Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / พุทฺธวํส-อฎฺฐกถา • Buddhavaṃsa-aṭṭhakathā |
๗. เรวตพุทฺธวํสวณฺณนา
7. Revatabuddhavaṃsavaṇṇanā
สุมนสฺส ปน ภควโต อปรภาเค สาสเน จสฺส อนฺตรหิเต นวุติวสฺสสหสฺสายุกา มนุสฺสา อนุกฺกเมน ปริหายิตฺวา ทสวสฺสายุกา หุตฺวา ปุน อนุกฺกเมน วฑฺฒิตฺวา อสเงฺขฺยยฺยายุกา หุตฺวา ปุน ปริหายมานา สฎฺฐิวสฺสสหสฺสายุกา อเหสุํฯ ตทา เรวโต นาม สตฺถา อุทปาทิฯ โสปิ ปารมิโย ปูเรตฺวา อเนกรตนสมุชฺชลิตภวเน ตุสิตภวเน นิพฺพตฺติตฺวา ตโต จวิตฺวา สพฺพธนธญฺญวติสุธญฺญวตีนคเร สพฺพาลงฺการสมลงฺกตอมิตรุจิรปริวารปริวุตสฺส สิริวิภวสมุทเยนากุลสฺส สพฺพสมิทฺธิวิปุลสฺส วิปุลสฺส นาม รโญฺญ กุเล สพฺพชนนยนาลิปาลิสมากุลาย สมฺผุลฺลนยนกุวลยสสฺสิริกสินิทฺธวทนกมลากรโสภาสมุชฺชลาย สุรุจิรมโนหรคุณคณวิปุลาย วิปุลาย นาม อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิสฺมิํ ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา ทสนฺนํ มาสานํ อจฺจเยน จิตฺตกูฎปพฺพตโต สุวณฺณหํสราชา วิย มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขมิฯ
Sumanassa pana bhagavato aparabhāge sāsane cassa antarahite navutivassasahassāyukā manussā anukkamena parihāyitvā dasavassāyukā hutvā puna anukkamena vaḍḍhitvā asaṅkhyeyyāyukā hutvā puna parihāyamānā saṭṭhivassasahassāyukā ahesuṃ. Tadā revato nāma satthā udapādi. Sopi pāramiyo pūretvā anekaratanasamujjalitabhavane tusitabhavane nibbattitvā tato cavitvā sabbadhanadhaññavatisudhaññavatīnagare sabbālaṅkārasamalaṅkataamitaruciraparivāraparivutassa sirivibhavasamudayenākulassa sabbasamiddhivipulassa vipulassa nāma rañño kule sabbajananayanālipālisamākulāya samphullanayanakuvalayasassirikasiniddhavadanakamalākarasobhāsamujjalāya suruciramanoharaguṇagaṇavipulāya vipulāya nāma aggamahesiyā kucchismiṃ paṭisandhiṃ gahetvā dasannaṃ māsānaṃ accayena cittakūṭapabbatato suvaṇṇahaṃsarājā viya mātukucchito nikkhami.
ตสฺส ปฎิสนฺธิยํ ชาติยญฺจ ปาฎิหาริยานิ ปุเพฺพ วุตฺตนยาเนว อเหสุํฯ สุทสฺสนรตนคฺฆิอาเวฬนามกา ตโย จสฺส ปาสาทา อเหสุํฯ สุทสฺสนาเทวิปฺปมุขานิ เตตฺติํส อิตฺถิสหสฺสานิ ปจฺจุปฎฺฐิตานิ อเหสุํฯ ตาหิ ปริวุโต โส สุรยุวตีหิ ปริวุโต เทวกุมาโร วิย ฉพฺพสฺสสหสฺสานิ วิสยสุขมนุภวมาโน อคารํ อชฺฌาวสิฯ โส สุทสฺสนาย นาม เทวิยา วรุเณ นาม ตนเย ชาเต จตฺตาริ นิมิตฺตานิ ทิสฺวา นานาวิราคตนุวรวสนนิวสโน อามุกฺกมุตฺตาหารมณิกุณฺฑโล วรเกยูรมกุฎกฎกธโร ปรมสุรภิคนฺธกุสุมสมลงฺกโต ปรมรุจิรกรนิกโร สรทสมยรชนิกโร วิย ตาราคณปริวุโต วิย จโนฺท ติทสคณปริวุโต วิย ทสสตนยโน พฺรหฺมคณปริวุโต วิย จ หาริตมหาพฺรหฺมา จตุรงฺคินิยา มหติยา เสนาย ปริวุโต อาชญฺญรเถน มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขมิตฺวา สพฺพาภรณานิ โอมุญฺจิตฺวา ภณฺฑาคาริกสฺส หเตฺถ ทตฺวา ชลชามลาวิกลนีลกุวลยทลสทิเสนาตินิสิเตนาติติขิเณนาสินา สเกสมกุฎํ ฉินฺทิตฺวา อากาเส ขิปิฯ ตํ สโกฺก เทวราชา สุวณฺณจโงฺกฎเกน ปฎิคฺคเหตฺวา ตาวติํสภวนํ เนตฺวา สิเนรุมุทฺธนิ สตฺตรตนมยํ เจติยํ อกาสิฯ
Tassa paṭisandhiyaṃ jātiyañca pāṭihāriyāni pubbe vuttanayāneva ahesuṃ. Sudassanaratanagghiāveḷanāmakā tayo cassa pāsādā ahesuṃ. Sudassanādevippamukhāni tettiṃsa itthisahassāni paccupaṭṭhitāni ahesuṃ. Tāhi parivuto so surayuvatīhi parivuto devakumāro viya chabbassasahassāni visayasukhamanubhavamāno agāraṃ ajjhāvasi. So sudassanāya nāma deviyā varuṇe nāma tanaye jāte cattāri nimittāni disvā nānāvirāgatanuvaravasananivasano āmukkamuttāhāramaṇikuṇḍalo varakeyūramakuṭakaṭakadharo paramasurabhigandhakusumasamalaṅkato paramarucirakaranikaro saradasamayarajanikaro viya tārāgaṇaparivuto viya cando tidasagaṇaparivuto viya dasasatanayano brahmagaṇaparivuto viya ca hāritamahābrahmā caturaṅginiyā mahatiyā senāya parivuto ājaññarathena mahābhinikkhamanaṃ nikkhamitvā sabbābharaṇāni omuñcitvā bhaṇḍāgārikassa hatthe datvā jalajāmalāvikalanīlakuvalayadalasadisenātinisitenātitikhiṇenāsinā sakesamakuṭaṃ chinditvā ākāse khipi. Taṃ sakko devarājā suvaṇṇacaṅkoṭakena paṭiggahetvā tāvatiṃsabhavanaṃ netvā sinerumuddhani sattaratanamayaṃ cetiyaṃ akāsi.
