Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā)

    ฯ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ

    Namo tassa bhagavato arahato sammāsambuddhassa

    องฺคุตฺตรนิกาเย

    Aṅguttaranikāye

    เอกกนิปาต-อฎฺฐกถา

    Ekakanipāta-aṭṭhakathā

    คนฺถารมฺภกถา

    Ganthārambhakathā

    ‘‘กรุณาสีตลหทยํ , ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตมํ;

    ‘‘Karuṇāsītalahadayaṃ , paññāpajjotavihatamohatamaṃ;

    สนรามรโลกครุํ, วเนฺท สุคตํ คติวิมุตฺตํฯ

    Sanarāmaralokagaruṃ, vande sugataṃ gativimuttaṃ.

    ‘‘พุโทฺธปิ พุทฺธภาวํ, ภาเวตฺวา เจว สจฺฉิกตฺวา จ;

    ‘‘Buddhopi buddhabhāvaṃ, bhāvetvā ceva sacchikatvā ca;

    ยํ อุปคโต คตมลํ, วเนฺท ตมนุตฺตรํ ธมฺมํ

    Yaṃ upagato gatamalaṃ, vande tamanuttaraṃ dhammaṃ.

    ‘‘สุคตสฺส โอรสานํ, ปุตฺตานํ มารเสนมถนานํ;

    ‘‘Sugatassa orasānaṃ, puttānaṃ mārasenamathanānaṃ;

    อฎฺฐนฺนมฺปิ สมูหํ, สิรสา วเนฺท อริยสงฺฆํ

    Aṭṭhannampi samūhaṃ, sirasā vande ariyasaṅghaṃ.

    ‘‘อิติ เม ปสนฺนมติโน, รตนตฺตยวนฺทนามยํ ปุญฺญํ;

    ‘‘Iti me pasannamatino, ratanattayavandanāmayaṃ puññaṃ;

    ยํ สุวิหตนฺตราโย, หุตฺวา ตสฺสานุภาเวนฯ

    Yaṃ suvihatantarāyo, hutvā tassānubhāvena.

    ‘‘เอกกทุกาทิปฎิมณฺฑิตสฺส องฺคุตฺตราคมวรสฺส;

    ‘‘Ekakadukādipaṭimaṇḍitassa aṅguttarāgamavarassa;

    ธมฺมกถิกปุงฺควานํ, วิจิตฺตปฎิภานชนนสฺสฯ

    Dhammakathikapuṅgavānaṃ, vicittapaṭibhānajananassa.

    ‘‘อตฺถปฺปกาสนตฺถํ, อฎฺฐกถา อาทิโต วสิสเตหิ;

    ‘‘Atthappakāsanatthaṃ, aṭṭhakathā ādito vasisatehi;

    ปญฺจหิ ยา สงฺคีตา, อนุสงฺคีตา จ ปจฺฉาปิฯ

    Pañcahi yā saṅgītā, anusaṅgītā ca pacchāpi.

    ‘‘สีหฬทีปํ ปน อาภตาถ วสินา มหามหิเนฺทน;

    ‘‘Sīhaḷadīpaṃ pana ābhatātha vasinā mahāmahindena;

    ฐปิตา สีหฬภาสาย, ทีปวาสีนมตฺถายฯ

    Ṭhapitā sīhaḷabhāsāya, dīpavāsīnamatthāya.

    ‘‘อปเนตฺวาน ตโตหํ, สีหฬภาสํ มโนรมํ ภาสํ;

    ‘‘Apanetvāna tatohaṃ, sīhaḷabhāsaṃ manoramaṃ bhāsaṃ;

    ตนฺตินยานุจฺฉวิกํ, อาโรเปโนฺต วิคตโทสํฯ

    Tantinayānucchavikaṃ, āropento vigatadosaṃ.

    ‘‘สมยํ อวิโลเมโนฺต, เถรานํ เถรวํสทีปานํ;

    ‘‘Samayaṃ avilomento, therānaṃ theravaṃsadīpānaṃ;

    สุนิปุณวินิจฺฉยานํ, มหาวิหาเร นิวาสีนํฯ

    Sunipuṇavinicchayānaṃ, mahāvihāre nivāsīnaṃ.

    ‘‘หิตฺวา ปุนปฺปุนาคตมตฺถํ, อตฺถํ ปกาสยิสฺสามิ;

    ‘‘Hitvā punappunāgatamatthaṃ, atthaṃ pakāsayissāmi;

    สุชนสฺส จ ตุฎฺฐตฺถํ, จิรฎฺฐิตตฺถญฺจ ธมฺมสฺสฯ

    Sujanassa ca tuṭṭhatthaṃ, ciraṭṭhitatthañca dhammassa.

    ‘‘สาวตฺถิปภูตีนํ, นครานํ วณฺณนา กตา เหฎฺฐา;

    ‘‘Sāvatthipabhūtīnaṃ, nagarānaṃ vaṇṇanā katā heṭṭhā;

    ทีฆสฺส มชฺฌิมสฺส จ, ยา เม อตฺถํ วทเนฺตนฯ

    Dīghassa majjhimassa ca, yā me atthaṃ vadantena.

    ‘‘วิตฺถารวเสน สุทํ, วตฺถูนิ จ ตตฺถ ยานิ วุตฺตานิ;

    ‘‘Vitthāravasena sudaṃ, vatthūni ca tattha yāni vuttāni;

    เตสมฺปิ น อิธ ภิโยฺย, วิตฺถารกถํ กริสฺสามิฯ

    Tesampi na idha bhiyyo, vitthārakathaṃ karissāmi.

    ‘‘สุตฺตานํ ปน อตฺถา, น วินา วตฺถูหิ เย ปกาสนฺติ;

    ‘‘Suttānaṃ pana atthā, na vinā vatthūhi ye pakāsanti;

    เตสํ ปกาสนตฺถํ, วตฺถูนิปิ ทสฺสยิสฺสามิฯ

    Tesaṃ pakāsanatthaṃ, vatthūnipi dassayissāmi.

    ‘‘สีลกถา ธุตธมฺมา, กมฺมฎฺฐานานิ เจว สพฺพานิ;

    ‘‘Sīlakathā dhutadhammā, kammaṭṭhānāni ceva sabbāni;

    จริยาวิธานสหิโต, ฌานสมาปตฺติวิตฺถาโรฯ

    Cariyāvidhānasahito, jhānasamāpattivitthāro.

    ‘‘สพฺพา จ อภิญฺญาโย, ปญฺญาสงฺกลนนิจฺฉโย เจว;

    ‘‘Sabbā ca abhiññāyo, paññāsaṅkalananicchayo ceva;

    ขนฺธาธาตายตนินฺทฺริยานิ, อริยานิ เจว จตฺตาริฯ

    Khandhādhātāyatanindriyāni, ariyāni ceva cattāri.

    ‘‘สจฺจานิ ปจฺจยาการเทสนา สุปริสุทฺธนิปุณนยา;

    ‘‘Saccāni paccayākāradesanā suparisuddhanipuṇanayā;

    อวิมุตฺตตนฺติมคฺคา, วิปสฺสนาภาวนา เจวฯ

    Avimuttatantimaggā, vipassanābhāvanā ceva.

    ‘‘อิติ ปน สพฺพํ ยสฺมา, วิสุทฺธิมเคฺค มยา สุปริสุทฺธํ;

    ‘‘Iti pana sabbaṃ yasmā, visuddhimagge mayā suparisuddhaṃ;

    วุตฺตํ ตสฺมา ภิโยฺย, น ตํ อิธ วิจารยิสฺสามิฯ

    Vuttaṃ tasmā bhiyyo, na taṃ idha vicārayissāmi.

    ‘‘มเชฺฌ วิสุทฺธิมโคฺค, เอส จตุนฺนมฺปิ อาคมานญฺหิ;

    ‘‘Majjhe visuddhimaggo, esa catunnampi āgamānañhi;

    ฐตฺวา ปกาสยิสฺสติ, ตตฺถ ยถาภาสิตมตฺถํฯ

    Ṭhatvā pakāsayissati, tattha yathābhāsitamatthaṃ.

    ‘‘อิเจฺจว กโต ตสฺมา, ตมฺปิ คเหตฺวาน สทฺธิเมตาย;

    ‘‘Icceva kato tasmā, tampi gahetvāna saddhimetāya;

    อฎฺฐกถาย วิชานถ, องฺคุตฺตรนิสฺสิตํ อตฺถ’’นฺติฯ

    Aṭṭhakathāya vijānatha, aṅguttaranissitaṃ attha’’nti.

    สํเขปกถา

    Saṃkhepakathā

    ๑. รูปาทิวคฺควณฺณนา

    1. Rūpādivaggavaṇṇanā

    ตตฺถ องฺคุตฺตราคโม นาม เอกกนิปาโต ทุกนิปาโต ติกนิปาโต จตุกฺกนิปาโต ปญฺจกนิปาโต ฉกฺกนิปาโต สตฺตกนิปาโต อฎฺฐกนิปาโต นวกนิปาโต ทสกนิปาโต เอกาทสกนิปาโตติ เอกาทส นิปาตา โหนฺติฯ สุตฺตโต –

    Tattha aṅguttarāgamo nāma ekakanipāto dukanipāto tikanipāto catukkanipāto pañcakanipāto chakkanipāto sattakanipāto aṭṭhakanipāto navakanipāto dasakanipāto ekādasakanipātoti ekādasa nipātā honti. Suttato –

    ‘‘นว สุตฺตสหสฺสานิ, ปญฺจ สุตฺตสตานิ จ;

    ‘‘Nava suttasahassāni, pañca suttasatāni ca;

    สตฺตปญฺญาส สุตฺตานิ, โหนฺติ องฺคุตฺตราคเม’’ฯ

    Sattapaññāsa suttāni, honti aṅguttarāgame’’.

    ตสฺส นิปาเตสุ เอกกนิปาโต อาทิ, สุเตฺตสุ จิตฺตปริยาทานสุตฺตํฯ ตสฺสาปิ ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติอาทิกํ อายสฺมตา อานเนฺทน ปฐมมหาสงฺคีติกาเล วุตฺตํ นิทานมาทิฯ สา ปเนสา ปฐมมหาสงฺคีติ สุมงฺคลวิลาสินิยา ทีฆนิกายฎฺฐกถาย อาทิมฺหิ วิตฺถาริตา, ตสฺมา สา ตตฺถ วิตฺถาริตนเยเนว เวทิตพฺพาฯ

    Tassa nipātesu ekakanipāto ādi, suttesu cittapariyādānasuttaṃ. Tassāpi ‘‘evaṃ me suta’’ntiādikaṃ āyasmatā ānandena paṭhamamahāsaṅgītikāle vuttaṃ nidānamādi. Sā panesā paṭhamamahāsaṅgīti sumaṅgalavilāsiniyā dīghanikāyaṭṭhakathāya ādimhi vitthāritā, tasmā sā tattha vitthāritanayeneva veditabbā.

    นิทานวณฺณนา

    Nidānavaṇṇanā

    . ยํ ปเนตํ ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติอาทิกํ นิทานํ, ตตฺถ เอวนฺติ นิปาตปทํ, เมติอาทีนิ นามปทานิฯ สาวตฺถิยํ วิหรตีติ เอตฺถ วีติ อุปสคฺคปทํ, หรตีติ อาขฺยาตปทนฺติ อิมินา ตาว นเยน ปทวิภาโค เวทิตโพฺพฯ

    1. Yaṃ panetaṃ ‘‘evaṃ me suta’’ntiādikaṃ nidānaṃ, tattha evanti nipātapadaṃ, metiādīni nāmapadāni. Sāvatthiyaṃ viharatīti ettha ti upasaggapadaṃ, haratīti ākhyātapadanti iminā tāva nayena padavibhāgo veditabbo.

    อตฺถโต ปน เอวํสโทฺท ตาว อุปมูปเทส-สมฺปหํสน-ครหณวจน-สมฺปฎิคฺคหาการนิทสฺสนาวธารณาทิ-อเนกตฺถปฺปเภโทฯ ตถา เหส ‘‘เอวํ ชาเตน มเจฺจน, กตฺตพฺพํ กุสลํ พหุ’’นฺติ เอวมาทีสุ (ธ. ป. ๕๓) อุปมายํ อาคโตฯ ‘‘เอวํ เต อภิกฺกมิตพฺพํ, เอวํ เต ปฎิกฺกมิตพฺพ’’นฺติอาทีสุ (อ. นิ. ๔.๑๒๒) อุปเทเสฯ ‘‘เอวเมตํ ภควา, เอวเมตํ สุคตา’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๓.๖๖) สมฺปหํสเนฯ ‘‘เอวเมวํ ปนายํ วสลี ยสฺมิํ วา ตสฺมิํ วา ตสฺส มุณฺฑกสฺส สมณกสฺส วณฺณํ ภาสตี’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๑๘๗) ครหเณฯ ‘‘เอวํ, ภเนฺตติ โข เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุ’’นฺติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๑) วจนสมฺปฎิคฺคเหฯ ‘‘เอวํ พฺยาโข อหํ, ภเนฺต, ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๙๘) อากาเรฯ ‘‘เอหิ ตฺวํ, มาณวก, เยน สมโณ อานโนฺท เตนุปสงฺกม; อุปสงฺกมิตฺวา มม วจเนน สมณํ อานนฺทํ อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฎฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉ – ‘สุโภ มาณโว โตเทยฺยปุโตฺต ภวนฺตํ อานนฺทํ อปฺปาพาธํ…เป.… ผาสุวิหารํ ปุจฺฉตี’ติ, เอวญฺจ วเทหิ ‘‘สาธุ กิร ภวํ อานโนฺท เยน สุภสฺส มาณวสฺส โตเทยฺยปุตฺตสฺส นิเวสนํ, เตนุปสงฺกมตุ อนุกมฺปํ อุปาทายา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๔๔๕) นิทสฺสเนฯ ‘‘ตํ กิํ มญฺญถ, กาลามา, อิเม ธมฺมา กุสลา วา อกุสลา วาติ? อกุสลา, ภเนฺตฯ สาวชฺชา วา อนวชฺชา วาติ? สาวชฺชา, ภเนฺตฯ วิญฺญุครหิตา วา วิญฺญุปฺปสตฺถา วาติ? วิญฺญุครหิตา, ภเนฺตฯ สมตฺตา สมาทินฺนา อหิตาย ทุกฺขาย สํวตฺตนฺติ โน วา, กถํ โว เอตฺถ โหตีติ? สมตฺตา, ภเนฺต, สมาทินฺนา อหิตาย ทุกฺขาย สํวตฺตนฺติ, เอวํ โน เอตฺถ โหตี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๓.๖๖) อวธารเณฯ สฺวายมิธ อาการนิทสฺสนาวธารเณสุ ทฎฺฐโพฺพฯ

    Atthato pana evaṃsaddo tāva upamūpadesa-sampahaṃsana-garahaṇavacana-sampaṭiggahākāranidassanāvadhāraṇādi-anekatthappabhedo. Tathā hesa ‘‘evaṃ jātena maccena, kattabbaṃ kusalaṃ bahu’’nti evamādīsu (dha. pa. 53) upamāyaṃ āgato. ‘‘Evaṃ te abhikkamitabbaṃ, evaṃ te paṭikkamitabba’’ntiādīsu (a. ni. 4.122) upadese. ‘‘Evametaṃ bhagavā, evametaṃ sugatā’’tiādīsu (a. ni. 3.66) sampahaṃsane. ‘‘Evamevaṃ panāyaṃ vasalī yasmiṃ vā tasmiṃ vā tassa muṇḍakassa samaṇakassa vaṇṇaṃ bhāsatī’’tiādīsu (saṃ. ni. 1.187) garahaṇe. ‘‘Evaṃ, bhanteti kho te bhikkhū bhagavato paccassosu’’ntiādīsu (ma. ni. 1.1) vacanasampaṭiggahe. ‘‘Evaṃ byākho ahaṃ, bhante, bhagavatā dhammaṃ desitaṃ ājānāmī’’tiādīsu (ma. ni. 1.398) ākāre. ‘‘Ehi tvaṃ, māṇavaka, yena samaṇo ānando tenupasaṅkama; upasaṅkamitvā mama vacanena samaṇaṃ ānandaṃ appābādhaṃ appātaṅkaṃ lahuṭṭhānaṃ balaṃ phāsuvihāraṃ puccha – ‘subho māṇavo todeyyaputto bhavantaṃ ānandaṃ appābādhaṃ…pe… phāsuvihāraṃ pucchatī’ti, evañca vadehi ‘‘sādhu kira bhavaṃ ānando yena subhassa māṇavassa todeyyaputtassa nivesanaṃ, tenupasaṅkamatu anukampaṃ upādāyā’’tiādīsu (dī. ni. 1.445) nidassane. ‘‘Taṃ kiṃ maññatha, kālāmā, ime dhammā kusalā vā akusalā vāti? Akusalā, bhante. Sāvajjā vā anavajjā vāti? Sāvajjā, bhante. Viññugarahitā vā viññuppasatthā vāti? Viññugarahitā, bhante. Samattā samādinnā ahitāya dukkhāya saṃvattanti no vā, kathaṃ vo ettha hotīti? Samattā, bhante, samādinnā ahitāya dukkhāya saṃvattanti, evaṃ no ettha hotī’’tiādīsu (a. ni. 3.66) avadhāraṇe. Svāyamidha ākāranidassanāvadhāraṇesu daṭṭhabbo.

