Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
๕. รุหกวโคฺค
5. Ruhakavaggo
[๑๙๑] ๑. รุหกชาตกวณฺณนา
[191] 1. Ruhakajātakavaṇṇanā
อปิ รุหก ฉินฺนาปีติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต ปุราณทุติยิกาปโลภนํ อารพฺภ กเถสิฯ วตฺถุ อฎฺฐกนิปาเต อินฺทฺริยชาตเก (ชา. ๑.๘.๖๐ อาทโย) อาวิภวิสฺสติฯ สตฺถา ปน ตํ ภิกฺขุํ ‘‘อยํ เต ภิกฺขุ อิตฺถี อนตฺถการิกา, ปุเพฺพปิ เต เอสา สราชิกาย ปริสาย มเชฺฌ ลชฺชาเปตฺวา เคหา นิกฺขมนาการํ กาเรสี’’ติ วตฺวา เตน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ
Apiruhaka chinnāpīti idaṃ satthā jetavane viharanto purāṇadutiyikāpalobhanaṃ ārabbha kathesi. Vatthu aṭṭhakanipāte indriyajātake (jā. 1.8.60 ādayo) āvibhavissati. Satthā pana taṃ bhikkhuṃ ‘‘ayaṃ te bhikkhu itthī anatthakārikā, pubbepi te esā sarājikāya parisāya majjhe lajjāpetvā gehā nikkhamanākāraṃ kāresī’’ti vatvā tena yācito atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต ตสฺส อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต ปิตุ อจฺจเยน รเชฺช ปติฎฺฐาย ธเมฺมน รชฺชํ กาเรสิฯ ตสฺส รุหโก นาม ปุโรหิโต อโหสิ, ตสฺส ปุราณี นาม พฺราหฺมณี ภริยาฯ ราชา พฺราหฺมณสฺส อสฺสภณฺฑเกน อลงฺกริตฺวา อสฺสํ อทาสิฯ โส ตํ อสฺสํ อารุยฺห รโญฺญ อุปฎฺฐานํ คจฺฉติฯ อถ นํ อลงฺกตอสฺสสฺส ปิเฎฺฐ นิสีทิตฺวา คจฺฉนฺตํ อาคจฺฉนฺตญฺจ ทิสฺวา ตหิํ ตหิํ ฐิตา มนุสฺสา ‘‘อโห อสฺสสฺส รูปํ, อโห อโสฺส โสภตี’’ติ อสฺสเมว ปสํสนฺติฯ โส เคหํ อาคนฺตฺวา ปาสาทํ อภิรุยฺห ภริยํ อามเนฺตสิ – ‘‘ภเทฺท , อมฺหากํ อโสฺส อติวิย โสภติ, อุโภสุ ปเสฺสสุ ฐิตา มนุสฺสา อมฺหากํ อสฺสเมว วเณฺณนฺตี’’ติฯ สา ปน พฺราหฺมณี โถกํ ฉินฺนิกา ธุตฺติกธาตุกา, เตน นํ เอวมาห – ‘‘อยฺย, ตฺวํ อสฺสสฺส โสภนการณํ น ชานาสิ, อยํ อโสฺส อตฺตโน อลงฺกตํ อสฺสภณฺฑกํ นิสฺสาย โสภติ, สเจ ตฺวมฺปิ อโสฺส วิย โสภิตุกาโม อสฺสภณฺฑกํ ปิฬนฺธิตฺวา อนฺตรวีถิํ โอรุยฺห อโสฺส วิย ปาเท โกฎฺฎยมาโน คนฺตฺวา ราชานํ ปสฺส, ราชาปิ ตํ วณฺณยิสฺสติ, มนุสฺสาปิ ตเญฺญว วณฺณยิสฺสนฺตี’’ติฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto tassa aggamahesiyā kucchimhi nibbattitvā vayappatto pitu accayena rajje patiṭṭhāya dhammena rajjaṃ kāresi. Tassa ruhako nāma purohito ahosi, tassa purāṇī nāma brāhmaṇī bhariyā. Rājā brāhmaṇassa assabhaṇḍakena alaṅkaritvā assaṃ adāsi. So taṃ assaṃ āruyha rañño upaṭṭhānaṃ gacchati. Atha naṃ alaṅkataassassa piṭṭhe nisīditvā gacchantaṃ āgacchantañca disvā tahiṃ tahiṃ ṭhitā manussā ‘‘aho assassa rūpaṃ, aho asso sobhatī’’ti assameva pasaṃsanti. So gehaṃ āgantvā pāsādaṃ abhiruyha bhariyaṃ āmantesi – ‘‘bhadde , amhākaṃ asso ativiya sobhati, ubhosu passesu ṭhitā manussā amhākaṃ assameva vaṇṇentī’’ti. Sā pana brāhmaṇī thokaṃ chinnikā dhuttikadhātukā, tena naṃ evamāha – ‘‘ayya, tvaṃ assassa sobhanakāraṇaṃ na jānāsi, ayaṃ asso attano alaṅkataṃ assabhaṇḍakaṃ nissāya sobhati, sace tvampi asso viya sobhitukāmo assabhaṇḍakaṃ piḷandhitvā antaravīthiṃ oruyha asso viya pāde koṭṭayamāno gantvā rājānaṃ passa, rājāpi taṃ vaṇṇayissati, manussāpi taññeva vaṇṇayissantī’’ti.
โส อุมฺมตฺตกชาติโก พฺราหฺมโณ ตสฺสา วจนํ สุตฺวา ‘‘อิมินา นาม การเณน สา มํ วทตี’’ติ อชานิตฺวา ตถาสญฺญี หุตฺวา ตถา อกาสิฯ เย เย ปสฺสนฺติ, เต เต ปริหาสํ กโรนฺตา ‘‘โสภติ อาจริโย’’ติ วทิํสุฯ ราชา ปน นํ ‘‘กิํ, อาจริย, ปิตฺตํ เต กุปิตํ , อุมฺมตฺตโกสิ ชาโต’’ติอาทีนิ วตฺวา ลชฺชาเปสิฯ ตสฺมิํ กาเล พฺราหฺมโณ ‘‘อยุตฺตํ มยา กต’’นฺติ ลชฺชิโต พฺราหฺมณิยา กุชฺฌิตฺวา ‘‘ตายมฺหิ สราชิกาย ปริสาย อนฺตเร ลชฺชาปิโต, โปเถตฺวา ตํ นิกฺกฑฺฒิสฺสามี’’ติ เคหํ อคมาสิฯ ธุตฺติกพฺราหฺมณี ตสฺส กุชฺฌิตฺวา อาคมนภาวํ ญตฺวา ปุเรตรเญฺญว จูฬทฺวาเรน นิกฺขมิตฺวา ราชนิเวสนํ คนฺตฺวา จตูหปญฺจาหํ ตเตฺถว อโหสิฯ ราชา ตํ การณํ ญตฺวา ปุโรหิตํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘อาจริย, มาตุคามสฺส นาม โทโส โหติเยว, พฺราหฺมณิยา ขมิตุํ วฎฺฎตี’’ติ ขมาปนตฺถาย ปฐมํ คาถมาห –
So ummattakajātiko brāhmaṇo tassā vacanaṃ sutvā ‘‘iminā nāma kāraṇena sā maṃ vadatī’’ti ajānitvā tathāsaññī hutvā tathā akāsi. Ye ye passanti, te te parihāsaṃ karontā ‘‘sobhati ācariyo’’ti vadiṃsu. Rājā pana naṃ ‘‘kiṃ, ācariya, pittaṃ te kupitaṃ , ummattakosi jāto’’tiādīni vatvā lajjāpesi. Tasmiṃ kāle brāhmaṇo ‘‘ayuttaṃ mayā kata’’nti lajjito brāhmaṇiyā kujjhitvā ‘‘tāyamhi sarājikāya parisāya antare lajjāpito, pothetvā taṃ nikkaḍḍhissāmī’’ti gehaṃ agamāsi. Dhuttikabrāhmaṇī tassa kujjhitvā āgamanabhāvaṃ ñatvā puretaraññeva cūḷadvārena nikkhamitvā rājanivesanaṃ gantvā catūhapañcāhaṃ tattheva ahosi. Rājā taṃ kāraṇaṃ ñatvā purohitaṃ pakkosāpetvā ‘‘ācariya, mātugāmassa nāma doso hotiyeva, brāhmaṇiyā khamituṃ vaṭṭatī’’ti khamāpanatthāya paṭhamaṃ gāthamāha –
๘๑.
81.
‘‘อปิ รุหก ฉินฺนาปิ, ชิยา สนฺธียเต ปุน;
‘‘Api ruhaka chinnāpi, jiyā sandhīyate puna;
สนฺธียสฺสุ ปุราณิยา, มา โกธสฺส วสํ คมี’’ติฯ
Sandhīyassu purāṇiyā, mā kodhassa vasaṃ gamī’’ti.
ตตฺรายํ สเงฺขปโตฺถ – โภ รุหก, นนุ ฉินฺนาปิ ธนุชิยา ปุน สนฺธียติ ฆฎียติ, เอวเมว ตฺวมฺปิ ปุราณิยา สทฺธิํ สนฺธียสฺสุ, โกธสฺส วสํ มา คมีติฯ
Tatrāyaṃ saṅkhepattho – bho ruhaka, nanu chinnāpi dhanujiyā puna sandhīyati ghaṭīyati, evameva tvampi purāṇiyā saddhiṃ sandhīyassu, kodhassa vasaṃ mā gamīti.
ตํ สุตฺวา รุหโก ทุติยํ คาถมาห –
Taṃ sutvā ruhako dutiyaṃ gāthamāha –
๘๒.
82.
‘‘วิชฺชมาเนสุ วาเกสุ, วิชฺชมาเนสุ การิสุ;
‘‘Vijjamānesu vākesu, vijjamānesu kārisu;
อญฺญํ ชิยํ กริสฺสามิ, อลเญฺญว ปุราณิยา’’ติฯ
Aññaṃ jiyaṃ karissāmi, alaññeva purāṇiyā’’ti.
ตสฺสโตฺถ – มหาราช, ธนุการมุทุวาเกสุ จ ชิยการเกสุ จ มนุเสฺสสุ วิชฺชมาเนสุ อญฺญํ ชิยํ กริสฺสามิ, อิมาย ฉินฺนาย ปุราณิยา ชิยาย อลํ, นตฺถิ เม โกจิ อโตฺถติฯ เอวญฺจ ปน วตฺวา ตํ นีหริตฺวา อญฺญํ พฺราหฺมณิํ อาเนสิฯ
Tassattho – mahārāja, dhanukāramuduvākesu ca jiyakārakesu ca manussesu vijjamānesu aññaṃ jiyaṃ karissāmi, imāya chinnāya purāṇiyā jiyāya alaṃ, natthi me koci atthoti. Evañca pana vatvā taṃ nīharitvā aññaṃ brāhmaṇiṃ ānesi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – สจฺจปริโยสาเน อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ ‘‘ตทา, พฺราหฺมณี, ปุราณทุติยิกา อโหสิ, รุหโก อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุ, พาราณสิราชา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi – saccapariyosāne ukkaṇṭhitabhikkhu sotāpattiphale patiṭṭhahi. ‘‘Tadā, brāhmaṇī, purāṇadutiyikā ahosi, ruhako ukkaṇṭhitabhikkhu, bārāṇasirājā pana ahameva ahosi’’nti.
รุหกชาตกวณฺณนา ปฐมาฯ
Ruhakajātakavaṇṇanā paṭhamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๑๙๑. รุหกชาตกํ • 191. Ruhakajātakaṃ