มหาปุริโส ปน เทวทตฺตานิ กาสายานิ ปริทหิตฺวา ปพฺพชิ, เอกา จ นํ ปุริสโกฎิ อนุปพฺพชิฯ โส เตหิ ปริวุโต สตฺตมาเส ปธานจริยํ จริตฺวา วิสาขปุณฺณมาย อญฺญตราย สาธุเทวิยา นาม เสฎฺฐิธีตาย ทินฺนํ มธุปายาสํ ปริภุญฺชิตฺวา สาลวเน ทิวาวิหารํ วีตินาเมตฺวา สายนฺหสมเย อญฺญตเรนาชีวเกน ทินฺนา อฎฺฐ ติณมุฎฺฐิโย คเหตฺวา มตฺตวรนาคคามี นาคโพธิํ ปทกฺขิณํ กตฺวา เตปณฺณาสหตฺถวิตฺถตํ ติณสนฺถรํ สนฺถริตฺวา จตุรงฺควีริยํ อธิฎฺฐาย นิสีทิตฺวา มารพลํ วิธมิตฺวา สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ปฎิวิชฺฌิตฺวา – ‘‘อเนกชาติสํสารํ…เป.… ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา’’ติ (ธ. ป. ๑๕๓-๑๕๔) อุทานํ อุทาเนสิฯ เตน วุตฺตํ –
Mahāpuriso pana devadattāni kāsāyāni paridahitvā pabbaji, ekā ca naṃ purisakoṭi anupabbaji. So tehi parivuto sattamāse padhānacariyaṃ caritvā visākhapuṇṇamāya aññatarāya sādhudeviyā nāma seṭṭhidhītāya dinnaṃ madhupāyāsaṃ paribhuñjitvā sālavane divāvihāraṃ vītināmetvā sāyanhasamaye aññatarenājīvakena dinnā aṭṭha tiṇamuṭṭhiyo gahetvā mattavaranāgagāmī nāgabodhiṃ padakkhiṇaṃ katvā tepaṇṇāsahatthavitthataṃ tiṇasantharaṃ santharitvā caturaṅgavīriyaṃ adhiṭṭhāya nisīditvā mārabalaṃ vidhamitvā sabbaññutaññāṇaṃ paṭivijjhitvā – ‘‘anekajātisaṃsāraṃ…pe… taṇhānaṃ khayamajjhagā’’ti (dha. pa. 153-154) udānaṃ udānesi. Tena vuttaṃ –
๑.
1.
‘‘สุมนสฺส อปเรน, เรวโต นาม นายโก;
‘‘Sumanassa aparena, revato nāma nāyako;
อนุปโม อสทิโส, อตุโล อุตฺตโม ชิโน’’ติฯ
Anupamo asadiso, atulo uttamo jino’’ti.
เรวโต กิร สตฺถา โพธิสมีเปเยว สตฺตสตฺตาหานิ วีตินาเมตฺวา ธมฺมเทสนตฺถํ พฺรหฺมายาจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา – ‘‘กสฺส นุ โข อหํ ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺย’’นฺติ (ที. นิ. ๒.๗๒; ม. นิ. ๑.๒๘๔; ๒.๓๔๑; มหาว. ๑๐) อุปธาเรโนฺต อตฺตนา สห ปพฺพชิตภิกฺขุโกฎิโย อเญฺญ จ พหู เทวมนุเสฺส อุปนิสฺสยสมฺปเนฺน ทิสฺวา อากาเสน คนฺตฺวา วรุณาราเม โอตริตฺวา เตหิ ปริวุโต คมฺภีรํ นิปุณํ ติปริวฎฺฎํ อปฺปฎิวตฺติยํ อเญฺญน อนุตฺตรํ ธมฺมจกฺกํ ปวเตฺตตฺวา ภิกฺขูนํ โกฎิ อรหเตฺต ปติฎฺฐาเปสิฯ ตีสุ มคฺคผเลสุ ปติฎฺฐิตานํ คณนปริเจฺฉโท นตฺถิฯ เตน วุตฺตํ –
Revato kira satthā bodhisamīpeyeva sattasattāhāni vītināmetvā dhammadesanatthaṃ brahmāyācanaṃ sampaṭicchitvā – ‘‘kassa nu kho ahaṃ paṭhamaṃ dhammaṃ deseyya’’nti (dī. ni. 2.72; ma. ni. 1.284; 2.341; mahāva. 10) upadhārento attanā saha pabbajitabhikkhukoṭiyo aññe ca bahū devamanusse upanissayasampanne disvā ākāsena gantvā varuṇārāme otaritvā tehi parivuto gambhīraṃ nipuṇaṃ tiparivaṭṭaṃ appaṭivattiyaṃ aññena anuttaraṃ dhammacakkaṃ pavattetvā bhikkhūnaṃ koṭi arahatte patiṭṭhāpesi. Tīsu maggaphalesu patiṭṭhitānaṃ gaṇanaparicchedo natthi. Tena vuttaṃ –
๒.
2.
‘‘โสปิ ธมฺมํ ปกาเสสิ, พฺรหฺมุนา อภิยาจิโต;
‘‘Sopi dhammaṃ pakāsesi, brahmunā abhiyācito;
ขนฺธธาตุววตฺถานํ, อปฺปวตฺตํ ภวาภเว’’ติฯ
Khandhadhātuvavatthānaṃ, appavattaṃ bhavābhave’’ti.
ตตฺถ ขนฺธธาตุววตฺถานนฺติ ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํ อฎฺฐารสนฺนํ ธาตูนํ นามรูปววตฺถานาทิวเสน วิภาคกรณํฯ สภาวลกฺขณสามญฺญลกฺขณาทิวเสน รูปารูปธมฺมปริคฺคโห ขนฺธธาตุววตฺถานํ นามฯ อถ วา เผณปิณฺฑูปมํ รูปํ ปริมทฺทนาสหนโต ฉิทฺทาวฉิทฺทาทิภาวโต จ อุทกปุพฺพุฬกํ วิย เวทนา มุหุตฺตรมณียภาวโต, มรีจิกา วิย สญฺญา วิปฺปลมฺภนโต, กทลิกฺขโนฺธ วิย สงฺขารา อสารกโต, มายา วิย วิญฺญาณํ วญฺจนกโต’’ติ เอวมาทินาปิ นเยน อนิจฺจานุปสฺสนาทิวเสนปิ ขนฺธธาตุววตฺถานํ เวทิตพฺพํ (วิภ. อฎฺฐ. ๒๖ กมาทิวินิจฺฉยกถา)ฯ อปฺปวตฺตํ ภวาภเวติ เอตฺถ ภโวติ วฑฺฒิ, อภโวติ หานิฯ ภโวติ สสฺสตทิฎฺฐิ , อภโวติ อุเจฺฉททิฎฺฐิฯ ภโวติ ขุทฺทกภโว, อภโวติ มหาภโวฯ ภโวติ กามภโว, อภโวติ รูปารูปภโวติ เอวมาทินา นเยน ภวาภวานํ อโตฺถ เวทิตโพฺพ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๒.๒๒๓; สํ. นิ. อฎฺฐ. ๓.๕.๑๐๘๐; อุทา. อฎฺฐ. ๒๐)ฯ เตสํ ภวาภวานํ อปฺปวตฺติเหตุภูตํ ธมฺมํ ปกาเสสีติ อโตฺถฯ อถ วา ภวติ อเนนาติ ภโว, ตีสุ ภเวสุ อุปฺปตฺตินิมิตฺตํ กมฺมาทิกํฯ อุปปตฺติภโว อภโว นามฯ อุภยตฺถ นิกนฺติยา ปหานกรํ อปฺปวตฺตํ ธมฺมํ เทเสสีติ อโตฺถฯ ตสฺส ปน เรวตพุทฺธสฺส ตโยว อภิสมยา อเหสุํฯ ปฐโม ปนสฺส คณนปถํ วีติวโตฺตฯ เตน วุตฺตํ –
Tattha khandhadhātuvavatthānanti pañcannaṃ khandhānaṃ aṭṭhārasannaṃ dhātūnaṃ nāmarūpavavatthānādivasena vibhāgakaraṇaṃ. Sabhāvalakkhaṇasāmaññalakkhaṇādivasena rūpārūpadhammapariggaho khandhadhātuvavatthānaṃ nāma. Atha vā pheṇapiṇḍūpamaṃ rūpaṃ parimaddanāsahanato chiddāvachiddādibhāvato ca udakapubbuḷakaṃ viya vedanā muhuttaramaṇīyabhāvato, marīcikā viya saññā vippalambhanato, kadalikkhandho viya saṅkhārā asārakato, māyā viya viññāṇaṃ vañcanakato’’ti evamādināpi nayena aniccānupassanādivasenapi khandhadhātuvavatthānaṃ veditabbaṃ (vibha. aṭṭha. 26 kamādivinicchayakathā). Appavattaṃ bhavābhaveti ettha bhavoti vaḍḍhi, abhavoti hāni. Bhavoti sassatadiṭṭhi , abhavoti ucchedadiṭṭhi. Bhavoti khuddakabhavo, abhavoti mahābhavo. Bhavoti kāmabhavo, abhavoti rūpārūpabhavoti evamādinā nayena bhavābhavānaṃ attho veditabbo (ma. ni. aṭṭha. 2.223; saṃ. ni. aṭṭha. 3.5.1080; udā. aṭṭha. 20). Tesaṃ bhavābhavānaṃ appavattihetubhūtaṃ dhammaṃ pakāsesīti attho. Atha vā bhavati anenāti bhavo, tīsu bhavesu uppattinimittaṃ kammādikaṃ. Upapattibhavo abhavo nāma. Ubhayattha nikantiyā pahānakaraṃ appavattaṃ dhammaṃ desesīti attho. Tassa pana revatabuddhassa tayova abhisamayā ahesuṃ. Paṭhamo panassa gaṇanapathaṃ vītivatto. Tena vuttaṃ –
๓.
3.
‘‘ตสฺสาภิสมยา ตีณิ, อเหสุํ ธมฺมเทสเน;
‘‘Tassābhisamayā tīṇi, ahesuṃ dhammadesane;
คณนาย น วตฺตโพฺพ, ปฐมาภิสมโย อหู’’ติฯ
Gaṇanāya na vattabbo, paṭhamābhisamayo ahū’’ti.
ตตฺถ ตีณีติ ตโย, ลิงฺควิปลฺลาโส กโต, อยํ ปฐโม อภิสมโย อโหสิฯ
Tattha tīṇīti tayo, liṅgavipallāso kato, ayaṃ paṭhamo abhisamayo ahosi.
อถาปเรน สมเยน นครุตฺตเร อุตฺตเร นคเร สพฺพารินฺทโม อรินฺทโม นาม ราชา อโหสิฯ โส กิร ภควนฺตํ อตฺตโน นครมนุปฺปตฺตํ สุตฺวา ตีหิ ชนโกฎีหิ ปริวุโต ภควโต ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา สฺวาตนาย นิมเนฺตตฺวา พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส สตฺตาหํ มหาทานํ ปวเตฺตตฺวา ติคาวุตวิตฺถตํ ทีปปูชํ กตฺวา ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา นิสีทิฯ อถ ภควา ตสฺส มโนนุกูลํ วิจิตฺตนยํ ธมฺมํ เทเสสิฯ ตตฺถ เทวมนุสฺสานํ โกฎิสหสฺสสฺส ทุติยาภิสมโย อโหสิฯ เตน วุตฺตํ –
Athāparena samayena nagaruttare uttare nagare sabbārindamo arindamo nāma rājā ahosi. So kira bhagavantaṃ attano nagaramanuppattaṃ sutvā tīhi janakoṭīhi parivuto bhagavato paccuggamanaṃ katvā svātanāya nimantetvā buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa sattāhaṃ mahādānaṃ pavattetvā tigāvutavitthataṃ dīpapūjaṃ katvā bhagavantaṃ upasaṅkamitvā nisīdi. Atha bhagavā tassa manonukūlaṃ vicittanayaṃ dhammaṃ desesi. Tattha devamanussānaṃ koṭisahassassa dutiyābhisamayo ahosi. Tena vuttaṃ –
๔.
4.
‘‘ยทา อรินฺทมํ ราชํ, วิเนสิ เรวโต มุนิ;
‘‘Yadā arindamaṃ rājaṃ, vinesi revato muni;
ตทา โกฎิสหสฺสานํ, ทุติยาภิสมโย อหู’’ติฯ
Tadā koṭisahassānaṃ, dutiyābhisamayo ahū’’ti.
อยํ ทุติโย อภิสมโยฯ
Ayaṃ dutiyo abhisamayo.
อถาปเรน สมเยน เรวโต สตฺถา อุตฺตรนิคมํ นาม อุปนิสฺสาย วิหรโนฺต สตฺตาหํ นิโรธสมาปตฺติํ สมาปชฺชิตฺวา นิสีทิฯ ตทา กิร อุตฺตรนิคมวาสิโน มนุสฺสา ยาคุภตฺตขชฺชกเภสชฺชปานกาทีนิ อาหริตฺวา ภิกฺขุสงฺฆสฺส มหาทานํ ทตฺวา ภิกฺขู ปริปุจฺฉิํสุ – ‘‘กุหิํ, ภเนฺต, ภควา’’ติ? ตโต เตสํ ภิกฺขู อาหํสุ – ‘‘ภควา, อาวุโส, นิโรธสมาปตฺติํ สมาปโนฺน’’ติฯ อถาตีเต ตสฺมิํ สตฺตาเห ภควนฺตํ นิโรธสมาปตฺติโต วุฎฺฐิตํ สรทสมเย สูริโย วิย อตฺตโน อนูปมาย พุทฺธสิริยา วิโรจมานํ ทิสฺวา นิโรธสมาปตฺติยา คุณานิสํสํ ปุจฺฉิํสุฯ ภควา จ เตสํ นิโรธสมาปตฺติยา คุณานิสํสํ กเถสิฯ ตทา เทวมนุสฺสานํ โกฎิสตํ อรหเตฺต ปติฎฺฐาสิฯ อยํ ตติโย อภิสมโย อโหสิฯ เตน วุตฺตํ –
Athāparena samayena revato satthā uttaranigamaṃ nāma upanissāya viharanto sattāhaṃ nirodhasamāpattiṃ samāpajjitvā nisīdi. Tadā kira uttaranigamavāsino manussā yāgubhattakhajjakabhesajjapānakādīni āharitvā bhikkhusaṅghassa mahādānaṃ datvā bhikkhū paripucchiṃsu – ‘‘kuhiṃ, bhante, bhagavā’’ti? Tato tesaṃ bhikkhū āhaṃsu – ‘‘bhagavā, āvuso, nirodhasamāpattiṃ samāpanno’’ti. Athātīte tasmiṃ sattāhe bhagavantaṃ nirodhasamāpattito vuṭṭhitaṃ saradasamaye sūriyo viya attano anūpamāya buddhasiriyā virocamānaṃ disvā nirodhasamāpattiyā guṇānisaṃsaṃ pucchiṃsu. Bhagavā ca tesaṃ nirodhasamāpattiyā guṇānisaṃsaṃ kathesi. Tadā devamanussānaṃ koṭisataṃ arahatte patiṭṭhāsi. Ayaṃ tatiyo abhisamayo ahosi. Tena vuttaṃ –
๕.
5.
‘‘สตฺตาหํ ปฎิสลฺลานา, วุฎฺฐหิตฺวา นราสโภ;
‘‘Sattāhaṃ paṭisallānā, vuṭṭhahitvā narāsabho;
โกฎิสตํ นรมรูนํ, วิเนสิ อุตฺตเม ผเล’’ติฯ
Koṭisataṃ naramarūnaṃ, vinesi uttame phale’’ti.
สุธญฺญวตีนคเร ปฐมมหาปาติโมกฺขุเทฺทเส เอหิภิกฺขุปพฺพชฺชาย ปพฺพชิตานํ อรหนฺตานํ คณนปถํ วีติวตฺตานํ ปฐโม สนฺนิปาโต อโหสิฯ เมขลนคเร โกฎิสตสหสฺสสงฺขาตานํ เอหิภิกฺขุปพฺพชฺชาย ปพฺพชิตานํ อรหนฺตานํ ทุติโย สนฺนิปาโต อโหสิฯ เรวตสฺส ปน ภควโต ธมฺมจกฺกานุวตฺตโก วรุโณ นาม อคฺคสาวโก ปญฺญวนฺตานํ อโคฺค อาพาธิโก อโหสิฯ ตตฺถ คิลานปุจฺฉนตฺถาย สมฺปตฺตมหาชนสฺส ลกฺขณตฺตยปริทีปกํ ธมฺมํ เทเสตฺวา โกฎิสตสหสฺสํ ปุริสานํ เอหิภิกฺขุปพฺพชฺชาย ปพฺพาเชตฺวา อรหเตฺต ปติฎฺฐาเปตฺวา จตุรงฺคินิเก สนฺนิปาเต ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิฯ อยํ ตติโย สนฺนิปาโต อโหสิฯ เตน วุตฺตํ –
Sudhaññavatīnagare paṭhamamahāpātimokkhuddese ehibhikkhupabbajjāya pabbajitānaṃ arahantānaṃ gaṇanapathaṃ vītivattānaṃ paṭhamo sannipāto ahosi. Mekhalanagare koṭisatasahassasaṅkhātānaṃ ehibhikkhupabbajjāya pabbajitānaṃ arahantānaṃ dutiyo sannipāto ahosi. Revatassa pana bhagavato dhammacakkānuvattako varuṇo nāma aggasāvako paññavantānaṃ aggo ābādhiko ahosi. Tattha gilānapucchanatthāya sampattamahājanassa lakkhaṇattayaparidīpakaṃ dhammaṃ desetvā koṭisatasahassaṃ purisānaṃ ehibhikkhupabbajjāya pabbājetvā arahatte patiṭṭhāpetvā caturaṅginike sannipāte pātimokkhaṃ uddisi. Ayaṃ tatiyo sannipāto ahosi. Tena vuttaṃ –
๖.
6.
‘‘สนฺนิปาตา ตโย อาสุํ, เรวตสฺส มเหสิโน;
‘‘Sannipātā tayo āsuṃ, revatassa mahesino;
ขีณาสวานํ วิมลานํ, สุวิมุตฺตาน ตาทินํฯ
Khīṇāsavānaṃ vimalānaṃ, suvimuttāna tādinaṃ.
๗.
7.
‘‘อติกฺกนฺตา คณนปถํ, ปฐมํ เย สมาคตา;
‘‘Atikkantā gaṇanapathaṃ, paṭhamaṃ ye samāgatā;
โกฎิสตสหสฺสานํ, ทุติโย อาสิ สมาคโมฯ
Koṭisatasahassānaṃ, dutiyo āsi samāgamo.
๘.
8.
‘‘โยปิ ปญฺญาย อสโม, ตสฺส จกฺกานุวตฺตโก;
‘‘Yopi paññāya asamo, tassa cakkānuvattako;
โส ตทา พฺยาธิโต อาสิ, ปโตฺต ชีวิตสํสยํฯ
So tadā byādhito āsi, patto jīvitasaṃsayaṃ.
๙.
9.
‘‘ตสฺส คิลานปุจฺฉาย, เย ตทา อุปคตา มุนี;
‘‘Tassa gilānapucchāya, ye tadā upagatā munī;
โกฎิสตสหสฺสา อรหโนฺต, ตติโย อาสิ สมาคโม’’ติฯ
Koṭisatasahassā arahanto, tatiyo āsi samāgamo’’ti.
ตตฺถ จกฺกานุวตฺตโกติ ธมฺมจกฺกานุวตฺตโกฯ ปโตฺต ชีวิตสํสยนฺติ เอตฺถ ชีวิเต สํสยํ ชีวิตสํสยํ, ชีวิตกฺขยํ ปาปุณาติ วา, น วา ปาปุณาตีติ เอวํ ชีวิตสํสยํ ปโตฺต, พฺยาธิตสฺส พลวภาเวน มรติ, น มรตีติ ชีวิเต สํสยํ ปโตฺตติ อโตฺถฯ เย ตทา อุปคตา มุนีติ อิติ ทีฆภาเว สติ ภิกฺขูนํ อุปริ โหติ, รเสฺส อนุสฺสเรน สทฺธิํ วรุณสฺส อุปริ โหติฯ
Tattha cakkānuvattakoti dhammacakkānuvattako. Patto jīvitasaṃsayanti ettha jīvite saṃsayaṃ jīvitasaṃsayaṃ, jīvitakkhayaṃ pāpuṇāti vā, na vā pāpuṇātīti evaṃ jīvitasaṃsayaṃ patto, byādhitassa balavabhāvena marati, na maratīti jīvite saṃsayaṃ pattoti attho. Ye tadā upagatā munīti iti dīghabhāve sati bhikkhūnaṃ upari hoti, rasse anussarena saddhiṃ varuṇassa upari hoti.
ตทา อมฺหากํ โพธิสโตฺต รมฺมวตีนคเร อติเทโว นาม พฺราหฺมโณ หุตฺวา พฺราหฺมณธเมฺม ปารํ คโต เรวตํ สมฺมาสมฺพุทฺธํ ทิสฺวา ตสฺส ธมฺมกถํ สุตฺวา สรเณสุ ปติฎฺฐาย สิโลกสหเสฺสน ทสพลํ กิเตฺตตฺวา สหสฺสคฺฆนิเกน อุตฺตราสเงฺคน ภควนฺตํ ปูเชสิฯ โสปิ นํ พุโทฺธ พฺยากาสิ – ‘‘อิโต กปฺปสตสหสฺสาธิกานํ ทฺวินฺนํ อสเงฺขฺยยฺยานํ มตฺถเก โคตโม นาม พุโทฺธ ภวิสฺสตี’’ติฯ เตน วุตฺตํ –
Tadā amhākaṃ bodhisatto rammavatīnagare atidevo nāma brāhmaṇo hutvā brāhmaṇadhamme pāraṃ gato revataṃ sammāsambuddhaṃ disvā tassa dhammakathaṃ sutvā saraṇesu patiṭṭhāya silokasahassena dasabalaṃ kittetvā sahassagghanikena uttarāsaṅgena bhagavantaṃ pūjesi. Sopi naṃ buddho byākāsi – ‘‘ito kappasatasahassādhikānaṃ dvinnaṃ asaṅkhyeyyānaṃ matthake gotamo nāma buddho bhavissatī’’ti. Tena vuttaṃ –
๑๐.
10.
‘‘อหํ เตน สมเยน, อติเทโว นาม พฺราหฺมโณ;
‘‘Ahaṃ tena samayena, atidevo nāma brāhmaṇo;
อุปคนฺตฺวา เรวตํ พุทฺธํ, สรณํ ตสฺส คญฺฉหํฯ
Upagantvā revataṃ buddhaṃ, saraṇaṃ tassa gañchahaṃ.
๑๑.
11.
‘‘ตสฺส สีลํ สมาธิญฺจ, ปญฺญาคุณมนุตฺตมํ;
‘‘Tassa sīlaṃ samādhiñca, paññāguṇamanuttamaṃ;
โถมยิตฺวา ยถาถามํ, อุตฺตรียมทาสหํฯ
Thomayitvā yathāthāmaṃ, uttarīyamadāsahaṃ.
๑๒.
12.
‘‘โสปิ มํ พุโทฺธ พฺยากาสิ, เรวโต โลกนายโก;
‘‘Sopi maṃ buddho byākāsi, revato lokanāyako;
อปริเมยฺยิโต กเปฺป, อยํ พุโทฺธ ภวิสฺสติฯ
Aparimeyyito kappe, ayaṃ buddho bhavissati.
๑๓.
13.
‘ปธานํ ปทหิตฺวาน…เป.… เหสฺสาม สมฺมุขา อิม’’’นฺติฯ –
‘Padhānaṃ padahitvāna…pe… hessāma sammukhā ima’’’nti. –
อฎฺฐ คาถา วิตฺถาเรตพฺพาฯ
Aṭṭha gāthā vitthāretabbā.
๑๔.
14.
‘‘ตสฺสาปิ วจนํ สุตฺวา, ภิโยฺย จิตฺตํ ปสาทยิํ;
‘‘Tassāpi vacanaṃ sutvā, bhiyyo cittaṃ pasādayiṃ;
อุตฺตริํ วตมธิฎฺฐาสิํ, ทสปารมิปูริยาฯ
Uttariṃ vatamadhiṭṭhāsiṃ, dasapāramipūriyā.
๑๕.
15.
‘‘ตทาปิ ตํ พุทฺธธมฺมํ, สริตฺวา อนุพฺรูหยิํ;
‘‘Tadāpi taṃ buddhadhammaṃ, saritvā anubrūhayiṃ;
อาหริสฺสามิ ตํ ธมฺมํ, ยํ มยฺหํ อภิปตฺถิต’’นฺติฯ
Āharissāmi taṃ dhammaṃ, yaṃ mayhaṃ abhipatthita’’nti.
ตตฺถ สรณํ ตสฺส คญฺฉหนฺติ ตํ สรณํ อคญฺฉิํ อหํ, อุปโยคเตฺถ สามิวจนํฯ ปญฺญาคุณนฺติ ปญฺญาสมฺปตฺติํฯ อนุตฺตมนฺติ เสฎฺฐํฯ ‘‘ปญฺญาวิมุตฺติคุณมุตฺตม’’นฺติปิ ปาโฐ, โส อุตฺตาโนวฯ โถมยิตฺวาติ โถเมตฺวา วณฺณยิตฺวาฯ ยถาถามนฺติ ยถาพลํฯ อุตฺตรียนฺติ อุตฺตราสงฺคํฯ อทาสหนฺติ อทาสิํ อหํฯ พุทฺธธมฺมนฺติ พุทฺธภาวกรํ ธมฺมํ, ปารมีธมฺมนฺติ อโตฺถฯ สริตฺวาติ อนุสฺสริตฺวาฯ อนุพฺรูหยินฺติ อภิวเฑฺฒสิํฯ อาหริสฺสามีติ อานยิสฺสามิฯ ตํ ธมฺมนฺติ ตํ พุทฺธตฺตํฯ ยํ มยฺหํ อภิปตฺถิตนฺติ ยํ มยา อภิปตฺถิตํ พุทฺธตฺตํ, ตํ อาหริสฺสามีติ อโตฺถฯ
Tattha saraṇaṃ tassa gañchahanti taṃ saraṇaṃ agañchiṃ ahaṃ, upayogatthe sāmivacanaṃ. Paññāguṇanti paññāsampattiṃ. Anuttamanti seṭṭhaṃ. ‘‘Paññāvimuttiguṇamuttama’’ntipi pāṭho, so uttānova. Thomayitvāti thometvā vaṇṇayitvā. Yathāthāmanti yathābalaṃ. Uttarīyanti uttarāsaṅgaṃ. Adāsahanti adāsiṃ ahaṃ. Buddhadhammanti buddhabhāvakaraṃ dhammaṃ, pāramīdhammanti attho. Saritvāti anussaritvā. Anubrūhayinti abhivaḍḍhesiṃ. Āharissāmīti ānayissāmi. Taṃ dhammanti taṃ buddhattaṃ. Yaṃ mayhaṃ abhipatthitanti yaṃ mayā abhipatthitaṃ buddhattaṃ, taṃ āharissāmīti attho.
ตสฺส ปน เรวตสฺส ภควโต นครํ สุธญฺญวตี นาม อโหสิ, ปิตา วิปุโล นาม ขตฺติโย, มาตา วิปุลา นาม, วรุโณ จ พฺรหฺมเทโว จ เทฺว อคฺคสาวกา, สมฺภโว นาม อุปฎฺฐาโก, ภทฺทา จ สุภทฺทา จ เทฺว อคฺคสาวิกา, นาครุโกฺข โพธิ, สรีรํ อสีติหตฺถุเพฺพธํ อโหสิ, อายุ สฎฺฐิวสฺสสหสฺสานิ, สุทสฺสนา นาม อคฺคมเหสี, วรุโณ นาม ปุโตฺต, อาชญฺญรเถน นิกฺขมิฯ
Tassa pana revatassa bhagavato nagaraṃ sudhaññavatī nāma ahosi, pitā vipulo nāma khattiyo, mātā vipulā nāma, varuṇo ca brahmadevo ca dve aggasāvakā, sambhavo nāma upaṭṭhāko, bhaddā ca subhaddā ca dve aggasāvikā, nāgarukkho bodhi, sarīraṃ asītihatthubbedhaṃ ahosi, āyu saṭṭhivassasahassāni, sudassanā nāma aggamahesī, varuṇo nāma putto, ājaññarathena nikkhami.
‘‘ตสฺส เทหาภินิกฺขนฺตํ, ปภาชาลมนุตฺตรํ;
‘‘Tassa dehābhinikkhantaṃ, pabhājālamanuttaraṃ;
ทิวา เจว ตทา รตฺติํ, นิจฺจํ ผรติ โยชนํฯ
Divā ceva tadā rattiṃ, niccaṃ pharati yojanaṃ.
‘‘ธาตุโย มม สพฺพาปิ, วิกิรนฺตูติ โส ชิโน;
‘‘Dhātuyo mama sabbāpi, vikirantūti so jino;
อธิฎฺฐาสิ มหาวีโร, สพฺพสตฺตานุกมฺปโกฯ
Adhiṭṭhāsi mahāvīro, sabbasattānukampako.
‘‘มหานาควนุยฺยาเน, มหโต นครสฺส โส;
‘‘Mahānāgavanuyyāne, mahato nagarassa so;
ปูชิโต นรมรูหิ, ปรินิพฺพายิ เรวโต’’ติฯ
Pūjito naramarūhi, parinibbāyi revato’’ti.
เตน วุตฺตํ –
Tena vuttaṃ –
๑๖.
16.
‘‘นครํ สุธญฺญวตี นาม, วิปุโล นาม ขตฺติโย;
‘‘Nagaraṃ sudhaññavatī nāma, vipulo nāma khattiyo;
วิปุลา นาม ชนิกา, เรวตสฺส มเหสิโนฯ
Vipulā nāma janikā, revatassa mahesino.
๒๑.
21.
‘‘วรุโณ พฺรหฺมเทโว จ, อเหสุํ อคฺคสาวกา;
‘‘Varuṇo brahmadevo ca, ahesuṃ aggasāvakā;
สมฺภโว นามุปฎฺฐาโก, เรวตสฺส มเหสิโนฯ
Sambhavo nāmupaṭṭhāko, revatassa mahesino.
๒๒.
22.
‘‘ภทฺทา เจว สุภทฺทา จ, อเหสุํ อคฺคสาวิกา;
‘‘Bhaddā ceva subhaddā ca, ahesuṃ aggasāvikā;
โสปิ พุโทฺธ อสมสโม, นาคมูเล อพุชฺฌถฯ
Sopi buddho asamasamo, nāgamūle abujjhatha.
๒๓.
23.
‘‘ปทุโม กุญฺชโร เจว, อเหสุํ อคฺคุปฎฺฐกา;
‘‘Padumo kuñjaro ceva, ahesuṃ aggupaṭṭhakā;
สิริมา เจว ยสวตี, อเหสุํ อคฺคุปฎฺฐิกาฯ
Sirimā ceva yasavatī, ahesuṃ aggupaṭṭhikā.
๒๔.
24.
‘‘อุจฺจตฺตเนน โส พุโทฺธ, อสีติหตฺถมุคฺคโต;
‘‘Uccattanena so buddho, asītihatthamuggato;
โอภาเสติ ทิสา สพฺพา, อินฺทเกตุว อุคฺคโตฯ
Obhāseti disā sabbā, indaketuva uggato.
๒๕.
25.
‘‘ตสฺส สรีเร นิพฺพตฺตา, ปภามาลา อนุตฺตรา;
‘‘Tassa sarīre nibbattā, pabhāmālā anuttarā;
ทิวา วา ยทิ วา รตฺติํ, สมนฺตา ผรติ โยชนํฯ
Divā vā yadi vā rattiṃ, samantā pharati yojanaṃ.
๒๖.
26.
‘‘สฎฺฐิวสฺสสหสฺสานิ , อายุ วิชฺชติ ตาวเท;
‘‘Saṭṭhivassasahassāni , āyu vijjati tāvade;
ตาวตา ทิฎฺฐมาโน โส, ตาเรสิ ชนตํ พหุํฯ
Tāvatā diṭṭhamāno so, tāresi janataṃ bahuṃ.
๒๗.
27.
‘‘ทสฺสยิตฺวา พุทฺธพลํ อมตํ โลเก ปกาสยํ;
‘‘Dassayitvā buddhabalaṃ amataṃ loke pakāsayaṃ;
นิพฺพายิ อนุปาทาโน, ยถคฺคุปาทานสงฺขยาฯ
Nibbāyi anupādāno, yathaggupādānasaṅkhayā.
๒๘.
28.
‘‘โส จ กาโย รตนนิโภ, โส จ ธโมฺม อสาทิโส;
‘‘So ca kāyo ratananibho, so ca dhammo asādiso;
สพฺพํ ตมนฺตรหิตํ, นนุ ริตฺตา สพฺพสงฺขารา’’ติฯ
Sabbaṃ tamantarahitaṃ, nanu rittā sabbasaṅkhārā’’ti.
ตตฺถ โอภาเสตีติ ปกาสยติฯ อุคฺคโตติ อุสฺสิโตฯ ปภามาลาติ ปภาเวลาฯ ยถคฺคีติ อคฺคิ วิยฯ อุปาทานสงฺขยาติ อินฺธนกฺขยาฯ โส จ กาโย รตนนิโภติ โส จ ตสฺส ภควโต กาโย สุวณฺณวโณฺณฯ ‘‘ตญฺจ กายํ รตนนิภ’’นฺติปิ ปาโฐ, ลิงฺควิปลฺลาเสน วุตฺตํฯ โสเยว ปนสฺสโตฺถฯ เสสคาถาสุ สพฺพตฺถ อุตฺตานเมวาติฯ
Tattha obhāsetīti pakāsayati. Uggatoti ussito. Pabhāmālāti pabhāvelā. Yathaggīti aggi viya. Upādānasaṅkhayāti indhanakkhayā. So ca kāyo ratananibhoti so ca tassa bhagavato kāyo suvaṇṇavaṇṇo. ‘‘Tañca kāyaṃ ratananibha’’ntipi pāṭho, liṅgavipallāsena vuttaṃ. Soyeva panassattho. Sesagāthāsu sabbattha uttānamevāti.
เรวตพุทฺธวํสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Revatabuddhavaṃsavaṇṇanā niṭṭhitā.
นิฎฺฐิโต ปญฺจโม พุทฺธวํโสฯ
Niṭṭhito pañcamo buddhavaṃso.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / พุทฺธวํสปาฬิ • Buddhavaṃsapāḷi / ๗. เรวตพุทฺธวํโส • 7. Revatabuddhavaṃso