Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā)

    ๒. รฎฺฐปาลสุตฺตวณฺณนา

    2. Raṭṭhapālasuttavaṇṇanā

    ๒๙๓. เอวํ เม สุตนฺติ รฎฺฐปาลสุตฺตํฯ ตตฺถ ถุลฺลโกฎฺฐิกนฺติ ถุลฺลโกฎฺฐํ ปริปุณฺณโกฎฺฐาคารํฯ โส กิร ชนปโท นิจฺจสโสฺส สทา พีชภณฺฑํ นิกฺขมติ, ขลภณฺฑํ ปวิสติฯ เตน ตสฺมิํ นิคเม โกฎฺฐา นิจฺจปูราว โหนฺติฯ ตสฺมา โส ถุลฺลโกฎฺฐิกเนฺตว สงฺขํ คโตฯ

    293.Evaṃme sutanti raṭṭhapālasuttaṃ. Tattha thullakoṭṭhikanti thullakoṭṭhaṃ paripuṇṇakoṭṭhāgāraṃ. So kira janapado niccasasso sadā bījabhaṇḍaṃ nikkhamati, khalabhaṇḍaṃ pavisati. Tena tasmiṃ nigame koṭṭhā niccapūrāva honti. Tasmā so thullakoṭṭhikanteva saṅkhaṃ gato.

    ๒๙๔. รฎฺฐปาโลติ กสฺมา รฎฺฐปาโล? ภินฺนํ รฎฺฐํ สนฺธาเรตุํ ปาเลตุํ สมโตฺถติ รฎฺฐปาโลฯ กทา ปนเสฺสตํ นามํ อุปฺปนฺนนฺติฯ ปทุมุตฺตรสมฺมาสมฺพุทฺธกาเลฯ อิโต หิ ปุเพฺพ สตสหสฺสกปฺปมตฺถเก วสฺสสตสหสฺสายุเกสุ มนุเสฺสสุ ปทุมุตฺตโร นาม สตฺถา อุปฺปชฺชิตฺวา ภิกฺขุสตสหสฺสปริวาโร โลกหิตาย จาริกํ จริ, ยํ สนฺธาย วุตฺตํ –

    294.Raṭṭhapāloti kasmā raṭṭhapālo? Bhinnaṃ raṭṭhaṃ sandhāretuṃ pāletuṃ samatthoti raṭṭhapālo. Kadā panassetaṃ nāmaṃ uppannanti. Padumuttarasammāsambuddhakāle. Ito hi pubbe satasahassakappamatthake vassasatasahassāyukesu manussesu padumuttaro nāma satthā uppajjitvā bhikkhusatasahassaparivāro lokahitāya cārikaṃ cari, yaṃ sandhāya vuttaṃ –

    ‘‘นครํ หํสวตี นาม, อานโนฺท นาม ขตฺติโย;

    ‘‘Nagaraṃ haṃsavatī nāma, ānando nāma khattiyo;

    สุชาตา นาม ชนิกา, ปทุมุตฺตรสฺส สตฺถุโน’’ติฯ (พุ. วํ. ๑๒.๑๙);

    Sujātā nāma janikā, padumuttarassa satthuno’’ti. (bu. vaṃ. 12.19);

    ปทุมุตฺตเร ปน อนุปฺปเนฺน เอว หํสวติยา เทฺว กุฎุมฺพิกา สทฺธา ปสนฺนา กปณทฺธิกยาจกาทีนํ ทานํ ปฎฺฐปยิํสุฯ ตทา ปพฺพตวาสิโน ปญฺจสตา ตาปสา หํสวติํ อนุปฺปตฺตาฯ เต เทฺวปิ ชนา ตาปสคณํ มเชฺฌ ภินฺทิตฺวา อุปฎฺฐหิํสุฯ ตาปสา กิญฺจิกาลํ วสิตฺวา ปพฺพตปาทเมว คตาฯ เทฺว สงฺฆเตฺถรา โอหียิํสุฯ ตทา เตสํ เต ยาวชีวํ อุปฎฺฐานํ อกํสุฯ ตาปเสสุ ภุญฺชิตฺวา อนุโมทนํ กโรเนฺตสุ เอโก สกฺกภวนสฺส วณฺณํ กเถสิ, เอโก ภูมินฺธรนาคราชภวนสฺสฯ

    Padumuttare pana anuppanne eva haṃsavatiyā dve kuṭumbikā saddhā pasannā kapaṇaddhikayācakādīnaṃ dānaṃ paṭṭhapayiṃsu. Tadā pabbatavāsino pañcasatā tāpasā haṃsavatiṃ anuppattā. Te dvepi janā tāpasagaṇaṃ majjhe bhinditvā upaṭṭhahiṃsu. Tāpasā kiñcikālaṃ vasitvā pabbatapādameva gatā. Dve saṅghattherā ohīyiṃsu. Tadā tesaṃ te yāvajīvaṃ upaṭṭhānaṃ akaṃsu. Tāpasesu bhuñjitvā anumodanaṃ karontesu eko sakkabhavanassa vaṇṇaṃ kathesi, eko bhūmindharanāgarājabhavanassa.

    กุฎุมฺพิเกสุ เอโก สกฺกภวนํ ปตฺถนํ กตฺวา สโกฺก หุตฺวา นิพฺพโตฺต, เอโก นาคภวเน ปาลิตนาคราชา นามฯ ตํ สโกฺก อตฺตโน อุปฎฺฐานํ อาคตํ ทิสฺวา นาคโยนิยํ อภิรมสีติ ปุจฺฉิฯ โส นาภิรมามีติ อาหฯ เตน หิ ปทุมุตฺตรสฺส ภควโต ทานํ ทตฺวา อิมสฺมิํ ฐาเน ปตฺถนํ กโรหิ, อุโภ สุขํ วสิสฺสามาติฯ นาคราชา สตฺถารํ นิมเนฺตตฺวา ภิกฺขุสตสหสฺสปริวารสฺส ภควโต สตฺตาหํ มหาทานํ ททมาโน ปทุมุตฺตรสฺส ทสพลสฺส ปุตฺตํ อุปเรวตํ นาม สามเณรํ ทิสฺวา สตฺตเม ทิวเส พุทฺธปฺปมุขสฺส สงฺฆสฺส ทิพฺพวตฺถานิ ทตฺวา สามเณรสฺส ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ ภควา อนาคตํ โอโลเกตฺวา – ‘‘อนาคเต โคตมสฺส นาม พุทฺธสฺส ปุโตฺต ราหุลกุมาโร ภวิสฺสตี’’ติ ทิสฺวา ‘‘สมิชฺฌิสฺสติ เต ปตฺถนา’’ติ กเถสิฯ นาคราชา ตมตฺถํ สกฺกสฺส กเถสิฯ สโกฺก ตสฺส วจนํ สุตฺวา ตเถว สตฺตาหํ ทานํ ทตฺวา ภินฺนํ รฎฺฐํ สนฺธาเรตุํ ปาเลตุํ สมตฺถกุเล นิพฺพตฺติตฺวา สทฺธาปพฺพชิตํ รฎฺฐปาลํ นาม กุลปุตฺตํ ทิสฺวา – ‘‘อหมฺปิ อนาคเต โลกสฺมิํ ตุมฺหาทิเส พุเทฺธ อุปฺปเนฺน ภินฺนํ รฎฺฐํ สนฺธาเรตุํ ปาเลตุํ สมตฺถกุเล นิพฺพตฺติตฺวา อยํ กุลปุโตฺต วิย สทฺธาปพฺพชิโต รฎฺฐปาโล นาม ภเวยฺย’’นฺติ ปตฺถนมกาสิฯ สตฺถา สมิชฺฌนกภาวํ ญตฺวา อิมํ คาถมาห –

    Kuṭumbikesu eko sakkabhavanaṃ patthanaṃ katvā sakko hutvā nibbatto, eko nāgabhavane pālitanāgarājā nāma. Taṃ sakko attano upaṭṭhānaṃ āgataṃ disvā nāgayoniyaṃ abhiramasīti pucchi. So nābhiramāmīti āha. Tena hi padumuttarassa bhagavato dānaṃ datvā imasmiṃ ṭhāne patthanaṃ karohi, ubho sukhaṃ vasissāmāti. Nāgarājā satthāraṃ nimantetvā bhikkhusatasahassaparivārassa bhagavato sattāhaṃ mahādānaṃ dadamāno padumuttarassa dasabalassa puttaṃ uparevataṃ nāma sāmaṇeraṃ disvā sattame divase buddhappamukhassa saṅghassa dibbavatthāni datvā sāmaṇerassa ṭhānantaraṃ patthesi. Bhagavā anāgataṃ oloketvā – ‘‘anāgate gotamassa nāma buddhassa putto rāhulakumāro bhavissatī’’ti disvā ‘‘samijjhissati te patthanā’’ti kathesi. Nāgarājā tamatthaṃ sakkassa kathesi. Sakko tassa vacanaṃ sutvā tatheva sattāhaṃ dānaṃ datvā bhinnaṃ raṭṭhaṃ sandhāretuṃ pāletuṃ samatthakule nibbattitvā saddhāpabbajitaṃ raṭṭhapālaṃ nāma kulaputtaṃ disvā – ‘‘ahampi anāgate lokasmiṃ tumhādise buddhe uppanne bhinnaṃ raṭṭhaṃ sandhāretuṃ pāletuṃ samatthakule nibbattitvā ayaṃ kulaputto viya saddhāpabbajito raṭṭhapālo nāma bhaveyya’’nti patthanamakāsi. Satthā samijjhanakabhāvaṃ ñatvā imaṃ gāthamāha –

    ‘‘สราชิกํ จาตุวณฺณํ, โปเสตุํ ยํ ปโหสฺสติ;

    ‘‘Sarājikaṃ cātuvaṇṇaṃ, posetuṃ yaṃ pahossati;

    รฎฺฐปาลกุลํ นาม, ตตฺถ ชายิสฺสเต อย’’นฺติฯ –

    Raṭṭhapālakulaṃ nāma, tattha jāyissate aya’’nti. –

    เอวํ ปทุมุตฺตรสมฺมาสมฺพุทฺธกาเล ตเสฺสตํ นามํ อุปฺปนฺนนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Evaṃ padumuttarasammāsambuddhakāle tassetaṃ nāmaṃ uppannanti veditabbaṃ.

    เอตทโหสีติ กิํ อโหสิ? ยถา ยถา โขติอาทิฯ ตตฺรายํ สเงฺขปกถา – อหํ โข เยน เยน การเณน ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ, เตน เตน เม อุปปริกฺขโต เอวํ โหติ – ‘‘ยเทตํ สิกฺขตฺตยพฺรหฺมจริยํ เอกทิวสมฺปิ อขณฺฑํ กตฺวา จริมกจิตฺตํ ปาเปตพฺพตาย เอกนฺตปริปุณฺณํ จริตพฺพํ, เอกทิวสมฺปิ จ กิเลสมเลน อมลีนํ กตฺวา จริมกจิตฺตํ ปาเปตพฺพตาย เอกนฺตปริสุทฺธํ, สงฺขลิขิตํ วิลิขิตสงฺขสทิสํ โธตสงฺขสปฺปฎิภาคํ กตฺวา จริตพฺพํ, นยิทํ สุกรํ อคารํ อชฺฌาวสตา อคารมเชฺฌ วสเนฺตน เอกนฺตปริปุณฺณํ…เป.… จริตุํ, ยํนูนาหํ เกสญฺจ มสฺสุญฺจ โอหาเรตฺวา กาสายรสปีตตาย กาสายานิ พฺรหฺมจริยํ จรนฺตานํ อนุจฺฉวิกานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา นิกฺขมิตฺวา อนคาริยํ ปพฺพเชยฺย’’นฺติฯ

    Etadahosīti kiṃ ahosi? Yathā yathā khotiādi. Tatrāyaṃ saṅkhepakathā – ahaṃ kho yena yena kāraṇena bhagavatā dhammaṃ desitaṃ ājānāmi, tena tena me upaparikkhato evaṃ hoti – ‘‘yadetaṃ sikkhattayabrahmacariyaṃ ekadivasampi akhaṇḍaṃ katvā carimakacittaṃ pāpetabbatāya ekantaparipuṇṇaṃ caritabbaṃ, ekadivasampi ca kilesamalena amalīnaṃ katvā carimakacittaṃ pāpetabbatāya ekantaparisuddhaṃ, saṅkhalikhitaṃ vilikhitasaṅkhasadisaṃ dhotasaṅkhasappaṭibhāgaṃ katvā caritabbaṃ, nayidaṃ sukaraṃ agāraṃ ajjhāvasatā agāramajjhe vasantena ekantaparipuṇṇaṃ…pe… carituṃ, yaṃnūnāhaṃ kesañca massuñca ohāretvā kāsāyarasapītatāya kāsāyāni brahmacariyaṃ carantānaṃ anucchavikāni vatthāni acchādetvā agārasmā nikkhamitvā anagāriyaṃ pabbajeyya’’nti.

    อจิรปกฺกเนฺตสุ ถุลฺลโกฎฺฐิเกสุ พฺราหฺมณคหปติเกสุ เยน ภควา เตนุปสงฺกมีติ รฎฺฐปาโล อนุฎฺฐิเตสุ เตสุ น ภควนฺตํ ปพฺพชฺชํ ยาจิฯ กสฺมา? ตตฺถสฺส พหู ญาติสาโลหิตา มิตฺตามจฺจา สนฺติ, เต – ‘‘ตฺวํ มาตาปิตูนํ เอกปุตฺตโก, น ลพฺภา ตยา ปพฺพชิตุ’’นฺติ พาหายมฺปิ คเหตฺวา อากเฑฺฒยฺยุํ, ตโต ปพฺพชฺชาย อนฺตราโย ภวิสฺสตีติ สเหว ปริสาย อุฎฺฐหิตฺวา โถกํ คนฺตฺวา ปุน เกนจิ สรีรกิจฺจเลเสน นิวตฺติตฺวา ภควนฺตํ อุปสงฺกมฺม ปพฺพชฺชํ ยาจิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อถ โข รฎฺฐปาโล กุลปุโตฺต อจิรปกฺกเนฺตสุ ถุลฺลโกฎฺฐิเกสุ…เป.… ปพฺพาเชตุ มํ ภควา’’ติฯ ภควา ปน ยสฺมา ราหุลกุมารสฺส ปพฺพชิตโต ปภุติ มาตาปิตูหิ อนนุญฺญาตํ ปุตฺตํ น ปพฺพาเชติ, ตสฺมา นํ ปุจฺฉิ อนุญฺญาโตสิ ปน ตฺวํ, รฎฺฐปาล, มาตาปิตูหิ…เป.… ปพฺพชฺชายาติฯ

    Acirapakkantesu thullakoṭṭhikesu brāhmaṇagahapatikesu yena bhagavā tenupasaṅkamīti raṭṭhapālo anuṭṭhitesu tesu na bhagavantaṃ pabbajjaṃ yāci. Kasmā? Tatthassa bahū ñātisālohitā mittāmaccā santi, te – ‘‘tvaṃ mātāpitūnaṃ ekaputtako, na labbhā tayā pabbajitu’’nti bāhāyampi gahetvā ākaḍḍheyyuṃ, tato pabbajjāya antarāyo bhavissatīti saheva parisāya uṭṭhahitvā thokaṃ gantvā puna kenaci sarīrakiccalesena nivattitvā bhagavantaṃ upasaṅkamma pabbajjaṃ yāci. Tena vuttaṃ – ‘‘atha kho raṭṭhapālo kulaputto acirapakkantesu thullakoṭṭhikesu…pe… pabbājetu maṃ bhagavā’’ti. Bhagavā pana yasmā rāhulakumārassa pabbajitato pabhuti mātāpitūhi ananuññātaṃ puttaṃ na pabbājeti, tasmā naṃ pucchi anuññātosi pana tvaṃ, raṭṭhapāla, mātāpitūhi…pe… pabbajjāyāti.

    ๒๙๕. อมฺมตาตาติ เอตฺถ อมฺมาติ มาตรํ อาลปติ, ตาตาติ ปิตรํฯ เอกปุตฺตโกติ เอโกว ปุตฺตโก, อโญฺญ โกจิ เชโฎฺฐ วา กนิโฎฺฐ วา นตฺถิฯ เอตฺถ จ เอกปุโตฺตติ วตฺตเพฺพ อนุกมฺปาวเสน เอกปุตฺตโกติ วุตฺตํฯ ปิโยติ ปีติชนโกฯ มนาโปติ มนวฑฺฒนโกฯ สุเขธิโตติ สุเขน เอธิโต, สุขสํวฑฺฒิโตติ อโตฺถฯ สุขปริภโตติ สุเขน ปริภโต, ชาตกาลโต ปภุติ ธาตีหิ องฺกโต องฺกํ อาหริตฺวา ธาริยมาโน อสฺสกรถกาทีหิ พาลกีฬนเกหิ กีฬยมาโน สาทุรสโภชนํ โภชยมาโน สุเขน ปริหโฎฯ น ตฺวํ, ตาต รฎฺฐปาล, กสฺสจิ ทุกฺขสฺส ชานาสีติ ตฺวํ , ตาต รฎฺฐปาล อปฺปมตฺตกมฺปิ กลภาคํ ทุกฺขสฺส น ชานาสิ น สรสีติ อโตฺถฯ มรเณนปิ เต มยํ อกามกา วินา ภวิสฺสามาติ สเจปิ ตว อเมฺหสุ ชีวมาเนสุ มรณํ ภเวยฺย, เตน เต มรเณนปิ มยํ อกามกา อนิจฺฉกา น อตฺตโน รุจิยา วินา ภวิสฺสาม, ตยา วิโยคํ ปาปุณิสฺสามาติ อโตฺถฯ กิํ ปน มยํ ตนฺติ เอวํ สเนฺต กิํ ปน กิํ นาม ตํ การณํ, เยน มยํ ตํ ชีวนฺตํ อนุชานิสฺสามฯ อถ วา กิํ ปน มยํ ตนฺติ เกน ปน การเณน มยํ ตํ ชีวนฺตํ อนุชานิสฺสามาติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ

    295.Ammatātāti ettha ammāti mātaraṃ ālapati, tātāti pitaraṃ. Ekaputtakoti ekova puttako, añño koci jeṭṭho vā kaniṭṭho vā natthi. Ettha ca ekaputtoti vattabbe anukampāvasena ekaputtakoti vuttaṃ. Piyoti pītijanako. Manāpoti manavaḍḍhanako. Sukhedhitoti sukhena edhito, sukhasaṃvaḍḍhitoti attho. Sukhaparibhatoti sukhena paribhato, jātakālato pabhuti dhātīhi aṅkato aṅkaṃ āharitvā dhāriyamāno assakarathakādīhi bālakīḷanakehi kīḷayamāno sādurasabhojanaṃ bhojayamāno sukhena parihaṭo. Na tvaṃ, tāta raṭṭhapāla, kassaci dukkhassa jānāsīti tvaṃ , tāta raṭṭhapāla appamattakampi kalabhāgaṃ dukkhassa na jānāsi na sarasīti attho. Maraṇenapi te mayaṃ akāmakā vinā bhavissāmāti sacepi tava amhesu jīvamānesu maraṇaṃ bhaveyya, tena te maraṇenapi mayaṃ akāmakā anicchakā na attano ruciyā vinā bhavissāma, tayā viyogaṃ pāpuṇissāmāti attho. Kiṃ pana mayaṃ tanti evaṃ sante kiṃ pana kiṃ nāma taṃ kāraṇaṃ, yena mayaṃ taṃ jīvantaṃ anujānissāma. Atha vā kiṃ pana mayaṃ tanti kena pana kāraṇena mayaṃ taṃ jīvantaṃ anujānissāmāti evamettha attho daṭṭhabbo.

    ๒๙๖. ตเตฺถวาติ ยตฺถ นํ ฐิตํ มาตาปิตโร นานุชานิํสุ, ตเตฺถว ฐาเนฯ อนนฺตรหิตายาติ เกนจิ อตฺถรเณน อนตฺถตายฯ ปริจาเรหีติ คนฺธพฺพนฎนาฎกาทีนิ ปจฺจุปฎฺฐเปตฺวา ตตฺถ สหายเกหิ สทฺธิํ ยถาสุขํ อินฺทฺริยานิ จาเรหิ สญฺจาเรหิ, อิโต จิโต จ อุปเนหีติ วุตฺตํ โหติฯ อถ วา ปริจาเรหีติ คนฺธพฺพนฎนาฎกาทีนิ ปจฺจุปฎฺฐเปตฺวา สหายเกหิ สทฺธิํ ลฬ อุปลฬ รม, กีฬสฺสูติปิ วุตฺตํ โหติฯ กาเม ปริภุญฺชโนฺตติ อตฺตโน ปุตฺตทาเรหิ สทฺธิํ โภเค ภุญฺชโนฺตฯ ปุญฺญานิ กโรโนฺตติ พุทฺธญฺจ ธมฺมญฺจ สงฺฆญฺจ อารพฺภ ทานปฺปทานาทีนิ สุคติมคฺคสํโสธกานิ กุสลกมฺมานิ กโรโนฺตฯ ตุณฺหี อโหสีติ กถานุปฺปพนฺธวิเจฺฉทนตฺถํ นิราลาปสลฺลาโป อโหสิฯ

    296.Tatthevāti yattha naṃ ṭhitaṃ mātāpitaro nānujāniṃsu, tattheva ṭhāne. Anantarahitāyāti kenaci attharaṇena anatthatāya. Paricārehīti gandhabbanaṭanāṭakādīni paccupaṭṭhapetvā tattha sahāyakehi saddhiṃ yathāsukhaṃ indriyāni cārehi sañcārehi, ito cito ca upanehīti vuttaṃ hoti. Atha vā paricārehīti gandhabbanaṭanāṭakādīni paccupaṭṭhapetvā sahāyakehi saddhiṃ laḷa upalaḷa rama, kīḷassūtipi vuttaṃ hoti. Kāme paribhuñjantoti attano puttadārehi saddhiṃ bhoge bhuñjanto. Puññāni karontoti buddhañca dhammañca saṅghañca ārabbha dānappadānādīni sugatimaggasaṃsodhakāni kusalakammāni karonto. Tuṇhī ahosīti kathānuppabandhavicchedanatthaṃ nirālāpasallāpo ahosi.

    อถสฺส มาตาปิตโร ติกฺขตฺตุํ วตฺวา ปฎิวจนมฺปิ อลภมานา สหายเก ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘เอส โว สหายโก ปพฺพชิตุกาโม, นิวาเรถ น’’นฺติ อาหํสุฯ เตปิ ตํ อุปสงฺกมิตฺวา ติกฺขตฺตุํ อโวจุํ, เตสมฺปิ ตุณฺหี อโหสิฯ เตน วุตฺตํ – อถ โข รฎฺฐปาลสฺส กุลปุตฺตสฺส สหายกา…เป.… ตุณฺหี อโหสีติฯ อถสฺส สหายกานํ ติกฺขตฺตุํ วตฺวา เอตทโหสิ – ‘‘สเจ อยํ ปพฺพชฺชํ อลภมาโน มริสฺสติ, น โกจิ คุโณ ลพฺภติฯ ปพฺพชิตํ ปน นํ มาตาปิตโรปิ กาเลน กาลํ ปสฺสิสฺสนฺติ, มยมฺปิ ปสฺสิสฺสาม, ปพฺพชฺชาปิ จ นาเมสา ภาริยา, ทิวเส ทิวเส มตฺติกาปตฺตํ คเหตฺวา ปิณฺฑาย จริตพฺพํ, เอกเสยฺยํ เอกภตฺตํ พฺรหฺมจริยํ อติทุกฺกรํ, อยญฺจ สุขุมาโล นาคริกชาติโย, โส ตํ จริตุํ อสโกฺกโนฺต ปุน อิเธว อาคมิสฺสติ, หนฺทสฺส มาตาปิตโร อนุชานาเปสฺสามา’’ติฯ เต ตถา อกํสุฯ มาตาปิตโรปิ นํ ‘‘ปพฺพชิเตน จ ปน เต มาตาปิตโร อุทฺทเสฺสตพฺพา’’ติ อิมํ กติกํ กตฺวา อนุชานิํสุฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อถ โข รฎฺฐปาลสฺส กุลปุตฺตสฺส สหายกา เยน รฎฺฐปาลสฺส กุลปุตฺตสฺส มาตาปิตโร…เป.… อนุญฺญาโตสิ มาตาปิตูหิ…เป.… อุทฺทเสฺสตพฺพา’’ติฯ ตตฺถ อุทฺทเสฺสตพฺพาติ อุทฺธํ ทเสฺสตพฺพา, ยถา ตํ กาเลน กาลํ ปสฺสนฺติ, เอวํ อาคนฺตฺวา อตฺตานํ ทเสฺสตพฺพาฯ

    Athassa mātāpitaro tikkhattuṃ vatvā paṭivacanampi alabhamānā sahāyake pakkosāpetvā ‘‘esa vo sahāyako pabbajitukāmo, nivāretha na’’nti āhaṃsu. Tepi taṃ upasaṅkamitvā tikkhattuṃ avocuṃ, tesampi tuṇhī ahosi. Tena vuttaṃ – atha kho raṭṭhapālassa kulaputtassa sahāyakā…pe… tuṇhī ahosīti. Athassa sahāyakānaṃ tikkhattuṃ vatvā etadahosi – ‘‘sace ayaṃ pabbajjaṃ alabhamāno marissati, na koci guṇo labbhati. Pabbajitaṃ pana naṃ mātāpitaropi kālena kālaṃ passissanti, mayampi passissāma, pabbajjāpi ca nāmesā bhāriyā, divase divase mattikāpattaṃ gahetvā piṇḍāya caritabbaṃ, ekaseyyaṃ ekabhattaṃ brahmacariyaṃ atidukkaraṃ, ayañca sukhumālo nāgarikajātiyo, so taṃ carituṃ asakkonto puna idheva āgamissati, handassa mātāpitaro anujānāpessāmā’’ti. Te tathā akaṃsu. Mātāpitaropi naṃ ‘‘pabbajitena ca pana te mātāpitaro uddassetabbā’’ti imaṃ katikaṃ katvā anujāniṃsu. Tena vuttaṃ – ‘‘atha kho raṭṭhapālassa kulaputtassa sahāyakā yena raṭṭhapālassa kulaputtassa mātāpitaro…pe… anuññātosi mātāpitūhi…pe… uddassetabbā’’ti. Tattha uddassetabbāti uddhaṃ dassetabbā, yathā taṃ kālena kālaṃ passanti, evaṃ āgantvā attānaṃ dassetabbā.

    ๒๙๙. พลํ คเหตฺวาติ สปฺปายโภชนานิ ภุญฺชโนฺต อุจฺฉาทนาทีหิ จ กายํ ปริหรโนฺต กายพลํ ชเนตฺวา มาตาปิตโร วนฺทิตฺวา อสฺสุมุขํ ญาติปริวฎฺฎํ ปหาย เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ…เป.… ปพฺพาเชตุ มํ, ภเนฺต, ภควาติฯ ภควา สมีเป ฐิตํ อญฺญตรํ ภิกฺขุํ อามเนฺตสิ – ‘‘เตน หิ ภิกฺขุ รฎฺฐปาลํ ปพฺพาเชหิ เจว อุปสมฺปาเทหิ จา’’ติฯ สาธุ, ภเนฺตติ โข โส ภิกฺขุ ภควโต ปฎิสฺสุตฺวา รฎฺฐปาลํ กุลปุตฺตํ ชินทตฺติยํ สทฺธิวิหาริกํ ลทฺธา ปพฺพาเชสิ เจว อุปสมฺปาเทสิ จฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อลตฺถ โข รฎฺฐปาโล กุลปุโตฺต ภควโต สนฺติเก ปพฺพชฺชํ, อลตฺถ อุปสมฺปท’’นฺติฯ

    299.Balaṃ gahetvāti sappāyabhojanāni bhuñjanto ucchādanādīhi ca kāyaṃ pariharanto kāyabalaṃ janetvā mātāpitaro vanditvā assumukhaṃ ñātiparivaṭṭaṃ pahāya yena bhagavā tenupasaṅkami…pe… pabbājetu maṃ, bhante, bhagavāti. Bhagavā samīpe ṭhitaṃ aññataraṃ bhikkhuṃ āmantesi – ‘‘tena hi bhikkhu raṭṭhapālaṃ pabbājehi ceva upasampādehi cā’’ti. Sādhu, bhanteti kho so bhikkhu bhagavato paṭissutvā raṭṭhapālaṃ kulaputtaṃ jinadattiyaṃ saddhivihārikaṃ laddhā pabbājesi ceva upasampādesi ca. Tena vuttaṃ – ‘‘alattha kho raṭṭhapālo kulaputto bhagavato santike pabbajjaṃ, alattha upasampada’’nti.

    ปหิตโตฺต วิหรโนฺตติ ทฺวาทส สํวจฺฉรานิ เอวํ วิหรโนฺตฯ เนยฺยปุคฺคโล หิ อยมายสฺมา, ตสฺมา ปุญฺญวา อภินีหารสมฺปโนฺนปิ สมาโน ‘‘อชฺช อเชฺชว อรหตฺต’’นฺติ สมณธมฺมํ กโรโนฺตปิ ทฺวาทสเม วเสฺส อรหตฺตํ ปาปุณิฯ

    Pahitattoviharantoti dvādasa saṃvaccharāni evaṃ viharanto. Neyyapuggalo hi ayamāyasmā, tasmā puññavā abhinīhārasampannopi samāno ‘‘ajja ajjeva arahatta’’nti samaṇadhammaṃ karontopi dvādasame vasse arahattaṃ pāpuṇi.

    เยน ภควา เตนุปสงฺกมีติ มยฺหํ มาตาปิตโร ปพฺพชฺชํ อนุชานมานา – ‘‘ตยา กาเลน กาลํ อาคนฺตฺวา อมฺหากํ ทสฺสนํ ทาตพฺพ’’นฺติ วตฺวา อนุชานิํสุ, ทุกฺกรการิกา โข ปน มาตาปิตโร, อหญฺจ เยนชฺฌาสเยน ปพฺพชิโต, โส เม มตฺถกํ ปโตฺต, อิทานิ ภควนฺตํ อาปุจฺฉิตฺวา อตฺตานํ มาตาปิตูนํ ทเสฺสสฺสามีติ จิเนฺตตฺวา อาปุจฺฉิตุกาโม อุปสงฺกมิฯ มนสากาสีติ ‘‘กิํ นุ โข รฎฺฐปาเล คเต โกจิ อุปทฺทโว ภวิสฺสตี’’ติ มนสิ อกาสิฯ ตโต ‘‘ภวิสฺสตี’’ติ ญตฺวา ‘‘สกฺขิสฺสติ นุ โข รฎฺฐปาโล ตํ มทฺทิตุ’’นฺติ โอโลเกโนฺต ตสฺส อรหตฺตสมฺปตฺติํ ทิสฺวา ‘‘สกฺขิสฺสตี’’ติ อญฺญาสิฯ เตน วุตฺตํ – ยถา ภควา อญฺญาสิ…เป.… กาลํ มญฺญสีติฯ

    Yena bhagavā tenupasaṅkamīti mayhaṃ mātāpitaro pabbajjaṃ anujānamānā – ‘‘tayā kālena kālaṃ āgantvā amhākaṃ dassanaṃ dātabba’’nti vatvā anujāniṃsu, dukkarakārikā kho pana mātāpitaro, ahañca yenajjhāsayena pabbajito, so me matthakaṃ patto, idāni bhagavantaṃ āpucchitvā attānaṃ mātāpitūnaṃ dassessāmīti cintetvā āpucchitukāmo upasaṅkami. Manasākāsīti ‘‘kiṃ nu kho raṭṭhapāle gate koci upaddavo bhavissatī’’ti manasi akāsi. Tato ‘‘bhavissatī’’ti ñatvā ‘‘sakkhissati nu kho raṭṭhapālo taṃ madditu’’nti olokento tassa arahattasampattiṃ disvā ‘‘sakkhissatī’’ti aññāsi. Tena vuttaṃ – yathā bhagavā aññāsi…pe… kālaṃ maññasīti.

    มิคจีเรติ เอวํนามเก อุยฺยาเนฯ ตญฺหิ รญฺญา – ‘‘อกาเล สมฺปตฺตปพฺพชิตานํ ทินฺนเมว อิทํ, ยถาสุขํ ปริภุญฺชนฺตู’’ติ เอวมนุญฺญาตเมว อโหสิ, ตสฺมา เถโร – ‘‘มม อาคตภาวํ มาตาปิตูนํ อาโรเจสฺสามิ, เต เม ปาทโธวนอุโณฺหทกปาทมกฺขนเตลาทีนิ เปสิสฺสนฺตี’’ติ จิตฺตมฺปิ อนุปฺปาเทตฺวา อุยฺยานเมว ปาวิสิฯ ปิณฺฑาย ปาวิสีติ ทุติยทิวเส ปาวิสิฯ

    Migacīreti evaṃnāmake uyyāne. Tañhi raññā – ‘‘akāle sampattapabbajitānaṃ dinnameva idaṃ, yathāsukhaṃ paribhuñjantū’’ti evamanuññātameva ahosi, tasmā thero – ‘‘mama āgatabhāvaṃ mātāpitūnaṃ ārocessāmi, te me pādadhovanauṇhodakapādamakkhanatelādīni pesissantī’’ti cittampi anuppādetvā uyyānameva pāvisi. Piṇḍāya pāvisīti dutiyadivase pāvisi.

    มชฺฌิมายาติ สตฺตทฺวารโกฎฺฐกสฺส ฆรสฺส มชฺฌิเม ทฺวารโกฎฺฐเกฯ อุลฺลิขาเปตีติ กปฺปเกน เกเส ปหราเปติฯ เอตทโวจาติ – ‘‘อิเม สมณกา อมฺหากํ ปิยปุตฺตกํ ปพฺพาเชตฺวา โจรานํ หเตฺถ นิกฺขิปิตฺวา วิย เอกทิวสมฺปิ น ทสฺสาเปนฺติ, เอวํ ผรุสการกา เอเต ปุน อิมํ ฐานํ อุปสงฺกมิตพฺพํ มญฺญนฺติ, เอโตฺตว นิกฑฺฒิตพฺพา เอเต’’ติ จิเนฺตตฺวา เอตํ ‘‘อิเมหิ มุณฺฑเกหี’’ติอาทิวจนํ อโวจฯ ญาติทาสีติ ญาตกานํ ทาสีฯ อาภิโทสิกนฺติ ปาริวาสิกํ เอกรตฺตาติกฺกนฺตํ ปูติภูตํฯ ตตฺถายํ ปทโตฺถ – ปูติภาวโทเสน อภิภูโตติ อภิโทโส, อภิโทโสว อาภิโทสิโกฯ เอกรตฺตาติกฺกนฺตเสฺสว นามสญฺญา เอสา ยทิทํ อาภิโทสิโกติ, ตํ อาภิโทสิกํฯ กุมฺมาสนฺติ ยวกุมฺมาสํฯ ฉเฑฺฑตุกามา โหตีติ ยสฺมา อนฺตมโส ทาสกมฺมการานํ โครูปานมฺปิ อปริโภคารโห, ตสฺมา นํ กจวรํ วิย พหิ ฉเฑฺฑตุกามา โหติฯ สเจตนฺติ สเจ เอตํฯ ภคินีติ อริยโวหาเรน อตฺตโน ธาติํ ญาติทาสิํ อาลปติฯ ฉฑฺฑนียธมฺมนฺติ ฉเฑฺฑตพฺพสภาวํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘ภคินิ เอตํ สเจ พหิ ฉฑฺฑนียธมฺมํ นิสฺสฎฺฐปริคฺคหํ, อิธ เม ปเตฺต อากิราหี’’ติฯ กิํ ปน เอวํ วตฺตุํ ลพฺภติ , วิญฺญตฺติ วา ปยุตฺตวาจา วา น โหตีติฯ น โหติฯ กสฺมา? นิสฺสฎฺฐปริคฺคหตฺตาฯ ยญฺหิ ฉฑฺฑนียธมฺมํ นิสฺสฎฺฐปริคฺคหํ, ยตฺถ สามิกา อนาลยา โหนฺติ, ตํ สพฺพํ ‘‘เทถ อาหรถ อากิรถา’’ติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ เตเนว หิ อยมายสฺมา อคฺคอริยวํสิโก สมาโนปิ เอวมาหฯ

    Majjhimāyāti sattadvārakoṭṭhakassa gharassa majjhime dvārakoṭṭhake. Ullikhāpetīti kappakena kese paharāpeti. Etadavocāti – ‘‘ime samaṇakā amhākaṃ piyaputtakaṃ pabbājetvā corānaṃ hatthe nikkhipitvā viya ekadivasampi na dassāpenti, evaṃ pharusakārakā ete puna imaṃ ṭhānaṃ upasaṅkamitabbaṃ maññanti, ettova nikaḍḍhitabbā ete’’ti cintetvā etaṃ ‘‘imehi muṇḍakehī’’tiādivacanaṃ avoca. Ñātidāsīti ñātakānaṃ dāsī. Ābhidosikanti pārivāsikaṃ ekarattātikkantaṃ pūtibhūtaṃ. Tatthāyaṃ padattho – pūtibhāvadosena abhibhūtoti abhidoso, abhidosova ābhidosiko. Ekarattātikkantasseva nāmasaññā esā yadidaṃ ābhidosikoti, taṃ ābhidosikaṃ. Kummāsanti yavakummāsaṃ. Chaḍḍetukāmā hotīti yasmā antamaso dāsakammakārānaṃ gorūpānampi aparibhogāraho, tasmā naṃ kacavaraṃ viya bahi chaḍḍetukāmā hoti. Sacetanti sace etaṃ. Bhaginīti ariyavohārena attano dhātiṃ ñātidāsiṃ ālapati. Chaḍḍanīyadhammanti chaḍḍetabbasabhāvaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘bhagini etaṃ sace bahi chaḍḍanīyadhammaṃ nissaṭṭhapariggahaṃ, idha me patte ākirāhī’’ti. Kiṃ pana evaṃ vattuṃ labbhati , viññatti vā payuttavācā vā na hotīti. Na hoti. Kasmā? Nissaṭṭhapariggahattā. Yañhi chaḍḍanīyadhammaṃ nissaṭṭhapariggahaṃ, yattha sāmikā anālayā honti, taṃ sabbaṃ ‘‘detha āharatha ākirathā’’ti vattuṃ vaṭṭati. Teneva hi ayamāyasmā aggaariyavaṃsiko samānopi evamāha.

    หตฺถานนฺติ ภิกฺขาคหณตฺถํ ปตฺตํ อุปนามยโต มณิพนฺธโต ปภุติ ทฺวินฺนมฺปิ หตฺถานํฯ ปาทานนฺติ นิวาสนนฺตโต ปฎฺฐาย ทฺวินฺนมฺปิ ปาทานํฯ สรสฺสาติ สเจ ตํ ภคินีติ วาจํ นิจฺฉารยโต สรสฺส จฯ นิมิตฺตํ อคฺคเหสีติ หตฺถปิฎฺฐิอาทีนิ โอโลกยมานา – ‘‘ปุตฺตสฺส เม รฎฺฐปาลสฺส วิย สุวณฺณกจฺฉปปิฎฺฐิสทิสา อิมา หตฺถปาทปิฎฺฐิโย, หริตาลวฎฺฎิโย วิย สุวฎฺฎิตา องฺคุลิโย, มธุโร สโร’’ติ คิหิกาเล สลฺลกฺขิตปุพฺพํ อาการํ อคฺคเหสิ สญฺชานิ สลฺลเกฺขสิฯ ตสฺส หายสฺมโต ทฺวาทสวสฺสานิ อรญฺญาวาสเญฺจว ปิณฺฑิยาโลปโภชนญฺจ ปริภุญฺชนฺตสฺส อญฺญาทิโส สรีรวโณฺณ อโหสิ, เตน นํ สา ญาติทาสี ทิสฺวาว น สญฺชานิ, นิมิตฺตํ ปน อคฺคเหสีติฯ

    Hatthānanti bhikkhāgahaṇatthaṃ pattaṃ upanāmayato maṇibandhato pabhuti dvinnampi hatthānaṃ. Pādānanti nivāsanantato paṭṭhāya dvinnampi pādānaṃ. Sarassāti sace taṃ bhaginīti vācaṃ nicchārayato sarassa ca. Nimittaṃ aggahesīti hatthapiṭṭhiādīni olokayamānā – ‘‘puttassa me raṭṭhapālassa viya suvaṇṇakacchapapiṭṭhisadisā imā hatthapādapiṭṭhiyo, haritālavaṭṭiyo viya suvaṭṭitā aṅguliyo, madhuro saro’’ti gihikāle sallakkhitapubbaṃ ākāraṃ aggahesi sañjāni sallakkhesi. Tassa hāyasmato dvādasavassāni araññāvāsañceva piṇḍiyālopabhojanañca paribhuñjantassa aññādiso sarīravaṇṇo ahosi, tena naṃ sā ñātidāsī disvāva na sañjāni, nimittaṃ pana aggahesīti.

    ๓๐๐. รฎฺฐปาลสฺส มาตรํ เอตทโวจาติ เถรสฺส องฺคปจฺจงฺคานิ สณฺฐาเปตฺวา ถญฺญํ ปาเยตฺวา สํวฑฺฒิตธาตีปิ สมานา ปพฺพชิตฺวา มหาขีณาสวภาวปฺปเตฺตน สามิปุเตฺตน สทฺธิํ – ‘‘ตฺวํ นุ โข, เม ภเนฺต, ปุโตฺต รฎฺฐปาโล’’ติอาทิวจนํ วตฺตุํ อวิสหนฺตี เวเคน ฆรํ ปวิสิตฺวา รฎฺฐปาลสฺส มาตรํ เอตทโวจฯ ยเคฺฆติ อาโรจนเตฺถ นิปาโตฯ สเจ เช สจฺจนฺติ เอตฺถ เชติ อาลปเน นิปาโตฯ เอวญฺหิ ตสฺมิํ เทเส ทาสิชนํ อาลปนฺติ, ตสฺมา ‘‘ตฺวญฺหิ, โภติ ทาสิ, สเจ สจฺจํ ภณสี’’ติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ

    300.Raṭṭhapālassa mātaraṃ etadavocāti therassa aṅgapaccaṅgāni saṇṭhāpetvā thaññaṃ pāyetvā saṃvaḍḍhitadhātīpi samānā pabbajitvā mahākhīṇāsavabhāvappattena sāmiputtena saddhiṃ – ‘‘tvaṃ nu kho, me bhante, putto raṭṭhapālo’’tiādivacanaṃ vattuṃ avisahantī vegena gharaṃ pavisitvā raṭṭhapālassa mātaraṃ etadavoca. Yaggheti ārocanatthe nipāto. Saceje saccanti ettha jeti ālapane nipāto. Evañhi tasmiṃ dese dāsijanaṃ ālapanti, tasmā ‘‘tvañhi, bhoti dāsi, sace saccaṃ bhaṇasī’’ti evamettha attho daṭṭhabbo.

    อุปสงฺกมีติ กสฺมา อุปสงฺกมิ? มหากุเล อิตฺถิโย พหิ นิกฺขมนฺตา ครหํ ปาปุณนฺติ, อิทญฺจ อจฺจายิกกิจฺจํ, เสฎฺฐิสฺส นํ อาโรเจสฺสามีติ จิเนฺตติฯ ตสฺมา อุปสงฺกมิฯ อญฺญตรํ กุฎฺฎมูลนฺติ ตสฺมิํ กิร เทเส ทานปตีนํ ฆเรสุ สาลา โหนฺติ, อาสนานิ เจตฺถ ปญฺญตฺตานิ โหนฺติ, อุปฎฺฐาปิตํ อุทกกญฺชิยํฯ ตตฺถ ปพฺพชิตา ปิณฺฑาย จริตฺวา นิสีทิตฺวา ภุญฺชนฺติ ฯ สเจ อิจฺฉนฺติ, ทานปตีนมฺปิ สนฺตกํ คณฺหนฺติฯ ตสฺมา ตมฺปิ อญฺญตรสฺส กุลสฺส อีทิสาย สาลาย อญฺญตรํ กุฎฺฎมูลนฺติ เวทิตพฺพํฯ น หิ ปพฺพชิตา กปณมนุสฺสา วิย อสารุเปฺป ฐาเน นิสีทิตฺวา ภุญฺชนฺตีติฯ

    Upasaṅkamīti kasmā upasaṅkami? Mahākule itthiyo bahi nikkhamantā garahaṃ pāpuṇanti, idañca accāyikakiccaṃ, seṭṭhissa naṃ ārocessāmīti cinteti. Tasmā upasaṅkami. Aññataraṃ kuṭṭamūlanti tasmiṃ kira dese dānapatīnaṃ gharesu sālā honti, āsanāni cettha paññattāni honti, upaṭṭhāpitaṃ udakakañjiyaṃ. Tattha pabbajitā piṇḍāya caritvā nisīditvā bhuñjanti . Sace icchanti, dānapatīnampi santakaṃ gaṇhanti. Tasmā tampi aññatarassa kulassa īdisāya sālāya aññataraṃ kuṭṭamūlanti veditabbaṃ. Na hi pabbajitā kapaṇamanussā viya asāruppe ṭhāne nisīditvā bhuñjantīti.

    อตฺถิ นาม ตาตาติ เอตฺถ อตฺถีติ วิชฺชมานเตฺถ, นามาติ ปุจฺฉนเตฺถ มญฺญนเตฺถ วา นิปาโตฯ อิทญฺหิ วุตฺตํ โหติ – อตฺถิ นุ โข, ตาต รฎฺฐปาล, อมฺหากํ ธนํ, นนุ มยํ นิทฺธนาติ วตฺตพฺพา, เยสํ โน ตฺวํ อีทิเส ฐาเน นิสีทิตฺวา อาภิโทสิกํ กุมฺมาสํ ปริภุญฺชิสฺสสิฯ ตถา อตฺถิ นุ โข, ตาต รฎฺฐปาล, อมฺหากํ ชีวิตํ, นนุ มยํ มตาติ วตฺตพฺพา, เยสํ โน ตฺวํ อีทิเส ฐาเน นิสีทิตฺวา อาภิโทสิกํ กุมฺมาสํ ปริภุญฺชิสฺสสิฯ ตถา อตฺถิ มเญฺญ, ตาต รฎฺฐปาล, ตว อพฺภนฺตเร สาสนํ นิสฺสาย ปฎิลโทฺธ สมณคุโณ, ยํ ตฺวํ สุโภชนรสสํวฑฺฒิโตปิ อิมํ ชิคุจฺฉเนยฺยํ อาภิโทสิกํ กุมฺมาสํ อมตมิว นิพฺพิกาโร ปริภุญฺชิสฺสสีติฯ โส ปน คหปติ ทุกฺขาภิตุนฺนตาย เอตมตฺถํ ปริปุณฺณํ กตฺวา วตฺตุมสโกฺกโนฺต – ‘‘อตฺถิ นาม, ตาต รฎฺฐปาล, อาภิโทสิกํ กุมฺมาสํ ปริภุญฺชิสฺสสี’’ติ เอตฺตกเมว อวจฯ อกฺขรจินฺตกา ปเนตฺถ อิทํ ลกฺขณํ วทนฺติ – อโนกปฺปนามริสนตฺถวเสเนตํ อตฺถิสเทฺท อุปปเท ‘‘ปริภุญฺชิสฺสสี’’ติ อนาคตวจนํ กตํฯ ตสฺสายมโตฺถ – ‘‘อตฺถิ นาม…เป.… ปริภุญฺชิสฺสสิ, อิทํ ปจฺจกฺขมฺปิ อหํ น สทฺทหามิ น มริสยามี’’ติฯ อิทํ เอตฺตกํ วจนํ คหปติ เถรสฺส ปตฺตมุขวฎฺฎิยํ คเหตฺวา ฐิตโกว กเถสิฯ เถโรปิ ปิตริ ปตฺตมุขวฎฺฎิยํ คเหตฺวา ฐิเตเยว ตํ ปูติกุมฺมาสํ ปริภุญฺชิ สุนขวนฺตสทิสํ ปูติกุกฺกุฎณฺฑมิว ภินฺนฎฺฐาเน ปูติกํ วายนฺตํฯ ปุถุชฺชเนน กิร ตถารูปํ กุมฺมาสํ ปริภุญฺชิตุํ น สกฺกาฯ เถโร ปน อริยิทฺธิยํ ฐตฺวา ทิโพฺพชํ อมตรสํ ปริภุญฺชมาโน วิย ปริภุญฺชิตฺวา ธมกรเณน อุทกํ คเหตฺวา ปตฺตญฺจ มุขญฺจ หตฺถปาเท จ โธวิตฺวา กุโต โน คหปตีติอาทิมาหฯ

    Atthināma tātāti ettha atthīti vijjamānatthe, nāmāti pucchanatthe maññanatthe vā nipāto. Idañhi vuttaṃ hoti – atthi nu kho, tāta raṭṭhapāla, amhākaṃ dhanaṃ, nanu mayaṃ niddhanāti vattabbā, yesaṃ no tvaṃ īdise ṭhāne nisīditvā ābhidosikaṃ kummāsaṃ paribhuñjissasi. Tathā atthi nu kho, tāta raṭṭhapāla, amhākaṃ jīvitaṃ, nanu mayaṃ matāti vattabbā, yesaṃ no tvaṃ īdise ṭhāne nisīditvā ābhidosikaṃ kummāsaṃ paribhuñjissasi. Tathā atthi maññe, tāta raṭṭhapāla, tava abbhantare sāsanaṃ nissāya paṭiladdho samaṇaguṇo, yaṃ tvaṃ subhojanarasasaṃvaḍḍhitopi imaṃ jigucchaneyyaṃ ābhidosikaṃ kummāsaṃ amatamiva nibbikāro paribhuñjissasīti. So pana gahapati dukkhābhitunnatāya etamatthaṃ paripuṇṇaṃ katvā vattumasakkonto – ‘‘atthi nāma, tāta raṭṭhapāla, ābhidosikaṃ kummāsaṃ paribhuñjissasī’’ti ettakameva avaca. Akkharacintakā panettha idaṃ lakkhaṇaṃ vadanti – anokappanāmarisanatthavasenetaṃ atthisadde upapade ‘‘paribhuñjissasī’’ti anāgatavacanaṃ kataṃ. Tassāyamattho – ‘‘atthi nāma…pe… paribhuñjissasi, idaṃ paccakkhampi ahaṃ na saddahāmi na marisayāmī’’ti. Idaṃ ettakaṃ vacanaṃ gahapati therassa pattamukhavaṭṭiyaṃ gahetvā ṭhitakova kathesi. Theropi pitari pattamukhavaṭṭiyaṃ gahetvā ṭhiteyeva taṃ pūtikummāsaṃ paribhuñji sunakhavantasadisaṃ pūtikukkuṭaṇḍamiva bhinnaṭṭhāne pūtikaṃ vāyantaṃ. Puthujjanena kira tathārūpaṃ kummāsaṃ paribhuñjituṃ na sakkā. Thero pana ariyiddhiyaṃ ṭhatvā dibbojaṃ amatarasaṃ paribhuñjamāno viya paribhuñjitvā dhamakaraṇena udakaṃ gahetvā pattañca mukhañca hatthapāde ca dhovitvā kuto no gahapatītiādimāha.

    ตตฺถ กุโต โนติ กุโต นุฯ เนว ทานนฺติ เทยฺยธมฺมวเสน เนว ทานํ อลตฺถมฺหฯ น ปจฺจกฺขานนฺติ ‘‘กิํ, ตาต รฎฺฐปาล, กจฺจิ เต ขมนียํ, กจฺจิสิ อปฺปกิลมเถน อาคโต, น ตาว ตาต เคเห ภตฺตํ สมฺปาทิยตี’’ติ เอวํ ปฎิสนฺถารวเสน ปจฺจกฺขานมฺปิ น อลตฺถมฺหฯ กสฺมา ปน เถโร เอวมาห? ปิตุ อนุคฺคเหนฯ เอวํ กิรสฺส อโหสิ – ‘‘ยถา เอส มํ วทติ , อเญฺญปิ ปพฺพชิเต เอวํ วทติ มเญฺญฯ พุทฺธสาสเน จ ปตฺตนฺตเร ปทุมํ วิย ภสฺมาฉโนฺน อคฺคิ วิย เผคฺคุปฎิจฺฉโนฺน จนฺทนสาโร วิย สุตฺติกาปฎิจฺฉนฺนํ มุตฺตรตนํ วิย วลาหกปฎิจฺฉโนฺน จนฺทิมา วิย มาทิสานํ ปฎิจฺฉนฺนคุณานํ ภิกฺขูนํ อโนฺต นตฺถิ, เตสุปิ น เอวรูปํ วจนํ ปวเตฺตสฺสติ, สํวเร ฐสฺสตี’’ติ อนุคฺคเหน เอวมาหฯ

    Tattha kuto noti kuto nu. Neva dānanti deyyadhammavasena neva dānaṃ alatthamha. Na paccakkhānanti ‘‘kiṃ, tāta raṭṭhapāla, kacci te khamanīyaṃ, kaccisi appakilamathena āgato, na tāva tāta gehe bhattaṃ sampādiyatī’’ti evaṃ paṭisanthāravasena paccakkhānampi na alatthamha. Kasmā pana thero evamāha? Pitu anuggahena. Evaṃ kirassa ahosi – ‘‘yathā esa maṃ vadati , aññepi pabbajite evaṃ vadati maññe. Buddhasāsane ca pattantare padumaṃ viya bhasmāchanno aggi viya pheggupaṭicchanno candanasāro viya suttikāpaṭicchannaṃ muttaratanaṃ viya valāhakapaṭicchanno candimā viya mādisānaṃ paṭicchannaguṇānaṃ bhikkhūnaṃ anto natthi, tesupi na evarūpaṃ vacanaṃ pavattessati, saṃvare ṭhassatī’’ti anuggahena evamāha.

    เอหิ ตาตาติ ตาต ตุยฺหํ ฆรํ มา โหตุ, เอหิ ฆรํ คมิสฺสามาติ วทติฯ อลนฺติ เถโร อุกฺกฎฺฐเอกาสนิกตาย ปฎิกฺขิปโนฺต เอวมาหฯ อธิวาเสสีติ เถโร ปน ปกติยา อุกฺกฎฺฐสปทานจาริโก สฺวาตนายภิกฺขํ นาม นาธิวาเสติ, มาตุ อนุคฺคเหน ปน อธิวาเสสิฯ มาตุ กิรสฺส เถรํ อนุสฺสริตฺวา มหาโสโก อุปฺปชฺชิ, โรทเนเนว ปกฺกกฺขิ วิย ชาตา, ตสฺมา เถโร ‘‘สจาหํ ตํ อปสฺสิตฺวา คมิสฺสามิ, หทยมฺปิสฺสา ผาเลยฺยา’’ติ อนุคฺคเหน อธิวาเสสิฯ การาเปตฺวาติ เอกํ หิรญฺญสฺส, เอกํ สุวณฺณสฺสาติ เทฺว ปุเญฺช การาเปตฺวาฯ กีวมหนฺตา ปน ปุญฺชา อเหสุนฺติฯ ยถา โอรโต ฐิโต ปุริโส ปารโต ฐิตํ มชฺฌิมปฺปมาณํ ปุริสํ น ปสฺสติ, เอวํมหนฺตาฯ

    Ehi tātāti tāta tuyhaṃ gharaṃ mā hotu, ehi gharaṃ gamissāmāti vadati. Alanti thero ukkaṭṭhaekāsanikatāya paṭikkhipanto evamāha. Adhivāsesīti thero pana pakatiyā ukkaṭṭhasapadānacāriko svātanāyabhikkhaṃ nāma nādhivāseti, mātu anuggahena pana adhivāsesi. Mātu kirassa theraṃ anussaritvā mahāsoko uppajji, rodaneneva pakkakkhi viya jātā, tasmā thero ‘‘sacāhaṃ taṃ apassitvā gamissāmi, hadayampissā phāleyyā’’ti anuggahena adhivāsesi. Kārāpetvāti ekaṃ hiraññassa, ekaṃ suvaṇṇassāti dve puñje kārāpetvā. Kīvamahantā pana puñjā ahesunti. Yathā orato ṭhito puriso pārato ṭhitaṃ majjhimappamāṇaṃ purisaṃ na passati, evaṃmahantā.

    ๓๐๑. อิทํ เต ตาตาติ กหาปณปุญฺชญฺจ สุวณฺณปุญฺชญฺจ ทเสฺสโนฺต อาหฯ มตฺติกนฺติ มาติโต อาคตํ, อิทํ เต มาตามหิยา มาตุ อิมํ เคหํ อาคจฺฉนฺติยา คนฺธมาลาทีนํ อตฺถาย ทินฺนํ ธนนฺติ อโตฺถฯ อญฺญํ เปตฺติกํ อญฺญํ ปิตามหนฺติ ยํ ปน เต ปิตุ จ ปิตามหานญฺจ สนฺตกํ, ตํ อญฺญํเยว, นิหิตญฺจ ปยุตฺตญฺจ อติวิย พหุฯ เอตฺถ จ ‘‘ปิตามห’’นฺติ ตทฺธิตโลปํ กตฺวา วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ‘‘เปตามห’’นฺติ วา ปาโฐฯ สกฺกา ตโตนิทานนฺติ ธนเหตุ ธนปจฺจยาฯ ตํ ตํ ธนํ รกฺขนฺตสฺส จ ราชาทีนํ วเสน ธนปริกฺขยํ ปาปุณนฺตสฺส กสฺสจิ อุปฺปชฺชมานโสกาทโย สนฺธาย เอวมาหฯ เอวํ วุเตฺต เสฎฺฐิ คหปติ – ‘‘อหํ อิมํ อุปฺปพฺพาเชสฺสามีติ อาเนสิํ, โส ทานิ เม ธมฺมกถํ กาตุํ อารโทฺธ, อยํ น เม วจนํ กริสฺสตี’’ติ อุฎฺฐาย คนฺตฺวา อสฺส โอโรธานํ ทฺวารํ วิวราเปตฺวา – ‘‘อยํ โว สามิโก, คจฺฉถ ยํ กิญฺจิ กตฺวา นํ คณฺหิตุํ วายมถา’’ติ อุโยฺยเชสิฯ สุวเย ฐิตา นาฎกิตฺถิโย นิกฺขมิตฺวา เถรํ ปริวารยิํสุ , ตาสุ เทฺว เชฎฺฐกิตฺถิโย สนฺธาย ปุราณทุติยิกาติอาทิ วุตฺตํฯ ปเจฺจกํ ปาเทสุ คเหตฺวาติ เอเกกมฺหิ ปาเท นํ คเหตฺวาฯ

    301.Idaṃ te tātāti kahāpaṇapuñjañca suvaṇṇapuñjañca dassento āha. Mattikanti mātito āgataṃ, idaṃ te mātāmahiyā mātu imaṃ gehaṃ āgacchantiyā gandhamālādīnaṃ atthāya dinnaṃ dhananti attho. Aññaṃ pettikaṃ aññaṃ pitāmahanti yaṃ pana te pitu ca pitāmahānañca santakaṃ, taṃ aññaṃyeva, nihitañca payuttañca ativiya bahu. Ettha ca ‘‘pitāmaha’’nti taddhitalopaṃ katvā vuttanti veditabbaṃ. ‘‘Petāmaha’’nti vā pāṭho. Sakkātatonidānanti dhanahetu dhanapaccayā. Taṃ taṃ dhanaṃ rakkhantassa ca rājādīnaṃ vasena dhanaparikkhayaṃ pāpuṇantassa kassaci uppajjamānasokādayo sandhāya evamāha. Evaṃ vutte seṭṭhi gahapati – ‘‘ahaṃ imaṃ uppabbājessāmīti ānesiṃ, so dāni me dhammakathaṃ kātuṃ āraddho, ayaṃ na me vacanaṃ karissatī’’ti uṭṭhāya gantvā assa orodhānaṃ dvāraṃ vivarāpetvā – ‘‘ayaṃ vo sāmiko, gacchatha yaṃ kiñci katvā naṃ gaṇhituṃ vāyamathā’’ti uyyojesi. Suvaye ṭhitā nāṭakitthiyo nikkhamitvā theraṃ parivārayiṃsu , tāsu dve jeṭṭhakitthiyo sandhāya purāṇadutiyikātiādi vuttaṃ. Paccekaṃ pādesu gahetvāti ekekamhi pāde naṃ gahetvā.

    กีทิสา นาม ตา อยฺยปุตฺต อจฺฉราโยติ กสฺมา เอวมาหํสุ? ตทา กิร สมฺพหุเล ขตฺติยกุมาเรปิ พฺราหฺมณกุมาเรปิ เสฎฺฐิปุเตฺตปิ มหาสมฺปตฺติโย ปหาย ปพฺพชเนฺต ทิสฺวา ปพฺพชฺชาคุณํ อชานนฺตา กถํ สมุฎฺฐาเปนฺติ ‘‘กสฺมา เอเต ปพฺพชนฺตี’’ติฯ อถเญฺญ วทนฺติ ‘‘เทวจฺฉราเทวนาฎกานํ การณา’’ติฯ สา กถา วิตฺถาริกา อโหสิฯ ตํ คเหตฺวา สพฺพา เอวมาหํสุฯ อถ เถโร ปฎิกฺขิปโนฺต น โข มยํ ภคินีติอาทิมาหฯ สมุทาจรตีติ โวหรติ วทติฯ ตเตฺถว มุจฺฉิตา ปปติํสูติ ตํ ภคินิวาเทน สมุทาจรนฺตํ ทิสฺวา ‘‘มยํ อชฺช อาคมิสฺสติ, อชฺช อาคมิสฺสตี’’ติ ทฺวาทส วสฺสานิ พหิ น นิกฺขนฺตา, เอตํ นิสฺสาย โน ทารกา น ลทฺธา, เยสํ อานุภาเวน ชีเวยฺยาม, อิโต จมฺหา ปริหีนา อญฺญโต จฯ อยํ โลโก นาม อตฺตโนว จิเนฺตสิ, ตสฺมา ตาปิ ‘‘อิทานิ มยํ อนาถา ชาตา’’ติ อตฺตโนว จินฺตยมานา – ‘‘อนตฺถิโก ทานิ อเมฺหหิ อยํ, โส อเมฺห ปชาปติโย สมานา อตฺตนา สทฺธิํ เอกมาตุกุจฺฉิยา สยิตทาริกา วิย มญฺญตี’’ติ สมุปฺปนฺนพลวโสกา หุตฺวา ตสฺมิํเยว ปเทเส มุจฺฉิตา ปปติํสุ, ปติตาติ อโตฺถฯ

    Kīdisānāma tā ayyaputta accharāyoti kasmā evamāhaṃsu? Tadā kira sambahule khattiyakumārepi brāhmaṇakumārepi seṭṭhiputtepi mahāsampattiyo pahāya pabbajante disvā pabbajjāguṇaṃ ajānantā kathaṃ samuṭṭhāpenti ‘‘kasmā ete pabbajantī’’ti. Athaññe vadanti ‘‘devaccharādevanāṭakānaṃ kāraṇā’’ti. Sā kathā vitthārikā ahosi. Taṃ gahetvā sabbā evamāhaṃsu. Atha thero paṭikkhipanto na kho mayaṃ bhaginītiādimāha. Samudācaratīti voharati vadati. Tattheva mucchitā papatiṃsūti taṃ bhaginivādena samudācarantaṃ disvā ‘‘mayaṃ ajja āgamissati, ajja āgamissatī’’ti dvādasa vassāni bahi na nikkhantā, etaṃ nissāya no dārakā na laddhā, yesaṃ ānubhāvena jīveyyāma, ito camhā parihīnā aññato ca. Ayaṃ loko nāma attanova cintesi, tasmā tāpi ‘‘idāni mayaṃ anāthā jātā’’ti attanova cintayamānā – ‘‘anatthiko dāni amhehi ayaṃ, so amhe pajāpatiyo samānā attanā saddhiṃ ekamātukucchiyā sayitadārikā viya maññatī’’ti samuppannabalavasokā hutvā tasmiṃyeva padese mucchitā papatiṃsu, patitāti attho.

    มา โน วิเหเฐถาติ มา อเมฺห ธนํ ทเสฺสตฺวา มาตุคาเม จ อุโยฺยเชตฺวา วิเหฐยิตฺถ, วิเหสา เหสา ปพฺพชิตานนฺติฯ กสฺมา เอวมาห? มาตาปิตูนํ อนุคฺคเหนฯ โส กิร เสฎฺฐิ – ‘‘ปพฺพชิตลิงฺคํ นาม กิลิฎฺฐํ, ปพฺพชฺชาเวสํ หาเรตฺวา นฺหายิตฺวา ตโย ชนา เอกโต ภุญฺชิสฺสามา’’ติ มญฺญมาโน เถรสฺส ภิกฺขํ น เทติฯ เถโร – ‘‘มาทิสสฺส ขีณาสวสฺส อาหารนฺตรายํ กตฺวา เอเต พหุํ อปุญฺญํ ปสเวยฺยุ’’นฺติ เตสํ อนุคฺคเหน เอวมาหฯ

    Mā no viheṭhethāti mā amhe dhanaṃ dassetvā mātugāme ca uyyojetvā viheṭhayittha, vihesā hesā pabbajitānanti. Kasmā evamāha? Mātāpitūnaṃ anuggahena. So kira seṭṭhi – ‘‘pabbajitaliṅgaṃ nāma kiliṭṭhaṃ, pabbajjāvesaṃ hāretvā nhāyitvā tayo janā ekato bhuñjissāmā’’ti maññamāno therassa bhikkhaṃ na deti. Thero – ‘‘mādisassa khīṇāsavassa āhārantarāyaṃ katvā ete bahuṃ apuññaṃ pasaveyyu’’nti tesaṃ anuggahena evamāha.

    ๓๐๒. คาถา อภาสีติ คาถาโย อภาสิฯ ตตฺถ ปสฺสาติ สนฺติเก ฐิตชนํ สนฺธาย วทติฯ จิตฺตนฺติ จิตฺตวิจิตฺตํฯ พิมฺพนฺติ อตฺตภาวํฯ อรุกายนฺติ นวนฺนํ วณมุขานํ วเสน วณกายํฯ สมุสฺสิตนฺติ ตีณิ อฎฺฐิสตานิ นวหิ นฺหารุสเตหิ พนฺธิตฺวา นวหิ มํสเปสิสเตหิ ลิมฺปิตฺวา สมนฺตโต อุสฺสิตํฯ อาตุรนฺติ ชราตุรตาย โรคาตุรตาย กิเลสาตุรตาย จ นิจฺจาตุรํฯ พหุสงฺกปฺปนฺติ ปเรสํ อุปฺปนฺนปตฺถนาสงฺกเปฺปหิ พหุสงฺกปฺปํ ฯ อิตฺถีนญฺหิ กาเย ปุริสานํ สงฺกปฺปา อุปฺปชฺชนฺติ, เตสํ กาเย อิตฺถีนํฯ สุสาเน ฉฑฺฑิตกเฬวรภูตมฺปิ เจตํ กากกุลลาทโย ปตฺถยนฺติเยวาติ พหุสงฺกโปฺป นาม โหติฯ ยสฺส นตฺถิ ธุวํ ฐิตีติ ยสฺส กายสฺส มายามรีจิเผณปิณฺฑ อุทกปุปฺผุฬาทีนํ วิย เอกํเสเนว ฐิติ นาม นตฺถิ, ภิชฺชนธมฺมตาว นิยตาฯ

    302.Gāthā abhāsīti gāthāyo abhāsi. Tattha passāti santike ṭhitajanaṃ sandhāya vadati. Cittanti cittavicittaṃ. Bimbanti attabhāvaṃ. Arukāyanti navannaṃ vaṇamukhānaṃ vasena vaṇakāyaṃ. Samussitanti tīṇi aṭṭhisatāni navahi nhārusatehi bandhitvā navahi maṃsapesisatehi limpitvā samantato ussitaṃ. Āturanti jarāturatāya rogāturatāya kilesāturatāya ca niccāturaṃ. Bahusaṅkappanti paresaṃ uppannapatthanāsaṅkappehi bahusaṅkappaṃ . Itthīnañhi kāye purisānaṃ saṅkappā uppajjanti, tesaṃ kāye itthīnaṃ. Susāne chaḍḍitakaḷevarabhūtampi cetaṃ kākakulalādayo patthayantiyevāti bahusaṅkappo nāma hoti. Yassa natthidhuvaṃ ṭhitīti yassa kāyassa māyāmarīcipheṇapiṇḍa udakapupphuḷādīnaṃ viya ekaṃseneva ṭhiti nāma natthi, bhijjanadhammatāva niyatā.

    ตเจน โอนทฺธนฺติ อลฺลมนุสฺสจเมฺมน โอนทฺธํฯ สห วเตฺถภิ โสภตีติ คนฺธาทีหิ มณิกุณฺฑเลหิ จ จิตฺตกตมฺปิ รูปํ วเตฺถหิ สเหว โสภติ, วินา วเตฺถหิ เชคุจฺฉํ โหติ อโนโลกนกฺขมํฯ

    Tacena onaddhanti allamanussacammena onaddhaṃ. Saha vatthebhi sobhatīti gandhādīhi maṇikuṇḍalehi ca cittakatampi rūpaṃ vatthehi saheva sobhati, vinā vatthehi jegucchaṃ hoti anolokanakkhamaṃ.

    อลตฺตกกตาติ อลตฺตเกน รญฺชิตาฯ จุณฺณกมกฺขิตนฺติ สาสปกเกฺกน มุขปีฬกาทีนิ นีหริตฺวา โลณมตฺติกาย ทุฎฺฐโลหิตํ วิลิยาเปตฺวา ติลปิเฎฺฐน โลหิตํ ปสาเทตฺวา หลิทฺทิยา วณฺณํ สมฺปาเทตฺวา จุณฺณกคณฺฑิกาย มุขํ ปหรนฺติ, เตเนส อติวิย วิโรจติฯ ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ

    Alattakakatāti alattakena rañjitā. Cuṇṇakamakkhitanti sāsapakakkena mukhapīḷakādīni nīharitvā loṇamattikāya duṭṭhalohitaṃ viliyāpetvā tilapiṭṭhena lohitaṃ pasādetvā haliddiyā vaṇṇaṃ sampādetvā cuṇṇakagaṇḍikāya mukhaṃ paharanti, tenesa ativiya virocati. Taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ.

    อฎฺฐาปทกตาติ รโสทเกน มกฺขิตฺวา นลาฎปริยเนฺต อาวตฺตนปริวเตฺต กตฺวา อฎฺฐปทกรจนาย รจิตาฯ อญฺชนีติ อญฺชนนาฬิกาฯ

    Aṭṭhāpadakatāti rasodakena makkhitvā nalāṭapariyante āvattanaparivatte katvā aṭṭhapadakaracanāya racitā. Añjanīti añjananāḷikā.

    โอทหีติ ฐเปสิฯ ปาสนฺติ วากราชาลํฯ นาสทาติ น ฆฎฺฎยิฯ นิวาปนฺติ นิวาปสุเตฺต วุตฺตนิวาปติณสทิสโภชนํฯ กนฺทเนฺตติ วิรวมาเน ปริเทวมาเนฯ อิมาย หิ คาถาย เถโร มาตาปิตโร มิคลุทฺทเก วิย กตฺวา ทเสฺสสิ, อวเสสญาตเก มิคลุทฺทกปริสํ วิย, หิรญฺญสุวณฺณํ วากราชาลํ วิย, อตฺตนา ภุตฺตโภชนํ นิวาปติณํ วิย, อตฺตานํ มหามิคํ วิย กตฺวา ทเสฺสสิฯ ยถา หิ มหามิโค ยาวทตฺถํ นิวาปติณํ ขาทิตฺวา ปานียํ ปิวิตฺวา คีวํ อุกฺขิปิตฺวา ทิสํ โอโลเกตฺวา ‘‘อิมํ นาม ฐานํ คตสฺส โสตฺถิ ภวิสฺสตี’’ติ มิคลุทฺทกานํ ปริเทวนฺตานํเยว วากรํ อฆฎฺฎยมาโนว อุปฺปติตฺวา อรญฺญํ ปวิสิตฺวา ฆนจฺฉายสฺส ฉตฺตสฺส วิย คุมฺพสฺส เหฎฺฐา มนฺทมเนฺทน วาเตน พีชยมาโน อาคตมคฺคํ โอโลเกโนฺต ติฎฺฐติ, เอวเมว เถโร อิมา คาถา ภาสิตฺวา อากาเสเนว คนฺตฺวา มิคจีเร ปจฺจุปฎฺฐาสิฯ

    Odahīti ṭhapesi. Pāsanti vākarājālaṃ. Nāsadāti na ghaṭṭayi. Nivāpanti nivāpasutte vuttanivāpatiṇasadisabhojanaṃ. Kandanteti viravamāne paridevamāne. Imāya hi gāthāya thero mātāpitaro migaluddake viya katvā dassesi, avasesañātake migaluddakaparisaṃ viya, hiraññasuvaṇṇaṃ vākarājālaṃ viya, attanā bhuttabhojanaṃ nivāpatiṇaṃ viya, attānaṃ mahāmigaṃ viya katvā dassesi. Yathā hi mahāmigo yāvadatthaṃ nivāpatiṇaṃ khāditvā pānīyaṃ pivitvā gīvaṃ ukkhipitvā disaṃ oloketvā ‘‘imaṃ nāma ṭhānaṃ gatassa sotthi bhavissatī’’ti migaluddakānaṃ paridevantānaṃyeva vākaraṃ aghaṭṭayamānova uppatitvā araññaṃ pavisitvā ghanacchāyassa chattassa viya gumbassa heṭṭhā mandamandena vātena bījayamāno āgatamaggaṃ olokento tiṭṭhati, evameva thero imā gāthā bhāsitvā ākāseneva gantvā migacīre paccupaṭṭhāsi.

    กสฺมา ปน เถโร อากาเสน คโตติฯ ปิตา กิรสฺส เสฎฺฐิ สตฺตสุ ทฺวารโกฎฺฐเกสุ อคฺคฬํ ทาเปตฺวา มเลฺล อาณาเปสิ – ‘‘สเจ นิกฺขมิตฺวา คจฺฉติ , หตฺถปาเทสุ นํ คเหตฺวา กาสายานิ หริตฺวา คิหิเวสํ คณฺหาเปถา’’ติฯ ตสฺมา เถโร – ‘‘เอเต มาทิสํ มหาขีณาสวํ หเตฺถ วา ปาเท วา คเหตฺวา อปุญฺญํ ปสเวยฺยุํ, ตํ เนสํ มา อโหสี’’ติ จิเนฺตตฺวา อากาเสน อคมาสิฯ ปรสมุทฺทวาสิเตฺถรานํ ปน – ‘‘ฐิตโกว อิมา คาถา ภาสิตฺวา เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา รโญฺญ โกรพฺยสฺส มิคจีเร ปจฺจุปฎฺฐาสี’’ติ อยํ วาจนามโคฺคเยวฯ

    Kasmā pana thero ākāsena gatoti. Pitā kirassa seṭṭhi sattasu dvārakoṭṭhakesu aggaḷaṃ dāpetvā malle āṇāpesi – ‘‘sace nikkhamitvā gacchati , hatthapādesu naṃ gahetvā kāsāyāni haritvā gihivesaṃ gaṇhāpethā’’ti. Tasmā thero – ‘‘ete mādisaṃ mahākhīṇāsavaṃ hatthe vā pāde vā gahetvā apuññaṃ pasaveyyuṃ, taṃ nesaṃ mā ahosī’’ti cintetvā ākāsena agamāsi. Parasamuddavāsittherānaṃ pana – ‘‘ṭhitakova imā gāthā bhāsitvā vehāsaṃ abbhuggantvā rañño korabyassa migacīre paccupaṭṭhāsī’’ti ayaṃ vācanāmaggoyeva.

    ๓๐๓. มิคโวติ ตสฺส อุยฺยานปาลสฺส นามํฯ โสเธโนฺตติ อุยฺยานมคฺคํ สมํ กาเรตฺวา อโนฺตอุยฺยาเน ตจฺฉิตพฺพยุตฺตฎฺฐานานิ ตจฺฉาเปโนฺต สมฺมชฺชิตพฺพยุตฺตานิ ฐานานิ สมฺมชฺชาเปโนฺต วาลุกาโอกิรณ-ปุปฺผวิกิรณ-ปุณฺณฆฎฎฺฐปน-กทลิกฺขนฺธฐปนาทีนิ จ กโรโนฺตติ อโตฺถฯ เยน ราชา โกรโพฺย เตนุปสงฺกมีติ อมฺหากํ ราชา สทา อิมสฺส กุลปุตฺตสฺส วณฺณํ กเถสิ, ปสฺสิตุกาโม เอตํ, อาคตภาวํ ปนสฺส น ชานาติ, มหา โข ปนายํ ปณฺณากาโร, คนฺตฺวา รโญฺญ อาโรเจสฺสามีติ จิเนฺตตฺวา เยน ราชา โกรโพฺย เตนุปสงฺกมิฯ

    303.Migavoti tassa uyyānapālassa nāmaṃ. Sodhentoti uyyānamaggaṃ samaṃ kāretvā antouyyāne tacchitabbayuttaṭṭhānāni tacchāpento sammajjitabbayuttāni ṭhānāni sammajjāpento vālukāokiraṇa-pupphavikiraṇa-puṇṇaghaṭaṭṭhapana-kadalikkhandhaṭhapanādīni ca karontoti attho. Yena rājā korabyo tenupasaṅkamīti amhākaṃ rājā sadā imassa kulaputtassa vaṇṇaṃ kathesi, passitukāmo etaṃ, āgatabhāvaṃ panassa na jānāti, mahā kho panāyaṃ paṇṇākāro, gantvā rañño ārocessāmīti cintetvā yena rājā korabyo tenupasaṅkami.

    กิตฺตยมาโน อโหสีติ โส กิร ราชา เถรํ อนุสฺสริตฺวา พลมเชฺฌปิ นาฎกมเชฺฌปิ – ‘‘ทุกฺกรํ กตํ กุลปุเตฺตน ตาว มหนฺตํ สมฺปตฺติํ ปหาย ปพฺพชิตฺวา ปุนนิวตฺติตฺวา อนปโลเกเนฺตนา’’ติ คุณํ กเถสิ, ตํ คเหตฺวา อยํ เอวมาหฯ วิสฺสเชฺชถาติ วตฺวาติ โอโรธมหามตฺตพลกายาทีสุ ยสฺส ยํ อนุจฺฉวิกํ, ตสฺส ตํ ทาเปตฺวาติ อโตฺถฯ อุสฺสฎาย อุสฺสฎายาติ อุสฺสิตาย อุสฺสิตาย, มหามตฺตมหารฎฺฐิกาทีนํ วเสน อุคฺคตุคฺคตเมว ปริสํ คเหตฺวา อุปสงฺกมีติ อโตฺถฯ อิธ ภวํ รฎฺฐปาโล หตฺถตฺถเร นิสีทตูติ หตฺถตฺถโร ตนุโก พหลปุปฺผาทิคุณํ กตฺวา อตฺถโต อภิลกฺขิโต โหติ, ตาทิเส อนาปุจฺฉิตฺวา นิสีทิตุํ น ยุตฺตนฺติ มญฺญมาโน เอวมาหฯ

    Kittayamāno ahosīti so kira rājā theraṃ anussaritvā balamajjhepi nāṭakamajjhepi – ‘‘dukkaraṃ kataṃ kulaputtena tāva mahantaṃ sampattiṃ pahāya pabbajitvā punanivattitvā anapalokentenā’’ti guṇaṃ kathesi, taṃ gahetvā ayaṃ evamāha. Vissajjethātivatvāti orodhamahāmattabalakāyādīsu yassa yaṃ anucchavikaṃ, tassa taṃ dāpetvāti attho. Ussaṭāya ussaṭāyāti ussitāya ussitāya, mahāmattamahāraṭṭhikādīnaṃ vasena uggatuggatameva parisaṃ gahetvā upasaṅkamīti attho. Idha bhavaṃ raṭṭhapālo hatthatthare nisīdatūti hatthattharo tanuko bahalapupphādiguṇaṃ katvā atthato abhilakkhito hoti, tādise anāpucchitvā nisīdituṃ na yuttanti maññamāno evamāha.

    ๓๐๔. ปาริชุญฺญานีติ ปาริชุญฺญภาวา ปริกฺขยาฯ ชิโณฺณติ ชราชิโณฺณฯ วุโฑฺฒติ วโยวุโฑฺฒฯ มหลฺลโกติ ชาติมหลฺลโกฯ อทฺธคโตติ อทฺธานํ อติกฺกโนฺตฯ วโยอนุปฺปโตฺตติ ปจฺฉิมวยํ อนุปฺปโตฺตฯ ปพฺพชตีติ ธุรวิหารํ คนฺตฺวา ภิกฺขู วนฺทิตฺวา, – ‘‘ภเนฺต, มยา ทหรกาเล พหุํ กุสลํ กตํ, อิทานิ มหลฺลโกมฺหิ, มหลฺลกสฺส เจสา ปพฺพชฺชา นาม, เจติยงฺคณํ สมฺมชฺชิตฺวา อปฺปหริตํ กตฺวา ชีวิสฺสามิ, ปพฺพาเชถ มํ, ภเนฺต,’’ติ การุญฺญํ อุปฺปาเทโนฺต ยาจติ, เถรา อนุกมฺปาย ปพฺพาเชนฺติฯ ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ ทุติยวาเรปิ เอเสว นโยฯ

    304.Pārijuññānīti pārijuññabhāvā parikkhayā. Jiṇṇoti jarājiṇṇo. Vuḍḍhoti vayovuḍḍho. Mahallakoti jātimahallako. Addhagatoti addhānaṃ atikkanto. Vayoanuppattoti pacchimavayaṃ anuppatto. Pabbajatīti dhuravihāraṃ gantvā bhikkhū vanditvā, – ‘‘bhante, mayā daharakāle bahuṃ kusalaṃ kataṃ, idāni mahallakomhi, mahallakassa cesā pabbajjā nāma, cetiyaṅgaṇaṃ sammajjitvā appaharitaṃ katvā jīvissāmi, pabbājetha maṃ, bhante,’’ti kāruññaṃ uppādento yācati, therā anukampāya pabbājenti. Taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Dutiyavārepi eseva nayo.

    อปฺปาพาโธติ อโรโคฯ อปฺปาตโงฺกติ นิทฺทุโกฺขฯ สมเวปากินิยาติ สมวิปาจนิยาฯ คหณิยาติ กมฺมชเตโชธาตุยาฯ ตตฺถ ยสฺส ภุตฺตภุโตฺต อาหาโร ชีรติ, ยสฺส วา ปน ปุฎภตฺตํ วิย ตเถว ติฎฺฐติ, อุโภเปเต น สมเวปากินิยา คหณิยา สมนฺนาคตาฯ ยสฺส ปน ภุตฺตกาเล ภตฺตจฺฉโนฺท อุปฺปชฺชเตว, อยํ สมเวปากินิยา สมนฺนาคโตฯ นาติสีตาย นจฺจุณฺหายาติ เตเนว การเณน นาติสีตาย นจฺจุณฺหายฯ อนุปุเพฺพนาติ ราชาโน วา หรนฺตีติอาทินา อนุกฺกเมนฯ ทุติยวาเร ราชภยโจรภยฉาตกภยาทินา อนุกฺกเมนฯ

    Appābādhoti arogo. Appātaṅkoti niddukkho. Samavepākiniyāti samavipācaniyā. Gahaṇiyāti kammajatejodhātuyā. Tattha yassa bhuttabhutto āhāro jīrati, yassa vā pana puṭabhattaṃ viya tatheva tiṭṭhati, ubhopete na samavepākiniyā gahaṇiyā samannāgatā. Yassa pana bhuttakāle bhattacchando uppajjateva, ayaṃ samavepākiniyā samannāgato. Nātisītāya naccuṇhāyāti teneva kāraṇena nātisītāya naccuṇhāya. Anupubbenāti rājāno vā harantītiādinā anukkamena. Dutiyavāre rājabhayacorabhayachātakabhayādinā anukkamena.

    ๓๐๕. ธมฺมุเทฺทสา อุทฺทิฎฺฐาติ ธมฺมนิเทฺทสา อุทฺทิฎฺฐาฯ อุปนิยฺยตีติ ชรามรณสนฺติกํ คจฺฉติ, อายุกฺขเยน วา ตตฺถ นิยฺยติฯ อทฺธุโวติ ธุวฎฺฐานวิรหิโตฯ อตาโณติ ตายิตุํ สมเตฺถน วิรหิโตฯ อนภิสฺสโรติ อสรโณ อภิสริตฺวา อภิคนฺตฺวา อสฺสาเสตุํ สมเตฺถน วิรหิโตฯ อสฺสโกติ นิสฺสโก สกภณฺฑวิรหิโตฯ สพฺพํ ปหาย คมนียนฺติ สกภณฺฑนฺติ สลฺลกฺขิตํ สพฺพํ ปหาย โลเกน คนฺตพฺพํฯ ตณฺหาทาโสติ ตณฺหาย ทาโสฯ

    305.Dhammuddesā uddiṭṭhāti dhammaniddesā uddiṭṭhā. Upaniyyatīti jarāmaraṇasantikaṃ gacchati, āyukkhayena vā tattha niyyati. Addhuvoti dhuvaṭṭhānavirahito. Atāṇoti tāyituṃ samatthena virahito. Anabhissaroti asaraṇo abhisaritvā abhigantvā assāsetuṃ samatthena virahito. Assakoti nissako sakabhaṇḍavirahito. Sabbaṃ pahāya gamanīyanti sakabhaṇḍanti sallakkhitaṃ sabbaṃ pahāya lokena gantabbaṃ. Taṇhādāsoti taṇhāya dāso.

    ๓๐๖. หตฺถิสฺมินฺติ หตฺถิสิเปฺปฯ กตาวีติ กตกรณีโย, สิกฺขิตสิโกฺข ปคุณสิโปฺปติ อโตฺถฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ อูรุพลีติ อูรุพลสมฺปโนฺนฯ ยสฺส หิ ผลกญฺจ อาวุธญฺจ คเหตฺวา ปรเสนํ ปวิสิตฺวา อภินฺนํ ภินฺทโต ภินฺนํ สนฺธารยโต ปรหตฺถคตํ รชฺชํ อาหริตุํ อูรุพลํ อตฺถิ, อยํ อูรุพลี นามฯ พาหุพลีติ พาหุพลสมฺปโนฺนฯ เสสํ ปุริมสทิสเมวฯ อลมโตฺตติ สมตฺถอตฺตภาโวฯ

    306.Hatthisminti hatthisippe. Katāvīti katakaraṇīyo, sikkhitasikkho paguṇasippoti attho. Esa nayo sabbattha. Ūrubalīti ūrubalasampanno. Yassa hi phalakañca āvudhañca gahetvā parasenaṃ pavisitvā abhinnaṃ bhindato bhinnaṃ sandhārayato parahatthagataṃ rajjaṃ āharituṃ ūrubalaṃ atthi, ayaṃ ūrubalī nāma. Bāhubalīti bāhubalasampanno. Sesaṃ purimasadisameva. Alamattoti samatthaattabhāvo.

    ปริโยธาย วตฺติสฺสนฺตีติ อุปฺปนฺนํ อุปฺปทฺทวํ โอธาย อวตฺถริตฺวา วตฺติสฺสนฺตีติ สลฺลเกฺขตฺวา คหิตาฯ

    Pariyodhāya vattissantīti uppannaṃ uppaddavaṃ odhāya avattharitvā vattissantīti sallakkhetvā gahitā.

    สํวิชฺชติ โข, โภ รฎฺฐปาล, อิมสฺมิํ ราชกุเล ปหูตํ หิรญฺญสุวณฺณนฺติ อิทํ โส ราชา อุปริ ธมฺมุเทฺทสสฺส การณํ อาหรโนฺต อาหฯ

    Saṃvijjatikho, bho raṭṭhapāla, imasmiṃ rājakule pahūtaṃ hiraññasuvaṇṇanti idaṃ so rājā upari dhammuddesassa kāraṇaṃ āharanto āha.

    อถาปรํ เอตทโวจาติ เอตํ ‘‘ปสฺสามิ โลเก’’ติอาทินา นเยน จตุนฺนํ ธมฺมุเทฺทสานํ อนุคีติํ อโวจฯ

    Athāparaṃetadavocāti etaṃ ‘‘passāmi loke’’tiādinā nayena catunnaṃ dhammuddesānaṃ anugītiṃ avoca.

    ๓๐๗. ตตฺถ ภิโยฺยว กาเม อภิปตฺถยนฺตีติ เอกํ ลภิตฺวา เทฺว ปตฺถยนฺติ, เทฺว ลภิตฺวา จตฺตาโรติ เอวํ อุตฺตรุตฺตริ วตฺถุกามกิเลสกาเม ปตฺถยนฺติเยวฯ

    307. Tattha bhiyyova kāme abhipatthayantīti ekaṃ labhitvā dve patthayanti, dve labhitvā cattāroti evaṃ uttaruttari vatthukāmakilesakāme patthayantiyeva.

    ปสยฺหาติ สปตฺตคณํ อภิภวิตฺวาฯ สสาครนฺตนฺติ สทฺธิํ สาครเนฺตนฯ โอรํ สมุทฺทสฺสาติ ยํ สมุทฺทสฺส โอรโต สกรฎฺฐํ, เตน อติตฺตรูโปติ อโตฺถฯ น หตฺถีติ น หิ อตฺถิฯ

    Pasayhāti sapattagaṇaṃ abhibhavitvā. Sasāgarantanti saddhiṃ sāgarantena. Oraṃ samuddassāti yaṃ samuddassa orato sakaraṭṭhaṃ, tena atittarūpoti attho. Na hatthīti na hi atthi.

    อโห วตา โนติ อโห วต นุ, อยเมว วา ปาโฐฯ อมราติ จาหูติ อมรํ อิติ จ อาหุฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยํ มตํ ญาตี ปริวาเรตฺวา กนฺทนฺติ, ตํ – ‘‘อโห วต อมฺหากํ ภาตา มโต, ปุโตฺต มโต’’ติอาทีนิปิ วทนฺติฯ

    Aho vatā noti aho vata nu, ayameva vā pāṭho. Amarāticāhūti amaraṃ iti ca āhu. Idaṃ vuttaṃ hoti – yaṃ mataṃ ñātī parivāretvā kandanti, taṃ – ‘‘aho vata amhākaṃ bhātā mato, putto mato’’tiādīnipi vadanti.

    ผุสนฺติ ผสฺสนฺติ มรณผสฺสํ ผุสนฺติฯ ตเถว ผุโฎฺฐติ ยถา พาโล, ธีโรปิ ตเถว มรณผเสฺสน ผุโฎฺฐ, อผุโฎฺฐ นาม นตฺถิ, อยํ ปน วิเสโสฯ พาโล จ พาลฺยา วธิโตว เสตีติ พาโล พาลภาเวน มรณผสฺสํ อาคมฺม วธิโตว เสติ อภิหโตว สยติฯ อกตํ วต เม กลฺยาณนฺติอาทิวิปฺปฎิสารวเสน จลติ เวธติ วิปฺผนฺทติฯ ธีโร จ น เวธตีติ ธีโร สุคตินิมิตฺตํ ปสฺสโนฺต น เวธติ น จลติฯ

    Phusanti phassanti maraṇaphassaṃ phusanti. Tatheva phuṭṭhoti yathā bālo, dhīropi tatheva maraṇaphassena phuṭṭho, aphuṭṭho nāma natthi, ayaṃ pana viseso. Bālo ca bālyā vadhitova setīti bālo bālabhāvena maraṇaphassaṃ āgamma vadhitova seti abhihatova sayati. Akataṃ vata me kalyāṇantiādivippaṭisāravasena calati vedhati vipphandati. Dhīro ca na vedhatīti dhīro sugatinimittaṃ passanto na vedhati na calati.

    ยาย โวสานํ อิธาธิคจฺฉตีติ ยาย ปญฺญาย อิมสฺมิํ โลเก สพฺพกิจฺจโวสานํ อรหตฺตํ อธิคจฺฉติ, สาว ธนโต อุตฺตมตราฯ อโพฺยสิตตฺตาติ อปริโยสิตตฺตา, อรหตฺตปตฺติยา, อภาเวนาติ อโตฺถฯ ภวาภเวสูติ หีนปฺปณีเตสุ ภเวสุฯ

    Yāya vosānaṃ idhādhigacchatīti yāya paññāya imasmiṃ loke sabbakiccavosānaṃ arahattaṃ adhigacchati, sāva dhanato uttamatarā. Abyositattāti apariyositattā, arahattapattiyā, abhāvenāti attho. Bhavābhavesūti hīnappaṇītesu bhavesu.

    อุเปติ คพฺภญฺจ ปรญฺจ โลกนฺติ เตสุ ปาปํ กโรเนฺตสุ โย โกจิ สโตฺต ปรมฺปราย สํสารํ อาปชฺชิตฺวา คพฺภญฺจ ปรญฺจ โลกํ อุเปติฯ ตสฺสปฺปปโญฺญติ ตสฺส ตาทิสสฺส อปฺปปญฺญสฺส อโญฺญ อปฺปปโญฺญ อภิสทฺทหโนฺตฯ

    Upeti gabbhañca parañca lokanti tesu pāpaṃ karontesu yo koci satto paramparāya saṃsāraṃ āpajjitvā gabbhañca parañca lokaṃ upeti. Tassappapaññoti tassa tādisassa appapaññassa añño appapañño abhisaddahanto.

    สกมฺมุนา หญฺญตีติ อตฺตนา กตกมฺมวเสน ‘‘กสาหิปิ ตาเลตี’’ติอาทีหิ กมฺมการณาหิ หญฺญติฯ เปจฺจ ปรมฺหิ โลเกติ อิโต คนฺตฺวา ปรมฺหิ อปายโลเกฯ

    Sakammunāhaññatīti attanā katakammavasena ‘‘kasāhipi tāletī’’tiādīhi kammakāraṇāhi haññati. Pecca paramhi loketi ito gantvā paramhi apāyaloke.

    วิรูปรูเปนาติ วิวิธรูเปน, นานาสภาเวนาติ อโตฺถฯ กามคุเณสูติ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิเกสุ สพฺพกามคุเณสุ อาทีนวํ ทิสฺวาฯ ทหราติ อนฺตมโส กลลมตฺตภาวํ อุปาทาย ตรุณาฯ วุฑฺฒาติ วสฺสสตาติกฺกนฺตาฯ อปณฺณกํ สามญฺญเมว เสโยฺยติ อวิรุทฺธํ อทฺวชฺฌคามิํ เอกนฺตนิยฺยานิกํ สามญฺญเมว ‘‘เสโยฺย, อุตฺตริตรญฺจ ปณีตตรญฺจา’’ติ อุปธาเรตฺวา ปพฺพชิโตสฺมิ มหาราชาติฯ ตสฺมา ยํ ตฺวํ วทสิ – ‘‘กิํ ทิสฺวา วา สุตฺวา วา’’ติ, อิทํ ทิสฺวา จ สุตฺวา จ ปพฺพชิโตสฺมีติ มํ ธาเรหีติ เทสนํ นิฎฺฐาเปสีติฯ

    Virūparūpenāti vividharūpena, nānāsabhāvenāti attho. Kāmaguṇesūti diṭṭhadhammikasamparāyikesu sabbakāmaguṇesu ādīnavaṃ disvā. Daharāti antamaso kalalamattabhāvaṃ upādāya taruṇā. Vuḍḍhāti vassasatātikkantā. Apaṇṇakaṃ sāmaññameva seyyoti aviruddhaṃ advajjhagāmiṃ ekantaniyyānikaṃ sāmaññameva ‘‘seyyo, uttaritarañca paṇītatarañcā’’ti upadhāretvā pabbajitosmi mahārājāti. Tasmā yaṃ tvaṃ vadasi – ‘‘kiṃ disvā vā sutvā vā’’ti, idaṃ disvā ca sutvā ca pabbajitosmīti maṃ dhārehīti desanaṃ niṭṭhāpesīti.

    ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย

    Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya

    รฎฺฐปาลสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Raṭṭhapālasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๒. รฎฺฐปาลสุตฺตํ • 2. Raṭṭhapālasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๒. รฎฺฐปาลสุตฺตวณฺณนา • 2. Raṭṭhapālasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact