Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) |
๔. รถวินีตสุตฺตวณฺณนา
4. Rathavinītasuttavaṇṇanā
๒๕๒. เอวํ เม สุตนฺติ รถวินีตสุตฺตํฯ ตตฺถ ราชคเหติ เอวํนามเก นคเร, ตญฺหิ มนฺธาตุมหาโควินฺทาทีหิ ปริคฺคหิตตฺตา ราชคหนฺติ วุจฺจติฯ อเญฺญเปตฺถ ปกาเร วณฺณยนฺติฯ กิํ เตหิ? นามเมตํ ตสฺส นครสฺสฯ ตํ ปเนตํ พุทฺธกาเล จ จกฺกวตฺติกาเล จ นครํ โหติ, เสสกาเล สุญฺญํ โหติ ยกฺขปริคฺคหิตํ, เตสํ วสนฺตวนํ หุตฺวา ติฎฺฐติฯ เวฬุวเน กลนฺทกนิวาเปติ เวฬุวนนฺติ ตสฺส อุยฺยานสฺส นามํ, ตํ กิร เวฬูหิ ปริกฺขิตฺตํ อโหสิ อฎฺฐารสหเตฺถน จ ปากาเรน, โคปุรฎฺฎาลกยุตฺตํ นีโลภาสํ มโนรมํ, เตน เวฬุวนนฺติ วุจฺจติฯ กลนฺทกานเญฺจตฺถ นิวาปํ อทํสุ, เตน กลนฺทกนิวาโปติ วุจฺจติฯ
252.Evaṃme sutanti rathavinītasuttaṃ. Tattha rājagaheti evaṃnāmake nagare, tañhi mandhātumahāgovindādīhi pariggahitattā rājagahanti vuccati. Aññepettha pakāre vaṇṇayanti. Kiṃ tehi? Nāmametaṃ tassa nagarassa. Taṃ panetaṃ buddhakāle ca cakkavattikāle ca nagaraṃ hoti, sesakāle suññaṃ hoti yakkhapariggahitaṃ, tesaṃ vasantavanaṃ hutvā tiṭṭhati. Veḷuvane kalandakanivāpeti veḷuvananti tassa uyyānassa nāmaṃ, taṃ kira veḷūhi parikkhittaṃ ahosi aṭṭhārasahatthena ca pākārena, gopuraṭṭālakayuttaṃ nīlobhāsaṃ manoramaṃ, tena veḷuvananti vuccati. Kalandakānañcettha nivāpaṃ adaṃsu, tena kalandakanivāpoti vuccati.
ปุเพฺพ กิร อญฺญตโร ราชา ตตฺถ อุยฺยานกีฬนตฺถํ อาคโต สุรามเทน มโตฺต ทิวาเสยฺยํ อุปคโต สุปิฯ ปริชโนปิสฺส, ‘‘สุโตฺต ราชา’’ติ ปุปฺผผลาทีหิ ปโลภิยมาโน อิโต จิโต จ ปกฺกามิ, อถ สุราคเนฺธน อญฺญตรสฺมา สุสิรรุกฺขา กณฺหสโปฺป นิกฺขมิตฺวา รญฺญาภิมุโข อาคจฺฉติฯ ตํ ทิสฺวา รุกฺขเทวตา, ‘‘รโญฺญ ชีวิตํ ทมฺมี’’ติ กาฬกเวเสน อาคนฺตฺวา กณฺณมูเล สทฺทมกาสิฯ ราชา ปฎิพุชฺฌิ, กณฺหสโปฺป นิวโตฺตฯ โส ตํ ทิสฺวา, ‘‘อิมาย มม ชีวิตํ ทินฺน’’นฺติ กาฬกานํ ตตฺถ นิวาปํ ปฎฺฐเปสิ, อภยโฆสนญฺจ โฆสาเปสิฯ ตสฺมา ตํ ตโต ปภุติ กลนฺทกนิวาปนฺติ สงฺขฺยํ คตํฯ กลนฺทกาติ กาฬกานํ นามํฯ
Pubbe kira aññataro rājā tattha uyyānakīḷanatthaṃ āgato surāmadena matto divāseyyaṃ upagato supi. Parijanopissa, ‘‘sutto rājā’’ti pupphaphalādīhi palobhiyamāno ito cito ca pakkāmi, atha surāgandhena aññatarasmā susirarukkhā kaṇhasappo nikkhamitvā raññābhimukho āgacchati. Taṃ disvā rukkhadevatā, ‘‘rañño jīvitaṃ dammī’’ti kāḷakavesena āgantvā kaṇṇamūle saddamakāsi. Rājā paṭibujjhi, kaṇhasappo nivatto. So taṃ disvā, ‘‘imāya mama jīvitaṃ dinna’’nti kāḷakānaṃ tattha nivāpaṃ paṭṭhapesi, abhayaghosanañca ghosāpesi. Tasmā taṃ tato pabhuti kalandakanivāpanti saṅkhyaṃ gataṃ. Kalandakāti kāḷakānaṃ nāmaṃ.
ชาติภูมิกาติ ชาติภูมิวาสิโนฯ ตตฺถ ชาติภูมีติ ชาตฎฺฐานํฯ ตํ โข ปเนตํ เนว โกสลมหาราชาทีนํ น จงฺกีพฺราหมณาทีนํ น สกฺกสุยามสนฺตุสิตาทีนํ น อสีติมหาสาวกาทีนํ น อเญฺญสํ สตฺตานํ ชาตฎฺฐานํ ‘‘ชาติภูมี’’ติ วุจฺจติฯ ยสฺส ปน ชาตทิวเส ทสสหสฺสิโลกธาตุ เอกทฺธชมาลาวิปฺปกิณฺณกุสุมวาสจุณฺณคนฺธสุคนฺธา สพฺพปาลิผุลฺลมิว นนฺทนวนํ วิโรจมานา ปทุมินิปเณฺณ อุทกพินฺทุ วิย อกมฺปิตฺถ, ชจฺจนฺธาทีนญฺจ รูปทสฺสนาทีนิ อเนกานิ ปาฎิหาริยานิ ปวตฺติํสุ, ตสฺส สพฺพญฺญุโพธิสตฺตสฺส ชาตฎฺฐานสากิยชนปโท กปิลวตฺถาหาโร, สา ‘‘ชาติภูมี’’ติ วุจฺจติฯ
Jātibhūmikāti jātibhūmivāsino. Tattha jātibhūmīti jātaṭṭhānaṃ. Taṃ kho panetaṃ neva kosalamahārājādīnaṃ na caṅkībrāhamaṇādīnaṃ na sakkasuyāmasantusitādīnaṃ na asītimahāsāvakādīnaṃ na aññesaṃ sattānaṃ jātaṭṭhānaṃ ‘‘jātibhūmī’’ti vuccati. Yassa pana jātadivase dasasahassilokadhātu ekaddhajamālāvippakiṇṇakusumavāsacuṇṇagandhasugandhā sabbapāliphullamiva nandanavanaṃ virocamānā paduminipaṇṇe udakabindu viya akampittha, jaccandhādīnañca rūpadassanādīni anekāni pāṭihāriyāni pavattiṃsu, tassa sabbaññubodhisattassa jātaṭṭhānasākiyajanapado kapilavatthāhāro, sā ‘‘jātibhūmī’’ti vuccati.
ธมฺมครุภาววณฺณนา
Dhammagarubhāvavaṇṇanā
วสฺสํวุฎฺฐาติ เตมาสํ วสฺสํวุฎฺฐา ปวาริตปวารณา หุตฺวาฯ ภควา เอตทโวจาติ ‘‘กจฺจิ, ภิกฺขเว, ขมนีย’’นฺติอาทีหิ วจเนหิ อาคนฺตุกปฎิสนฺถารํ กตฺวา เอตํ, ‘‘โก นุ โข, ภิกฺขเว’’ติอาทิวจนมโวจฯ เต กิร ภิกฺขุ, – ‘‘กจฺจิ, ภิกฺขเว, ขมนียํ กจฺจิ ยาปนียํ, กจฺจิตฺถ อปฺปกิลมเถน อทฺธานํ อาคตา, น จ ปิณฺฑเกน กิลมิตฺถ, กุโต จ ตุเมฺห, ภิกฺขเว, อาคจฺฉถา’’ติ ปฎิสนฺถารวเสน ปุจฺฉิตา – ‘‘ภควา สากิยชนปเท กปิลวตฺถาหารโต ชาติภูมิโต อาคจฺฉามา’’ติ อาหํสุฯ อถ ภควา เนว สุโทฺธทนมหาราชสฺส, น สโกฺกทนสฺส, น สุโกฺกทนสฺส, น โธโตทนสฺส, น อมิโตทนสฺส, น อมิตฺตาย เทวิยา, น มหาปชาปติยา, น สกลสฺส สากิยมณฺฑลสฺส อาโรคฺยํ ปุจฺฉิฯ อถ โข อตฺตนา จ ทสกถาวตฺถุลาภิํ ปรญฺจ ตตฺถ สมาทเปตารํ ปฎิปตฺติสมฺปนฺนํ ภิกฺขุํ ปุจฺฉโนฺต อิทํ – ‘‘โก นุ โข, ภิกฺขเว’’ติอาทิวจนํ อโวจฯ
Vassaṃvuṭṭhāti temāsaṃ vassaṃvuṭṭhā pavāritapavāraṇā hutvā. Bhagavā etadavocāti ‘‘kacci, bhikkhave, khamanīya’’ntiādīhi vacanehi āgantukapaṭisanthāraṃ katvā etaṃ, ‘‘ko nu kho, bhikkhave’’tiādivacanamavoca. Te kira bhikkhu, – ‘‘kacci, bhikkhave, khamanīyaṃ kacci yāpanīyaṃ, kaccittha appakilamathena addhānaṃ āgatā, na ca piṇḍakena kilamittha, kuto ca tumhe, bhikkhave, āgacchathā’’ti paṭisanthāravasena pucchitā – ‘‘bhagavā sākiyajanapade kapilavatthāhārato jātibhūmito āgacchāmā’’ti āhaṃsu. Atha bhagavā neva suddhodanamahārājassa, na sakkodanassa, na sukkodanassa, na dhotodanassa, na amitodanassa, na amittāya deviyā, na mahāpajāpatiyā, na sakalassa sākiyamaṇḍalassa ārogyaṃ pucchi. Atha kho attanā ca dasakathāvatthulābhiṃ parañca tattha samādapetāraṃ paṭipattisampannaṃ bhikkhuṃ pucchanto idaṃ – ‘‘ko nu kho, bhikkhave’’tiādivacanaṃ avoca.
กสฺมา ปน ภควา สุโทฺธทนาทีนํ อาโรคฺยํ อปุจฺฉิตฺวา เอวรูปํ ภิกฺขุเมว ปุจฺฉติ? ปิยตายฯ พุทฺธานญฺหิ ปฎิปนฺนกา ภิกฺขู ภิกฺขุนิโย อุปาสกา อุปาสิกาโย จ ปิยา โหนฺติ มนาปาฯ กิํ การณา? ธมฺมครุตายฯ ธมฺมครุโน หิ ตถาคตา, โส จ เนสํ ธมฺมครุภาโว, ‘‘ทุกฺขํ โข อคารโว วิหรติ, อปฺปติโสฺส’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๑) อิมินา อชปาลนิโคฺรธมูเล อุปฺปนฺนชฺฌาสเยน เวทิตโพฺพฯ ธมฺมครุตาเยว หิ ภควา มหากสฺสปเตฺถรสฺส อภินิกฺขมนทิวเส ปจฺจุคฺคมนํ กโรโนฺต ติคาวุตํ มคฺคํ อคมาสิฯ อติเรกติโยชนสตํ มคฺคํ คนฺตฺวา คงฺคาตีเร ธมฺมํ เทเสตฺวา มหากปฺปินํ สปริสํ อรหเตฺต ปติฎฺฐเปสิฯ เอกสฺมิํ ปจฺฉาภเตฺต ปญฺจจตฺตาลีสโยชนํ มคฺคํ คนฺตฺวา กุมฺภการสฺส นิเวสเน ติยามรตฺติํ ธมฺมกถํ กตฺวา ปุกฺกุสาติกุลปุตฺตํ อนาคามิผเล ปติฎฺฐเปสิฯ วีสโยชนสตํ คนฺตฺวา วนวาสิสามเณรสฺส อนุคฺคหํ อกาสิฯ สฎฺฐิโยชนมคฺคํ คนฺตฺวา ขทิรวนิยเตฺถรสฺส ธมฺมํ เทเสสิฯ อนุรุทฺธเตฺถโร ปาจีนวํสทาเย นิสิโนฺน มหาปุริสวิตกฺกํ วิตเกฺกตีติ ญตฺวา ตตฺถ อากาเสน คนฺตฺวา เถรสฺส ปุรโต โอรุยฺห สาธุการมทาสิฯ โกฎิกณฺณโสณเตฺถรสฺส เอกคนฺธกุฎิยํ เสนาสนํ ปญฺญปาเปตฺวา ปจฺจูสกาเล ธมฺมเทสนํ อเชฺฌสิตฺวา สรภญฺญปริโยสาเน สาธุการมทาสิฯ ติคาวุตํ มคฺคํ คนฺตฺวา ติณฺณํ กุลปุตฺตานํ วสนฎฺฐาเน โคสิงฺคสาลวเน สามคฺคิรสานิสํสํ กเถสิฯ กสฺสโปปิ ภควา – ‘‘อนาคามิผเล ปติฎฺฐิโต อริยสาวโก อย’’นฺติ วิสฺสาสํ อุปฺปาเทตฺวา ฆฎิการสฺส กุมฺภการสฺส นิเวสนํ คนฺตฺวา สหตฺถา อามิสํ คเหตฺวา ปริภุญฺชิฯ
Kasmā pana bhagavā suddhodanādīnaṃ ārogyaṃ apucchitvā evarūpaṃ bhikkhumeva pucchati? Piyatāya. Buddhānañhi paṭipannakā bhikkhū bhikkhuniyo upāsakā upāsikāyo ca piyā honti manāpā. Kiṃ kāraṇā? Dhammagarutāya. Dhammagaruno hi tathāgatā, so ca nesaṃ dhammagarubhāvo, ‘‘dukkhaṃ kho agāravo viharati, appatisso’’ti (a. ni. 4.21) iminā ajapālanigrodhamūle uppannajjhāsayena veditabbo. Dhammagarutāyeva hi bhagavā mahākassapattherassa abhinikkhamanadivase paccuggamanaṃ karonto tigāvutaṃ maggaṃ agamāsi. Atirekatiyojanasataṃ maggaṃ gantvā gaṅgātīre dhammaṃ desetvā mahākappinaṃ saparisaṃ arahatte patiṭṭhapesi. Ekasmiṃ pacchābhatte pañcacattālīsayojanaṃ maggaṃ gantvā kumbhakārassa nivesane tiyāmarattiṃ dhammakathaṃ katvā pukkusātikulaputtaṃ anāgāmiphale patiṭṭhapesi. Vīsayojanasataṃ gantvā vanavāsisāmaṇerassa anuggahaṃ akāsi. Saṭṭhiyojanamaggaṃ gantvā khadiravaniyattherassa dhammaṃ desesi. Anuruddhatthero pācīnavaṃsadāye nisinno mahāpurisavitakkaṃ vitakketīti ñatvā tattha ākāsena gantvā therassa purato oruyha sādhukāramadāsi. Koṭikaṇṇasoṇattherassa ekagandhakuṭiyaṃ senāsanaṃ paññapāpetvā paccūsakāle dhammadesanaṃ ajjhesitvā sarabhaññapariyosāne sādhukāramadāsi. Tigāvutaṃ maggaṃ gantvā tiṇṇaṃ kulaputtānaṃ vasanaṭṭhāne gosiṅgasālavane sāmaggirasānisaṃsaṃ kathesi. Kassapopi bhagavā – ‘‘anāgāmiphale patiṭṭhito ariyasāvako aya’’nti vissāsaṃ uppādetvā ghaṭikārassa kumbhakārassa nivesanaṃ gantvā sahatthā āmisaṃ gahetvā paribhuñji.
อมฺหากํเยว ภควา อุปกฎฺฐาย วสฺสูปนายิกาย เชตวนโต ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต จาริกํ นิกฺขมิฯ โกสลมหาราชอนาถปิณฺฑิกาทโย นิวเตฺตตุํ นาสกฺขิํสุฯ อนาถปิณฺฑิโก ฆรํ อาคนฺตฺวา โทมนสฺสปฺปโตฺต นิสีทิฯ อถ นํ ปุณฺณา นาม ทาสี โทมนสฺสปฺปโตฺตสิ สามีติ อาหฯ ‘‘อาม เช, สตฺถารํ นิวเตฺตตุํ นาสกฺขิํ, อถ เม อิมํ เตมาสํ ธมฺมํ วา โสตุํ, ยถาธิปฺปายํ วา ทานํ ทาตุํ น ลภิสฺสามี’’ติ จินฺตา อุปฺปนฺนาติฯ อหมฺปิ สามิ สตฺถารํ นิวเตฺตสฺสามีติฯ สเจ นิวเตฺตตุํ สโกฺกสิ, ภุชิสฺสาเยว ตฺวนฺติฯ สา คนฺตฺวา ทสพลสฺส ปาทมูเล นิปชฺชิตฺวา ‘‘นิวตฺตถ ภควา’’ติ อาหฯ ปุเณฺณ ตฺวํ ปรปฎิพทฺธชีวิกา กิํ เม กริสฺสสีติฯ ภควา มยฺหํ เทยฺยธโมฺม นตฺถีติ ตุเมฺหปิ ชานาถ, ตุมฺหากํ นิวตฺตนปจฺจยา ปนาหํ ตีสุ สรเณสุ ปญฺจสุ สีเลสุ ปติฎฺฐหิสฺสามีติฯ ภควา สาธุ สาธุ ปุเณฺณติ สาธุการํ กตฺวา นิวเตฺตตฺวา เชตวนเมว ปวิโฎฺฐฯ อยํ กถา ปากฎา อโหสิฯ เสฎฺฐิ สุตฺวา ปุณฺณาย กิร ภควา นิวตฺติโตติ ตํ ภุชิสฺสํ กตฺวา ธีตุฎฺฐาเน ฐเปสิฯ สา ปพฺพชฺชํ ยาจิตฺวา ปพฺพชิ, ปพฺพชิตฺวา วิปสฺสนํ อารภิฯ อถสฺสา สตฺถา อารทฺธวิปสฺสกภาวํ ญตฺวา อิมํ โอภาสคาถํ วิสฺสเชฺชสิ –
Amhākaṃyeva bhagavā upakaṭṭhāya vassūpanāyikāya jetavanato bhikkhusaṅghaparivuto cārikaṃ nikkhami. Kosalamahārājaanāthapiṇḍikādayo nivattetuṃ nāsakkhiṃsu. Anāthapiṇḍiko gharaṃ āgantvā domanassappatto nisīdi. Atha naṃ puṇṇā nāma dāsī domanassappattosi sāmīti āha. ‘‘Āma je, satthāraṃ nivattetuṃ nāsakkhiṃ, atha me imaṃ temāsaṃ dhammaṃ vā sotuṃ, yathādhippāyaṃ vā dānaṃ dātuṃ na labhissāmī’’ti cintā uppannāti. Ahampi sāmi satthāraṃ nivattessāmīti. Sace nivattetuṃ sakkosi, bhujissāyeva tvanti. Sā gantvā dasabalassa pādamūle nipajjitvā ‘‘nivattatha bhagavā’’ti āha. Puṇṇe tvaṃ parapaṭibaddhajīvikā kiṃ me karissasīti. Bhagavā mayhaṃ deyyadhammo natthīti tumhepi jānātha, tumhākaṃ nivattanapaccayā panāhaṃ tīsu saraṇesu pañcasu sīlesu patiṭṭhahissāmīti. Bhagavā sādhu sādhu puṇṇeti sādhukāraṃ katvā nivattetvā jetavanameva paviṭṭho. Ayaṃ kathā pākaṭā ahosi. Seṭṭhi sutvā puṇṇāya kira bhagavā nivattitoti taṃ bhujissaṃ katvā dhītuṭṭhāne ṭhapesi. Sā pabbajjaṃ yācitvā pabbaji, pabbajitvā vipassanaṃ ārabhi. Athassā satthā āraddhavipassakabhāvaṃ ñatvā imaṃ obhāsagāthaṃ vissajjesi –
‘‘ปุเณฺณ ปูเรสิ สทฺธมฺมํ, จโนฺท ปนฺนรโส ยถา;
‘‘Puṇṇe pūresi saddhammaṃ, cando pannaraso yathā;
ปริปุณฺณาย ปญฺญาย, ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสสี’’ติฯ (เถรีคา. ๓);
Paripuṇṇāya paññāya, dukkhassantaṃ karissasī’’ti. (therīgā. 3);
คาถาปริโยสาเน อรหตฺตํ ปตฺวา อภิญฺญาตา สาวิกา อโหสีติฯ เอวํ ธมฺมครุโน ตถาคตาฯ
Gāthāpariyosāne arahattaṃ patvā abhiññātā sāvikā ahosīti. Evaṃ dhammagaruno tathāgatā.
นนฺทกเตฺถเร อุปฎฺฐานสาลายํ ธมฺมํ เทเสเนฺตปิ ภควา อนหาโตว คนฺตฺวา ติยามรตฺติํ ฐิตโกว ธมฺมกถํ สุตฺวา เทสนาปริโยสาเน สาธุการมทาสิฯ เถโร อาคนฺตฺวา วนฺทิตฺวา, ‘‘กาย เวลาย, ภเนฺต, อาคตตฺถา’’ติ ปุจฺฉิฯ ตยา สุตฺตเนฺต อารทฺธมเตฺตติฯ ทุกฺกรํ กริตฺถ, ภเนฺต, พุทฺธสุขุมาลา ตุเมฺหติฯ สเจ ตฺวํ, นนฺท, กปฺปํ เทเสตุํ สกฺกุเณยฺยาสิ, กปฺปมตฺตมฺปาหํ ฐิตโกว สุเณยฺยนฺติ ภควา อโวจฯ เอวํ ธมฺมครุโน ตถาคตาฯ เตสํ ธมฺมครุตาย ปฎิปนฺนกา ปิยา โหนฺติ, ตสฺมา ปฎิปนฺนเก ปุจฺฉิฯ ปฎิปนฺนโก จ นาม อตฺตหิตาย ปฎิปโนฺน โน ปรหิตาย, ปรหิตาย ปฎิปโนฺน โน อตฺตหิตาย, โน อตฺตหิตาย จ ปฎิปโนฺน โน ปรหิตาย จ, อตฺตหิตาย จ ปฎิปโนฺน ปรหิตาย จาติ จตุพฺพิโธ โหติฯ
Nandakatthere upaṭṭhānasālāyaṃ dhammaṃ desentepi bhagavā anahātova gantvā tiyāmarattiṃ ṭhitakova dhammakathaṃ sutvā desanāpariyosāne sādhukāramadāsi. Thero āgantvā vanditvā, ‘‘kāya velāya, bhante, āgatatthā’’ti pucchi. Tayā suttante āraddhamatteti. Dukkaraṃ karittha, bhante, buddhasukhumālā tumheti. Sace tvaṃ, nanda, kappaṃ desetuṃ sakkuṇeyyāsi, kappamattampāhaṃ ṭhitakova suṇeyyanti bhagavā avoca. Evaṃ dhammagaruno tathāgatā. Tesaṃ dhammagarutāya paṭipannakā piyā honti, tasmā paṭipannake pucchi. Paṭipannako ca nāma attahitāya paṭipanno no parahitāya, parahitāya paṭipanno no attahitāya, no attahitāya ca paṭipanno no parahitāya ca, attahitāya ca paṭipanno parahitāya cāti catubbidho hoti.
ตตฺถ โย สยํ ทสนฺนํ กถาวตฺถูนํ ลาภี โหติ, ปรํ ตตฺถ น โอวทติ น อนุสาสติ อายสฺมา พากุโล วิยฯ อยํ อตฺตหิตาย ปฎิปโนฺน นาม โน ปรหิตาย ปฎิปโนฺน, เอวรูปํ ภิกฺขุํ ภควา น ปุจฺฉติฯ กสฺมา? น มยฺหํ สาสนสฺส วฑฺฒิปเกฺข ฐิโตติฯ
Tattha yo sayaṃ dasannaṃ kathāvatthūnaṃ lābhī hoti, paraṃ tattha na ovadati na anusāsati āyasmā bākulo viya. Ayaṃ attahitāya paṭipanno nāma no parahitāya paṭipanno, evarūpaṃ bhikkhuṃ bhagavā na pucchati. Kasmā? Na mayhaṃ sāsanassa vaḍḍhipakkhe ṭhitoti.
โย ปน ทสนฺนํ กถาวตฺถูนํ อลาภี, ปรํ เตหิ โอวทติ เตน กตวตฺตสาทิยนตฺถํ อุปนโนฺท สกฺยปุโตฺต วิย, อยํ ปรหิตาย ปฎิปโนฺน นาม โน อตฺตหิตาย, เอวรูปมฺปิ น ปุจฺฉติฯ กสฺมา? อสฺส ตณฺหา มหาปจฺฉิ วิย อปฺปหีนาติฯ
Yo pana dasannaṃ kathāvatthūnaṃ alābhī, paraṃ tehi ovadati tena katavattasādiyanatthaṃ upanando sakyaputto viya, ayaṃ parahitāya paṭipanno nāma no attahitāya, evarūpampi na pucchati. Kasmā? Assa taṇhā mahāpacchi viya appahīnāti.
โย อตฺตนาปิ ทสนฺนํ กถาวตฺถูนํ อลาภี, ปรมฺปิ เตหิ น โอวทติ, ลาฬุทายี วิย, อยํ เนว อตฺตหิตาย ปฎิปโนฺน น ปรหิตาย, เอวรูปมฺปิ น ปุจฺฉติฯ กสฺมา? อสฺส อโนฺต กิเลสา ผรสุเฉชฺชา วิย มหนฺตาติฯ
Yo attanāpi dasannaṃ kathāvatthūnaṃ alābhī, parampi tehi na ovadati, lāḷudāyī viya, ayaṃ neva attahitāya paṭipanno na parahitāya, evarūpampi na pucchati. Kasmā? Assa anto kilesā pharasuchejjā viya mahantāti.
โย ปน สยํ ทสนฺนํ กถาวตฺถูนํ ลาภี, ปรมฺปิ เตหิ โอวทติ, อยํ อตฺตหิตาย เจว ปรหิตาย จ ปฎิปโนฺน นาม สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานมหากสฺสปาทโย อสีติมหาเถรา วิย, เอวรูปํ ภิกฺขุํ ปุจฺฉติฯ กสฺมา? มยฺหํ สาสนสฺส วุฑฺฒิปเกฺข ฐิโตติฯ อิธาปิ เอวรูปเมว ปุจฺฉโนฺต – ‘‘โก นุ โข, ภิกฺขเว’’ติอาทิมาหฯ
Yo pana sayaṃ dasannaṃ kathāvatthūnaṃ lābhī, parampi tehi ovadati, ayaṃ attahitāya ceva parahitāya ca paṭipanno nāma sāriputtamoggallānamahākassapādayo asītimahātherā viya, evarūpaṃ bhikkhuṃ pucchati. Kasmā? Mayhaṃ sāsanassa vuḍḍhipakkhe ṭhitoti. Idhāpi evarūpameva pucchanto – ‘‘ko nu kho, bhikkhave’’tiādimāha.
เอวํ ภควตา ปุฎฺฐานํ ปน เตสํ ภิกฺขูนํ ภควา อตฺตโน ชาติภูมิยํ อุภยหิตาย ปฎิปนฺนํ ทสกถาวตฺถุลาภิํ ภิกฺขุํ ปุจฺฉติ, โก นุ โข ตตฺถ เอวรูโปติ น อญฺญมญฺญํ จินฺตนา วา สมนฺตนา วา อโหสิฯ กสฺมา? อายสฺมา หิ มนฺตาณิปุโตฺต ตสฺมิํ ชนปเท อากาสมเชฺฌ ฐิโต จโนฺท วิย สูริโย วิย จ ปากโฎ ปญฺญาโตฯ ตสฺมา เต ภิกฺขู เมฆสทฺทํ สุตฺวา เอกชฺฌํ สนฺนิปติตโมรฆฎา วิย ฆนสชฺฌายํ กาตุํ, อารทฺธภิกฺขู วิย จ อตฺตโน อาจริยํ ปุณฺณเตฺถรํ ภควโต อาโรเจนฺตา เถรสฺส จ คุณํ ภาสิตุํ อปฺปโหเนฺตหิ มุเขหิ เอกปฺปหาเรเนว ปุโณฺณ นาม, ภเนฺต, อายสฺมาติอาทิมาหํสุฯ ตตฺถ ปุโณฺณติ ตสฺส เถรสฺส นามํฯ มนฺตาณิยา ปน โส ปุโตฺต, ตสฺมา มนฺตาณิปุโตฺตติ วุจฺจติฯ สมฺภาวิโตติ คุณสมฺภาวนาย สมฺภาวิโตฯ
Evaṃ bhagavatā puṭṭhānaṃ pana tesaṃ bhikkhūnaṃ bhagavā attano jātibhūmiyaṃ ubhayahitāya paṭipannaṃ dasakathāvatthulābhiṃ bhikkhuṃ pucchati, ko nu kho tattha evarūpoti na aññamaññaṃ cintanā vā samantanā vā ahosi. Kasmā? Āyasmā hi mantāṇiputto tasmiṃ janapade ākāsamajjhe ṭhito cando viya sūriyo viya ca pākaṭo paññāto. Tasmā te bhikkhū meghasaddaṃ sutvā ekajjhaṃ sannipatitamoraghaṭā viya ghanasajjhāyaṃ kātuṃ, āraddhabhikkhū viya ca attano ācariyaṃ puṇṇattheraṃ bhagavato ārocentā therassa ca guṇaṃ bhāsituṃ appahontehi mukhehi ekappahāreneva puṇṇo nāma, bhante, āyasmātiādimāhaṃsu. Tattha puṇṇoti tassa therassa nāmaṃ. Mantāṇiyā pana so putto, tasmā mantāṇiputtoti vuccati. Sambhāvitoti guṇasambhāvanāya sambhāvito.
อปฺปิจฺฉตาทิวณฺณนา
Appicchatādivaṇṇanā
อปฺปิโจฺฉติ อิจฺฉาวิรหิโต นิอิโจฺฉ นิตฺตโณฺหฯ เอตฺถ หิ พฺยญฺชนํ สาวเสสํ วิย, อโตฺถ ปน นิรวเสโสฯ น หิ ตสฺส อโนฺต อณุมตฺตาปิ ปาปิกา อิจฺฉา นาม อตฺถิฯ ขีณาสโว เหส สพฺพโส ปหีนตโณฺหฯ อปิเจตฺถ อตฺริจฺฉตา ปาปิจฺฉตา มหิจฺฉตา อปฺปิจฺฉตาติ อยํ เภโท เวทิตโพฺพฯ
Appicchoti icchāvirahito niiccho nittaṇho. Ettha hi byañjanaṃ sāvasesaṃ viya, attho pana niravaseso. Na hi tassa anto aṇumattāpi pāpikā icchā nāma atthi. Khīṇāsavo hesa sabbaso pahīnataṇho. Apicettha atricchatā pāpicchatā mahicchatā appicchatāti ayaṃ bhedo veditabbo.
ตตฺถ สกลาเภ อติตฺตสฺส ปรลาเภ ปตฺถนา อตฺริจฺฉตา นามฯ ตาย สมนฺนาคตสฺส เอกภาเชน ปกฺกปูโวปิ อตฺตโน ปเตฺต ปติโต น สุปโกฺก วิย ขุทฺทโก วิย จ ขายติฯ เสฺวว ปรสฺส ปเตฺต ปกฺขิโตฺต สุปโกฺก วิย มหโนฺต วิย จ ขายติฯ อสนฺตคุณสมฺภาวนตา ปน ปฎิคฺคหเณ จ อมตฺตญฺญุตา ปาปิจฺฉตา นาม, สา, ‘‘อิเธกโจฺจ อสฺสโทฺธ สมาโน สโทฺธติ มํ ชโน ชานาตู’’ติอาทินา นเยน อภิธเมฺม อาคตาเยว, ตาย สมนฺนาคโต ปุคฺคโล โกหเญฺญ ปติฎฺฐาติฯ สนฺตคุณสมฺภาวนา ปน ปฎิคฺคหเณ จ อมตฺตญฺญุตา มหิจฺฉตา นามฯ สาปิ, ‘‘อิเธกโจฺจ สโทฺธ สมาโน สโทฺธติ มํ ชโน ชานาตูติ อิจฺฉติ, สีลวา สมาโน สีลวาติ มํ ชโน ชานาตู’’ติ (วิภ. ๘๕๑) อิมินา นเยน อาคตาเยว, ตาย สมนฺนาคโต ปุคฺคโล ทุสฺสนฺตปฺปโย โหติ, วิชาตมาตาปิสฺส จิตฺตํ คเหตุํ น สโกฺกติฯ เตเนตํ วุจฺจติ –
Tattha sakalābhe atittassa paralābhe patthanā atricchatā nāma. Tāya samannāgatassa ekabhājena pakkapūvopi attano patte patito na supakko viya khuddako viya ca khāyati. Sveva parassa patte pakkhitto supakko viya mahanto viya ca khāyati. Asantaguṇasambhāvanatā pana paṭiggahaṇe ca amattaññutā pāpicchatā nāma, sā, ‘‘idhekacco assaddho samāno saddhoti maṃ jano jānātū’’tiādinā nayena abhidhamme āgatāyeva, tāya samannāgato puggalo kohaññe patiṭṭhāti. Santaguṇasambhāvanā pana paṭiggahaṇe ca amattaññutā mahicchatā nāma. Sāpi, ‘‘idhekacco saddho samāno saddhoti maṃ jano jānātūti icchati, sīlavā samāno sīlavāti maṃ jano jānātū’’ti (vibha. 851) iminā nayena āgatāyeva, tāya samannāgato puggalo dussantappayo hoti, vijātamātāpissa cittaṃ gahetuṃ na sakkoti. Tenetaṃ vuccati –
‘‘อคฺคิกฺขโนฺธ สมุโทฺท จ, มหิโจฺฉ จาปิ ปุคฺคโล;
‘‘Aggikkhandho samuddo ca, mahiccho cāpi puggalo;
สกเฎน ปจฺจยํ เทตุ, ตโยเปเต อตปฺปยา’’ติฯ
Sakaṭena paccayaṃ detu, tayopete atappayā’’ti.
สนฺตคุณนิคูหนตา ปน ปฎิคฺคหเณ จ มตฺตญฺญุตา อปฺปิจฺฉตา นาม, ตาย สมนฺนาคโต ปุคฺคโล อตฺตนิ วิชฺชมานมฺปิ คุณํ ปฎิจฺฉาเทตุกามตาย, ‘‘สโทฺธ สมาโน สโทฺธติ มํ ชโน ชานาตูติ น อิจฺฉติฯ สีลวา, ปวิวิโตฺต, พหุสฺสุโต, อารทฺธวีริโย, สมาธิสมฺปโนฺน, ปญฺญวา, ขีณาสโว สมาโน ขีณาสโวติ มํ ชโน ชานาตู’’ติ น อิจฺฉติ, เสยฺยถาปิ มชฺฌนฺติกเตฺถโรฯ
Santaguṇanigūhanatā pana paṭiggahaṇe ca mattaññutā appicchatā nāma, tāya samannāgato puggalo attani vijjamānampi guṇaṃ paṭicchādetukāmatāya, ‘‘saddho samāno saddhoti maṃ jano jānātūti na icchati. Sīlavā, pavivitto, bahussuto, āraddhavīriyo, samādhisampanno, paññavā, khīṇāsavo samāno khīṇāsavoti maṃ jano jānātū’’ti na icchati, seyyathāpi majjhantikatthero.
เถโร กิร มหาขีณาสโว อโหสิ, ปตฺตจีวรํ ปนสฺส ปาทมตฺตเมว อคฺฆติ, โส อโสกสฺส ธมฺมรโญฺญ วิหารมหทิวเส สงฺฆเตฺถโร อโหสิฯ อถสฺส อติลูขภาวํ ทิสฺวา มนุสฺสา, ‘‘ภเนฺต, โถกํ พหิ โหถา’’ติ อาหํสุฯ เถโร, ‘‘มาทิเส ขีณาสเว รโญฺญ สงฺคหํ อกโรเนฺต อโญฺญ โก กริสฺสตี’’ติ ปถวิยํ นิมุชฺชิตฺวา สงฺฆเตฺถรสฺส อุกฺขิตฺตปิณฺฑํ คณฺหโนฺตเยว อุมฺมุชฺชิฯ เอวํ ขีณาสโว สมาโน, ‘‘ขีณาสโวติ มํ ชโน ชานาตู’’ติ น อิจฺฉติฯ เอวํ อปฺปิโจฺฉ ปน ภิกฺขุ อนุปฺปนฺนํ ลาภํ อุปฺปาเทติ, อุปฺปนฺนํ ลาภํ ถาวรํ กโรติ, ทายกานํ จิตฺตํ อาราเธติ, ยถา ยถา หิ โส อตฺตโน อปฺปิจฺฉตาย อปฺปํ คณฺหาติ, ตถา ตถา ตสฺส วเตฺต ปสนฺนา มนุสฺสา พหู เทนฺติฯ
Thero kira mahākhīṇāsavo ahosi, pattacīvaraṃ panassa pādamattameva agghati, so asokassa dhammarañño vihāramahadivase saṅghatthero ahosi. Athassa atilūkhabhāvaṃ disvā manussā, ‘‘bhante, thokaṃ bahi hothā’’ti āhaṃsu. Thero, ‘‘mādise khīṇāsave rañño saṅgahaṃ akaronte añño ko karissatī’’ti pathaviyaṃ nimujjitvā saṅghattherassa ukkhittapiṇḍaṃ gaṇhantoyeva ummujji. Evaṃ khīṇāsavo samāno, ‘‘khīṇāsavoti maṃ jano jānātū’’ti na icchati. Evaṃ appiccho pana bhikkhu anuppannaṃ lābhaṃ uppādeti, uppannaṃ lābhaṃ thāvaraṃ karoti, dāyakānaṃ cittaṃ ārādheti, yathā yathā hi so attano appicchatāya appaṃ gaṇhāti, tathā tathā tassa vatte pasannā manussā bahū denti.
อปโรปิ จตุพฺพิโธ อปฺปิโจฺฉ – ปจฺจยอปฺปิโจฺฉ ธุตงฺคอปฺปิโจฺฉ ปริยตฺติอปฺปิโจฺฉ อธิคมอปฺปิโจฺฉติฯ ตตฺถ จตูสุ ปจฺจเยสุ อปฺปิโจฺฉ ปจฺจยอปฺปิโจฺฉ นาม, โส ทายกสฺส วสํ ชานาติ, เทยฺยธมฺมสฺส วสํ ชานาติ, อตฺตโน ถามํ ชานาติฯ ยทิ หิ เทยฺยธโมฺม พหุ โหติ, ทายโก อปฺปํ ทาตุกาโม, ทายกสฺส วเสน อปฺปํ คณฺหาติฯ เทยฺยธโมฺม อโปฺป, ทายโก พหุํ ทาตุกาโม, เทยฺยธมฺมสฺส วเสน อปฺปํ คณฺหาติฯ เทยฺยธโมฺมปิ พหุ, ทายโกปิ พหุํ ทาตุกาโม, อตฺตโน ถามํ ญตฺวา ปมาเณเนว คณฺหาติฯ
Aparopi catubbidho appiccho – paccayaappiccho dhutaṅgaappiccho pariyattiappiccho adhigamaappicchoti. Tattha catūsu paccayesu appiccho paccayaappiccho nāma, so dāyakassa vasaṃ jānāti, deyyadhammassa vasaṃ jānāti, attano thāmaṃ jānāti. Yadi hi deyyadhammo bahu hoti, dāyako appaṃ dātukāmo, dāyakassa vasena appaṃ gaṇhāti. Deyyadhammo appo, dāyako bahuṃ dātukāmo, deyyadhammassa vasena appaṃ gaṇhāti. Deyyadhammopi bahu, dāyakopi bahuṃ dātukāmo, attano thāmaṃ ñatvā pamāṇeneva gaṇhāti.
ธุตงฺคสมาทานสฺส อตฺตนิ อตฺถิภาวํ นชานาเปตุกาโม ธุตงฺคอปฺปิโจฺฉ นามฯ ตสฺส วิภาวนตฺถํ อิมานิ วตฺถูนิ – โสสานิกมหาสุมนเตฺถโร กิร สฎฺฐิ วสฺสานิ สุสาเน วสิ, อโญฺญ เอกภิกฺขุปิ น อญฺญาสิ, เตเนวาห –
Dhutaṅgasamādānassa attani atthibhāvaṃ najānāpetukāmo dhutaṅgaappiccho nāma. Tassa vibhāvanatthaṃ imāni vatthūni – sosānikamahāsumanatthero kira saṭṭhi vassāni susāne vasi, añño ekabhikkhupi na aññāsi, tenevāha –
‘‘สุสาเน สฎฺฐิ วสฺสานิ, อโพฺพกิณฺณํ วสามหํ;
‘‘Susāne saṭṭhi vassāni, abbokiṇṇaṃ vasāmahaṃ;
ทุติโย มํ น ชาเนยฺย, อโห โสสานิกุตฺตโม’’ติฯ
Dutiyo maṃ na jāneyya, aho sosānikuttamo’’ti.
เจติยปพฺพเต เทฺวภาติยเตฺถรา วสิํสุฯ เตสุ กนิโฎฺฐ อุปฎฺฐาเกน เปสิตา อุจฺฉุขณฺฑิกา คเหตฺวา เชฎฺฐสฺส สนฺติกํ อคมาสิฯ ปริโภคํ, ภเนฺต, กโรถาติฯ เถรสฺส จ ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา มุขํ วิกฺขาลนกาโล อโหสิฯ โส อลํ, อาวุโสติ อาหฯ กจฺจิ, ภเนฺต, เอกาสนิกตฺถาติฯ อาหราวุโส, อุจฺฉุขณฺฑิกาติ ปญฺญาส วสฺสานิ เอกาสนิโก สมาโนปิ ธุตงฺคํ นิคูหมาโน ปริโภคํ กตฺวา มุขํ วิกฺขาเลตฺวา ปุน ธุตงฺคํ อธิฎฺฐาย คโตฯ
Cetiyapabbate dvebhātiyattherā vasiṃsu. Tesu kaniṭṭho upaṭṭhākena pesitā ucchukhaṇḍikā gahetvā jeṭṭhassa santikaṃ agamāsi. Paribhogaṃ, bhante, karothāti. Therassa ca bhattakiccaṃ katvā mukhaṃ vikkhālanakālo ahosi. So alaṃ, āvusoti āha. Kacci, bhante, ekāsanikatthāti. Āharāvuso, ucchukhaṇḍikāti paññāsa vassāni ekāsaniko samānopi dhutaṅgaṃ nigūhamāno paribhogaṃ katvā mukhaṃ vikkhāletvā puna dhutaṅgaṃ adhiṭṭhāya gato.
โย ปน สาเกตกติสฺสเตฺถโร วิย พหุสฺสุตภาวํ ชานาเปตุํ น อิจฺฉติ, อยํ ปริยตฺติอปฺปิโจฺฉ นามฯ เถโร กิร ขโณ นตฺถีติ อุเทฺทสปริปุจฺฉาสุ โอกาสํ อกโรโนฺต มรณกฺขยํ, ภเนฺต, ลภิสฺสถาติ โจทิโต คณํ วิสฺสเชฺชตฺวา กณิการวาลิกสมุทฺทวิหารํ คโตฯ ตตฺถ อโนฺตวสฺสํ เถรนวมชฺฌิมานํ อุปกาโร หุตฺวา มหาปวารณาย อุโปสถทิวเส ธมฺมกถาย ชนตํ โขเภตฺวา คโตฯ
Yo pana sāketakatissatthero viya bahussutabhāvaṃ jānāpetuṃ na icchati, ayaṃ pariyattiappiccho nāma. Thero kira khaṇo natthīti uddesaparipucchāsu okāsaṃ akaronto maraṇakkhayaṃ, bhante, labhissathāti codito gaṇaṃ vissajjetvā kaṇikāravālikasamuddavihāraṃ gato. Tattha antovassaṃ theranavamajjhimānaṃ upakāro hutvā mahāpavāraṇāya uposathadivase dhammakathāya janataṃ khobhetvā gato.
โย ปน โสตาปนฺนาทีสุ อญฺญตโร หุตฺวา โสตาปนฺนาทิภาวํ ชานาเปตุํ น อิจฺฉติ, อยํ อธิคมอปฺปิโจฺฉ นาม, ตโย กุลปุตฺตา วิย ฆฎิการกุมฺภกาโร วิย จฯ
Yo pana sotāpannādīsu aññataro hutvā sotāpannādibhāvaṃ jānāpetuṃ na icchati, ayaṃ adhigamaappiccho nāma, tayo kulaputtā viya ghaṭikārakumbhakāro viya ca.
อายสฺมา ปน ปุโณฺณ อตฺริจฺฉตํ ปาปิจฺฉตํ มหิจฺฉตญฺจ ปหาย สพฺพโส อิจฺฉาปฎิปกฺขภูตาย อโลภสงฺขาตาย ปริสุทฺธาย อปฺปิจฺฉตาย สมนฺนาคตตฺตา อปฺปิโจฺฉ นาม อโหสิฯ ภิกฺขูนมฺปิ, ‘‘อาวุโส, อตฺริจฺฉตา ปาปิจฺฉตา มหิจฺฉตาติ อิเม ธมฺมา ปหาตพฺพา’’ติ เตสุ อาทีนวํ ทเสฺสตฺวา เอวรูปํ อปฺปิจฺฉตํ สมาทาย วตฺติตพฺพนฺติ อปฺปิจฺฉกถํ กเถสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อตฺตนา จ อปฺปิโจฺฉ อปฺปิจฺฉกถญฺจ ภิกฺขูนํ กตฺตา’’ติฯ
Āyasmā pana puṇṇo atricchataṃ pāpicchataṃ mahicchatañca pahāya sabbaso icchāpaṭipakkhabhūtāya alobhasaṅkhātāya parisuddhāya appicchatāya samannāgatattā appiccho nāma ahosi. Bhikkhūnampi, ‘‘āvuso, atricchatā pāpicchatā mahicchatāti ime dhammā pahātabbā’’ti tesu ādīnavaṃ dassetvā evarūpaṃ appicchataṃ samādāya vattitabbanti appicchakathaṃ kathesi. Tena vuttaṃ ‘‘attanā ca appiccho appicchakathañca bhikkhūnaṃ kattā’’ti.
ทฺวาทสวิธสโนฺตสวณฺณนา
Dvādasavidhasantosavaṇṇanā
อิทานิ อตฺตนา จ สนฺตุโฎฺฐติอาทีสุ วิเสสตฺถเมว ทีปยิสฺสามฯ โยชนา ปน วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพาฯ สนฺตุโฎฺฐติ อิตรีตรปจฺจยสโนฺตเสน สมนฺนาคโตฯ โส ปเนส สโนฺตโส ทฺวาทสวิโธ โหติฯ เสยฺยถิทํ, จีวเร ยถาลาภสโนฺตโส ยถาพลสโนฺตโส ยถสารุปฺปสโนฺตโสติ ติวิโธ, เอวํ ปิณฺฑปาตาทีสุฯ ตสฺสายํ ปเภทสํวณฺณนาฯ
Idāni attanā ca santuṭṭhotiādīsu visesatthameva dīpayissāma. Yojanā pana vuttanayeneva veditabbā. Santuṭṭhoti itarītarapaccayasantosena samannāgato. So panesa santoso dvādasavidho hoti. Seyyathidaṃ, cīvare yathālābhasantoso yathābalasantoso yathasāruppasantosoti tividho, evaṃ piṇḍapātādīsu. Tassāyaṃ pabhedasaṃvaṇṇanā.
อิธ ภิกฺขุ จีวรํ ลภติ สุนฺทรํ วา อสุนฺทรํ วาฯ โส เตเนว ยาเปติ อญฺญํ น ปเตฺถติ, ลภโนฺตปิ น คณฺหาติ, อยมสฺส จีวเร ยถาลาภสโนฺตโสฯ อถ โย ปกติทุพฺพโล วา โหติ อาพาธชราภิภูโต วา, ครุจีวรํ ปารุปโนฺต กิลมติ, โส สภาเคน ภิกฺขุนา สทฺธิํ ตํ ปริวเตฺตตฺวา ลหุเกน ยาเปโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส จีวเร ยถาพลสโนฺตโสฯ อปโร ปณีตปจฺจยลาภี โหติ, โส ปฎฺฎจีวราทีนํ อญฺญตรํ มหคฺฆจีวรํ พหูนิ วา ปน จีวรานิ ลภิตฺวา อิทํ เถรานํ จิรปพฺพชิตานํ อิทํ พหุสฺสุตานํ อนุรูปํ, อิทํ คิลานานํ อิทํ อปฺปลาภานํ โหตูติ ทตฺวา เตสํ ปุราณจีวรํ วา สงฺการกูฎาทิโต วา นนฺตกานิ อุจฺจินิตฺวา เตหิ สงฺฆาฎิํ กตฺวา ธาเรโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส จีวเร ยถาสารุปฺปสโนฺตโสฯ
Idha bhikkhu cīvaraṃ labhati sundaraṃ vā asundaraṃ vā. So teneva yāpeti aññaṃ na pattheti, labhantopi na gaṇhāti, ayamassa cīvare yathālābhasantoso. Atha yo pakatidubbalo vā hoti ābādhajarābhibhūto vā, garucīvaraṃ pārupanto kilamati, so sabhāgena bhikkhunā saddhiṃ taṃ parivattetvā lahukena yāpentopi santuṭṭhova hoti, ayamassa cīvare yathābalasantoso. Aparo paṇītapaccayalābhī hoti, so paṭṭacīvarādīnaṃ aññataraṃ mahagghacīvaraṃ bahūni vā pana cīvarāni labhitvā idaṃ therānaṃ cirapabbajitānaṃ idaṃ bahussutānaṃ anurūpaṃ, idaṃ gilānānaṃ idaṃ appalābhānaṃ hotūti datvā tesaṃ purāṇacīvaraṃ vā saṅkārakūṭādito vā nantakāni uccinitvā tehi saṅghāṭiṃ katvā dhārentopi santuṭṭhova hoti, ayamassa cīvare yathāsāruppasantoso.
อิธ ปน ภิกฺขุ ปิณฺฑปาตํ ลภติ ลูขํ วา ปณีตํ วา, โส เตเนว ยาเปติ, อญฺญํ น ปเตฺถติ, ลภโนฺตปิ น คณฺหาติ, อยมสฺส ปิณฺฑปาเต ยถาลาภสโนฺตโสฯ โย ปน อตฺตโน ปกติวิรุทฺธํ วา พฺยาธิวิรุทฺธํ วา ปิณฺฑปาตํ ลภติ, เยนสฺส ปริภุเตฺตน อผาสุ โหติ, โส สภาคสฺส ภิกฺขุโน ตํ ทตฺวา ตสฺส หตฺถโต สปฺปายโภชนํ ภุญฺชิตฺวา สมณธมฺมํ กโรโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส ปิณฺฑปาเต ยถาพลสโนฺตโสฯ อปโร พหุํ ปณีตํ ปิณฺฑปาตํ ลภติ, โส ตํ จีวรํ วิย จิรปพฺพชิตพหุสฺสุตอปฺปลาภิคิลานานํ ทตฺวา เตสํ วา เสสกํ ปิณฺฑาย วา จริตฺวา มิสฺสกาหารํ ภุญฺชโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส ปิณฺฑปาเต ยถาสารุปฺปสโนฺตโสฯ
Idha pana bhikkhu piṇḍapātaṃ labhati lūkhaṃ vā paṇītaṃ vā, so teneva yāpeti, aññaṃ na pattheti, labhantopi na gaṇhāti, ayamassa piṇḍapāte yathālābhasantoso. Yo pana attano pakativiruddhaṃ vā byādhiviruddhaṃ vā piṇḍapātaṃ labhati, yenassa paribhuttena aphāsu hoti, so sabhāgassa bhikkhuno taṃ datvā tassa hatthato sappāyabhojanaṃ bhuñjitvā samaṇadhammaṃ karontopi santuṭṭhova hoti, ayamassa piṇḍapāte yathābalasantoso. Aparo bahuṃ paṇītaṃ piṇḍapātaṃ labhati, so taṃ cīvaraṃ viya cirapabbajitabahussutaappalābhigilānānaṃ datvā tesaṃ vā sesakaṃ piṇḍāya vā caritvā missakāhāraṃ bhuñjantopi santuṭṭhova hoti, ayamassa piṇḍapāte yathāsāruppasantoso.
อิธ ปน ภิกฺขุ เสนาสนํ ลภติ มนาปํ วา อมนาปํ วา, โส เตน เนว โสมนสฺสํ น ปฎิฆํ อุปฺปาเทติ, อนฺตมโส ติณสนฺถารเกนาปิ ยถาลเทฺธเนว ตุสฺสติ, อยมสฺส เสนาสเน ยถาลาภสโนฺตโส ฯ โย ปน อตฺตโน ปกติวิรุทฺธํ วา พฺยาธิวิรุทฺธํ วา เสนาสนํ ลภติ, ยตฺถสฺส วสโต อผาสุ โหติ, โส ตํ สภาคสฺส ภิกฺขุโน ทตฺวา ตสฺส สนฺตเก สปฺปายเสนาสเน วสโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส เสนาสเน ยถาพลสโนฺตโสฯ อปโร มหาปุโญฺญ เลณมณฺฑปกูฎาคาราทีนิ พหูนิ ปณีตเสนาสนานิ ลภติ, โส ตานิ จีวราทีนิ วิย จิรปพฺพชิตพหุสฺสุตอปฺปลาภิคิลานานํ ทตฺวา ยตฺถ กตฺถจิ วสโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส เสนาสเน ยถาสารุปฺปสโนฺตโสฯ โยปิ, ‘‘อุตฺตมเสนาสนํ นาม ปมาทฎฺฐานํ, ตตฺถ นิสินฺนสฺส ถินมิทฺธํ โอกฺกมติ, นิทฺทาภิภูตสฺส ปุน ปฎิพุชฺฌโต ปาปวิตกฺกา ปาตุภวนฺตี’’ติ ปฎิสญฺจิกฺขิตฺวา ตาทิสํ เสนาสนํ ปตฺตมฺปิ น สมฺปฎิจฺฉติ, โส ตํ ปฎิกฺขิปิตฺวา อโพฺภกาสรุกฺขมูลาทีสุ วสโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมฺปิสฺส เสนาสเน ยถาสารุปฺปสโนฺตโสฯ
Idha pana bhikkhu senāsanaṃ labhati manāpaṃ vā amanāpaṃ vā, so tena neva somanassaṃ na paṭighaṃ uppādeti, antamaso tiṇasanthārakenāpi yathāladdheneva tussati, ayamassa senāsane yathālābhasantoso. Yo pana attano pakativiruddhaṃ vā byādhiviruddhaṃ vā senāsanaṃ labhati, yatthassa vasato aphāsu hoti, so taṃ sabhāgassa bhikkhuno datvā tassa santake sappāyasenāsane vasantopi santuṭṭhova hoti, ayamassa senāsane yathābalasantoso. Aparo mahāpuñño leṇamaṇḍapakūṭāgārādīni bahūni paṇītasenāsanāni labhati, so tāni cīvarādīni viya cirapabbajitabahussutaappalābhigilānānaṃ datvā yattha katthaci vasantopi santuṭṭhova hoti, ayamassa senāsane yathāsāruppasantoso. Yopi, ‘‘uttamasenāsanaṃ nāma pamādaṭṭhānaṃ, tattha nisinnassa thinamiddhaṃ okkamati, niddābhibhūtassa puna paṭibujjhato pāpavitakkā pātubhavantī’’ti paṭisañcikkhitvā tādisaṃ senāsanaṃ pattampi na sampaṭicchati, so taṃ paṭikkhipitvā abbhokāsarukkhamūlādīsu vasantopi santuṭṭhova hoti, ayampissa senāsane yathāsāruppasantoso.
อิธ ปน ภิกฺขุ เภสชฺชํ ลภติ ลูขํ วา ปณีตํ วา, โส ยํ ลภติ, เตเนว สนฺตุสฺสติ, อญฺญํ น ปเตฺถติ, ลภโนฺตปิ น คณฺหาติ, อยมสฺส คิลานปจฺจเย ยถาลาภสโนฺตโสฯ โย ปน เตเลน อตฺถิโก ผาณิตํ ลภติ, โส ตํ สภาคสฺส ภิกฺขุโน ทตฺวา ตสฺส หตฺถโต เตลํ คเหตฺวา อญฺญเทว วา ปริเยสิตฺวา เตหิ เภสชฺชํ กโรโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส คิลานปจฺจเย ยถาพลสโนฺตโสฯ อปโร มหาปุโญฺญ พหุํ เตลมธุผาณิตาทิปณีตเภสชฺชํ ลภติ, โส ตํ จีวรํ วิย จิรปพฺพชิตพหุสฺสุตอปฺปลาภิคิลานานํ ทตฺวา เตสํ อาภตเกน เยน เกนจิ ยาเปโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติฯ โย ปน เอกสฺมิํ ภาชเน มุตฺตหรีตกํ ฐเปตฺวา เอกสฺมิํ จตุมธุรํ, ‘‘คณฺห, ภเนฺต, ยทิจฺฉสี’’ติ วุจฺจมาโน สจสฺส เตสุ อญฺญตเรนปิ โรโค วูปสมฺมติ, อถ มุตฺตหรีตกํ นาม พุทฺธาทีหิ วณฺณิตนฺติ จตุมธุรํ ปฎิกฺขิปิตฺวา มุตฺตหรีตเกเนว เภสชฺชํ กโรโนฺต ปรมสนฺตุโฎฺฐว โหติ, อยมสฺส คิลานปจฺจเย ยถาสารุปฺปสโนฺตโสฯ
Idha pana bhikkhu bhesajjaṃ labhati lūkhaṃ vā paṇītaṃ vā, so yaṃ labhati, teneva santussati, aññaṃ na pattheti, labhantopi na gaṇhāti, ayamassa gilānapaccaye yathālābhasantoso. Yo pana telena atthiko phāṇitaṃ labhati, so taṃ sabhāgassa bhikkhuno datvā tassa hatthato telaṃ gahetvā aññadeva vā pariyesitvā tehi bhesajjaṃ karontopi santuṭṭhova hoti, ayamassa gilānapaccaye yathābalasantoso. Aparo mahāpuñño bahuṃ telamadhuphāṇitādipaṇītabhesajjaṃ labhati, so taṃ cīvaraṃ viya cirapabbajitabahussutaappalābhigilānānaṃ datvā tesaṃ ābhatakena yena kenaci yāpentopi santuṭṭhova hoti. Yo pana ekasmiṃ bhājane muttaharītakaṃ ṭhapetvā ekasmiṃ catumadhuraṃ, ‘‘gaṇha, bhante, yadicchasī’’ti vuccamāno sacassa tesu aññatarenapi rogo vūpasammati, atha muttaharītakaṃ nāma buddhādīhi vaṇṇitanti catumadhuraṃ paṭikkhipitvā muttaharītakeneva bhesajjaṃ karonto paramasantuṭṭhova hoti, ayamassa gilānapaccaye yathāsāruppasantoso.
อิเมสํ ปน ปเจฺจกํ ปจฺจเยสุ ติณฺณํ ติณฺณํ สโนฺตสานํ ยถาสารุปฺปสโนฺตโสว อโคฺคฯ อายสฺมา ปุโณฺณ เอเกกสฺมิํ ปจฺจเย อิเมหิ ตีหิ สโนฺตเสหิ สนฺตุโฎฺฐ อโหสิฯ สนฺตุฎฺฐิกถญฺจาติ ภิกฺขูนมฺปิ จ อิมํ สนฺตุฎฺฐิกถํ กตฺตาว อโหสิฯ
Imesaṃ pana paccekaṃ paccayesu tiṇṇaṃ tiṇṇaṃ santosānaṃ yathāsāruppasantosova aggo. Āyasmā puṇṇo ekekasmiṃ paccaye imehi tīhi santosehi santuṭṭho ahosi. Santuṭṭhikathañcāti bhikkhūnampi ca imaṃ santuṭṭhikathaṃ kattāva ahosi.
ติวิธปวิเวกวณฺณนา
Tividhapavivekavaṇṇanā
ปวิวิโตฺตติ กายปวิเวโก จิตฺตปวิเวโก อุปธิปวิเวโกติ อิเมหิ ตีหิ ปวิเวเกหิ สมนฺนาคโตฯ ตตฺถ เอโก คจฺฉติ, เอโก ติฎฺฐติ, เอโก นิสีทติ, เอโก เสยฺยํ กเปฺปติ, เอโก คามํ ปิณฺฑาย ปวิสติ, เอโก ปฎิกฺกมติ, เอโก จงฺกมมธิฎฺฐาติ, เอโก จรติ, เอโก วิหรตีติ อยํ กายปวิเวโก นามฯ อฎฺฐ สมาปตฺติโย ปน จิตฺตปวิเวโก นามฯ นิพฺพานํ อุปธิปวิเวโก นามฯ วุตฺตมฺปิ เหตํ – ‘‘กายปวิเวโก จ วิเวกฎฺฐกายานํ เนกฺขมฺมาภิรตานํฯ จิตฺตปวิเวโก จ ปริสุทฺธจิตฺตานํ ปรมโวทานปฺปตฺตานํฯ อุปธิวิเวโก จ นิรุปธีนํ ปุคฺคลานํ วิสงฺขารคตาน’’นฺติ (มหานิ. ๕๗)ฯ ปวิเวกกถนฺติ ภิกฺขูนมฺปิ จ อิมํ ปวิเวกกถํ กตฺตาฯ
Pavivittoti kāyapaviveko cittapaviveko upadhipavivekoti imehi tīhi pavivekehi samannāgato. Tattha eko gacchati, eko tiṭṭhati, eko nisīdati, eko seyyaṃ kappeti, eko gāmaṃ piṇḍāya pavisati, eko paṭikkamati, eko caṅkamamadhiṭṭhāti, eko carati, eko viharatīti ayaṃ kāyapaviveko nāma. Aṭṭha samāpattiyo pana cittapaviveko nāma. Nibbānaṃ upadhipaviveko nāma. Vuttampi hetaṃ – ‘‘kāyapaviveko ca vivekaṭṭhakāyānaṃ nekkhammābhiratānaṃ. Cittapaviveko ca parisuddhacittānaṃ paramavodānappattānaṃ. Upadhiviveko ca nirupadhīnaṃ puggalānaṃ visaṅkhāragatāna’’nti (mahāni. 57). Pavivekakathanti bhikkhūnampi ca imaṃ pavivekakathaṃ kattā.
ปญฺจวิธสํสคฺควณฺณนา
Pañcavidhasaṃsaggavaṇṇanā
อสํสโฎฺฐติ ปญฺจวิเธน สํสเคฺคน วิรหิโตฯ สวนสํสโคฺค ทสฺสนสํสโคฺค สมุลฺลปนสํสโคฺค สโมฺภคสํสโคฺค กายสํสโคฺคติ ปญฺจวิโธ สํสโคฺคฯ เตสุ อิธ ภิกฺขุ สุณาติ, ‘‘อสุกสฺมิํ คาเม วา นิคเม วา อิตฺถี วา กุมาริกา วา อภิรูปา ทสฺสนียา ปาสาทิกา ปรมาย วณฺณโปกฺขรตาย สมนฺนาคตา’’ติฯ โส ตํ สุตฺวา สํสีทติ วิสีทติ น สโกฺกติ พฺรหฺมจริยํ สนฺธาเรตุํ, สิกฺขาทุพฺพลฺยํ อนาวิกตฺวา หีนายาวตฺตตีติ เอวํ ปเรหิ วา กถียมานํ รูปาทิสมฺปตฺติํ อตฺตนา วา หสิตลปิตคีตสทฺทํ สุณนฺตสฺส โสตวิญฺญาณวีถิวเสน อุปฺปโนฺน ราโค สวนสํสโคฺค นามฯ โส อนิตฺถิคนฺธปเจฺจกโพธิสตฺตสฺส จ ปญฺจคฺคฬเลณวาสีติสฺสทหรสฺส จ วเสน เวทิตโพฺพ –
Asaṃsaṭṭhoti pañcavidhena saṃsaggena virahito. Savanasaṃsaggo dassanasaṃsaggo samullapanasaṃsaggo sambhogasaṃsaggo kāyasaṃsaggoti pañcavidho saṃsaggo. Tesu idha bhikkhu suṇāti, ‘‘asukasmiṃ gāme vā nigame vā itthī vā kumārikā vā abhirūpā dassanīyā pāsādikā paramāya vaṇṇapokkharatāya samannāgatā’’ti. So taṃ sutvā saṃsīdati visīdati na sakkoti brahmacariyaṃ sandhāretuṃ, sikkhādubbalyaṃ anāvikatvā hīnāyāvattatīti evaṃ parehi vā kathīyamānaṃ rūpādisampattiṃ attanā vā hasitalapitagītasaddaṃ suṇantassa sotaviññāṇavīthivasena uppanno rāgo savanasaṃsaggo nāma. So anitthigandhapaccekabodhisattassa ca pañcaggaḷaleṇavāsītissadaharassa ca vasena veditabbo –
ทหโร กิร อากาเสน คจฺฉโนฺต คิริคามวาสิกมฺมารธีตาย ปญฺจหิ กุมารีหิ สทฺธิํ ปทุมสรํ คนฺตฺวา นฺหตฺวา ปทุมานิ จ ปิลนฺธิตฺวา มธุรสฺสเรน คายนฺติยา สทฺทํ สุตฺวา กามราเคน วิโทฺธ วิเสสา ปริหายิตฺวา อนยพฺยสนํ ปาปุณิฯ อิธ ภิกฺขุ น เหว โข สุณาติ, อปิจ โข สามํ ปสฺสติ อิตฺถิํ วา กุมาริํ วา อภิรูปํ ทสฺสนียํ ปาสาทิกํ ปรมาย วณฺณโปกฺขรตาย สมนฺนาคตํฯ โส ตํ ทิสฺวา สํสีทติ วิสีทติ น สโกฺกติ พฺรหฺมจริยํ สนฺธาเรตุํ, สิกฺขาทุพฺพลฺยํ อนาวิกตฺวา หีนายาวตฺตตีติ เอวํ วิสภาครูปํ โอโลเกนฺตสฺส ปน จกฺขุวิญฺญาณวีถิวเสน อุปฺปนฺนราโค ทสฺสนสํสโคฺค นามฯ โส เอวํ เวทิตโพฺพ –
Daharo kira ākāsena gacchanto girigāmavāsikammāradhītāya pañcahi kumārīhi saddhiṃ padumasaraṃ gantvā nhatvā padumāni ca pilandhitvā madhurassarena gāyantiyā saddaṃ sutvā kāmarāgena viddho visesā parihāyitvā anayabyasanaṃ pāpuṇi. Idha bhikkhu na heva kho suṇāti, apica kho sāmaṃ passati itthiṃ vā kumāriṃ vā abhirūpaṃ dassanīyaṃ pāsādikaṃ paramāya vaṇṇapokkharatāya samannāgataṃ. So taṃ disvā saṃsīdati visīdati na sakkoti brahmacariyaṃ sandhāretuṃ, sikkhādubbalyaṃ anāvikatvā hīnāyāvattatīti evaṃ visabhāgarūpaṃ olokentassa pana cakkhuviññāṇavīthivasena uppannarāgo dassanasaṃsaggo nāma. So evaṃ veditabbo –
เอโก กิร ทหโร กาลทีฆวาปิทฺวารวิหารํ อุเทฺทสตฺถาย คโตฯ อาจริโย ตสฺส อนฺตรายํ ทิสฺวา โอกาสํ น กโรติฯ โส ปุนปฺปุนฺนํ อนุพนฺธติฯ อาจริโย สเจ อโนฺตคาเม น จริสฺสสิฯ ทสฺสามิ เต อุเทฺทสนฺติ อาหฯ โส สาธูติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา อุเทฺทเส นิฎฺฐิเต อาจริยํ วนฺทิตฺวา คจฺฉโนฺต อาจริโย เม อิมสฺมิํ คาเม จริตุํ น เทติ, กิํ นุ โข การณนฺติ จีวรํ ปารุปิตฺวา คามํ ปาวิสิ, เอกา กุลธีตา ปีตกวตฺถํ นิวาเสตฺวา เคเห ฐิตา ทหรํ ทิสฺวา สญฺชาตราคา อุฬุเงฺกน ยาคุํ อาหริตฺวา ตสฺส ปเตฺต ปกฺขิปิตฺวา นิวตฺติตฺวา มญฺจเก นิปชฺชิฯ อถ นํ มาตาปิตโร กิํ อมฺมาติ ปุจฺฉิํสุ, ทฺวาเรน คตํ ทหรํ ลภมานา ชีวิสฺสามิ, อลภมานา มริสฺสามีติฯ มาตาปิตโร เวเคน คนฺตฺวา คามทฺวาเร ทหรํ ปตฺวา วนฺทิตฺวา, ‘‘นิวตฺตถ, ภเนฺต, ภิกฺขํ คณฺหาหี’’ติ อาหํสุฯ ทหโร อลํ คจฺฉามีติฯ เต, ‘‘อิทํ นาม, ภเนฺต, การณ’’นฺติ ยาจิตฺวา – ‘‘อมฺหากํ, ภเนฺต, เคเห เอตฺตกํ นาม ธนํ อตฺถิ, เอกาเยว โน ธีตา, ตฺวํ โน เชฎฺฐปุตฺตฎฺฐาเน ฐสฺสสิ, สุเขน สกฺกา ชีวิตุ’’นฺติ อาหํสุฯ ทหโร, ‘‘น มยฺหํ อิมินา ปลิโพเธน อโตฺถ’’ติ อนาทิยิตฺวาว ปกฺกโนฺตฯ
Eko kira daharo kāladīghavāpidvāravihāraṃ uddesatthāya gato. Ācariyo tassa antarāyaṃ disvā okāsaṃ na karoti. So punappunnaṃ anubandhati. Ācariyo sace antogāme na carissasi. Dassāmi te uddesanti āha. So sādhūti sampaṭicchitvā uddese niṭṭhite ācariyaṃ vanditvā gacchanto ācariyo me imasmiṃ gāme carituṃ na deti, kiṃ nu kho kāraṇanti cīvaraṃ pārupitvā gāmaṃ pāvisi, ekā kuladhītā pītakavatthaṃ nivāsetvā gehe ṭhitā daharaṃ disvā sañjātarāgā uḷuṅkena yāguṃ āharitvā tassa patte pakkhipitvā nivattitvā mañcake nipajji. Atha naṃ mātāpitaro kiṃ ammāti pucchiṃsu, dvārena gataṃ daharaṃ labhamānā jīvissāmi, alabhamānā marissāmīti. Mātāpitaro vegena gantvā gāmadvāre daharaṃ patvā vanditvā, ‘‘nivattatha, bhante, bhikkhaṃ gaṇhāhī’’ti āhaṃsu. Daharo alaṃ gacchāmīti. Te, ‘‘idaṃ nāma, bhante, kāraṇa’’nti yācitvā – ‘‘amhākaṃ, bhante, gehe ettakaṃ nāma dhanaṃ atthi, ekāyeva no dhītā, tvaṃ no jeṭṭhaputtaṭṭhāne ṭhassasi, sukhena sakkā jīvitu’’nti āhaṃsu. Daharo, ‘‘na mayhaṃ iminā palibodhena attho’’ti anādiyitvāva pakkanto.
มาตาปิตโร คนฺตฺวา, ‘‘อมฺม, นาสกฺขิมฺหา ทหรํ นิวเตฺตตุํ, ยํ อญฺญํ สามิกํ อิจฺฉสิ, ตํ ลภิสฺสสิ, อุเฎฺฐหิ ขาท จ ปิว จา’’ติ อาหํสุฯ สา อนิจฺฉนฺตี สตฺตาหํ นิราหารา หุตฺวา กาลมกาสิฯ มาตาปิตโร ตสฺสา สรีรกิจฺจํ กตฺวา ตํ ปีตกวตฺถํ ธุรวิหาเร ภิกฺขุสงฺฆสฺส อทํสุ, ภิกฺขู วตฺถํ ขณฺฑาขนฺฑํ กตฺวา ภาชยิํสุฯ เอโก มหลฺลโก อตฺตโน โกฎฺฐาสํ คเหตฺวา กลฺยาณีวิหารํ อาคโตฯ โสปิ ทหโร เจติยํ วนฺทิสฺสามีติ ตเตฺถว คนฺตฺวา ทิวาฎฺฐาเน นิสีทิฯ มหลฺลโก ตํ วตฺถขณฺฑํ คเหตฺวา, ‘‘อิมินา เม ปริสฺสาวนํ วิจาเรถา’’ติ ทหรํ อโวจฯ ทหโร มหาเถร ‘‘กุหิํ ลทฺธ’’นฺติ อาหฯ โส สพฺพํ ปวตฺติํ กเถสิฯ โส ตํ สุตฺวาว, ‘‘เอวรูปาย นาม สทฺธิํ สํวาสํ นาลตฺถ’’นฺติ ราคคฺคินา ทโฑฺฒ ตเตฺถว กาลมกาสิฯ
Mātāpitaro gantvā, ‘‘amma, nāsakkhimhā daharaṃ nivattetuṃ, yaṃ aññaṃ sāmikaṃ icchasi, taṃ labhissasi, uṭṭhehi khāda ca piva cā’’ti āhaṃsu. Sā anicchantī sattāhaṃ nirāhārā hutvā kālamakāsi. Mātāpitaro tassā sarīrakiccaṃ katvā taṃ pītakavatthaṃ dhuravihāre bhikkhusaṅghassa adaṃsu, bhikkhū vatthaṃ khaṇḍākhanḍaṃ katvā bhājayiṃsu. Eko mahallako attano koṭṭhāsaṃ gahetvā kalyāṇīvihāraṃ āgato. Sopi daharo cetiyaṃ vandissāmīti tattheva gantvā divāṭṭhāne nisīdi. Mahallako taṃ vatthakhaṇḍaṃ gahetvā, ‘‘iminā me parissāvanaṃ vicārethā’’ti daharaṃ avoca. Daharo mahāthera ‘‘kuhiṃ laddha’’nti āha. So sabbaṃ pavattiṃ kathesi. So taṃ sutvāva, ‘‘evarūpāya nāma saddhiṃ saṃvāsaṃ nālattha’’nti rāgagginā daḍḍho tattheva kālamakāsi.
อญฺญมญฺญํ อาลาปสลฺลาปวเสน อุปฺปนฺนราโค ปน สมุลฺลปนสํสโคฺค นามฯ ภิกฺขุโน ภิกฺขุนิยา สนฺตกํ, ภิกฺขุนิยา วา ภิกฺขุสฺส สนฺตกํ คเหตฺวา ปริโภคกรณวเสน อุปฺปนฺนราโค สโมฺภคสํสโคฺค นามฯ โส เอวํ เวทิตโพฺพ – มริจวฎฺฎิวิหารมเห กิร ภิกฺขูนํ สตสหสฺสํ ภิกฺขุนีนํ นวุติสหสฺสานิ เอว อเหสุํฯ เอโก สามเณโร อุณฺหยาคุํ คเหตฺวา คจฺฉโนฺต สกิํ จีวรกเณฺณ ฐเปสิ, สกิํ ภูมิยํฯ เอกา สามเณรี ทิสฺวา เอตฺถ ปตฺตํ ฐเปตฺวา ยาหีติ ถาลกํ อทาสิฯ เต อปรภาเค เอกสฺมิํ ภเย อุปฺปเนฺน ปรสมุทฺทํ อคมํสุฯ เตสุ ภิกฺขุนี ปุเรตรํ อคมาสิฯ สา, ‘‘เอโก กิร สีหฬภิกฺขุ อาคโต’’ติ สุตฺวา เถรสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ปฎิสนฺถารํ กตฺวา นิสินฺนา, – ‘‘ภเนฺต, มริจวฎฺฎิวิหารมหกาเล ตุเมฺห กติวสฺสา’’ติ ปุจฺฉิฯ ตทาหํ สตฺตวสฺสิกสามเณโรฯ ตฺวํ ปน กติวสฺสาติ? อหํ สตฺตวสฺสิกสามเณรีเยว เอกสฺส สามเณรสฺส อุณฺหยาคุํ คเหตฺวา คจฺฉนฺตสฺส ปตฺตฐปนตฺถํ ถาลกมทาสินฺติฯ เถโร, ‘‘อหํ โส’’ติ วตฺวา ถาลกํ นีหริตฺวา ทเสฺสสิฯ เต เอตฺตเกเนว สํสเคฺคน พฺรหฺมจริยํ สนฺธาเรตุํ อสโกฺกนฺตา เทฺวปิ สฎฺฐิวสฺสกาเล วิพฺภมิํสุฯ
Aññamaññaṃ ālāpasallāpavasena uppannarāgo pana samullapanasaṃsaggo nāma. Bhikkhuno bhikkhuniyā santakaṃ, bhikkhuniyā vā bhikkhussa santakaṃ gahetvā paribhogakaraṇavasena uppannarāgo sambhogasaṃsaggo nāma. So evaṃ veditabbo – maricavaṭṭivihāramahe kira bhikkhūnaṃ satasahassaṃ bhikkhunīnaṃ navutisahassāni eva ahesuṃ. Eko sāmaṇero uṇhayāguṃ gahetvā gacchanto sakiṃ cīvarakaṇṇe ṭhapesi, sakiṃ bhūmiyaṃ. Ekā sāmaṇerī disvā ettha pattaṃ ṭhapetvā yāhīti thālakaṃ adāsi. Te aparabhāge ekasmiṃ bhaye uppanne parasamuddaṃ agamaṃsu. Tesu bhikkhunī puretaraṃ agamāsi. Sā, ‘‘eko kira sīhaḷabhikkhu āgato’’ti sutvā therassa santikaṃ gantvā paṭisanthāraṃ katvā nisinnā, – ‘‘bhante, maricavaṭṭivihāramahakāle tumhe kativassā’’ti pucchi. Tadāhaṃ sattavassikasāmaṇero. Tvaṃ pana kativassāti? Ahaṃ sattavassikasāmaṇerīyeva ekassa sāmaṇerassa uṇhayāguṃ gahetvā gacchantassa pattaṭhapanatthaṃ thālakamadāsinti. Thero, ‘‘ahaṃ so’’ti vatvā thālakaṃ nīharitvā dassesi. Te ettakeneva saṃsaggena brahmacariyaṃ sandhāretuṃ asakkontā dvepi saṭṭhivassakāle vibbhamiṃsu.
หตฺถคาหาทิวเสน ปน อุปฺปนฺนราโค กายสํสโคฺค นามฯ ตตฺริทํ วตฺถุ – มหาเจติยงฺคเณ กิร ทหรภิกฺขู สชฺฌายํ คณฺหนฺติฯ เตสํ ปิฎฺฐิปเสฺส ทหรภิกฺขุนิโย ธมฺมํ สุณนฺติฯ ตเตฺรโก ทหโร หตฺถํ ปสาเรโนฺต เอกิสฺสา ทหรภิกฺขุนิยา กายํ ฉุปิฯ สา ตํ หตฺถํ คเหตฺวา อตฺตโน อุรสฺมิํ ฐเปสิ, เอตฺตเกน สํสเคฺคน เทฺวปิ วิพฺภมิตฺวา คิหิภาวํ ปตฺตาฯ
Hatthagāhādivasena pana uppannarāgo kāyasaṃsaggo nāma. Tatridaṃ vatthu – mahācetiyaṅgaṇe kira daharabhikkhū sajjhāyaṃ gaṇhanti. Tesaṃ piṭṭhipasse daharabhikkhuniyo dhammaṃ suṇanti. Tatreko daharo hatthaṃ pasārento ekissā daharabhikkhuniyā kāyaṃ chupi. Sā taṃ hatthaṃ gahetvā attano urasmiṃ ṭhapesi, ettakena saṃsaggena dvepi vibbhamitvā gihibhāvaṃ pattā.
คาหคาหกาทิวณฺณนา
Gāhagāhakādivaṇṇanā
อิเมสุ ปน ปญฺจสุ สํสเคฺคสุ ภิกฺขุโน ภิกฺขูหิ สทฺธิํ สวนทสฺสนสมุลฺลปนสโมฺภคกายปรามาสา นิจฺจมฺปิ โหนฺติเยว, ภิกฺขุนีหิ สทฺธิํ ฐเปตฺวา กายสํสคฺคํ เสสา กาเลน กาลํ โหนฺติ; ตถา อุปาสกอุปาสิกาหิ สทฺธิํ สเพฺพปิ กาเลน กาลํ โหนฺติฯ เตสุ หิ กิเลสุปฺปตฺติโต จิตฺตํ รกฺขิตพฺพํฯ เอโก หิ ภิกฺขุ คาหคาหโก โหติ, เอโก คาหมุตฺตโก, เอโก มุตฺตคาหโก, เอโก มุตฺตมุตฺตโกฯ
Imesu pana pañcasu saṃsaggesu bhikkhuno bhikkhūhi saddhiṃ savanadassanasamullapanasambhogakāyaparāmāsā niccampi hontiyeva, bhikkhunīhi saddhiṃ ṭhapetvā kāyasaṃsaggaṃ sesā kālena kālaṃ honti; tathā upāsakaupāsikāhi saddhiṃ sabbepi kālena kālaṃ honti. Tesu hi kilesuppattito cittaṃ rakkhitabbaṃ. Eko hi bhikkhu gāhagāhako hoti, eko gāhamuttako, eko muttagāhako, eko muttamuttako.
ตตฺถ ยํ ภิกฺขุํ มนุสฺสาปิ อามิเสน อุปลาเปตฺวา คหณวเสน อุปสงฺกมนฺติ, ภิกฺขุปิ ปุปฺผผลาทีหิ อุปลาเปตฺวา คหณวเสน อุปสงฺกมติ, อยํ คาหคาหโก นามฯ ยํ ปน มนุสฺสา วุตฺตนเยน อุปสงฺกมนฺติ, ภิกฺขุ ทกฺขิเณยฺยวเสน อุปสงฺกมติ, อยํ คาหมุตฺตโก นามฯ ยสฺส มนุสฺสา ทกฺขิเณยฺยวเสน จตฺตาโร ปจฺจเย เทนฺติ, ภิกฺขุ ปุปฺผผลาทีหิ อุปลาเปตฺวา คหณวเสน อุปสงฺกมติ, อยํ มุตฺตคาหโก นามฯ ยสฺส มนุสฺสาปิ ทกฺขิเณยฺยวเสน จตฺตาโร ปจฺจเย เทนฺติ, ภิกฺขุปิ จูฬปิณฺฑปาติยติสฺสเตฺถโร วิย ทกฺขิเณยฺยวเสน ปริภุญฺชติ, อยํ มุตฺตมุตฺตโก นามฯ
Tattha yaṃ bhikkhuṃ manussāpi āmisena upalāpetvā gahaṇavasena upasaṅkamanti, bhikkhupi pupphaphalādīhi upalāpetvā gahaṇavasena upasaṅkamati, ayaṃ gāhagāhako nāma. Yaṃ pana manussā vuttanayena upasaṅkamanti, bhikkhu dakkhiṇeyyavasena upasaṅkamati, ayaṃ gāhamuttako nāma. Yassa manussā dakkhiṇeyyavasena cattāro paccaye denti, bhikkhu pupphaphalādīhi upalāpetvā gahaṇavasena upasaṅkamati, ayaṃ muttagāhako nāma. Yassa manussāpi dakkhiṇeyyavasena cattāro paccaye denti, bhikkhupi cūḷapiṇḍapātiyatissatthero viya dakkhiṇeyyavasena paribhuñjati, ayaṃ muttamuttako nāma.
เถรํ กิร เอกา อุปาสิกา ทฺวาทส วสฺสานิ อุปฎฺฐหิฯ เอกทิวสํ ตสฺมิํ คาเม อคฺคิ อุฎฺฐหิตฺวา เคหานิ ฌาเปสิฯ อเญฺญสํ กุลูปกภิกฺขู อาคนฺตฺวา – ‘‘กิํ อุปาสิเก, อปิ กิญฺจิ ภณฺฑกํ อโรคํ กาตุํ อสกฺขิตฺถา’’ติ ปฎิสนฺถารํ อกํสุฯ มนุสฺสา, ‘‘อมฺหากํ มาตุ กุลูปกเตฺถโร ภุญฺชนเวลายเมว อาคมิสฺสตี’’ติ อาหํสุฯ เถโรปิ ปุนทิวเส ภิกฺขาจารเวลํ สลฺลเกฺขตฺวาว อาคโตฯ อุปาสิกา โกฎฺฐจฺฉายาย นิสีทาเปตฺวา ภิกฺขํ สมฺปาเทตฺวา อทาสิฯ เถเร ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา ปกฺกเนฺต มนุสฺสา อาหํสุ – ‘‘อมฺหากํ มาตุ กุลูปกเตฺถโร ภุญฺชนเวลายเมว อาคโต’’ติฯ อุปาสิกา, ‘‘ตุมฺหากํ กุลูปกา ตุมฺหากํเยว อนุจฺฉวิกา, มยฺหํ เถโร มเยฺหว อนุจฺฉวิโก’’ติ อาหฯ อายสฺมา ปน มนฺตาณิปุโตฺต อิเมหิ ปญฺจหิ สํสเคฺคหิ จตูหิปิ ปริสาหิ สทฺธิํ อสํสโฎฺฐ คาหมุตฺตโก เจว มุตฺตมุตฺตโก จ อโหสิฯ ยถา จ สยํ อสํสโฎฺฐ, เอวํ ภิกฺขูนมฺปิ ตํ อสํสคฺคกถํ กตฺตา อโหสิฯ
Theraṃ kira ekā upāsikā dvādasa vassāni upaṭṭhahi. Ekadivasaṃ tasmiṃ gāme aggi uṭṭhahitvā gehāni jhāpesi. Aññesaṃ kulūpakabhikkhū āgantvā – ‘‘kiṃ upāsike, api kiñci bhaṇḍakaṃ arogaṃ kātuṃ asakkhitthā’’ti paṭisanthāraṃ akaṃsu. Manussā, ‘‘amhākaṃ mātu kulūpakatthero bhuñjanavelāyameva āgamissatī’’ti āhaṃsu. Theropi punadivase bhikkhācāravelaṃ sallakkhetvāva āgato. Upāsikā koṭṭhacchāyāya nisīdāpetvā bhikkhaṃ sampādetvā adāsi. There bhattakiccaṃ katvā pakkante manussā āhaṃsu – ‘‘amhākaṃ mātu kulūpakatthero bhuñjanavelāyameva āgato’’ti. Upāsikā, ‘‘tumhākaṃ kulūpakā tumhākaṃyeva anucchavikā, mayhaṃ thero mayheva anucchaviko’’ti āha. Āyasmā pana mantāṇiputto imehi pañcahi saṃsaggehi catūhipi parisāhi saddhiṃ asaṃsaṭṭho gāhamuttako ceva muttamuttako ca ahosi. Yathā ca sayaṃ asaṃsaṭṭho, evaṃ bhikkhūnampi taṃ asaṃsaggakathaṃ kattā ahosi.
อารทฺธวีริโยติ ปคฺคหิตวีริโย, ปริปุณฺณกายิกเจตสิกวีริโยติ อโตฺถฯ โย หิ ภิกฺขุ คมเน อุปฺปนฺนกิเลสํ ฐานํ ปาปุณิตุํ น เทติ, ฐาเน อุปฺปนฺนกิเลสํ นิสชฺชํ, นิสชฺชาย อุปฺปนฺนกิเลสํ สยนํ ปาปุณิตุํ น เทติ, มเนฺตน กณฺหสปฺปํ อุปฺปีเฬตฺวา คณฺหโนฺต วิย, อมิตฺตํ คีวาย อกฺกมโนฺต วิย จ วิจรติ, อยํ อารทฺธวีริโย นามฯ เถโร จ ตาทิโส อโหสิฯ ภิกฺขูนมฺปิ ตเถว วีริยารมฺภกถํ กตฺตา อโหสิฯ
Āraddhavīriyoti paggahitavīriyo, paripuṇṇakāyikacetasikavīriyoti attho. Yo hi bhikkhu gamane uppannakilesaṃ ṭhānaṃ pāpuṇituṃ na deti, ṭhāne uppannakilesaṃ nisajjaṃ, nisajjāya uppannakilesaṃ sayanaṃ pāpuṇituṃ na deti, mantena kaṇhasappaṃ uppīḷetvā gaṇhanto viya, amittaṃ gīvāya akkamanto viya ca vicarati, ayaṃ āraddhavīriyo nāma. Thero ca tādiso ahosi. Bhikkhūnampi tatheva vīriyārambhakathaṃ kattā ahosi.
สีลสมฺปโนฺนติอาทีสุ สีลนฺติ จตุปาริสุทฺธิสีลํฯ สมาธีติ วิปสฺสนาปาทกา อฎฺฐ สมาปตฺติโยฯ ปญฺญาติ โลกิยโลกุตฺตรญาณํฯ วิมุตฺตีติ อริยผลํฯ วิมุตฺติญาณทสฺสนนฺติ เอกูนวีสติวิธํ ปจฺจเวกฺขณญาณํฯ เถโร สยมฺปิ สีลาทีหิ สมฺปโนฺน อโหสิ ภิกฺขูนมฺปิ สีลาทิกถํ กตฺตาฯ สฺวายํ ทสหิ กถาวตฺถูหิ โอวทตีติ โอวาทโกฯ ยถา ปน เอโก โอวทติเยว, สุขุมํ อตฺถํ ปริวเตฺตตฺวา ชานาเปตุํ น สโกฺกติฯ น เอวํ เถโรฯ เถโร ปน ตานิ ทส กถาวตฺถูนิ วิญฺญาเปตีติ วิญฺญาปโกฯ เอโก วิญฺญาเปตุํ สโกฺกติ, การณํ ทเสฺสตุํ น สโกฺกติฯ เถโร การณมฺปิ สนฺทเสฺสตีติ สนฺทสฺสโกฯ เอโก วิชฺชมานํ การณํ ทเสฺสติ, คาเหตุํ ปน น สโกฺกติฯ เถโร คาเหตุมฺปิ สโกฺกตีติ สมาทปโกฯ เอวํ สมาทเปตฺวา ปน เตสุ กถาวตฺถูสุ อุสฺสาหชนนวเสน ภิกฺขู สมุเตฺตเชตีติ สมุเตฺตชโกฯ อุสฺสาหชาเต วณฺณํ วตฺวา สมฺปหํเสตีติ สมฺปหํสโกฯ
Sīlasampannotiādīsu sīlanti catupārisuddhisīlaṃ. Samādhīti vipassanāpādakā aṭṭha samāpattiyo. Paññāti lokiyalokuttarañāṇaṃ. Vimuttīti ariyaphalaṃ. Vimuttiñāṇadassananti ekūnavīsatividhaṃ paccavekkhaṇañāṇaṃ. Thero sayampi sīlādīhi sampanno ahosi bhikkhūnampi sīlādikathaṃ kattā. Svāyaṃ dasahi kathāvatthūhi ovadatīti ovādako. Yathā pana eko ovadatiyeva, sukhumaṃ atthaṃ parivattetvā jānāpetuṃ na sakkoti. Na evaṃ thero. Thero pana tāni dasa kathāvatthūni viññāpetīti viññāpako. Eko viññāpetuṃ sakkoti, kāraṇaṃ dassetuṃ na sakkoti. Thero kāraṇampi sandassetīti sandassako. Eko vijjamānaṃ kāraṇaṃ dasseti, gāhetuṃ pana na sakkoti. Thero gāhetumpi sakkotīti samādapako. Evaṃ samādapetvā pana tesu kathāvatthūsu ussāhajananavasena bhikkhū samuttejetīti samuttejako. Ussāhajāte vaṇṇaṃ vatvā sampahaṃsetīti sampahaṃsako.
ปญฺจลาภวณฺณนา
Pañcalābhavaṇṇanā
๒๕๓. สุลทฺธลาภาติ อเญฺญสมฺปิ มนุสฺสตฺตภาวปพฺพชฺชาทิคุณลาภา นาม โหนฺติฯ อายสฺมโต ปน ปุณฺณสฺส สุลทฺธลาภา เอเต, ยสฺส สตฺถุ สมฺมุขา เอวํ วโณฺณ อพฺภุคฺคโตติ อโตฺถฯ อปิจ อปณฺฑิเตหิ วณฺณกถนํ นาม น ตถา ลาโภ, ปณฺฑิเตหิ วณฺณกถนํ ปน ลาโภฯ คิหี หิ วา วณฺณกถนํ น ตถา ลาโภ, คิหี หิ ‘‘วณฺณํ กเถสฺสามี’’ติ, ‘‘อมฺหากํ อโยฺย สโณฺห สขิโล สุขสมฺภาโส, วิหารํ อาคตานํ ยาคุภตฺตผาณิตาทีหิ สงฺคหํ กโรตี’’ติ กเถโนฺต อวณฺณเมว กเถติฯ ‘‘อวณฺณํ กเถสฺสามี’’ติ ‘‘อยํ เถโร มนฺทมโนฺท วิย อพลพโล วิย ภากุฎิกภากุฎิโก วิย นตฺถิ อิมินา สทฺธิํ วิสฺสาโส’’ติ กเถโนฺต วณฺณเมว กเถติฯ สพฺรหฺมจารีหิปิ สตฺถุ ปรมฺมุขา วณฺณกถนํ น ตถา ลาโภ, สตฺถุ สมฺมุขา ปน อติลาโภติ อิมมฺปิ อตฺถวสํ ปฎิจฺจ ‘‘สุลทฺธลาภา’’ติ อาหฯ อนุมสฺส อนุมสฺสาติ ทส กถาวตฺถูนิ อนุปวิสิตฺวา อนุปวิสิตฺวาฯ ตญฺจ สตฺถา อพฺภนุโมทตีติ ตญฺจสฺส วณฺณํ เอวเมตํ อปฺปิโจฺฉ จ โส ภิกฺขุ สนฺตุโฎฺฐ จ โส ภิกฺขูติ อนุโมทติฯ อิติ วิญฺญูหิ วณฺณภาสนํ เอโก ลาโภ, สพฺรหฺมจารีหิ เอโก, สตฺถุ สมฺมุขา เอโก, อนุมสฺส อนุมสฺส เอโก, สตฺถารา อพฺภนุโมทนํ เอโกติ อิเม ปญฺจ ลาเภ สนฺธาย ‘‘สุลทฺธลาภา’’ติ อาหฯ กทาจีติ กิสฺมิญฺจิเทว กาเลฯ กรหจีติ ตเสฺสว เววจนํฯ อเปฺปว นาม สิยา โกจิเทว กถาสลฺลาโปติ อปิ นาม โกจิ กถาสมุทาจาโรปิ ภเวยฺยฯ เถเรน กิร อายสฺมา ปุโณฺณ เนว ทิฎฺฐปุโพฺพ, นสฺส ธมฺมกถา สุตปุพฺพาฯ อิติ โส ตสฺส ทสฺสนมฺปิ ธมฺมกถมฺปิ ปตฺถยมาโน เอวมาหฯ
253.Suladdhalābhāti aññesampi manussattabhāvapabbajjādiguṇalābhā nāma honti. Āyasmato pana puṇṇassa suladdhalābhā ete, yassa satthu sammukhā evaṃ vaṇṇo abbhuggatoti attho. Apica apaṇḍitehi vaṇṇakathanaṃ nāma na tathā lābho, paṇḍitehi vaṇṇakathanaṃ pana lābho. Gihī hi vā vaṇṇakathanaṃ na tathā lābho, gihī hi ‘‘vaṇṇaṃ kathessāmī’’ti, ‘‘amhākaṃ ayyo saṇho sakhilo sukhasambhāso, vihāraṃ āgatānaṃ yāgubhattaphāṇitādīhi saṅgahaṃ karotī’’ti kathento avaṇṇameva katheti. ‘‘Avaṇṇaṃ kathessāmī’’ti ‘‘ayaṃ thero mandamando viya abalabalo viya bhākuṭikabhākuṭiko viya natthi iminā saddhiṃ vissāso’’ti kathento vaṇṇameva katheti. Sabrahmacārīhipi satthu parammukhā vaṇṇakathanaṃ na tathā lābho, satthu sammukhā pana atilābhoti imampi atthavasaṃ paṭicca ‘‘suladdhalābhā’’ti āha. Anumassa anumassāti dasa kathāvatthūni anupavisitvā anupavisitvā. Tañca satthā abbhanumodatīti tañcassa vaṇṇaṃ evametaṃ appiccho ca so bhikkhu santuṭṭho ca so bhikkhūti anumodati. Iti viññūhi vaṇṇabhāsanaṃ eko lābho, sabrahmacārīhi eko, satthu sammukhā eko, anumassa anumassa eko, satthārā abbhanumodanaṃ ekoti ime pañca lābhe sandhāya ‘‘suladdhalābhā’’ti āha. Kadācīti kismiñcideva kāle. Karahacīti tasseva vevacanaṃ. Appeva nāma siyā kocideva kathāsallāpoti api nāma koci kathāsamudācāropi bhaveyya. Therena kira āyasmā puṇṇo neva diṭṭhapubbo, nassa dhammakathā sutapubbā. Iti so tassa dassanampi dhammakathampi patthayamāno evamāha.
จาริกาทิวณฺณนา
Cārikādivaṇṇanā
๒๕๔. ยถาภิรนฺตนฺติ ยถาอชฺฌาสยํ วิหริตฺวาฯ พุทฺธานญฺหิ เอกสฺมิํ ฐาเน วสนฺตานํ ฉายูทกาทิวิปตฺติํ วา อปฺผาสุกเสนาสนํ วา, มนุสฺสานํ อสฺสทฺธาทิภาวํ วา อาคมฺม อนภิรติ นาม นตฺถิฯ เตสํ สมฺปตฺติยา ‘‘อิธ ผาสุ วิหรามา’’ติ อภิรมิตฺวา จิรวิหาโรปิ นตฺถิฯ ยตฺถ ปน ตถาคเต วิหรเนฺต สตฺตา สรเณสุ วา ปติฎฺฐหนฺติ, สีลานิ วา สมาทิยนฺติ, ปพฺพชนฺติ วา, ตโต โสตาปตฺติมคฺคาทีนํ วา ปน เตสํ อุปนิสฺสโย โหติฯ ตตฺถ พุทฺธา สเตฺต ตาสุ สมฺปตฺตีสุ ปติฎฺฐาปนอชฺฌาสเยน วสนฺติ; ตาสํ อภาเว ปกฺกมนฺติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ยถาอชฺฌาสยํ วิหริตฺวา’’ติฯ จาริกํ จรมาโนติ อทฺธานคมนํ คจฺฉโนฺตฯ จาริกา จ นาเมสา ภควโต ทุวิธา โหติ ตุริตจาริกา จ, อตุริตจาริกา จฯ
254.Yathābhirantanti yathāajjhāsayaṃ viharitvā. Buddhānañhi ekasmiṃ ṭhāne vasantānaṃ chāyūdakādivipattiṃ vā apphāsukasenāsanaṃ vā, manussānaṃ assaddhādibhāvaṃ vā āgamma anabhirati nāma natthi. Tesaṃ sampattiyā ‘‘idha phāsu viharāmā’’ti abhiramitvā ciravihāropi natthi. Yattha pana tathāgate viharante sattā saraṇesu vā patiṭṭhahanti, sīlāni vā samādiyanti, pabbajanti vā, tato sotāpattimaggādīnaṃ vā pana tesaṃ upanissayo hoti. Tattha buddhā satte tāsu sampattīsu patiṭṭhāpanaajjhāsayena vasanti; tāsaṃ abhāve pakkamanti. Tena vuttaṃ – ‘‘yathāajjhāsayaṃ viharitvā’’ti. Cārikaṃ caramānoti addhānagamanaṃ gacchanto. Cārikā ca nāmesā bhagavato duvidhā hoti turitacārikā ca, aturitacārikā ca.
ตตฺถ ทูเรปิ โพธเนยฺยปุคฺคลํ ทิสฺวา ตสฺส โพธนตฺถาย สหสา คมนํ ตุริตจาริกา นามฯ สา มหากสฺสปปจฺจุคฺคมนาทีสุ ทฎฺฐพฺพาฯ ภควา หิ มหากสฺสปํ ปจฺจุคฺคจฺฉโนฺต มุหุเตฺตน ติคาวุตํ มคฺคํ อคมาสิ, อาฬวกสฺสตฺถาย ติํสโยชนํ, ตถา องฺคุลิมาลสฺส ฯ ปุกฺกุสาติสฺส ปน ปญฺจจตฺตาลีสโยชนํ, มหากปฺปินสฺส วีสโยชนสตํ, ขทิรวนิยสฺสตฺถาย สตฺต โยชนสตานิ อคมาสิ; ธมฺมเสนาปติโน สทฺธิวิหาริกสฺส วนวาสีติสฺสสามเณรสฺส ติคาวุตาธิกํ วีสโยชนสตํฯ
Tattha dūrepi bodhaneyyapuggalaṃ disvā tassa bodhanatthāya sahasā gamanaṃ turitacārikā nāma. Sā mahākassapapaccuggamanādīsu daṭṭhabbā. Bhagavā hi mahākassapaṃ paccuggacchanto muhuttena tigāvutaṃ maggaṃ agamāsi, āḷavakassatthāya tiṃsayojanaṃ, tathā aṅgulimālassa . Pukkusātissa pana pañcacattālīsayojanaṃ, mahākappinassa vīsayojanasataṃ, khadiravaniyassatthāya satta yojanasatāni agamāsi; dhammasenāpatino saddhivihārikassa vanavāsītissasāmaṇerassa tigāvutādhikaṃ vīsayojanasataṃ.
เอกทิวสํ กิร เถโร, ‘‘ติสฺสสามเณรสฺส สนฺติกํ, ภเนฺต, คจฺฉามี’’ติ อาหฯ ภควา, ‘‘อหมฺปิ คมิสฺสามี’’ติ วตฺวา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามเนฺตสิ – ‘‘อานนฺท, วีสติสหสฺสานํ ฉฬภิญฺญานํ อาโรเจหิ – ‘ภควา วนวาสีติสฺสสามเณรสฺส สนฺติกํ คมิสฺสตี’’’ติฯ ตโต ทุติยทิวเส วีสติสหสฺสขีณาสวปริวุโต อากาเส อุปฺปติตฺวา วีสโยชนสตมตฺถเก ตสฺส โคจรคามทฺวาเร โอตริตฺวา จีวรํ ปารุปิฯ กมฺมนฺตํ คจฺฉมานา มนุสฺสา ทิสฺวา, ‘‘สตฺถา, โภ, อาคโต, มา กมฺมนฺตํ อคมิตฺถา’’ติ วตฺวา อาสนานิ ปญฺญเปตฺวา ยาคุํ ทตฺวา ปานวตฺตํ กโรนฺตา, ‘‘กุหิํ, ภเนฺต, ภควา คจฺฉตี’’ติ ทหรภิกฺขู ปุจฺฉิํสุฯ อุปาสกา, น ภควา อญฺญตฺถ คจฺฉติ, อิเธว ติสฺสสามเณรสฺส ทสฺสนตฺถาย อาคโตติ ฯ เต ‘‘อมฺหากํ กิร กุลูปกเตฺถรสฺส ทสฺสนตฺถาย สตฺถา อาคโต, โน วต โน เถโร โอรมตฺตโก’’ติ โสมนสฺสชาตา อเหสุํฯ
Ekadivasaṃ kira thero, ‘‘tissasāmaṇerassa santikaṃ, bhante, gacchāmī’’ti āha. Bhagavā, ‘‘ahampi gamissāmī’’ti vatvā āyasmantaṃ ānandaṃ āmantesi – ‘‘ānanda, vīsatisahassānaṃ chaḷabhiññānaṃ ārocehi – ‘bhagavā vanavāsītissasāmaṇerassa santikaṃ gamissatī’’’ti. Tato dutiyadivase vīsatisahassakhīṇāsavaparivuto ākāse uppatitvā vīsayojanasatamatthake tassa gocaragāmadvāre otaritvā cīvaraṃ pārupi. Kammantaṃ gacchamānā manussā disvā, ‘‘satthā, bho, āgato, mā kammantaṃ agamitthā’’ti vatvā āsanāni paññapetvā yāguṃ datvā pānavattaṃ karontā, ‘‘kuhiṃ, bhante, bhagavā gacchatī’’ti daharabhikkhū pucchiṃsu. Upāsakā, na bhagavā aññattha gacchati, idheva tissasāmaṇerassa dassanatthāya āgatoti . Te ‘‘amhākaṃ kira kulūpakattherassa dassanatthāya satthā āgato, no vata no thero oramattako’’ti somanassajātā ahesuṃ.
อถ ภควโต ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน สามเณโร คามํ ปิณฺฑาย จริตฺวา ‘‘อุปาสกา มหา ภิกฺขุสโงฺฆ’’ติ ปุจฺฉิฯ อถสฺส เต, ‘‘สตฺถา, ภเนฺต, อาคโต’’ติ อาโรเจสุํ, โส ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ปิณฺฑปาเตน อาปุจฺฉิฯ สตฺถา ตสฺส ปตฺตํ หเตฺถน คเหตฺวา, ‘‘อลํ, ติสฺส, นิฎฺฐิตํ ภตฺตกิจฺจ’’นฺติ อาหฯ ตโต อุปชฺฌายํ อาปุจฺฉิตฺวา อตฺตโน ปตฺตาสเน นิสีทิตฺวา ภตฺตกิจฺจมกาสิฯ อถสฺส ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน สตฺถา มงฺคลํ วตฺวา นิกฺขมิตฺวา คามทฺวาเร ฐตฺวา, ‘‘กตโร เต, ติสฺส, วสนฎฺฐานํ คมนมโคฺค’’ติ อาหฯ ‘‘อยํ ภควา’’ติฯ มคฺคํ เทสยมาโน ปุรโต ยาหิ ติสฺสาติฯ ภควา กิร สเทวกสฺส โลกสฺส มคฺคเทสโก สมาโนปิ ‘‘สกลติคาวุเต มเคฺค สามเณรํ ทฎฺฐุํ ลจฺฉามี’’ติ ตํ มคฺคเทสกมกาสิฯ
Atha bhagavato bhattakiccapariyosāne sāmaṇero gāmaṃ piṇḍāya caritvā ‘‘upāsakā mahā bhikkhusaṅgho’’ti pucchi. Athassa te, ‘‘satthā, bhante, āgato’’ti ārocesuṃ, so bhagavantaṃ upasaṅkamitvā piṇḍapātena āpucchi. Satthā tassa pattaṃ hatthena gahetvā, ‘‘alaṃ, tissa, niṭṭhitaṃ bhattakicca’’nti āha. Tato upajjhāyaṃ āpucchitvā attano pattāsane nisīditvā bhattakiccamakāsi. Athassa bhattakiccapariyosāne satthā maṅgalaṃ vatvā nikkhamitvā gāmadvāre ṭhatvā, ‘‘kataro te, tissa, vasanaṭṭhānaṃ gamanamaggo’’ti āha. ‘‘Ayaṃ bhagavā’’ti. Maggaṃ desayamāno purato yāhi tissāti. Bhagavā kira sadevakassa lokassa maggadesako samānopi ‘‘sakalatigāvute magge sāmaṇeraṃ daṭṭhuṃ lacchāmī’’ti taṃ maggadesakamakāsi.
โส อตฺตโน วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา ภควโต วตฺตมกาสิฯ อถ นํ ภควา, ‘‘กตโร เต, ติสฺส, จงฺกโม’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา สามเณรสฺส นิสีทนปาสาเณ นิสีทิตฺวา, ‘‘ติสฺส, อิมสฺมิํ ฐาเน สุขํ วสสี’’ติ ปุจฺฉิฯ โส อาห – ‘‘อาม, ภเนฺต, อิมสฺมิํ เม ฐาเน วสนฺตสฺส สีหพฺยคฺฆหตฺถิมิคโมราทีนํ สทฺทํ สุณโต อรญฺญสญฺญา อุปฺปชฺชติ, ตาย สุขํ วสามี’’ติฯ อถ นํ ภควา, ‘‘ติสฺส, ภิกฺขุสงฺฆํ สนฺนิปาเตหิ, พุทฺธทายชฺชํ เต ทสฺสามี’’ติ วตฺวา สนฺนิปติเต ภิกฺขุสเงฺฆ อุปสมฺปาเทตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐานเมว อคมาสีติฯ อยํ ตุริตจาริกา นามฯ
So attano vasanaṭṭhānaṃ gantvā bhagavato vattamakāsi. Atha naṃ bhagavā, ‘‘kataro te, tissa, caṅkamo’’ti pucchitvā tattha gantvā sāmaṇerassa nisīdanapāsāṇe nisīditvā, ‘‘tissa, imasmiṃ ṭhāne sukhaṃ vasasī’’ti pucchi. So āha – ‘‘āma, bhante, imasmiṃ me ṭhāne vasantassa sīhabyagghahatthimigamorādīnaṃ saddaṃ suṇato araññasaññā uppajjati, tāya sukhaṃ vasāmī’’ti. Atha naṃ bhagavā, ‘‘tissa, bhikkhusaṅghaṃ sannipātehi, buddhadāyajjaṃ te dassāmī’’ti vatvā sannipatite bhikkhusaṅghe upasampādetvā attano vasanaṭṭhānameva agamāsīti. Ayaṃ turitacārikā nāma.
ยํ ปน คามนิคมปฎิปาฎิยา เทวสิกํ โยชนฑฺฒโยชนวเสน ปิณฺฑปาตจริยาทีหิ โลกํ อนุคฺคณฺหนฺตสฺส คมนํ, อยํ อตุริตจาริกา นามฯ อิมํ ปน จาริกํ จรโนฺต ภควา มหามณฺฑลํ มชฺฌิมมณฺฑลํ อนฺติมมณฺฑลนฺติ อิเมสํ ติณฺณํ มณฺฑลานํ อญฺญตรสฺมิํ จรติฯ ตตฺถ มหามณฺฑลํ นวโยชนสติกํ, มชฺฌิมมณฺฑลํ ฉโยชนสติกํ, อนฺติมมณฺฑลํ ติโยชนสติกํฯ ยทา มหามณฺฑเล จาริกํ จริตุกาโม โหติ, มหาปวารณาย ปวาเรตฺวา ปาฎิปททิวเส มหาภิกฺขุสงฺฆปริวาโร นิกฺขมติฯ สมนฺตา โยชนสตํ เอกโกลาหลํ อโหสิ, ปุริมํ ปุริมํ อาคตา นิมเนฺตตุํ ลภนฺติ; อิตเรสุ ทฺวีสุ มณฺฑเลสุ สกฺกาโร มหามณฺฑเล โอสรติฯ ตตฺร ภควา เตสุ เตสุ คามนิคเมสุ เอกาหํ ทฺวีหํ วสโนฺต มหาชนํ อามิสปฎิคฺคเหน อนุคฺคณฺหโนฺต ธมฺมทาเนน จสฺส วิวฎฺฎูปนิสฺสิตํ กุสลํ วเฑฺฒโนฺต นวหิ มาเสหิ จาริกํ ปริโยสาเปติฯ
Yaṃ pana gāmanigamapaṭipāṭiyā devasikaṃ yojanaḍḍhayojanavasena piṇḍapātacariyādīhi lokaṃ anuggaṇhantassa gamanaṃ, ayaṃ aturitacārikā nāma. Imaṃ pana cārikaṃ caranto bhagavā mahāmaṇḍalaṃ majjhimamaṇḍalaṃ antimamaṇḍalanti imesaṃ tiṇṇaṃ maṇḍalānaṃ aññatarasmiṃ carati. Tattha mahāmaṇḍalaṃ navayojanasatikaṃ, majjhimamaṇḍalaṃ chayojanasatikaṃ, antimamaṇḍalaṃ tiyojanasatikaṃ. Yadā mahāmaṇḍale cārikaṃ caritukāmo hoti, mahāpavāraṇāya pavāretvā pāṭipadadivase mahābhikkhusaṅghaparivāro nikkhamati. Samantā yojanasataṃ ekakolāhalaṃ ahosi, purimaṃ purimaṃ āgatā nimantetuṃ labhanti; itaresu dvīsu maṇḍalesu sakkāro mahāmaṇḍale osarati. Tatra bhagavā tesu tesu gāmanigamesu ekāhaṃ dvīhaṃ vasanto mahājanaṃ āmisapaṭiggahena anuggaṇhanto dhammadānena cassa vivaṭṭūpanissitaṃ kusalaṃ vaḍḍhento navahi māsehi cārikaṃ pariyosāpeti.
สเจ ปน อโนฺตวเสฺส ภิกฺขูนํ สมถวิปสฺสนา ตรุณา โหติ, มหาปวารณาย อปวาเรตฺวา ปวารณาสงฺคหํ ทตฺวา กตฺติกปุณฺณมาย ปวาเรตฺวา มิคสิรสฺส ปฐมทิวเส มหาภิกฺขุสงฺฆปริวาโร นิกฺขมิตฺวา มชฺฌิมมณฺฑลํ โอสรติฯ อเญฺญนปิ การเณน มชฺฌิมมณฺฑเล จาริกํ จริตุกาโม จตุมาสํ วสิตฺวาว นิกฺขมติฯ วุตฺตนเยเนว อิตเรสุ ทฺวีสุ มณฺฑเลสุ สกฺกาโร มชฺฌิมมณฺฑเล โอสรติฯ ภควา ปุริมนเยเนว โลกํ อนุคฺคณฺหโนฺต อฎฺฐหิ มาเสหิ จาริกํ ปริโยสาเปติฯ
Sace pana antovasse bhikkhūnaṃ samathavipassanā taruṇā hoti, mahāpavāraṇāya apavāretvā pavāraṇāsaṅgahaṃ datvā kattikapuṇṇamāya pavāretvā migasirassa paṭhamadivase mahābhikkhusaṅghaparivāro nikkhamitvā majjhimamaṇḍalaṃ osarati. Aññenapi kāraṇena majjhimamaṇḍale cārikaṃ caritukāmo catumāsaṃ vasitvāva nikkhamati. Vuttanayeneva itaresu dvīsu maṇḍalesu sakkāro majjhimamaṇḍale osarati. Bhagavā purimanayeneva lokaṃ anuggaṇhanto aṭṭhahi māsehi cārikaṃ pariyosāpeti.
สเจ ปน จตุมาสํ วุฎฺฐวสฺสสฺสาปิ ภควโต เวเนยฺยสตฺตา อปริปกฺกินฺทฺริยา โหนฺติ, เตสํ อินฺทฺริยปริปากํ อาคมยมาโน อปรมฺปิ เอกํ มาสํ วา ทฺวิติจตุมาสํ วา ตเตฺถว วสิตฺวา มหาภิกฺขุสงฺฆปริวาโร นิกฺขมติฯ วุตฺตนเยเนว อิตเรสุ ทฺวีสุ มณฺฑเลสุ สกฺกาโร อโนฺตมณฺฑเล โอสรติฯ ภควา ปุริมนเยเนว โลกํ อนุคฺคณฺหโนฺต สตฺตหิ วา ฉหิ วา ปญฺจหิ วา จตูหิ วา มาเสหิ จาริกํ ปริโยสาเปติฯ อิติ อิเมสุ ตีสุ มณฺฑเลสุ ยตฺถ กตฺถจิ จาริกํ จรโนฺต น จีวราทิเหตุ จรติฯ อถ โข เย ทุคฺคตา พาลา ชิณฺณา พฺยาธิตา, เต กทา ตถาคตํ อาคนฺตฺวา ปสฺสิสฺสนฺติ? มยิ ปน จาริกํ จรเนฺต มหาชโน ตถาคตทสฺสนํ ลภิสฺสติ, ตตฺถ เกจิ จิตฺตานิ ปสาเทสฺสนฺติ, เกจิ มาลาทีหิ ปูเชสฺสนฺติ, เกจิ กฎจฺฉุภิกฺขํ ทสฺสนฺติ, เกจิ มิจฺฉาทสฺสนํ ปหาย สมฺมาทิฎฺฐิกา ภวิสฺสนฺติ, ตํ เตสํ ภวิสฺสติ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขายาติ เอวํ โลกานุกมฺปาย จาริกํ จรติฯ
Sace pana catumāsaṃ vuṭṭhavassassāpi bhagavato veneyyasattā aparipakkindriyā honti, tesaṃ indriyaparipākaṃ āgamayamāno aparampi ekaṃ māsaṃ vā dviticatumāsaṃ vā tattheva vasitvā mahābhikkhusaṅghaparivāro nikkhamati. Vuttanayeneva itaresu dvīsu maṇḍalesu sakkāro antomaṇḍale osarati. Bhagavā purimanayeneva lokaṃ anuggaṇhanto sattahi vā chahi vā pañcahi vā catūhi vā māsehi cārikaṃ pariyosāpeti. Iti imesu tīsu maṇḍalesu yattha katthaci cārikaṃ caranto na cīvarādihetu carati. Atha kho ye duggatā bālā jiṇṇā byādhitā, te kadā tathāgataṃ āgantvā passissanti? Mayi pana cārikaṃ carante mahājano tathāgatadassanaṃ labhissati, tattha keci cittāni pasādessanti, keci mālādīhi pūjessanti, keci kaṭacchubhikkhaṃ dassanti, keci micchādassanaṃ pahāya sammādiṭṭhikā bhavissanti, taṃ tesaṃ bhavissati dīgharattaṃ hitāya sukhāyāti evaṃ lokānukampāya cārikaṃ carati.
อปิจ จตูหิ การเณหิ พุทฺธา ภควโนฺต จาริกํ จรนฺติ – ชงฺฆาวิหารวเสน สรีรผาสุกตฺถาย, อตฺถุปฺปตฺติกาลํ อภิกงฺขนตฺถาย, ภิขูนํ สิกฺขาปทํ ปญฺญาปนตฺถาย, ตตฺถ ตตฺถ ปริปากคตินฺทฺริเย โพธเนยฺยสเตฺต โพธนตฺถายาติฯ อปเรหิปิ จตูหิ การเณหิ พุทฺธา ภควโนฺต จาริกํ จรนฺติ – พุทฺธํ สรณํ คจฺฉิสฺสนฺตีติ วา, ธมฺมํ สรณํ คจฺฉิสฺสนฺตีติ วา, สงฺฆํ สรณํ คจฺฉิสฺสนฺตีติ วา, มหตา ธมฺมวเสฺสน จตโสฺส ปริสา สนฺตเปฺปสฺสามีติ วาติ ฯ อปเรหิ ปญฺจหิ การเณหิ พุทฺธา ภควโนฺต จาริกํ จรนฺติ – ปาณาติปาตา วิรมิสฺสนฺตีติ วา, อทินฺนาทานา… กาเมสุมิจฺฉาจารา… มุสาวาทา… สุราเมรยมชฺชปมาทฎฺฐานา วิรมิสฺสนฺตีติ วาติฯ อปเรหิ อฎฺฐหิ การเณหิ พุทฺธา ภควโนฺต จาริกํ จรนฺติ – ปฐมชฺฌานํ ปฎิลภิสฺสนฺตีติ วา, ทุติยํ…เป.… เนวสญฺญานาสญฺญายตนสมาปตฺติํ ปฎิลภิสฺสนฺตีติ วาติฯ อปเรหิ อฎฺฐหิ การเณหิ พุทฺธา ภควโนฺต จาริกํ จรนฺติ – โสตาปตฺติมคฺคํ อธิคมิสฺสนฺตีติ วา, โสตาปตฺติผลํ…เป.… อรหตฺตผลํ สจฺฉิกริสฺสนฺตีติ วาติฯ อยํ อตุริตจาริกา, สา อิธ อธิเปฺปตาฯ สา ปเนสา ทุวิธา โหติ นิพทฺธจาริกา, อนิพทฺธจาริกา จฯ ตตฺถ ยํ เอกเสฺสว โพธเนยฺยสตฺตสฺส อตฺถาย คจฺฉติ, อยํ นิพทฺธจาริกา นามฯ ยํ ปน คามนิคมนครปฎิปาฎิวเสน จรติ, อยํ อนิพทฺธจาริกา นามฯ เอสา อิธ อธิเปฺปตาฯ
Apica catūhi kāraṇehi buddhā bhagavanto cārikaṃ caranti – jaṅghāvihāravasena sarīraphāsukatthāya, atthuppattikālaṃ abhikaṅkhanatthāya, bhikhūnaṃ sikkhāpadaṃ paññāpanatthāya, tattha tattha paripākagatindriye bodhaneyyasatte bodhanatthāyāti. Aparehipi catūhi kāraṇehi buddhā bhagavanto cārikaṃ caranti – buddhaṃ saraṇaṃ gacchissantīti vā, dhammaṃ saraṇaṃ gacchissantīti vā, saṅghaṃ saraṇaṃ gacchissantīti vā, mahatā dhammavassena catasso parisā santappessāmīti vāti . Aparehi pañcahi kāraṇehi buddhā bhagavanto cārikaṃ caranti – pāṇātipātā viramissantīti vā, adinnādānā… kāmesumicchācārā… musāvādā… surāmerayamajjapamādaṭṭhānā viramissantīti vāti. Aparehi aṭṭhahi kāraṇehi buddhā bhagavanto cārikaṃ caranti – paṭhamajjhānaṃ paṭilabhissantīti vā, dutiyaṃ…pe… nevasaññānāsaññāyatanasamāpattiṃ paṭilabhissantīti vāti. Aparehi aṭṭhahi kāraṇehi buddhā bhagavanto cārikaṃ caranti – sotāpattimaggaṃ adhigamissantīti vā, sotāpattiphalaṃ…pe… arahattaphalaṃ sacchikarissantīti vāti. Ayaṃ aturitacārikā, sā idha adhippetā. Sā panesā duvidhā hoti nibaddhacārikā, anibaddhacārikā ca. Tattha yaṃ ekasseva bodhaneyyasattassa atthāya gacchati, ayaṃ nibaddhacārikā nāma. Yaṃ pana gāmanigamanagarapaṭipāṭivasena carati, ayaṃ anibaddhacārikā nāma. Esā idha adhippetā.
เสนาสนํ สํสาเมตฺวาติ เสนาสนํ ปฎิสาเมตฺวาฯ ตํ ปน ปฎิสาเมโนฺต เถโร น จูฬปตฺตมหาปตฺต-จูฬถาลกมหาถาลก-ปฎฺฎุณฺณจีวร-ทุกูลจีวราทีนํ ภณฺฑิกํ กตฺวา สปฺปิเตลาทีนํ วา ปน ฆเฎ ปูราเปตฺวา คเพฺภ นิทหิตฺวา ทฺวารํ ปิธาย กุญฺจิกมุทฺทิกาทีนิ โยชาเปสิฯ ‘‘สเจ น โหติ ภิกฺขุ วา สามเณโร วา อารามิโก วา อุปาสโก วา, จตูสุ ปาสาเณสุ มเญฺจ มญฺจํ อาโรเปตฺวา ปีเฐ ปีฐํ อาโรเปตฺวา จีวรวํเส วา จีวรรชฺชุยา วา อุปริ ปุญฺชํ กตฺวา ทฺวารวาตปานํ ถเกตฺวา ปกฺกมิตพฺพ’’นฺติ (จูฬว. ๓๖๑) วจนโต ปน เนวาสิกํ ภิกฺขุํ อาปุจฺฉนมตฺตเกเนว ปฎิสาเมสิฯ
Senāsanaṃ saṃsāmetvāti senāsanaṃ paṭisāmetvā. Taṃ pana paṭisāmento thero na cūḷapattamahāpatta-cūḷathālakamahāthālaka-paṭṭuṇṇacīvara-dukūlacīvarādīnaṃ bhaṇḍikaṃ katvā sappitelādīnaṃ vā pana ghaṭe pūrāpetvā gabbhe nidahitvā dvāraṃ pidhāya kuñcikamuddikādīni yojāpesi. ‘‘Sace na hoti bhikkhu vā sāmaṇero vā ārāmiko vā upāsako vā, catūsu pāsāṇesu mañce mañcaṃ āropetvā pīṭhe pīṭhaṃ āropetvā cīvaravaṃse vā cīvararajjuyā vā upari puñjaṃ katvā dvāravātapānaṃ thaketvā pakkamitabba’’nti (cūḷava. 361) vacanato pana nevāsikaṃ bhikkhuṃ āpucchanamattakeneva paṭisāmesi.
เยน สาวตฺถิ เตน จาริกํ ปกฺกามีติ สตฺถุ ทสฺสนกาโม หุตฺวา เยน ทิสาภาเคน สาวตฺถิ เตน ปกฺกามิฯ ปกฺกมโนฺต จ น สุโทฺธทนมหาราชสฺส อาโรจาเปตฺวา สปฺปิเตลมธุผาณิตาทีนิ คาหาเปตฺวา ปกฺกโนฺตฯ ยูถํ ปหาย นิกฺขโนฺต ปน มตฺตหตฺถี วิย, อสหายกิโจฺจ สีโห วิย, ปตฺตจีวรมตฺตํ อาทาย เอกโกว ปกฺกามิฯ กสฺมา ปเนส ปญฺจสเตหิ อตฺตโน อเนฺตวาสิเกหิ สทฺธิํ ราชคหํ อคนฺตฺวา อิทานิ นิกฺขโนฺตติ? ราชคหํ กปิลวตฺถุโต ทูรํ สฎฺฐิโยชนานิ, สาวตฺถิ ปน ปญฺจทสฯ สตฺถา ราชคหโต ปญฺจจตฺตาลีสโยชนํ อาคนฺตฺวา สาวตฺถิยํ วิหรติ, อิทานิ อาสโนฺน ชาโตติ สุตฺวา นิกฺขมีติ อการณเมตํฯ พุทฺธานํ สนฺติกํ คจฺฉโนฺต หิ เอส โยชนสหสฺสมฺปิ คเจฺฉยฺย, ตทา ปน กายวิเวโก น สกฺกา ลทฺธุนฺติฯ พหูหิ สทฺธิํ คมนกาเล หิ เอกสฺมิํ คจฺฉามาติ วทเนฺต เอโก อิเธว วสามาติ วทติฯ เอกสฺมิํ วสามาติ วทเนฺต เอโก คจฺฉามาติ วทติฯ ตสฺมา อิจฺฉิติจฺฉิตกฺขเณ สมาปตฺติํ อเปฺปตฺวา นิสีทิตุํ วา ผาสุกเสนาสเน กายวิเวกํ ลทฺธุํ วา น สกฺกา โหติ, เอกกสฺส ปน ตํ สพฺพํ สุลภํ โหตีติ ตทา อคนฺตฺวา อิทานิ ปกฺกามิฯ
Yena sāvatthi tena cārikaṃ pakkāmīti satthu dassanakāmo hutvā yena disābhāgena sāvatthi tena pakkāmi. Pakkamanto ca na suddhodanamahārājassa ārocāpetvā sappitelamadhuphāṇitādīni gāhāpetvā pakkanto. Yūthaṃ pahāya nikkhanto pana mattahatthī viya, asahāyakicco sīho viya, pattacīvaramattaṃ ādāya ekakova pakkāmi. Kasmā panesa pañcasatehi attano antevāsikehi saddhiṃ rājagahaṃ agantvā idāni nikkhantoti? Rājagahaṃ kapilavatthuto dūraṃ saṭṭhiyojanāni, sāvatthi pana pañcadasa. Satthā rājagahato pañcacattālīsayojanaṃ āgantvā sāvatthiyaṃ viharati, idāni āsanno jātoti sutvā nikkhamīti akāraṇametaṃ. Buddhānaṃ santikaṃ gacchanto hi esa yojanasahassampi gaccheyya, tadā pana kāyaviveko na sakkā laddhunti. Bahūhi saddhiṃ gamanakāle hi ekasmiṃ gacchāmāti vadante eko idheva vasāmāti vadati. Ekasmiṃ vasāmāti vadante eko gacchāmāti vadati. Tasmā icchiticchitakkhaṇe samāpattiṃ appetvā nisīdituṃ vā phāsukasenāsane kāyavivekaṃ laddhuṃ vā na sakkā hoti, ekakassa pana taṃ sabbaṃ sulabhaṃ hotīti tadā agantvā idāni pakkāmi.
จาริกํ จรมาโนติ เอตฺถ กิญฺจาปิ อยํ จาริกา นาม มหาชนสงฺคหตฺถํ พุทฺธานํเยว ลพฺภติ, พุเทฺธ อุปาทาย ปน รุฬฺหีสเทฺทน สาวกานมฺปิ วุจฺจติ กิลญฺชาทีหิ กตํ พีชนมฺปิ ตาลวณฺฎํ วิยฯ เยน ภควาติ สาวตฺถิยา อวิทูเร เอกสฺมิํ คามเก ปิณฺฑาย จริตฺวา กตภตฺตกิโจฺจ เชตวนํ ปวิสิตฺวา สาริปุตฺตเตฺถรสฺส วา มหาโมคฺคลฺลานเตฺถรสฺส วา วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา ปาเท โธวิตฺวา มเกฺขตฺวา ปานียํ วา ปานกํ วา ปิวิตฺวา โถกํ วิสฺสมิตฺวา สตฺถารํ ปสฺสิสฺสามีติ จิตฺตมฺปิ อนุปฺปาเทตฺวา อุชุกํ คนฺธกุฎิปริเวณเมว อคมาสิฯ เถรสฺส หิ สตฺถารํ ทฎฺฐุกามสฺส อเญฺญน ภิกฺขุนา กิจฺจํ นตฺถิฯ ตสฺมา ราหุลํ วา อานนฺทํ วา คเหตฺวา โอกาสํ กาเรตฺวา สตฺถารํ ปสฺสิสฺสามีติ เอวมฺปิ จิตฺตํ น อุปฺปาเทสิฯ
Cārikaṃcaramānoti ettha kiñcāpi ayaṃ cārikā nāma mahājanasaṅgahatthaṃ buddhānaṃyeva labbhati, buddhe upādāya pana ruḷhīsaddena sāvakānampi vuccati kilañjādīhi kataṃ bījanampi tālavaṇṭaṃ viya. Yena bhagavāti sāvatthiyā avidūre ekasmiṃ gāmake piṇḍāya caritvā katabhattakicco jetavanaṃ pavisitvā sāriputtattherassa vā mahāmoggallānattherassa vā vasanaṭṭhānaṃ gantvā pāde dhovitvā makkhetvā pānīyaṃ vā pānakaṃ vā pivitvā thokaṃ vissamitvā satthāraṃ passissāmīti cittampi anuppādetvā ujukaṃ gandhakuṭipariveṇameva agamāsi. Therassa hi satthāraṃ daṭṭhukāmassa aññena bhikkhunā kiccaṃ natthi. Tasmā rāhulaṃ vā ānandaṃ vā gahetvā okāsaṃ kāretvā satthāraṃ passissāmīti evampi cittaṃ na uppādesi.
เถโร หิ สยเมว พุทฺธสาสเน วลฺลโภ รโญฺญ สงฺคามวิชยมหาโยโธ วิยฯ ยถา หิ ตาทิสสฺส โยธสฺส ราชานํ ทฎฺฐุกามสฺส อญฺญํ เสวิตฺวา ทสฺสนกมฺมํ นาม นตฺถิ; วลฺลภตาย สยเมว ปสฺสติฯ เอวํ เถโรปิ พุทฺธสาสเน วลฺลโภ, ตสฺส อญฺญํ เสวิตฺวา สตฺถุทสฺสนกิจฺจํ นตฺถีติ ปาเท โธวิตฺวา ปาทปุญฺฉนมฺหิ ปุญฺฉิตฺวา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิฯ ภควาปิ ‘‘ปจฺจูสกาเลเยว มนฺตาณิปุโตฺต อาคมิสฺสตี’’ติ อทฺทสฯ ตสฺมา คนฺธกุฎิํ ปวิสิตฺวา สูจิฆฎิกํ อทตฺวาว ทรถํ ปฎิปฺปสฺสเมฺภตฺวา อุฎฺฐาย นิสีทิฯ เถโร กวาฎํ ปณาเมตฺวา คนฺธกุฎิํ ปวิสิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ ธมฺมิยา กถายาติ ภควา ธมฺมิํ กถํ กเถโนฺต จูฬโคสิงฺคสุเตฺต (ม. นิ. ๑.๓๒๕ อาทโย) ติณฺณํ กุลปุตฺตานํ สามคฺคิรสานิสํสํ กเถสิ; เสกฺขสุเตฺต (ม. นิ. ๒.๒๒ อาทโย) อาวสถานิสํสํ, ฆฎิการสุเตฺต (ม. นิ. ๒.๒๘๒ อาทโย) สติปฎิลาภิกํ ปุเพฺพนิวาสปฺปฎิสํยุตฺตกถํ; รฎฺฐปาลสุเตฺต (ม. นิ. ๒.๓๐๔) จตฺตาโร ธมฺมุเทฺทเส, เสลสุเตฺต (ม. นิ. ๒.๓๙๖ อาทโย) ปานกานิสํสกถํ , อุปกฺกิเลสสุเตฺต (ม. นิ. ๓.๒๓๖ อาทโย) ภคุเตฺถรสฺส ธมฺมกถํ กเถโนฺต เอกีภาเว อานิสํสํ กเถสิฯ อิมสฺมิํ ปน รถวินีเต อายสฺมโต ปุณฺณสฺส กเถโนฺต ทสกถาวตฺถุนิสฺสยํ อนนฺตนยํ นาม ทเสฺสสิ ปุณฺณ, อยมฺปิ อปฺปิจฺฉกถาเยว สโนฺตสกถาเยวาติฯ ปฎิสมฺภิทาปตฺตสฺส สาวกสฺส เวลเนฺต ฐตฺวา มหาสมุเทฺท หตฺถปฺปสารณํ วิย อโหสิฯ
Thero hi sayameva buddhasāsane vallabho rañño saṅgāmavijayamahāyodho viya. Yathā hi tādisassa yodhassa rājānaṃ daṭṭhukāmassa aññaṃ sevitvā dassanakammaṃ nāma natthi; vallabhatāya sayameva passati. Evaṃ theropi buddhasāsane vallabho, tassa aññaṃ sevitvā satthudassanakiccaṃ natthīti pāde dhovitvā pādapuñchanamhi puñchitvā yena bhagavā tenupasaṅkami. Bhagavāpi ‘‘paccūsakāleyeva mantāṇiputto āgamissatī’’ti addasa. Tasmā gandhakuṭiṃ pavisitvā sūcighaṭikaṃ adatvāva darathaṃ paṭippassambhetvā uṭṭhāya nisīdi. Thero kavāṭaṃ paṇāmetvā gandhakuṭiṃ pavisitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Dhammiyā kathāyāti bhagavā dhammiṃ kathaṃ kathento cūḷagosiṅgasutte (ma. ni. 1.325 ādayo) tiṇṇaṃ kulaputtānaṃ sāmaggirasānisaṃsaṃ kathesi; sekkhasutte (ma. ni. 2.22 ādayo) āvasathānisaṃsaṃ, ghaṭikārasutte (ma. ni. 2.282 ādayo) satipaṭilābhikaṃ pubbenivāsappaṭisaṃyuttakathaṃ; raṭṭhapālasutte (ma. ni. 2.304) cattāro dhammuddese, selasutte (ma. ni. 2.396 ādayo) pānakānisaṃsakathaṃ , upakkilesasutte (ma. ni. 3.236 ādayo) bhaguttherassa dhammakathaṃ kathento ekībhāve ānisaṃsaṃ kathesi. Imasmiṃ pana rathavinīte āyasmato puṇṇassa kathento dasakathāvatthunissayaṃ anantanayaṃ nāma dassesi puṇṇa, ayampi appicchakathāyeva santosakathāyevāti. Paṭisambhidāpattassa sāvakassa velante ṭhatvā mahāsamudde hatthappasāraṇaṃ viya ahosi.
เยน อนฺธวนนฺติ ตทา กิร ปจฺฉาภเตฺต เชตวนํ อากิณฺณํ โหติ, พหู ขตฺติยพฺราหฺมณาทโย เชตวนํ โอสรนฺติ; รโญฺญ จกฺกวตฺติสฺส ขนฺธาวารฎฺฐานํ วิย โหติ, น สกฺกา ปวิเวกํ ลภิตุํฯ อนฺธวนํ ปน ปธานฆรสทิสํ ปวิวิตฺตํ, ตสฺมา เยนนฺธวนํ เตนุปสงฺกมิฯ กสฺมา ปน มหาเถเร น อทฺทส? เอวํ กิรสฺส อโหสิ – ‘‘สายนฺหสมเย อาคนฺตฺวา มหาเถเร ทิสฺวา ปุน ทสพลํ ปสฺสิสฺสามิ, เอวํ มหาเถรานํ เอกํ อุปฎฺฐานํ ภวิสฺสติ, สตฺถุ เทฺว ภวิสฺสนฺติ, ตโต สตฺถารํ วนฺทิตฺวา มม วสนฎฺฐานเมว คมิสฺสามี’’ติฯ
Yena andhavananti tadā kira pacchābhatte jetavanaṃ ākiṇṇaṃ hoti, bahū khattiyabrāhmaṇādayo jetavanaṃ osaranti; rañño cakkavattissa khandhāvāraṭṭhānaṃ viya hoti, na sakkā pavivekaṃ labhituṃ. Andhavanaṃ pana padhānagharasadisaṃ pavivittaṃ, tasmā yenandhavanaṃ tenupasaṅkami. Kasmā pana mahāthere na addasa? Evaṃ kirassa ahosi – ‘‘sāyanhasamaye āgantvā mahāthere disvā puna dasabalaṃ passissāmi, evaṃ mahātherānaṃ ekaṃ upaṭṭhānaṃ bhavissati, satthu dve bhavissanti, tato satthāraṃ vanditvā mama vasanaṭṭhānameva gamissāmī’’ti.
สตฺตวิสุทฺธิปญฺหวณฺณนา
Sattavisuddhipañhavaṇṇanā
๒๕๖. อภิณฺหํ กิตฺตยมาโน อโหสีติ ปุนปฺปุนํ วณฺณํ กิตฺตยมาโน วิหาสิฯ เถโร กิร ตโต ปฎฺฐาย ทิวเส ทิวเส สงฺฆมเชฺฌ ‘‘ปุโณฺณ กิร นาม มนฺตาณิปุโตฺต จตูหิ ปริสาหิ สทฺธิํ อสํสโฎฺฐ, โส ทสพลสฺส ทสฺสนตฺถาย อาคมิสฺสติ; กจฺจิ นุ โข มํ อทิสฺวาว คมิสฺสตี’’ติ เถรนวมชฺฌิมานํ สติกรณตฺถํ อายสฺมโต ปุณฺณสฺส คุณํ ภาสติฯ เอวํ กิรสฺส อโหสิ – ‘‘มหลฺลกภิกฺขู นาม น สพฺพกาลํ อโนฺตวิหาเร โหนฺติ; คุณกถาย ปนสฺส กถิตาย โย จ นํ ภิกฺขุํ ปสฺสิสฺสติ; โส อาคนฺตฺวา อาโรเจสฺสตี’’ติฯ อถายํ เถรเสฺสว สทฺธิวิหาริโก ตํ อายสฺมนฺตํ มนฺตาณิปุตฺตํ ปตฺตจีวรมาทาย คนฺธกุฎิํ ปวิสนฺตํ อทฺทสฯ กถํ ปน นํ เอส อญฺญาสีติ? ปุณฺณ, ปุณฺณาติ วตฺวา กเถนฺตสฺส ภควโต ธมฺมกถาย อญฺญาสิ – ‘‘อยํ โส เถโร, ยสฺส เม อุปชฺฌาโย อภิณฺหํ กิตฺตยมาโน โหตี’’ติฯ อิติ โส อาคนฺตฺวา เถรสฺส อาโรเจสิฯ นิสีทนํ อาทายาติ นิสีทนํ นาม สทสํ วุจฺจติ อวายิมํฯ เถโร ปน จมฺมขณฺฑํ คเหตฺวา อคมาสิฯ ปิฎฺฐิโต ปิฎฺฐิโตติ ปจฺฉโต ปจฺฉโตฯ สีสานุโลกีติ โย อุนฺนตฎฺฐาเน ปิฎฺฐิํ ปสฺสโนฺต นินฺนฎฺฐาเน สีสํ ปสฺสโนฺต คจฺฉติ, อยมฺปิ สีสานุโลกีติ วุจฺจติฯ ตาทิโส หุตฺวา อนุพนฺธิฯ เถโร หิ กิญฺจาปิ สํยตปทสทฺทตาย อจฺจาสโนฺน หุตฺวา คจฺฉโนฺตปิ ปทสเทฺทน น พาธติ, ‘‘นายํ สโมฺมทนกาโล’’ติ ญตฺวา ปน น อจฺจาสโนฺน, อนฺธวนํ นาม มหนฺตํ, เอกสฺมิํ ฐาเน นิลีนํ อปสฺสเนฺตน, อาวุโส ปุณฺณ, ปุณฺณาติ อผาสุกสโทฺท กาตโพฺพ โหตีติ นิสินฺนฎฺฐานชานนตฺถํ นาติทูเร หุตฺวา สีสานุโลกี อคมาสิฯ ทิวาวิหารํ นิสีทีติ ทิวาวิหารตฺถาย นิสีทิฯ
256.Abhiṇhaṃ kittayamāno ahosīti punappunaṃ vaṇṇaṃ kittayamāno vihāsi. Thero kira tato paṭṭhāya divase divase saṅghamajjhe ‘‘puṇṇo kira nāma mantāṇiputto catūhi parisāhi saddhiṃ asaṃsaṭṭho, so dasabalassa dassanatthāya āgamissati; kacci nu kho maṃ adisvāva gamissatī’’ti theranavamajjhimānaṃ satikaraṇatthaṃ āyasmato puṇṇassa guṇaṃ bhāsati. Evaṃ kirassa ahosi – ‘‘mahallakabhikkhū nāma na sabbakālaṃ antovihāre honti; guṇakathāya panassa kathitāya yo ca naṃ bhikkhuṃ passissati; so āgantvā ārocessatī’’ti. Athāyaṃ therasseva saddhivihāriko taṃ āyasmantaṃ mantāṇiputtaṃ pattacīvaramādāya gandhakuṭiṃ pavisantaṃ addasa. Kathaṃ pana naṃ esa aññāsīti? Puṇṇa, puṇṇāti vatvā kathentassa bhagavato dhammakathāya aññāsi – ‘‘ayaṃ so thero, yassa me upajjhāyo abhiṇhaṃ kittayamāno hotī’’ti. Iti so āgantvā therassa ārocesi. Nisīdanaṃ ādāyāti nisīdanaṃ nāma sadasaṃ vuccati avāyimaṃ. Thero pana cammakhaṇḍaṃ gahetvā agamāsi. Piṭṭhito piṭṭhitoti pacchato pacchato. Sīsānulokīti yo unnataṭṭhāne piṭṭhiṃ passanto ninnaṭṭhāne sīsaṃ passanto gacchati, ayampi sīsānulokīti vuccati. Tādiso hutvā anubandhi. Thero hi kiñcāpi saṃyatapadasaddatāya accāsanno hutvā gacchantopi padasaddena na bādhati, ‘‘nāyaṃ sammodanakālo’’ti ñatvā pana na accāsanno, andhavanaṃ nāma mahantaṃ, ekasmiṃ ṭhāne nilīnaṃ apassantena, āvuso puṇṇa, puṇṇāti aphāsukasaddo kātabbo hotīti nisinnaṭṭhānajānanatthaṃ nātidūre hutvā sīsānulokī agamāsi. Divāvihāraṃ nisīdīti divāvihāratthāya nisīdi.
ตตฺถ อายสฺมาปิ ปุโณฺณ อุทิจฺจพฺราหฺมณชโจฺจ, สาริปุตฺตเตฺถโรปิฯ ปุณฺณเตฺถโรปิ สุวณฺณวโณฺณ, สาริปุตฺตเตฺถโรปิฯ ปุณฺณเตฺถโรปิ อรหตฺตผลสมาปตฺติสมาปโนฺน, สาริปุตฺตเตฺถโรปิฯ ปุณฺณเตฺถโรปิ กปฺปสตสหสฺสํ อภินีหารสมฺปโนฺน, สาริปุตฺตเตฺถโรปิ กปฺปสตสหสฺสาธิกํ เอกมสเงฺขฺยยฺยํฯ ปุณฺณเตฺถโรปิ ปฎิสมฺภิทาปโตฺต มหาขีณาสโว, สาริปุตฺตเตฺถโรปิฯ อิติ เอกํ กนกคุหํ ปวิฎฺฐา เทฺว สีหา วิย, เอกํ วิชมฺภนภูมิํ โอติณฺณา เทฺว พฺยคฺฆา วิย, เอกํ สุปุปฺผิตสาลวนํ ปวิฎฺฐา เทฺว ฉทฺทนฺตนาคราชาโน วิย, เอกํ สิมฺพลิวนํ ปวิฎฺฐา เทฺว สุปณฺณราชาโน วิย, เอกํ นรวาหนยานํ อภิรุฬฺหา เทฺว เวสฺสวณา วิย, เอกํ ปณฺฑุกมฺพลสิลํ อภินิสินฺนา เทฺว สกฺกา วิย, เอกวิมานพฺภนฺตรคตา เทฺว หาริตมหาพฺรหฺมาโน วิย จ เต เทฺวปิ พฺราหฺมณชจฺจา เทฺวปิ สุวณฺณวณฺณา เทฺวปิ สมาปตฺติลาภิโน เทฺวปิ อภินีหารสมฺปนฺนา เทฺวปิ ปฎิสมฺภิทาปตฺตา มหาขีณาสวา เอกํ วนสณฺฑํ อนุปวิฎฺฐา ตํ วนฎฺฐานํ โสภยิํสุฯ
Tattha āyasmāpi puṇṇo udiccabrāhmaṇajacco, sāriputtattheropi. Puṇṇattheropi suvaṇṇavaṇṇo, sāriputtattheropi. Puṇṇattheropi arahattaphalasamāpattisamāpanno, sāriputtattheropi. Puṇṇattheropi kappasatasahassaṃ abhinīhārasampanno, sāriputtattheropi kappasatasahassādhikaṃ ekamasaṅkhyeyyaṃ. Puṇṇattheropi paṭisambhidāpatto mahākhīṇāsavo, sāriputtattheropi. Iti ekaṃ kanakaguhaṃ paviṭṭhā dve sīhā viya, ekaṃ vijambhanabhūmiṃ otiṇṇā dve byagghā viya, ekaṃ supupphitasālavanaṃ paviṭṭhā dve chaddantanāgarājāno viya, ekaṃ simbalivanaṃ paviṭṭhā dve supaṇṇarājāno viya, ekaṃ naravāhanayānaṃ abhiruḷhā dve vessavaṇā viya, ekaṃ paṇḍukambalasilaṃ abhinisinnā dve sakkā viya, ekavimānabbhantaragatā dve hāritamahābrahmāno viya ca te dvepi brāhmaṇajaccā dvepi suvaṇṇavaṇṇā dvepi samāpattilābhino dvepi abhinīhārasampannā dvepi paṭisambhidāpattā mahākhīṇāsavā ekaṃ vanasaṇḍaṃ anupaviṭṭhā taṃ vanaṭṭhānaṃ sobhayiṃsu.
ภควติ โน, อาวุโส, พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตีติ, อาวุโส, กิํ อมฺหากํ ภควโต สนฺติเก อายสฺมตา พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตีติ? อิทํ อายสฺมา สาริปุโตฺต ตสฺส ภควติ พฺรหฺมจริยวาสํ ชานโนฺตปิ กถาสมุฎฺฐาปนตฺถํ ปุจฺฉิฯ ปุริมกถาย หิ อปฺปติฎฺฐิตาย ปจฺฉิมกถา น ชายติ, ตสฺมา เอวํ ปุจฺฉิฯ เถโร อนุชานโนฺต ‘‘เอวมาวุโส’’ติ อาหฯ อถสฺส ปญฺหวิสฺสชฺชนํ โสตุกาโม อายสฺมา สาริปุโตฺต ‘‘กิํ นุ โข อาวุโส สีลวิสุทฺธตฺถํ ภควติ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี’’ติ ปฎิปาฎิยา สตฺต วิสุทฺธิโย ปุจฺฉิฯ ตาสํ วิตฺถารกถา วิสุทฺธิมเคฺค วุตฺตาฯ อายสฺมา ปน ปุโณฺณ ยสฺมา จตุปาริสุทฺธิสีลาทีสุ ฐิตสฺสาปิ พฺรหฺมจริยวาโส มตฺถกํ น ปาปุณาติ, ตสฺมา, ‘‘โน หิทํ, อาวุโส’’ติ สพฺพํ ปฎิกฺขิปิฯ
Bhagavati no, āvuso, brahmacariyaṃ vussatīti, āvuso, kiṃ amhākaṃ bhagavato santike āyasmatā brahmacariyaṃ vussatīti? Idaṃ āyasmā sāriputto tassa bhagavati brahmacariyavāsaṃ jānantopi kathāsamuṭṭhāpanatthaṃ pucchi. Purimakathāya hi appatiṭṭhitāya pacchimakathā na jāyati, tasmā evaṃ pucchi. Thero anujānanto ‘‘evamāvuso’’ti āha. Athassa pañhavissajjanaṃ sotukāmo āyasmā sāriputto ‘‘kiṃ nu kho āvuso sīlavisuddhatthaṃ bhagavati brahmacariyaṃ vussatī’’ti paṭipāṭiyā satta visuddhiyo pucchi. Tāsaṃ vitthārakathā visuddhimagge vuttā. Āyasmā pana puṇṇo yasmā catupārisuddhisīlādīsu ṭhitassāpi brahmacariyavāso matthakaṃ na pāpuṇāti, tasmā, ‘‘no hidaṃ, āvuso’’ti sabbaṃ paṭikkhipi.
กิมตฺถํ จรหาวุโสติ ยทิ สีลวิสุทฺธิอาทีนํ อตฺถาย พฺรหฺมจริยํ น วุสฺสติ, อถ กิมตฺถํ วุสฺสตีติ ปุจฺฉิฯ อนุปาทาปรินิพฺพานตฺถํ โข, อาวุโสติ เอตฺถ อนุปาทาปรินิพฺพานํ นาม อปฺปจฺจยปรินิพฺพานํฯ เทฺวธา อุปาทานานิ คหณูปาทานญฺจ ปจฺจยูปาทานญฺจฯ คหณูปาทานํ นาม กามุปาทานาทิกํ จตุพฺพิธํ, ปจฺจยูปาทานํ นาม อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขาราติ เอวํ วุตฺตปจฺจยาฯ ตตฺถ คหณูปาทานวาทิโน อาจริยา อนุปาทาปรินิพฺพานนฺติ จตูสุ อุปาทาเนสุ อญฺญตเรนาปิ กญฺจิ ธมฺมํ อคฺคเหตฺวา ปวตฺตํ อรหตฺตผลํ อนุปาทาปรินิพฺพานนฺติ กเถนฺติฯ ตญฺหิ น จ อุปาทานสมฺปยุตฺตํ หุตฺวา กญฺจิ ธมฺมํ อุปาทิยติ, กิเลสานญฺจ ปรินิพฺพุตเนฺต ชาตตฺตา ปรินิพฺพานนฺติ วุจฺจติฯ ปจฺจยูปาทานวาทิโน ปน อนุปาทาปรินิพฺพานนฺติ อปฺปจฺจยปรินิพฺพานํฯ ปจฺจยวเสน อนุปฺปนฺนํ อสงฺขตํ อมตธาตุเมว อนุปาทาปรินิพฺพานนฺติ กเถนฺติฯ อยํ อโนฺต, อยํ โกฎิ, อยํ นิฎฺฐาฯ อปฺปจฺจยปรินิพฺพานํ ปตฺตสฺส หิ พฺรหฺมจริยวาโส มตฺถกํ ปโตฺต นาม โหติ, ตสฺมา เถโร ‘‘อนุปาทาปรินิพฺพานตฺถ’’นฺติ อาหฯ อถ นํ อนุยุญฺชโนฺต อายสฺมา สาริปุโตฺต ‘‘กิํ นุ โข, อาวุโส, สีลวิสุทฺธิ อนุปาทาปรินิพฺพาน’’นฺติ ปุน ปุจฺฉํ อารภิฯ
Kimatthaṃcarahāvusoti yadi sīlavisuddhiādīnaṃ atthāya brahmacariyaṃ na vussati, atha kimatthaṃ vussatīti pucchi. Anupādāparinibbānatthaṃ kho, āvusoti ettha anupādāparinibbānaṃ nāma appaccayaparinibbānaṃ. Dvedhā upādānāni gahaṇūpādānañca paccayūpādānañca. Gahaṇūpādānaṃ nāma kāmupādānādikaṃ catubbidhaṃ, paccayūpādānaṃ nāma avijjāpaccayā saṅkhārāti evaṃ vuttapaccayā. Tattha gahaṇūpādānavādino ācariyā anupādāparinibbānanti catūsu upādānesu aññatarenāpi kañci dhammaṃ aggahetvā pavattaṃ arahattaphalaṃ anupādāparinibbānanti kathenti. Tañhi na ca upādānasampayuttaṃ hutvā kañci dhammaṃ upādiyati, kilesānañca parinibbutante jātattā parinibbānanti vuccati. Paccayūpādānavādino pana anupādāparinibbānanti appaccayaparinibbānaṃ. Paccayavasena anuppannaṃ asaṅkhataṃ amatadhātumeva anupādāparinibbānanti kathenti. Ayaṃ anto, ayaṃ koṭi, ayaṃ niṭṭhā. Appaccayaparinibbānaṃ pattassa hi brahmacariyavāso matthakaṃ patto nāma hoti, tasmā thero ‘‘anupādāparinibbānattha’’nti āha. Atha naṃ anuyuñjanto āyasmā sāriputto ‘‘kiṃ nu kho, āvuso, sīlavisuddhi anupādāparinibbāna’’nti puna pucchaṃ ārabhi.
๒๕๘. เถโรปิ สพฺพปริวเตฺตสุ ตเถว ปฎิกฺขิปิตฺวา ปริโยสาเน โทสํ ทเสฺสโนฺต สีลวิสุทฺธิํ เจ, อาวุโสติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปญฺญเปยฺยาติ ยทิ ปญฺญเปยฺยฯ สอุปาทานํเยว สมานํ อนุปาทาปรินิพฺพานํ ปญฺญเปยฺยาติ สงฺคหณธมฺมเมว นิคฺคหณธมฺมํ สปฺปจฺจยธมฺมเมว อปฺปจฺจยธมฺมํ สงฺขตธมฺมเมว อสงฺขตธมฺมนฺติ ปญฺญเปยฺยาติ อโตฺถฯ ญาณทสฺสนวิสุทฺธิยํ ปน สปฺปจฺจยธมฺมเมว อปฺปจฺจยธมฺมํ สงฺขตธมฺมเมว อสงฺขตธมฺมนฺติ ปญฺญเปยฺยาติ อยเมว อโตฺถ คเหตโพฺพฯ ปุถุชฺชโน หิ, อาวุโสติ เอตฺถ วฎฺฎานุคโต โลกิยพาลปุถุชฺชโน ทฎฺฐโพฺพฯ โส หิ จตุปาริสุทฺธิสีลมตฺตสฺสาปิ อภาวโต สพฺพโส อญฺญตฺร อิเมหิ ธเมฺมหิฯ เตน หีติ เยน การเณน เอกเจฺจ ปณฺฑิตา อุปมาย อตฺถํ ชานนฺติ, เตน การเณน อุปมํ เต กริสฺสามีติ อโตฺถฯ
258. Theropi sabbaparivattesu tatheva paṭikkhipitvā pariyosāne dosaṃ dassento sīlavisuddhiṃ ce, āvusotiādimāha. Tattha paññapeyyāti yadi paññapeyya. Saupādānaṃyeva samānaṃ anupādāparinibbānaṃ paññapeyyāti saṅgahaṇadhammameva niggahaṇadhammaṃ sappaccayadhammameva appaccayadhammaṃ saṅkhatadhammameva asaṅkhatadhammanti paññapeyyāti attho. Ñāṇadassanavisuddhiyaṃ pana sappaccayadhammameva appaccayadhammaṃ saṅkhatadhammameva asaṅkhatadhammanti paññapeyyāti ayameva attho gahetabbo. Puthujjano hi, āvusoti ettha vaṭṭānugato lokiyabālaputhujjano daṭṭhabbo. So hi catupārisuddhisīlamattassāpi abhāvato sabbaso aññatra imehi dhammehi. Tena hīti yena kāraṇena ekacce paṇḍitā upamāya atthaṃ jānanti, tena kāraṇena upamaṃ te karissāmīti attho.
สตฺตรถวินีตวณฺณนา
Sattarathavinītavaṇṇanā
๒๕๙. สตฺต รถวินีตานีติ วินีตอสฺสาชานิยยุเตฺต สตฺต รเถฯ ยาวเทว, จิตฺตวิสุทฺธตฺถาติ , อาวุโส, อยํ สีลวิสุทฺธิ นาม, ยาวเทว, จิตฺตวิสุทฺธตฺถาฯ จิตฺตวิสุทฺธตฺถาติ นิสฺสกฺกวจนเมตํฯ อยํ ปเนตฺถ อโตฺถ, ยาวเทว, จิตฺตวิสุทฺธิสงฺขาตา อตฺถา, ตาว อยํ สีลวิสุทฺธิ นาม อิจฺฉิตพฺพาฯ ยา ปน อยํ จิตฺตวิสุทฺธิ, เอสา สีลวิสุทฺธิยา อโตฺถ, อยํ โกฎิ, อิทํ ปริโยสานํ, จิตฺตวิสุทฺธิยํ ฐิตสฺส หิ สีลวิสุทฺธิกิจฺจํ กตํ นาม โหตีติฯ เอส นโย สพฺพปเทสุฯ
259.Sattarathavinītānīti vinītaassājāniyayutte satta rathe. Yāvadeva, cittavisuddhatthāti , āvuso, ayaṃ sīlavisuddhi nāma, yāvadeva, cittavisuddhatthā. Cittavisuddhatthāti nissakkavacanametaṃ. Ayaṃ panettha attho, yāvadeva, cittavisuddhisaṅkhātā atthā, tāva ayaṃ sīlavisuddhi nāma icchitabbā. Yā pana ayaṃ cittavisuddhi, esā sīlavisuddhiyā attho, ayaṃ koṭi, idaṃ pariyosānaṃ, cittavisuddhiyaṃ ṭhitassa hi sīlavisuddhikiccaṃ kataṃ nāma hotīti. Esa nayo sabbapadesu.
อิทํ ปเนตฺถ โอปมฺมสํสนฺทนํ – ราชา ปเสนทิ โกสโล วิย หิ ชรามรณภีรุโก โยคาวจโร ทฎฺฐโพฺพฯ สาวตฺถินครํ วิย สกฺกายนครํ, สาเกตนครํ วิย นิพฺพานนครํ, รโญฺญ สาเกเต วฑฺฒิอาวหสฺส สีฆํ คนฺตฺวา ปาปุณิตพฺพสฺส อจฺจายิกสฺส กิจฺจสฺส อุปฺปาทกาโล วิย โยคิโน อนภิสเมตานํ จตุนฺนํ อริยสจฺจานํ อภิสมยกิจฺจสฺส อุปฺปาทกาโลฯ สตฺต รถวินีตานิ วิย สตฺต วิสุทฺธิโย, ปฐมํ รถวินีตํ อารุฬฺหกาโล วิย สีลวิสุทฺธิยํ ฐิตกาโล, ปฐมรถวินีตาทีหิ ทุติยาทีนิ อารุฬฺหกาโล วิย สีลวิสุทฺธิอาทีหิ จิตฺตวิสุทฺธิอาทีสุ ฐิตกาโลฯ สตฺตเมน รถวินีเตน สาเกเต อเนฺตปุรทฺวาเร โอรุยฺห อุปริปาสาเท ญาติมิตฺตคณปริวุตสฺส สุรสโภชนปริโภคกาโล วิย โยคิโน ญาณทสฺสนวิสุทฺธิยา สพฺพกิเลเส เขเปตฺวา ธมฺมวรปาสาทํ อารุยฺห ปโรปณฺณาสกุสลธมฺมปริวารสฺส นิพฺพานารมฺมณํ ผลสมาปตฺติํ อเปฺปตฺวา นิโรธสยเน นิสินฺนสฺส โลกุตฺตรสุขานุภวนกาโล ทฎฺฐโพฺพฯ
Idaṃ panettha opammasaṃsandanaṃ – rājā pasenadi kosalo viya hi jarāmaraṇabhīruko yogāvacaro daṭṭhabbo. Sāvatthinagaraṃ viya sakkāyanagaraṃ, sāketanagaraṃ viya nibbānanagaraṃ, rañño sākete vaḍḍhiāvahassa sīghaṃ gantvā pāpuṇitabbassa accāyikassa kiccassa uppādakālo viya yogino anabhisametānaṃ catunnaṃ ariyasaccānaṃ abhisamayakiccassa uppādakālo. Satta rathavinītāni viya satta visuddhiyo, paṭhamaṃ rathavinītaṃ āruḷhakālo viya sīlavisuddhiyaṃ ṭhitakālo, paṭhamarathavinītādīhi dutiyādīni āruḷhakālo viya sīlavisuddhiādīhi cittavisuddhiādīsu ṭhitakālo. Sattamena rathavinītena sākete antepuradvāre oruyha uparipāsāde ñātimittagaṇaparivutassa surasabhojanaparibhogakālo viya yogino ñāṇadassanavisuddhiyā sabbakilese khepetvā dhammavarapāsādaṃ āruyha paropaṇṇāsakusaladhammaparivārassa nibbānārammaṇaṃ phalasamāpattiṃ appetvā nirodhasayane nisinnassa lokuttarasukhānubhavanakālo daṭṭhabbo.
อิติ อายสฺมนฺตํ ปุณฺณํ ทสกถาวตฺถุลาภิํ ธมฺมเสนาปติสาริปุตฺตเตฺถโร สตฺต วิสุทฺธิโย ปุจฺฉิฯ อายสฺมา ปุโณฺณ ทส กถาวตฺถูนิ วิสฺสเชฺชสิฯ เอวํ ปุจฺฉโนฺต ปน ธมฺมเสนาปติ กิํ ชานิตฺวา ปุจฺฉิ, อุทาหุ อชานิตฺวา? ติตฺถกุสโล วา ปน หุตฺวา วิสยสฺมิํ ปุจฺฉิ, อุทาหุ อติตฺถกุสโล หุตฺวา อวิสยสฺมิํ? ปุณฺณเตฺถโรปิ จ กิํ ชานิตฺวา วิสฺสเชฺชสิ, อุทาหุ อชานิตฺวา? ติตฺถกุสโล วา ปน หุตฺวา วิสยสฺมิํ วิสฺสเชฺชสิ, อุทาหุ อติตฺถกุสโล หุตฺวา อวิสเยติ? ชานิตฺวา ติตฺถกุสโล หุตฺวา วิสเย ปุจฺฉีติ หิ วทมาโน ธมฺมเสนาปติํเยว วเทยฺยฯ ชานิตฺวา ติตฺถกุสโล หุตฺวา วิสเย วิสฺสเชฺชสีติ วทมาโน ปุณฺณเตฺถรํเยว วเทยฺยฯ ยญฺหิ วิสุทฺธีสุ สํขิตฺตํ, ตํ กถาวตฺถูสุ วิตฺถิณฺณํฯ ยํ กถาวตฺถูสุ สํขิตฺตํ, ตํ วิสุทฺธีสุ วิตฺถิณฺณํฯ ตทมินา นเยน เวทิตพฺพํฯ
Iti āyasmantaṃ puṇṇaṃ dasakathāvatthulābhiṃ dhammasenāpatisāriputtatthero satta visuddhiyo pucchi. Āyasmā puṇṇo dasa kathāvatthūni vissajjesi. Evaṃ pucchanto pana dhammasenāpati kiṃ jānitvā pucchi, udāhu ajānitvā? Titthakusalo vā pana hutvā visayasmiṃ pucchi, udāhu atitthakusalo hutvā avisayasmiṃ? Puṇṇattheropi ca kiṃ jānitvā vissajjesi, udāhu ajānitvā? Titthakusalo vā pana hutvā visayasmiṃ vissajjesi, udāhu atitthakusalo hutvā avisayeti? Jānitvā titthakusalo hutvā visaye pucchīti hi vadamāno dhammasenāpatiṃyeva vadeyya. Jānitvā titthakusalo hutvā visaye vissajjesīti vadamāno puṇṇattheraṃyeva vadeyya. Yañhi visuddhīsu saṃkhittaṃ, taṃ kathāvatthūsu vitthiṇṇaṃ. Yaṃ kathāvatthūsu saṃkhittaṃ, taṃ visuddhīsu vitthiṇṇaṃ. Tadaminā nayena veditabbaṃ.
วิสุทฺธีสุ หิ เอกา สีลวิสุทฺธิ จตฺตาริ กถาวตฺถูนิ หุตฺวา อาคตา อปฺปิจฺฉกถา สนฺตุฎฺฐิกถา อสํสคฺคกถา, สีลกถาติฯ เอกา จิตฺตวิสุทฺธิ ตีณิ กถาวตฺถูนิ หุตฺวา อาคตา – ปวิเวกกถา, วีริยารมฺภกถา, สมาธิกถาติ, เอวํ ตาว ยํ วิสุทฺธีสุ สํขิตฺตํ, ตํ กถาวตฺถูสุ วิตฺถิณฺณํฯ กถาวตฺถูสุ ปน เอกา ปญฺญากถา ปญฺจ วิสุทฺธิโย หุตฺวา อาคตา – ทิฎฺฐิวิสุทฺธิ, กงฺขาวิตรณวิสุทฺธิ, มคฺคามคฺคญาณทสฺสนวิสุทฺธิ, ปฎิปทาญาณทสฺสนวิสุทฺธิ, ญาณทสฺสนวิสุทฺธีติ, เอวํ ยํ กถาวตฺถูสุ สํขิตฺตํ, ตํ วิสุทฺธีสุ วิตฺถิณฺณํฯ ตสฺมา สาริปุตฺตเตฺถโร สตฺต วิสุทฺธิโย ปุจฺฉโนฺต น อญฺญํ ปุจฺฉิ, ทส กถาวตฺถูนิเยว ปุจฺฉิฯ ปุณฺณเตฺถโรปิ สตฺต วิสุทฺธิโย วิสฺสเชฺชโนฺต น อญฺญํ วิสฺสเชฺชสิ, ทส กถาวตฺถูนิเยว วิสฺสเชฺชสีติฯ อิติ อุโภเปเต ชานิตฺวา ติตฺถกุสลา หุตฺวา วิสเยว ปญฺหํ ปุจฺฉิํสุ เจว วิสฺสเชฺชสุํ จาติ เวทิตโพฺพฯ
Visuddhīsu hi ekā sīlavisuddhi cattāri kathāvatthūni hutvā āgatā appicchakathā santuṭṭhikathā asaṃsaggakathā, sīlakathāti. Ekā cittavisuddhi tīṇi kathāvatthūni hutvā āgatā – pavivekakathā, vīriyārambhakathā, samādhikathāti, evaṃ tāva yaṃ visuddhīsu saṃkhittaṃ, taṃ kathāvatthūsu vitthiṇṇaṃ. Kathāvatthūsu pana ekā paññākathā pañca visuddhiyo hutvā āgatā – diṭṭhivisuddhi, kaṅkhāvitaraṇavisuddhi, maggāmaggañāṇadassanavisuddhi, paṭipadāñāṇadassanavisuddhi, ñāṇadassanavisuddhīti, evaṃ yaṃ kathāvatthūsu saṃkhittaṃ, taṃ visuddhīsu vitthiṇṇaṃ. Tasmā sāriputtatthero satta visuddhiyo pucchanto na aññaṃ pucchi, dasa kathāvatthūniyeva pucchi. Puṇṇattheropi satta visuddhiyo vissajjento na aññaṃ vissajjesi, dasa kathāvatthūniyeva vissajjesīti. Iti ubhopete jānitvā titthakusalā hutvā visayeva pañhaṃ pucchiṃsu ceva vissajjesuṃ cāti veditabbo.
๒๖๐. โก นาโม อายสฺมาติ น เถโร ตสฺส นามํ น ชานาติฯ ชานโนฺตเยว ปน สโมฺมทิตุํ ลภิสฺสามีติ ปุจฺฉิฯ กถญฺจ ปนายสฺมนฺตนฺติ อิทํ ปน เถโร สโมฺมทมาโน อาหฯ มนฺตาณิปุโตฺตติ มนฺตาณิยา พฺราหฺมณิยา ปุโตฺตฯ ยถา ตนฺติ เอตฺถ ตนฺติ นิปาตมตฺตํ, ยถา สุตวตา สาวเกน พฺยากาตพฺพา, เอวเมว พฺยากตาติ อยเมตฺถ สเงฺขปโตฺถฯ อนุมสฺส อนุมสฺสาติ ทส กถาวตฺถูนิ โอคาเหตฺวา อนุปวิสิตฺวาฯ เจลณฺฑุปเกนาติ เอตฺถ เจลํ วุจฺจติ วตฺถํ, อณฺฑุปกํ จุมฺพฎกํฯ วตฺถจุมฺพฎกํ สีเส กตฺวา อายสฺมนฺตํ ตตฺถ นิสีทาเปตฺวา ปริหรนฺตาปิ สพฺรหฺมจารี ทสฺสนาย ลเภยฺยุํ, เอวํ ลทฺธทสฺสนมฺปิ เตสํ ลาภาเยวาติ อฎฺฐานปริกเปฺปน อภิณฺหทสฺสนสฺส อุปายํ ทเสฺสสิฯ เอวํ อปริหรเนฺตน หิ ปญฺหํ วา ปุจฺฉิตุกาเมน ธมฺมํ วา โสตุกาเมน ‘‘เถโร กตฺถ ฐิโต กตฺถ นิสิโนฺน’’ติ ปริเยสเนฺตน จริตพฺพํ โหติฯ เอวํ ปริหรนฺตา ปน อิจฺฉิติจฺฉิตกฺขเณเยว สีสโต โอโรเปตฺวา มหารเห อาสเน นิสีทาเปตฺวา สกฺกา โหนฺติ ปญฺหํ วา ปุจฺฉิตุํ ธมฺมํ วา โสตุํฯ อิติ อฎฺฐานปริกเปฺปน อภิณฺหทสฺสนสฺส อุปายํ ทเสฺสสิฯ
260.Ko nāmo āyasmāti na thero tassa nāmaṃ na jānāti. Jānantoyeva pana sammodituṃ labhissāmīti pucchi. Kathañca panāyasmantanti idaṃ pana thero sammodamāno āha. Mantāṇiputtoti mantāṇiyā brāhmaṇiyā putto. Yathā tanti ettha tanti nipātamattaṃ, yathā sutavatā sāvakena byākātabbā, evameva byākatāti ayamettha saṅkhepattho. Anumassa anumassāti dasa kathāvatthūni ogāhetvā anupavisitvā. Celaṇḍupakenāti ettha celaṃ vuccati vatthaṃ, aṇḍupakaṃ cumbaṭakaṃ. Vatthacumbaṭakaṃ sīse katvā āyasmantaṃ tattha nisīdāpetvā pariharantāpi sabrahmacārī dassanāya labheyyuṃ, evaṃ laddhadassanampi tesaṃ lābhāyevāti aṭṭhānaparikappena abhiṇhadassanassa upāyaṃ dassesi. Evaṃ apariharantena hi pañhaṃ vā pucchitukāmena dhammaṃ vā sotukāmena ‘‘thero kattha ṭhito kattha nisinno’’ti pariyesantena caritabbaṃ hoti. Evaṃ pariharantā pana icchiticchitakkhaṇeyeva sīsato oropetvā mahārahe āsane nisīdāpetvā sakkā honti pañhaṃ vā pucchituṃ dhammaṃ vā sotuṃ. Iti aṭṭhānaparikappena abhiṇhadassanassa upāyaṃ dassesi.
สาริปุโตฺตติ จ ปน มนฺติ สาริยา พฺราหฺมณิยา ปุโตฺตติ จ ปน เอวํ มํ สพฺรหฺมจารี ชานนฺติฯ สตฺถุกเปฺปนาติ สตฺถุสทิเสนฯ อิติ เอกปเทเนว อายสฺมา ปุโณฺณ สาริปุตฺตเตฺถรํ จนฺทมณฺฑลํ อาหจฺจ ฐเปโนฺต วิย อุกฺขิปิฯ เถรสฺส หิ อิมสฺมิํ ฐาเน เอกนฺตธมฺมกถิกภาโว ปากโฎ อโหสิฯ อมจฺจญฺหิ ปุโรหิตํ มหโนฺตติ วทมาโน ราชสทิโสติ วเทยฺย, โคณํ หตฺถิปฺปมาโณติ, วาปิํ สมุทฺทปฺปมาโณติ, อาโลกํ จนฺทิมสูริยาโลกปฺปมาโณติ, อิโต ปรํ เอเตสํ มหนฺตภาวกถา นาม นตฺถิฯ สาวกมฺปิ มหาติ วทโนฺต สตฺถุปฎิภาโคติ วเทยฺย, อิโต ปรํ ตสฺส มหนฺตภาวกถา นาม นตฺถิฯ อิจฺจายสฺมา ปุโณฺณ เอกปเทเนว เถรํ จนฺทมณฺฑลํ อาหจฺจ ฐเปโนฺต วิย อุกฺขิปิฯ
Sāriputtoti ca pana manti sāriyā brāhmaṇiyā puttoti ca pana evaṃ maṃ sabrahmacārī jānanti. Satthukappenāti satthusadisena. Iti ekapadeneva āyasmā puṇṇo sāriputtattheraṃ candamaṇḍalaṃ āhacca ṭhapento viya ukkhipi. Therassa hi imasmiṃ ṭhāne ekantadhammakathikabhāvo pākaṭo ahosi. Amaccañhi purohitaṃ mahantoti vadamāno rājasadisoti vadeyya, goṇaṃ hatthippamāṇoti, vāpiṃ samuddappamāṇoti, ālokaṃ candimasūriyālokappamāṇoti, ito paraṃ etesaṃ mahantabhāvakathā nāma natthi. Sāvakampi mahāti vadanto satthupaṭibhāgoti vadeyya, ito paraṃ tassa mahantabhāvakathā nāma natthi. Iccāyasmā puṇṇo ekapadeneva theraṃ candamaṇḍalaṃ āhacca ṭhapento viya ukkhipi.
เอตฺตกมฺปิ โน นปฺปฎิภาเสยฺยาติ ปฎิสมฺภิทาปตฺตสฺส อปฺปฎิภานํ นาม นตฺถิฯ ยา ปนายํ อุปมา อาหฎา, ตํ น อาหเรยฺยาม, อตฺถเมว กเถยฺยามฯ อุปมา หิ อชานนฺตานํ อาหรียตีติ อยเมตฺถ อธิปฺปาโยฯ อฎฺฐกถายํ ปน อิทมฺปิ ปฎิกฺขิปิตฺวา อุปมา นาม พุทฺธานมฺปิ สนฺติเก อาหรียติ, เถรํ ปเนส อปจายมาโน เอวมาหาติฯ
Ettakampi no nappaṭibhāseyyāti paṭisambhidāpattassa appaṭibhānaṃ nāma natthi. Yā panāyaṃ upamā āhaṭā, taṃ na āhareyyāma, atthameva katheyyāma. Upamā hi ajānantānaṃ āharīyatīti ayamettha adhippāyo. Aṭṭhakathāyaṃ pana idampi paṭikkhipitvā upamā nāma buddhānampi santike āharīyati, theraṃ panesa apacāyamāno evamāhāti.
อนุมสฺส อนุมสฺส ปุจฺฉิตาติ ทส กถาวตฺถูนิ โอคาเหตฺวา โอคาเหตฺวา ปุจฺฉิตาฯ กิํ ปน ปญฺหสฺส ปุจฺฉนํ ภาริยํ, อุทาหุ วิสฺสชฺชนนฺติ? อุคฺคเหตฺวา ปุจฺฉนํ โน ภาริยํ, วิสฺสชฺชนํ ปน ภาริยํฯ สเหตุกํ วา สการณํ กตฺวา ปุจฺฉนมฺปิ วิสฺสชฺชนมฺปิ ภาริยเมวฯ สมนุโมทิํสูติ สมจิตฺตา หุตฺวา อนุโมทิํสุฯ อิติ ยถานุสนฺธินาว เทสนา นิฎฺฐิตาติฯ
Anumassa anumassa pucchitāti dasa kathāvatthūni ogāhetvā ogāhetvā pucchitā. Kiṃ pana pañhassa pucchanaṃ bhāriyaṃ, udāhu vissajjananti? Uggahetvā pucchanaṃ no bhāriyaṃ, vissajjanaṃ pana bhāriyaṃ. Sahetukaṃ vā sakāraṇaṃ katvā pucchanampi vissajjanampi bhāriyameva. Samanumodiṃsūti samacittā hutvā anumodiṃsu. Iti yathānusandhināva desanā niṭṭhitāti.
ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย
Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya
รถวินีตสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Rathavinītasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๔. รถวินีตสุตฺตํ • 4. Rathavinītasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๔. รถวินีตสุตฺตวณฺณนา • 4. Rathavinītasuttavaṇṇanā