Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อปทาน-อฎฺฐกถา • Apadāna-aṭṭhakathā

    ๘. รฎฺฐปาลเตฺถรอปทานวณฺณนา

    8. Raṭṭhapālattheraapadānavaṇṇanā

    ปทุมุตฺตรสฺส ภควโตติอาทิกํ อายสฺมโต รฎฺฐปาลเตฺถรสฺส อปทานํฯ อยมฺปายสฺมา ปุริมพุเทฺธสุ กตาธิกาโร ตตฺถ ตตฺถ ภเว วิวฎฺฎูปนิสฺสยานิ ปุญฺญานิ อุปจินโนฺต ปทุมุตฺตรสฺส ภควโต อุปฺปตฺติโต ปุเรตรเมว หํสวตีนคเร คหปติมหาสาลกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต ปิตุ อจฺจเยน ฆราวาเส ปติฎฺฐิโต รตนโกฎฺฐาคารกมฺมิเกน ทสฺสิตํ อปริมาณํ วํสานุคตํ ธนํ ทิสฺวา ‘‘อิมํ เอตฺตกํ ธนราสิํ มยฺหํ ปิตุอยฺยกปยฺยกาทโย อตฺตนา สทฺธิํ คเหตฺวา คนฺตุํ นาสกฺขิํสุ, มยา ปน คเหตฺวา คนฺตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิเนฺตตฺวา กปณทฺธิกาทีนํ มหาทานํ อทาสิฯ โส อภิญฺญาลาภิํ เอกํ ตาปสํ อุปสงฺกมิตฺวา เตน เทวโลกาธิปเจฺจ นิโยชิโต ยาวชีวํ ปุญฺญานิ กตฺวา ตโต จุโต เทวโลเก นิพฺพตฺติตฺวา ทิพฺพสมฺปตฺติํ อนุภวโนฺต ตตฺถ ยาวตายุกํ ฐตฺวา ตโต จุโต มนุสฺสโลเก ภินฺนํ รฎฺฐํ สนฺธาเรตุํ สมตฺถสฺส กุลสฺส เอกปุตฺตโก หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ เตน สมเยน ปทุมุตฺตโร ภควา โลเก อุปฺปชฺชิตฺวา ปวตฺติตวรธมฺมจโกฺก เวเนยฺยสเตฺต นิพฺพานมหานครสงฺขาตํ เขมนฺตภูมิํ สมฺปาเปสิฯ อถ โส กุลปุโตฺต อนุกฺกเมน วิญฺญุตํ ปโตฺต เอกทิวสํ อุปาสเกหิ สทฺธิํ วิหารํ คนฺตฺวา สตฺถารํ ธมฺมํ เทเสนฺตํ ทิสฺวา ปสนฺนจิโตฺต ปริสปริยเนฺต นิสีทิฯ

    Padumuttarassabhagavatotiādikaṃ āyasmato raṭṭhapālattherassa apadānaṃ. Ayampāyasmā purimabuddhesu katādhikāro tattha tattha bhave vivaṭṭūpanissayāni puññāni upacinanto padumuttarassa bhagavato uppattito puretarameva haṃsavatīnagare gahapatimahāsālakule nibbattitvā vayappatto pitu accayena gharāvāse patiṭṭhito ratanakoṭṭhāgārakammikena dassitaṃ aparimāṇaṃ vaṃsānugataṃ dhanaṃ disvā ‘‘imaṃ ettakaṃ dhanarāsiṃ mayhaṃ pituayyakapayyakādayo attanā saddhiṃ gahetvā gantuṃ nāsakkhiṃsu, mayā pana gahetvā gantuṃ vaṭṭatī’’ti cintetvā kapaṇaddhikādīnaṃ mahādānaṃ adāsi. So abhiññālābhiṃ ekaṃ tāpasaṃ upasaṅkamitvā tena devalokādhipacce niyojito yāvajīvaṃ puññāni katvā tato cuto devaloke nibbattitvā dibbasampattiṃ anubhavanto tattha yāvatāyukaṃ ṭhatvā tato cuto manussaloke bhinnaṃ raṭṭhaṃ sandhāretuṃ samatthassa kulassa ekaputtako hutvā nibbatti. Tena samayena padumuttaro bhagavā loke uppajjitvā pavattitavaradhammacakko veneyyasatte nibbānamahānagarasaṅkhātaṃ khemantabhūmiṃ sampāpesi. Atha so kulaputto anukkamena viññutaṃ patto ekadivasaṃ upāsakehi saddhiṃ vihāraṃ gantvā satthāraṃ dhammaṃ desentaṃ disvā pasannacitto parisapariyante nisīdi.

    เตน โข ปน สมเยน สตฺถา เอกํ ภิกฺขุํ สทฺธาปพฺพชิตานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสิฯ โส ตํ ทิสฺวา ปสนฺนมานโส สตสหสฺสภิกฺขุปริวุตสฺส ภควโต สตฺตาหํ มหาทานํ ทตฺวา ตํ ฐานํ ปเตฺถสิฯ สตฺถา อนนฺตราเยน สมิชฺฌนภาวํ ทิสฺวา ‘‘อยํ อนาคเต โคตมสฺส นาม สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สาสเน สทฺธาปพฺพชิตานํ อโคฺค ภวิสฺสตี’’ติ พฺยากาสิฯ โส สตฺถารํ ภิกฺขุสงฺฆญฺจ วนฺทิตฺวา อุฎฺฐายาสนา ปกฺกามิฯ โส ยาวตายุกํ ปุญฺญานิ กตฺวา ตโต จวิตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต อิโต เทฺวนวุเต กเปฺป ผุสฺสสฺส ภควโต กาเล สตฺถุ เวมาติเกสุ ตีสุ ราชปุเตฺตสุ สตฺถารํ อุปฎฺฐหเนฺตสุ เตสํ ปุญฺญกิริยาสุ สหายกิจฺจํ อกาสิฯ เอวํ ตตฺถ ตตฺถ ภเว พหุํ กุสลํ อุปจินิตฺวา สุคตีสุเยว สํสรโนฺต อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท กุรุรเฎฺฐ ถุลฺลโกฎฺฐิกนิคเม รฎฺฐปาลเสฎฺฐิโน เคเห นิพฺพตฺติ, ตสฺส ภินฺนํ รฎฺฐํ สนฺธาเรตุํ สมตฺถกุเล นิพฺพตฺตตฺตา รฎฺฐปาโลติ วํสานุคตเมว นามํ อโหสิฯ โส มหตา ปริวาเรน วฑฺฒโนฺต อนุกฺกเมน โยพฺพนปฺปโตฺต มาตาปิตูหิ ปติรูเปน ทาเรน สํโยชิโต มหเนฺต จ ยเส ปติฎฺฐาปิโต ทิพฺพสมฺปตฺติสทิสสมฺปตฺติํ ปจฺจนุโภติฯ

    Tena kho pana samayena satthā ekaṃ bhikkhuṃ saddhāpabbajitānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesi. So taṃ disvā pasannamānaso satasahassabhikkhuparivutassa bhagavato sattāhaṃ mahādānaṃ datvā taṃ ṭhānaṃ patthesi. Satthā anantarāyena samijjhanabhāvaṃ disvā ‘‘ayaṃ anāgate gotamassa nāma sammāsambuddhassa sāsane saddhāpabbajitānaṃ aggo bhavissatī’’ti byākāsi. So satthāraṃ bhikkhusaṅghañca vanditvā uṭṭhāyāsanā pakkāmi. So yāvatāyukaṃ puññāni katvā tato cavitvā devamanussesu saṃsaranto ito dvenavute kappe phussassa bhagavato kāle satthu vemātikesu tīsu rājaputtesu satthāraṃ upaṭṭhahantesu tesaṃ puññakiriyāsu sahāyakiccaṃ akāsi. Evaṃ tattha tattha bhave bahuṃ kusalaṃ upacinitvā sugatīsuyeva saṃsaranto imasmiṃ buddhuppāde kururaṭṭhe thullakoṭṭhikanigame raṭṭhapālaseṭṭhino gehe nibbatti, tassa bhinnaṃ raṭṭhaṃ sandhāretuṃ samatthakule nibbattattā raṭṭhapāloti vaṃsānugatameva nāmaṃ ahosi. So mahatā parivārena vaḍḍhanto anukkamena yobbanappatto mātāpitūhi patirūpena dārena saṃyojito mahante ca yase patiṭṭhāpito dibbasampattisadisasampattiṃ paccanubhoti.

    อถ ภควา กุรุรเฎฺฐ ชนปทจาริกํ จรโนฺต ถุลฺลโกฎฺฐิกํ อนุปาปุณิฯ ตํ สุตฺวา รฎฺฐปาโล กุลปุโตฺต สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา สตฺถุ สนฺติเก ธมฺมํ สุตฺวา ปฎิลทฺธสโทฺธ ปพฺพชิตุกาโม สตฺตาหํ ภตฺตเจฺฉทํ กตฺวา กิเจฺฉน กสิเรน มาตาปิตโร อนุชานาเปตฺวา สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา ปพฺพชฺชํ ยาจิตฺวา สตฺถุ อาณตฺติยา อญฺญตรสฺส สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา โยนิโสมนสิกาเรน กมฺมํ กโรโนฺต วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิฯ อรหตฺตํ ปน ปตฺวา สตฺถารํ อนุชานาเปตฺวา มาตาปิตโร ปสฺสิตุํ ถุลฺลโกฎฺฐิกํ คนฺตฺวา ตตฺถ สปทานํ ปิณฺฑาย จรโนฺต ปิตุ นิเวสเน อาภิโทสิกํ กุมฺมาสํ ลภิตฺวา ตํ อมตํ วิย ปริภุญฺชโนฺต ปิตรา นิมนฺติโต สฺวาตนาย อธิวาเสตฺวา ทุติยทิวเส ปิตุ นิเวสเน ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชิตฺวา อลงฺกตปฎิยเตฺต อิตฺถาคารชเน อุปคนฺตฺวา ‘‘กีทิสา นาม ตา, อยฺยปุตฺต, อจฺฉราโย, ยาสํ ตฺวํ เหตุ พฺรหฺมจริยํ จรสี’’ติอาทีนิ (ม. นิ. ๒.๓๐๑) วตฺวา ปโลภนกมฺมํ กาตุํ อารเทฺธ ตสฺสาธิปฺปายํ วิปริวเตฺตตฺวา อนิจฺจตาทิปฎิสํยุตฺตํ ธมฺมํ กเถโนฺต –

    Atha bhagavā kururaṭṭhe janapadacārikaṃ caranto thullakoṭṭhikaṃ anupāpuṇi. Taṃ sutvā raṭṭhapālo kulaputto satthāraṃ upasaṅkamitvā satthu santike dhammaṃ sutvā paṭiladdhasaddho pabbajitukāmo sattāhaṃ bhattacchedaṃ katvā kicchena kasirena mātāpitaro anujānāpetvā satthāraṃ upasaṅkamitvā pabbajjaṃ yācitvā satthu āṇattiyā aññatarassa santike pabbajitvā yonisomanasikārena kammaṃ karonto vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ pāpuṇi. Arahattaṃ pana patvā satthāraṃ anujānāpetvā mātāpitaro passituṃ thullakoṭṭhikaṃ gantvā tattha sapadānaṃ piṇḍāya caranto pitu nivesane ābhidosikaṃ kummāsaṃ labhitvā taṃ amataṃ viya paribhuñjanto pitarā nimantito svātanāya adhivāsetvā dutiyadivase pitu nivesane piṇḍapātaṃ paribhuñjitvā alaṅkatapaṭiyatte itthāgārajane upagantvā ‘‘kīdisā nāma tā, ayyaputta, accharāyo, yāsaṃ tvaṃ hetu brahmacariyaṃ carasī’’tiādīni (ma. ni. 2.301) vatvā palobhanakammaṃ kātuṃ āraddhe tassādhippāyaṃ viparivattetvā aniccatādipaṭisaṃyuttaṃ dhammaṃ kathento –

    ‘‘ปสฺส จิตฺตกตํ พิมฺพํ, อรุกายํ สมุสฺสิตํ;

    ‘‘Passa cittakataṃ bimbaṃ, arukāyaṃ samussitaṃ;

    อาตุรํ พหุสงฺกปฺปํ, ยสฺส นตฺถิ ธุวํ ฐิติฯ

    Āturaṃ bahusaṅkappaṃ, yassa natthi dhuvaṃ ṭhiti.

    ‘‘ปสฺส จิตฺตกตํ รูปํ, มณินา กุณฺฑเลน จ;

    ‘‘Passa cittakataṃ rūpaṃ, maṇinā kuṇḍalena ca;

    อฎฺฐิํ ตเจน โอนทฺธํ, สห วเตฺถหิ โสภติฯ

    Aṭṭhiṃ tacena onaddhaṃ, saha vatthehi sobhati.

    ‘‘อลตฺตกกตา ปาทา, มุขํ จุณฺณกมกฺขิตํ;

    ‘‘Alattakakatā pādā, mukhaṃ cuṇṇakamakkhitaṃ;

    อลํ พาลสฺส โมหาย, โน จ ปารคเวสิโนฯ

    Alaṃ bālassa mohāya, no ca pāragavesino.

    ‘‘อฎฺฐาปทกตา เกสา, เนตฺตา อญฺชนมกฺขิตา;

    ‘‘Aṭṭhāpadakatā kesā, nettā añjanamakkhitā;

    อลํ พาลสฺส โมหาย, โน จ ปารคเวสิโนฯ

    Alaṃ bālassa mohāya, no ca pāragavesino.

    ‘‘อญฺชนีว นวา จิตฺตา, ปูติกาโย อลงฺกโต;

    ‘‘Añjanīva navā cittā, pūtikāyo alaṅkato;

    อลํ พาลสฺส โมหาย, โน จ ปารคเวสิโนฯ

    Alaṃ bālassa mohāya, no ca pāragavesino.

    ‘‘โอทหิ มิคโว ปาสํ, นาสทา วาคุรํ มิโค;

    ‘‘Odahi migavo pāsaṃ, nāsadā vāguraṃ migo;

    ภุตฺวา นิวาปํ คจฺฉาม, กนฺทเนฺต มิคพนฺธเกฯ

    Bhutvā nivāpaṃ gacchāma, kandante migabandhake.

    ‘‘ฉิโนฺน ปาโส มิควสฺส, นาสทา วาคุรํ มิโค;

    ‘‘Chinno pāso migavassa, nāsadā vāguraṃ migo;

    ภุตฺวา นิวาปํ คจฺฉาม, โสจเนฺต มิคลุทฺทเก’’ติฯ (ม. นิ. ๒.๓๐๒; เถรคา. ๗๖๙-๗๗๕);

    Bhutvā nivāpaṃ gacchāma, socante migaluddake’’ti. (ma. ni. 2.302; theragā. 769-775);

    อิมา คาถาโย อภาสิฯ อิมา คาถา วตฺวา เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา รโญฺญ โกรพฺยสฺส มิคาชินวนุยฺยาเน มงฺคลสิลาปเฎฺฎ นิสีทิฯ เถรสฺส กิร ปิตา สตฺตสุ ทฺวารโกฎฺฐเกสุ อคฺคฬํ ทาเปตฺวา มเลฺล อาณาเปสิ ‘‘นิกฺขมิตุํ มา เทถ, กาสายานิ อปเนตฺวา เสตกานิ นิวาสาเปถา’’ติฯ ตสฺมา เถโร อากาเสน อคมาสิฯ อถ ราชา โกรโพฺย เถรสฺส ตตฺถ นิสินฺนภาวํ สุตฺวา ตํ อุปสงฺกมิตฺวา สโมฺมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา ‘‘อิธ, โภ รฎฺฐปาล, ปพฺพชโนฺต พฺยาธิปาริชุญฺญํ วา ชราโภคญาติปาริชุญฺญํ วา ปโตฺต ปพฺพชติ, ตฺวํ ปน กิญฺจิปิ ปาริชุญฺญํ อนุปคโต เอว กสฺมา ปพฺพชสี’’ติ ปุจฺฉิฯ อถสฺส เถโร ‘‘อุปนิยฺยติ โลโก อทฺธุโว, อตาโณ โลโก อนภิสฺสโร, อสรโณ โลโก สพฺพํ ปหาย คมนียํ, อูโน โลโก อติโตฺต ตณฺหาทาโส’’ติ (ม. นิ. ๒.๓๐๕) อิเมสํ จตุนฺนํ ธมฺมุเทฺทสานํ อตฺตนา วิทิตภาวํ กเถตฺวา ตสฺสา เทสนาย อนุคีติํ กเถโนฺต –

    Imā gāthāyo abhāsi. Imā gāthā vatvā vehāsaṃ abbhuggantvā rañño korabyassa migājinavanuyyāne maṅgalasilāpaṭṭe nisīdi. Therassa kira pitā sattasu dvārakoṭṭhakesu aggaḷaṃ dāpetvā malle āṇāpesi ‘‘nikkhamituṃ mā detha, kāsāyāni apanetvā setakāni nivāsāpethā’’ti. Tasmā thero ākāsena agamāsi. Atha rājā korabyo therassa tattha nisinnabhāvaṃ sutvā taṃ upasaṅkamitvā sammodanīyaṃ kathaṃ sāraṇīyaṃ vītisāretvā ‘‘idha, bho raṭṭhapāla, pabbajanto byādhipārijuññaṃ vā jarābhogañātipārijuññaṃ vā patto pabbajati, tvaṃ pana kiñcipi pārijuññaṃ anupagato eva kasmā pabbajasī’’ti pucchi. Athassa thero ‘‘upaniyyati loko addhuvo, atāṇo loko anabhissaro, asaraṇo loko sabbaṃ pahāya gamanīyaṃ, ūno loko atitto taṇhādāso’’ti (ma. ni. 2.305) imesaṃ catunnaṃ dhammuddesānaṃ attanā viditabhāvaṃ kathetvā tassā desanāya anugītiṃ kathento –

    ‘‘ปสฺสามิ โลเก สธเน มนุเสฺส, ลทฺธาน วิตฺตํ น ททนฺติ โมหา;

    ‘‘Passāmi loke sadhane manusse, laddhāna vittaṃ na dadanti mohā;

    ลุทฺธา ธนํ สนฺนิจยํ กโรนฺติ, ภิโยฺยว กาเม อภิปตฺถยนฺติฯ

    Luddhā dhanaṃ sannicayaṃ karonti, bhiyyova kāme abhipatthayanti.

    ‘‘ราชา ปสยฺหปฺปถวิํ วิเชตฺวา, สสาครนฺตํ มหิมาวสโนฺต;

    ‘‘Rājā pasayhappathaviṃ vijetvā, sasāgarantaṃ mahimāvasanto;

    โอรํ สมุทฺทสฺส อติตฺตรูโป, ปารํ สมุทฺทสฺสปิ ปตฺถเยถฯ

    Oraṃ samuddassa atittarūpo, pāraṃ samuddassapi patthayetha.

    ‘‘ราชา จ อเญฺญ จ พหู มนุสฺสา, อวีตตณฺหา มรณํ อุเปนฺติ;

    ‘‘Rājā ca aññe ca bahū manussā, avītataṇhā maraṇaṃ upenti;

    อูนาว หุตฺวาน ชหนฺติ เทหํ, กาเมหิ โลกมฺหิ น หตฺถิ ติตฺติฯ

    Ūnāva hutvāna jahanti dehaṃ, kāmehi lokamhi na hatthi titti.

    ‘‘กนฺทนฺติ นํ ญาตี ปกิริย เกเส, ‘อโห วตา โน อมรา’ติ จาหุ;

    ‘‘Kandanti naṃ ñātī pakiriya kese, ‘aho vatā no amarā’ti cāhu;

    วเตฺถน นํ ปารุตํ นีหริตฺวา, จิตํ สโมธาย ตโต ฑหนฺติฯ

    Vatthena naṃ pārutaṃ nīharitvā, citaṃ samodhāya tato ḍahanti.

    ‘‘โส ฑยฺหติ สูเลหิ ตุชฺชมาโน, เอเกน วเตฺถน ปหาย โภเค;

    ‘‘So ḍayhati sūlehi tujjamāno, ekena vatthena pahāya bhoge;

    น มียมานสฺส ภวนฺติ ตาณา, ญาตี จ มิตฺตา อถ วา สหายาฯ

    Na mīyamānassa bhavanti tāṇā, ñātī ca mittā atha vā sahāyā.

    ‘‘ทายาทกา ตสฺส ธนํ หรนฺติ, สโตฺต ปน คจฺฉติ เยน กมฺมํ;

    ‘‘Dāyādakā tassa dhanaṃ haranti, satto pana gacchati yena kammaṃ;

    น มียมานํ ธนมเนฺวติ กิญฺจิ, ปุตฺตา จ ทารา จ ธนญฺจ รฎฺฐํฯ

    Na mīyamānaṃ dhanamanveti kiñci, puttā ca dārā ca dhanañca raṭṭhaṃ.

    ‘‘น ทีฆมายุํ ลภเต ธเนน, น จาปิ วิเตฺตน ชรํ วิหนฺติ;

    ‘‘Na dīghamāyuṃ labhate dhanena, na cāpi vittena jaraṃ vihanti;

    อปฺปํ หิทํ ชีวิตมาหุ ธีรา, อสสฺสตํ วิปฺปริณามธมฺมํฯ

    Appaṃ hidaṃ jīvitamāhu dhīrā, asassataṃ vippariṇāmadhammaṃ.

    ‘‘อฑฺฒา ทลิทฺทา จ ผุสนฺติ ผสฺสํ, พาโล จ ธีโร จ ตเถว ผุโฎฺฐ;

    ‘‘Aḍḍhā daliddā ca phusanti phassaṃ, bālo ca dhīro ca tatheva phuṭṭho;

    พาโล หิ พาลฺยา วธิโตว เสติ, ธีโร จ โน เวธติ ผสฺสผุโฎฺฐฯ

    Bālo hi bālyā vadhitova seti, dhīro ca no vedhati phassaphuṭṭho.

    ‘‘ตสฺมา หิ ปญฺญาว ธเนน เสยฺยา, ยาย โวสานมิธาธิคจฺฉติ;

    ‘‘Tasmā hi paññāva dhanena seyyā, yāya vosānamidhādhigacchati;

    อโพฺยสิตตฺตา หิ ภวาภเวสุ, ปาปานิ กมฺมานิ กโรติ โมหาฯ

    Abyositattā hi bhavābhavesu, pāpāni kammāni karoti mohā.

    ‘‘อุเปติ คพฺภญฺจ ปรญฺจ โลกํ, สํสารมาปชฺชปรมฺปราย;

    ‘‘Upeti gabbhañca parañca lokaṃ, saṃsāramāpajjaparamparāya;

    ตสฺสปฺปปโญฺญ อภิสทฺทหโนฺต, อุเปติ คพฺภญฺจ ปรญฺจ โลกํฯ

    Tassappapañño abhisaddahanto, upeti gabbhañca parañca lokaṃ.

    ‘‘โจโร ยถา สนฺธิมุเข คหีโต, สกมฺมุนา หญฺญติ ปาปธโมฺม;

    ‘‘Coro yathā sandhimukhe gahīto, sakammunā haññati pāpadhammo;

    เอวํ ปชา เปจฺจ ปรมฺหิ โลเก, สกมฺมุนา หญฺญติ ปาปธโมฺมฯ

    Evaṃ pajā pecca paramhi loke, sakammunā haññati pāpadhammo.

    ‘‘กามา หิ จิตฺรา มธุรา มโนรมา, วิรูปรูเปน มเถนฺติ จิตฺตํ;

    ‘‘Kāmā hi citrā madhurā manoramā, virūparūpena mathenti cittaṃ;

    อาทีนวํ กามคุเณสุ ทิสฺวา, ตสฺมา อหํ ปพฺพชิโตมฺหิ ราชฯ

    Ādīnavaṃ kāmaguṇesu disvā, tasmā ahaṃ pabbajitomhi rāja.

    ‘‘ทุมปฺผลานีว ปตนฺติ มาณวา, ทหรา จ วุฑฺฒา จ สรีรเภทา;

    ‘‘Dumapphalānīva patanti māṇavā, daharā ca vuḍḍhā ca sarīrabhedā;

    เอตมฺปิ ทิสฺวาน ปพฺพชิโตมฺหิ ราช, อปณฺณกํ สามญฺญเมว เสโยฺยฯ

    Etampi disvāna pabbajitomhi rāja, apaṇṇakaṃ sāmaññameva seyyo.

    ‘‘สทฺธายาหํ ปพฺพชิโต, อุเปโต ชินสาสเน;

    ‘‘Saddhāyāhaṃ pabbajito, upeto jinasāsane;

    อวญฺฌา มยฺหํ ปพฺพชฺชา, อนโณ ภุญฺชามิ โภชนํฯ

    Avañjhā mayhaṃ pabbajjā, anaṇo bhuñjāmi bhojanaṃ.

    ‘‘กาเม อาทิตฺตโต ทิสฺวา, ชาตรูปานิ สตฺถโต;

    ‘‘Kāme ādittato disvā, jātarūpāni satthato;

    คพฺภาโวกฺกนฺติโต ทุกฺขํ, นิรเยสุ มหพฺภยํฯ

    Gabbhāvokkantito dukkhaṃ, nirayesu mahabbhayaṃ.

    ‘‘เอตมาทีนวํ ญตฺวา, สํเวคํ อลภิํ ตทา;

    ‘‘Etamādīnavaṃ ñatvā, saṃvegaṃ alabhiṃ tadā;

    โสหํ วิโทฺธ ตทา สโนฺต, สมฺปโตฺต อาสวกฺขยํฯ

    Sohaṃ viddho tadā santo, sampatto āsavakkhayaṃ.

    ‘‘ปริจิโณฺณ มยา สตฺถา, กตํ พุทฺธสฺส สาสนํ;

    ‘‘Pariciṇṇo mayā satthā, kataṃ buddhassa sāsanaṃ;

    โอหิโต ครุโก ภาโร, ภวเนตฺติ สมูหตาฯ

    Ohito garuko bhāro, bhavanetti samūhatā.

    ‘‘ยสฺสตฺถาย ปพฺพชิโต, อคารสฺมานคาริยํ;

    ‘‘Yassatthāya pabbajito, agārasmānagāriyaṃ;

    โส เม อโตฺถ อนุปฺปโตฺต, สพฺพสํโยชนกฺขโย’’ติฯ (เถรคา. ๗๗๖-๗๙๓) –

    So me attho anuppatto, sabbasaṃyojanakkhayo’’ti. (theragā. 776-793) –

    อิมา คาถา อโวจฯ เอวํ เถโร รโญฺญ โกรพฺยสฺส ธมฺมํ เทเสตฺวา สตฺถุ สนฺติกเมว คโตฯ สตฺถา จ อปรภาเค อริยคณมเชฺฌ นิสิโนฺน เถรํ สทฺธาปพฺพชิตานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสิฯ

    Imā gāthā avoca. Evaṃ thero rañño korabyassa dhammaṃ desetvā satthu santikameva gato. Satthā ca aparabhāge ariyagaṇamajjhe nisinno theraṃ saddhāpabbajitānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesi.

    ๙๗-๘. เอวํ โส เถโร ปตฺตเอตทคฺคฎฺฐาโน ปุพฺพกมฺมํ สริตฺวา โสมนสฺสชาโต ปุพฺพจริตาปทานํ ปกาเสโนฺต ปทุมุตฺตรสฺส ภควโตติอาทิมาหฯ วรนาโค มยา ทิโนฺนติ ตสฺส ภควโต รูปกาเย ปสีทิตฺวา วโร อุตฺตโม เสโฎฺฐ อีสาทโนฺต รถีสาสทิสทโนฺต อุรูฬฺหวา ภารวโห ราชารโห วาฯ เสตจฺฉโตฺตปโสภิโตติ หตฺถิกฺขเนฺธ อุสฺสาปิตเสตจฺฉเตฺตน อุปเสวิโต โสภมาโนฯ ปุนปิ กิํ วิสิโฎฺฐ วรนาโค? สกปฺปโน หตฺถาลงฺการสหิโตฯ สงฺฆารามํ พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส วสนตฺถาย อารามํ วิหารํ อการยิํ กาเรสิํฯ

    97-8. Evaṃ so thero pattaetadaggaṭṭhāno pubbakammaṃ saritvā somanassajāto pubbacaritāpadānaṃ pakāsento padumuttarassa bhagavatotiādimāha. Varanāgo mayā dinnoti tassa bhagavato rūpakāye pasīditvā varo uttamo seṭṭho īsādanto rathīsāsadisadanto urūḷhavā bhāravaho rājāraho vā. Setacchattopasobhitoti hatthikkhandhe ussāpitasetacchattena upasevito sobhamāno. Punapi kiṃ visiṭṭho varanāgo? Sakappano hatthālaṅkārasahito. Saṅghārāmaṃ buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa vasanatthāya ārāmaṃ vihāraṃ akārayiṃ kāresiṃ.

    ๙๙. จตุปญฺญาสสหสฺสานีติ ตสฺมิํ การาปิเต วิหารพฺภนฺตเร จตุปญฺญาสสหสฺสานิ ปาสาทานิ จ อหํ อการยิํ กาเรสินฺติ อโตฺถฯ มโหฆทานํ กริตฺวานาติ สพฺพปริกฺขารสหิตํ มโหฆสทิสํ มหาทานํ สเชฺชตฺวา มเหสิโน มุนิโน นิยฺยาเทสินฺติ อโตฺถฯ

    99.Catupaññāsasahassānīti tasmiṃ kārāpite vihārabbhantare catupaññāsasahassāni pāsādāni ca ahaṃ akārayiṃ kāresinti attho. Mahoghadānaṃ karitvānāti sabbaparikkhārasahitaṃ mahoghasadisaṃ mahādānaṃ sajjetvā mahesino munino niyyādesinti attho.

    ๑๐๐. อนุโมทิ มหาวีโรติ จตุราสเงฺขฺยยฺยสตสหเสฺสสุ กเปฺปสุ อโพฺพจฺฉินฺนอุสฺสาหสงฺขาเตน วีริเยน มหาวีโร สยมฺภู สยเมว ภูโต ชาโต ลทฺธสพฺพญฺญุตญฺญาโณ อโคฺค เสโฎฺฐ ปุคฺคโล อนุโมทิ วิหารานุโมทนํ อกาสิฯ สเพฺพ ชเน หาสยโนฺตติ สกลานนฺตาปริมาเณ เทวมนุเสฺส หาสยโนฺต สนฺตุเฎฺฐ กุรุมาโน อมตนิพฺพานปฎิสํยุตฺตํ จตุสจฺจธมฺมเทสนํ เทเสสิ ปกาเสสิ วิวริ วิภชิ อุตฺตานี อกาสีติ อโตฺถฯ

    100.Anumodi mahāvīroti caturāsaṅkhyeyyasatasahassesu kappesu abbocchinnaussāhasaṅkhātena vīriyena mahāvīro sayambhū sayameva bhūto jāto laddhasabbaññutaññāṇo aggo seṭṭho puggalo anumodi vihārānumodanaṃ akāsi. Sabbe jane hāsayantoti sakalānantāparimāṇe devamanusse hāsayanto santuṭṭhe kurumāno amatanibbānapaṭisaṃyuttaṃ catusaccadhammadesanaṃ desesi pakāsesi vivari vibhaji uttānī akāsīti attho.

    ๑๐๑. ตํ เม วิยากาสีติ ตํ มยฺหํ กตปุญฺญํ พลํ วิเสเสน ปากฎํ อกาสิฯ ชลชุตฺตมนามโกติ ชเล ชาตํ ชลชํ ปทุมํ, ปทุมุตฺตรนามโกติ อโตฺถฯ ‘‘ชลนุตฺตมนายโก’’ติปิ ปาโฐฯ ตตฺถ อตฺตโน ปภาย ชลนฺตีติ ชลนา, จนฺทิมสูริยเทวพฺรหฺมาโน, เตสํ ชลนานํ อุตฺตโมติ ชลนุตฺตโมฯ สพฺพสตฺตานํ นายโก อุตฺตโมติ นายโก, สมฺภารวเนฺต สเตฺต นิพฺพานํ เนติ ปาเปตีติ วา นายโก, ชลนุตฺตโม จ โส นายโก จาติ ชลนุตฺตมนายโกฯ ภิกฺขุสเงฺฆ นิสีทิตฺวาติ ภิกฺขุสงฺฆสฺส มเชฺฌ นิสิโนฺน อิมา คาถา อภาสถ ปากฎํ กตฺวา กเถสีติ อโตฺถฯ เสสํ อุตฺตานตฺถเมวาติฯ

    101.Taṃme viyākāsīti taṃ mayhaṃ katapuññaṃ balaṃ visesena pākaṭaṃ akāsi. Jalajuttamanāmakoti jale jātaṃ jalajaṃ padumaṃ, padumuttaranāmakoti attho. ‘‘Jalanuttamanāyako’’tipi pāṭho. Tattha attano pabhāya jalantīti jalanā, candimasūriyadevabrahmāno, tesaṃ jalanānaṃ uttamoti jalanuttamo. Sabbasattānaṃ nāyako uttamoti nāyako, sambhāravante satte nibbānaṃ neti pāpetīti vā nāyako, jalanuttamo ca so nāyako cāti jalanuttamanāyako. Bhikkhusaṅghe nisīditvāti bhikkhusaṅghassa majjhe nisinno imā gāthā abhāsatha pākaṭaṃ katvā kathesīti attho. Sesaṃ uttānatthamevāti.

    รฎฺฐปาลเตฺถรอปทานวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Raṭṭhapālattheraapadānavaṇṇanā samattā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อปทานปาฬิ • Apadānapāḷi / ๘. รฎฺฐปาลเตฺถรอปทานํ • 8. Raṭṭhapālattheraapadānaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact