Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya |
๔. รถวินีตสุตฺตํ
4. Rathavinītasuttaṃ
๒๕๒. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา ราชคเห วิหรติ เวฬุวเน กลนฺทกนิวาเปฯ อถ โข สมฺพหุลา ชาติภูมกา ภิกฺขู ชาติภูมิยํ วสฺสํวุฎฺฐา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิํสุ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํสุฯ เอกมนฺตํ นิสิเนฺน โข เต ภิกฺขู ภควา เอตทโวจ –
252. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā rājagahe viharati veḷuvane kalandakanivāpe. Atha kho sambahulā jātibhūmakā bhikkhū jātibhūmiyaṃ vassaṃvuṭṭhā yena bhagavā tenupasaṅkamiṃsu; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdiṃsu. Ekamantaṃ nisinne kho te bhikkhū bhagavā etadavoca –
‘‘โก นุ โข, ภิกฺขเว, ชาติภูมิยํ ชาติภูมกานํ ภิกฺขูนํ สพฺรหฺมจารีนํ เอวํ สมฺภาวิโต – ‘อตฺตนา จ อปฺปิโจฺฉ อปฺปิจฺฉกถญฺจ ภิกฺขูนํ กตฺตา, อตฺตนา จ สนฺตุโฎฺฐ สนฺตุฎฺฐิกถญฺจ ภิกฺขูนํ กตฺตา, อตฺตนา จ ปวิวิโตฺต ปวิเวกกถญฺจ ภิกฺขูนํ กตฺตา, อตฺตนา จ อสํสโฎฺฐ อสํสคฺคกถญฺจ ภิกฺขูนํ กตฺตา, อตฺตนา จ อารทฺธวีริโย วีริยารมฺภกถญฺจ ภิกฺขูนํ กตฺตา, อตฺตนา จ สีลสมฺปโนฺน สีลสมฺปทากถญฺจ ภิกฺขูนํ กตฺตา, อตฺตนา จ สมาธิสมฺปโนฺน สมาธิสมฺปทากถญฺจ ภิกฺขูนํ กตฺตา, อตฺตนา จ ปญฺญาสมฺปโนฺน ปญฺญาสมฺปทากถญฺจ ภิกฺขูนํ กตฺตา, อตฺตนา จ วิมุตฺติสมฺปโนฺน วิมุตฺติสมฺปทากถญฺจ ภิกฺขูนํ กตฺตา, อตฺตนา จ วิมุตฺติญาณทสฺสนสมฺปโนฺน วิมุตฺติญาณทสฺสนสมฺปทากถญฺจ ภิกฺขูนํ กตฺตา, โอวาทโก วิญฺญาปโก สนฺทสฺสโก สมาทปโก สมุเตฺตชโก สมฺปหํสโก สพฺรหฺมจารีน’’’นฺติ? ‘‘ปุโณฺณ นาม, ภเนฺต, อายสฺมา มนฺตาณิปุโตฺต ชาติภูมิยํ ชาติภูมกานํ ภิกฺขูนํ สพฺรหฺมจารีนํ เอวํ สมฺภาวิโต – ‘อตฺตนา จ อปฺปิโจฺฉ อปฺปิจฺฉกถญฺจ ภิกฺขูนํ กตฺตา, อตฺตนา จ สนฺตุโฎฺฐ…เป.… โอวาทโก วิญฺญาปโก สนฺทสฺสโก สมาทปโก สมุเตฺตชโก สมฺปหํสโก สพฺรหฺมจารีน’’’นฺติฯ
‘‘Ko nu kho, bhikkhave, jātibhūmiyaṃ jātibhūmakānaṃ bhikkhūnaṃ sabrahmacārīnaṃ evaṃ sambhāvito – ‘attanā ca appiccho appicchakathañca bhikkhūnaṃ kattā, attanā ca santuṭṭho santuṭṭhikathañca bhikkhūnaṃ kattā, attanā ca pavivitto pavivekakathañca bhikkhūnaṃ kattā, attanā ca asaṃsaṭṭho asaṃsaggakathañca bhikkhūnaṃ kattā, attanā ca āraddhavīriyo vīriyārambhakathañca bhikkhūnaṃ kattā, attanā ca sīlasampanno sīlasampadākathañca bhikkhūnaṃ kattā, attanā ca samādhisampanno samādhisampadākathañca bhikkhūnaṃ kattā, attanā ca paññāsampanno paññāsampadākathañca bhikkhūnaṃ kattā, attanā ca vimuttisampanno vimuttisampadākathañca bhikkhūnaṃ kattā, attanā ca vimuttiñāṇadassanasampanno vimuttiñāṇadassanasampadākathañca bhikkhūnaṃ kattā, ovādako viññāpako sandassako samādapako samuttejako sampahaṃsako sabrahmacārīna’’’nti? ‘‘Puṇṇo nāma, bhante, āyasmā mantāṇiputto jātibhūmiyaṃ jātibhūmakānaṃ bhikkhūnaṃ sabrahmacārīnaṃ evaṃ sambhāvito – ‘attanā ca appiccho appicchakathañca bhikkhūnaṃ kattā, attanā ca santuṭṭho…pe… ovādako viññāpako sandassako samādapako samuttejako sampahaṃsako sabrahmacārīna’’’nti.
๒๕๓. เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา สาริปุโตฺต ภควโต อวิทูเร นิสิโนฺน โหติฯ อถ โข อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺส เอตทโหสิ – ‘‘ลาภา อายสฺมโต ปุณฺณสฺส มนฺตาณิปุตฺตสฺส, สุลทฺธลาภา อายสฺมโต ปุณฺณสฺส มนฺตาณิปุตฺตสฺส, ยสฺส วิญฺญู สพฺรหฺมจารี สตฺถุ สมฺมุขา อนุมสฺส อนุมสฺส วณฺณํ ภาสนฺติ, ตญฺจ สตฺถา อพฺภนุโมทติฯ อเปฺปว นาม มยมฺปิ กทาจิ กรหจิ อายสฺมตา ปุเณฺณน มนฺตาณิปุเตฺตน สทฺธิํ สมาคเจฺฉยฺยาม 1, อเปฺปว นาม สิยา โกจิเทว กถาสลฺลาโป’’ติฯ
253. Tena kho pana samayena āyasmā sāriputto bhagavato avidūre nisinno hoti. Atha kho āyasmato sāriputtassa etadahosi – ‘‘lābhā āyasmato puṇṇassa mantāṇiputtassa, suladdhalābhā āyasmato puṇṇassa mantāṇiputtassa, yassa viññū sabrahmacārī satthu sammukhā anumassa anumassa vaṇṇaṃ bhāsanti, tañca satthā abbhanumodati. Appeva nāma mayampi kadāci karahaci āyasmatā puṇṇena mantāṇiputtena saddhiṃ samāgaccheyyāma 2, appeva nāma siyā kocideva kathāsallāpo’’ti.
๒๕๔. อถ โข ภควา ราชคเห ยถาภิรนฺตํ วิหริตฺวา เยน สาวตฺถิ เตน จาริกํ ปกฺกามิฯ อนุปุเพฺพน จาริกํ จรมาโน เยน สาวตฺถิ ตทวสริฯ ตตฺร สุทํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมฯ อโสฺสสิ โข อายสฺมา ปุโณฺณ มนฺตาณิปุโตฺต – ‘‘ภควา กิร สาวตฺถิํ อนุปฺปโตฺต; สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเม’’ติฯ
254. Atha kho bhagavā rājagahe yathābhirantaṃ viharitvā yena sāvatthi tena cārikaṃ pakkāmi. Anupubbena cārikaṃ caramāno yena sāvatthi tadavasari. Tatra sudaṃ bhagavā sāvatthiyaṃ viharati jetavane anāthapiṇḍikassa ārāme. Assosi kho āyasmā puṇṇo mantāṇiputto – ‘‘bhagavā kira sāvatthiṃ anuppatto; sāvatthiyaṃ viharati jetavane anāthapiṇḍikassa ārāme’’ti.
๒๕๕. อถ โข อายสฺมา ปุโณฺณ มนฺตาณิปุโตฺต เสนาสนํ สํสาเมตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย เยน สาวตฺถิ เตน จาริกํ ปกฺกามิฯ อนุปุเพฺพน จาริกํ จรมาโน เยน สาวตฺถิ เชตวนํ อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราโม เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข อายสฺมนฺตํ ปุณฺณํ มนฺตาณิปุตฺตํ ภควา ธมฺมิยา กถาย สนฺทเสฺสสิ สมาทเปสิ สมุเตฺตเชสิ สมฺปหํเสสิฯ อถ โข อายสฺมา ปุโณฺณ มนฺตาณิปุโตฺต ภควตา ธมฺมิยา กถาย สนฺทสฺสิโต สมาทปิโต สมุเตฺตชิโต สมฺปหํสิโต ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา อุฎฺฐายาสนา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา เยน อนฺธวนํ เตนุปสงฺกมิ ทิวาวิหารายฯ
255. Atha kho āyasmā puṇṇo mantāṇiputto senāsanaṃ saṃsāmetvā pattacīvaramādāya yena sāvatthi tena cārikaṃ pakkāmi. Anupubbena cārikaṃ caramāno yena sāvatthi jetavanaṃ anāthapiṇḍikassa ārāmo yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinnaṃ kho āyasmantaṃ puṇṇaṃ mantāṇiputtaṃ bhagavā dhammiyā kathāya sandassesi samādapesi samuttejesi sampahaṃsesi. Atha kho āyasmā puṇṇo mantāṇiputto bhagavatā dhammiyā kathāya sandassito samādapito samuttejito sampahaṃsito bhagavato bhāsitaṃ abhinanditvā anumoditvā uṭṭhāyāsanā bhagavantaṃ abhivādetvā padakkhiṇaṃ katvā yena andhavanaṃ tenupasaṅkami divāvihārāya.
๒๕๖. อถ โข อญฺญตโร ภิกฺขุ เยนายสฺมา สาริปุโตฺต เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตํ เอตทโวจ – ‘‘ยสฺส โข ตฺวํ, อาวุโส สาริปุตฺต, ปุณฺณสฺส นาม ภิกฺขุโน มนฺตาณิปุตฺตสฺส อภิณฺหํ กิตฺตยมาโน อโหสิ, โส ภควตา ธมฺมิยา กถาย สนฺทสฺสิโต สมาทปิโต สมุเตฺตชิโต สมฺปหํสิโต ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา อุฎฺฐายาสนา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา เยน อนฺธวนํ เตน ปกฺกโนฺต ทิวาวิหารายา’’ติฯ
256. Atha kho aññataro bhikkhu yenāyasmā sāriputto tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā āyasmantaṃ sāriputtaṃ etadavoca – ‘‘yassa kho tvaṃ, āvuso sāriputta, puṇṇassa nāma bhikkhuno mantāṇiputtassa abhiṇhaṃ kittayamāno ahosi, so bhagavatā dhammiyā kathāya sandassito samādapito samuttejito sampahaṃsito bhagavato bhāsitaṃ abhinanditvā anumoditvā uṭṭhāyāsanā bhagavantaṃ abhivādetvā padakkhiṇaṃ katvā yena andhavanaṃ tena pakkanto divāvihārāyā’’ti.
อถ โข อายสฺมา สาริปุโตฺต ตรมานรูโป นิสีทนํ อาทาย อายสฺมนฺตํ ปุณฺณํ มนฺตาณิปุตฺตํ ปิฎฺฐิโต ปิฎฺฐิโต อนุพนฺธิ สีสานุโลกีฯ อถ โข อายสฺมา ปุโณฺณ มนฺตาณิปุโตฺต อนฺธวนํ อโชฺฌคาเหตฺวา อญฺญตรสฺมิํ รุกฺขมูเล ทิวาวิหารํ นิสีทิฯ อายสฺมาปิ โข สาริปุโตฺต อนฺธวนํ อโชฺฌคาเหตฺวา อญฺญตรสฺมิํ รุกฺขมูเล ทิวาวิหารํ นิสีทิฯ
Atha kho āyasmā sāriputto taramānarūpo nisīdanaṃ ādāya āyasmantaṃ puṇṇaṃ mantāṇiputtaṃ piṭṭhito piṭṭhito anubandhi sīsānulokī. Atha kho āyasmā puṇṇo mantāṇiputto andhavanaṃ ajjhogāhetvā aññatarasmiṃ rukkhamūle divāvihāraṃ nisīdi. Āyasmāpi kho sāriputto andhavanaṃ ajjhogāhetvā aññatarasmiṃ rukkhamūle divāvihāraṃ nisīdi.
อถ โข อายสฺมา สาริปุโตฺต สายนฺหสมยํ ปฎิสลฺลานา วุฎฺฐิโต เยนายสฺมา ปุโณฺณ มนฺตาณิปุโตฺต เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมตา ปุเณฺณน มนฺตาณิปุเตฺตน สทฺธิํ สโมฺมทิฯ สโมฺมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข อายสฺมา สาริปุโตฺต อายสฺมนฺตํ ปุณฺณํ มนฺตาณิปุตฺตํ เอตทโวจ –
Atha kho āyasmā sāriputto sāyanhasamayaṃ paṭisallānā vuṭṭhito yenāyasmā puṇṇo mantāṇiputto tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā āyasmatā puṇṇena mantāṇiputtena saddhiṃ sammodi. Sammodanīyaṃ kathaṃ sāraṇīyaṃ vītisāretvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho āyasmā sāriputto āyasmantaṃ puṇṇaṃ mantāṇiputtaṃ etadavoca –
๒๕๗. ‘‘ภควติ โน, อาวุโส, พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี’’ติ?
257. ‘‘Bhagavati no, āvuso, brahmacariyaṃ vussatī’’ti?
‘‘เอวมาวุโส’’ติฯ
‘‘Evamāvuso’’ti.
‘‘กิํ นุ โข, อาวุโส, สีลวิสุทฺธตฺถํ ภควติ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี’’ติ?
‘‘Kiṃ nu kho, āvuso, sīlavisuddhatthaṃ bhagavati brahmacariyaṃ vussatī’’ti?
‘‘โน หิทํ, อาวุโส’’ฯ
‘‘No hidaṃ, āvuso’’.
‘‘กิํ ปนาวุโส, จิตฺตวิสุทฺธตฺถํ ภควติ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี’’ติ?
‘‘Kiṃ panāvuso, cittavisuddhatthaṃ bhagavati brahmacariyaṃ vussatī’’ti?
‘‘โน หิทํ, อาวุโส’’ฯ
‘‘No hidaṃ, āvuso’’.
‘‘กิํ นุ โข, อาวุโส, ทิฎฺฐิวิสุทฺธตฺถํ ภควติ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี’’ติ?
‘‘Kiṃ nu kho, āvuso, diṭṭhivisuddhatthaṃ bhagavati brahmacariyaṃ vussatī’’ti?
‘‘โน หิทํ, อาวุโส’’ฯ
‘‘No hidaṃ, āvuso’’.
‘‘กิํ ปนาวุโส, กงฺขาวิตรณวิสุทฺธตฺถํ ภควติ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี’’ติ?
‘‘Kiṃ panāvuso, kaṅkhāvitaraṇavisuddhatthaṃ bhagavati brahmacariyaṃ vussatī’’ti?
‘‘โน หิทํ, อาวุโส’’ฯ
‘‘No hidaṃ, āvuso’’.
‘‘กิํ นุ โข, อาวุโส, มคฺคามคฺคญาณทสฺสนวิสุทฺธตฺถํ ภควติ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี’’ติ?
‘‘Kiṃ nu kho, āvuso, maggāmaggañāṇadassanavisuddhatthaṃ bhagavati brahmacariyaṃ vussatī’’ti?
‘‘โน หิทํ, อาวุโส’’ฯ
‘‘No hidaṃ, āvuso’’.
‘‘กิํ ปนาวุโส, ปฎิปทาญาณทสฺสนวิสุทฺธตฺถํ ภควติ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี’’ติ?
‘‘Kiṃ panāvuso, paṭipadāñāṇadassanavisuddhatthaṃ bhagavati brahmacariyaṃ vussatī’’ti?
‘‘โน หิทํ, อาวุโส’’ฯ
‘‘No hidaṃ, āvuso’’.
‘‘กิํ นุ โข, อาวุโส, ญาณทสฺสนวิสุทฺธตฺถํ ภควติ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี’’ติ?
‘‘Kiṃ nu kho, āvuso, ñāṇadassanavisuddhatthaṃ bhagavati brahmacariyaṃ vussatī’’ti?
‘‘โน หิทํ, อาวุโส’’ฯ
‘‘No hidaṃ, āvuso’’.
‘‘‘กิํ นุ โข, อาวุโส, สีลวิสุทฺธตฺถํ ภควติ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี’ติ อิติ ปุโฎฺฐ สมาโน ‘โน หิทํ, อาวุโส’ติ วเทสิฯ ‘กิํ ปนาวุโส, จิตฺตวิสุทฺธตฺถํ ภควติ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี’ติ อิติ ปุโฎฺฐ สมาโน ‘โน หิทํ, อาวุโส’ติ วเทสิฯ ‘กิํ นุ โข, อาวุโส, ทิฎฺฐิวิสุทฺธตฺถํ…เป.… กงฺขาวิตรณวิสุทฺธตฺถํ…เป.… มคฺคามคฺคญาณทสฺสนวิสุทฺธตฺถํ…เป.… ปฎิปทาญาณทสฺสนวิสุทฺธตฺถํ…เป.… กิํ นุ โข, อาวุโส, ญาณทสฺสนวิสุทฺธตฺถํ ภควติ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี’ติ อิติ ปุโฎฺฐ สมาโน ‘โน หิทํ อาวุโส’ติ วเทสิฯ กิมตฺถํ จรหาวุโส, ภควติ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี’’ติ? ‘‘อนุปาทาปรินิพฺพานตฺถํ โข, อาวุโส, ภควติ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี’’ติฯ
‘‘‘Kiṃ nu kho, āvuso, sīlavisuddhatthaṃ bhagavati brahmacariyaṃ vussatī’ti iti puṭṭho samāno ‘no hidaṃ, āvuso’ti vadesi. ‘Kiṃ panāvuso, cittavisuddhatthaṃ bhagavati brahmacariyaṃ vussatī’ti iti puṭṭho samāno ‘no hidaṃ, āvuso’ti vadesi. ‘Kiṃ nu kho, āvuso, diṭṭhivisuddhatthaṃ…pe… kaṅkhāvitaraṇavisuddhatthaṃ…pe… maggāmaggañāṇadassanavisuddhatthaṃ…pe… paṭipadāñāṇadassanavisuddhatthaṃ…pe… kiṃ nu kho, āvuso, ñāṇadassanavisuddhatthaṃ bhagavati brahmacariyaṃ vussatī’ti iti puṭṭho samāno ‘no hidaṃ āvuso’ti vadesi. Kimatthaṃ carahāvuso, bhagavati brahmacariyaṃ vussatī’’ti? ‘‘Anupādāparinibbānatthaṃ kho, āvuso, bhagavati brahmacariyaṃ vussatī’’ti.
‘‘กิํ นุ โข, อาวุโส, สีลวิสุทฺธิ อนุปาทาปรินิพฺพาน’’นฺติ?
‘‘Kiṃ nu kho, āvuso, sīlavisuddhi anupādāparinibbāna’’nti?
‘‘โน หิทํ, อาวุโส’’ฯ
‘‘No hidaṃ, āvuso’’.
‘‘กิํ ปนาวุโส, จิตฺตวิสุทฺธิ อนุปาทาปรินิพฺพาน’’นฺติ?
‘‘Kiṃ panāvuso, cittavisuddhi anupādāparinibbāna’’nti?
‘‘โน หิทํ, อาวุโส’’ฯ
‘‘No hidaṃ, āvuso’’.
‘‘กิํ นุ โข, อาวุโส, ทิฎฺฐิวิสุทฺธิ อนุปาทาปรินิพฺพาน’’นฺติ?
‘‘Kiṃ nu kho, āvuso, diṭṭhivisuddhi anupādāparinibbāna’’nti?
‘‘โน หิทํ, อาวุโส’’ฯ
‘‘No hidaṃ, āvuso’’.
‘‘กิํ ปนาวุโส กงฺขาวิตรณวิสุทฺธิ อนุปาทาปรินิพฺพาน’’นฺติ ?
‘‘Kiṃ panāvuso kaṅkhāvitaraṇavisuddhi anupādāparinibbāna’’nti ?
‘‘โน หิทํ, อาวุโส’’ฯ
‘‘No hidaṃ, āvuso’’.
‘‘กิํ นุ โข, อาวุโส, มคฺคามคฺคญาณทสฺสนวิสุทฺธิ อนุปาทาปรินิพฺพาน’’นฺติ?
‘‘Kiṃ nu kho, āvuso, maggāmaggañāṇadassanavisuddhi anupādāparinibbāna’’nti?
‘‘โน หิทํ, อาวุโส’’ฯ
‘‘No hidaṃ, āvuso’’.
‘‘กิํ ปนาวุโส, ปฎิปทาญาณทสฺสนวิสุทฺธิ อนุปาทาปรินิพฺพาน’’นฺติ?
‘‘Kiṃ panāvuso, paṭipadāñāṇadassanavisuddhi anupādāparinibbāna’’nti?
‘‘โน หิทํ, อาวุโส’’ฯ
‘‘No hidaṃ, āvuso’’.
‘‘กิํ นุ โข, อาวุโส, ญาณทสฺสนวิสุทฺธิ อนุปาทาปรินิพฺพาน’’นฺติ?
‘‘Kiṃ nu kho, āvuso, ñāṇadassanavisuddhi anupādāparinibbāna’’nti?
‘‘โน หิทํ , อาวุโส’’ฯ
‘‘No hidaṃ , āvuso’’.
‘‘กิํ ปนาวุโส, อญฺญตฺร อิเมหิ ธเมฺมหิ อนุปาทาปรินิพฺพาน’’นฺติ?
‘‘Kiṃ panāvuso, aññatra imehi dhammehi anupādāparinibbāna’’nti?
‘‘โน หิทํ, อาวุโส’’ฯ
‘‘No hidaṃ, āvuso’’.
‘‘‘กิํ นุ โข, อาวุโส, สีลวิสุทฺธิ อนุปาทาปรินิพฺพาน’นฺติ อิติ ปุโฎฺฐ สมาโน ‘โน หิทํ, อาวุโส’ติ วเทสิฯ ‘กิํ ปนาวุโส, จิตฺตวิสุทฺธิ อนุปาทาปรินิพฺพาน’นฺติ อิติ ปุโฎฺฐ สมาโน ‘โน หิทํ, อาวุโส’ติ วเทสิฯ ‘กิํ นุ โข, อาวุโส, ทิฎฺฐิวิสุทฺธิ อนุปาทาปรินิพฺพาน’นฺติ…เป.… กงฺขาวิตรณวิสุทฺธิ… มคฺคามคฺคญาณทสฺสนวิสุทฺธิ… ปฎิปทาญาณทสฺสนวิสุทฺธิ… ‘กิํ นุ โข, อาวุโส, ญาณทสฺสนวิสุทฺธิ อนุปาทาปรินิพฺพาน’นฺติ อิติ ปุโฎฺฐ สมาโน ‘โน หิทํ, อาวุโส’ติ วเทสิฯ ‘กิํ ปนาวุโส, อญฺญตฺร อิเมหิ ธเมฺมหิ อนุปาทาปรินิพฺพาน’นฺติ อิติ ปุโฎฺฐ สมาโน ‘โน หิทํ, อาวุโส’ติ วเทสิฯ ยถากถํ ปนาวุโส, อิมสฺส ภาสิตสฺส อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพ’’ติ?
‘‘‘Kiṃ nu kho, āvuso, sīlavisuddhi anupādāparinibbāna’nti iti puṭṭho samāno ‘no hidaṃ, āvuso’ti vadesi. ‘Kiṃ panāvuso, cittavisuddhi anupādāparinibbāna’nti iti puṭṭho samāno ‘no hidaṃ, āvuso’ti vadesi. ‘Kiṃ nu kho, āvuso, diṭṭhivisuddhi anupādāparinibbāna’nti…pe… kaṅkhāvitaraṇavisuddhi… maggāmaggañāṇadassanavisuddhi… paṭipadāñāṇadassanavisuddhi… ‘kiṃ nu kho, āvuso, ñāṇadassanavisuddhi anupādāparinibbāna’nti iti puṭṭho samāno ‘no hidaṃ, āvuso’ti vadesi. ‘Kiṃ panāvuso, aññatra imehi dhammehi anupādāparinibbāna’nti iti puṭṭho samāno ‘no hidaṃ, āvuso’ti vadesi. Yathākathaṃ panāvuso, imassa bhāsitassa attho daṭṭhabbo’’ti?
๒๕๘. ‘‘สีลวิสุทฺธิํ เจ, อาวุโส, ภควา อนุปาทาปรินิพฺพานํ ปญฺญเปยฺย, สอุปาทานํเยว สมานํ อนุปาทาปรินิพฺพานํ ปญฺญเปยฺย 3ฯ จิตฺตวิสุทฺธิํ เจ, อาวุโส, ภควา อนุปาทาปรินิพฺพานํ ปญฺญเปยฺย, สอุปาทานํเยว สมานํ อนุปาทาปรินิพฺพานํ ปญฺญเปยฺยฯ ทิฎฺฐิวิสุทฺธิํ เจ, อาวุโส, ภควา อนุปาทาปรินิพฺพานํ ปญฺญเปยฺย, สอุปาทานํเยว สมานํ อนุปาทาปรินิพฺพานํ ปญฺญเปยฺยฯ กงฺขาวิตรณวิสุทฺธิํ เจ, อาวุโส, ภควา อนุปาทาปรินิพฺพานํ ปญฺญเปยฺย, สอุปาทานํเยว สมานํ อนุปาทาปรินิพฺพานํ ปญฺญเปยฺย ฯ มคฺคามคฺคญาณทสฺสนวิสุทฺธิํ เจ, อาวุโส, ภควา อนุปาทาปรินิพฺพานํ ปญฺญเปยฺย, สอุปาทานํเยว สมานํ อนุปาทาปรินิพฺพานํ ปญฺญเปยฺยฯ ปฎิปทาญาณทสฺสนวิสุทฺธิํ เจ, อาวุโส, ภควา อนุปาทาปรินิพฺพานํ ปญฺญเปยฺย, สอุปาทานํเยว สมานํ อนุปาทาปรินิพฺพานํ ปญฺญเปยฺยฯ ญาณทสฺสนวิสุทฺธิํ เจ, อาวุโส, ภควา อนุปาทาปรินิพฺพานํ ปญฺญเปยฺย, สอุปาทานํเยว สมานํ อนุปาทาปรินิพฺพานํ ปญฺญเปยฺยฯ อญฺญตฺร เจ, อาวุโส, อิเมหิ ธเมฺมหิ อนุปาทาปรินิพฺพานํ อภวิสฺส, ปุถุชฺชโน ปรินิพฺพาเยยฺยฯ ปุถุชฺชโน หิ, อาวุโส, อญฺญตฺร อิเมหิ ธเมฺมหิฯ เตน หาวุโส, อุปมํ เต กริสฺสามิ; อุปมายปิเธกเจฺจ วิญฺญู ปุริสา ภาสิตสฺส อตฺถํ อาชานนฺติฯ
258. ‘‘Sīlavisuddhiṃ ce, āvuso, bhagavā anupādāparinibbānaṃ paññapeyya, saupādānaṃyeva samānaṃ anupādāparinibbānaṃ paññapeyya 4. Cittavisuddhiṃ ce, āvuso, bhagavā anupādāparinibbānaṃ paññapeyya, saupādānaṃyeva samānaṃ anupādāparinibbānaṃ paññapeyya. Diṭṭhivisuddhiṃ ce, āvuso, bhagavā anupādāparinibbānaṃ paññapeyya, saupādānaṃyeva samānaṃ anupādāparinibbānaṃ paññapeyya. Kaṅkhāvitaraṇavisuddhiṃ ce, āvuso, bhagavā anupādāparinibbānaṃ paññapeyya, saupādānaṃyeva samānaṃ anupādāparinibbānaṃ paññapeyya . Maggāmaggañāṇadassanavisuddhiṃ ce, āvuso, bhagavā anupādāparinibbānaṃ paññapeyya, saupādānaṃyeva samānaṃ anupādāparinibbānaṃ paññapeyya. Paṭipadāñāṇadassanavisuddhiṃ ce, āvuso, bhagavā anupādāparinibbānaṃ paññapeyya, saupādānaṃyeva samānaṃ anupādāparinibbānaṃ paññapeyya. Ñāṇadassanavisuddhiṃ ce, āvuso, bhagavā anupādāparinibbānaṃ paññapeyya, saupādānaṃyeva samānaṃ anupādāparinibbānaṃ paññapeyya. Aññatra ce, āvuso, imehi dhammehi anupādāparinibbānaṃ abhavissa, puthujjano parinibbāyeyya. Puthujjano hi, āvuso, aññatra imehi dhammehi. Tena hāvuso, upamaṃ te karissāmi; upamāyapidhekacce viññū purisā bhāsitassa atthaṃ ājānanti.
๒๕๙. ‘‘เสยฺยถาปิ, อาวุโส, รโญฺญ ปเสนทิสฺส โกสลสฺส สาวตฺถิยํ ปฎิวสนฺตสฺส สาเกเต กิญฺจิเทว อจฺจายิกํ กรณียํ อุปฺปเชฺชยฺยฯ ตสฺส อนฺตรา จ สาวตฺถิํ อนฺตรา จ สาเกตํ สตฺต รถวินีตานิ อุปฎฺฐเปยฺยุํฯ อถ โข, อาวุโส, ราชา ปเสนทิ โกสโล สาวตฺถิยา นิกฺขมิตฺวา อเนฺตปุรทฺวารา ปฐมํ รถวินีตํ อภิรุเหยฺย, ปฐเมน รถวินีเตน ทุติยํ รถวินีตํ ปาปุเณยฺย, ปฐมํ รถวินีตํ วิสฺสเชฺชยฺย ทุติยํ รถวินีตํ อภิรุเหยฺยฯ ทุติเยน รถวินีเตน ตติยํ รถวินีตํ ปาปุเณยฺย, ทุติยํ รถวินีตํ วิสฺสเชฺชยฺย, ตติยํ รถวินีตํ อภิรุเหยฺยฯ ตติเยน รถวินีเตน จตุตฺถํ รถวินีตํ ปาปุเณยฺย, ตติยํ รถวินีตํ วิสฺสเชฺชยฺย, จตุตฺถํ รถวินีตํ อภิรุเหยฺยฯ จตุเตฺถน รถวินีเตน ปญฺจมํ รถวินีตํ ปาปุเณยฺย, จตุตฺถํ รถวินีตํ วิสฺสเชฺชยฺย, ปญฺจมํ รถวินีตํ อภิรุเหยฺยฯ ปญฺจเมน รถวินีเตน ฉฎฺฐํ รถวินีตํ ปาปุเณยฺย, ปญฺจมํ รถวินีตํ วิสฺสเชฺชยฺย, ฉฎฺฐํ รถวินีตํ อภิรุเหยฺยฯ ฉเฎฺฐน รถวินีเตน สตฺตมํ รถวินีตํ ปาปุเณยฺย, ฉฎฺฐํ รถวินีตํ วิสฺสเชฺชยฺย, สตฺตมํ รถวินีตํ อภิรุเหยฺยฯ สตฺตเมน รถวินีเตน สาเกตํ อนุปาปุเณยฺย อเนฺตปุรทฺวารํฯ ตเมนํ อเนฺตปุรทฺวารคตํ สมานํ มิตฺตามจฺจา ญาติสาโลหิตา เอวํ ปุเจฺฉยฺยุํ – ‘อิมินา ตฺวํ, มหาราช, รถวินีเตน สาวตฺถิยา สาเกตํ อนุปฺปโตฺต อเนฺตปุรทฺวาร’นฺติ ? กถํ พฺยากรมาโน นุ โข, อาวุโส, ราชา ปเสนทิ โกสโล สมฺมา พฺยากรมาโน พฺยากเรยฺยา’’ติ?
259. ‘‘Seyyathāpi, āvuso, rañño pasenadissa kosalassa sāvatthiyaṃ paṭivasantassa sākete kiñcideva accāyikaṃ karaṇīyaṃ uppajjeyya. Tassa antarā ca sāvatthiṃ antarā ca sāketaṃ satta rathavinītāni upaṭṭhapeyyuṃ. Atha kho, āvuso, rājā pasenadi kosalo sāvatthiyā nikkhamitvā antepuradvārā paṭhamaṃ rathavinītaṃ abhiruheyya, paṭhamena rathavinītena dutiyaṃ rathavinītaṃ pāpuṇeyya, paṭhamaṃ rathavinītaṃ vissajjeyya dutiyaṃ rathavinītaṃ abhiruheyya. Dutiyena rathavinītena tatiyaṃ rathavinītaṃ pāpuṇeyya, dutiyaṃ rathavinītaṃ vissajjeyya, tatiyaṃ rathavinītaṃ abhiruheyya. Tatiyena rathavinītena catutthaṃ rathavinītaṃ pāpuṇeyya, tatiyaṃ rathavinītaṃ vissajjeyya, catutthaṃ rathavinītaṃ abhiruheyya. Catutthena rathavinītena pañcamaṃ rathavinītaṃ pāpuṇeyya, catutthaṃ rathavinītaṃ vissajjeyya, pañcamaṃ rathavinītaṃ abhiruheyya. Pañcamena rathavinītena chaṭṭhaṃ rathavinītaṃ pāpuṇeyya, pañcamaṃ rathavinītaṃ vissajjeyya, chaṭṭhaṃ rathavinītaṃ abhiruheyya. Chaṭṭhena rathavinītena sattamaṃ rathavinītaṃ pāpuṇeyya, chaṭṭhaṃ rathavinītaṃ vissajjeyya, sattamaṃ rathavinītaṃ abhiruheyya. Sattamena rathavinītena sāketaṃ anupāpuṇeyya antepuradvāraṃ. Tamenaṃ antepuradvāragataṃ samānaṃ mittāmaccā ñātisālohitā evaṃ puccheyyuṃ – ‘iminā tvaṃ, mahārāja, rathavinītena sāvatthiyā sāketaṃ anuppatto antepuradvāra’nti ? Kathaṃ byākaramāno nu kho, āvuso, rājā pasenadi kosalo sammā byākaramāno byākareyyā’’ti?
‘‘เอวํ พฺยากรมาโน โข, อาวุโส, ราชา ปเสนทิ โกสโล สมฺมา พฺยากรมาโน พฺยากเรยฺย – ‘อิธ เม สาวตฺถิยํ ปฎิวสนฺตสฺส สาเกเต กิญฺจิเทว อจฺจายิกํ กรณียํ อุปฺปชฺชิ 5ฯ ตสฺส เม อนฺตรา จ สาวตฺถิํ อนฺตรา จ สาเกตํ สตฺต รถวินีตานิ อุปฎฺฐเปสุํฯ อถ ขฺวาหํ สาวตฺถิยา นิกฺขมิตฺวา อเนฺตปุรทฺวารา ปฐมํ รถวินีตํ อภิรุหิํฯ ปฐเมน รถวินีเตน ทุติยํ รถวินีตํ ปาปุณิํ, ปฐมํ รถวินีตํ วิสฺสชฺชิํ ทุติยํ รถวินีตํ อภิรุหิํฯ ทุติเยน รถวินีเตน ตติยํ รถวินีตํ ปาปุณิํ, ทุติยํ รถวินีตํ วิสฺสชฺชิํ, ตติยํ รถวินีตํ อภิรุหิํฯ ตติเยน รถวินีเตน จตุตฺถํ รถวินีตํ ปาปุณิํ, ตติยํ รถวินีตํ วิสฺสชฺชิํ, จตุตฺถํ รถวินีตํ อภิรุหิํฯ จตุเตฺถน รถวินีเตน ปญฺจมํ รถวินีตํ ปาปุณิํ, จตุตฺถํ รถวินีตํ วิสฺสชฺชิํ, ปญฺจมํ รถวินีตํ อภิรุหิํฯ ปญฺจเมน รถวินีเตน ฉฎฺฐํ รถวินีตํ ปาปุณิํ, ปญฺจมํ รถวินีตํ วิสฺสชฺชิํ, ฉฎฺฐํ รถวินีตํ อภิรุหิํฯ ฉเฎฺฐน รถวินีเตน สตฺตมํ รถวินีตํ ปาปุณิํ, ฉฎฺฐํ รถวินีตํ วิสฺสชฺชิํ, สตฺตมํ รถวินีตํ อภิรุหิํฯ สตฺตเมน รถวินีเตน สาเกตํ อนุปฺปโตฺต อเนฺตปุรทฺวาร’นฺติฯ เอวํ พฺยากรมาโน โข, อาวุโส, ราชา ปเสนทิ โกสโล สมฺมา พฺยากรมาโน พฺยากเรยฺยา’’ติฯ
‘‘Evaṃ byākaramāno kho, āvuso, rājā pasenadi kosalo sammā byākaramāno byākareyya – ‘idha me sāvatthiyaṃ paṭivasantassa sākete kiñcideva accāyikaṃ karaṇīyaṃ uppajji 6. Tassa me antarā ca sāvatthiṃ antarā ca sāketaṃ satta rathavinītāni upaṭṭhapesuṃ. Atha khvāhaṃ sāvatthiyā nikkhamitvā antepuradvārā paṭhamaṃ rathavinītaṃ abhiruhiṃ. Paṭhamena rathavinītena dutiyaṃ rathavinītaṃ pāpuṇiṃ, paṭhamaṃ rathavinītaṃ vissajjiṃ dutiyaṃ rathavinītaṃ abhiruhiṃ. Dutiyena rathavinītena tatiyaṃ rathavinītaṃ pāpuṇiṃ, dutiyaṃ rathavinītaṃ vissajjiṃ, tatiyaṃ rathavinītaṃ abhiruhiṃ. Tatiyena rathavinītena catutthaṃ rathavinītaṃ pāpuṇiṃ, tatiyaṃ rathavinītaṃ vissajjiṃ, catutthaṃ rathavinītaṃ abhiruhiṃ. Catutthena rathavinītena pañcamaṃ rathavinītaṃ pāpuṇiṃ, catutthaṃ rathavinītaṃ vissajjiṃ, pañcamaṃ rathavinītaṃ abhiruhiṃ. Pañcamena rathavinītena chaṭṭhaṃ rathavinītaṃ pāpuṇiṃ, pañcamaṃ rathavinītaṃ vissajjiṃ, chaṭṭhaṃ rathavinītaṃ abhiruhiṃ. Chaṭṭhena rathavinītena sattamaṃ rathavinītaṃ pāpuṇiṃ, chaṭṭhaṃ rathavinītaṃ vissajjiṃ, sattamaṃ rathavinītaṃ abhiruhiṃ. Sattamena rathavinītena sāketaṃ anuppatto antepuradvāra’nti. Evaṃ byākaramāno kho, āvuso, rājā pasenadi kosalo sammā byākaramāno byākareyyā’’ti.
‘‘เอวเมว โข, อาวุโส, สีลวิสุทฺธิ ยาวเทว จิตฺตวิสุทฺธตฺถา, จิตฺตวิสุทฺธิ ยาวเทว ทิฎฺฐิวิสุทฺธตฺถา, ทิฎฺฐิวิสุทฺธิ ยาวเทว กงฺขาวิตรณวิสุทฺธตฺถา, กงฺขาวิตรณวิสุทฺธิ ยาวเทว มคฺคามคฺคญาณทสฺสนวิสุทฺธตฺถา, มคฺคามคฺคญาณทสฺสนวิสุทฺธิ ยาวเทว ปฎิปทาญาณทสฺสนวิสุทฺธตฺถา, ปฎิปทาญาณทสฺสนวิสุทฺธิ ยาวเทว ญาณทสฺสนวิสุทฺธตฺถา, ญาณทสฺสนวิสุทฺธิ ยาวเทว อนุปาทาปรินิพฺพานตฺถาฯ อนุปาทาปรินิพฺพานตฺถํ โข, อาวุโส, ภควติ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี’’ติฯ
‘‘Evameva kho, āvuso, sīlavisuddhi yāvadeva cittavisuddhatthā, cittavisuddhi yāvadeva diṭṭhivisuddhatthā, diṭṭhivisuddhi yāvadeva kaṅkhāvitaraṇavisuddhatthā, kaṅkhāvitaraṇavisuddhi yāvadeva maggāmaggañāṇadassanavisuddhatthā, maggāmaggañāṇadassanavisuddhi yāvadeva paṭipadāñāṇadassanavisuddhatthā, paṭipadāñāṇadassanavisuddhi yāvadeva ñāṇadassanavisuddhatthā, ñāṇadassanavisuddhi yāvadeva anupādāparinibbānatthā. Anupādāparinibbānatthaṃ kho, āvuso, bhagavati brahmacariyaṃ vussatī’’ti.
๒๖๐. เอวํ วุเตฺต, อายสฺมา สาริปุโตฺต อายสฺมนฺตํ ปุณฺณํ มนฺตาณิปุตฺตํ เอตทโวจ – ‘‘โกนาโม อายสฺมา, กถญฺจ ปนายสฺมนฺตํ สพฺรหฺมจารี ชานนฺตี’’ติ? ‘‘ปุโณฺณติ โข เม, อาวุโส, นามํ; มนฺตาณิปุโตฺตติ จ ปน มํ สพฺรหฺมจารี ชานนฺตี’’ติฯ ‘‘อจฺฉริยํ, อาวุโส, อพฺภุตํ, อาวุโส! ยถา ตํ สุตวตา สาวเกน สมฺมเทว สตฺถุสาสนํ อาชานเนฺตน, เอวเมว อายสฺมตา ปุเณฺณน มนฺตาณิปุเตฺตน คมฺภีรา คมฺภีรปญฺหา อนุมสฺส อนุมสฺส พฺยากตาฯ ลาภา สพฺรหฺมจารีนํ, สุลทฺธลาภา สพฺรหฺมจารีนํ, เย อายสฺมนฺตํ ปุณฺณํ มนฺตาณิปุตฺตํ ลภนฺติ ทสฺสนาย, ลภนฺติ ปยิรูปาสนายฯ เจลณฺฑุเกน 7 เจปิ สพฺรหฺมจารี อายสฺมนฺตํ ปุณฺณํ มนฺตาณิปุตฺตํ มุทฺธนา ปริหรนฺตา ลเภยฺยุํ ทสฺสนาย, ลเภยฺยุํ ปยิรูปาสนาย, เตสมฺปิ ลาภา เตสมฺปิ สุลทฺธํ, อมฺหากมฺปิ ลาภา อมฺหากมฺปิ สุลทฺธํ, เย มยํ อายสฺมนฺตํ ปุณฺณํ มนฺตาณิปุตฺตํ ลภาม ทสฺสนาย, ลภาม ปยิรูปาสนายา’’ติฯ
260. Evaṃ vutte, āyasmā sāriputto āyasmantaṃ puṇṇaṃ mantāṇiputtaṃ etadavoca – ‘‘konāmo āyasmā, kathañca panāyasmantaṃ sabrahmacārī jānantī’’ti? ‘‘Puṇṇoti kho me, āvuso, nāmaṃ; mantāṇiputtoti ca pana maṃ sabrahmacārī jānantī’’ti. ‘‘Acchariyaṃ, āvuso, abbhutaṃ, āvuso! Yathā taṃ sutavatā sāvakena sammadeva satthusāsanaṃ ājānantena, evameva āyasmatā puṇṇena mantāṇiputtena gambhīrā gambhīrapañhā anumassa anumassa byākatā. Lābhā sabrahmacārīnaṃ, suladdhalābhā sabrahmacārīnaṃ, ye āyasmantaṃ puṇṇaṃ mantāṇiputtaṃ labhanti dassanāya, labhanti payirūpāsanāya. Celaṇḍukena 8 cepi sabrahmacārī āyasmantaṃ puṇṇaṃ mantāṇiputtaṃ muddhanā pariharantā labheyyuṃ dassanāya, labheyyuṃ payirūpāsanāya, tesampi lābhā tesampi suladdhaṃ, amhākampi lābhā amhākampi suladdhaṃ, ye mayaṃ āyasmantaṃ puṇṇaṃ mantāṇiputtaṃ labhāma dassanāya, labhāma payirūpāsanāyā’’ti.
เอวํ วุเตฺต, อายสฺมา ปุโณฺณ มนฺตาณิปุโตฺต อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตํ เอตทโวจ – ‘‘โก นาโม อายสฺมา, กถญฺจ ปนายสฺมนฺตํ สพฺรหฺมจารี ชานนฺตี’’ติ? ‘‘อุปติโสฺสติ โข เม, อาวุโส, นามํ; สาริปุโตฺตติ จ ปน มํ สพฺรหฺมจารี ชานนฺตี’’ติฯ ‘‘สตฺถุกเปฺปน วต กิร, โภ 9, สาวเกน สทฺธิํ มนฺตยมานา น ชานิมฺห – ‘อายสฺมา สาริปุโตฺต’ติฯ สเจ หิ มยํ ชาเนยฺยาม ‘อายสฺมา สาริปุโตฺต’ติ, เอตฺตกมฺปิ โน นปฺปฎิภาเสยฺย 10ฯ อจฺฉริยํ, อาวุโส, อพฺภุตํ, อาวุโส! ยถา ตํ สุตวตา สาวเกน สมฺมเทว สตฺถุสาสนํ อาชานเนฺตน, เอวเมว อายสฺมตา สาริปุเตฺตน คมฺภีรา คมฺภีรปญฺหา อนุมสฺส อนุมสฺส ปุจฺฉิตาฯ ลาภา สพฺรหฺมจารีนํ สุลทฺธลาภา สพฺรหฺมจารีนํ, เย อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตํ ลภนฺติ ทสฺสนาย, ลภนฺติ ปยิรูปาสนายฯ เจลณฺฑุเกน เจปิ สพฺรหฺมจารี อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตํ มุทฺธนา ปริหรนฺตา ลเภยฺยุํ ทสฺสนาย, ลเภยฺยุํ ปยิรูปาสนาย, เตสมฺปิ ลาภา เตสมฺปิ สุลทฺธํ, อมฺหากมฺปิ ลาภา อมฺหากมฺปิ สุลทฺธํ, เย มยํ อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตํ ลภาม ทสฺสนาย, ลภาม ปยิรูปาสนายา’’ติฯ
Evaṃ vutte, āyasmā puṇṇo mantāṇiputto āyasmantaṃ sāriputtaṃ etadavoca – ‘‘ko nāmo āyasmā, kathañca panāyasmantaṃ sabrahmacārī jānantī’’ti? ‘‘Upatissoti kho me, āvuso, nāmaṃ; sāriputtoti ca pana maṃ sabrahmacārī jānantī’’ti. ‘‘Satthukappena vata kira, bho 11, sāvakena saddhiṃ mantayamānā na jānimha – ‘āyasmā sāriputto’ti. Sace hi mayaṃ jāneyyāma ‘āyasmā sāriputto’ti, ettakampi no nappaṭibhāseyya 12. Acchariyaṃ, āvuso, abbhutaṃ, āvuso! Yathā taṃ sutavatā sāvakena sammadeva satthusāsanaṃ ājānantena, evameva āyasmatā sāriputtena gambhīrā gambhīrapañhā anumassa anumassa pucchitā. Lābhā sabrahmacārīnaṃ suladdhalābhā sabrahmacārīnaṃ, ye āyasmantaṃ sāriputtaṃ labhanti dassanāya, labhanti payirūpāsanāya. Celaṇḍukena cepi sabrahmacārī āyasmantaṃ sāriputtaṃ muddhanā pariharantā labheyyuṃ dassanāya, labheyyuṃ payirūpāsanāya, tesampi lābhā tesampi suladdhaṃ, amhākampi lābhā amhākampi suladdhaṃ, ye mayaṃ āyasmantaṃ sāriputtaṃ labhāma dassanāya, labhāma payirūpāsanāyā’’ti.
อิติห เต อุโภปิ มหานาคา อญฺญมญฺญสฺส สุภาสิตํ สมนุโมทิํสูติฯ
Itiha te ubhopi mahānāgā aññamaññassa subhāsitaṃ samanumodiṃsūti.
รถวินีตสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ จตุตฺถํฯ
Rathavinītasuttaṃ niṭṭhitaṃ catutthaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๔. รถวินีตสุตฺตวณฺณนา • 4. Rathavinītasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๔. รถวินีตสุตฺตวณฺณนา • 4. Rathavinītasuttavaṇṇanā