Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā)

    ๒. รฎฺฐปาลสุตฺตวณฺณนา

    2. Raṭṭhapālasuttavaṇṇanā

    ๒๙๓. ถูลเมว ถุลฺลํ, ถุลฺลา วิปุลา มหนฺตา โกฎฺฐา ชาตา อิมสฺสาติ ถุลฺลโกฎฺฐิกนฺติ โอทนปูปปหูตวเสน ลทฺธนาโม นิคโมฯ อฎฺฐกถายํ ปน ถุลฺลโกฎฺฐนฺติ อโตฺถ วุโตฺตฯ เตน ปาฬิยํ อิก-สเทฺทน ปทวฑฺฒนํ กตนฺติ ทเสฺสติฯ

    293. Thūlameva thullaṃ, thullā vipulā mahantā koṭṭhā jātā imassāti thullakoṭṭhikanti odanapūpapahūtavasena laddhanāmo nigamo. Aṭṭhakathāyaṃ pana thullakoṭṭhanti attho vutto. Tena pāḷiyaṃ ika-saddena padavaḍḍhanaṃ katanti dasseti.

    ๒๙๔. รฎฺฐปาโลติ อิทํ ตสฺส กุลปุตฺตสฺส นามํฯ ปเวณิวเสน อาคตกุลวํสานุคตนฺติ สมุทาคมโต ปฎฺฐาย ทเสฺสตุํ ‘‘กสฺมา รฎฺฐปาโล’’ติอาทิ วุตฺตํฯ สนฺธาเรตุนฺติ วินาสนโต ปุเพฺพ ยาทิสํ, ตเถว สมฺมเทว ธาเรตุํ สมโตฺถฯ สทฺธาติ กมฺมผลสทฺธาย สมฺปนฺนาฯ สามเณรํ ทิสฺวาติ สิกฺขากามตาย เอตทเคฺค ฐปิยมานํ ทิสฺวาฯ

    294.Raṭṭhapāloti idaṃ tassa kulaputtassa nāmaṃ. Paveṇivasena āgatakulavaṃsānugatanti samudāgamato paṭṭhāya dassetuṃ ‘‘kasmā raṭṭhapālo’’tiādi vuttaṃ. Sandhāretunti vināsanato pubbe yādisaṃ, tatheva sammadeva dhāretuṃ samattho. Saddhāti kammaphalasaddhāya sampannā. Sāmaṇeraṃ disvāti sikkhākāmatāya etadagge ṭhapiyamānaṃ disvā.

    สห รญฺญาติ สราชิกํ, รญฺญา สทฺธิํ ราชปริสํฯ จาตุวณฺณนฺติ พฺราหฺมณาทิจตุวณฺณสมุทายํฯ โปเสตุนฺติ วเทฺธตุํ ทานาทีหิ สงฺคหวตฺถูหิ สงฺคณฺหิตุํฯ ยํ กุลํฯ ปโหสฺสตีติ สกฺขิสฺสติฯ

    Saha raññāti sarājikaṃ, raññā saddhiṃ rājaparisaṃ. Cātuvaṇṇanti brāhmaṇādicatuvaṇṇasamudāyaṃ. Posetunti vaddhetuṃ dānādīhi saṅgahavatthūhi saṅgaṇhituṃ. Yaṃ kulaṃ. Pahossatīti sakkhissati.

    เตน เตน เม อุปปริกฺขโตติ ‘‘กามา นาเมเต อนิจฺจา ทุกฺขา วิปริณามธมฺมา, อฎฺฐิกงฺกลูปมา’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๓๔; ปาจิ. ๔๑๗; มหานิ. ๓, ๖) จ อาทินา เยน เยน อากาเรน กาเมสุ อาทีนวํ โอการํ สํกิเลสํ, ตพฺพิปริยายโต เนกฺขเมฺม อานิสํสํ คุณํ ปกาเสนฺตํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ, เตน เตน ปกาเรน อุปปริกฺขโต วีมํสนฺตสฺส มยฺหํ เอวํ โหติ เอวํ อุปฎฺฐาติฯ สิกฺขตฺตยพฺรหฺมจริยนฺติ อธิสีลาทิสิกฺขตฺตยสงฺคหํ เสฎฺฐจริยํฯ อขณฺฑาทิภาวาปาทเนน อขณฺฑํ ลกฺขณวจนเญฺหตํฯ กญฺจิปิ สิเกฺขกเทสํ อเสเสตฺวา เอกเนฺตเนว ปริปูเรตพฺพตาย เอกนฺตปริปุณฺณํฯ จิตฺตุปฺปาทมตฺตมฺปิ สํกิเลสมลํ อนุปฺปาเทตฺวา อจฺจนฺตเมว วิสุทฺธํ กตฺวา ปริหริตพฺพตาย เอกนฺตปริสุทฺธํฯ ตโต เอว สงฺขํ วิย ลิขิตนฺติ สงฺขลิขิตํฯ เตนาห ‘‘ลิขิตสงฺขสทิส’’นฺติฯ ทาฐิกาปิ มสฺสุคฺคหเณเนว คเหตฺวา ‘‘มสฺสุ’’เตฺวว วุตฺตํ, อุตฺตราธรมสฺสุนฺติ อโตฺถฯ กสาเยน รตฺตานิ กาสายานิฯ อนนุญฺญาตํ ปุตฺตํ น ปพฺพาเชติ ‘‘มาตาปิตูนํ โลกิยมหาชนสฺส จิตฺตญฺญถตฺตํ มา โหตู’’ติฯ ตถา หิ สุโทฺธทนมหาราชสฺส ตถา วโร ทิโนฺนฯ

    Tena tena me upaparikkhatoti ‘‘kāmā nāmete aniccā dukkhā vipariṇāmadhammā, aṭṭhikaṅkalūpamā’’ti (ma. ni. 1.234; pāci. 417; mahāni. 3, 6) ca ādinā yena yena ākārena kāmesu ādīnavaṃ okāraṃ saṃkilesaṃ, tabbipariyāyato nekkhamme ānisaṃsaṃ guṇaṃ pakāsentaṃ bhagavatā dhammaṃ desitaṃ ājānāmi, tena tena pakārena upaparikkhato vīmaṃsantassa mayhaṃ evaṃ hoti evaṃ upaṭṭhāti. Sikkhattayabrahmacariyanti adhisīlādisikkhattayasaṅgahaṃ seṭṭhacariyaṃ. Akhaṇḍādibhāvāpādanena akhaṇḍaṃ lakkhaṇavacanañhetaṃ. Kañcipi sikkhekadesaṃ asesetvā ekanteneva paripūretabbatāya ekantaparipuṇṇaṃ. Cittuppādamattampi saṃkilesamalaṃ anuppādetvā accantameva visuddhaṃ katvā pariharitabbatāya ekantaparisuddhaṃ. Tato eva saṅkhaṃ viya likhitanti saṅkhalikhitaṃ. Tenāha ‘‘likhitasaṅkhasadisa’’nti. Dāṭhikāpi massuggahaṇeneva gahetvā ‘‘massu’’tveva vuttaṃ, uttarādharamassunti attho. Kasāyena rattāni kāsāyāni. Ananuññātaṃ puttaṃ na pabbājeti ‘‘mātāpitūnaṃ lokiyamahājanassa cittaññathattaṃ mā hotū’’ti. Tathā hi suddhodanamahārājassa tathā varo dinno.

    ๒๙๕. ปิยายิตพฺพโต ปิโยติ อาห ‘‘ปีติชนโก’’ติฯ มนสฺส อปฺปายนโต มนาโปติ อาห ‘‘มนวฑฺฒนโก’’ติฯ สุเขธิโต ตรุณทารกกาเลฯ ตโต ปรญฺจ สปฺปิขีราทิสาทุรสมนุญฺญโภชนาทิอาหารสมฺปตฺติยา สุขปริภโตฯ อถ วา ทฬฺหภตฺติกธาติชนาทิปริชนสมฺปตฺติยา เจว ปริจฺฉทสมฺปตฺติยา จ อุฬารปณีตสุขปจฺจยูปหาเรหิ จ สุเขธิโต, อกิเจฺฉเนว ทุกฺขปฺปจฺจยวิโนทเนน สุขปริภโตฯ อชฺฌตฺติกงฺคสมฺปตฺติยา วา สุเขธิโต, พาหิรงฺคสมฺปตฺติยา สุขปริภโตฯ กสฺสจีติ อุปโยคเตฺถ สามิวจนํ, กิญฺจีติ วุตฺตํ โหติ, อยเมว วา ปาโฐฯ ตถา หิ ‘‘อปฺปมตฺตกมฺปิ กลภาคํ ทุกฺขสฺส น ชานาสี’’ติ อโตฺถ วุโตฺตฯ เอวํ สเนฺตติ นนุ มยํ รฎฺฐปาล มรณาทีสุ เกนจิ อุปาเยน อปฺปตีกาเรน มรเณนปิ ตยา อกามกาปิ วินา ภวิสฺสาม, เอวํ สติฯ เยนาติ เยน การเณนฯ กิํ ปนาติ เอตฺถ กินฺติ การณเตฺถ ปจฺจตฺตวจนนฺติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘เกน ปน การเณนา’’ติฯ

    295. Piyāyitabbato piyoti āha ‘‘pītijanako’’ti. Manassa appāyanato manāpoti āha ‘‘manavaḍḍhanako’’ti. Sukhedhito taruṇadārakakāle. Tato parañca sappikhīrādisādurasamanuññabhojanādiāhārasampattiyā sukhaparibhato. Atha vā daḷhabhattikadhātijanādiparijanasampattiyā ceva paricchadasampattiyā ca uḷārapaṇītasukhapaccayūpahārehi ca sukhedhito, akiccheneva dukkhappaccayavinodanena sukhaparibhato. Ajjhattikaṅgasampattiyā vā sukhedhito, bāhiraṅgasampattiyā sukhaparibhato. Kassacīti upayogatthe sāmivacanaṃ, kiñcīti vuttaṃ hoti, ayameva vā pāṭho. Tathā hi ‘‘appamattakampi kalabhāgaṃ dukkhassa na jānāsī’’ti attho vutto. Evaṃ santeti nanu mayaṃ raṭṭhapāla maraṇādīsu kenaci upāyena appatīkārena maraṇenapi tayā akāmakāpi vinā bhavissāma, evaṃ sati. Yenāti yena kāraṇena. Kiṃ panāti ettha kinti kāraṇatthe paccattavacananti dassento āha ‘‘kena pana kāraṇenā’’ti.

    ๒๙๖. ปริจาเรหีติ ปริโต ตตฺถ ตตฺถ ยถาสกํ วิสเยสุ จาเรหิฯ เตนาห ‘‘อิโต จิโต จ อุปเนหี’’ติฯ ปริจาเรหีติ วา สุขูปกรเณหิ อตฺตานํ ปริจาเรหิ, อตฺตโน ปริจรณํ กาเรหิฯ ตถาภูโต จ ยสฺมา ลฬโนฺต กีฬโนฺต นาม โหติ, ตสฺมา ‘‘ลฬา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ นิจฺจทานํ ทานํ นาม, อุโปสถทิวสาทีสุ ทาตพฺพํ อติเรกทานํ ปทานํ นามฯ ปเวณีรกฺขณวเสน วา ทียมานํ ทานํ นาม, อตฺตนาว ปฎฺฐเปตฺวา ทียมานํ ปทานํ นามฯ ปจุรชนสาธารณํ วา นาติอุฬารํ ทานํ นาม, อนญฺญสาธารณํ อติอุฬารํ ปทานํ นามฯ อุทฺทเสฺสตพฺพาติ อุทฺธํ ทเสฺสตพฺพาฯ กุโต อุทฺธํ เต ทเสฺสตพฺพา? ปพฺพชิตโต อุทฺธํ อตฺตานํ มาตาปิตโร ทเสฺสตพฺพา, เตนาห ‘‘ยถา’’ติอาทิฯ

    296.Paricārehīti parito tattha tattha yathāsakaṃ visayesu cārehi. Tenāha ‘‘ito cito ca upanehī’’ti. Paricārehīti vā sukhūpakaraṇehi attānaṃ paricārehi, attano paricaraṇaṃ kārehi. Tathābhūto ca yasmā laḷanto kīḷanto nāma hoti, tasmā ‘‘laḷā’’tiādi vuttaṃ. Niccadānaṃ dānaṃ nāma, uposathadivasādīsu dātabbaṃ atirekadānaṃ padānaṃ nāma. Paveṇīrakkhaṇavasena vā dīyamānaṃ dānaṃ nāma, attanāva paṭṭhapetvā dīyamānaṃ padānaṃ nāma. Pacurajanasādhāraṇaṃ vā nātiuḷāraṃ dānaṃ nāma, anaññasādhāraṇaṃ atiuḷāraṃ padānaṃ nāma. Uddassetabbāti uddhaṃ dassetabbā. Kuto uddhaṃ te dassetabbā? Pabbajitato uddhaṃ attānaṃ mātāpitaro dassetabbā, tenāha ‘‘yathā’’tiādi.

    ๒๙๙. พลํ คเหตฺวาติ เอตฺถ พลคฺคหณํ นาม กายพลสฺส อุปฺปาทนเมวาติ อาห ‘‘กายพลํ ชเนตฺวา’’ติฯ เอวํ วิหรโนฺตติ ยถา ปาฬิยํ วุตฺตํ เอวํ เอโก วูปกโฎฺฐ อปฺปมโตฺต วิหรโนฺตฯ ตสฺมาติ ยสฺมา เนโยฺย, น อุคฺฆฎิตญฺญู, น จ วิปญฺจิตญฺญู, ตสฺมาฯ จิเรน ปพฺพชิโต ทฺวาทสเม วเสฺส อรหตฺตํ ปาปุณิฯ ยํ ปน วุตฺตํ ปาฬิยํ ‘‘น จิรเสฺสวา’’ติ, ตํ สฎฺฐิ วสฺสานิ ตโต อธิกมฺปิ วิปสฺสนาปริวาสํ วสเนฺต อุปาทาย วุตฺตํฯ

    299.Balaṃ gahetvāti ettha balaggahaṇaṃ nāma kāyabalassa uppādanamevāti āha ‘‘kāyabalaṃ janetvā’’ti. Evaṃ viharantoti yathā pāḷiyaṃ vuttaṃ evaṃ eko vūpakaṭṭho appamatto viharanto. Tasmāti yasmā neyyo, na ugghaṭitaññū, na ca vipañcitaññū, tasmā. Cirena pabbajito dvādasame vasse arahattaṃ pāpuṇi. Yaṃ pana vuttaṃ pāḷiyaṃ ‘‘na cirassevā’’ti, taṃ saṭṭhi vassāni tato adhikampi vipassanāparivāsaṃ vasante upādāya vuttaṃ.

    สตฺตทฺวารโกฎฺฐกสฺสาติ สตฺตคพฺภนฺตรทฺวารโกฎฺฐกสีเสน คพฺภนฺตรานิ วทติฯ ปหราเปตีติ วโยวุฑฺฒานุรูปํ กปฺปาปนาทินา อลงฺการาเปติฯ อโนฺตชาตตาย ญาติสทิสี ทาสี ญาติทาสีฯ ปูติภาเวเนว ลกฺขิตโพฺพ โทโส วา อภิโทโส, โสว อาภิโทสิโก, อภิโทสํ วา ปจฺจูสกาลํ คโต ปโตฺต อติกฺกโนฺตติ อาภิโทสิโกฯ เตนาห ‘‘เอกรตฺตาติกฺกนฺตสฺสา’’ติอาทิ ฯ อปริโภคารโห ปูติภูตภาเวนฯ อริยโวหาเรนาติ อริยสมุทาจาเรนฯ อริยา หิ มาตุคามํ ภคินิวาเทน สมุทาจรนฺติฯ นิสฺสฎฺฐปริคฺคหนฺติ ปริจฺจตฺตาลยํฯ วตฺตุํ วฎฺฎตีติ นิรเปกฺขภาวโต วุตฺตํ, อิธ ปน วิเสสโต อปริโภคารหตฺตาว วตฺถุโนฯ นิมียติ สญฺญายตีติ นิมิตฺตํ, ตถาสลฺลกฺขิโต อากาโรติ อาห ‘‘อาการํ อคฺคเหสี’’ติฯ

    Sattadvārakoṭṭhakassāti sattagabbhantaradvārakoṭṭhakasīsena gabbhantarāni vadati. Paharāpetīti vayovuḍḍhānurūpaṃ kappāpanādinā alaṅkārāpeti. Antojātatāya ñātisadisī dāsī ñātidāsī. Pūtibhāveneva lakkhitabbo doso vā abhidoso, sova ābhidosiko, abhidosaṃ vā paccūsakālaṃ gato patto atikkantoti ābhidosiko. Tenāha ‘‘ekarattātikkantassā’’tiādi . Aparibhogāraho pūtibhūtabhāvena. Ariyavohārenāti ariyasamudācārena. Ariyā hi mātugāmaṃ bhaginivādena samudācaranti. Nissaṭṭhapariggahanti pariccattālayaṃ. Vattuṃ vaṭṭatīti nirapekkhabhāvato vuttaṃ, idha pana visesato aparibhogārahattāva vatthuno. Nimīyati saññāyatīti nimittaṃ, tathāsallakkhito ākāroti āha ‘‘ākāraṃ aggahesī’’ti.

    ๓๐๐. ฆรํ ปวิสิตฺวาติ เคหสามินิยา นิสีทิตพฺพฎฺฐานภูตํ อโนฺตเคหํ ปวิสิตฺวาฯ อาลปเนติ ทาสิชนสฺส อาลปเนฯ พหิ นิกฺขมนฺตาติ ยถาวุตฺตอโนฺตเคหโต พหิ นิกฺขมนฺติโยฯ ฆเรสุ สาลา โหนฺตีติ ฆเรสุ เอกมเนฺต โภชนสาลา โหนฺติ ปาการปริกฺขิตฺตา สุสํวิหิตทฺวารพนฺธา สุสมฺมฎฺฐวาลิกงฺคณาฯ

    300.Gharaṃpavisitvāti gehasāminiyā nisīditabbaṭṭhānabhūtaṃ antogehaṃ pavisitvā. Ālapaneti dāsijanassa ālapane. Bahi nikkhamantāti yathāvuttaantogehato bahi nikkhamantiyo. Gharesu sālā hontīti gharesu ekamante bhojanasālā honti pākāraparikkhittā susaṃvihitadvārabandhā susammaṭṭhavālikaṅgaṇā.

    อโนกปฺปนํ อสทฺทหนํฯ อมริสนํ อสหนํฯ อนาคตวจนํ อนาคตสทฺทปฺปโยโค, อโตฺถ ปน วตฺตมานกาลิโกวฯ เตนาห ‘‘ปจฺจกฺขมฺปี’’ติฯ อริยิทฺธิยนฺติ ‘‘ปฎิกูเล อปฎิกูลสญฺญี วิหรตี’’ติ (อ. นิ. ๕.๑๔๔) เอวํ วุตฺตอริยิทฺธิยํฯ

    Anokappanaṃ asaddahanaṃ. Amarisanaṃ asahanaṃ. Anāgatavacanaṃ anāgatasaddappayogo, attho pana vattamānakālikova. Tenāha ‘‘paccakkhampī’’ti. Ariyiddhiyanti ‘‘paṭikūle apaṭikūlasaññī viharatī’’ti (a. ni. 5.144) evaṃ vuttaariyiddhiyaṃ.

    ปูติกุมฺมาโส ฉฑฺฑนียธโมฺม ตสฺส เคหโต ลโทฺธปิ น ทาตพฺพยุตฺตโก ทาสิชเนน ทิโนฺนติ อาห ‘‘เทยฺยธมฺมวเสน เนว ทานํ อลตฺถมฺหา’’ติฯ ‘‘อิเมหิ มุณฺฑเกหี’’ติอาทินา นิตฺถุนนวจเนน ปจฺจกฺขานํ อตฺถโต ลทฺธเมว, ตสฺส ปน อุชุกผาสุสมาจารวเสน อลทฺธตฺตา วุตฺตํ ‘‘น ปจฺจกฺขาน’’นฺติฯ เตนาห – ‘‘ปฎิสนฺถารวเสน ปจฺจกฺขานมฺปิ น อลตฺถมฺหา’’ติฯ ‘‘เนว ทาน’’นฺติอาทิ ปจฺจาสีสาย อกฺขนฺติยา จ วุตฺตํ วิย ปจุรชโน มเญฺญยฺยาติ ตนฺนิวตฺตนตฺถํ อธิปฺปายมสฺส วิวริตุํ ‘‘กสฺมา ปนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ สุตฺติกาปฎิจฺฉนฺนนฺติ สิปฺปิกาฉทาหิ ฉนฺนํฯ

    Pūtikummāso chaḍḍanīyadhammo tassa gehato laddhopi na dātabbayuttako dāsijanena dinnoti āha ‘‘deyyadhammavasena neva dānaṃ alatthamhā’’ti. ‘‘Imehi muṇḍakehī’’tiādinā nitthunanavacanena paccakkhānaṃ atthato laddhameva, tassa pana ujukaphāsusamācāravasena aladdhattā vuttaṃ ‘‘na paccakkhāna’’nti. Tenāha – ‘‘paṭisanthāravasena paccakkhānampi na alatthamhā’’ti. ‘‘Neva dāna’’ntiādi paccāsīsāya akkhantiyā ca vuttaṃ viya pacurajano maññeyyāti tannivattanatthaṃ adhippāyamassa vivarituṃ ‘‘kasmā panā’’tiādi vuttaṃ. Suttikāpaṭicchannanti sippikāchadāhi channaṃ.

    อุกฺกฎฺฐเอกาสนิกตายาติ อิทํ ภูตกถนมตฺตํ เถรสฺส ตถาภาวทีปนโตฯ มุทุกสฺสปิ หิ เอกาสนิกสฺส ยาย นิสชฺชาย กิญฺจิมตฺตํ โภชนํ ภุตฺตํ, วตฺตสีเสนปิ ตโต วุฎฺฐิตสฺส ปุน ภุญฺชิตุํ น วฎฺฎติฯ เตนาห ติปิฎกจูฬาภยเตฺถโร ‘‘อาสนํ วา รเกฺขยฺย โภชนํ วา’’ติฯ อุกฺกฎฺฐสปทานจาริโกติ ปุรโต ปจฺฉโต จ อาหฎภิกฺขมฺปิ อคฺคเหตฺวา พหิทฺวาเร ฐตฺวา ปตฺตวิสฺสชฺชนเมว กโรติฯ เอเตเนว เถรสฺส อุกฺกฎฺฐปิณฺฑปาติกภาโว ทีปิโตฯ เตนาห – ‘‘สฺวาตนาย ภิกฺขํ นาม นาธิวาเสตี’’ติฯ อถ กสฺมา อธิวาเสสีติ อาห ‘‘มาตุ อนุคฺคเหนา’’ติอาทิ ฯ ปณฺฑิตา หิ มาตาปิตูนํ อาจริยุปชฺฌายานํ วา กาตพฺพํ อนุคฺคหํ อชฺฌุเปกฺขิตฺวา ธุตงฺคสุทฺธิกา น ภวนฺติฯ

    Ukkaṭṭhaekāsanikatāyāti idaṃ bhūtakathanamattaṃ therassa tathābhāvadīpanato. Mudukassapi hi ekāsanikassa yāya nisajjāya kiñcimattaṃ bhojanaṃ bhuttaṃ, vattasīsenapi tato vuṭṭhitassa puna bhuñjituṃ na vaṭṭati. Tenāha tipiṭakacūḷābhayatthero ‘‘āsanaṃ vā rakkheyya bhojanaṃ vā’’ti. Ukkaṭṭhasapadānacārikoti purato pacchato ca āhaṭabhikkhampi aggahetvā bahidvāre ṭhatvā pattavissajjanameva karoti. Eteneva therassa ukkaṭṭhapiṇḍapātikabhāvo dīpito. Tenāha – ‘‘svātanāya bhikkhaṃ nāma nādhivāsetī’’ti. Atha kasmā adhivāsesīti āha ‘‘mātu anuggahenā’’tiādi . Paṇḍitā hi mātāpitūnaṃ ācariyupajjhāyānaṃ vā kātabbaṃ anuggahaṃ ajjhupekkhitvā dhutaṅgasuddhikā na bhavanti.

    ๓๐๑. ปยุตฺตนฺติ วทฺธิวเสน ปโยชิตํ, ตทฺธิตโลปํ กตฺวา วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํ ยถา อญฺญตฺถาปิ ‘‘ปิตามหํ ธนํ ลทฺธา, สุขํ ชีวติ สญฺจโย’’ติ ฯ เชฎฺฐกิตฺถิโยติ ปธานิตฺถิโยฯ อิโตติ อิมสฺมิํ กุเล อนุภวิตพฺพวิภวสมฺปตฺติโตฯ อญฺญโตติ อิมสฺส ทินฺนตฺตา อญฺญสฺมิํ กุเล อนุภวิตพฺพสมฺปตฺติโตฯ

    301.Payuttanti vaddhivasena payojitaṃ, taddhitalopaṃ katvā vuttanti veditabbaṃ yathā aññatthāpi ‘‘pitāmahaṃ dhanaṃ laddhā, sukhaṃ jīvati sañcayo’’ti . Jeṭṭhakitthiyoti padhānitthiyo. Itoti imasmiṃ kule anubhavitabbavibhavasampattito. Aññatoti imassa dinnattā aññasmiṃ kule anubhavitabbasampattito.

    ๓๐๒. จิตฺตวิจิตฺตนฺติ กปฺปนาย เจว อรหรูเปน อลงฺการาทินา จ จิตฺติตเญฺจว วิจิตฺติตญฺจฯ วณกายนฺติ วณภูตํ กายํฯ สมนฺตโต อุสฺสิตนฺติ เหฎฺฐิมกายวเสน เหฎฺฐา อุปริ จ สนฺนิสฺสิตํฯ นิจฺจาตุรนฺติ อภิณฺหปฺปฎิปีฬิตํ, สทา ทุกฺขิตํ วาฯ พหุสงฺกปฺปนฺติ ราควตฺถุภาเวน อภิชเนหิ หาวภาววิลาสวเสน, อามิสวเสน จ โสณสิงฺคาลาทีหิ พหูหิ สงฺกเปฺปตพฺพํฯ ฐิตีติ อวฎฺฐานํ อวิปริณาโม นตฺถิฯ เตนาห – ‘‘ภิชฺชนธมฺมตาว นิยตา’’ติ, ปริสฺสวภาวาปตฺติ เจว วินาสปตฺติ จ เอกนฺติกาติ อโตฺถฯ

    302.Cittavicittanti kappanāya ceva araharūpena alaṅkārādinā ca cittitañceva vicittitañca. Vaṇakāyanti vaṇabhūtaṃ kāyaṃ. Samantato ussitanti heṭṭhimakāyavasena heṭṭhā upari ca sannissitaṃ. Niccāturanti abhiṇhappaṭipīḷitaṃ, sadā dukkhitaṃ vā. Bahusaṅkappanti rāgavatthubhāvena abhijanehi hāvabhāvavilāsavasena, āmisavasena ca soṇasiṅgālādīhi bahūhi saṅkappetabbaṃ. Ṭhitīti avaṭṭhānaṃ avipariṇāmo natthi. Tenāha – ‘‘bhijjanadhammatāva niyatā’’ti, parissavabhāvāpatti ceva vināsapatti ca ekantikāti attho.

    จิตฺตกตมฺปีติ คนฺธาทีหิ จิตฺตกตมฺปิฯ รูปนฺติ สรีรํฯ

    Cittakatampīti gandhādīhi cittakatampi. Rūpanti sarīraṃ.

    อลตฺตกกตาติ ปิณฺฑิอลตฺตเกน สุวณฺณกตาฯ เตนาห ‘‘อลตฺตเกน รญฺชิตา’’ติฯ จุณฺณกมกฺขิตนฺติ โทสนีหรเณหิ ตาปทหนาทีหิ กตาภิสงฺขารมุขํ โคโรจนาทีหิ โอภาสนกจุเณฺณหิ มกฺขิตํ, เตนาห ‘‘สาสปกเกฺกนา’’ติอาทิฯ

    Alattakakatāti piṇḍialattakena suvaṇṇakatā. Tenāha ‘‘alattakena rañjitā’’ti. Cuṇṇakamakkhitanti dosanīharaṇehi tāpadahanādīhi katābhisaṅkhāramukhaṃ gorocanādīhi obhāsanakacuṇṇehi makkhitaṃ, tenāha ‘‘sāsapakakkenā’’tiādi.

    รโสทเกนาติ สรลนิยฺยาสรสมิเสฺสน อุทเกนฯ อาวตฺตนปริวเตฺต กตฺวาติ อาวตฺตนปริวตฺตนวเสน นเต กตฺวาฯ อฎฺฐปทกรจนายาติ ภิตฺติกูฎทฺธจนฺทาทิวิภาคาย อฎฺฐปทกรจนายฯ

    Rasodakenāti saralaniyyāsarasamissena udakena. Āvattanaparivatte katvāti āvattanaparivattanavasena nate katvā. Aṭṭhapadakaracanāyāti bhittikūṭaddhacandādivibhāgāya aṭṭhapadakaracanāya.

    วิรวมาเนติ ‘‘อยํ ปลายติ, คณฺห คณฺหา’’ติ วิรวมาเนฯ หิรญฺญสุวณฺณโอโรเธติ วตฺตพฺพํฯ

    Viravamāneti ‘‘ayaṃ palāyati, gaṇha gaṇhā’’ti viravamāne. Hiraññasuvaṇṇaorodheti vattabbaṃ.

    ๓๐๓. อุสฺสิตาย อุสฺสิตายาติ กุลวิภวพาหุสจฺจปญฺญาสมฺปตฺติยา อุคฺคตาย อุคฺคตายฯ อภิลกฺขิโต อุฬารภาเวนฯ

    303.Ussitāya ussitāyāti kulavibhavabāhusaccapaññāsampattiyā uggatāya uggatāya. Abhilakkhito uḷārabhāvena.

    ๓๐๔. ปริชุญฺญานีติ ปริหานานิฯ เย พฺยาธินา อภิภูตา สตฺตา ชิณฺณกปฺปา วโยหานิสตฺตา วิย โหนฺติ, ตโต นิวเตฺตโนฺต ‘‘ชราชิโณฺณ’’ติ อาหฯ วโยวุโฑฺฒ, น สีลาทิวุโฑฺฒฯ มหตฺตํ ลาติ คณฺหาตีติ มหลฺลโก, ชาติยา มหลฺลโก, น วิภวาทินาติ ชาติมหลฺลโก ฯ ทฺวตฺติราชปริวตฺตสงฺขาตํ อทฺธานํ กาลํ คโต วีติวโตฺตติ อทฺธคโตฯ ตถา จ ปฐมวยํ มชฺฌิมวยญฺจ อตีโต โหตีติ อาห ‘‘อทฺธานํ อติกฺกโนฺต’’ติฯ ชิณฺณาทิปเทหิ ปฐมวยมชฺฌิมวยสฺส โพธิตตฺตา อนุปฺปตฺตตาวิสิโฎฺฐ วย-สโทฺท โอสานวยวิสโยติ อาห ‘‘ปจฺฉิมวยํ อนุปฺปโตฺต’’ติฯ

    304.Parijuññānīti parihānāni. Ye byādhinā abhibhūtā sattā jiṇṇakappā vayohānisattā viya honti, tato nivattento ‘‘jarājiṇṇo’’ti āha. Vayovuḍḍho, na sīlādivuḍḍho. Mahattaṃ lāti gaṇhātīti mahallako, jātiyā mahallako, na vibhavādināti jātimahallako. Dvattirājaparivattasaṅkhātaṃ addhānaṃ kālaṃ gato vītivattoti addhagato. Tathā ca paṭhamavayaṃ majjhimavayañca atīto hotīti āha ‘‘addhānaṃ atikkanto’’ti. Jiṇṇādipadehi paṭhamavayamajjhimavayassa bodhitattā anuppattatāvisiṭṭho vaya-saddo osānavayavisayoti āha ‘‘pacchimavayaṃ anuppatto’’ti.

    ‘‘อปฺปิโจฺฉ, อปฺปฑํสมกสวาตาตปสรีสปสมฺผโสฺส’’ติ (อ. นิ. ๑๐.๑๑) เอวมาทีสุ วิย อปฺป-สโทฺท อภาวโตฺถติ อธิปฺปาเยนาห ‘‘อปฺปาพาโธติ อโรโค, อปฺปาตโงฺกติ นิทฺทุโกฺข’’ติฯ อปฺปโตฺถ วา อิธ, ตตฺถาปิ อปฺป-สโทฺท ทฎฺฐโพฺพฯ เอวญฺหิ ‘‘โย หิ, คหปติ, อิมํ ปูติกายํ ปริหรโนฺต มุหุตฺตมฺปิ อาโรคฺยํ ปฎิชาเนยฺย กิมญฺญตฺร พาลฺยา’’ติ (สํ. นิ. ๓.๑) สุตฺตปทํ สมตฺถิตํ โหติฯ วิปจฺจนํ วิปาโก, โส เอว เวปาโกฯ สโม เวปาโก เอติสฺสา อตฺถีติ สมเวปากินี, ตายฯ เตเนว สมเวปากินิภาเวน สพฺพมฺปิ สมฺมเทว คณฺหาติ ธาเรตีติ คหณีฯ คหณิสมฺปตฺติยา หิ ยถาภุตฺตอาหาโร สมฺมเทว ชีรโนฺต สรีเร ติฎฺฐติ, โน อญฺญถา ภุตฺตภุโตฺต อาหาโร ชีรติ คหณิยา ติกฺขภาเวนฯ ตเถว ติฎฺฐตีติ ภุตฺตากาเรเนว ติฎฺฐติ คหณิยา มนฺทภาวโตฯ ภตฺตจฺฉโนฺท อุปฺปชฺชเตว ภุตฺตอาหารสฺส สมฺมา ปริณามํ คตตฺตาฯ เตเนวาติ สมเวปากินิภาเวเนวฯ ปตฺตานํ โภคานํ ปริกฺขิยมานํ น สหสา เอกชฺฌํเยว ปริกฺขยํ คจฺฉนฺติ, อถ โข อนุกฺกเมน, ตถา ญาตโยปีติ อาห ‘‘อนุปุเพฺพนา’’ติฯ ฉาตกภยาทินาติ อาทิ-สเทฺทน พฺยาธิภยาทิํ สงฺคณฺหาติฯ

    ‘‘Appiccho, appaḍaṃsamakasavātātapasarīsapasamphasso’’ti (a. ni. 10.11) evamādīsu viya appa-saddo abhāvatthoti adhippāyenāha ‘‘appābādhoti arogo, appātaṅkoti niddukkho’’ti. Appattho vā idha, tatthāpi appa-saddo daṭṭhabbo. Evañhi ‘‘yo hi, gahapati, imaṃ pūtikāyaṃ pariharanto muhuttampi ārogyaṃ paṭijāneyya kimaññatra bālyā’’ti (saṃ. ni. 3.1) suttapadaṃ samatthitaṃ hoti. Vipaccanaṃ vipāko, so eva vepāko. Samo vepāko etissā atthīti samavepākinī, tāya. Teneva samavepākinibhāvena sabbampi sammadeva gaṇhāti dhāretīti gahaṇī. Gahaṇisampattiyā hi yathābhuttaāhāro sammadeva jīranto sarīre tiṭṭhati, no aññathā bhuttabhutto āhāro jīrati gahaṇiyā tikkhabhāvena. Tatheva tiṭṭhatīti bhuttākāreneva tiṭṭhati gahaṇiyā mandabhāvato. Bhattacchando uppajjateva bhuttaāhārassa sammā pariṇāmaṃ gatattā. Tenevāti samavepākinibhāveneva. Pattānaṃ bhogānaṃ parikkhiyamānaṃ na sahasā ekajjhaṃyeva parikkhayaṃ gacchanti, atha kho anukkamena, tathā ñātayopīti āha ‘‘anupubbenā’’ti. Chātakabhayādināti ādi-saddena byādhibhayādiṃ saṅgaṇhāti.

    ๓๐๕. อุเทฺทสสีเสน นิเทฺทโส คหิโตติ อาห ‘‘ธมฺมนิเทฺทสา อุทฺทิฎฺฐา’’ติฯ ยสฺมา วา เย ธมฺมา อุทฺทิสิตพฺพเฎฺฐน ‘‘อุเทฺทสา’’ติ วุจฺจนฺติฯ เตว ธมฺมา นิทฺทิสิตพฺพเฎฺฐน นิเทฺทสาติ ‘‘ธมฺมนิเทฺทสา อุทฺทิฎฺฐา’’ติ อโตฺถ วุโตฺตฯ อถ วา เย ธมฺมา อนิจฺจตาทิวิภาวนวเสน อุทฺธํ อุทฺธํ เทเสสฺสนฺติ, เต ธมฺมา ตเถว นิเสฺสสโต เทเสสฺสนฺตีติ เอวํ อุเทฺทสนิเทฺทสปทานํ อนตฺถนฺตรตา เวทิตพฺพาฯ ตตฺถาติ ชรามรณสนฺติเกฯ อทฺธุโวติ นิทฺธุโว น ถิโร, อนิโจฺจติ อโตฺถฯ เตนาห ‘‘ธุวฎฺฐานวิรหิโต’’ติ, อชาตาภูตาสงฺขตธุวภาวการณวิวิโตฺตติ อโตฺถฯ อุปนียฺยตีติ วา ชรามรเณน โลโก สมฺมา นียติ, ตสฺมา อทฺธุโวติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ตายิตุนฺติ ชาติอาทิพฺยสนโต รกฺขิตุํ สมเตฺถน อิสฺสเรน อตฺตนา วิรหิโตติฯ ‘‘อิมํ โลกํ อิโต วฎฺฎทุกฺขโต โมเจสฺสามิ, ชราพฺยาธิมรณานํ ตํ อธิภวิตุํ น ทสฺสามี’’ติ เอวํ อภิสรตีติ อภิสฺสรณํ, โลกสฺส สุขสฺส ทาตา หิตสฺส วิธาตา โกจิ อิสฺสโร, ตทภาวโต อาห ‘‘อนภิสฺสโรติ อสรโณ’’ติฯ นิสฺสโก มมายิตพฺพวตฺถุอภาวโต, เตนาห ‘‘สกภณฺฑวิรหิโต’’ติอาทิฯ ตณฺหาย วเส ชาโต ตณฺหาย วิชิโตติ กตฺวา ‘‘ตณฺหาย ทาโส’’ติ วุตฺตํฯ

    305. Uddesasīsena niddeso gahitoti āha ‘‘dhammaniddesā uddiṭṭhā’’ti. Yasmā vā ye dhammā uddisitabbaṭṭhena ‘‘uddesā’’ti vuccanti. Teva dhammā niddisitabbaṭṭhena niddesāti ‘‘dhammaniddesā uddiṭṭhā’’ti attho vutto. Atha vā ye dhammā aniccatādivibhāvanavasena uddhaṃ uddhaṃ desessanti, te dhammā tatheva nissesato desessantīti evaṃ uddesaniddesapadānaṃ anatthantaratā veditabbā. Tatthāti jarāmaraṇasantike. Addhuvoti niddhuvo na thiro, aniccoti attho. Tenāha ‘‘dhuvaṭṭhānavirahito’’ti, ajātābhūtāsaṅkhatadhuvabhāvakāraṇavivittoti attho. Upanīyyatīti vā jarāmaraṇena loko sammā nīyati, tasmā addhuvoti evamettha attho daṭṭhabbo. Tāyitunti jātiādibyasanato rakkhituṃ samatthena issarena attanā virahitoti. ‘‘Imaṃ lokaṃ ito vaṭṭadukkhato mocessāmi, jarābyādhimaraṇānaṃ taṃ adhibhavituṃ na dassāmī’’ti evaṃ abhisaratīti abhissaraṇaṃ, lokassa sukhassa dātā hitassa vidhātā koci issaro, tadabhāvato āha ‘‘anabhissaroti asaraṇo’’ti. Nissako mamāyitabbavatthuabhāvato, tenāha ‘‘sakabhaṇḍavirahito’’tiādi. Taṇhāya vase jāto taṇhāya vijitoti katvā ‘‘taṇhāya dāso’’ti vuttaṃ.

    ๓๐๖. หตฺถิวิสยตฺตา หตฺถิสนฺนิสฺสิตตฺตา วา หตฺถิสิปฺปํ ‘‘หตฺถี’’ติ คหิตนฺติ อาห – ‘‘หตฺถิสฺมินฺติ หตฺถิสิเปฺป’’ติ, เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ สาติสยํ อูรุพลํ เอตสฺส อตฺถีติ อูรุพลีติ อาห – ‘‘อูรุพลสมฺปโนฺน’’ติ, ตเมวตฺถํ ปากฎํ กตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘ยสฺส หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อภินฺนํ ปรเสนํ ภินฺทโต ภินฺนํ สกเสนํ สนฺธารยโต อุปตฺถมฺภยโตฯ พาหุพลีติ เอตฺถาปิ ‘‘ยสฺส หิ ผลกญฺจ อาวุธญฺจ คเหตฺวา’’ติอาทินา อโตฺถ วตฺตโพฺพ, อิธ ปน ปรหตฺถคตํ รชฺชํ อาหริตุํ พาหุพลนฺติ โยชนาฯ ยถา หิ ‘‘อูรุพลี’’ติ เอตฺถาปิ พาหุพลํ อนามสิตฺวา อโตฺถ, เอวํ ‘‘พาหุพลี’’ติ เอตฺถ อูรุพลํ อนามสิตฺวา อโตฺถ เวทิตโพฺพ, อาหิโต อหํมาโน เอตฺถาติ อตฺตา, อตฺตภาโวฯ อลํ สมโตฺถ อตฺตา เอตสฺสาติ อลมโตฺถติ อาห ‘‘สมตฺถอตฺตภาโว’’ติฯ

    306. Hatthivisayattā hatthisannissitattā vā hatthisippaṃ ‘‘hatthī’’ti gahitanti āha – ‘‘hatthisminti hatthisippe’’ti, sesapadesupi eseva nayo. Sātisayaṃ ūrubalaṃ etassa atthīti ūrubalīti āha – ‘‘ūrubalasampanno’’ti, tamevatthaṃ pākaṭaṃ katvā dassetuṃ ‘‘yassa hī’’tiādi vuttaṃ. Abhinnaṃ parasenaṃ bhindato bhinnaṃ sakasenaṃ sandhārayato upatthambhayato. Bāhubalīti etthāpi ‘‘yassa hi phalakañca āvudhañca gahetvā’’tiādinā attho vattabbo, idha pana parahatthagataṃ rajjaṃ āharituṃ bāhubalanti yojanā. Yathā hi ‘‘ūrubalī’’ti etthāpi bāhubalaṃ anāmasitvā attho, evaṃ ‘‘bāhubalī’’ti ettha ūrubalaṃ anāmasitvā attho veditabbo, āhito ahaṃmāno etthāti attā, attabhāvo. Alaṃ samattho attā etassāti alamatthoti āha ‘‘samatthaattabhāvo’’ti.

    ปริโยธายาติ วา ปริโต อารกฺขํ โอทหิตฺวาฯ ‘‘สํวิชฺชเนฺต โข, โภ รฎฺฐปาล, อิมสฺมิํ ราชกุเล หตฺถิกายาปิ…เป.… วตฺติสฺสนฺตี’’ติ อิทมฺปิ โส ราชา อุปริ ธมฺมุเทฺทสสฺส การณํ อาหรโนฺต อาห

    Pariyodhāyāti vā parito ārakkhaṃ odahitvā. ‘‘Saṃvijjante kho, bho raṭṭhapāla, imasmiṃ rājakule hatthikāyāpi…pe… vattissantī’’ti idampi so rājā upari dhammuddesassa kāraṇaṃ āharanto āha.

    วุตฺตเสฺสว อนุ ปจฺฉา คายนวเสน กถนํ อนุคีติฯ ตา ปน คาถา ธมฺมุเทฺทสานํ เทสนานุปุพฺพิํ อนาทิยิตฺวาปิ ยถารหํ สงฺคณฺหนวเสน อนุคีตาติ อาห ‘‘จตุนฺนํ ธมฺมุเทฺทสานํ อนุคีติ’’นฺติฯ

    Vuttasseva anu pacchā gāyanavasena kathanaṃ anugīti. Tā pana gāthā dhammuddesānaṃ desanānupubbiṃ anādiyitvāpi yathārahaṃ saṅgaṇhanavasena anugītāti āha ‘‘catunnaṃ dhammuddesānaṃ anugīti’’nti.

    ๓๐๗. เอกนฺติ เอกชาติยํฯ วตฺถุกามกิเลสกามา วิสยเภเทน ภินฺทิตฺวา ตถา วุตฺตาติ ทฎฺฐโพฺพฯ

    307.Ekanti ekajātiyaṃ. Vatthukāmakilesakāmā visayabhedena bhinditvā tathā vuttāti daṭṭhabbo.

    สาครเนฺตนาติ สาครปริยเนฺตนฯ

    Sāgarantenāti sāgarapariyantena.

    อโห วตาติ โสจเน นิปาโต, ‘‘อโห วต ปาปํ กตํ มยา’’ติอาทีสุ วิยฯ อมราติอาทีสุ อาหูติ กเถนฺติฯ มตํ อุทฺทิสฺส ‘‘อมฺห’’นฺติ วตฺตเพฺพ โสกวเสน ‘‘อมร’’นฺติ วุจฺจติฯ

    Aho vatāti socane nipāto, ‘‘aho vata pāpaṃ kataṃ mayā’’tiādīsu viya. Amarātiādīsu āhūti kathenti. Mataṃ uddissa ‘‘amha’’nti vattabbe sokavasena ‘‘amara’’nti vuccati.

    โวสานนฺติ นิฎฺฐํ, ปริโยสานนฺติ อโตฺถฯ สาวาติ ปญฺญา เอวฯ ธนโตติ สพฺพธนโตฯ อุตฺตมตรา เสฎฺฐา, เตเนวาห ‘‘ปญฺญาชีวิํ ชีวิตมาหุ เสฎฺฐ’’นฺติ (สํ. นิ. ๑.๒๔๖; สุ. นิ. ๑๘๔)ฯ

    Vosānanti niṭṭhaṃ, pariyosānanti attho. Sāvāti paññā eva. Dhanatoti sabbadhanato. Uttamatarā seṭṭhā, tenevāha ‘‘paññājīviṃ jīvitamāhu seṭṭha’’nti (saṃ. ni. 1.246; su. ni. 184).

    เตสุ ปาปํ กโรเนฺตสุ สเตฺตสุ, นิทฺธารเณ เจตํ ภุมฺมวจนํฯ ปรมฺปรายาติ อตฺตภาวปรมฺปรายฯ สํสารํ อาปชฺชิตฺวาติ ภวาทีสุ สํสารสฺส อาปชฺชนเหตุํ อาปชฺชโนฺต ปรโลกํ อุเปติ, ปรโลกํ อุเปโนฺตว พหุวิธทุกฺขสงฺขาตํ คพฺภญฺจ อุเปติฯ ตาทิสสฺสาติ ตถารูปสฺส คพฺภวาสทุกฺขาทีนํ อธิฎฺฐานภูตสฺส อปฺปปญฺญสฺส อโญฺญ อปฺปปโญฺญอภิสทฺทหโนฺต หิตสุขาวหนฺติ ปตฺติยายโนฺตฯ

    Tesu pāpaṃ karontesu sattesu, niddhāraṇe cetaṃ bhummavacanaṃ. Paramparāyāti attabhāvaparamparāya. Saṃsāraṃ āpajjitvāti bhavādīsu saṃsārassa āpajjanahetuṃ āpajjanto paralokaṃ upeti, paralokaṃ upentova bahuvidhadukkhasaṅkhātaṃ gabbhañca upeti. Tādisassāti tathārūpassa gabbhavāsadukkhādīnaṃ adhiṭṭhānabhūtassa appapaññassa añño appapañño ca abhisaddahanto hitasukhāvahanti pattiyāyanto.

    ‘‘ปาปธโมฺม’’ติ วุตฺตตฺตา ตาทิสสฺส ปรโลโก นาม ทุคฺคติ เอวาติ อาห ‘‘ปรมฺหิ อปายโลเก’’ติฯ

    ‘‘Pāpadhammo’’ti vuttattā tādisassa paraloko nāma duggati evāti āha ‘‘paramhi apāyaloke’’ti.

    วิวิธรูเปนาติ รูปสทฺทาทิวเสน ตตฺถปิ ปณีตตราทิวเสน พหุวิธรูเปนฯ

    Vividharūpenāti rūpasaddādivasena tatthapi paṇītatarādivasena bahuvidharūpena.

    สามญฺญเมวาติ สมณภาโว เอว เสโยฺยฯ เอตฺถ จ อาทิโต ทฺวีหิ คาถาหิ จตุโตฺถ ธมฺมุเทฺทโส อนุคีโตฯ จตุตฺถคาถาย ตติโยฯ ปญฺจมคาถาย ทุติโยฯ ฉฎฺฐคาถาย ทุติยตติยาฯ สตฺตมคาถาย ปฐโม ธมฺมุเทฺทโส อนุคีโต, อฎฺฐมาทีหิ ปวตฺตินิวตฺตีสุ กาเมสุ เนกฺขเมฺม จ ยถารหํ อาทีนวานิสํสํ วิภาเวตฺวา อตฺตโน ปพฺพชฺชการณํ ปรมโต ทเสฺสโนฺต ยถาวุตฺตธมฺมุเทฺทสํ นิคเมติ, เตน วุตฺตํ ‘‘ตา ปน คาถา ธมฺมุเทฺทสานํ เทสนานุปุพฺพิํ อนาทิยิตฺวาปิ ยถารหํ สงฺคณฺหนวเสน อนุคีตา’’ติฯ เสสํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ

    Sāmaññamevāti samaṇabhāvo eva seyyo. Ettha ca ādito dvīhi gāthāhi catuttho dhammuddeso anugīto. Catutthagāthāya tatiyo. Pañcamagāthāya dutiyo. Chaṭṭhagāthāya dutiyatatiyā. Sattamagāthāya paṭhamo dhammuddeso anugīto, aṭṭhamādīhi pavattinivattīsu kāmesu nekkhamme ca yathārahaṃ ādīnavānisaṃsaṃ vibhāvetvā attano pabbajjakāraṇaṃ paramato dassento yathāvuttadhammuddesaṃ nigameti, tena vuttaṃ ‘‘tā pana gāthā dhammuddesānaṃ desanānupubbiṃ anādiyitvāpi yathārahaṃ saṅgaṇhanavasena anugītā’’ti. Sesaṃ suviññeyyameva.

    รฎฺฐปาลสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนา สมตฺตาฯ

    Raṭṭhapālasuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā samattā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๒. รฎฺฐปาลสุตฺตํ • 2. Raṭṭhapālasuttaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๒. รฎฺฐปาลสุตฺตวณฺณนา • 2. Raṭṭhapālasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact