ'ติ อิติ ปุฏฺโฐ สมาโน ‘โน หิทํ, อาวุโส'ติ วเทสิฯ ยถากถํ ปนาวุโส, อิมสฺส ภาสิตสฺส อตฺโถ ทฏฺฐพฺโพ”ติ?

    “When asked each of these questions, you answered, ‘Certainly not.’ How then should we see the meaning of this statement?”

    “สีลวิสุทฺธิญฺเจ, อาวุโส, ภควา อนุปาทาปรินิพฺพานํ ปญฺญเปยฺย, เสาปาทานํเยว สมานํ อนุปาทาปรินิพฺพานํ ปญฺญเปยฺยฯ จิตฺตวิสุทฺธิญฺเจ, อาวุโส, ภควา อนุปาทาปรินิพฺพานํ ปญฺญเปยฺย, เสาปาทานํเยว สมานํ อนุปาทาปรินิพฺพานํ ปญฺญเปยฺยฯ ทิฏฺฐิวิสุทฺธิญฺเจ, อาวุโส, ภควา อนุปาทาปรินิพฺพานํ ปญฺญเปยฺย, เสาปาทานํเยว สมานํ อนุปาทาปรินิพฺพานํ ปญฺญเปยฺยฯ กงฺขาวิตรณวิสุทฺธิญฺเจ, อาวุโส, ภควา อนุปาทาปรินิพฺพานํ ปญฺญเปยฺย, เสาปาทานํเยว สมานํ อนุปาทาปรินิพฺพานํ ปญฺญเปยฺยฯ มคฺคามคฺคญาณทสฺสนวิสุทฺธิญฺเจ, อาวุโส, ภควา อนุปาทาปรินิพฺพานํ ปญฺญเปยฺย, เสาปาทานํเยว สมานํ อนุปาทาปรินิพฺพานํ ปญฺญเปยฺยฯ ปฏิปทาญาณทสฺสนวิสุทฺธิญฺเจ, อาวุโส, ภควา อนุปาทาปรินิพฺพานํ ปญฺญเปยฺย, เสาปาทานํเยว สมานํ อนุปาทาปรินิพฺพานํ ปญฺญเปยฺยฯ ญาณทสฺสนวิสุทฺธิญฺเจ, อาวุโส, ภควา อนุปาทาปรินิพฺพานํ ปญฺญเปยฺย, เสาปาทานํเยว สมานํ อนุปาทาปรินิพฺพานํ ปญฺญเปยฺยฯ อญฺญตฺร เจ, อาวุโส, อิเมหิ ธมฺเมหิ อนุปาทาปรินิพฺพานํ อภวิสฺส, ปุถุชฺชโน ปรินิพฺพาเยยฺยฯ ปุถุชฺชโน หิ, อาวุโส, อญฺญตฺร อิเมหิ ธมฺเมหิฯ

    “If the Buddha had declared purification of ethics to be Nibbana by not grasping, he would have declared that which has grasping to be Nibbana by not grasping. … If the Buddha had declared purification of knowledge and vision to be Nibbana by not grasping, he would have declared that which has grasping to be Nibbana by not grasping. But if Nibbana by not grasping was something apart from these things, an ordinary person would become extinguished. For an ordinary person lacks these things.

    เตน หาวุโส, อุปมํ เต กริสฺสามิ; อุปมายปิเธกจฺเจ วิญฺญู ปุริสา ภาสิตสฺส อตฺถํ อาชานนฺติฯ

    Well then, friend, I shall give you a simile. For by means of a simile some sensible people understand the meaning of what is said.

    เสยฺยถาปิ, อาวุโส, รญฺโญ ปเสนทิสฺส โกสลสฺส สาวตฺถิยํ ปฏิวสนฺตสฺส สาเกเต กิญฺจิเทว อจฺจายิกํ กรณียํ อุปฺปชฺเชยฺยฯ ตสฺส อนฺตรา จ สาวตฺถึ อนฺตรา จ สาเกตํ สตฺต รถวินีตานิ อุปฏฺฐเปยฺยุํฯ อถ โข, อาวุโส, ราชา ปเสนทิ โกสโล สาวตฺถิยา นิกฺขมิตฺวา อนฺเตปุรทฺวารา ปฐมํ รถวินีตํ อภิรุเหยฺย, ปฐเมน รถวินีเตน ทุติยํ รถวินีตํ ปาปุเณยฺย, ปฐมํ รถวินีตํ วิสฺสชฺเชยฺย ทุติยํ รถวินีตํ อภิรุเหยฺยฯ ทุติเยน รถวินีเตน ตติยํ รถวินีตํ ปาปุเณยฺย, ทุติยํ รถวินีตํ วิสฺสชฺเชยฺย, ตติยํ รถวินีตํ อภิรุเหยฺยฯ ตติเยน รถวินีเตน จตุตฺถํ รถวินีตํ ปาปุเณยฺย, ตติยํ รถวินีตํ วิสฺสชฺเชยฺย, จตุตฺถํ รถวินีตํ อภิรุเหยฺยฯ จตุตฺเถน รถวินีเตน ปญฺจมํ รถวินีตํ ปาปุเณยฺย, จตุตฺถํ รถวินีตํ วิสฺสชฺเชยฺย, ปญฺจมํ รถวินีตํ อภิรุเหยฺยฯ ปญฺจเมน รถวินีเตน ฉฏฺฐํ รถวินีตํ ปาปุเณยฺย, ปญฺจมํ รถวินีตํ วิสฺสชฺเชยฺย, ฉฏฺฐํ รถวินีตํ อภิรุเหยฺยฯ ฉฏฺเฐน รถวินีเตน สตฺตมํ รถวินีตํ ปาปุเณยฺย, ฉฏฺฐํ รถวินีตํ วิสฺสชฺเชยฺย, สตฺตมํ รถวินีตํ อภิรุเหยฺยฯ สตฺตเมน รถวินีเตน สาเกตํ อนุปาปุเณยฺย อนฺเตปุรทฺวารํฯ ตเมนํ อนฺเตปุรทฺวารคตํ สมานํ มิตฺตามจฺจา ญาติสาโลหิตา เอวํ ปุจฺเฉยฺยุํ: ‘อิมินา ตฺวํ, มหาราช, รถวินีเตน สาวตฺถิยา สาเกตํ อนุปฺปตฺโต อนฺเตปุรทฺวารนฺ'ติ? กถํ พฺยากรมาโน นุ โข, อาวุโส, ราชา ปเสนทิ โกสโล สมฺมา พฺยากรมาโน พฺยากเรยฺยา”ติ?

    Suppose that, while staying in Sāvatthī, King Pasenadi of Kosala had some urgent business come up in Sāketa. Now, between Sāvatthī and Sāketa seven prepared chariots were stationed ready for him. Then Pasenadi, having departed Sāvatthī, mounted the first prepared chariot by the gate of the royal compound. The first prepared chariot would bring him to the second, where he’d dismount and mount the second chariot. The second prepared chariot would bring him to the third … The third prepared chariot would bring him to the fourth … The fourth prepared chariot would bring him to the fifth … The fifth prepared chariot would bring him to the sixth … The sixth prepared chariot would bring him to the seventh, where he’d dismount and mount the seventh chariot. The seventh prepared chariot would bring him to the gate of the royal compound of Sāketa. And when he was at the gate, friends and colleagues, relatives and kin would ask him: ‘Great king, did you come to Sāketa from Sāvatthī by this prepared chariot?’ If asked this, how should King Pasenadi rightly reply?”

    “เอวํ พฺยากรมาโน โข, อาวุโส, ราชา ปเสนทิ โกสโล สมฺมา พฺยากรมาโน พฺยากเรยฺย: ‘อิธ เม สาวตฺถิยํ ปฏิวสนฺตสฺส สาเกเต กิญฺจิเทว อจฺจายิกํ กรณียํ อุปฺปชฺชิฯ ตสฺส เม อนฺตรา จ สาวตฺถึ อนฺตรา จ สาเกตํ สตฺต รถวินีตานิ อุปฏฺฐเปสุํฯ อถ ขฺวาหํ สาวตฺถิยา นิกฺขมิตฺวา อนฺเตปุรทฺวารา ปฐมํ รถวินีตํ อภิรุหึฯ ปฐเมน รถวินีเตน ทุติยํ รถวินีตํ ปาปุณึ, ปฐมํ รถวินีตํ วิสฺสชฺชึ ทุติยํ รถวินีตํ อภิรุหึฯ ทุติเยน รถวินีเตน ตติยํ รถวินีตํ ปาปุณึ, ทุติยํ รถวินีตํ วิสฺสชฺชึ, ตติยํ รถวินีตํ อภิรุหึฯ ตติเยน รถวินีเตน จตุตฺถํ รถวินีตํ ปาปุณึ, ตติยํ รถวินีตํ วิสฺสชฺชึ, จตุตฺถํ รถวินีตํ อภิรุหึฯ จตุตฺเถน รถวินีเตน ปญฺจมํ รถวินีตํ ปาปุณึ, จตุตฺถํ รถวินีตํ วิสฺสชฺชึ, ปญฺจมํ รถวินีตํ อภิรุหึฯ ปญฺจเมน รถวินีเตน ฉฏฺฐํ รถวินีตํ ปาปุณึ, ปญฺจมํ รถวินีตํ วิสฺสชฺชึ, ฉฏฺฐํ รถวินีตํ อภิรุหึฯ ฉฏฺเฐน รถวินีเตน สตฺตมํ รถวินีตํ ปาปุณึ, ฉฏฺฐํ รถวินีตํ วิสฺสชฺชึ, สตฺตมํ รถวินีตํ อภิรุหึฯ สตฺตเมน รถวินีเตน สาเกตํ อนุปฺปตฺโต อนฺเตปุรทฺวารนฺ'ติฯ เอวํ พฺยากรมาโน โข, อาวุโส, ราชา ปเสนทิ โกสโล สมฺมา พฺยากรมาโน พฺยากเรยฺยา”ติฯ

    “The king should reply: ‘Well, while staying in Sāvatthī, I had some urgent business come up in Sāketa. Now, between Sāvatthī and Sāketa seven prepared chariots were stationed ready for me. Then, having departed Sāvatthī, I mounted the first prepared chariot by the gate of the royal compound. The first prepared chariot brought me to the second, where I dismounted and mounted the second chariot. … The sixth prepared chariot brought me to the seventh, where I dismounted and mounted the seventh chariot. The seventh prepared chariot brought me to the gate of the royal compound of Sāketa.’ That’s how King Pasenadi should rightly reply.”

    “เอวเมว โข, อาวุโส, สีลวิสุทฺธิ ยาวเทว จิตฺตวิสุทฺธตฺถา, จิตฺตวิสุทฺธิ ยาวเทว ทิฏฺฐิวิสุทฺธตฺถา, ทิฏฺฐิวิสุทฺธิ ยาวเทว กงฺขาวิตรณวิสุทฺธตฺถา, กงฺขาวิตรณวิสุทฺธิ ยาวเทว มคฺคามคฺคญาณทสฺสนวิสุทฺธตฺถา, มคฺคามคฺคญาณทสฺสนวิสุทฺธิ ยาวเทว ปฏิปทาญาณทสฺสนวิสุทฺธตฺถา, ปฏิปทาญาณทสฺสนวิสุทฺธิ ยาวเทว ญาณทสฺสนวิสุทฺธตฺถา, ญาณทสฺสนวิสุทฺธิ ยาวเทว อนุปาทาปรินิพฺพานตฺถาฯ อนุปาทาปรินิพฺพานตฺถํ โข, อาวุโส, ภควติ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี”ติฯ

    “In the same way, friend, purification of ethics is only for the sake of purification of mind. Purification of mind is only for the sake of purification of view. Purification of view is only for the sake of purification through overcoming doubt. Purification through overcoming doubt is only for the sake of purification of knowledge and vision of the variety of paths. Purification of knowledge and vision of the variety of paths is only for the sake of purification of knowledge and vision of the practice. Purification of knowledge and vision of the practice is only for the sake of purification of knowledge and vision. Purification of knowledge and vision is only for the sake of Nibbana by not grasping. The spiritual life is lived under the Buddha for the sake of Nibbana by not grasping.”

    เอวํ วุตฺเต, อายสฺมา สาริปุตฺโต อายสฺมนฺตํ ปุณฺณํ มนฺตาณิปุตฺตํ เอตทโวจ: “โกนาโม อายสฺมา, กถญฺจ ปนายสฺมนฺตํ สพฺรหฺมจารี ชานนฺตี”ติ?

    When he said this, Sāriputta said to Puṇṇa, “What is the venerable’s name? And how are you known among your spiritual companions?”

    “ปุณฺโณติ โข เม, อาวุโส, นามํ; มนฺตาณิปุตฺโตติ จ ปน มํ สพฺรหฺมจารี ชานนฺตี”ติฯ

    “Friend, my name is Puṇṇa. And I am known as Mantāṇiputta among my spiritual companions.”

    “อจฺฉริยํ, อาวุโส, อพฺภุตํ, อาวุโสฯ ยถา ตํ สุตวตา สาวเกน สมฺมเทว สตฺถุสาสนํ อาชานนฺเตน, เอวเมว อายสฺมตา ปุณฺเณน มนฺตาณิปุตฺเตน คมฺภีรา คมฺภีรปญฺหา อนุมสฺส อนุมสฺส พฺยากตาฯ ลาภา สพฺรหฺมจารีนํ, สุลทฺธลาภา สพฺรหฺมจารีนํ, เย อายสฺมนฺตํ ปุณฺณํ มนฺตาณิปุตฺตํ ลภนฺติ ทสฺสนาย, ลภนฺติ ปยิรูปาสนายฯ เจลณฺฑุเกน เจปิ สพฺรหฺมจารี อายสฺมนฺตํ ปุณฺณํ มนฺตาณิปุตฺตํ มุทฺธนา ปริหรนฺตา ลเภยฺยุํ ทสฺสนาย, ลเภยฺยุํ ปยิรูปาสนาย, เตสมฺปิ ลาภา เตสมฺปิ สุลทฺธํ, อมฺหากมฺปิ ลาภา อมฺหากมฺปิ สุลทฺธํ, เย มยํ อายสฺมนฺตํ ปุณฺณํ มนฺตาณิปุตฺตํ ลภาม ทสฺสนาย, ลภาม ปยิรูปาสนายา”ติฯ

    “It’s incredible, friend, it’s amazing! Venerable Puṇṇa son of Mantāṇī has answered each deep question point by point, as a learned disciple who rightly understands the teacher’s instructions. It is fortunate for his spiritual companions, so very fortunate, that they get to see Venerable Puṇṇa son of Mantāṇī and pay homage to him. Even if they only got to see him and pay respects to him by carrying him around on their heads on a roll of cloth, it would still be very fortunate for them! And it’s fortunate for me, so very fortunate, that I get to see the venerable and pay homage to him.”

    เอวํ วุตฺเต, อายสฺมา ปุณฺโณ มนฺตาณิปุตฺโต อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตํ เอตทโวจ: “โก นาโม อายสฺมา, กถญฺจ ปนายสฺมนฺตํ สพฺรหฺมจารี ชานนฺตี”ติ?

    When he said this, Puṇṇa said to Sāriputta, “What is the venerable’s name? And how are you known among your spiritual companions?”

    “อุปติโสฺสติ โข เม, อาวุโส, นามํ; สาริปุตฺโตติ จ ปน มํ สพฺรหฺมจารี ชานนฺตี”ติฯ

    “Friend, my name is Upatissa. And I am known as Sāriputta among my spiritual companions.”

    “สตฺถุกปฺเปน วต กิร, โภ, สาวเกน สทฺธึ มนฺตยมานา น ชานิมฺห: ‘อายสฺมา สาริปุตฺโต'ติฯ สเจ หิ มยํ ชาเนยฺยาม ‘อายสฺมา สาริปุตฺโต'ติ, เอตฺตกมฺปิ โน นปฺปฏิภาเสยฺยฯ อจฺฉริยํ, อาวุโส, อพฺภุตํ, อาวุโสฯ ยถา ตํ สุตวตา สาวเกน สมฺมเทว สตฺถุสาสนํ อาชานนฺเตน, เอวเมว อายสฺมตา สาริปุตฺเตน คมฺภีรา คมฺภีรปญฺหา อนุมสฺส อนุมสฺส ปุจฺฉิตาฯ ลาภา สพฺรหฺมจารีนํ สุลทฺธลาภา สพฺรหฺมจารีนํ, เย อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตํ ลภนฺติ ทสฺสนาย, ลภนฺติ ปยิรูปาสนายฯ เจลณฺฑุเกน เจปิ สพฺรหฺมจารี อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตํ มุทฺธนา ปริหรนฺตา ลเภยฺยุํ ทสฺสนาย, ลเภยฺยุํ ปยิรูปาสนาย, เตสมฺปิ ลาภา เตสมฺปิ สุลทฺธํ, อมฺหากมฺปิ ลาภา อมฺหากมฺปิ สุลทฺธํ, เย มยํ อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตํ ลภาม ทสฺสนาย, ลภาม ปยิรูปาสนายา”ติฯ

    “Goodness! I had no idea I was consulting with the Venerable Sāriputta, the disciple who is fit to be compared with the Teacher himself! If I’d known, I wouldn’t have said so much. It’s incredible, friend, it’s amazing! Venerable Sāriputta has asked each deep question point by point, as a learned disciple who rightly understands the teacher’s instructions. It is fortunate for his spiritual companions, so very fortunate, that they get to see Venerable Sāriputta and pay homage to him. Even if they only got to see him and pay respects to him by carrying him around on their heads on a roll of cloth, it would still be very fortunate for them! And it’s fortunate for me, so very fortunate, that I get to see the venerable and pay homage to him.”

    อิติห เต อุโภปิ มหานาคา อญฺญมญฺญสฺส สุภาสิตํ สมนุโมทึสูติฯ

    And so these two spiritual giants agreed with each others’ fine words.

    รถวินีตสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ จตุตฺถํฯ





    The authoritative text of the Majjhima Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]


    © 1991-2024 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact