Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) |
๒. รโถปมสุตฺตวณฺณนา
2. Rathopamasuttavaṇṇanā
๒๓๙. ทุติเย สุขโสมนสฺสพหุโลติ กายิกสุขเญฺจว เจตสิกโสมนสฺสญฺจ พหุลํ อสฺสาติ สุขโสมนสฺสพหุโลฯ โยนิ จสฺส อารทฺธา โหตีติ การณญฺจสฺส ปริปุณฺณํ โหติฯ อาสวานํ ขยายาติ อิธ อาสวกฺขโยติ อรหตฺตมโคฺค อธิเปฺปโต, ตทตฺถายาติ อโตฺถฯ โอธสฺตปโตโทติ รถมเชฺฌ ติริยํ ฐปิตปโตโทฯ เยนิจฺฉกนฺติ เยน ทิสาภาเคน อิจฺฉติฯ ยทิจฺฉกนฺติ ยํ ยํ คมนํ อิจฺฉติฯ สาเรยฺยาติ เปเสยฺยฯ ปจฺจาสาเรยฺยาติ ปฎิวินิวเตฺตยฺยฯ อารกฺขายาติ รกฺขณตฺถายฯ สํยมายาติ เวคนิคฺคหณตฺถายฯ ทมายาติ นิพฺพิเสวนตฺถายฯ อุปสมายาติ กิเลสูปสมตฺถายฯ
239. Dutiye sukhasomanassabahuloti kāyikasukhañceva cetasikasomanassañca bahulaṃ assāti sukhasomanassabahulo. Yoni cassa āraddhā hotīti kāraṇañcassa paripuṇṇaṃ hoti. Āsavānaṃ khayāyāti idha āsavakkhayoti arahattamaggo adhippeto, tadatthāyāti attho. Odhastapatodoti rathamajjhe tiriyaṃ ṭhapitapatodo. Yenicchakanti yena disābhāgena icchati. Yadicchakanti yaṃ yaṃ gamanaṃ icchati. Sāreyyāti peseyya. Paccāsāreyyāti paṭivinivatteyya. Ārakkhāyāti rakkhaṇatthāya. Saṃyamāyāti veganiggahaṇatthāya. Damāyāti nibbisevanatthāya. Upasamāyāti kilesūpasamatthāya.
เอวเมว โขติ เอตฺถ ยถา อกุสลสฺส สารถิโน อทเนฺต สินฺธเว โยเชตฺวา วิสมมเคฺคน รถํ เปเสนฺตสฺส จกฺกานิปิ ภิชฺชนฺติ, อโกฺขปิ สินฺธวานญฺจ ขุรา, อตฺตนาปิ อนยพฺยสนํ ปาปุณาติ, น จ อิจฺฉิติจฺฉิเตน คมเนน สาเรตุํ สโกฺกติ ; เอวํ ฉสุ อินฺทฺริเยสุ อคุตฺตทฺวาโร ภิกฺขุ น อิจฺฉิติจฺฉิตํ สมณรติํ อนุภวิตุํ สโกฺกติฯ ยถา ปน เฉโก สารถิ ทเนฺต สินฺธเว โยเชตฺวา, สเม ภูมิภาเค รถํ โอตาเรตฺวา รสฺมิโย คเหตฺวา, สินฺธวานํ ขุเรสุ สติํ ฐเปตฺวา, ปโตทํ อาทาย นิพฺพิเสวเน กตฺวา, เปเสโนฺต อิจฺฉิติจฺฉิเตน คมเนน สาเรติฯ เอวเมว ฉสุ อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวาโร ภิกฺขุ อิมสฺมิํ สาสเน อิจฺฉิติจฺฉิตํ สมณรติํ อนุโภติ, สเจ อนิจฺจานุปสฺสนาภิมุขํ ญาณํ เปเสตุกาโม โหติ, ตทภิมุขํ ญาณํ คจฺฉติฯ ทุกฺขานุปสฺสนาทีสุปิ เอเสว นโยฯ
Evameva khoti ettha yathā akusalassa sārathino adante sindhave yojetvā visamamaggena rathaṃ pesentassa cakkānipi bhijjanti, akkhopi sindhavānañca khurā, attanāpi anayabyasanaṃ pāpuṇāti, na ca icchiticchitena gamanena sāretuṃ sakkoti ; evaṃ chasu indriyesu aguttadvāro bhikkhu na icchiticchitaṃ samaṇaratiṃ anubhavituṃ sakkoti. Yathā pana cheko sārathi dante sindhave yojetvā, same bhūmibhāge rathaṃ otāretvā rasmiyo gahetvā, sindhavānaṃ khuresu satiṃ ṭhapetvā, patodaṃ ādāya nibbisevane katvā, pesento icchiticchitena gamanena sāreti. Evameva chasu indriyesu guttadvāro bhikkhu imasmiṃ sāsane icchiticchitaṃ samaṇaratiṃ anubhoti, sace aniccānupassanābhimukhaṃ ñāṇaṃ pesetukāmo hoti, tadabhimukhaṃ ñāṇaṃ gacchati. Dukkhānupassanādīsupi eseva nayo.
โภชเน มตฺตญฺญูติ โภชนมฺหิ ปมาณญฺญูฯ ตตฺถ เทฺว ปมาณานิ – ปฎิคฺคหณปมาณญฺจ ปริโภคปมาณญฺจฯ ตตฺถ ปฎิคฺคหณปมาเณ ทายกสฺส วโส เวทิตโพฺพ, เทยฺยธมฺมสฺส วโส เวทิตโพฺพ, อตฺตโน ถาโม ชานิตโพฺพฯ เอวรูโป หิ ภิกฺขุ สเจ เทยฺยธโมฺม พหุโก โหติ, ทายโก อปฺปํ ทาตุกาโม, ทายกสฺส วเสน อปฺปํ คณฺหาติฯ เทยฺยธโมฺม อโปฺป, ทายโก พหุํ ทาตุกาโม, เทยฺยธมฺมสฺส วเสน อปฺปํ คณฺหาติฯ เทยฺยธโมฺมปิ พหุ, ทายโกปิ พหุํ ทาตุกาโม, อตฺตโน ถามํ ญตฺวา ปมาเณน คณฺหาติฯ โส ตาย ปฎิคฺคหเณ มตฺตญฺญุตาย อนุปฺปนฺนญฺจ ลาภํ อุปฺปาเทติ, อุปฺปนฺนญฺจ ถาวรํ กโรติ ธมฺมิกติสฺสมหาราชกาเล สตฺตวสฺสิโก สามเณโร วิยฯ
Bhojane mattaññūti bhojanamhi pamāṇaññū. Tattha dve pamāṇāni – paṭiggahaṇapamāṇañca paribhogapamāṇañca. Tattha paṭiggahaṇapamāṇe dāyakassa vaso veditabbo, deyyadhammassa vaso veditabbo, attano thāmo jānitabbo. Evarūpo hi bhikkhu sace deyyadhammo bahuko hoti, dāyako appaṃ dātukāmo, dāyakassa vasena appaṃ gaṇhāti. Deyyadhammo appo, dāyako bahuṃ dātukāmo, deyyadhammassa vasena appaṃ gaṇhāti. Deyyadhammopi bahu, dāyakopi bahuṃ dātukāmo, attano thāmaṃ ñatvā pamāṇena gaṇhāti. So tāya paṭiggahaṇe mattaññutāya anuppannañca lābhaṃ uppādeti, uppannañca thāvaraṃ karoti dhammikatissamahārājakāle sattavassiko sāmaṇero viya.
รโญฺญ กิร ปญฺจหิ สกฎสเตหิ คุฬํ อาหริํสุฯ ราชา ‘‘มนาโป ปณฺณากาโร, อเยฺยหิ วินา น ขาทิสฺสามา’’ติ อฑฺฒเตยฺยานิ สกฎสตานิ มหาวิหารํ เปเสตฺวา สยมฺปิ ภุตฺตปาตราโส อคมาสิฯ เภริยา ปหฎาย ทฺวาทส ภิกฺขุสหสฺสานิ สนฺนิปติํสุฯ ราชา เอกมเนฺต ฐิโต อารามิกํ ปโกฺกสาเปตฺวา อาห – ‘‘รโญฺญ นาม ทาเน ปตฺตปูโรว ปมาณํ, คหิตภาชนํ ปูเรตฺวาว เทหิ, สเจ โกจิ มตฺตปฎิคฺคหเณ ฐิโต น คณฺหาติ, มยฺหํ อาโรเจยฺยาสี’’ติฯ
Rañño kira pañcahi sakaṭasatehi guḷaṃ āhariṃsu. Rājā ‘‘manāpo paṇṇākāro, ayyehi vinā na khādissāmā’’ti aḍḍhateyyāni sakaṭasatāni mahāvihāraṃ pesetvā sayampi bhuttapātarāso agamāsi. Bheriyā pahaṭāya dvādasa bhikkhusahassāni sannipatiṃsu. Rājā ekamante ṭhito ārāmikaṃ pakkosāpetvā āha – ‘‘rañño nāma dāne pattapūrova pamāṇaṃ, gahitabhājanaṃ pūretvāva dehi, sace koci mattapaṭiggahaṇe ṭhito na gaṇhāti, mayhaṃ āroceyyāsī’’ti.
อเถโก มหาเถโร ‘‘มหาโพธิมหาเจติยานิ วนฺทิสฺสามี’’ติ เจติยปพฺพตา อาคนฺตฺวา, วิหารํ ปวิสโนฺต มหามณฺฑปฎฺฐาเน ภิกฺขู คุฬํ คณฺหเนฺต ทิสฺวา ปจฺฉโต อาคจฺฉนฺตํ สามเณรํ อาห, ‘‘นตฺถิ เต คุเฬน อโตฺถ’’ติฯ ‘‘อาม, ภเนฺต, นตฺถี’’ติฯ สามเณร มยํ มคฺคกิลนฺตา, เอเกน กปิฎฺฐผลมเตฺตน ปิณฺฑเกน อมฺหากํ อโตฺถติฯ สามเณโร ถาลกํ นีหริตฺวา เถรสฺส วสฺสคฺคปฎิปาฎิยํ อฎฺฐาสิฯ อารามิโก คหณมานํ ปูเรตฺวา อุกฺขิปิ, สามเณโร องฺคุลิํ จาเลสิฯ ตาต สามเณร, ราชกุลานํ ทาเน ภาชนปูรเมว ปมาณํ, ถาลกปูรํ คณฺหาหีติฯ อาม, อุปาสก, ราชาโน นาม มหชฺฌาสยา โหนฺติ, อมฺหากํ ปน อุปชฺฌายสฺส เอตฺตเกเนว อโตฺถติฯ
Atheko mahāthero ‘‘mahābodhimahācetiyāni vandissāmī’’ti cetiyapabbatā āgantvā, vihāraṃ pavisanto mahāmaṇḍapaṭṭhāne bhikkhū guḷaṃ gaṇhante disvā pacchato āgacchantaṃ sāmaṇeraṃ āha, ‘‘natthi te guḷena attho’’ti. ‘‘Āma, bhante, natthī’’ti. Sāmaṇera mayaṃ maggakilantā, ekena kapiṭṭhaphalamattena piṇḍakena amhākaṃ atthoti. Sāmaṇero thālakaṃ nīharitvā therassa vassaggapaṭipāṭiyaṃ aṭṭhāsi. Ārāmiko gahaṇamānaṃ pūretvā ukkhipi, sāmaṇero aṅguliṃ cālesi. Tāta sāmaṇera, rājakulānaṃ dāne bhājanapūrameva pamāṇaṃ, thālakapūraṃ gaṇhāhīti. Āma, upāsaka, rājāno nāma mahajjhāsayā honti, amhākaṃ pana upajjhāyassa ettakeneva atthoti.
ราชา ตสฺส กถํ สุตฺวา, ‘‘กิํ โภ สามเณโร ภณตี’’ติ? ตสฺส สนฺติกํ คโตฯ อารามิโก อาห – ‘‘สามิ, สามเณรสฺส ภาชนํ ขุทฺทกํ, พหุํ น คณฺหาตี’’ติฯ ราชา อาห, ‘‘อานีตภาชนํ ปูเรตฺวา คณฺหถ, ภเนฺต’’ติฯ มหาราช, ราชาโน นาม มหชฺฌาสยา โหนฺติ , อุกฺขิตฺตภาชนํ ปูเรตฺวาว ทาตุกามา, อมฺหากํ ปน อุปชฺฌายสฺส เอตฺตเกเนว อโตฺถติฯ ราชา จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ สตฺตวสฺสิกทารโก, อชฺชาปิสฺส มุขโต ขีรคโนฺธ น มุจฺจติ, คเหตฺวา กุเฎ วา กุฎุเมฺพ วา ปูเรตฺวา เสฺวปิ ปุนทิวเสปิ ขาทิสฺสามาติ น วทติ, สกฺกา พุทฺธสาสนํ ปริคฺคเหตุ’’นฺติ ปุริเส อาณาเปสิ, ‘‘โภ, ปสโนฺนมฺหิ สามเณรสฺส, อิตรานิปิ อฑฺฒเตยฺยานิ สกฎสตานิ อาเนตฺวา สฆํสฺส เทถา’’ติฯ
Rājā tassa kathaṃ sutvā, ‘‘kiṃ bho sāmaṇero bhaṇatī’’ti? Tassa santikaṃ gato. Ārāmiko āha – ‘‘sāmi, sāmaṇerassa bhājanaṃ khuddakaṃ, bahuṃ na gaṇhātī’’ti. Rājā āha, ‘‘ānītabhājanaṃ pūretvā gaṇhatha, bhante’’ti. Mahārāja, rājāno nāma mahajjhāsayā honti , ukkhittabhājanaṃ pūretvāva dātukāmā, amhākaṃ pana upajjhāyassa ettakeneva atthoti. Rājā cintesi – ‘‘ayaṃ sattavassikadārako, ajjāpissa mukhato khīragandho na muccati, gahetvā kuṭe vā kuṭumbe vā pūretvā svepi punadivasepi khādissāmāti na vadati, sakkā buddhasāsanaṃ pariggahetu’’nti purise āṇāpesi, ‘‘bho, pasannomhi sāmaṇerassa, itarānipi aḍḍhateyyāni sakaṭasatāni ānetvā saghaṃssa dethā’’ti.
โสเยว ปน ราชา เอกทิวสํ ติตฺติรมํสํ ขาทิตุกาโม จิเนฺตสิ – ‘‘สเจ อหํ องฺคารปกฺกํ ติตฺติรมํสํ ขาทิตุกาโมสฺมีติ อญฺญสฺส กเถสฺสามิ, สมนฺตา โยชนฎฺฐาเน ติตฺติรสมุคฺฆาตํ กริสฺสนฺตี’’ติ อุปฺปนฺนํ ปิปาสํ อธิวาเสโนฺต ตีณิ สํวจฺฉรานิ วีตินาเมสิฯ อถสฺส กเณฺณสุ ปุโพฺพ สณฺฐาสิ, โส อธิวาเสตุํ อสโกฺกโนฺต ‘‘อตฺถิ นุ โข, โภ, อมฺหากํ โกจิ อุปฎฺฐากุปาสโก สีลรกฺขโก’’ติ ปุจฺฉิ ฯ อาม, เทว, อตฺถิ, ติโสฺส นาม โส อขณฺฑสีลํ รกฺขตีติฯ อถ นํ วีมํสิตุกาโม ปโกฺกสาเปสิฯ โส อาคนฺตฺวา ราชานํ วนฺทิตฺวา อฎฺฐาสิฯ ตโต นํ อาห – ‘‘ตฺวํ, ตาต, ติโสฺส นามา’’ติ? ‘‘อาม เทวา’’ติฯ เตน หิ คจฺฉาติฯ ตสฺมิํ คเต เอกํ กุกฺกุฎํ อาหราเปตฺวา เอกํ ปุริสํ อาณาเปสิ, ‘‘คจฺฉ ติสฺสํ วทาหิ, อิมํ ตีหิ ปาเกหิ ปจิตฺวา อมฺหากํ อุปฎฺฐาเปหี’’ติฯ โส คนฺตฺวา ตถา อโวจฯ โส อาห – ‘‘สเจ, โภ, อยํ มตโก อสฺส, ยถา ชานามิ, ตถา ปจิตฺวา อุปฎฺฐเหยฺยํฯ ปาณาติปาตํ ปนาหํ น กโรมี’’ติฯ โส อาคนฺตฺวา รโญฺญ อาโรเจสิฯ
Soyeva pana rājā ekadivasaṃ tittiramaṃsaṃ khāditukāmo cintesi – ‘‘sace ahaṃ aṅgārapakkaṃ tittiramaṃsaṃ khāditukāmosmīti aññassa kathessāmi, samantā yojanaṭṭhāne tittirasamugghātaṃ karissantī’’ti uppannaṃ pipāsaṃ adhivāsento tīṇi saṃvaccharāni vītināmesi. Athassa kaṇṇesu pubbo saṇṭhāsi, so adhivāsetuṃ asakkonto ‘‘atthi nu kho, bho, amhākaṃ koci upaṭṭhākupāsako sīlarakkhako’’ti pucchi . Āma, deva, atthi, tisso nāma so akhaṇḍasīlaṃ rakkhatīti. Atha naṃ vīmaṃsitukāmo pakkosāpesi. So āgantvā rājānaṃ vanditvā aṭṭhāsi. Tato naṃ āha – ‘‘tvaṃ, tāta, tisso nāmā’’ti? ‘‘Āma devā’’ti. Tena hi gacchāti. Tasmiṃ gate ekaṃ kukkuṭaṃ āharāpetvā ekaṃ purisaṃ āṇāpesi, ‘‘gaccha tissaṃ vadāhi, imaṃ tīhi pākehi pacitvā amhākaṃ upaṭṭhāpehī’’ti. So gantvā tathā avoca. So āha – ‘‘sace, bho, ayaṃ matako assa, yathā jānāmi, tathā pacitvā upaṭṭhaheyyaṃ. Pāṇātipātaṃ panāhaṃ na karomī’’ti. So āgantvā rañño ārocesi.
ราชา ปุน ‘‘เอกวารํ คจฺฉา’’ติ เปเสสิฯ โส คนฺตฺวา, ‘‘โภ, ราชุปฎฺฐานํ นาม ภาริยํ, มา เอวํ กริ, ปุนปิ สีลํ สกฺกา สมาทาตุํ, ปเจต’’นฺติ อาหฯ อถ นํ ติโสฺส อโวจ, ‘‘โภ, เอกสฺมิํ นาม อตฺตภาเว ธุวํ เอกํ มรณํ, นาหํ ปาณาติปาตํ กริสฺสามี’’ติฯ โส ปุนปิ รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา ตติยมฺปิ เปเสตฺวา อสมฺปฎิจฺฉนฺตํ ปโกฺกสาเปตฺวา อตฺตนา ปุจฺฉิฯ รโญฺญปิ ตเถว ปฎิวจนํ อทาสิฯ อถ ราชา ปุริเส อาณาเปสิ, ‘‘อยํ รโญฺญ อาณํ โกเปติ, คจฺฉเถตสฺส อาฆาตนภณฺฑิกายํ ฐเปตฺวา, สีสํ ฉินฺทถา’’ติฯ รโห จ ปน เนสํ สญฺญมทาสิ – ‘‘อิมํ สนฺตชฺชยมานา เนตฺวา สีสมสฺส อาฆาตนภณฺฑิกายํ ฐเปตฺวา อาคนฺตฺวา มยฺหํ อาโรเจถา’’ติฯ
Rājā puna ‘‘ekavāraṃ gacchā’’ti pesesi. So gantvā, ‘‘bho, rājupaṭṭhānaṃ nāma bhāriyaṃ, mā evaṃ kari, punapi sīlaṃ sakkā samādātuṃ, paceta’’nti āha. Atha naṃ tisso avoca, ‘‘bho, ekasmiṃ nāma attabhāve dhuvaṃ ekaṃ maraṇaṃ, nāhaṃ pāṇātipātaṃ karissāmī’’ti. So punapi rañño ārocesi. Rājā tatiyampi pesetvā asampaṭicchantaṃ pakkosāpetvā attanā pucchi. Raññopi tatheva paṭivacanaṃ adāsi. Atha rājā purise āṇāpesi, ‘‘ayaṃ rañño āṇaṃ kopeti, gacchathetassa āghātanabhaṇḍikāyaṃ ṭhapetvā, sīsaṃ chindathā’’ti. Raho ca pana nesaṃ saññamadāsi – ‘‘imaṃ santajjayamānā netvā sīsamassa āghātanabhaṇḍikāyaṃ ṭhapetvā āgantvā mayhaṃ ārocethā’’ti.
เต ตํ อาฆาตนภณฺฑิกายํ นิปชฺชาเปตฺวา ตมสฺส กุกฺกุฎํ หเตฺถสุ ฐปยิํสุฯ โส ตํ หทเย ฐเปตฺวา ‘‘อหํ, ตาต, มม ชีวิตํ ตุยฺหํ เทมิ, ตว ชีวิตํ อหํ คณฺหามิ, ตฺวํ นิพฺภโย คจฺฉา’’ติ วิสฺสเชฺชสิฯ กุกฺกุโฎ ปเกฺข ปโปฺผเฎตฺวา อากาเสน คนฺตฺวา วฎรุเกฺข นิลียิฯ ตสฺส กุกฺกุฎสฺส อภยทินฺนฎฺฐานํ กุกฺกุฎคิริ นาม ชาตํฯ
Te taṃ āghātanabhaṇḍikāyaṃ nipajjāpetvā tamassa kukkuṭaṃ hatthesu ṭhapayiṃsu. So taṃ hadaye ṭhapetvā ‘‘ahaṃ, tāta, mama jīvitaṃ tuyhaṃ demi, tava jīvitaṃ ahaṃ gaṇhāmi, tvaṃ nibbhayo gacchā’’ti vissajjesi. Kukkuṭo pakkhe papphoṭetvā ākāsena gantvā vaṭarukkhe nilīyi. Tassa kukkuṭassa abhayadinnaṭṭhānaṃ kukkuṭagiri nāma jātaṃ.
ราชา ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา อมจฺจปุตฺตํ ปโกฺกสาเปตฺวา สพฺพาภรเณหิ อลงฺกริตฺวา อาห – ‘‘ตาต, มยา ตฺวํ เอตทตฺถเมว วีมํสิโต, มยฺหํ ติตฺติรมํสํ ขาทิตุกามสฺส ตีณิ สํวจฺฉรานิ อติกฺกนฺตานิ, สกฺขิสฺสสิ เม ติโกฎิปริสุทฺธํ กตฺวา อุปฎฺฐาเปตุ’’นฺติฯ ‘‘เอตํ นาม, เทว, มยฺหํ กมฺม’’นฺติ นิกฺขมิตฺวา ทฺวารนฺตเร ฐิโต เอกํ ปุริสํ ปาโตว ตโย ติตฺติเร คเหตฺวา ปวิสนฺตํ ทิสฺวา, เทฺว กหาปเณ ทตฺวา ติตฺติเร อาทาย ปริโสเธตฺวา, ชีรกาทีหิ วาเสตฺวา, องฺคาเรสุ สุปเกฺก ปจิตฺวา รโญฺญ อุปฎฺฐาเปสิฯ ราชา มหาตเล สิรีปลฺลเงฺก นิสิโนฺนว เอกํ คเหตฺวา โถกํ ฉินฺทิตฺวา มุเข ปกฺขิปิ, ตาวเทวสฺส สตฺตรสหรณีสหสฺสานิ ผริตฺวา อฎฺฐาสิฯ
Rājā taṃ pavattiṃ sutvā amaccaputtaṃ pakkosāpetvā sabbābharaṇehi alaṅkaritvā āha – ‘‘tāta, mayā tvaṃ etadatthameva vīmaṃsito, mayhaṃ tittiramaṃsaṃ khāditukāmassa tīṇi saṃvaccharāni atikkantāni, sakkhissasi me tikoṭiparisuddhaṃ katvā upaṭṭhāpetu’’nti. ‘‘Etaṃ nāma, deva, mayhaṃ kamma’’nti nikkhamitvā dvārantare ṭhito ekaṃ purisaṃ pātova tayo tittire gahetvā pavisantaṃ disvā, dve kahāpaṇe datvā tittire ādāya parisodhetvā, jīrakādīhi vāsetvā, aṅgāresu supakke pacitvā rañño upaṭṭhāpesi. Rājā mahātale sirīpallaṅke nisinnova ekaṃ gahetvā thokaṃ chinditvā mukhe pakkhipi, tāvadevassa sattarasaharaṇīsahassāni pharitvā aṭṭhāsi.
ตสฺมิํ สมเย ภิกฺขุสงฺฆํ สริตฺวา, ‘‘มาทิโส นาม ปถวิสฺสโร ราชา ติตฺติรมํสํ ขาทิตุกาโม ตีณิ สํวจฺฉรานิ น ลภิ, อปจฺจมาโน ภิกฺขุสโงฺฆ กุโต ลภิสฺสตี’’ติ? มุเข ปกฺขิตฺตกฺขณฺฑํ ภูมิยํ ฉเฑฺฑสิฯ อมจฺจปุโตฺต ชณฺณุเกหิ ปติตฺวา มุเขน คณฺหิฯ ราชา ‘‘อเปหิ, ตาต, ชานามหํ ตว นิโทฺทสภาวํ, อิมินา นาม การเณน มยา เอตํ ฉฑฺฑิต’’นฺติ กเถตฺวา, ‘‘เสสกํ ตเถว สโงฺคเปตฺวา ฐเปหี’’ติ อาหฯ
Tasmiṃ samaye bhikkhusaṅghaṃ saritvā, ‘‘mādiso nāma pathavissaro rājā tittiramaṃsaṃ khāditukāmo tīṇi saṃvaccharāni na labhi, apaccamāno bhikkhusaṅgho kuto labhissatī’’ti? Mukhe pakkhittakkhaṇḍaṃ bhūmiyaṃ chaḍḍesi. Amaccaputto jaṇṇukehi patitvā mukhena gaṇhi. Rājā ‘‘apehi, tāta, jānāmahaṃ tava niddosabhāvaṃ, iminā nāma kāraṇena mayā etaṃ chaḍḍita’’nti kathetvā, ‘‘sesakaṃ tatheva saṅgopetvā ṭhapehī’’ti āha.
ปุนทิวเส ราชกุลูปโก เถโร ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ อมจฺจปุโตฺต ตํ ทิสฺวา ปตฺตํ คเหตฺวา ราชเคหํ ปเวเสสิฯ อญฺญตโร วุฑฺฒปพฺพชิโตปิ เถรสฺส ปจฺฉาสมโณ วิย หุตฺวา อนุพนฺธโนฺต ปาวิสิฯ เถโร ‘‘รญฺญา ปโกฺกสาปิตภิกฺขุ ภวิสฺสตี’’ติ ปมชฺชิฯ อมจฺจปุโตฺตปิ ‘‘เถรสฺส อุปฎฺฐาโก ภวิสฺสตี’’ติ ปมาทํ อาปชฺชิฯ เตสํ นิสีทาเปตฺวา ยาคุํ อทํสุฯ ยาคุยา ปีตาย ราชา ติตฺติเร อุปเนสิฯ เถโร เอกํ คณฺหิ, อิตโรปิ เอกํ คณฺหิฯ ราชา ‘‘อนุภาโค อตฺถิ, อนาปุจฺฉิตฺวา ขาทิตุํ น ยุตฺต’’นฺติ มหาเถรํ อาปุจฺฉิฯ เถโร หตฺถํ ปิทหิ, มหลฺลกเตฺถโร สมฺปฎิจฺฉิฯ ราชา อนตฺตมโน หุตฺวา กตภตฺตกิจฺจํ เถรํ ปตฺตํ อาทาย อนุคจฺฉโนฺต อาห – ‘‘ภเนฺต, กุลเคหํ อาคจฺฉเนฺตหิ อุคฺคหิตวตฺตํ ภิกฺขุํ คเหตฺวา อาคนฺตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ เถโร ตสฺมิํ ขเณ อญฺญาสิ ‘‘น เอส รญฺญา ปโกฺกสาปิโต’’ติฯ
Punadivase rājakulūpako thero piṇḍāya pāvisi. Amaccaputto taṃ disvā pattaṃ gahetvā rājagehaṃ pavesesi. Aññataro vuḍḍhapabbajitopi therassa pacchāsamaṇo viya hutvā anubandhanto pāvisi. Thero ‘‘raññā pakkosāpitabhikkhu bhavissatī’’ti pamajji. Amaccaputtopi ‘‘therassa upaṭṭhāko bhavissatī’’ti pamādaṃ āpajji. Tesaṃ nisīdāpetvā yāguṃ adaṃsu. Yāguyā pītāya rājā tittire upanesi. Thero ekaṃ gaṇhi, itaropi ekaṃ gaṇhi. Rājā ‘‘anubhāgo atthi, anāpucchitvā khādituṃ na yutta’’nti mahātheraṃ āpucchi. Thero hatthaṃ pidahi, mahallakatthero sampaṭicchi. Rājā anattamano hutvā katabhattakiccaṃ theraṃ pattaṃ ādāya anugacchanto āha – ‘‘bhante, kulagehaṃ āgacchantehi uggahitavattaṃ bhikkhuṃ gahetvā āgantuṃ vaṭṭatī’’ti. Thero tasmiṃ khaṇe aññāsi ‘‘na esa raññā pakkosāpito’’ti.
ปุนทิวเส อุปฎฺฐากสามเณรํ คเหตฺวา ปาวิสิฯ ราชา ตทาปิ ยาคุยา ปีตาย ติตฺติเร อุปนาเมสิฯ เถโร เอกํ อคฺคเหสิ, สามเณโร องฺคุลิํ จาเลตฺวา มเชฺฌ ฉินฺทาเปตฺวา เอกโกฎฺฐาสเมว อคฺคเหสิฯ ราชา ตํ โกฎฺฐาสํ มหาเถรสฺส อุปนาเมสิฯ มหาเถโร หตฺถํ ปิทหิ, สามเณโรปิ ปิทหิฯ ราชา อวิทูเร นิสีทิตฺวา ขณฺฑาขณฺฑํ ฉินฺทิตฺวา ขาทโนฺต ‘‘อุคฺคหิตวเตฺต นิสฺสาย ทิยฑฺฒติตฺติเร ขาทิตุํ ลภิมฺหา’’ติ อาหฯ ตสฺส มํเส ขาทิตมเตฺตว กเณฺณหิ ปุโพฺพ นิกฺขมิฯ ตโต มุขํ วิกฺขาเลตฺวา สามเณรํ อุปสงฺกมิตฺวา, ‘‘ปสโนฺนสฺมิ, ตาต, อฎฺฐ เต ธุวภตฺตานิ เทมี’’ติ อาหฯ อหํ, มหาราช, อุปชฺฌายสฺส ทมฺมีติฯ อปรานิ อฎฺฐ เทมีติฯ ตานิ อมฺหากํ อาจริยสฺส ทมฺมีติฯ อปรานิปิ อฎฺฐ เทมีติฯ ตานิ สมานุปชฺฌายานํ ทมฺมีติฯ อปรานิปิ อฎฺฐ เทมีติฯ ตานิ ภิกฺขุสงฺฆสฺส ทมฺมีติฯ อปรานิปิ อฎฺฐ เทมีติฯ สามเณโร อธิวาเสสิฯ เอวํ ปฎิคฺคหณมตฺตํ ชานโนฺต อนุปฺปนฺนเญฺจว ลาภํ อุปฺปาเทติ, อุปฺปนฺนญฺจ ถาวรํ กโรติฯ อิทํ ปฎิคฺคหณปมาณํ นามฯ ตตฺถ ปริโภคปมาณํ ปจฺจเวกฺขณปโยชนํ, ‘‘อิทมตฺถิยํ โภชนํ ภุญฺชามี’’ติ ปน ปจฺจเวกฺขิตปริโภคเสฺสว ปโยชนตฺตา ปริโภคปมาณํเยว นาม, ตํ อิธ อธิเปฺปตํฯ เตเนว ปฎิสงฺขา โยนิโสติอาทิมาห, อิตรมฺปิ ปน วฎฺฎติเยวฯ
Punadivase upaṭṭhākasāmaṇeraṃ gahetvā pāvisi. Rājā tadāpi yāguyā pītāya tittire upanāmesi. Thero ekaṃ aggahesi, sāmaṇero aṅguliṃ cāletvā majjhe chindāpetvā ekakoṭṭhāsameva aggahesi. Rājā taṃ koṭṭhāsaṃ mahātherassa upanāmesi. Mahāthero hatthaṃ pidahi, sāmaṇeropi pidahi. Rājā avidūre nisīditvā khaṇḍākhaṇḍaṃ chinditvā khādanto ‘‘uggahitavatte nissāya diyaḍḍhatittire khādituṃ labhimhā’’ti āha. Tassa maṃse khāditamatteva kaṇṇehi pubbo nikkhami. Tato mukhaṃ vikkhāletvā sāmaṇeraṃ upasaṅkamitvā, ‘‘pasannosmi, tāta, aṭṭha te dhuvabhattāni demī’’ti āha. Ahaṃ, mahārāja, upajjhāyassa dammīti. Aparāni aṭṭha demīti. Tāni amhākaṃ ācariyassa dammīti. Aparānipi aṭṭha demīti. Tāni samānupajjhāyānaṃ dammīti. Aparānipi aṭṭha demīti. Tāni bhikkhusaṅghassa dammīti. Aparānipi aṭṭha demīti. Sāmaṇero adhivāsesi. Evaṃ paṭiggahaṇamattaṃ jānanto anuppannañceva lābhaṃ uppādeti, uppannañca thāvaraṃ karoti. Idaṃ paṭiggahaṇapamāṇaṃ nāma. Tattha paribhogapamāṇaṃ paccavekkhaṇapayojanaṃ, ‘‘idamatthiyaṃ bhojanaṃ bhuñjāmī’’ti pana paccavekkhitaparibhogasseva payojanattā paribhogapamāṇaṃyeva nāma, taṃ idha adhippetaṃ. Teneva paṭisaṅkhā yonisotiādimāha, itarampi pana vaṭṭatiyeva.
สีหเสยฺยนฺติ เอตฺถ กามโภคิเสยฺยา, เปตเสยฺยา, สีหเสยฺยา, ตถาคตเสยฺยาติ จตโสฺส เสยฺยาฯ ตตฺถ ‘‘เยภุเยฺยน, ภิกฺขเว, กามโภคี วาเมน ปเสฺสน เสนฺตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๔๖) อยํ กามโภคิเสยฺยาฯ เตสญฺหิ เยภุเยฺยน ทกฺขิณปเสฺสน สยาโน นาม นตฺถิฯ
Sīhaseyyanti ettha kāmabhogiseyyā, petaseyyā, sīhaseyyā, tathāgataseyyāti catasso seyyā. Tattha ‘‘yebhuyyena, bhikkhave, kāmabhogī vāmena passena sentī’’ti (a. ni. 4.246) ayaṃ kāmabhogiseyyā. Tesañhi yebhuyyena dakkhiṇapassena sayāno nāma natthi.
‘‘เยภุเยฺยน , ภิกฺขเว, เปตา อุตฺตานา เสนฺตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๔๖) อยํ เปตเสยฺยาฯ เปตา หิ อปฺปมํสโลหิตตฺตา อฎฺฐิสงฺฆาฎชฎิตา เอเกน ปเสฺสน สยิตุํ น สโกฺกนฺติ, อุตฺตานาว สยนฺติฯ
‘‘Yebhuyyena , bhikkhave, petā uttānā sentī’’ti (a. ni. 4.246) ayaṃ petaseyyā. Petā hi appamaṃsalohitattā aṭṭhisaṅghāṭajaṭitā ekena passena sayituṃ na sakkonti, uttānāva sayanti.
‘‘เยภุเยฺยน, ภิกฺขเว, สีโห มิคราชา นงฺคุฎฺฐํ อนฺตรสตฺถิมฺหิ อนุปกฺขิปิตฺวา ทกฺขิเณน ปเสฺสน สยตี’’ติ อยํ สีหเสยฺยาฯ เตชุสฺสทตฺตา หิ สีโห มิคราชา เทฺว ปุริมปาเท เอกสฺมิํ, ปจฺฉิมปาเท เอกสฺมิํ ฐาเน ฐเปตฺวา นงฺคุฎฺฐํ อนฺตรสตฺถิมฺหิ ปกฺขิปิตฺวา ปุริมปาทปจฺฉิมปาทนงฺคุฎฺฐานํ ฐิโตกาสํ สลฺลเกฺขตฺวา ทฺวินฺนํ ปุริมปาทานํ มตฺถเก สีสํ ฐเปตฺวา สยติ , ทิวสมฺปิ สยิตฺวา ปพุชฺฌมาโน น อุตฺรสโนฺต ปพุชฺฌติ, สีสํ ปน อุกฺขิปิตฺวา ปุริมปาทาทีนํ ฐิโตกาสํ สลฺลเกฺขติฯ สเจ กิญฺจิ ฐานํ วิชหิตฺวา ฐิตํ โหติ, ‘‘นยิทํ ตุยฺหํ ชาติยา สูรภาวสฺส จ อนุรูป’’นฺติ อนตฺตมโน หุตฺวา ตเตฺถว สยติ, น โคจราย ปกฺกมติฯ อวิชหิตฺวา ฐิเต ปน ‘‘ตุยฺหํ ชาติยา จ สูรภาวสฺส จ อนุรูปมิท’’นฺติ หฎฺฐตุโฎฺฐ อุฎฺฐาย สีหวิชมฺภิตํ วิชมฺภิตฺวา เกสรภารํ วิธุนิตฺวา ติกฺขตฺตุํ สีหนาทํ นทิตฺวา โคจราย ปกฺกมติฯ
‘‘Yebhuyyena, bhikkhave, sīho migarājā naṅguṭṭhaṃ antarasatthimhi anupakkhipitvā dakkhiṇena passena sayatī’’ti ayaṃ sīhaseyyā. Tejussadattā hi sīho migarājā dve purimapāde ekasmiṃ, pacchimapāde ekasmiṃ ṭhāne ṭhapetvā naṅguṭṭhaṃ antarasatthimhi pakkhipitvā purimapādapacchimapādanaṅguṭṭhānaṃ ṭhitokāsaṃ sallakkhetvā dvinnaṃ purimapādānaṃ matthake sīsaṃ ṭhapetvā sayati , divasampi sayitvā pabujjhamāno na utrasanto pabujjhati, sīsaṃ pana ukkhipitvā purimapādādīnaṃ ṭhitokāsaṃ sallakkheti. Sace kiñci ṭhānaṃ vijahitvā ṭhitaṃ hoti, ‘‘nayidaṃ tuyhaṃ jātiyā sūrabhāvassa ca anurūpa’’nti anattamano hutvā tattheva sayati, na gocarāya pakkamati. Avijahitvā ṭhite pana ‘‘tuyhaṃ jātiyā ca sūrabhāvassa ca anurūpamida’’nti haṭṭhatuṭṭho uṭṭhāya sīhavijambhitaṃ vijambhitvā kesarabhāraṃ vidhunitvā tikkhattuṃ sīhanādaṃ naditvā gocarāya pakkamati.
จตุตฺถชฺฌานเสยฺยา ปน ตถาคตเสยฺยาติ วุจฺจติฯ ตาสุ อิธ สีหเสยฺยา อาคตาฯ อยญฺหิ เตชุสฺสทอิริยาปถตฺตา อุตฺตมเสยฺยา นามฯ
Catutthajjhānaseyyā pana tathāgataseyyāti vuccati. Tāsu idha sīhaseyyā āgatā. Ayañhi tejussadairiyāpathattā uttamaseyyā nāma.
ปาเท ปาทนฺติ ทกฺขิณปาเท วามปาทํฯ อจฺจาธายาติ อติอาธาย, อีสกํ อติกฺกมฺม ฐเปตฺวาฯ โคปฺผเกน หิ โคปฺผเก, ชาณุนา วา ชาณุมฺหิ สงฺฆฎฺฎิยมาเน อภิณฺหํ เวทนา อุปฺปชฺชติ, จิตฺตํ เอกคฺคํ น โหติ, เสยฺยา อผาสุกา โหติฯ ยถา ปน น สงฺฆํเฎฺฎติ, เอวํ อติกฺกมฺม ฐปิเต เวทนา นุปฺปชฺชติ, จิตฺตํ เอกคฺคํ โหติ, เสยฺยา ผาสุกา โหติฯ ตสฺมา เอวํ เสยฺยํ กเปฺปติฯ
Pāde pādanti dakkhiṇapāde vāmapādaṃ. Accādhāyāti atiādhāya, īsakaṃ atikkamma ṭhapetvā. Gopphakena hi gopphake, jāṇunā vā jāṇumhi saṅghaṭṭiyamāne abhiṇhaṃ vedanā uppajjati, cittaṃ ekaggaṃ na hoti, seyyā aphāsukā hoti. Yathā pana na saṅghaṃṭṭeti, evaṃ atikkamma ṭhapite vedanā nuppajjati, cittaṃ ekaggaṃ hoti, seyyā phāsukā hoti. Tasmā evaṃ seyyaṃ kappeti.
สโต สมฺปชาโนติ สติยา เจว สมฺปชเญฺญน จ สมนฺนาคโตฯ กถํ นิทฺทายโนฺต สโต สมฺปชาโน โหตีติ? สติสมฺปชญฺญสฺส อปฺปหาเนนฯ อยญฺหิ ทิวสเญฺจว สกลยามญฺจ อาวรณีเยหิ ธเมฺมหิ จิตฺตํ ปริโสเธตฺวา ปฐมยามาวสาเน จงฺกมา โอรุยฺห ปาเท โธวโนฺตปิ มูลกมฺมฎฺฐานํ อวิชหโนฺตว โธวติ, ตํ อวิชหโนฺตว ทฺวารํ วิวรติ, มเญฺจ นิสีทติ, อวิชหโนฺตว นิทฺทํ โอกฺกมติฯ ปพุชฺฌโนฺต ปน มูลกมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวาว ปพุชฺฌติฯ เอวํ นิทฺทํ โอกฺกมโนฺตปิ สโต สมฺปชาโน โหติฯ เอวํ ปน ญาณธาตุกนฺติ น โรจยิํสุฯ
Sato sampajānoti satiyā ceva sampajaññena ca samannāgato. Kathaṃ niddāyanto sato sampajāno hotīti? Satisampajaññassa appahānena. Ayañhi divasañceva sakalayāmañca āvaraṇīyehi dhammehi cittaṃ parisodhetvā paṭhamayāmāvasāne caṅkamā oruyha pāde dhovantopi mūlakammaṭṭhānaṃ avijahantova dhovati, taṃ avijahantova dvāraṃ vivarati, mañce nisīdati, avijahantova niddaṃ okkamati. Pabujjhanto pana mūlakammaṭṭhānaṃ gahetvāva pabujjhati. Evaṃ niddaṃ okkamantopi sato sampajāno hoti. Evaṃ pana ñāṇadhātukanti na rocayiṃsu.
วุตฺตนเยน ปเนส จิตฺตํ ปริโสเธตฺวา ปฐมยามาวสาเน ‘‘อุปาทินฺนกํ สรีรํ นิทฺทาย สมสฺสาเสสฺสามี’’ติ จงฺกมา โอรุยฺห มูลกมฺมฎฺฐานํ อวิชหโนฺตว ปาเท โธวติ, ทฺวารํ วิวรติ, มเญฺจ ปน นิสีทิตฺวา มูลกมฺมฎฺฐานํ ปหาย, ‘‘ขนฺธาว ขเนฺธสุ, ธาตุโยว ธาตูสุ ปฎิหญฺญนฺตี’’ติ เสนาสนํ ปจฺจเวกฺขโนฺต กเมน นิทฺทํ โอกฺกมติ, ปพุชฺฌโนฺต ปน มูลกมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวาว ปพุชฺฌติฯ เอวํ นิทฺทํ โอกฺกมโนฺตปิ สโต สมฺปชาโน นาม โหตีติ เวทิตโพฺพฯ
Vuttanayena panesa cittaṃ parisodhetvā paṭhamayāmāvasāne ‘‘upādinnakaṃ sarīraṃ niddāya samassāsessāmī’’ti caṅkamā oruyha mūlakammaṭṭhānaṃ avijahantova pāde dhovati, dvāraṃ vivarati, mañce pana nisīditvā mūlakammaṭṭhānaṃ pahāya, ‘‘khandhāva khandhesu, dhātuyova dhātūsu paṭihaññantī’’ti senāsanaṃ paccavekkhanto kamena niddaṃ okkamati, pabujjhanto pana mūlakammaṭṭhānaṃ gahetvāva pabujjhati. Evaṃ niddaṃ okkamantopi sato sampajāno nāma hotīti veditabbo.
อิติ อิมสฺมิํ สุเตฺต ติวงฺคิกา ปุพฺพภาควิปสฺสนาว กถิตาฯ เอตฺตเกเนว ปน โวสานํ อนาปชฺชิตฺวา ตาเนว อินฺทฺริยพลโพชฺฌงฺคานิ สโมธาเนตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา ภิกฺขุ อรหตฺตํ ปาปุณาตีติฯ เอวํ ยาว อรหตฺตา เทสนา กเถตพฺพาฯ
Iti imasmiṃ sutte tivaṅgikā pubbabhāgavipassanāva kathitā. Ettakeneva pana vosānaṃ anāpajjitvā tāneva indriyabalabojjhaṅgāni samodhānetvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā bhikkhu arahattaṃ pāpuṇātīti. Evaṃ yāva arahattā desanā kathetabbā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๒. รโถปมสุตฺตํ • 2. Rathopamasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๒. รโถปมสุตฺตวณฺณนา • 2. Rathopamasuttavaṇṇanā