    ตตฺถ อาการเตฺถน เอวํสเทฺทน เอตมตฺถํ ทีเปติ – นานานยนิปุณํ อเนกชฺฌาสยสมุฎฺฐานํ อตฺถพฺยญฺชนสมฺปนฺนํ วิวิธปาฎิหาริยํ ธมฺมตฺถเทสนาปฎิเวธคมฺภีรํ สพฺพสตฺตานํ สกสกภาสานุรูปโต โสตปถมาคจฺฉนฺตํ ตสฺส ภควโต วจนํ สพฺพปฺปกาเรน โก สมโตฺถ วิญฺญาตุํ, สพฺพถาเมน ปน โสตุกามตํ ชเนตฺวาปิ เอวํ เม สุตํ, มยาปิ เอเกนากาเรน สุตนฺติฯ

    Tattha ākāratthena evaṃsaddena etamatthaṃ dīpeti – nānānayanipuṇaṃ anekajjhāsayasamuṭṭhānaṃ atthabyañjanasampannaṃ vividhapāṭihāriyaṃ dhammatthadesanāpaṭivedhagambhīraṃ sabbasattānaṃ sakasakabhāsānurūpato sotapathamāgacchantaṃ tassa bhagavato vacanaṃ sabbappakārena ko samattho viññātuṃ, sabbathāmena pana sotukāmataṃ janetvāpi evaṃ me sutaṃ, mayāpi ekenākārena sutanti.

    นิทสฺสนเตฺถน ‘‘นาหํ สยมฺภู, น มยา อิทํ สจฺฉิกต’’นฺติ อตฺตานํ ปริโมเจโนฺต ‘‘เอวํ เม สุตํ, มยาปิ เอวํ สุต’’นฺติ อิทานิ วตฺตพฺพํ สกลํ สุตฺตํ นิทเสฺสติฯ

    Nidassanatthena ‘‘nāhaṃ sayambhū, na mayā idaṃ sacchikata’’nti attānaṃ parimocento ‘‘evaṃ me sutaṃ, mayāpi evaṃ suta’’nti idāni vattabbaṃ sakalaṃ suttaṃ nidasseti.

    อวธารณเตฺถน ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ พหุสฺสุตานํ ยทิทํ อานโนฺท, สติมนฺตานํ, คติมนฺตานํ, ธิติมนฺตานํ, อุปฎฺฐากานํ ยทิทํ อานโนฺท’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๑๙, ๒๒๓) เอวํ ภควตา , ‘‘อายสฺมา อานโนฺท อตฺถกุสโล ธมฺมกุสโล พฺยญฺชนกุสโล นิรุตฺติกุสโล ปุพฺพาปรกุสโล’’ติ (อ. นิ. ๕.๑๖๙) เอวํ ธมฺมเสนาปตินา จ ปสตฺถภาวานุรูปํ อตฺตโน ธารณพลํ ทเสฺสโนฺต สตฺตานํ โสตุกามตํ ชเนติ ‘‘เอวํ เม สุตํ, ตญฺจ โข อตฺถโต วา พฺยญฺชนโต วา อนูนมนธิกํ, เอวเมว, น อญฺญถา ทฎฺฐพฺพ’’นฺติฯ

    Avadhāraṇatthena ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ bahussutānaṃ yadidaṃ ānando, satimantānaṃ, gatimantānaṃ, dhitimantānaṃ, upaṭṭhākānaṃ yadidaṃ ānando’’ti (a. ni. 1.219, 223) evaṃ bhagavatā , ‘‘āyasmā ānando atthakusalo dhammakusalo byañjanakusalo niruttikusalo pubbāparakusalo’’ti (a. ni. 5.169) evaṃ dhammasenāpatinā ca pasatthabhāvānurūpaṃ attano dhāraṇabalaṃ dassento sattānaṃ sotukāmataṃ janeti ‘‘evaṃ me sutaṃ, tañca kho atthato vā byañjanato vā anūnamanadhikaṃ, evameva, na aññathā daṭṭhabba’’nti.

    เมสโทฺท ตีสุ อเตฺถสุ ทิสฺสติฯ ตถา หิสฺส ‘‘คาถาภิคีตํ เม อโภชเนยฺย’’นฺติอาทีสุ (สุ. นิ. ๘๑; สํ. นิ. ๑.๑๙๔) มยาติ อโตฺถฯ ‘‘สาธุ เม, ภเนฺต, ภควา สํขิเตฺตน ธมฺมํ เทเสตู’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๔.๘๘) มยฺหนฺติ อโตฺถฯ ‘‘ธมฺมทายาทา เม, ภิกฺขเว, ภวถา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๙) มมาติ อโตฺถฯ อิธ ปน ‘‘มยา สุต’’นฺติ จ, ‘‘มม สุต’’นฺติ จ อตฺถทฺวเย ยุชฺชติฯ

    Mesaddo tīsu atthesu dissati. Tathā hissa ‘‘gāthābhigītaṃ me abhojaneyya’’ntiādīsu (su. ni. 81; saṃ. ni. 1.194) mayāti attho. ‘‘Sādhu me, bhante, bhagavā saṃkhittena dhammaṃ desetū’’tiādīsu (saṃ. ni. 4.88) mayhanti attho. ‘‘Dhammadāyādā me, bhikkhave, bhavathā’’tiādīsu (ma. ni. 1.29) mamāti attho. Idha pana ‘‘mayā suta’’nti ca, ‘‘mama suta’’nti ca atthadvaye yujjati.

    สุตนฺติ อยํ สุตสโทฺท สอุปสโคฺค จ อนุปสโคฺค จ คมน-วิสฺสุต-กิลินฺนอุปจิตานุโยค-โสตวิเญฺญยฺย-โสตทฺวารานุสารวิญฺญาตาทิอเนกตฺถปฺปเภโทฯ ตถา หิสฺส – ‘‘เสนาย ปสุโต’’ติอาทีสุ คจฺฉโนฺตติ อโตฺถฯ ‘‘สุตธมฺมสฺส ปสฺสโต’’ติอาทีสุ (อุทา. ๑๑) วิสฺสุตธมฺมสฺสาติ อโตฺถฯ ‘‘อวสฺสุตา อวสฺสุตสฺสา’’ติอาทีสุ (ปาจิ. ๖๕๗) กิลินฺนากิลินฺนสฺสาติ อโตฺถฯ ‘‘ตุเมฺหหิ ปุญฺญํ ปสุตํ อนปฺปก’’นฺติอาทีสุ (ขุ. ปา. ๗-๑๒) อุปจิตนฺติ อโตฺถฯ ‘‘เย ฌานปฺปสุตา ธีรา’’ติอาทีสุ (ธ. ป. ๑๘๑) ฌานานุยุตฺตาติ อโตฺถฯ ‘‘ทิฎฺฐํ สุตํ มุต’’นฺติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๔๑) โสตวิเญฺญยฺยนฺติ อโตฺถฯ ‘‘สุตธโร สุตสนฺนิจโย’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๓๙) โสตทฺวารานุสารวิญฺญาตธโรติ อโตฺถฯ อิธ ปนสฺส โสตทฺวารานุสาเรน อุปธาริตนฺติ วา อุปธารณนฺติ วาติ อโตฺถฯ เม-สทฺทสฺส หิ มยาติ อเตฺถ สติ ‘‘เอวํ มยา สุตํ โสตทฺวารานุสาเรน อุปธาริต’’นฺติ ยุชฺชติฯ มมาติ อเตฺถ สติ ‘‘เอวํ มม สุตํ โสตทฺวารานุสาเรน อุปธารณ’’นฺติ ยุชฺชติฯ

    Sutanti ayaṃ sutasaddo saupasaggo ca anupasaggo ca gamana-vissuta-kilinnaupacitānuyoga-sotaviññeyya-sotadvārānusāraviññātādianekatthappabhedo. Tathā hissa – ‘‘senāya pasuto’’tiādīsu gacchantoti attho. ‘‘Sutadhammassa passato’’tiādīsu (udā. 11) vissutadhammassāti attho. ‘‘Avassutā avassutassā’’tiādīsu (pāci. 657) kilinnākilinnassāti attho. ‘‘Tumhehi puññaṃ pasutaṃ anappaka’’ntiādīsu (khu. pā. 7-12) upacitanti attho. ‘‘Ye jhānappasutā dhīrā’’tiādīsu (dha. pa. 181) jhānānuyuttāti attho. ‘‘Diṭṭhaṃ sutaṃ muta’’ntiādīsu (ma. ni. 1.241) sotaviññeyyanti attho. ‘‘Sutadharo sutasannicayo’’tiādīsu (ma. ni. 1.339) sotadvārānusāraviññātadharoti attho. Idha panassa sotadvārānusārena upadhāritanti vā upadhāraṇanti vāti attho. Me-saddassa hi mayāti atthe sati ‘‘evaṃ mayā sutaṃ sotadvārānusārena upadhārita’’nti yujjati. Mamāti atthe sati ‘‘evaṃ mama sutaṃ sotadvārānusārena upadhāraṇa’’nti yujjati.

    เอวเมเตสุ ตีสุ ปเทสุ เอวนฺติ โสตวิญฺญาณาทิวิญฺญาณกิจฺจนิทสฺสนํฯ เมติ วุตฺตวิญฺญาณสมงฺคิปุคฺคลนิทสฺสนํฯ สุตนฺติ อสฺสวนภาวปฎิเกฺขปโต อนูนาธิกาวิปรีตคฺคหณนิทสฺสนํฯ ตถา เอวนฺติ ตสฺสา โสตทฺวารานุสาเรน ปวตฺตาย วิญฺญาณวีถิยา นานปฺปกาเรน อารมฺมเณ ปวตฺตภาวปฺปกาสนํฯ เมติ อตฺตปฺปกาสนํฯ สุตนฺติ ธมฺมปฺปกาสนํฯ อยเญฺหตฺถ สเงฺขโป – ‘‘นานปฺปกาเรน อารมฺมเณ ปวตฺตาย วิญฺญาณวีถิยา มยา น อญฺญํ กตํ, อิทํ ปน กตํ, อยํ ธโมฺม สุโต’’ติฯ

    Evametesu tīsu padesu evanti sotaviññāṇādiviññāṇakiccanidassanaṃ. Meti vuttaviññāṇasamaṅgipuggalanidassanaṃ. Sutanti assavanabhāvapaṭikkhepato anūnādhikāviparītaggahaṇanidassanaṃ. Tathā evanti tassā sotadvārānusārena pavattāya viññāṇavīthiyā nānappakārena ārammaṇe pavattabhāvappakāsanaṃ. Meti attappakāsanaṃ. Sutanti dhammappakāsanaṃ. Ayañhettha saṅkhepo – ‘‘nānappakārena ārammaṇe pavattāya viññāṇavīthiyā mayā na aññaṃ kataṃ, idaṃ pana kataṃ, ayaṃ dhammo suto’’ti.

    ตถา เอวนฺติ นิทฺทิสิตพฺพปฺปกาสนํฯ เมติ ปุคฺคลปฺปกาสนํฯ สุตนฺติ ปุคฺคลกิจฺจปฺปกาสนํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยํ สุตฺตํ นิทฺทิสิสฺสามิ, ตํ มยา เอวํ สุตนฺติฯ

    Tathā evanti niddisitabbappakāsanaṃ. Meti puggalappakāsanaṃ. Sutanti puggalakiccappakāsanaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – yaṃ suttaṃ niddisissāmi, taṃ mayā evaṃ sutanti.

    ตถา เอวนฺติ ยสฺส จิตฺตสนฺตานสฺส นานาการปฺปวตฺติยา นานตฺถพฺยญฺชนคฺคหณํ โหติ, ตสฺส นานาการนิเทฺทโสฯ เอวนฺติ หิ อยํ อาการปญฺญตฺติฯ เมติ กตฺตุนิเทฺทโสฯ สุตนฺติ วิสยนิเทฺทโสฯ เอตฺตาวตา นานาการปฺปวเตฺตน จิตฺตสนฺตาเนน ตํสมงฺคิโน กตฺตุ วิสเย คหณสนฺนิฎฺฐานํ กตํ โหติฯ

    Tathā evanti yassa cittasantānassa nānākārappavattiyā nānatthabyañjanaggahaṇaṃ hoti, tassa nānākāraniddeso. Evanti hi ayaṃ ākārapaññatti. Meti kattuniddeso. Sutanti visayaniddeso. Ettāvatā nānākārappavattena cittasantānena taṃsamaṅgino kattu visaye gahaṇasanniṭṭhānaṃ kataṃ hoti.

    อถ วา เอวนฺติ ปุคฺคลกิจฺจนิเทฺทโสฯ สุตนฺติ วิญฺญาณกิจฺจนิเทฺทโสฯ เมติ อุภยกิจฺจยุตฺตปุคฺคลนิเทฺทโสฯ อยํ ปเนตฺถ สเงฺขโป – มยา สวนกิจฺจวิญฺญาณสมงฺคินา ปุคฺคเลน วิญฺญาณวเสน ลทฺธสวนกิจฺจโวหาเรน สุตนฺติฯ

    Atha vā evanti puggalakiccaniddeso. Sutanti viññāṇakiccaniddeso. Meti ubhayakiccayuttapuggalaniddeso. Ayaṃ panettha saṅkhepo – mayā savanakiccaviññāṇasamaṅginā puggalena viññāṇavasena laddhasavanakiccavohārena sutanti.

    ตตฺถ เอวนฺติ จ เมติ จ สจฺจิกฎฺฐปรมตฺถวเสน อวิชฺชมานปญฺญตฺติฯ กิเญฺหตฺถ ตํ ปรมตฺถโต อตฺถิ, ยํ เอวนฺติ วา เมติ วา นิเทฺทสํ ลเภถฯ สุตนฺติ วิชฺชมานปญฺญตฺติฯ ยญฺหิ ตํ เอตฺถ โสเตน อุปลทฺธํ, ตํ ปรมตฺถโต วิชฺชมานนฺติฯ ตถา เอวนฺติ จ เมติ จ ตํ ตํ อุปาทาย วตฺตพฺพโต อุปาทาปญฺญตฺติฯ สุตนฺติ ทิฎฺฐาทีนิ อุปนิธาย วตฺตพฺพโต อุปนิธาปญฺญตฺติฯ

    Tattha evanti ca meti ca saccikaṭṭhaparamatthavasena avijjamānapaññatti. Kiñhettha taṃ paramatthato atthi, yaṃ evanti vā meti vā niddesaṃ labhetha. Sutanti vijjamānapaññatti. Yañhi taṃ ettha sotena upaladdhaṃ, taṃ paramatthato vijjamānanti. Tathā evanti ca meti ca taṃ taṃ upādāya vattabbato upādāpaññatti. Sutanti diṭṭhādīni upanidhāya vattabbato upanidhāpaññatti.

    เอตฺถ จ เอวนฺติ วจเนน อสโมฺมหํ ทีเปติฯ น หิ สมฺมูโฬฺห นานปฺปการปฎิเวธสมโตฺถ โหติฯ สุตนฺติ วจเนน สุตสฺส อสโมฺมสํ ทีเปติฯ ยสฺส หิ สุตํ สมฺมุฎฺฐํ โหติ, น โส กาลนฺตเรน มยา สุตนฺติ ปฎิชานาติฯ อิจฺจสฺส อสโมฺมเหน ปญฺญาสิทฺธิ, อสโมฺมเสน ปน สติสิทฺธิฯ ตตฺถ ปญฺญาปุพฺพงฺคมาย สติยา พฺยญฺชนาวธารณสมตฺถตา, สติปุพฺพงฺคมาย ปญฺญาย อตฺถปฎิเวธสมตฺถตาฯ ตทุภยสมตฺถตาโยเคน อตฺถพฺยญฺชนสมฺปนฺนสฺส ธมฺมโกสสฺส อนุปาลนสมตฺถโต ธมฺมภณฺฑาคาริกตฺตสิทฺธิฯ

    Ettha ca evanti vacanena asammohaṃ dīpeti. Na hi sammūḷho nānappakārapaṭivedhasamattho hoti. Sutanti vacanena sutassa asammosaṃ dīpeti. Yassa hi sutaṃ sammuṭṭhaṃ hoti, na so kālantarena mayā sutanti paṭijānāti. Iccassa asammohena paññāsiddhi, asammosena pana satisiddhi. Tattha paññāpubbaṅgamāya satiyā byañjanāvadhāraṇasamatthatā, satipubbaṅgamāya paññāya atthapaṭivedhasamatthatā. Tadubhayasamatthatāyogena atthabyañjanasampannassa dhammakosassa anupālanasamatthato dhammabhaṇḍāgārikattasiddhi.

    อปโร นโย – เอวนฺติ วจเนน โยนิโส มนสิการํ ทีเปติ, อโยนิโส มนสิกโรโต หิ นานปฺปการปฎิเวธาภาวโตฯ สุตนฺติ วจเนน อวิเกฺขปํ ทีเปติ, วิกฺขิตฺตจิตฺตสฺส สวนาภาวโตฯ ตถา หิ วิกฺขิตฺตจิโตฺต ปุคฺคโล สพฺพสมฺปตฺติยา วุจฺจมาโนปิ ‘‘น มยา สุตํ , ปุน ภณถา’’ติ ภณติฯ โยนิโส มนสิกาเรน เจตฺถ อตฺตสมฺมาปณิธิํ ปุเพฺพ จ กตปุญฺญตํ สาเธติ สมฺมา อปฺปณิหิตตฺตสฺส ปุเพฺพ อกตปุญฺญสฺส วา ตทภาวโตฯ ตถา อวิเกฺขเปน สทฺธมฺมสฺสวนํ สปฺปุริสูปนิสฺสยญฺจ สาเธติฯ น หิ วิกฺขิตฺตจิโตฺต โสตุํ สโกฺกติ, น จ สปฺปุริเส อนุปสฺสยมานสฺส สวนํ อตฺถีติฯ

    Aparo nayo – evanti vacanena yoniso manasikāraṃ dīpeti, ayoniso manasikaroto hi nānappakārapaṭivedhābhāvato. Sutanti vacanena avikkhepaṃ dīpeti, vikkhittacittassa savanābhāvato. Tathā hi vikkhittacitto puggalo sabbasampattiyā vuccamānopi ‘‘na mayā sutaṃ , puna bhaṇathā’’ti bhaṇati. Yoniso manasikārena cettha attasammāpaṇidhiṃ pubbe ca katapuññataṃ sādheti sammā appaṇihitattassa pubbe akatapuññassa vā tadabhāvato. Tathā avikkhepena saddhammassavanaṃ sappurisūpanissayañca sādheti. Na hi vikkhittacitto sotuṃ sakkoti, na ca sappurise anupassayamānassa savanaṃ atthīti.

    อปโร นโย – ยสฺมา ‘‘เอวนฺติ ยสฺส จิตฺตสนฺตานสฺส นานาการปฺปวตฺติยา นานตฺถพฺยญฺชนคฺคหณํ โหติ, ตสฺส นานาการนิเทฺทโส’’ติ วุตฺตํฯ โส จ เอวํ ภทฺทโก อากาโร น สมฺมา อปฺปณิหิตตฺตโน ปุเพฺพ อกตปุญฺญสฺส วา โหติ, ตสฺมา เอวนฺติ อิมินา ภทฺทเกนากาเรน ปจฺฉิมจกฺกทฺวยสมฺปตฺติมตฺตโน ทีเปติฯ สุตนฺติ สวนโยเคน ปุริมจกฺกทฺวยสมฺปตฺติํฯ น หิ อปฺปติรูปเทเส วสโต สปฺปุริสูปนิสฺสยวิรหิตสฺส วา สวนํ อตฺถิฯ อิจฺจสฺส ปจฺฉิมจกฺกทฺวยสิทฺธิยา อาสยสุทฺธิ สิทฺธา โหติ, ปุริมจกฺกทฺวยสิทฺธิยา ปโยคสุทฺธิฯ ตาย จ อาสยสุทฺธิยา อธิคมพฺยตฺติสิทฺธิ, ปโยคสุทฺธิยา อาคมพฺยตฺติสิทฺธิฯ อิติ ปโยคาสยสุทฺธสฺส อาคมาธิคมสมฺปนฺนสฺส วจนํ อรุณุคฺคํ วิย สูริยสฺส อุทยโต, โยนิโส มนสิกาโร วิย จ กุสลกมฺมสฺส, อรหติ ภควโต วจนสฺส ปุพฺพงฺคมํ ภวิตุนฺติ ฐาเน นิทานํ ฐเปโนฺต เอวํ เม สุตนฺติอาทิมาหฯ

    Aparo nayo – yasmā ‘‘evanti yassa cittasantānassa nānākārappavattiyā nānatthabyañjanaggahaṇaṃ hoti, tassa nānākāraniddeso’’ti vuttaṃ. So ca evaṃ bhaddako ākāro na sammā appaṇihitattano pubbe akatapuññassa vā hoti, tasmā evanti iminā bhaddakenākārena pacchimacakkadvayasampattimattano dīpeti. Sutanti savanayogena purimacakkadvayasampattiṃ. Na hi appatirūpadese vasato sappurisūpanissayavirahitassa vā savanaṃ atthi. Iccassa pacchimacakkadvayasiddhiyā āsayasuddhi siddhā hoti, purimacakkadvayasiddhiyā payogasuddhi. Tāya ca āsayasuddhiyā adhigamabyattisiddhi, payogasuddhiyā āgamabyattisiddhi. Iti payogāsayasuddhassa āgamādhigamasampannassa vacanaṃ aruṇuggaṃ viya sūriyassa udayato, yoniso manasikāro viya ca kusalakammassa, arahati bhagavato vacanassa pubbaṅgamaṃ bhavitunti ṭhāne nidānaṃ ṭhapento evaṃ me sutantiādimāha.

    อปโร นโย – เอวนฺติ อิมินา นานปฺปการปฎิเวธทีปเกน วจเนน อตฺตโน อตฺถปฎิภานปฎิสมฺภิทาสมฺปตฺติสพฺภาวํ ทีเปติฯ สุตนฺติ อิมินา โสตพฺพเภทปฎิเวธทีปเกน วจเนน ธมฺมนิรุตฺติปฎิสมฺภิทาสมฺปตฺติสพฺภาวํฯ เอวนฺติ จ อิทํ โยนิโส มนสิการทีปกวจนํ ภาสมาโน ‘‘เอเต มยา ธมฺมา มนสา อนุเปกฺขิตา ทิฎฺฐิยา สุปฺปฎิวิทฺธา’’ติ ทีเปติฯ สุตนฺติ อิทํ สวนโยคทีปกวจนํ ภาสมาโน ‘‘พหู มยา ธมฺมา สุตา ธาตา วจสา ปริจิตา’’ติ ทีเปติฯ ตทุภเยนปิ อตฺถพฺยญฺชนปาริปูริํ ทีเปโนฺต สวเน อาทรํ ชเนติฯ อตฺถพฺยญฺชนปริปุณฺณํ หิ ธมฺมํ อาทเรน อสฺสุณโนฺต มหตา หิตา ปริพาหิโร โหตีติ อาทรํ ชเนตฺวา สกฺกจฺจํ ธโมฺม โสตโพฺพติฯ

    Aparo nayo – evanti iminā nānappakārapaṭivedhadīpakena vacanena attano atthapaṭibhānapaṭisambhidāsampattisabbhāvaṃ dīpeti. Sutanti iminā sotabbabhedapaṭivedhadīpakena vacanena dhammaniruttipaṭisambhidāsampattisabbhāvaṃ. Evanti ca idaṃ yoniso manasikāradīpakavacanaṃ bhāsamāno ‘‘ete mayā dhammā manasā anupekkhitā diṭṭhiyā suppaṭividdhā’’ti dīpeti. Sutanti idaṃ savanayogadīpakavacanaṃ bhāsamāno ‘‘bahū mayā dhammā sutā dhātā vacasā paricitā’’ti dīpeti. Tadubhayenapi atthabyañjanapāripūriṃ dīpento savane ādaraṃ janeti. Atthabyañjanaparipuṇṇaṃ hi dhammaṃ ādarena assuṇanto mahatā hitā paribāhiro hotīti ādaraṃ janetvā sakkaccaṃ dhammo sotabboti.

    เอวํ เม สุตนฺติ อิมินา ปน สกเลน วจเนน อายสฺมา อานโนฺท ตถาคตปฺปเวทิตํ ธมฺมํ อตฺตโน อทหโนฺต อสปฺปุริสภูมิํ อติกฺกมติ, สาวกตฺตํ ปฎิชานโนฺต สปฺปุริสภูมิํ โอกฺกมติฯ ตถา อสทฺธมฺมา จิตฺตํ วุฎฺฐาเปติ, สทฺธเมฺม จิตฺตํ ปติฎฺฐาเปติฯ ‘‘เกวลํ สุตเมเวตํ มยา , ตเสฺสว ปน ภควโต วจน’’นฺติ ทีเปโนฺต อตฺตานํ ปริโมเจติ , สตฺถารํ อปทิสติ, ชินวจนํ อเปฺปติ, ธมฺมเนตฺติํ ปติฎฺฐาเปติฯ

    Evaṃ me sutanti iminā pana sakalena vacanena āyasmā ānando tathāgatappaveditaṃ dhammaṃ attano adahanto asappurisabhūmiṃ atikkamati, sāvakattaṃ paṭijānanto sappurisabhūmiṃ okkamati. Tathā asaddhammā cittaṃ vuṭṭhāpeti, saddhamme cittaṃ patiṭṭhāpeti. ‘‘Kevalaṃ sutamevetaṃ mayā , tasseva pana bhagavato vacana’’nti dīpento attānaṃ parimoceti , satthāraṃ apadisati, jinavacanaṃ appeti, dhammanettiṃ patiṭṭhāpeti.

    อปิจ ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติ อตฺตนา อุปฺปาทิตภาวํ อปฺปฎิชานโนฺต ปุริมวจนํ วิวรโนฺต ‘‘สมฺมุขา ปฎิคฺคหิตมิทํ มยา ตสฺส ภควโต จตุเวสารชฺชวิสารทสฺส ทสพลธรสฺส อาสภฎฺฐานฎฺฐายิโน สีหนาทนาทิโน สพฺพสตฺตุตฺตมสฺส ธมฺมิสฺสรสฺส ธมฺมราชสฺส ธมฺมาธิปติโน ธมฺมทีปสฺส ธมฺมสรณสฺส สทฺธมฺมวรจกฺกวตฺติโน สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส วจนํ, น เอตฺถ อเตฺถ วา ธเมฺม วา ปเท วา พฺยญฺชเน วา กงฺขา วา วิมติ วา กตฺตพฺพา’’ติ สพฺพเทวมนุสฺสานํ อิมสฺมิํ ธเมฺม อสฺสทฺธิยํ วินาเสติ, สทฺธาสมฺปทํ อุปฺปาเทติฯ เตเนตํ วุจฺจติ –

    Apica ‘‘evaṃ me suta’’nti attanā uppāditabhāvaṃ appaṭijānanto purimavacanaṃ vivaranto ‘‘sammukhā paṭiggahitamidaṃ mayā tassa bhagavato catuvesārajjavisāradassa dasabaladharassa āsabhaṭṭhānaṭṭhāyino sīhanādanādino sabbasattuttamassa dhammissarassa dhammarājassa dhammādhipatino dhammadīpassa dhammasaraṇassa saddhammavaracakkavattino sammāsambuddhassa vacanaṃ, na ettha atthe vā dhamme vā pade vā byañjane vā kaṅkhā vā vimati vā kattabbā’’ti sabbadevamanussānaṃ imasmiṃ dhamme assaddhiyaṃ vināseti, saddhāsampadaṃ uppādeti. Tenetaṃ vuccati –

    ‘‘วินาสยติ อสฺสทฺธํ, สทฺธํ วเฑฺฒติ สาสเน;

    ‘‘Vināsayati assaddhaṃ, saddhaṃ vaḍḍheti sāsane;

    เอวํ เม สุตมิเจฺจวํ, วทํ โคตมสาวโก’’ติฯ

    Evaṃ me sutamiccevaṃ, vadaṃ gotamasāvako’’ti.

    เอกนฺติ คณนปริเจฺฉทนิเทฺทโสฯ สมยนฺติ ปริจฺฉินฺนนิเทฺทโสฯ เอกํ สมยนฺติ อนิยมิตปริทีปนํฯ ตตฺถ สมยสโทฺท –

    Ekanti gaṇanaparicchedaniddeso. Samayanti paricchinnaniddeso. Ekaṃ samayanti aniyamitaparidīpanaṃ. Tattha samayasaddo –

    ‘‘สมวาเย ขเณ กาเล, สมูเห เหตุทิฎฺฐิสุ;

    ‘‘Samavāye khaṇe kāle, samūhe hetudiṭṭhisu;

    ปฎิลาเภ ปหาเน จ, ปฎิเวเธ จ ทิสฺสติ’’ฯ

    Paṭilābhe pahāne ca, paṭivedhe ca dissati’’.

    ตถา หิสฺส ‘‘อเปฺปว นาม เสฺวปิ อุปสงฺกเมยฺยาม กาลญฺจ สมยญฺจ อุปาทายา’’ติ เอวมาทีสุ (ที. นิ. ๑.๔๔๗) สมวาโย อโตฺถฯ ‘‘เอโกว โข, ภิกฺขเว, ขโณ จ สมโย จ พฺรหฺมจริยวาสายา’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๘.๒๙) ขโณฯ ‘‘อุณฺหสมโย ปริฬาหสมโย’’ติอาทีสุ (ปาจิ. ๓๕๘) กาโลฯ ‘‘มหาสมโย ปวนสฺมิ’’นฺติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๓๓๒) สมูโหฯ ‘‘สมโยปิ โข เต ภทฺทาลิ อปฺปฎิวิโทฺธ อโหสิ, ภควา โข สาวตฺถิยํ วิหรติ, ภควาปิ มํ ชานิสฺสติ ‘ภทฺทาลิ นาม ภิกฺขุ สตฺถุ สาสเน สิกฺขาย อปริปูรการี’ติ, อยมฺปิ โข เต, ภทฺทาลิ, สมโย อปฺปฎิวิโทฺธ อโหสี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๑๓๕) เหตุฯ ‘‘เตน โข ปน สมเยน อุคฺคาหมาโน ปริพฺพาชโก สมณมุณฺฑิกาปุโตฺต สมยปฺปวาทเก ตินฺทุกาจีเร เอกสาลเก มลฺลิกาย อาราเม ปฎิวสตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๒๖๐) ทิฎฺฐิฯ

    Tathā hissa ‘‘appeva nāma svepi upasaṅkameyyāma kālañca samayañca upādāyā’’ti evamādīsu (dī. ni. 1.447) samavāyo attho. ‘‘Ekova kho, bhikkhave, khaṇo ca samayo ca brahmacariyavāsāyā’’tiādīsu (a. ni. 8.29) khaṇo. ‘‘Uṇhasamayo pariḷāhasamayo’’tiādīsu (pāci. 358) kālo. ‘‘Mahāsamayo pavanasmi’’ntiādīsu (dī. ni. 2.332) samūho. ‘‘Samayopi kho te bhaddāli appaṭividdho ahosi, bhagavā kho sāvatthiyaṃ viharati, bhagavāpi maṃ jānissati ‘bhaddāli nāma bhikkhu satthu sāsane sikkhāya aparipūrakārī’ti, ayampi kho te, bhaddāli, samayo appaṭividdho ahosī’’tiādīsu (ma. ni. 2.135) hetu. ‘‘Tena kho pana samayena uggāhamāno paribbājako samaṇamuṇḍikāputto samayappavādake tindukācīre ekasālake mallikāya ārāme paṭivasatī’’tiādīsu (ma. ni. 2.260) diṭṭhi.

    ‘‘ทิเฎฺฐ ธเมฺม จ โย อโตฺถ, โย จโตฺถ สมฺปรายิโก;

    ‘‘Diṭṭhe dhamme ca yo attho, yo cattho samparāyiko;

    อตฺถาภิสมยา ธีโร, ปณฺฑิโตติ ปวุจฺจตี’’ติฯ –

    Atthābhisamayā dhīro, paṇḍitoti pavuccatī’’ti. –

    อาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๑๒๙) ปฎิลาโภฯ ‘‘สมฺมา มานาภิสมยา อนฺตมกาสิ ทุกฺขสฺสา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๘) ปหานํฯ ‘‘ทุกฺขสฺส ปีฬนโฎฺฐ สงฺขตโฎฺฐ สนฺตาปโฎฺฐ วิปริณามโฎฺฐ อภิสมยโฎฺฐ’’ติอาทีสุ (ปฎิ. ม. ๒.๘) ปฎิเวโธฯ อิธ ปนสฺส กาโล อโตฺถฯ เตน สํวจฺฉร-อุตุ-มาส-อฑฺฒมาส-รตฺติ-ทิว-ปุพฺพณฺห-มชฺฌนฺหิก-สายนฺห-ปฐม-มชฺฌิม- ปจฺฉิมยาม-มุหุตฺตาทีสุ กาลปฺปเภทภูเตสุ สมเยสุ เอกํ สมยนฺติ ทีเปติฯ

    Ādīsu (saṃ. ni. 1.129) paṭilābho. ‘‘Sammā mānābhisamayā antamakāsi dukkhassā’’tiādīsu (ma. ni. 1.28) pahānaṃ. ‘‘Dukkhassa pīḷanaṭṭho saṅkhataṭṭho santāpaṭṭho vipariṇāmaṭṭho abhisamayaṭṭho’’tiādīsu (paṭi. ma. 2.8) paṭivedho. Idha panassa kālo attho. Tena saṃvacchara-utu-māsa-aḍḍhamāsa-ratti-diva-pubbaṇha-majjhanhika-sāyanha-paṭhama-majjhima- pacchimayāma-muhuttādīsu kālappabhedabhūtesu samayesu ekaṃ samayanti dīpeti.

    ตตฺถ กิญฺจาปิ เอเตสุ สํวจฺฉราทีสุ ยํ ยํ สุตฺตํ ยมฺหิ ยมฺหิ สํวจฺฉเร อุตุมฺหิ มาเส ปเกฺข รตฺติภาเค ทิวสภาเค วา วุตฺตํ, สพฺพํ ตํ เถรสฺส สุวิทิตํ สุววตฺถาปิตํ ปญฺญายฯ ยสฺมา ปน ‘‘เอวํ เม สุตํ อสุกสํวจฺฉเร อสุกอุตุมฺหิ อสุกมาเส อสุกปเกฺข อสุกรตฺติภาเค อสุกทิวสภาเค วา’’ติ เอวํ วุเตฺต น สกฺกา สุเขน ธาเรตุํ วา อุทฺทิสิตุํ วา อุทฺทิสาเปตุํ วา, พหุ จ วตฺตพฺพํ โหติ, ตสฺมา เอเกเนว ปเทน ตมตฺถํ สโมธาเนตฺวา ‘‘เอกํ สมย’’นฺติ อาหฯ

    Tattha kiñcāpi etesu saṃvaccharādīsu yaṃ yaṃ suttaṃ yamhi yamhi saṃvacchare utumhi māse pakkhe rattibhāge divasabhāge vā vuttaṃ, sabbaṃ taṃ therassa suviditaṃ suvavatthāpitaṃ paññāya. Yasmā pana ‘‘evaṃ me sutaṃ asukasaṃvacchare asukautumhi asukamāse asukapakkhe asukarattibhāge asukadivasabhāge vā’’ti evaṃ vutte na sakkā sukhena dhāretuṃ vā uddisituṃ vā uddisāpetuṃ vā, bahu ca vattabbaṃ hoti, tasmā ekeneva padena tamatthaṃ samodhānetvā ‘‘ekaṃ samaya’’nti āha.

    เย วา อิเม คโพฺภกฺกนฺติสมโย ชาติสมโย สํเวคสมโย อภินิกฺขมนสมโย ทุกฺกรการิกสมโย มารวิชยสมโย อภิสโมฺพธิสมโย ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารสมโย เทสนาสมโย ปรินิพฺพานสมโยติ เอวมาทโย ภควโต เทวมนุเสฺสสุ อติวิย สุปฺปกาสา อเนกกาลปฺปเภทา เอว สมยา, เตสุ สมเยสุ เทสนาสมยสงฺขาตํ เอกํ สมยนฺติ ทีเปติฯ โย จายํ ญาณกรุณากิจฺจสมเยสุ กรุณากิจฺจสมโย, อตฺตหิตปรหิต-ปฎิปตฺติสมเยสุ ปรหิต-ปฎิปตฺติสมโย, สนฺนิปติตานํ กรณียทฺวยสมเยสุ ธมฺมิกถาสมโย, เทสนาปฎิปตฺติสมเยสุ เทสนาสมโย, เตสุปิ สมเยสุ อญฺญตรํ สนฺธาย ‘‘เอกํ สมย’’นฺติ อาหฯ

    Ye vā ime gabbhokkantisamayo jātisamayo saṃvegasamayo abhinikkhamanasamayo dukkarakārikasamayo māravijayasamayo abhisambodhisamayo diṭṭhadhammasukhavihārasamayo desanāsamayo parinibbānasamayoti evamādayo bhagavato devamanussesu ativiya suppakāsā anekakālappabhedā eva samayā, tesu samayesu desanāsamayasaṅkhātaṃ ekaṃ samayanti dīpeti. Yo cāyaṃ ñāṇakaruṇākiccasamayesu karuṇākiccasamayo, attahitaparahita-paṭipattisamayesu parahita-paṭipattisamayo, sannipatitānaṃ karaṇīyadvayasamayesu dhammikathāsamayo, desanāpaṭipattisamayesu desanāsamayo, tesupi samayesu aññataraṃ sandhāya ‘‘ekaṃ samaya’’nti āha.

    กสฺมา ปเนตฺถ ยถา อภิธเมฺม ‘‘ยสฺมิํ สมเย กามาวจร’’นฺติ จ, อิโต อเญฺญสุ จ สุตฺตปเทสุ ‘‘ยสฺมิํ สมเย, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ วิวิเจฺจว กาเมหี’’ติ จ ภุมฺมวจเนน นิเทฺทโส กโต, วินเย จ ‘‘เตน สมเยน พุโทฺธ ภควา’’ติ กรณวจเนน นิเทฺทโส กโต, ตถา อกตฺวา ‘‘เอกํ สมย’’นฺติ อุปโยควจเนน นิเทฺทโส กโตติฯ ตตฺถ ตถา, อิธ จ อญฺญถา อตฺถสมฺภวโตฯ ตตฺถ หิ อภิธเมฺม อิโต อเญฺญสุ สุตฺตปเทสุ จ อธิกรณโตฺถ ภาเวนภาวลกฺขณโตฺถ จ สมฺภวติฯ อธิกรณํ หิ กาลโตฺถ สมูหโตฺถ จ สมโย, ตตฺถ วุตฺตานํ ผสฺสาทิธมฺมานํ ขณสมวายเหตุสงฺขาตสฺส จ สมยสฺส ภาเวน เตสํ ภาโว ลกฺขียติ, ตสฺมา ตทตฺถโชตนตฺถํ ตตฺถ ภุมฺมวจเนน นิเทฺทโส กโตฯ

    Kasmā panettha yathā abhidhamme ‘‘yasmiṃ samaye kāmāvacara’’nti ca, ito aññesu ca suttapadesu ‘‘yasmiṃ samaye, bhikkhave, bhikkhu vivicceva kāmehī’’ti ca bhummavacanena niddeso kato, vinaye ca ‘‘tena samayena buddho bhagavā’’ti karaṇavacanena niddeso kato, tathā akatvā ‘‘ekaṃ samaya’’nti upayogavacanena niddeso katoti. Tattha tathā, idha ca aññathā atthasambhavato. Tattha hi abhidhamme ito aññesu suttapadesu ca adhikaraṇattho bhāvenabhāvalakkhaṇattho ca sambhavati. Adhikaraṇaṃ hi kālattho samūhattho ca samayo, tattha vuttānaṃ phassādidhammānaṃ khaṇasamavāyahetusaṅkhātassa ca samayassa bhāvena tesaṃ bhāvo lakkhīyati, tasmā tadatthajotanatthaṃ tattha bhummavacanena niddeso kato.

    วินเย จ เหตุอโตฺถ กรณโตฺถ จ สมฺภวติฯ โย หิ โส สิกฺขาปทปญฺญตฺติสมโย สาริปุตฺตาทีหิปิ ทุพฺพิเญฺญโยฺย, เตน สมเยน เหตุภูเตน กรณภูเตน จ สิกฺขาปทานิ ปญฺญาปยโนฺต สิกฺขาปทปญฺญตฺติเหตุญฺจ อเปกฺขมาโน ภควา ตตฺถ ตตฺถ วิหาสิฯ ตสฺมา ตทตฺถโชตนตฺถํ ตตฺถ กรณวจเนน นิเทฺทโส กโตฯ

    Vinaye ca hetuattho karaṇattho ca sambhavati. Yo hi so sikkhāpadapaññattisamayo sāriputtādīhipi dubbiññeyyo, tena samayena hetubhūtena karaṇabhūtena ca sikkhāpadāni paññāpayanto sikkhāpadapaññattihetuñca apekkhamāno bhagavā tattha tattha vihāsi. Tasmā tadatthajotanatthaṃ tattha karaṇavacanena niddeso kato.

    อิธ ปน อญฺญสฺมิญฺจ เอวํชาติเก อจฺจนฺตสํโยคโตฺถ สมฺภวติฯ ยญฺหิ สมยํ ภควา อิมํ อญฺญํ วา สุตฺตนฺตํ เทเสสิ, อจฺจนฺตเมว ตํ สมยํ กรุณาวิหาเรน วิหาสิฯ ตสฺมา ตทตฺถโชตนตฺถํ อิธ อุปโยควจนนิเทฺทโส กโตติฯ เตเนตํ วุจฺจติ –

    Idha pana aññasmiñca evaṃjātike accantasaṃyogattho sambhavati. Yañhi samayaṃ bhagavā imaṃ aññaṃ vā suttantaṃ desesi, accantameva taṃ samayaṃ karuṇāvihārena vihāsi. Tasmā tadatthajotanatthaṃ idha upayogavacananiddeso katoti. Tenetaṃ vuccati –

    ‘‘ตํ ตํ อตฺถมเปกฺขิตฺวา, ภุเมฺมน กรเณน จ;

    ‘‘Taṃ taṃ atthamapekkhitvā, bhummena karaṇena ca;

    อญฺญตฺร สมโย วุโตฺต, อุปโยเคน โส อิธา’’ติฯ

    Aññatra samayo vutto, upayogena so idhā’’ti.

    โปราณา ปน วณฺณยนฺติ – ‘‘ตสฺมิํ สมเย’’ติ วา ‘‘เตน สมเยนา’’ติ วา ‘‘เอกํ สมย’’นฺติ วา อภิลาปมตฺตเภโท เอส, สพฺพตฺถ ภุมฺมเมวโตฺถติฯ ตสฺมา ‘‘เอกํ สมย’’นฺติ วุเตฺตปิ ‘‘เอกสฺมิํ สมเย’’ติ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Porāṇā pana vaṇṇayanti – ‘‘tasmiṃ samaye’’ti vā ‘‘tena samayenā’’ti vā ‘‘ekaṃ samaya’’nti vā abhilāpamattabhedo esa, sabbattha bhummamevatthoti. Tasmā ‘‘ekaṃ samaya’’nti vuttepi ‘‘ekasmiṃ samaye’’ti attho veditabbo.

    ภควาติ ครุฯ ครุญฺหิ โลเก ‘‘ภควา’’ติ วทนฺติฯ อยญฺจ สพฺพคุณวิสิฎฺฐตาย สพฺพสตฺตานํ ครุ, ตสฺมา ‘‘ภควา’’ติ เวทิตโพฺพฯ โปราเณหิปิ วุตฺตํ –

    Bhagavāti garu. Garuñhi loke ‘‘bhagavā’’ti vadanti. Ayañca sabbaguṇavisiṭṭhatāya sabbasattānaṃ garu, tasmā ‘‘bhagavā’’ti veditabbo. Porāṇehipi vuttaṃ –

    ‘‘ภควาติ วจนํ เสฎฺฐํ, ภควาติ วจนมุตฺตมํ;

    ‘‘Bhagavāti vacanaṃ seṭṭhaṃ, bhagavāti vacanamuttamaṃ;

    ครุ คารวยุโตฺต โส, ภควา เตน วุจฺจตี’’ติฯ

    Garu gāravayutto so, bhagavā tena vuccatī’’ti.

    อปิจ –

    Apica –

    ‘‘ภาคฺยวา ภคฺควา ยุโตฺต, ภเคหิ จ วิภตฺตวา;

    ‘‘Bhāgyavā bhaggavā yutto, bhagehi ca vibhattavā;

    ภตฺตวา วนฺตคมโน, ภเวสุ ภควา ตโต’’ติฯ –

    Bhattavā vantagamano, bhavesu bhagavā tato’’ti. –

    อิมิสฺสาปิ คาถาย วเสนสฺส ปทสฺส วิตฺถารโต อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ โส จ วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๑๔๒, ๑๔๔) พุทฺธานุสฺสตินิเทฺทเส วุโตฺตเยวฯ

    Imissāpi gāthāya vasenassa padassa vitthārato attho veditabbo. So ca visuddhimagge (visuddhi. 1.142, 144) buddhānussatiniddese vuttoyeva.

    เอตฺตาวตา เจตฺถ เอวํ เม สุตนฺติ วจเนน ยถาสุตํ ธมฺมํ ทเสฺสโนฺต ภควโต ธมฺมสรีรํ ปจฺจกฺขํ กโรติฯ เตน ‘‘น อิทํ อติกฺกนฺตสตฺถุกํ ปาวจนํ, อยํ โว สตฺถา’’ติ สตฺถุ อทสฺสเนน อุกฺกณฺฐิตํ ชนํ สมสฺสาเสติฯ เอกํ สมยํ ภควาติ วจเนน ตสฺมิํ สมเย ภควโต อวิชฺชมานภาวํ ทเสฺสโนฺต รูปกายปรินิพฺพานํ สาเธติฯ เตน ‘‘เอวํวิธสฺส นาม อริยธมฺมสฺส เทสโก ทสพลธโร วชิรสงฺฆาตสมานกาโย โสปิ ภควา ปรินิพฺพุโต, เกน อเญฺญน ชีวิเต อาสา ชเนตพฺพา’’ติ ชีวิตมทมตฺตํ ชนํ สํเวเชติ, สทฺธเมฺม จสฺส อุสฺสาหํ ชเนติฯ เอวนฺติ จ ภณโนฺต เทสนาสมฺปตฺติํ นิทฺทิสติฯ เม สุตนฺติ สาวกสมฺปตฺติํฯ เอกํ สมยนฺติ กาลสมฺปตฺติํฯ ภควาติ เทสกสมฺปตฺติํฯ

    Ettāvatā cettha evaṃ me sutanti vacanena yathāsutaṃ dhammaṃ dassento bhagavato dhammasarīraṃ paccakkhaṃ karoti. Tena ‘‘na idaṃ atikkantasatthukaṃ pāvacanaṃ, ayaṃ vo satthā’’ti satthu adassanena ukkaṇṭhitaṃ janaṃ samassāseti. Ekaṃ samayaṃ bhagavāti vacanena tasmiṃ samaye bhagavato avijjamānabhāvaṃ dassento rūpakāyaparinibbānaṃ sādheti. Tena ‘‘evaṃvidhassa nāma ariyadhammassa desako dasabaladharo vajirasaṅghātasamānakāyo sopi bhagavā parinibbuto, kena aññena jīvite āsā janetabbā’’ti jīvitamadamattaṃ janaṃ saṃvejeti, saddhamme cassa ussāhaṃ janeti. Evanti ca bhaṇanto desanāsampattiṃ niddisati. Me sutanti sāvakasampattiṃ. Ekaṃ samayanti kālasampattiṃ. Bhagavāti desakasampattiṃ.

    สาวตฺถิยนฺติ เอวํนามเก นคเรฯ สมีปเตฺถ เจตํ ภุมฺมวจนํฯ วิหรตีติ อวิเสเสน อิริยาปถทิพฺพพฺรหฺมอริยวิหาเรสุ อญฺญตรวิหารสมงฺคิปริทีปนเมตํฯ อิธ ปน ฐานคมนนิสชฺชาสยนปฺปเภเทสุ อิริยาปเถสุ อญฺญตรอิริยาปถสมาโยคปริทีปนํ, เตน ฐิโตปิ คจฺฉโนฺตปิ นิสิโนฺนปิ สยาโนปิ ภควา วิหรติเจฺจว เวทิตโพฺพฯ โส หิ เอกํ อิริยาปถพาธนํ อเญฺญน อิริยาปเถน วิจฺฉินฺทิตฺวา อปริปตนฺตํ อตฺตภาวํ หรติ ปวเตฺตติ, ตสฺมา ‘‘วิหรตี’’ติ วุจฺจติฯ

    Sāvatthiyanti evaṃnāmake nagare. Samīpatthe cetaṃ bhummavacanaṃ. Viharatīti avisesena iriyāpathadibbabrahmaariyavihāresu aññataravihārasamaṅgiparidīpanametaṃ. Idha pana ṭhānagamananisajjāsayanappabhedesu iriyāpathesu aññatarairiyāpathasamāyogaparidīpanaṃ, tena ṭhitopi gacchantopi nisinnopi sayānopi bhagavā viharaticceva veditabbo. So hi ekaṃ iriyāpathabādhanaṃ aññena iriyāpathena vicchinditvā aparipatantaṃ attabhāvaṃ harati pavatteti, tasmā ‘‘viharatī’’ti vuccati.

    เชตวเนติ เชตสฺส ราชกุมารสฺส วเนฯ ตญฺหิ เตน โรปิตํ สํวฑฺฒิตํ ปริปาลิตํ, โส จสฺส สามี อโหสิ, ตสฺมา เชตวนนฺติ สงฺขํ คตํ, ตสฺมิํ เชตวเนฯ อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมติ อนาถปิณฺฑิเกน คหปตินา จตุปญฺญาสหิรญฺญโกฎิปริจฺจาเคน พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส นิยฺยาติตตฺตา อนาถปิณฺฑิกสฺสาติ สงฺขํ คเต อาราเม ฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมฎฺฐกถาย สพฺพาสวสุตฺตวณฺณนายํ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๔ อาทโย) วุโตฺตฯ

    Jetavaneti jetassa rājakumārassa vane. Tañhi tena ropitaṃ saṃvaḍḍhitaṃ paripālitaṃ, so cassa sāmī ahosi, tasmā jetavananti saṅkhaṃ gataṃ, tasmiṃ jetavane. Anāthapiṇḍikassa ārāmeti anāthapiṇḍikena gahapatinā catupaññāsahiraññakoṭipariccāgena buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa niyyātitattā anāthapiṇḍikassāti saṅkhaṃ gate ārāme . Ayamettha saṅkhepo, vitthāro pana papañcasūdaniyā majjhimaṭṭhakathāya sabbāsavasuttavaṇṇanāyaṃ (ma. ni. aṭṭha. 1.14 ādayo) vutto.

    ตตฺถ สิยา – ยทิ ตาว ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ, ‘‘เชตวเน’’ติ น วตฺตพฺพํฯ อถ ตตฺถ วิหรติ, ‘‘สาวตฺถิย’’นฺติ น วตฺตพฺพํฯ น หิ สกฺกา อุภยตฺถ เอกํ สมยํ วิหริตุนฺติฯ น โข ปเนตํ เอวํ ทฎฺฐพฺพํฯ นนุ อโวจุมฺห ‘‘สมีปเตฺถ ภุมฺมวจน’’นฺติฯ ตสฺมา ยถา คงฺคายมุนาทีนํ สมีเป โคยูถานิ จรนฺตานิ ‘‘คงฺคาย จรนฺติ, ยมุนาย จรนฺตี’’ติ วุจฺจนฺติ, เอวมิธาปิ ยทิทํ สาวตฺถิยา สมีเป เชตวนํ, ตตฺถ วิหรโนฺต วุจฺจติ ‘‘สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน’’ติฯ โคจรคามนิทสฺสนตฺถํ หิสฺส สาวตฺถิวจนํ, ปพฺพชิตานุรูปนิวาสนฎฺฐานนิทสฺสนตฺถํ เสสวจนํฯ

    Tattha siyā – yadi tāva bhagavā sāvatthiyaṃ viharati, ‘‘jetavane’’ti na vattabbaṃ. Atha tattha viharati, ‘‘sāvatthiya’’nti na vattabbaṃ. Na hi sakkā ubhayattha ekaṃ samayaṃ viharitunti. Na kho panetaṃ evaṃ daṭṭhabbaṃ. Nanu avocumha ‘‘samīpatthe bhummavacana’’nti. Tasmā yathā gaṅgāyamunādīnaṃ samīpe goyūthāni carantāni ‘‘gaṅgāya caranti, yamunāya carantī’’ti vuccanti, evamidhāpi yadidaṃ sāvatthiyā samīpe jetavanaṃ, tattha viharanto vuccati ‘‘sāvatthiyaṃ viharati jetavane’’ti. Gocaragāmanidassanatthaṃ hissa sāvatthivacanaṃ, pabbajitānurūpanivāsanaṭṭhānanidassanatthaṃ sesavacanaṃ.

    ตตฺถ สาวตฺถิวจเนน อายสฺมา อานโนฺท ภควโต คหฎฺฐานุคฺคหกรณํ ทเสฺสติ, เชตวนาทิกิตฺตเนน ปพฺพชิตานุคฺคหกรณํฯ ตถา ปุริเมน ปจฺจยคฺคหณโต อตฺตกิลมถานุโยควิวชฺชนํ, ปจฺฉิเมน วตฺถุกามปฺปหานโต กามสุขลฺลิกานุโยควิวชฺชนูปายทสฺสนํฯ ปุริเมน จ ธมฺมเทสนาภิโยคํ, ปจฺฉิเมน วิเวกาธิมุตฺติํฯ ปุริเมน กรุณาย อุปคมนํ, ปจฺฉิเมน ปญฺญาย อปคมนํฯ ปุริเมน สตฺตานํ หิตสุขนิปฺผาทนาธิมุตฺติตํ, ปจฺฉิเมน ปรหิตสุขกรเณ นิรุปเลปตํฯ ปุริเมน ธมฺมิกสุขาปริจฺจาคนิมิตฺตผาสุวิหารํ, ปจฺฉิเมน อุตฺตริมนุสฺสธมฺมานุโยคนิมิตฺตํฯ ปุริเมน มนุสฺสานํ อุปการพหุลตํ, ปจฺฉิเมน เทวตานํฯ ปุริเมน โลเก ชาตสฺส โลเก สํวฑฺฒภาวํ, ปจฺฉิเมน โลเกน อนุปลิตฺตตํฯ ปุริเมน ‘‘เอกปุคฺคโล, ภิกฺขเว, โลเก อุปฺปชฺชมาโน อุปฺปชฺชติ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานํฯ กตโม เอกปุคฺคโล? ตถาคโต อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ’’ติ (อ. นิ. ๑.๑๗๐) วจนโต ยทตฺถํ ภควา อุปฺปโนฺน, ตทตฺถปรินิปฺผาทนํ, ปจฺฉิเมน ยตฺถ อุปฺปโนฺน, ตทนุรูปวิหารํฯ ภควา หิ ปฐมํ ลุมฺพินิวเน, ทุติยํ โพธิมเณฺฑติ โลกิยโลกุตฺตราย อุปฺปตฺติยา วเนเยว อุปฺปโนฺนฯ เตนสฺส วเนเยว วิหารํ ทเสฺสตีติ เอวมาทินา นเยเนตฺถ อตฺถโยชนา เวทิตพฺพาฯ

    Tattha sāvatthivacanena āyasmā ānando bhagavato gahaṭṭhānuggahakaraṇaṃ dasseti, jetavanādikittanena pabbajitānuggahakaraṇaṃ. Tathā purimena paccayaggahaṇato attakilamathānuyogavivajjanaṃ, pacchimena vatthukāmappahānato kāmasukhallikānuyogavivajjanūpāyadassanaṃ. Purimena ca dhammadesanābhiyogaṃ, pacchimena vivekādhimuttiṃ. Purimena karuṇāya upagamanaṃ, pacchimena paññāya apagamanaṃ. Purimena sattānaṃ hitasukhanipphādanādhimuttitaṃ, pacchimena parahitasukhakaraṇe nirupalepataṃ. Purimena dhammikasukhāpariccāganimittaphāsuvihāraṃ, pacchimena uttarimanussadhammānuyoganimittaṃ. Purimena manussānaṃ upakārabahulataṃ, pacchimena devatānaṃ. Purimena loke jātassa loke saṃvaḍḍhabhāvaṃ, pacchimena lokena anupalittataṃ. Purimena ‘‘ekapuggalo, bhikkhave, loke uppajjamāno uppajjati bahujanahitāya bahujanasukhāya lokānukampāya atthāya hitāya sukhāya devamanussānaṃ. Katamo ekapuggalo? Tathāgato arahaṃ sammāsambuddho’’ti (a. ni. 1.170) vacanato yadatthaṃ bhagavā uppanno, tadatthaparinipphādanaṃ, pacchimena yattha uppanno, tadanurūpavihāraṃ. Bhagavā hi paṭhamaṃ lumbinivane, dutiyaṃ bodhimaṇḍeti lokiyalokuttarāya uppattiyā vaneyeva uppanno. Tenassa vaneyeva vihāraṃ dassetīti evamādinā nayenettha atthayojanā veditabbā.

    ตตฺราติ เทสกาลปริทีปนํฯ ตญฺหิ ยํ สมยํ วิหรติ, ตตฺร สมเยฯ ยสฺมิญฺจ อาราเม วิหรติ, ตตฺร อาราเมติ ทีเปติฯ ภาสิตพฺพยุเตฺต วา เทสกาเล ทีเปติฯ น หิ ภควา อยุเตฺต เทเส วา กาเล วา ธมฺมํ ภาสติฯ ‘‘อกาโล โข ตาว, พาหิยา’’ติอาทิ (อุทา. ๑๐) เจตฺถ สาธกํฯ โขติ ปทปูรณมเตฺต อวธารเณ อาทิกาลเตฺถ วา นิปาโตฯ ภควาติ โลกครุทีปนํฯ ภิกฺขูติ กถาสวนยุตฺตปุคฺคลวจนํฯ อปิ เจตฺถ ‘‘ภิกฺขโกติ ภิกฺขุ, ภิกฺขาจริยํ อชฺฌุปคโตติ ภิกฺขู’’ติอาทินา (ปารา. ๔๕; วิภ. ๕๑๑) นเยน วจนโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อามเนฺตสีติ อาลปิ อภาสิ สโมฺพเธสีติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ อญฺญตฺร ปน ญาปเนปิ โหติฯ ยถาห – ‘‘อามนฺตยามิ โว, ภิกฺขเว, ปฎิเวทยามิ โว, ภิกฺขเว’’ติฯ ปโกฺกสเนปิฯ ยถาห – ‘‘เอหิ ตฺวํ, ภิกฺขุ, มม วจเนน สาริปุตฺตํ อามเนฺตหี’’ติ (อ. นิ. ๙.๑๑; สํ. นิ. ๒.๓๒)ฯ

    Tatrāti desakālaparidīpanaṃ. Tañhi yaṃ samayaṃ viharati, tatra samaye. Yasmiñca ārāme viharati, tatra ārāmeti dīpeti. Bhāsitabbayutte vā desakāle dīpeti. Na hi bhagavā ayutte dese vā kāle vā dhammaṃ bhāsati. ‘‘Akālo kho tāva, bāhiyā’’tiādi (udā. 10) cettha sādhakaṃ. Khoti padapūraṇamatte avadhāraṇe ādikālatthe vā nipāto. Bhagavāti lokagarudīpanaṃ. Bhikkhūti kathāsavanayuttapuggalavacanaṃ. Api cettha ‘‘bhikkhakoti bhikkhu, bhikkhācariyaṃ ajjhupagatoti bhikkhū’’tiādinā (pārā. 45; vibha. 511) nayena vacanattho veditabbo. Āmantesīti ālapi abhāsi sambodhesīti ayamettha attho. Aññatra pana ñāpanepi hoti. Yathāha – ‘‘āmantayāmi vo, bhikkhave, paṭivedayāmi vo, bhikkhave’’ti. Pakkosanepi. Yathāha – ‘‘ehi tvaṃ, bhikkhu, mama vacanena sāriputtaṃ āmantehī’’ti (a. ni. 9.11; saṃ. ni. 2.32).

    ภิกฺขโวติ อามนฺตนาการปริทีปนํฯ ตญฺจ ภิกฺขนสีลตาทิคุณโยคสิทฺธตฺตา วุตฺตํฯ ภิกฺขนสีลตาคุณยุโตฺตปิ หิ ภิกฺขุ, ภิกฺขนธมฺมตาคุณยุโตฺตปิ ภิกฺขุ, ภิกฺขเน สาธุการิตาคุณยุโตฺตปีติ สทฺทวิทู มญฺญนฺติฯ เตน จ เนสํ ภิกฺขนสีลตาทิคุณโยคสิเทฺธน วจเนน หีนาธิกชนเสวิตํ วุตฺติํ ปกาเสโนฺต อุทฺธตทีนภาวนิคฺคหํ กโรติฯ ภิกฺขโวติ อิมินา กรุณาวิปฺผารโสมฺมหทยนยนนิปาตปุพฺพงฺคเมน วจเนน เต อตฺตโน มุขาภิมุเข กโรติฯ เตเนว จ กเถตุกมฺยตาทีปเกน วจเนน เตสํ โสตุกมฺยตํ ชเนติฯ เตเนว จ สโมฺพธนเตฺถน สาธุกํ สวนมนสิกาเรปิ เต นิโยเชติฯ สาธุกํ สวนมนสิการายตฺตา หิ สาสนสมฺปตฺติฯ

    Bhikkhavoti āmantanākāraparidīpanaṃ. Tañca bhikkhanasīlatādiguṇayogasiddhattā vuttaṃ. Bhikkhanasīlatāguṇayuttopi hi bhikkhu, bhikkhanadhammatāguṇayuttopi bhikkhu, bhikkhane sādhukāritāguṇayuttopīti saddavidū maññanti. Tena ca nesaṃ bhikkhanasīlatādiguṇayogasiddhena vacanena hīnādhikajanasevitaṃ vuttiṃ pakāsento uddhatadīnabhāvaniggahaṃ karoti. Bhikkhavoti iminā karuṇāvipphārasommahadayanayananipātapubbaṅgamena vacanena te attano mukhābhimukhe karoti. Teneva ca kathetukamyatādīpakena vacanena tesaṃ sotukamyataṃ janeti. Teneva ca sambodhanatthena sādhukaṃ savanamanasikārepi te niyojeti. Sādhukaṃ savanamanasikārāyattā hi sāsanasampatti.

    อปเรสุปิ เทวมนุเสฺสสุ วิชฺชมาเนสุ กสฺมา ภิกฺขูเยว อามเนฺตสีติ เจ? เชฎฺฐเสฎฺฐาสนฺนสทาสนฺนิหิตภาวโตฯ สพฺพปริสสาธารณา หิ ภควโต ธมฺมเทสนาฯ ปริสาย จ เชฎฺฐา ภิกฺขู ปฐมุปฺปนฺนตฺตา, เสฎฺฐา อนคาริยภาวํ อาทิํ กตฺวา สตฺถุจริยานุวิธายกตฺตา สกลสาสนปฎิคฺคาหกตฺตา จฯ อาสนฺนา เต ตตฺถ นิสิเนฺนสุ สตฺถุสนฺติกตฺตาฯ สทาสนฺนิหิตา สตฺถุสนฺติกาวจรตฺตาติฯ อปิจ เต ธมฺมเทสนาย ภาชนํ ยถานุสิฎฺฐํ ปฎิปตฺติสพฺภาวโตติปิ เต เอว อามเนฺตสิฯ

    Aparesupi devamanussesu vijjamānesu kasmā bhikkhūyeva āmantesīti ce? Jeṭṭhaseṭṭhāsannasadāsannihitabhāvato. Sabbaparisasādhāraṇā hi bhagavato dhammadesanā. Parisāya ca jeṭṭhā bhikkhū paṭhamuppannattā, seṭṭhā anagāriyabhāvaṃ ādiṃ katvā satthucariyānuvidhāyakattā sakalasāsanapaṭiggāhakattā ca. Āsannā te tattha nisinnesu satthusantikattā. Sadāsannihitā satthusantikāvacarattāti. Apica te dhammadesanāya bhājanaṃ yathānusiṭṭhaṃ paṭipattisabbhāvatotipi te eva āmantesi.

    กิมตฺถํ ปน ภควา ธมฺมํ เทเสโนฺต ปฐมํ ภิกฺขู อามเนฺตสิ, น ธมฺมเมว เทเสสีติ? สติชนนตฺถํฯ ภิกฺขู หิ อญฺญํ จิเนฺตนฺตาปิ วิกฺขิตฺตจิตฺตาปิ ธมฺมํ ปจฺจเวกฺขนฺตาปิ กมฺมฎฺฐานํ มนสิกโรนฺตาปิ นิสินฺนา โหนฺติ, เต อนามเนฺตตฺวา ธเมฺม เทสิยมาเน ‘‘อยํ เทสนา กิํนิทานา กิํปจฺจยา กตมาย อฎฺฐุปฺปตฺติยา เทสิตา’’ติ สลฺลเกฺขตุํ อสโกฺกนฺตา ทุคฺคหิตํ วา คเณฺหยฺยุํ, น วา คเณฺหยฺยุํฯ เตน เนสํ สติชนนตฺถํ ภควา ปฐมํ อามเนฺตตฺวา ปจฺฉา ธมฺมํ เทเสติฯ

    Kimatthaṃ pana bhagavā dhammaṃ desento paṭhamaṃ bhikkhū āmantesi, na dhammameva desesīti? Satijananatthaṃ. Bhikkhū hi aññaṃ cintentāpi vikkhittacittāpi dhammaṃ paccavekkhantāpi kammaṭṭhānaṃ manasikarontāpi nisinnā honti, te anāmantetvā dhamme desiyamāne ‘‘ayaṃ desanā kiṃnidānā kiṃpaccayā katamāya aṭṭhuppattiyā desitā’’ti sallakkhetuṃ asakkontā duggahitaṃ vā gaṇheyyuṃ, na vā gaṇheyyuṃ. Tena nesaṃ satijananatthaṃ bhagavā paṭhamaṃ āmantetvā pacchā dhammaṃ deseti.

    ภทเนฺตติ คารววจนเมตํ, สตฺถุ ปฎิวจนทานํ วาฯ อปิ เจตฺถ ‘‘ภิกฺขโว’’ติ วทมาโน ภควา เต ภิกฺขู อาลปติฯ ‘‘ภทเนฺต’’ติ วทมานา เต ภควนฺตํ ปจฺจาลปนฺติฯ ตถา ‘‘ภิกฺขโว’’ติ ภควา อาทิมฺหิ ภาสติ, ‘‘ภทเนฺต’’ติ เต ปจฺจาภาสนฺติฯ ‘‘ภิกฺขโว’’ติ ปฎิวจนํ ทาเปติ, ‘‘ภทเนฺต’’ติ ปฎิวจนํ เทนฺติฯ เต ภิกฺขูติ เย ภควา อามเนฺตสิ, เตฯ ภควโต ปจฺจโสฺสสุนฺติ ภควโต อามนฺตนํ ปฎิอโสฺสสุํ, อภิมุขา หุตฺวา สุณิํสุ สมฺปฎิจฺฉิํสุ ปฎิคฺคเหสุนฺติ อโตฺถฯ ภควา เอตทโวจาติ ภควา เอตํ อิทานิ วตฺตพฺพํ สกลํ สุตฺตํ อโวจฯ เอตฺตาวตา จ ยํ อายสฺมตา อานเนฺทน อิมสฺส สุตฺตสฺส สุขาวคาหณตฺถํ กาลเทสเทสกปริสาปเทสปฎิมณฺฑิตํ นิทานํ ภาสิตํ, ตสฺส อตฺถวณฺณนา สมตฺตาติฯ

    Bhadanteti gāravavacanametaṃ, satthu paṭivacanadānaṃ vā. Api cettha ‘‘bhikkhavo’’ti vadamāno bhagavā te bhikkhū ālapati. ‘‘Bhadante’’ti vadamānā te bhagavantaṃ paccālapanti. Tathā ‘‘bhikkhavo’’ti bhagavā ādimhi bhāsati, ‘‘bhadante’’ti te paccābhāsanti. ‘‘Bhikkhavo’’ti paṭivacanaṃ dāpeti, ‘‘bhadante’’ti paṭivacanaṃ denti. Te bhikkhūti ye bhagavā āmantesi, te. Bhagavato paccassosunti bhagavato āmantanaṃ paṭiassosuṃ, abhimukhā hutvā suṇiṃsu sampaṭicchiṃsu paṭiggahesunti attho. Bhagavāetadavocāti bhagavā etaṃ idāni vattabbaṃ sakalaṃ suttaṃ avoca. Ettāvatā ca yaṃ āyasmatā ānandena imassa suttassa sukhāvagāhaṇatthaṃ kāladesadesakaparisāpadesapaṭimaṇḍitaṃ nidānaṃ bhāsitaṃ, tassa atthavaṇṇanā samattāti.

    รูปาทิวณฺณนา

    Rūpādivaṇṇanā

    อิทานิ นาหํ, ภิกฺขเว, อญฺญํ เอกรูปมฺปิ สมนุปสฺสามีติอาทินา นเยน ภควตา นิกฺขิตฺตสฺส สุตฺตสฺส วณฺณนาย โอกาโส อนุปฺปโตฺต, สา ปเนสา สุตฺตวณฺณนา ยสฺมา สุตฺตนิเกฺขปํ วิจาเรตฺวาว วุจฺจมานา ปากฎา โหติ, ตสฺมา สุตฺตนิเกฺขปวิจารณา ตาว เวทิตพฺพาฯ จตฺตาโร หิ สุตฺตนิเกฺขปา อตฺตชฺฌาสโย ปรชฺฌาสโย ปุจฺฉาวสิโก อฎฺฐุปฺปตฺติโกติฯ ตตฺถ ยานิ สุตฺตานิ ภควา ปเรหิ อนชฺฌิโฎฺฐ เกวลํ อตฺตโน อชฺฌาสเยเนว กเถสิ, เสยฺยถิทํ – อากเงฺขยฺยสุตฺตํ วตฺถสุตฺตนฺติ เอวมาทีนิ, เตสํ อตฺตชฺฌาสโย นิเกฺขโปฯ ยานิ ปน ‘‘ปริปกฺกา โข ราหุลสฺส วิมุตฺติปริปาจนียา ธมฺมา, ยํนูนาหํ ราหุลํ อุตฺตริ อาสวานํ ขเย วิเนยฺย’’นฺติ (สํ. นิ. ๔.๑๒๑; ม. นิ. ๓.๔๑๖) เอวํ ปเรสํ อชฺฌาสยํ ขนฺติํ มนํ อภินีหารํ พุชฺฌนภาวญฺจ โอโลเกตฺวา ปรชฺฌาสยวเสน กถิตานิ, เสยฺยถิทํ – ราหุโลวาทสุตฺตํ ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนนฺติ เอวมาทีนิ, เตสํ ปรชฺฌาสโย นิเกฺขโปฯ ภควนฺตํ ปน อุปสงฺกมิตฺวา เต เต เทวมนุสฺสา ตถา ตถา ปญฺหํ ปุจฺฉนฺติฯ เอวํ ปุเฎฺฐน ภควตา ยานิ กถิตานิ เทวตาสํยุตฺตโพชฺฌงฺคสํยุตฺตาทีนิ, เตสํ ปุจฺฉาวสิโก นิเกฺขโปฯ ยานิ ปน อุปฺปนฺนํ การณํ ปฎิจฺจ กถิตานิ ธมฺมทายาทสุตฺตปุตฺตมํสูปมาทีนิ, เตสํ อฎฺฐุปฺปตฺติโก นิเกฺขโปฯ เอวมิเมสุ จตูสุ นิเกฺขเปสุ อิมสฺส สุตฺตสฺส ปรชฺฌาสโย นิเกฺขโปฯ ปรชฺฌาสยวเสน เหตํ นิกฺขิตฺตํฯ เกสํ อชฺฌาสเยนาติ? รูปครุกานํ ปุริสานํฯ

    Idāni nāhaṃ, bhikkhave, aññaṃ ekarūpampi samanupassāmītiādinā nayena bhagavatā nikkhittassa suttassa vaṇṇanāya okāso anuppatto, sā panesā suttavaṇṇanā yasmā suttanikkhepaṃ vicāretvāva vuccamānā pākaṭā hoti, tasmā suttanikkhepavicāraṇā tāva veditabbā. Cattāro hi suttanikkhepā attajjhāsayo parajjhāsayo pucchāvasiko aṭṭhuppattikoti. Tattha yāni suttāni bhagavā parehi anajjhiṭṭho kevalaṃ attano ajjhāsayeneva kathesi, seyyathidaṃ – ākaṅkheyyasuttaṃ vatthasuttanti evamādīni, tesaṃ attajjhāsayo nikkhepo. Yāni pana ‘‘paripakkā kho rāhulassa vimuttiparipācanīyā dhammā, yaṃnūnāhaṃ rāhulaṃ uttari āsavānaṃ khaye vineyya’’nti (saṃ. ni. 4.121; ma. ni. 3.416) evaṃ paresaṃ ajjhāsayaṃ khantiṃ manaṃ abhinīhāraṃ bujjhanabhāvañca oloketvā parajjhāsayavasena kathitāni, seyyathidaṃ – rāhulovādasuttaṃ dhammacakkappavattananti evamādīni, tesaṃ parajjhāsayo nikkhepo. Bhagavantaṃ pana upasaṅkamitvā te te devamanussā tathā tathā pañhaṃ pucchanti. Evaṃ puṭṭhena bhagavatā yāni kathitāni devatāsaṃyuttabojjhaṅgasaṃyuttādīni, tesaṃ pucchāvasiko nikkhepo. Yāni pana uppannaṃ kāraṇaṃ paṭicca kathitāni dhammadāyādasuttaputtamaṃsūpamādīni, tesaṃ aṭṭhuppattiko nikkhepo. Evamimesu catūsu nikkhepesu imassa suttassa parajjhāsayo nikkhepo. Parajjhāsayavasena hetaṃ nikkhittaṃ. Kesaṃ ajjhāsayenāti? Rūpagarukānaṃ purisānaṃ.

    ตตฺถ นาหํ, ภิกฺขเวติอาทีสุ นกาโร ปฎิเสธโตฺถฯ อหนฺติ อตฺตานํ นิทฺทิสติฯ ภิกฺขเวติ ภิกฺขู อาลปติฯ อญฺญนฺติ อิทานิ วตฺตพฺพา อิตฺถิรูปโต อญฺญํฯ เอกรูปมฺปีติ เอกมฺปิ รูปํฯ สมนุปสฺสามีติ เทฺว สมนุปสฺสนา ญาณสมนุปสฺสนา จ ทิฎฺฐิสมนุปสฺสนา จฯ ตตฺถ ‘‘อนิจฺจโต สมนุปสฺสติ, โน นิจฺจโต’’ติ (ปฎิ. ม. ๓.๓๕) อยํ ญาณสมนุปสฺสนา นามฯ ‘‘รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสตี’’ติอาทิกา (ปฎิ. ม. ๑.๑๓๐) ปน ทิฎฺฐิสมนุปสฺสนา นามฯ ตาสุ อิธ ญาณสมนุปสฺสนา อธิเปฺปตาฯ อิมสฺส ปน ปทสฺส นกาเรน สมฺพโนฺธ เวทิตโพฺพฯ อิทํ หิ วุตฺตํ โหติ – อหํ, ภิกฺขเว, สพฺพญฺญุตญฺญาเณน โอโลเกโนฺตปิ อญฺญํ เอกรูปมฺปิ น สมนุปสฺสามีติฯ ยํ เอวํ ปุริสสฺส จิตฺตํ ปริยาทาย ติฎฺฐตีติ ยํ รูปํ รูปครุกสฺส ปุริสสฺส จตุภูมกกุสลจิตฺตํ ปริยาทิยิตฺวา คณฺหิตฺวา เขเปตฺวา ติฎฺฐติฯ ‘‘สพฺพํ หตฺถิกายํ ปริยาทิยิตฺวา’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๑๒๖) หิ คหณํ ปริยาทานํ นามฯ ‘‘อนิจฺจสญฺญา, ภิกฺขเว, ภาวิตา พหุลีกตา สพฺพํ กามราคํ ปริยาทิยตี’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๓.๑๐๒) เขปนํฯ อิธ อุภยมฺปิ วฎฺฎติฯ ตตฺถ อิทํ รูปํ จตุภูมกกุสลจิตฺตํ คณฺหนฺตํ น นีลุปฺปลกลาปํ ปุริโส วิย หเตฺถน คณฺหาติ, นาปิ เขปยมานํ อคฺคิ วิย อุทฺธเน อุทกํ สนฺตาเปตฺวา เขเปติฯ อุปฺปตฺติญฺจสฺส นิวารยมานเมว จตุภูมกมฺปิ กุสลจิตฺตํ คณฺหาติ เจว เขเปติ จาติ เวทิตพฺพํฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ปุริสสฺส จิตฺตํ ปริยาทาย ติฎฺฐตี’’ติฯ

    Tattha nāhaṃ, bhikkhavetiādīsu nakāro paṭisedhattho. Ahanti attānaṃ niddisati. Bhikkhaveti bhikkhū ālapati. Aññanti idāni vattabbā itthirūpato aññaṃ. Ekarūpampīti ekampi rūpaṃ. Samanupassāmīti dve samanupassanā ñāṇasamanupassanā ca diṭṭhisamanupassanā ca. Tattha ‘‘aniccato samanupassati, no niccato’’ti (paṭi. ma. 3.35) ayaṃ ñāṇasamanupassanā nāma. ‘‘Rūpaṃ attato samanupassatī’’tiādikā (paṭi. ma. 1.130) pana diṭṭhisamanupassanā nāma. Tāsu idha ñāṇasamanupassanā adhippetā. Imassa pana padassa nakārena sambandho veditabbo. Idaṃ hi vuttaṃ hoti – ahaṃ, bhikkhave, sabbaññutaññāṇena olokentopi aññaṃ ekarūpampi na samanupassāmīti. Yaṃ evaṃ purisassa cittaṃ pariyādāya tiṭṭhatīti yaṃ rūpaṃ rūpagarukassa purisassa catubhūmakakusalacittaṃ pariyādiyitvā gaṇhitvā khepetvā tiṭṭhati. ‘‘Sabbaṃ hatthikāyaṃ pariyādiyitvā’’tiādīsu (saṃ. ni. 1.126) hi gahaṇaṃ pariyādānaṃ nāma. ‘‘Aniccasaññā, bhikkhave, bhāvitā bahulīkatā sabbaṃ kāmarāgaṃ pariyādiyatī’’tiādīsu (saṃ. ni. 3.102) khepanaṃ. Idha ubhayampi vaṭṭati. Tattha idaṃ rūpaṃ catubhūmakakusalacittaṃ gaṇhantaṃ na nīluppalakalāpaṃ puriso viya hatthena gaṇhāti, nāpi khepayamānaṃ aggi viya uddhane udakaṃ santāpetvā khepeti. Uppattiñcassa nivārayamānameva catubhūmakampi kusalacittaṃ gaṇhāti ceva khepeti cāti veditabbaṃ. Tena vuttaṃ – ‘‘purisassa cittaṃ pariyādāya tiṭṭhatī’’ti.

    ยถยิทนฺติ ยถา อิทํฯ อิตฺถิรูปนฺติ อิตฺถิยา รูปํฯ ตตฺถ ‘‘กิญฺจ, ภิกฺขเว, รูปํ วเทถ? รุปฺปตีติ โข, ภิกฺขเว, ตสฺมา รูปนฺติ วุจฺจติฯ เกน รุปฺปติ? สีเตนปิ รุปฺปติ อุเณฺหนปิ รุปฺปตี’’ติ (สํ. นิ. ๓.๗๙) สุตฺตานุสาเรน รูปสฺส วจนโตฺถ เจว สามญฺญลกฺขณญฺจ เวทิตพฺพํฯ อยํ ปน รูปสโทฺท ขนฺธภวนิมิตฺตปจฺจยสรีรวณฺณสณฺฐานาทีสุ อเนเกสุ อเตฺถสุ วตฺตติฯ อยญฺหิ ‘‘ยํ กิญฺจิ รูปํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺน’’นฺติ (วิภ. ๒; มหาว. ๒๒) เอตฺถ รูปกฺขเนฺธ วตฺตติฯ ‘‘รูปูปปตฺติยา มคฺคํ ภาเวตี’’ติ (ธ. ส. ๑๖๑; วิภ. ๖๒๔) เอตฺถ รูปภเวฯ ‘‘อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสตี’’ติ (ธ. ส. ๒๐๔-๒๓๒ อาทโย) เอตฺถ กสิณนิมิเตฺตฯ ‘‘สรูปา, ภิกฺขเว, อุปฺปชฺชนฺติ ปาปกา อกุสลา ธมฺมา โน อรูปา’’ติ (อ. นิ. ๒.๘๓) เอตฺถ ปจฺจเยฯ ‘‘อากาโส ปริวาริโต รูปเนฺตว สงฺขํ คจฺฉตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๓๐๖) เอตฺถ สรีเรฯ ‘‘จกฺขุญฺจ ปฎิจฺจ รูเป จ อุปฺปชฺชติ จกฺขุวิญฺญาณ’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๔๐๐; ๓.๔๒๑) เอตฺถ วเณฺณฯ ‘‘รูปปฺปมาโณ รูปปฺปสโนฺน’’ติ (อ. นิ. ๔.๖๕) เอตฺถ สณฺฐาเนฯ อาทิสเทฺทน ‘‘ปิยรูปํ สาตรูปํ, อรสรูโป’’ติอาทีนิปิ สงฺคณฺหิตพฺพานิฯ อิธ ปเนส อิตฺถิยา จตุสมุฎฺฐาเน รูปายตนสงฺขาเต วเณฺณ วตฺตติฯ อปิจ โย โกจิ อิตฺถิยา นิวตฺถนิวาสนสฺส วา อลงฺการสฺส วา คนฺธวณฺณกาทีนํ วา ปิฬนฺธนมาลาทีนํ วาติ กายปฺปฎิพโทฺธ จ วโณฺณ ปุริสสฺส จกฺขุวิญฺญาณสฺส อารมฺมณํ หุตฺวา อุปกปฺปติ, สพฺพเมตํ อิตฺถิรูปเนฺตว เวทิตพฺพํฯ อิตฺถิรูปํ, ภิกฺขเว, ปุริสสฺส จิตฺตํ ปริยาทาย ติฎฺฐตีติ อิทํ ปุริมเสฺสว ทฬฺหีกรณตฺถํ วุตฺตํฯ ปุริมํ วา ‘‘ยถยิทํ, ภิกฺขเว, อิตฺถิรูป’’นฺติ เอวํ โอปมฺมวเสน วุตฺตํ, อิทํ ปริยาทานานุภาวทสฺสนวเสนฯ

    Yathayidanti yathā idaṃ. Itthirūpanti itthiyā rūpaṃ. Tattha ‘‘kiñca, bhikkhave, rūpaṃ vadetha? Ruppatīti kho, bhikkhave, tasmā rūpanti vuccati. Kena ruppati? Sītenapi ruppati uṇhenapi ruppatī’’ti (saṃ. ni. 3.79) suttānusārena rūpassa vacanattho ceva sāmaññalakkhaṇañca veditabbaṃ. Ayaṃ pana rūpasaddo khandhabhavanimittapaccayasarīravaṇṇasaṇṭhānādīsu anekesu atthesu vattati. Ayañhi ‘‘yaṃ kiñci rūpaṃ atītānāgatapaccuppanna’’nti (vibha. 2; mahāva. 22) ettha rūpakkhandhe vattati. ‘‘Rūpūpapattiyā maggaṃ bhāvetī’’ti (dha. sa. 161; vibha. 624) ettha rūpabhave. ‘‘Ajjhattaṃ arūpasaññī bahiddhā rūpāni passatī’’ti (dha. sa. 204-232 ādayo) ettha kasiṇanimitte. ‘‘Sarūpā, bhikkhave, uppajjanti pāpakā akusalā dhammā no arūpā’’ti (a. ni. 2.83) ettha paccaye. ‘‘Ākāso parivārito rūpanteva saṅkhaṃ gacchatī’’ti (ma. ni. 1.306) ettha sarīre. ‘‘Cakkhuñca paṭicca rūpe ca uppajjati cakkhuviññāṇa’’nti (ma. ni. 1.400; 3.421) ettha vaṇṇe. ‘‘Rūpappamāṇo rūpappasanno’’ti (a. ni. 4.65) ettha saṇṭhāne. Ādisaddena ‘‘piyarūpaṃ sātarūpaṃ, arasarūpo’’tiādīnipi saṅgaṇhitabbāni. Idha panesa itthiyā catusamuṭṭhāne rūpāyatanasaṅkhāte vaṇṇe vattati. Apica yo koci itthiyā nivatthanivāsanassa vā alaṅkārassa vā gandhavaṇṇakādīnaṃ vā piḷandhanamālādīnaṃ vāti kāyappaṭibaddho ca vaṇṇo purisassa cakkhuviññāṇassa ārammaṇaṃ hutvā upakappati, sabbametaṃ itthirūpanteva veditabbaṃ. Itthirūpaṃ, bhikkhave, purisassa cittaṃ pariyādāya tiṭṭhatīti idaṃ purimasseva daḷhīkaraṇatthaṃ vuttaṃ. Purimaṃ vā ‘‘yathayidaṃ, bhikkhave, itthirūpa’’nti evaṃ opammavasena vuttaṃ, idaṃ pariyādānānubhāvadassanavasena.

    ตตฺริทํ อิตฺถิรูปสฺส ปริยาทานานุภาเว วตฺถุ – มหาทาฐิกนาคราชา กิร เจติยคิริมฺหิ อมฺพตฺถเล มหาถูปํ การาเปตฺวา คิริภณฺฑปูชํ นาม กตฺวา กาเลน กาลํ โอโรธคณปริวุโต เจติยคิริํ คนฺตฺวา ภิกฺขุสงฺฆสฺส มหาทานํ เทติฯ พหูนํ สนฺนิปาตฎฺฐาเน นาม น สเพฺพสํ สติ สูปฎฺฐิตา โหติ, รโญฺญ จ ทมิฬเทวี นาม มเหสี ปฐมวเย ฐิตา ทสฺสนียา ปาสาทิกาฯ อเถโก จิตฺตเตฺถโร นาม วุฑฺฒปพฺพชิโต อสํวรนิยาเมน โอโลเกโนฺต ตสฺสา รูปารมฺมเณ นิมิตฺตํ คเหตฺวา อุมฺมาทปฺปโตฺต วิย ฐิตนิสินฺนฎฺฐาเนสุ ‘‘หนฺท ทมิฬเทวี, หนฺท ทมิฬเทวี’’ติ วทโนฺต วิจรติฯ ตโต ปฎฺฐาย จสฺส ทหรสามเณรา อุมฺมตฺตกจิตฺตเตฺถโรเตฺวว นามํ กตฺวา โวหริํสุฯ อถ สา เทวี นจิรเสฺสว กาลมกาสิฯ ภิกฺขุสเงฺฆ สิวถิกทสฺสนํ คนฺตฺวา อาคเต ทหรสามเณรา ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา เอวมาหํสุ – ‘‘ภเนฺต จิตฺตเตฺถร, ยสฺสตฺถาย ตฺวํ วิลปสิ, มยํ ตสฺสา เทวิยา สิวถิกทสฺสนํ คนฺตฺวา อาคตา’’ติฯ เอวํ วุเตฺตปิ อสฺสทฺทหโนฺต ‘‘ยสฺสา วา ตสฺสา วา ตุเมฺห สิวถิกทสฺสนตฺถาย คตา, มุขํ ตุมฺหากํ ธูมณฺณ’’นฺติ ฯ อุมฺมตฺตกวจนเมว อโวจฯ เอวํ อุมฺมตฺตกจิตฺตเตฺถรสฺส จิตฺตํ ปริยาทาย อฎฺฐาสิ อิทํ อิตฺถิรูปํฯ

    Tatridaṃ itthirūpassa pariyādānānubhāve vatthu – mahādāṭhikanāgarājā kira cetiyagirimhi ambatthale mahāthūpaṃ kārāpetvā giribhaṇḍapūjaṃ nāma katvā kālena kālaṃ orodhagaṇaparivuto cetiyagiriṃ gantvā bhikkhusaṅghassa mahādānaṃ deti. Bahūnaṃ sannipātaṭṭhāne nāma na sabbesaṃ sati sūpaṭṭhitā hoti, rañño ca damiḷadevī nāma mahesī paṭhamavaye ṭhitā dassanīyā pāsādikā. Atheko cittatthero nāma vuḍḍhapabbajito asaṃvaraniyāmena olokento tassā rūpārammaṇe nimittaṃ gahetvā ummādappatto viya ṭhitanisinnaṭṭhānesu ‘‘handa damiḷadevī, handa damiḷadevī’’ti vadanto vicarati. Tato paṭṭhāya cassa daharasāmaṇerā ummattakacittattherotveva nāmaṃ katvā vohariṃsu. Atha sā devī nacirasseva kālamakāsi. Bhikkhusaṅghe sivathikadassanaṃ gantvā āgate daharasāmaṇerā tassa santikaṃ gantvā evamāhaṃsu – ‘‘bhante cittatthera, yassatthāya tvaṃ vilapasi, mayaṃ tassā deviyā sivathikadassanaṃ gantvā āgatā’’ti. Evaṃ vuttepi assaddahanto ‘‘yassā vā tassā vā tumhe sivathikadassanatthāya gatā, mukhaṃ tumhākaṃ dhūmaṇṇa’’nti . Ummattakavacanameva avoca. Evaṃ ummattakacittattherassa cittaṃ pariyādāya aṭṭhāsi idaṃ itthirūpaṃ.

    อปรมฺปิ วตฺถุ – สทฺธาติสฺสมหาราชา กิร เอกทิวสํ โอโรธคณปริวุโต วิหารํ อาคโต ฯ เอโก ทหโร โลหปาสาททฺวารโกฎฺฐเก ฐตฺวา อสํวเร ฐิโต เอกํ อิตฺถิํ โอโลเกสิฯ สาปิ คมนํ ปจฺฉินฺทิตฺวา ตํ โอโลเกสิฯ อุโภปิ อพฺภนฺตเร อุฎฺฐิเตน ราคคฺคินา ฑยฺหิตฺวา กาลมกํสุฯ เอวํ อิตฺถิรูปํ ทหรสฺส จิตฺตํ ปริยาทาย ติฎฺฐติฯ

    Aparampi vatthu – saddhātissamahārājā kira ekadivasaṃ orodhagaṇaparivuto vihāraṃ āgato . Eko daharo lohapāsādadvārakoṭṭhake ṭhatvā asaṃvare ṭhito ekaṃ itthiṃ olokesi. Sāpi gamanaṃ pacchinditvā taṃ olokesi. Ubhopi abbhantare uṭṭhitena rāgagginā ḍayhitvā kālamakaṃsu. Evaṃ itthirūpaṃ daharassa cittaṃ pariyādāya tiṭṭhati.

    อปรมฺปิ วตฺถุ – กลฺยาณิยมหาวิหารโต กิเรโก ทหโร อุเทฺทสตฺถาย กาฬทีฆวาปิคามทฺวารวิหารํ คนฺตฺวา นิฎฺฐิตุเทฺทสกิโจฺจ อตฺถกามานํ วจนํ อคฺคเหตฺวา ‘‘คตฎฺฐาเน ทหรสามเณเรหิ ปุเฎฺฐน คามสฺส นิวิฎฺฐากาโร กเถตโพฺพ ภวิสฺสตี’’ติ คาเม ปิณฺฑาย จรโนฺต วิสภาคารมฺมเณ นิมิตฺตํ คเหตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐานํ คโต ตาย นิวตฺถวตฺถํ สญฺชานิตฺวา ‘‘กหํ, ภเนฺต, อิทํ ลทฺธ’’นฺติ ปุจฺฉโนฺต ตสฺสา มตภาวํ ญตฺวา ‘‘เอวรูปา นาม อิตฺถี มํ นิสฺสาย มตา’’ติ จิเนฺตโนฺต อโนฺตอุฎฺฐิเตน ราคคฺคินา ฑยฺหิตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาปุณิฯ เอวมฺปิ อิทํ อิตฺถิรูปํ ปุริสสฺส จิตฺตํ ปริยาทาย ติฎฺฐตีติ เวทิตพฺพํฯ

    Aparampi vatthu – kalyāṇiyamahāvihārato kireko daharo uddesatthāya kāḷadīghavāpigāmadvāravihāraṃ gantvā niṭṭhituddesakicco atthakāmānaṃ vacanaṃ aggahetvā ‘‘gataṭṭhāne daharasāmaṇerehi puṭṭhena gāmassa niviṭṭhākāro kathetabbo bhavissatī’’ti gāme piṇḍāya caranto visabhāgārammaṇe nimittaṃ gahetvā attano vasanaṭṭhānaṃ gato tāya nivatthavatthaṃ sañjānitvā ‘‘kahaṃ, bhante, idaṃ laddha’’nti pucchanto tassā matabhāvaṃ ñatvā ‘‘evarūpā nāma itthī maṃ nissāya matā’’ti cintento antouṭṭhitena rāgagginā ḍayhitvā jīvitakkhayaṃ pāpuṇi. Evampi idaṃ itthirūpaṃ purisassa cittaṃ pariyādāya tiṭṭhatīti veditabbaṃ.

    . ทุติยาทีนิ สทฺทครุกาทีนํ อาสยวเสน วุตฺตานิฯ เตสุ อิตฺถิสโทฺทติ อิตฺถิยา จิตฺตสมุฎฺฐาโน กถิตคีตวาทิตสโทฺทฯ อปิจ อิตฺถิยา นิวตฺถนิวาสนสฺสาปิ อลงฺกตาลงฺการสฺสาปิ อิตฺถิปโยคนิปฺผาทิโต วีณาสงฺขปณวาทิสโทฺทปิ อิตฺถิสโทฺทเตฺวว เวทิตโพฺพฯ สโพฺพปิ เหโส ปุริสสฺส จิตฺตํ ปริยาทาย ติฎฺฐติฯ

    2. Dutiyādīni saddagarukādīnaṃ āsayavasena vuttāni. Tesu itthisaddoti itthiyā cittasamuṭṭhāno kathitagītavāditasaddo. Apica itthiyā nivatthanivāsanassāpi alaṅkatālaṅkārassāpi itthipayoganipphādito vīṇāsaṅkhapaṇavādisaddopi itthisaddotveva veditabbo. Sabbopi heso purisassa cittaṃ pariyādāya tiṭṭhati.

    ตตฺถ สุวณฺณกกฺกฎกสุวณฺณโมรทหรภิกฺขุอาทีนํ วตฺถูนิ เวทิตพฺพานิฯ ปพฺพตนฺตรํ กิร นิสฺสาย มหนฺตํ หตฺถินาคกุลํ วสติฯ อวิทูรฎฺฐาเน จสฺส มหาปริโภคสโร อตฺถิ, ตสฺมิํ กายูปปโนฺน สุวณฺณกกฺกฎโก อตฺถิฯ โส ตํ สรํ โอติโณฺณติเณฺณ สณฺฑาเสน วิย อเฬหิ ปาเท คเหตฺวา อตฺตโน วสํ เนตฺวา มาเรติฯ ตสฺส โอตาราเปกฺขา หตฺถินาคา เอกํ มหาหตฺถิํ เชฎฺฐกํ กตฺวา วิจรนฺติฯ โส เอกทิวสํ ตํ หตฺถินาคํ คณฺหิฯ ถามสติสมฺปโนฺน หตฺถินาโค จิเนฺตสิ – ‘‘สจาหํ ภีตรวํ รวิสฺสามิ, สเพฺพ ยถารุจิยา อกีฬิตฺวา ปลายิสฺสนฺตี’’ติ นิจฺจโลว อฎฺฐาสิฯ อถ สเพฺพสํ อุตฺติณฺณภาวํ ญตฺวา เตน คหิตภาวํ อตฺตโน ภริยํ ชานาเปตุํ วิรวิตฺวา เอวมาห –

    Tattha suvaṇṇakakkaṭakasuvaṇṇamoradaharabhikkhuādīnaṃ vatthūni veditabbāni. Pabbatantaraṃ kira nissāya mahantaṃ hatthināgakulaṃ vasati. Avidūraṭṭhāne cassa mahāparibhogasaro atthi, tasmiṃ kāyūpapanno suvaṇṇakakkaṭako atthi. So taṃ saraṃ otiṇṇotiṇṇe saṇḍāsena viya aḷehi pāde gahetvā attano vasaṃ netvā māreti. Tassa otārāpekkhā hatthināgā ekaṃ mahāhatthiṃ jeṭṭhakaṃ katvā vicaranti. So ekadivasaṃ taṃ hatthināgaṃ gaṇhi. Thāmasatisampanno hatthināgo cintesi – ‘‘sacāhaṃ bhītaravaṃ ravissāmi, sabbe yathāruciyā akīḷitvā palāyissantī’’ti niccalova aṭṭhāsi. Atha sabbesaṃ uttiṇṇabhāvaṃ ñatvā tena gahitabhāvaṃ attano bhariyaṃ jānāpetuṃ viravitvā evamāha –

    ‘‘สิงฺคีมิโค อายตจกฺขุเนโตฺต,

    ‘‘Siṅgīmigo āyatacakkhunetto,

    อฎฺฐิตฺตโจ วาริสโย อโลโม;

    Aṭṭhittaco vārisayo alomo;

    เตนาภิภูโต กปณํ รุทามิ,

    Tenābhibhūto kapaṇaṃ rudāmi,

    มา เหว มํ ปาณสมํ ชเหยฺยา’’ติฯ (ชา. ๑.๓.๔๙);

    Mā heva maṃ pāṇasamaṃ jaheyyā’’ti. (jā. 1.3.49);

    สา ตํ สุตฺวา สามิกสฺส คหิตภาวํ ญตฺวา ตํ ตมฺหา ภยา โมเจตุํ หตฺถินา จ กุฬีเรน จ สทฺธิํ สลฺลปนฺตี เอวมาห –

    Sā taṃ sutvā sāmikassa gahitabhāvaṃ ñatvā taṃ tamhā bhayā mocetuṃ hatthinā ca kuḷīrena ca saddhiṃ sallapantī evamāha –

    ‘‘อยฺย น ตํ ชหิสฺสามิ, กุญฺชรํ สฎฺฐิหายนํ;

    ‘‘Ayya na taṃ jahissāmi, kuñjaraṃ saṭṭhihāyanaṃ;

    ปถพฺยา จาตุรนฺตาย, สุปฺปิโย โหสิ เม ตุวํฯ

    Pathabyā cāturantāya, suppiyo hosi me tuvaṃ.

    ‘‘เย กุฬีรา สมุทฺทสฺมิํ, คงฺคาย ยมุนาย จ;

    ‘‘Ye kuḷīrā samuddasmiṃ, gaṅgāya yamunāya ca;

    เตสํ ตฺวํ วาริโช เสโฎฺฐ, มุญฺจ โรทนฺติยา ปติ’’นฺติฯ (ชา. ๑.๓.๕๐-๕๑);

    Tesaṃ tvaṃ vārijo seṭṭho, muñca rodantiyā pati’’nti. (jā. 1.3.50-51);

    กุฬีโร สห อิตฺถิสทฺทสฺสวเนน คหณํ สิถิลมกาสิฯ อถ หตฺถินาโค ‘‘อยเมเวตสฺส โอกาโส’’ติ เอกํ ปาทํ คหิตากาเรเนว ฐเปตฺวา ทุติยํ อุกฺขิปิตฺวา ตํ ปิฎฺฐิกปาเล อกฺกมิตฺวา วิจุณฺณิกํ กตฺวา โถกํ อากฑฺฒิตฺวา ตีเร ขิปิฯ อถ นํ สพฺพหตฺถิโน สนฺนิปติตฺวา ‘‘อมฺหากํ เวรี’’ติ วิจุณฺณยิํสุฯ เอวํ ตาว อิตฺถิสโทฺท สุวณฺณกกฺกฎกสฺส จิตฺตํ ปริยาทิยิตฺวา ติฎฺฐติฯ

    Kuḷīro saha itthisaddassavanena gahaṇaṃ sithilamakāsi. Atha hatthināgo ‘‘ayamevetassa okāso’’ti ekaṃ pādaṃ gahitākāreneva ṭhapetvā dutiyaṃ ukkhipitvā taṃ piṭṭhikapāle akkamitvā vicuṇṇikaṃ katvā thokaṃ ākaḍḍhitvā tīre khipi. Atha naṃ sabbahatthino sannipatitvā ‘‘amhākaṃ verī’’ti vicuṇṇayiṃsu. Evaṃ tāva itthisaddo suvaṇṇakakkaṭakassa cittaṃ pariyādiyitvā tiṭṭhati.

    สุวณฺณโมโรปิ หิมวนฺตํ อนุปวิสิตฺวา มหนฺตํ ปพฺพตคหนํ นิสฺสาย วสโนฺต นิจฺจกาลํ สูริยสฺส อุทยกาเล สูริยมณฺฑลํ อุโลฺลเกตฺวา อตฺตโน รกฺขํ กโรโนฺต เอวํ วทติ –

    Suvaṇṇamoropi himavantaṃ anupavisitvā mahantaṃ pabbatagahanaṃ nissāya vasanto niccakālaṃ sūriyassa udayakāle sūriyamaṇḍalaṃ ulloketvā attano rakkhaṃ karonto evaṃ vadati –

    ‘‘อุเทตยํ จกฺขุมา เอกราชา,

    ‘‘Udetayaṃ cakkhumā ekarājā,

    หริสฺสวโณฺณ ปถวิปฺปภาโส;

    Harissavaṇṇo pathavippabhāso;

    ตํ ตํ นมสฺสามิ หริสฺสวณฺณํ ปถวิปฺปภาสํ,

    Taṃ taṃ namassāmi harissavaṇṇaṃ pathavippabhāsaṃ,

    ตยาชฺช คุตฺตา วิหเรมุ ทิวสํฯ

    Tayājja guttā viharemu divasaṃ.

    ‘‘เย พฺราหฺมณา เวทคู สพฺพธเมฺม,

    ‘‘Ye brāhmaṇā vedagū sabbadhamme,

    เต เม นโม เต จ มํ ปาลยนฺตุ;

    Te me namo te ca maṃ pālayantu;

    นมตฺถุ พุทฺธานํ นมตฺถุ โพธิยา,

    Namatthu buddhānaṃ namatthu bodhiyā,

    นโม วิมุตฺตานํ นโม วิมุตฺติยา;

    Namo vimuttānaṃ namo vimuttiyā;

    อิมํ โส ปริตฺตํ กตฺวา,

    Imaṃ so parittaṃ katvā,

    โมโร จรติ เอสนา’’ติฯ (ชา. ๑.๒.๑๗);

    Moro carati esanā’’ti. (jā. 1.2.17);

    โส ทิวสํ โคจรํ คเหตฺวา สายนฺหสมเย วสนฎฺฐานํ ปวิสโนฺต อตฺถงฺคตํ สูริยมณฺฑลํ โอโลเกตฺวาปิ อิมํ คาถํ วทติ –

    So divasaṃ gocaraṃ gahetvā sāyanhasamaye vasanaṭṭhānaṃ pavisanto atthaṅgataṃ sūriyamaṇḍalaṃ oloketvāpi imaṃ gāthaṃ vadati –

    ‘‘อเปตยํ จกฺขุมา เอกราชา,

    ‘‘Apetayaṃ cakkhumā ekarājā,

    หริสฺสวโณฺณ ปถวิปฺปภาโส;

    Harissavaṇṇo pathavippabhāso;

    ตํ ตํ นมสฺสามิ หริสฺสวณฺณํ ปถวิปฺปภาสํ,

    Taṃ taṃ namassāmi harissavaṇṇaṃ pathavippabhāsaṃ,

    ตยาชฺช คุตฺตา วิหเรมุ รตฺติํฯ

    Tayājja guttā viharemu rattiṃ.

    ‘‘เย พฺราหฺมณา เวทคู สพฺพธเมฺม,

    ‘‘Ye brāhmaṇā vedagū sabbadhamme,

    เต เม นโม เต จ มํ ปาลยนฺตุ;

    Te me namo te ca maṃ pālayantu;

    นมตฺถุ พุทฺธานํ นมตฺถุ โพธิยา,

    Namatthu buddhānaṃ namatthu bodhiyā,

    นโม วิมุตฺตานํ นโม วิมุตฺติยา;

    Namo vimuttānaṃ namo vimuttiyā;

    อิมํ โส ปริตฺตํ กตฺวา,

    Imaṃ so parittaṃ katvā,

    โมโร วาสมกปฺปยี’’ติฯ (ชา. ๑.๒.๑๘);

    Moro vāsamakappayī’’ti. (jā. 1.2.18);

    อิมินา นิยาเมน สตฺต วสฺสสตานิ วีตินาเมตฺวา เอกทิวสํ ปริตฺตกมฺมโต ปุเรตรเมว โมรกุกฺกุฎิกาย สทฺทํ สุตฺวา ปริตฺตกมฺมํ อสริตฺวา รญฺญา เปสิตสฺส ลุทฺทกสฺส วสํ อุปคโตฯ เอวํ อิตฺถิสโทฺท สุวณฺณโมรสฺส จิตฺตํ ปริยาทิยิตฺวา ติฎฺฐตีติฯ ฉาตปพฺพตวาสี ทหโร ปน สุธามุณฺฑกวาสี ทหโร จ อิตฺถิสทฺทํ สุตฺวา อนยพฺยสนํ ปตฺตาติฯ

    Iminā niyāmena satta vassasatāni vītināmetvā ekadivasaṃ parittakammato puretarameva morakukkuṭikāya saddaṃ sutvā parittakammaṃ asaritvā raññā pesitassa luddakassa vasaṃ upagato. Evaṃ itthisaddo suvaṇṇamorassa cittaṃ pariyādiyitvā tiṭṭhatīti. Chātapabbatavāsī daharo pana sudhāmuṇḍakavāsī daharo ca itthisaddaṃ sutvā anayabyasanaṃ pattāti.

    . ตติเย อิตฺถิคโนฺธติ อิตฺถิยา จตุสมุฎฺฐานิกํ คนฺธายตนํฯ สฺวายํ อิตฺถิยา สรีรคโนฺธ ทุคฺคโนฺธ โหติ, กายารุโฬฺห ปน อาคนฺตุกอนุเลปนาทิคโนฺธ อิธ อธิเปฺปโตฯ เอกจฺจา หิ อิตฺถี อสฺสคนฺธินี โหติ, เอกจฺจา เมณฺฑกคนฺธินี, เอกจฺจา เสทคนฺธินี, เอกจฺจา โสณิตคนฺธินี ฯ เอกโจฺจ อนฺธพาโล เอวรูปายปิ อิตฺถิยา รชฺชเตวฯ จกฺกวตฺติโน ปน อิตฺถิรตนสฺส กายโต จนฺทนคโนฺธ วายติ, มุขโต จ อุปฺปลคโนฺธฯ อยํ น สพฺพาสํ โหติ, อาคนฺตุกอนุเลปนาทิคโนฺธว อิธ อธิเปฺปโตฯ ติรจฺฉานคตา ปน หตฺถิอสฺสโคณาทโย ติรจฺฉานคตานํ สชาติอิตฺถีนํ อุตุคเนฺธน โยชนทฺวิโยชนติโยชนจตุโยชนมฺปิ คจฺฉนฺติฯ อิตฺถิกาเย คโนฺธ วา โหตุ อิตฺถิยา นิวตฺถนิวาสนอนุลิตฺตาเลปนปิฬนฺธมาลาทิคโนฺธ วา, สโพฺพปิ อิตฺถิคโนฺธเตฺวว เวทิตโพฺพฯ

    3. Tatiye itthigandhoti itthiyā catusamuṭṭhānikaṃ gandhāyatanaṃ. Svāyaṃ itthiyā sarīragandho duggandho hoti, kāyāruḷho pana āgantukaanulepanādigandho idha adhippeto. Ekaccā hi itthī assagandhinī hoti, ekaccā meṇḍakagandhinī, ekaccā sedagandhinī, ekaccā soṇitagandhinī . Ekacco andhabālo evarūpāyapi itthiyā rajjateva. Cakkavattino pana itthiratanassa kāyato candanagandho vāyati, mukhato ca uppalagandho. Ayaṃ na sabbāsaṃ hoti, āgantukaanulepanādigandhova idha adhippeto. Tiracchānagatā pana hatthiassagoṇādayo tiracchānagatānaṃ sajātiitthīnaṃ utugandhena yojanadviyojanatiyojanacatuyojanampi gacchanti. Itthikāye gandho vā hotu itthiyā nivatthanivāsanaanulittālepanapiḷandhamālādigandho vā, sabbopi itthigandhotveva veditabbo.

    . จตุเตฺถ อิตฺถิรโสติ อิตฺถิยา จตุสมุฎฺฐานิกํ รสายตนํฯ ติปิฎกจูฬนาคจูฬาภยเตฺถรา ปน ‘‘สฺวายํ อิตฺถิยา กิํการปฎิสฺสาวิตาทิวเสน สวนรโส เจว ปริโภครโส จ, อยํ อิตฺถิรโส’’ติ วทนฺติฯ กิํ เตน? โย ปนายํ อิตฺถิยา โอฎฺฐมํสสมฺมกฺขนเขฬาทิรโสปิ , สามิกสฺส ทินฺนยาคุภตฺตาทีนํ รโสปิ, สโพฺพ โส อิตฺถิรโสเตฺวว เวทิตโพฺพฯ อเนเก หิ สตฺตา อตฺตโน มาตุคาเมน ยํกิญฺจิ สหตฺถา ทินฺนเมว มธุรนฺติ คเหตฺวา อนยพฺยสนํ ปตฺตาติฯ

    4. Catutthe itthirasoti itthiyā catusamuṭṭhānikaṃ rasāyatanaṃ. Tipiṭakacūḷanāgacūḷābhayattherā pana ‘‘svāyaṃ itthiyā kiṃkārapaṭissāvitādivasena savanaraso ceva paribhogaraso ca, ayaṃ itthiraso’’ti vadanti. Kiṃ tena? Yo panāyaṃ itthiyā oṭṭhamaṃsasammakkhanakheḷādirasopi , sāmikassa dinnayāgubhattādīnaṃ rasopi, sabbo so itthirasotveva veditabbo. Aneke hi sattā attano mātugāmena yaṃkiñci sahatthā dinnameva madhuranti gahetvā anayabyasanaṃ pattāti.

    . ปญฺจเม อิตฺถิโผฎฺฐโพฺพติ อิตฺถิยา กายสมฺผโสฺส, อิตฺถิสรีรารุฬฺหานํ วตฺถาลงฺการมาลาทีนมฺปิ ผโสฺส อิตฺถิโผฎฺฐโพฺพเตฺวว เวทิตโพฺพฯ สโพฺพเปส ปุริสสฺส จิตฺตํ ปริยาทิยติ มหาเจติยงฺคเณ คณสชฺฌายํ คณฺหนฺตสฺส ทหรภิกฺขุโน วิสภาคารมฺมณผโสฺส วิยาติฯ

    5. Pañcame itthiphoṭṭhabboti itthiyā kāyasamphasso, itthisarīrāruḷhānaṃ vatthālaṅkāramālādīnampi phasso itthiphoṭṭhabbotveva veditabbo. Sabbopesa purisassa cittaṃ pariyādiyati mahācetiyaṅgaṇe gaṇasajjhāyaṃ gaṇhantassa daharabhikkhuno visabhāgārammaṇaphasso viyāti.

    อิติ สตฺถา สตฺตานํ อาสยานุสยวเสน รูปาทีสุ เอเกกํ คเหตฺวา อญฺญํ อีทิสํ น ปสฺสามีติ อาหฯ ยถา หิ รูปครุกสฺส ปุริสสฺส อิตฺถิรูปํ จิตฺตุปฺปาทํ คเมติ ปลิพุนฺธติ พชฺฌาเปติ พทฺธาเปติ โมเหติ สํโมเหติ, น ตถา เสสา สทฺทาทโยฯ ยถา จ สทฺทาทิครุกานํ สทฺทาทโย, น ตถา รูปาทีนิ อารมฺมณานิฯ เอกจฺจสฺส จ รูปาทีสุ เอกเมวารมฺมณํ จิตฺตํ ปริยาทิยติ, เอกจฺจสฺส เทฺวปิ ตีณิปิ จตฺตาริปิ ปญฺจปิฯ อิติ อิเม ปญฺจ สุตฺตนฺตา ปญฺจครุกวเสน กถิตา, น ปญฺจครุกชาตกวเสนฯ ปญฺจครุกชาตกํ ปน สกฺขิภาวตฺถาย อาหริตฺวา กเถตพฺพํฯ ตตฺร หิ อมนุเสฺสหิ กนฺตารมเชฺฌ กตาย อาปณาทิวิจารณาย มหาปุริสสฺส ปญฺจสุ สหาเยสุ รูปครุโก รูปารมฺมเณ พชฺฌิตฺวา อนยพฺยสนํ ปโตฺต, สทฺทาทิครุกา สทฺทารมฺมณาทีสุฯ อิติ ตํ สกฺขิภาวตฺถาย อาหริตฺวา กเถตพฺพํฯ อิเม ปน ปญฺจ สุตฺตนฺตา ปญฺจครุกวเสเนว กถิตาฯ

    Iti satthā sattānaṃ āsayānusayavasena rūpādīsu ekekaṃ gahetvā aññaṃ īdisaṃ na passāmīti āha. Yathā hi rūpagarukassa purisassa itthirūpaṃ cittuppādaṃ gameti palibundhati bajjhāpeti baddhāpeti moheti saṃmoheti, na tathā sesā saddādayo. Yathā ca saddādigarukānaṃ saddādayo, na tathā rūpādīni ārammaṇāni. Ekaccassa ca rūpādīsu ekamevārammaṇaṃ cittaṃ pariyādiyati, ekaccassa dvepi tīṇipi cattāripi pañcapi. Iti ime pañca suttantā pañcagarukavasena kathitā, na pañcagarukajātakavasena. Pañcagarukajātakaṃ pana sakkhibhāvatthāya āharitvā kathetabbaṃ. Tatra hi amanussehi kantāramajjhe katāya āpaṇādivicāraṇāya mahāpurisassa pañcasu sahāyesu rūpagaruko rūpārammaṇe bajjhitvā anayabyasanaṃ patto, saddādigarukā saddārammaṇādīsu. Iti taṃ sakkhibhāvatthāya āharitvā kathetabbaṃ. Ime pana pañca suttantā pañcagarukavaseneva kathitā.

    . ยสฺมา จ น เกวลํ ปุริสาเยว ปญฺจครุกา โหนฺติ, อิตฺถิโยปิ โหนฺติเยว, ตสฺมา ตาสมฺปิ วเสน ปุน ปญฺจ สุตฺตเนฺต กเถสิฯ เตสมฺปิ อโตฺถ วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ วตฺถูสุปิ ปฐมสุเตฺต โลหปาสาททฺวาเร ฐิตํ ทหรํ โอโลเกตฺวา มตาย ราโชโรธาย วตฺถุ เวทิตพฺพํฯ ตํ เหฎฺฐา วิตฺถาริตเมวฯ

    6. Yasmā ca na kevalaṃ purisāyeva pañcagarukā honti, itthiyopi hontiyeva, tasmā tāsampi vasena puna pañca suttante kathesi. Tesampi attho vuttanayeneva veditabbo. Vatthūsupi paṭhamasutte lohapāsādadvāre ṭhitaṃ daharaṃ oloketvā matāya rājorodhāya vatthu veditabbaṃ. Taṃ heṭṭhā vitthāritameva.

    . ทุติยสุเตฺต พาราณสิยํ รูปูปชีวิโน มาตุคามสฺส วตฺถุ เวทิตพฺพํฯ คุตฺติลวีณาวาทโก กิเรกิสฺสา อิตฺถิยา สหสฺสํ ปหิณิ, สา ตํ อุปฺปเณฺฑตฺวา คณฺหิตุํ น อิจฺฉิฯ โส ‘‘กริสฺสาเมตฺถ กตฺตพฺพ’’นฺติ สายนฺหกาลสมนนฺตเร อลงฺกตปฎิยโตฺต ตสฺสา เคหสฺส อภิมุขฎฺฐาเน อญฺญสฺมิํ เคหทฺวาเร นิสิโนฺน วีณาย ตนฺติโย สเม คุเณ ปติฎฺฐาเปตฺวา ตนฺติสฺสเรน คีตสฺสรํ อนติกฺกมโนฺต คายิฯ สา อิตฺถี ตสฺส คีตสทฺทํ สุตฺวา ทฺวารนฺติ สญฺญาย ‘‘วิวฎวาตปาเนน ตสฺส สนฺติกํ คมิสฺสามี’’ติ อากาเสเยว ชีวิตกฺขยํ ปตฺตาฯ

    7. Dutiyasutte bārāṇasiyaṃ rūpūpajīvino mātugāmassa vatthu veditabbaṃ. Guttilavīṇāvādako kirekissā itthiyā sahassaṃ pahiṇi, sā taṃ uppaṇḍetvā gaṇhituṃ na icchi. So ‘‘karissāmettha kattabba’’nti sāyanhakālasamanantare alaṅkatapaṭiyatto tassā gehassa abhimukhaṭṭhāne aññasmiṃ gehadvāre nisinno vīṇāya tantiyo same guṇe patiṭṭhāpetvā tantissarena gītassaraṃ anatikkamanto gāyi. Sā itthī tassa gītasaddaṃ sutvā dvāranti saññāya ‘‘vivaṭavātapānena tassa santikaṃ gamissāmī’’ti ākāseyeva jīvitakkhayaṃ pattā.

    . ตติยสุเตฺต จกฺกวตฺติรโญฺญ กายโต จนฺทนคโนฺธ วายติ, มุขโต จ อุปฺปลคโนฺธติ อิทํ อาหริตพฺพํฯ อิทํ เจตฺถ วตฺถุ เวทิตพฺพํฯ สาวตฺถิยํ กิเรกิสฺสา กุฎุมฺพิกธีตาย สามิโก สตฺถุ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา, ‘‘น สกฺกา มยา อยํ ธโมฺม คิหิภูเตน ปูเรตุ’’นฺติ อญฺญตรสฺส ปิณฺฑปาติกเตฺถรสฺส สนฺติเก ปพฺพชิฯ อถสฺส ภริยํ ‘‘อสฺสามิกา อย’’นฺติ ญตฺวา ราชา ปเสนทิโกสโล อเนฺตปุรํ อาหราเปตฺวา เอกทิวสํ เอกํ นีลุปฺปลกลาปํ อาทาย อเนฺตปุรํ ปวิโฎฺฐ เอเกกิสฺสา เอเกกํ นีลุปฺปลํ ทาเปสิฯ ปุเปฺผสุ ภาชิยมาเนสุ ตสฺสา อิตฺถิยา เทฺว หตฺถํ ปตฺตานิฯ สา ปหฎฺฐาการํ ทเสฺสตฺวา อุปสิงฺฆิตฺวา ปโรทิฯ ราชา ตสฺสา อุภยาการํ ทิสฺวา ตํ ปโกฺกสาเปตฺวา ปุจฺฉิฯ สา อตฺตโน ปหฎฺฐการณญฺจ โรทนการณญฺจ กเถสิฯ ยาวตติยํ กถิเตปิ ราชา อสฺสทฺทหโนฺต ปุนทิวเส สกลราชนิเวสเน สพฺพมาลาวิเลปนาทิสุคนฺธคนฺธํ หราเปตฺวา พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส อาสนานิ ปญฺญาเปตฺวา พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส มหาทานํ ทตฺวา ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน ตํ อิตฺถิํ ‘‘กตโร เต เถโร’’ติ ปุจฺฉิตฺวา, ‘‘อย’’นฺติ วุเตฺต ญตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา, ‘‘ภเนฺต, ตุเมฺหหิ สทฺธิํ ภิกฺขุสโงฺฆ คจฺฉตุ, อมฺหากํ อสุกเตฺถโร อนุโมทนํ กริสฺสตี’’ติ อาหฯ สตฺถา ตํ ภิกฺขุํ ฐเปตฺวา วิหารํ คโตฯ เถเร อนุโมทนํ วตฺตุํ อารทฺธมเตฺต สกลํ ราชนิเวสนํ คนฺธปูรํ วิย ชาตํฯ ราชา ‘‘สจฺจเมเวสา อาหา’’ติ ปสีทิตฺวา ปุนทิวเส สตฺถารํ ตํ การณํ ปุจฺฉิฯ สตฺถา ‘‘อยํ อตีเต ธมฺมกถํ สุณโนฺต ‘สาธุ สาธู’ติ สาธุการํ ปวเตฺตโนฺต สกฺกจฺจํ อโสฺสสิ, ตมฺมูลโก เตน มหาราช อยมานิสํโส ลโทฺธ’’ติ อาจิกฺขิฯ

    8. Tatiyasutte cakkavattirañño kāyato candanagandho vāyati, mukhato ca uppalagandhoti idaṃ āharitabbaṃ. Idaṃ cettha vatthu veditabbaṃ. Sāvatthiyaṃ kirekissā kuṭumbikadhītāya sāmiko satthu dhammadesanaṃ sutvā, ‘‘na sakkā mayā ayaṃ dhammo gihibhūtena pūretu’’nti aññatarassa piṇḍapātikattherassa santike pabbaji. Athassa bhariyaṃ ‘‘assāmikā aya’’nti ñatvā rājā pasenadikosalo antepuraṃ āharāpetvā ekadivasaṃ ekaṃ nīluppalakalāpaṃ ādāya antepuraṃ paviṭṭho ekekissā ekekaṃ nīluppalaṃ dāpesi. Pupphesu bhājiyamānesu tassā itthiyā dve hatthaṃ pattāni. Sā pahaṭṭhākāraṃ dassetvā upasiṅghitvā parodi. Rājā tassā ubhayākāraṃ disvā taṃ pakkosāpetvā pucchi. Sā attano pahaṭṭhakāraṇañca rodanakāraṇañca kathesi. Yāvatatiyaṃ kathitepi rājā assaddahanto punadivase sakalarājanivesane sabbamālāvilepanādisugandhagandhaṃ harāpetvā buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa āsanāni paññāpetvā buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa mahādānaṃ datvā bhattakiccapariyosāne taṃ itthiṃ ‘‘kataro te thero’’ti pucchitvā, ‘‘aya’’nti vutte ñatvā satthāraṃ vanditvā, ‘‘bhante, tumhehi saddhiṃ bhikkhusaṅgho gacchatu, amhākaṃ asukatthero anumodanaṃ karissatī’’ti āha. Satthā taṃ bhikkhuṃ ṭhapetvā vihāraṃ gato. There anumodanaṃ vattuṃ āraddhamatte sakalaṃ rājanivesanaṃ gandhapūraṃ viya jātaṃ. Rājā ‘‘saccamevesā āhā’’ti pasīditvā punadivase satthāraṃ taṃ kāraṇaṃ pucchi. Satthā ‘‘ayaṃ atīte dhammakathaṃ suṇanto ‘sādhu sādhū’ti sādhukāraṃ pavattento sakkaccaṃ assosi, tammūlako tena mahārāja ayamānisaṃso laddho’’ti ācikkhi.

    ‘‘สทฺธมฺมเทสนากาเล, สาธุ สาธูติ ภาสโต;

    ‘‘Saddhammadesanākāle, sādhu sādhūti bhāsato;

    มุขโต ชายเต คโนฺธ, อุปฺปลํว ยโถทเก’’ติฯ

    Mukhato jāyate gandho, uppalaṃva yathodake’’ti.

    เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานเมวาติฯ อิมสฺมิํ วเคฺค วฎฺฎเมว กถิตํฯ

    Sesaṃ sabbattha uttānamevāti. Imasmiṃ vagge vaṭṭameva kathitaṃ.

    รูปาทิวคฺควณฺณนาฯ

    Rūpādivaggavaṇṇanā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๑. รูปาทิวโคฺค • 1. Rūpādivaggo

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๑. รูปาทิวคฺควณฺณนา • 1. Rūpādivaggavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact