Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā)

    ฯ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ

    Namo tassa bhagavato arahato sammāsambuddhassa

    องฺคุตฺตรนิกาเย

    Aṅguttaranikāye

    เอกกนิปาต-ฎีกา

    Ekakanipāta-ṭīkā

    คนฺถารมฺภกถา

    Ganthārambhakathā

    อนนฺตญาณํ กรุณานิเกตํ,

    Anantañāṇaṃ karuṇāniketaṃ,

    นมามิ นาถํ ชิตปญฺจมารํ;

    Namāmi nāthaṃ jitapañcamāraṃ;

    ธมฺมํ วิสุทฺธํ ภวนาสเหตุํ,

    Dhammaṃ visuddhaṃ bhavanāsahetuṃ,

    สงฺฆญฺจ เสฎฺฐํ หตสพฺพปาปํฯ

    Saṅghañca seṭṭhaṃ hatasabbapāpaṃ.

    กสฺสปํ ตํ มหาเถรํ, สงฺฆสฺส ปริณายกํ;

    Kassapaṃ taṃ mahātheraṃ, saṅghassa pariṇāyakaṃ;

    ทีปสฺมิํ ตมฺพปณฺณิมฺหิ, สาสโนทยการกํฯ

    Dīpasmiṃ tambapaṇṇimhi, sāsanodayakārakaṃ.

    ปฎิปตฺติปราธีนํ, สทารญฺญนิวาสินํ;

    Paṭipattiparādhīnaṃ, sadāraññanivāsinaṃ;

    ปากฎํ คคเน จนฺท-มณฺฑลํ วิย สาสเนฯ

    Pākaṭaṃ gagane canda-maṇḍalaṃ viya sāsane.

    สงฺฆสฺส ปิตรํ วเนฺท, วินเย สุวิสารทํ;

    Saṅghassa pitaraṃ vande, vinaye suvisāradaṃ;

    ยํ นิสฺสาย วสโนฺตหํ, วุฑฺฒิปฺปโตฺตสฺมิ สาสเนฯ

    Yaṃ nissāya vasantohaṃ, vuḍḍhippattosmi sāsane.

    อนุเถรํ มหาปญฺญํ, สุเมธํ สุติวิสฺสุตํ;

    Anutheraṃ mahāpaññaṃ, sumedhaṃ sutivissutaṃ;

    อวิขณฺฑิตสีลาทิ-ปริสุทฺธคุโณทยํฯ

    Avikhaṇḍitasīlādi-parisuddhaguṇodayaṃ.

    พหุสฺสุตํ สติมนฺตํ, ทนฺตํ สนฺตํ สมาหิตํ;

    Bahussutaṃ satimantaṃ, dantaṃ santaṃ samāhitaṃ;

    นมามิ สิรสา ธีรํ, ครุํ เม คณวาจกํฯ

    Namāmi sirasā dhīraṃ, garuṃ me gaṇavācakaṃ.

    อาคตาคมตเกฺกสุ , สทฺทสตฺถนยญฺญุสุ;

    Āgatāgamatakkesu , saddasatthanayaññusu;

    ยสฺสเนฺตวาสิภิกฺขูสุ, สาสนํ สุปฺปติฎฺฐิตํฯ

    Yassantevāsibhikkhūsu, sāsanaṃ suppatiṭṭhitaṃ.

    โย สีหฬิโนฺท ธิติมา ยสสฺสี,

    Yo sīhaḷindo dhitimā yasassī,

    อุฬารปโญฺญ นิปุโณ กลาสุ;

    Uḷārapañño nipuṇo kalāsu;

    ชาโต วิสุเทฺธ รวิโสมวํเส,

    Jāto visuddhe ravisomavaṃse,

    มหพฺพโล อพฺภุตวุตฺติเตโชฯ

    Mahabbalo abbhutavuttitejo.

    ชิตฺวาริวคฺคํ อติทุปฺปสยฺหํ,

    Jitvārivaggaṃ atiduppasayhaṃ,

    อนญฺญสาธารณวิกฺกเมน;

    Anaññasādhāraṇavikkamena;

    ปตฺตาภิเสโก ชินธมฺมเสวี,

    Pattābhiseko jinadhammasevī,

    อภิปฺปสโนฺน รตนตฺตยมฺหิฯ

    Abhippasanno ratanattayamhi.

    จิรํ วิภิเนฺน ชินสาสนสฺมิํ,

    Ciraṃ vibhinne jinasāsanasmiṃ,

    ปจฺจตฺถิเก สุฎฺฐุ วินิคฺคเหตฺวา;

    Paccatthike suṭṭhu viniggahetvā;

    สุธํว สามคฺคิรสํ ปสตฺถํ,

    Sudhaṃva sāmaggirasaṃ pasatthaṃ,

    ปาเยสิ ภิกฺขู ปริสุทฺธสีเลฯ

    Pāyesi bhikkhū parisuddhasīle.

    กตฺวา วิหาเร วิปุเล จ รเมฺม,

    Katvā vihāre vipule ca ramme,

    ตตฺรปฺปิเตเนกสหสฺสสเงฺข;

    Tatrappitenekasahassasaṅkhe;

    ภิกฺขู อเสเส จตุปจฺจเยหิ,

    Bhikkhū asese catupaccayehi,

    สนฺตปฺปยโนฺต สุจิรํ อขณฺฑํฯ

    Santappayanto suciraṃ akhaṇḍaṃ.

    สทฺธมฺมวุทฺธิํ อภิกงฺขมาโน,

    Saddhammavuddhiṃ abhikaṅkhamāno,

    สยมฺปิ ภิกฺขู อนุสาสยิตฺวา;

    Sayampi bhikkhū anusāsayitvā;

    นิโยชยํ คนฺถวิปสฺสนาสุ,

    Niyojayaṃ ganthavipassanāsu,

    อกาสิ วุทฺธิํ ชินสาสนสฺสฯ

    Akāsi vuddhiṃ jinasāsanassa.

    เตนาหมจฺจนฺตมนุคฺคหีโต,

    Tenāhamaccantamanuggahīto,

    อนญฺญสาธารณสงฺคเหน;

    Anaññasādhāraṇasaṅgahena;

    ยสฺมา ปรกฺกนฺตภุชวฺหเยน,

    Yasmā parakkantabhujavhayena,

    อเชฺฌสิโต ภิกฺขุคณสฺส มเชฺฌฯ

    Ajjhesito bhikkhugaṇassa majjhe.

    ตสฺมา อนุตฺตานปทานมตฺถํ,

    Tasmā anuttānapadānamatthaṃ,

    เสฎฺฐาย องฺคุตฺตรวณฺณนาย;

    Seṭṭhāya aṅguttaravaṇṇanāya;

    สนฺทสฺสยิสฺสํ สกลํ สุโพทฺธุํ,

    Sandassayissaṃ sakalaṃ suboddhuṃ,

    นิสฺสาย ปุพฺพาจริยปฺปภาวํฯ

    Nissāya pubbācariyappabhāvaṃ.

    คนฺถารมฺภกถาวณฺณนา

    Ganthārambhakathāvaṇṇanā

    . สํวณฺณนารเมฺภ รตนตฺตยํ นมสฺสิตุกาโม ตสฺส วิสิฎฺฐคุณโยคสนฺทสฺสนตฺถํ ‘‘กรุณาสีตลหทย’’นฺติอาทิมาหฯ วิสิฎฺฐคุณโยเคน หิ วนฺทนารหภาโว, วนฺทนารเห จ กตา วนฺทนา ยถาธิเปฺปตมตฺถํ สาเธติฯ เอตฺถ จ สํวณฺณนารเมฺภ รตนตฺตยปฺปณามกรณปฺปโยชนํ ตตฺถ ตตฺถ พหุธา ปปเญฺจนฺติ อาจริยา, มยํ ปน อิธาธิเปฺปตเมว ปโยชนํ ทสฺสยิสฺสาม, ตสฺมา สํวณฺณนารเมฺภ รตนตฺตยปฺปณามกรณํ ยถาปฎิญฺญาตสํวณฺณนาย อนนฺตราเยน ปริสมาปนตฺถนฺติ เวทิตพฺพํฯ อิทเมว หิ ปโยชนํ อาจริเยน อิธาธิเปฺปตํฯ ตถา หิ วกฺขติ –

    1. Saṃvaṇṇanārambhe ratanattayaṃ namassitukāmo tassa visiṭṭhaguṇayogasandassanatthaṃ ‘‘karuṇāsītalahadaya’’ntiādimāha. Visiṭṭhaguṇayogena hi vandanārahabhāvo, vandanārahe ca katā vandanā yathādhippetamatthaṃ sādheti. Ettha ca saṃvaṇṇanārambhe ratanattayappaṇāmakaraṇappayojanaṃ tattha tattha bahudhā papañcenti ācariyā, mayaṃ pana idhādhippetameva payojanaṃ dassayissāma, tasmā saṃvaṇṇanārambhe ratanattayappaṇāmakaraṇaṃ yathāpaṭiññātasaṃvaṇṇanāya anantarāyena parisamāpanatthanti veditabbaṃ. Idameva hi payojanaṃ ācariyena idhādhippetaṃ. Tathā hi vakkhati –

    ‘‘อิติ เม ปสนฺนมติโน, รตนตฺตยวนฺทนามยํ ปุญฺญํ;

    ‘‘Iti me pasannamatino, ratanattayavandanāmayaṃ puññaṃ;

    ยํ สุวิหตนฺตราโย, หุตฺวา ตสฺสานุภาเวนา’’ติฯ

    Yaṃ suvihatantarāyo, hutvā tassānubhāvenā’’ti.

    รตนตฺตยปฺปณามกรเณน เจตฺถ ยถาปฎิญฺญาตสํวณฺณนาย อนนฺตราเยน ปริสมาปนํ รตนตฺตยปูชาย ปญฺญาปาฎวโต, ตาย ปญฺญาปาฎวญฺจ ราคาทิมลวิธมนโตฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Ratanattayappaṇāmakaraṇena cettha yathāpaṭiññātasaṃvaṇṇanāya anantarāyena parisamāpanaṃ ratanattayapūjāya paññāpāṭavato, tāya paññāpāṭavañca rāgādimalavidhamanato. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘ยสฺมิํ, มหานาม, สมเย อริยสาวโก ตถาคตํ อนุสฺสรติ, เนวสฺส ตสฺมิํ สมเย ราคปริยุฎฺฐิตํ จิตฺตํ โหติ, น โทสปริยุฎฺฐิตํ จิตฺตํ โหติ, น โมหปริยุฎฺฐิตํ จิตฺตํ โหติ, อุชุคตเมวสฺส ตสฺมิํ สมเย จิตฺตํ โหตี’’ติอาทิ (อ. นิ. ๖.๑๐; ๑๑.๑๑)ฯ

    ‘‘Yasmiṃ, mahānāma, samaye ariyasāvako tathāgataṃ anussarati, nevassa tasmiṃ samaye rāgapariyuṭṭhitaṃ cittaṃ hoti, na dosapariyuṭṭhitaṃ cittaṃ hoti, na mohapariyuṭṭhitaṃ cittaṃ hoti, ujugatamevassa tasmiṃ samaye cittaṃ hotī’’tiādi (a. ni. 6.10; 11.11).

    ตสฺมา รตนตฺตยปูชเนน วิกฺขาลิตมลาย ปญฺญาย ปาฎวสิทฺธิฯ

    Tasmā ratanattayapūjanena vikkhālitamalāya paññāya pāṭavasiddhi.

    อถ วา รตนตฺตยปูชนสฺส ปญฺญาปทฎฺฐานสมาธิเหตุตฺตา ปญฺญาปาฎวํฯ วุตฺตญฺหิ ตสฺส สมาธิเหตุตฺตํ –

    Atha vā ratanattayapūjanassa paññāpadaṭṭhānasamādhihetuttā paññāpāṭavaṃ. Vuttañhi tassa samādhihetuttaṃ –

    ‘‘อุชุคตจิโตฺต โข ปน, มหานาม, อริยสาวโก ลภติ อตฺถเวทํ, ลภติ ธมฺมเวทํ, ลภติ ธมฺมูปสํหิตํ ปาโมชฺชํ, ปมุทิตสฺส ปีติ ชายติ, ปีติมนสฺส กาโย ปสฺสมฺภติ, ปสฺสทฺธกาโย สุขํ เวทิยติ, สุขิโน จิตฺตํ สมาธิยตี’’ติ (อ. นิ. ๖.๑๐; ๑๑.๑๑)ฯ

    ‘‘Ujugatacitto kho pana, mahānāma, ariyasāvako labhati atthavedaṃ, labhati dhammavedaṃ, labhati dhammūpasaṃhitaṃ pāmojjaṃ, pamuditassa pīti jāyati, pītimanassa kāyo passambhati, passaddhakāyo sukhaṃ vediyati, sukhino cittaṃ samādhiyatī’’ti (a. ni. 6.10; 11.11).

    สมาธิสฺส จ ปญฺญาย ปทฎฺฐานภาโว วุโตฺตเยว – ‘‘สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาตี’’ติ (สํ. นิ. ๓.๕; ๔.๙๙; ๕.๑๐๗๑)ฯ ตโต เอวํ ปฎุภูตาย ปญฺญาย ปฎิญฺญามหตฺตกตํ เขทมภิภุยฺย อนนฺตราเยน สํวณฺณนํ สมาปยิสฺสติฯ

    Samādhissa ca paññāya padaṭṭhānabhāvo vuttoyeva – ‘‘samāhito yathābhūtaṃ pajānātī’’ti (saṃ. ni. 3.5; 4.99; 5.1071). Tato evaṃ paṭubhūtāya paññāya paṭiññāmahattakataṃ khedamabhibhuyya anantarāyena saṃvaṇṇanaṃ samāpayissati.

    อถ วา รตนตฺตยปูชาย อายุวณฺณสุขพลวฑฺฒนโต อนนฺตราเยน ปริสมาปนํ เวทิตพฺพํฯ รตนตฺตยปฺปณาเมน หิ อายุวณฺณสุขพลานิ วฑฺฒนฺติฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Atha vā ratanattayapūjāya āyuvaṇṇasukhabalavaḍḍhanato anantarāyena parisamāpanaṃ veditabbaṃ. Ratanattayappaṇāmena hi āyuvaṇṇasukhabalāni vaḍḍhanti. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘อภิวาทนสีลิสฺส, นิจฺจํ วุฑฺฒาปจายิโน;

    ‘‘Abhivādanasīlissa, niccaṃ vuḍḍhāpacāyino;

    จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ, อายุ วโณฺณ สุขํ พล’’นฺติฯ (ธ. ป. ๑๐๙) –

    Cattāro dhammā vaḍḍhanti, āyu vaṇṇo sukhaṃ bala’’nti. (dha. pa. 109) –

    ตโต อายุวณฺณสุขพลวุทฺธิยา โหเตว การิยนิฎฺฐานํฯ

    Tato āyuvaṇṇasukhabalavuddhiyā hoteva kāriyaniṭṭhānaṃ.

    อถ วา รตนตฺตยคารวสฺส ปฎิภานาปริหานาวหตฺตาฯ อปริหานาวหญฺหิ ตีสุปิ รตเนสุ คารวํฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Atha vā ratanattayagāravassa paṭibhānāparihānāvahattā. Aparihānāvahañhi tīsupi ratanesu gāravaṃ. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘สตฺติเม, ภิกฺขเว, อปริหานียา ธมฺมาฯ กตเม สตฺต? สตฺถุคารวตา, ธมฺมคารวตา, สงฺฆคารวตา, สิกฺขาคารวตา, สมาธิคารวตา, โสวจสฺสตา, กลฺยาณมิตฺตตา’’ติ (อ. นิ. ๗.๓๔)ฯ

    ‘‘Sattime, bhikkhave, aparihānīyā dhammā. Katame satta? Satthugāravatā, dhammagāravatā, saṅghagāravatā, sikkhāgāravatā, samādhigāravatā, sovacassatā, kalyāṇamittatā’’ti (a. ni. 7.34).

    โหเตว จ ตโต ปฎิภานาปริหาเนน ยถาปฎิญฺญาตปริสมาปนํฯ

    Hoteva ca tato paṭibhānāparihānena yathāpaṭiññātaparisamāpanaṃ.

    อถ วา ปสาทวตฺถูสุ ปูชาย ปุญฺญาติสยภาวโตฯ วุตฺตญฺหิ ตสฺสา ปุญฺญาติสยตฺตํ –

    Atha vā pasādavatthūsu pūjāya puññātisayabhāvato. Vuttañhi tassā puññātisayattaṃ –

    ‘‘ปูชารเห ปูชยโต, พุเทฺธ ยทิ ว สาวเก;

    ‘‘Pūjārahe pūjayato, buddhe yadi va sāvake;

    ปปญฺจสมติกฺกเนฺต, ติณฺณโสกปริทฺทเวฯ

    Papañcasamatikkante, tiṇṇasokapariddave.

    เต ตาทิเส ปูชยโต, นิพฺพุเต อกุโตภเย;

    Te tādise pūjayato, nibbute akutobhaye;

    น สกฺกา ปุญฺญํ สงฺขาตุํ, อิเมตฺตมปิ เกนจี’’ติฯ (ธ. ป. ๑๙๕-๑๙๖; อป. เถร ๑.๑๐.๑-๒);

    Na sakkā puññaṃ saṅkhātuṃ, imettamapi kenacī’’ti. (dha. pa. 195-196; apa. thera 1.10.1-2);

    ปุญฺญาติสโย จ ยถาธิเปฺปตปริสมาปนูปาโยฯ ยถาห –

    Puññātisayo ca yathādhippetaparisamāpanūpāyo. Yathāha –

    ‘‘เอส เทวมนุสฺสานํ, สพฺพกามทโท นิธิ;

    ‘‘Esa devamanussānaṃ, sabbakāmadado nidhi;

    ยํ ยเทวาภิปเตฺถนฺติ, สพฺพเมเตน ลพฺภตี’’ติฯ (ขุ. ปา. ๘.๑๐);

    Yaṃ yadevābhipatthenti, sabbametena labbhatī’’ti. (khu. pā. 8.10);

    อุปาเยสุ จ ปฎิปนฺนสฺส โหเตว การิยนิฎฺฐานํฯ รตนตฺตยปูชา หิ นิรติสยปุญฺญเกฺขตฺตสมฺพุทฺธิยา อปริเมยฺยปฺปภาโว ปุญฺญาติสโยติ พหุวิธนฺตราเยปิ โลกสนฺนิวาเส อนฺตรายนิพนฺธนสกลสํกิเลสวิทฺธํสนาย ปโหติ, ภยาทิอุปทฺทวญฺจ นิวาเรติฯ ตสฺมา วุตฺตํ – ‘‘สํวณฺณนารเมฺภ รตนตฺตยปฺปณามกรณํ ยถาปฎิญฺญาตสํวณฺณนาย อนนฺตราเยน ปริสมาปนตฺถ’’นฺติฯ

    Upāyesu ca paṭipannassa hoteva kāriyaniṭṭhānaṃ. Ratanattayapūjā hi niratisayapuññakkhettasambuddhiyā aparimeyyappabhāvo puññātisayoti bahuvidhantarāyepi lokasannivāse antarāyanibandhanasakalasaṃkilesaviddhaṃsanāya pahoti, bhayādiupaddavañca nivāreti. Tasmā vuttaṃ – ‘‘saṃvaṇṇanārambhe ratanattayappaṇāmakaraṇaṃ yathāpaṭiññātasaṃvaṇṇanāya anantarāyena parisamāpanattha’’nti.

    เอวญฺจ สปฺปโยชนํ รตนตฺตยวนฺทนํ กตฺตุกาโม ปฐมํ ตาว ภควโต วนฺทนํ กาตุํ ตมฺมูลกตฺตา เสสรตนานํ ‘‘กรุณาสีตลหทยํ…เป.… คติวิมุตฺต’’นฺติ อาหฯ ตตฺถ ยสฺสา เทสนาย สํวณฺณนํ กตฺตุกาโม, สา น วินยเทสนา วิย กรุณาปธานา, นาปิ อภิธมฺมเทสนา วิย ปญฺญาปธานา, อถ โข กรุณาปญฺญาปธานาติ ตทุภยปฺปธานเมว ตาว สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส โถมนํ กาตุํ ‘‘กรุณาสีตลหทยํ, ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตม’’นฺติ วุตฺตํฯ ตตฺถ กิรตีติ กรุณา, ปรทุกฺขํ วิกฺขิปติ อปเนตีติ อโตฺถฯ อถ วา กิณาตีติ กรุณา, ปรทุเกฺข สติ การุณิกํ หิํสติ วิพาธตีติ อโตฺถฯ ปรทุเกฺข สติ สาธูนํ กมฺปนํ หทยเขทํ กโรตีติ วา กรุณาฯ อถ วา กมิติ สุขํ, ตํ รุนฺธตีติ กรุณาฯ เอสา หิ ปรทุกฺขาปนยนกามตาลกฺขณา อตฺตสุขนิรเปกฺขตาย การุณิกานํ สุขํ รุนฺธติ วิพนฺธตีติ อโตฺถฯ กรุณาย สีตลํ กรุณาสีตลํ, กรุณาสีตลํ หทยํ อสฺสาติ กรุณาสีตลหทโย, ตํ กรุณาสีตลหทยํ

    Evañca sappayojanaṃ ratanattayavandanaṃ kattukāmo paṭhamaṃ tāva bhagavato vandanaṃ kātuṃ tammūlakattā sesaratanānaṃ ‘‘karuṇāsītalahadayaṃ…pe… gativimutta’’nti āha. Tattha yassā desanāya saṃvaṇṇanaṃ kattukāmo, sā na vinayadesanā viya karuṇāpadhānā, nāpi abhidhammadesanā viya paññāpadhānā, atha kho karuṇāpaññāpadhānāti tadubhayappadhānameva tāva sammāsambuddhassa thomanaṃ kātuṃ ‘‘karuṇāsītalahadayaṃ, paññāpajjotavihatamohatama’’nti vuttaṃ. Tattha kiratīti karuṇā, paradukkhaṃ vikkhipati apanetīti attho. Atha vā kiṇātīti karuṇā, paradukkhe sati kāruṇikaṃ hiṃsati vibādhatīti attho. Paradukkhe sati sādhūnaṃ kampanaṃ hadayakhedaṃ karotīti vā karuṇā. Atha vā kamiti sukhaṃ, taṃ rundhatīti karuṇā. Esā hi paradukkhāpanayanakāmatālakkhaṇā attasukhanirapekkhatāya kāruṇikānaṃ sukhaṃ rundhati vibandhatīti attho. Karuṇāya sītalaṃ karuṇāsītalaṃ, karuṇāsītalaṃ hadayaṃ assāti karuṇāsītalahadayo, taṃ karuṇāsītalahadayaṃ.

    ตตฺถ กิญฺจาปิ ปเรสํ หิโตปสํหารสุขาทิอปริหานิจฺฉนสภาวตาย, พฺยาปาทารตีนํ อุชุวิปจฺจนีกตาย จ สตฺตสนฺตานคตสนฺตาปวิเจฺฉทนาการปฺปวตฺติยา เมตฺตามุทิตานมฺปิ จิตฺตสีตลภาวการณตา อุปลพฺภติ, ตถาปิ ทุกฺขาปนยนาการปฺปวตฺติยา ปรูปตาปาสหนรสา อวิหิํสภูตา กรุณา วิเสเสน ภควโต จิตฺตสฺส จิตฺตปฺปสฺสทฺธิ วิย สีติภาวนิมิตฺตนฺติ วุตฺตํ – ‘‘กรุณาสีตลหทย’’นฺติฯ กรุณามุเขน วา เมตฺตามุทิตานมฺปิ หทยสีตลภาวการณตา วุตฺตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ อถ วา อสาธารณญาณวิเสสนิพนฺธนภูตา สาติสยํ นิรวเสสญฺจ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ วิย สวิสยพฺยาปิตาย มหากรุณาภาวํ อุปคตา กรุณาว ภควโต อติสเยน หทยสีตลภาวเหตูติ อาห – ‘‘กรุณาสีตลหทย’’นฺติฯ อถ วา สติปิ เมตฺตามุทิตานํ สาติสเย หทยสีติภาวนิพนฺธนเตฺต สกลพุทฺธคุณวิเสสการณตาย ตาสมฺปิ การณนฺติ กรุณาว ภควโต ‘‘หทยสีตลภาวการณ’’นฺติ วุตฺตาฯ กรุณานิทานา หิ สเพฺพปิ พุทฺธคุณาฯ กรุณานุภาวนิพฺพาปิยมานสํสารทุกฺขสนฺตาปสฺส หิ ภควโต ปรทุกฺขาปนยนกามตาย อเนกานิปิ อสเงฺขฺยยฺยานิ กปฺปานํ อกิลนฺตรูปเสฺสว นิรวเสสพุทฺธกรธมฺมสมฺภรณนิรตสฺส สมธิคตธมฺมาธิปเตยฺยสฺส จ สนฺนิหิเตสุปิ สตฺตสงฺขารสมุปนีตหทยูปตาปนิมิเตฺตสุ น อีสกมฺปิ จิตฺตสีติภาวสฺส อญฺญถตฺตมโหสีติฯ เอตสฺมิญฺจ อตฺถวิกเปฺป ตีสุปิ อวตฺถาสุ ภควโต กรุณา สงฺคหิตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Tattha kiñcāpi paresaṃ hitopasaṃhārasukhādiaparihānicchanasabhāvatāya, byāpādāratīnaṃ ujuvipaccanīkatāya ca sattasantānagatasantāpavicchedanākārappavattiyā mettāmuditānampi cittasītalabhāvakāraṇatā upalabbhati, tathāpi dukkhāpanayanākārappavattiyā parūpatāpāsahanarasā avihiṃsabhūtā karuṇā visesena bhagavato cittassa cittappassaddhi viya sītibhāvanimittanti vuttaṃ – ‘‘karuṇāsītalahadaya’’nti. Karuṇāmukhena vā mettāmuditānampi hadayasītalabhāvakāraṇatā vuttāti daṭṭhabbaṃ. Atha vā asādhāraṇañāṇavisesanibandhanabhūtā sātisayaṃ niravasesañca sabbaññutaññāṇaṃ viya savisayabyāpitāya mahākaruṇābhāvaṃ upagatā karuṇāva bhagavato atisayena hadayasītalabhāvahetūti āha – ‘‘karuṇāsītalahadaya’’nti. Atha vā satipi mettāmuditānaṃ sātisaye hadayasītibhāvanibandhanatte sakalabuddhaguṇavisesakāraṇatāya tāsampi kāraṇanti karuṇāva bhagavato ‘‘hadayasītalabhāvakāraṇa’’nti vuttā. Karuṇānidānā hi sabbepi buddhaguṇā. Karuṇānubhāvanibbāpiyamānasaṃsāradukkhasantāpassa hi bhagavato paradukkhāpanayanakāmatāya anekānipi asaṅkhyeyyāni kappānaṃ akilantarūpasseva niravasesabuddhakaradhammasambharaṇaniratassa samadhigatadhammādhipateyyassa ca sannihitesupi sattasaṅkhārasamupanītahadayūpatāpanimittesu na īsakampi cittasītibhāvassa aññathattamahosīti. Etasmiñca atthavikappe tīsupi avatthāsu bhagavato karuṇā saṅgahitāti daṭṭhabbaṃ.

    ปชานาตีติ ปญฺญา, ยถาสภาวํ ปกาเรหิ ปฎิวิชฺฌตีติ อโตฺถฯ ปญฺญาว เญยฺยาวรณปฺปหานโต ปกาเรหิ ธมฺมสภาวาวโชตนเฎฺฐน ปโชฺชโตติ ปญฺญาปโชฺชโตฯ สวาสนปฺปหานโต วิเสเสน หตํ สมุคฺฆาติตํ วิหตํฯ ปญฺญาปโชฺชเตน วิหตํ ปญฺญาปโชฺชตวิหตํ , มุยฺหนฺติ เตน, สยํ วา มุยฺหติ, โมหนมตฺตเมว วา ตนฺติ โมโห, อวิชฺชาฯ เสฺวว วิสยสภาวปฺปฎิจฺฉาทนโต อนฺธการสริกฺขตาย ตโม วิยาติ โมหตโม, ปญฺญาปโชฺชตวิหโต โมหตโม เอตสฺสาติ ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตโม, ตํ ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตมํฯ สเพฺพสมฺปิ หิ ขีณาสวานํ สติปิ ปญฺญาปโชฺชเตน อวิชฺชนฺธการสฺส วิหตภาเว สทฺธาธิมุเตฺตหิ วิย ทิฎฺฐิปฺปตฺตานํ สาวเกหิ ปเจฺจกสมฺพุเทฺธหิ จ สวาสนปฺปหาเนน สมฺมาสมฺพุทฺธานํ กิเลสปฺปหานสฺส วิเสโส วิชฺชตีติ สาติสเยน อวิชฺชาปหาเนน ภควนฺตํ โถเมโนฺต อาห – ‘‘ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตม’’นฺติฯ

    Pajānātīti paññā, yathāsabhāvaṃ pakārehi paṭivijjhatīti attho. Paññāva ñeyyāvaraṇappahānato pakārehi dhammasabhāvāvajotanaṭṭhena pajjototi paññāpajjoto. Savāsanappahānato visesena hataṃ samugghātitaṃ vihataṃ. Paññāpajjotena vihataṃ paññāpajjotavihataṃ , muyhanti tena, sayaṃ vā muyhati, mohanamattameva vā tanti moho, avijjā. Sveva visayasabhāvappaṭicchādanato andhakārasarikkhatāya tamo viyāti mohatamo, paññāpajjotavihato mohatamo etassāti paññāpajjotavihatamohatamo, taṃ paññāpajjotavihatamohatamaṃ. Sabbesampi hi khīṇāsavānaṃ satipi paññāpajjotena avijjandhakārassa vihatabhāve saddhādhimuttehi viya diṭṭhippattānaṃ sāvakehi paccekasambuddhehi ca savāsanappahānena sammāsambuddhānaṃ kilesappahānassa viseso vijjatīti sātisayena avijjāpahānena bhagavantaṃ thomento āha – ‘‘paññāpajjotavihatamohatama’’nti.

    อถ วา อนฺตเรน ปโรปเทสํ อตฺตโน สนฺตาเน อจฺจนฺตํ อวิชฺชนฺธการวิคมสฺส นิพฺพตฺติตตฺตา, ตตฺถ จ สพฺพญฺญุตาย พเลสุ จ วสีภาวสฺส สมธิคตตฺตา, ปรสนฺตติยญฺจ ธมฺมเทสนาติสยานุภาเวน สมฺมเทว ตสฺส ปวตฺติตตฺตา ภควาว วิเสสโต โมหตมวิคเมน โถเมตโพฺพติ อาห – ‘‘ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตม’’นฺติฯ อิมสฺมิญฺจ อตฺถวิกเปฺป ‘‘ปญฺญาปโชฺชโต’’ติ ปเทน ภควโต ปฎิเวธปญฺญา วิย เทสนาปญฺญาปิ สามญฺญนิเทฺทเสน, เอกเสสนเยน วา สงฺคหิตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Atha vā antarena paropadesaṃ attano santāne accantaṃ avijjandhakāravigamassa nibbattitattā, tattha ca sabbaññutāya balesu ca vasībhāvassa samadhigatattā, parasantatiyañca dhammadesanātisayānubhāvena sammadeva tassa pavattitattā bhagavāva visesato mohatamavigamena thometabboti āha – ‘‘paññāpajjotavihatamohatama’’nti. Imasmiñca atthavikappe ‘‘paññāpajjoto’’ti padena bhagavato paṭivedhapaññā viya desanāpaññāpi sāmaññaniddesena, ekasesanayena vā saṅgahitāti daṭṭhabbaṃ.

    อถ วา ภควโต ญาณสฺส เญยฺยปริยนฺติกตฺตา สกลเญยฺยธมฺมสภาวาวโพธนสมเตฺถน อนาวรณญาณสงฺขาเตน ปญฺญาปโชฺชเตน สพฺพเญยฺยธมฺมสภาวจฺฉาทกสฺส โมหนฺธการสฺส วิธมิตตฺตา อนญฺญสาธารโณ ภควโต โมหตมวินาโสติ กตฺวา วุตฺตํ – ‘‘ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตม’’นฺติฯ เอตฺถ จ โมหตมวิธมนเนฺต อธิคตตฺตา อนาวรณญาณํ การโณปจาเรน สสนฺตานโมหตมวิธมนํ ทฎฺฐพฺพํฯ อภินีหารสมฺปตฺติยา สวาสนปฺปหานเมว หิ กิเลสานํ เญยฺยาวรณปฺปหานนฺติ, ปรสนฺตาเน ปน โมหตมวิธมนสฺส การณภาวโต อนาวรณญาณํ ‘‘โมหตมวิธมน’’นฺติ วุจฺจตีติฯ

    Atha vā bhagavato ñāṇassa ñeyyapariyantikattā sakalañeyyadhammasabhāvāvabodhanasamatthena anāvaraṇañāṇasaṅkhātena paññāpajjotena sabbañeyyadhammasabhāvacchādakassa mohandhakārassa vidhamitattā anaññasādhāraṇo bhagavato mohatamavināsoti katvā vuttaṃ – ‘‘paññāpajjotavihatamohatama’’nti. Ettha ca mohatamavidhamanante adhigatattā anāvaraṇañāṇaṃ kāraṇopacārena sasantānamohatamavidhamanaṃ daṭṭhabbaṃ. Abhinīhārasampattiyā savāsanappahānameva hi kilesānaṃ ñeyyāvaraṇappahānanti, parasantāne pana mohatamavidhamanassa kāraṇabhāvato anāvaraṇañāṇaṃ ‘‘mohatamavidhamana’’nti vuccatīti.

    กิํ ปน การณํ อวิชฺชาสมุคฺฆาโตเยเวโก ปหานสมฺปตฺติวเสน ภควโต โถมนานิมิตฺตํ คยฺหติ, น ปน สาติสยนิรวเสสกิเลสปฺปหานนฺติ? ตปฺปหานวจเนเนว ตเทกฎฺฐตาย สกลสํกิเลสคณสมุคฺฆาตสฺส วุตฺตตฺตาฯ น หิ โส ตาทิโส กิเลโส อตฺถิ, โย นิรวเสสอวิชฺชาปหาเนน น ปหียตีติฯ

    Kiṃ pana kāraṇaṃ avijjāsamugghātoyeveko pahānasampattivasena bhagavato thomanānimittaṃ gayhati, na pana sātisayaniravasesakilesappahānanti? Tappahānavacaneneva tadekaṭṭhatāya sakalasaṃkilesagaṇasamugghātassa vuttattā. Na hi so tādiso kileso atthi, yo niravasesaavijjāpahānena na pahīyatīti.

    อถ วา วิชฺชา วิย สกลกุสลธมฺมสมุปฺปตฺติยา, นิรวเสสากุสลธมฺมนิพฺพตฺติยา สํสารปฺปวตฺติยา จ อวิชฺชา ปธานการณนฺติ ตพฺพิฆาตวจเนน สกลสํกิเลสคณสมุคฺฆาโต วุโตฺต เอว โหตีติ วุตฺตํ – ‘‘ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตม’’นฺติฯ

    Atha vā vijjā viya sakalakusaladhammasamuppattiyā, niravasesākusaladhammanibbattiyā saṃsārappavattiyā ca avijjā padhānakāraṇanti tabbighātavacanena sakalasaṃkilesagaṇasamugghāto vutto eva hotīti vuttaṃ – ‘‘paññāpajjotavihatamohatama’’nti.

    นรา จ อมรา จ นรามรา, สห นรามเรหีติ สนรามโร, สนรามโร จ โส โลโก จาติ สนรามรโลโก, ตสฺส ครูติ สนรามรโลกครุ, ตํ สนรามรโลกครุํฯ เอเตน เทวมนุสฺสานํ วิย ตทวสิฎฺฐสตฺตานมฺปิ ยถารหํ คุณวิเสสาวหตาย ภควโต อุปการตํ ทเสฺสติฯ น เจตฺถ ปธานปฺปธานภาโว โจเทตโพฺพฯ อโญฺญ หิ สทฺทกฺกโม, อโญฺญ อตฺถกฺกโมฯ อีทิเสสุ หิ สมาสปเทสุ ปธานมฺปิ อปฺปธานํ วิย นิทฺทิสียติ ยถา ‘‘สราชิกาย ปริสายา’’ติ (จูฬว. ๓๓๖)ฯ กามเญฺจตฺถ สตฺตสงฺขารภาชนวเสน ติวิโธ โลโก, ครุภาวสฺส ปน อธิเปฺปตตฺตา ครุกรณสมตฺถเสฺสว ยุชฺชนโต สตฺตโลกสฺส วเสน อโตฺถ คเหตโพฺพฯ โส หิ โลกียนฺติ เอตฺถ ปุญฺญปาปานิ ตพฺพิปาโก จาติ ‘‘โลโก’’ติ วุจฺจติฯ อมรคฺคหเณน เจตฺถ อุปปตฺติเทวา อธิเปฺปตาฯ

    Narā ca amarā ca narāmarā, saha narāmarehīti sanarāmaro, sanarāmaro ca so loko cāti sanarāmaraloko, tassa garūti sanarāmaralokagaru, taṃ sanarāmaralokagaruṃ. Etena devamanussānaṃ viya tadavasiṭṭhasattānampi yathārahaṃ guṇavisesāvahatāya bhagavato upakārataṃ dasseti. Na cettha padhānappadhānabhāvo codetabbo. Añño hi saddakkamo, añño atthakkamo. Īdisesu hi samāsapadesu padhānampi appadhānaṃ viya niddisīyati yathā ‘‘sarājikāya parisāyā’’ti (cūḷava. 336). Kāmañcettha sattasaṅkhārabhājanavasena tividho loko, garubhāvassa pana adhippetattā garukaraṇasamatthasseva yujjanato sattalokassa vasena attho gahetabbo. So hi lokīyanti ettha puññapāpāni tabbipāko cāti ‘‘loko’’ti vuccati. Amaraggahaṇena cettha upapattidevā adhippetā.

    อถ วา สมูหโตฺถ โลกสโทฺท สมุทายวเสน โลกียติ ปญฺญาปียตีติฯ สห นเรหีติ สนรา, สนรา จ เต อมรา จาติ สนรามรา, เตสํ โลโกติ สนรามรโลโกติ ปุริมนเยเนว โยเชตพฺพํฯ อมรสเทฺทน เจตฺถ วิสุทฺธิเทวาปิ สงฺคยฺหนฺติฯ เตปิ หิ มรณาภาวโต ปรมตฺถโต อมราฯ นรามรานํเยว จ คหณํ อุกฺกฎฺฐนิเทฺทสวเสน ยถา ‘‘สตฺถา เทวมนุสฺสาน’’นฺติ (ที. นิ. ๑.๑๕๗)ฯ ตถา หิ สพฺพานตฺถปริหรณปุพฺพงฺคมาย นิรวเสสหิตสุขวิธานตปฺปราย นิรติสยาย ปโยคสมฺปตฺติยา สเทวมนุสฺสาย ปชาย อจฺจนฺตูปการิตาย อปริมิตนิรุปมปฺปภาวคุณวิเสสสมงฺคิตาย จ สพฺพสตฺตุตฺตโม ภควา อปริมาณาสุ โลกธาตูสุ อปริมาณานํ สตฺตานํ อุตฺตมคารวฎฺฐานํฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘สนรามรโลกครุ’’นฺติฯ

    Atha vā samūhattho lokasaddo samudāyavasena lokīyati paññāpīyatīti. Saha narehīti sanarā, sanarā ca te amarā cāti sanarāmarā, tesaṃ lokoti sanarāmaralokoti purimanayeneva yojetabbaṃ. Amarasaddena cettha visuddhidevāpi saṅgayhanti. Tepi hi maraṇābhāvato paramatthato amarā. Narāmarānaṃyeva ca gahaṇaṃ ukkaṭṭhaniddesavasena yathā ‘‘satthā devamanussāna’’nti (dī. ni. 1.157). Tathā hi sabbānatthapariharaṇapubbaṅgamāya niravasesahitasukhavidhānatapparāya niratisayāya payogasampattiyā sadevamanussāya pajāya accantūpakāritāya aparimitanirupamappabhāvaguṇavisesasamaṅgitāya ca sabbasattuttamo bhagavā aparimāṇāsu lokadhātūsu aparimāṇānaṃ sattānaṃ uttamagāravaṭṭhānaṃ. Tena vuttaṃ – ‘‘sanarāmaralokagaru’’nti.

    โสภนํ คตํ คมนํ เอตสฺสาติ สุคโตฯ ภควโต หิ เวเนยฺยชนูปสงฺกมนํ เอกเนฺตน เตสํ หิตสุขนิปฺผาทนโต โสภนํ, ตถา ลกฺขณานุพฺยญฺชนปฺปฎิมณฺฑิตรูปกายตาย ทุตวิลมฺพิตขลิตานุกฑฺฒนนิปฺปีฬนุกฺกุฎิกกุฎิลากุฎิลตาทิ- โทสรหิตมวหสิตราชหํสวสภวารณมิคราชคมนํ กายคมนํ ญาณคมนญฺจ วิปุลนิมฺมลกรุณาสติวีริยาทิคุณวิเสสสหิตมภินีหารโต ยาว มหาโพธิ อนวชฺชตาย โสภนเมวาติฯ อถ วา สยมฺภุญาเณน สกลมฺปิ โลกํ ปริญฺญาภิสมยวเสน ปริชานโนฺต ญาเณน สมฺมา คโต อวคโตติ สุคโต, ตถา โลกสมุทยํ ปหานาภิสมยวเสน ปชหโนฺต อนุปฺปตฺติธมฺมตํ อาปาเทโนฺต สมฺมา คโต อตีโตติ สุคโต, โลกนิโรธํ นิพฺพานํ สจฺฉิกิริยาภิสมยวเสน สมฺมา คโต อธิคโตติ สุคโต, โลกนิโรธคามินิปฎิปทํ ภาวนาภิสมยวเสน สมฺมา คโต ปฎิปโนฺนติ สุคโตฯ ‘‘โสตาปตฺติมเคฺคน เย กิเลสา ปหีนา, เต กิเลเส น ปุเนติ น ปเจฺจติ น ปจฺจาคจฺฉตีติ สุคโต’’ติอาทินา (จูฬนิ. เมตฺตคูมาณวปุจฺฉานิเทฺทโส ๒๗) นเยน อยมโตฺถ วิภาเวตโพฺพฯ อถ วา สุนฺทรํ ฐานํ สมฺมาสโมฺพธิํ, นิพฺพานเมว วา คโต อธิคโตติ สุคโต, ยสฺมา วา ภูตํ ตจฺฉํ อตฺถสํหิตํ เวเนยฺยานํ ยถารหํ กาลยุตฺตเมว จ ธมฺมํ ภาสติ, ตสฺมา สมฺมา คทตีติ สุคโต, ท-การสฺส ต-การํ กตฺวาฯ อิติ โสภนคมนตาทีหิ สุคโต, ตํ สุคตํ

    Sobhanaṃ gataṃ gamanaṃ etassāti sugato. Bhagavato hi veneyyajanūpasaṅkamanaṃ ekantena tesaṃ hitasukhanipphādanato sobhanaṃ, tathā lakkhaṇānubyañjanappaṭimaṇḍitarūpakāyatāya dutavilambitakhalitānukaḍḍhananippīḷanukkuṭikakuṭilākuṭilatādi- dosarahitamavahasitarājahaṃsavasabhavāraṇamigarājagamanaṃ kāyagamanaṃ ñāṇagamanañca vipulanimmalakaruṇāsativīriyādiguṇavisesasahitamabhinīhārato yāva mahābodhi anavajjatāya sobhanamevāti. Atha vā sayambhuñāṇena sakalampi lokaṃ pariññābhisamayavasena parijānanto ñāṇena sammā gato avagatoti sugato, tathā lokasamudayaṃ pahānābhisamayavasena pajahanto anuppattidhammataṃ āpādento sammā gato atītoti sugato, lokanirodhaṃ nibbānaṃ sacchikiriyābhisamayavasena sammā gato adhigatoti sugato, lokanirodhagāminipaṭipadaṃ bhāvanābhisamayavasena sammā gato paṭipannoti sugato. ‘‘Sotāpattimaggena ye kilesā pahīnā, te kilese na puneti na pacceti na paccāgacchatīti sugato’’tiādinā (cūḷani. mettagūmāṇavapucchāniddeso 27) nayena ayamattho vibhāvetabbo. Atha vā sundaraṃ ṭhānaṃ sammāsambodhiṃ, nibbānameva vā gato adhigatoti sugato, yasmā vā bhūtaṃ tacchaṃ atthasaṃhitaṃ veneyyānaṃ yathārahaṃ kālayuttameva ca dhammaṃ bhāsati, tasmā sammā gadatīti sugato, da-kārassa ta-kāraṃ katvā. Iti sobhanagamanatādīhi sugato, taṃ sugataṃ.

    ปุญฺญปาปกเมฺมหิ อุปปชฺชนวเสน คนฺตพฺพโต คติโย, อุปปตฺติภววิเสสาฯ ตา ปน นิรยาทิวเสน ปญฺจวิธาฯ ตาหิ สกลสฺสปิ ภวคามิกมฺมสฺส อริยมคฺคาธิคเมน อวิปาการหภาวกรเณน นิวตฺติตตฺตา ภควา ปญฺจหิปิ คตีหิ สุฎฺฐุ มุโตฺต วิสํยุโตฺตติ อาห – ‘‘คติวิมุตฺต’’นฺติฯ เอเตน ภควโต กตฺถจิปิ คติยา อปริยาปนฺนตํ ทเสฺสติ, ยโต ภควา ‘‘เทวาติเทโว’’ติ วุจฺจติฯ เตเนวาห –

    Puññapāpakammehi upapajjanavasena gantabbato gatiyo, upapattibhavavisesā. Tā pana nirayādivasena pañcavidhā. Tāhi sakalassapi bhavagāmikammassa ariyamaggādhigamena avipākārahabhāvakaraṇena nivattitattā bhagavā pañcahipi gatīhi suṭṭhu mutto visaṃyuttoti āha – ‘‘gativimutta’’nti. Etena bhagavato katthacipi gatiyā apariyāpannataṃ dasseti, yato bhagavā ‘‘devātidevo’’ti vuccati. Tenevāha –

    ‘‘เยน เทวูปปตฺยสฺส, คนฺธโพฺพ วา วิหงฺคโม;

    ‘‘Yena devūpapatyassa, gandhabbo vā vihaṅgamo;

    ยกฺขตฺตํ เยน คเจฺฉยฺยํ, มนุสฺสตฺตญฺจ อพฺพเช;

    Yakkhattaṃ yena gaccheyyaṃ, manussattañca abbaje;

    เต มยฺหํ อาสวา ขีณา, วิทฺธสฺตา วินฬีกตา’’ติฯ (อ. นิ. ๔.๓๖);

    Te mayhaṃ āsavā khīṇā, viddhastā vinaḷīkatā’’ti. (a. ni. 4.36);

    ตํตํคติสํวตฺตนิกานญฺหิ กมฺมกิเลสานํ อคฺคมเคฺคน โพธิมูเลเยว สุปฺปหีนตฺตา นตฺถิ ภควโต คติปริยาปนฺนตาติ อจฺจนฺตเมว ภควา สพฺพภวโยนิคติวิญฺญาณฎฺฐิติสตฺตาวาสสตฺตนิกาเยหิ สุปริมุโตฺต, ตํ คติวิมุตฺตํฯ วเนฺทติ นมามิ, โถเมมีติ วา อโตฺถฯ

    Taṃtaṃgatisaṃvattanikānañhi kammakilesānaṃ aggamaggena bodhimūleyeva suppahīnattā natthi bhagavato gatipariyāpannatāti accantameva bhagavā sabbabhavayonigativiññāṇaṭṭhitisattāvāsasattanikāyehi suparimutto, taṃ gativimuttaṃ. Vandeti namāmi, thomemīti vā attho.

    อถ วา คติวิมุตฺตนฺติ อนุปาทิเสสนิพฺพานธาตุปฺปตฺติยา ภควนฺตํ โถเมติฯ เอตฺถ หิ ทฺวีหิ อากาเรหิ ภควโต โถมนา เวทิตพฺพา อตฺตหิตสมฺปตฺติโต ปรหิตปฺปฎิปตฺติโต จฯ เตสุ อตฺตหิตสมฺปตฺติ อนาวรณญาณาธิคมโต สวาสนานํ สเพฺพสํ กิเลสานํ อจฺจนฺตปฺปหานโต อนุปาทิเสสนิพฺพานปฺปตฺติโต จ เวทิตพฺพา, ปรหิตปฺปฎิปตฺติ ลาภสกฺการาทินิรเปกฺขจิตฺตสฺส สพฺพทุกฺขนิยฺยานิกธมฺมเทสนโต วิรุเทฺธสุปิ นิจฺจํ หิตชฺฌาสยโต ญาณปริปากกาลาคมนโต จฯ สา ปเนตฺถ อาสยโต ปโยคโต จ ทุวิธา, ปรหิตปฺปฎิปตฺติ ติวิธา จ, อตฺตหิตสมฺปตฺติ ปกาสิตา โหติฯ กถํ? ‘‘กรุณาสีตลหทย’’นฺติ เอเตน อาสยโต ปรหิตปฺปฎิปตฺติ , สมฺมาคทนเตฺถน สุคตสเทฺทน ปโยคโต ปรหิตปฺปฎิปตฺติ, ‘‘ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตมํ คติวิมุตฺต’’นฺติ เอเตหิ จตุสจฺจสมฺปฎิเวธนเตฺถน จ สุคตสเทฺทน ติวิธาปิ อตฺตหิตสมฺปตฺติ, อวสิเฎฺฐน ‘‘ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตม’’นฺติ เอเตน จาปิ อตฺตหิตสมฺปตฺติ ปรหิตปฺปฎิปตฺติ ปกาสิตา โหตีติฯ

    Atha vā gativimuttanti anupādisesanibbānadhātuppattiyā bhagavantaṃ thometi. Ettha hi dvīhi ākārehi bhagavato thomanā veditabbā attahitasampattito parahitappaṭipattito ca. Tesu attahitasampatti anāvaraṇañāṇādhigamato savāsanānaṃ sabbesaṃ kilesānaṃ accantappahānato anupādisesanibbānappattito ca veditabbā, parahitappaṭipatti lābhasakkārādinirapekkhacittassa sabbadukkhaniyyānikadhammadesanato viruddhesupi niccaṃ hitajjhāsayato ñāṇaparipākakālāgamanato ca. Sā panettha āsayato payogato ca duvidhā, parahitappaṭipatti tividhā ca, attahitasampatti pakāsitā hoti. Kathaṃ? ‘‘Karuṇāsītalahadaya’’nti etena āsayato parahitappaṭipatti , sammāgadanatthena sugatasaddena payogato parahitappaṭipatti, ‘‘paññāpajjotavihatamohatamaṃ gativimutta’’nti etehi catusaccasampaṭivedhanatthena ca sugatasaddena tividhāpi attahitasampatti, avasiṭṭhena ‘‘paññāpajjotavihatamohatama’’nti etena cāpi attahitasampatti parahitappaṭipatti pakāsitā hotīti.

    อถ วา ตีหิ อากาเรหิ ภควโต โถมนา เวทิตพฺพา เหตุโต, ผลโต, อุปการโต จฯ ตตฺถ เหตุ มหากรุณา, สา ปฐมปเทน ทสฺสิตาฯ ผลํ จตุพฺพิธํ ญาณสมฺปทา, ปหานสมฺปทา, อานุภาวสมฺปทา, รูปกายสมฺปทา จาติฯ ตาสุ ญาณปฺปหานสมฺปทา ทุติยปเทน สจฺจปฺปฎิเวธนเตฺถน จ สุคตสเทฺทน ปกาสิตา โหนฺติ, อานุภาวสมฺปทา ตติยปเทน, รูปกายสมฺปทา ยถาวุตฺตกายคมนโสภนเตฺถน สุคตสเทฺทน ลกฺขณานุพฺยญฺชนปาริปูริยา วินา ตทภาวโตฯ อุปกาโร อนนฺตรํ อพาหิรํ กริตฺวา ติวิธยานมุเขน วิมุตฺติธมฺมเทสนาฯ โส สมฺมาคทนเตฺถน สุคตสเทฺทน ปกาสิโต โหตีติ เวทิตพฺพํฯ

    Atha vā tīhi ākārehi bhagavato thomanā veditabbā hetuto, phalato, upakārato ca. Tattha hetu mahākaruṇā, sā paṭhamapadena dassitā. Phalaṃ catubbidhaṃ ñāṇasampadā, pahānasampadā, ānubhāvasampadā, rūpakāyasampadā cāti. Tāsu ñāṇappahānasampadā dutiyapadena saccappaṭivedhanatthena ca sugatasaddena pakāsitā honti, ānubhāvasampadā tatiyapadena, rūpakāyasampadā yathāvuttakāyagamanasobhanatthena sugatasaddena lakkhaṇānubyañjanapāripūriyā vinā tadabhāvato. Upakāro anantaraṃ abāhiraṃ karitvā tividhayānamukhena vimuttidhammadesanā. So sammāgadanatthena sugatasaddena pakāsito hotīti veditabbaṃ.

    ตตฺถ ‘‘กรุณาสีตลหทย’’นฺติ เอเตน สมฺมาสโมฺพธิยา มูลํ ทเสฺสติฯ มหากรุณาสโญฺจทิตมานโส หิ ภควา สํสารปงฺกโต สตฺตานํ สมุทฺธรณตฺถํ กตาภินีหาโร อนุปุเพฺพน ปารมิโย ปูเรตฺวา อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อธิคโตติ กรุณา สมฺมาสโมฺพธิยา มูลํฯ ‘‘ปญฺญาปโชฺชตวิหตโมหตม’’นฺติ เอเตน สมฺมาสโมฺพธิํ ทเสฺสติฯ อนาวรณญาณปทฎฺฐานญฺหิ มคฺคญาณํ, มคฺคญาณปทฎฺฐานญฺจ อนาวรณญาณํ ‘‘สมฺมาสโมฺพธี’’ติ วุจฺจตีติฯ สมฺมาคมนเตฺถน สุคตสเทฺทน สมฺมาสโมฺพธิยา ปฎิปตฺติํ ทเสฺสติ ลีนุทฺธจฺจปติฎฺฐานายูหนกามสุขลฺลิกตฺตกิลมถานุโยคสสฺสตุเจฺฉทาภินิเวสาทิอนฺตทฺวยรหิตาย กรุณาปญฺญาปริคฺคหิตาย มชฺฌิมาย ปฎิปตฺติยา ปกาสนโต สุคตสทฺทสฺสฯ อิตเรหิ สมฺมาสโมฺพธิยา ปธานปฺปธานเภทํ ปโยชนํ ทเสฺสติฯ สํสารมโหฆโต สตฺตสนฺตารณเญฺหตฺถ ปธานํ ปโยชนํ, ตทญฺญมปฺปธานํฯ เตสุ ปธาเนน ปรหิตปฺปฎิปตฺติํ ทเสฺสติ, อิตเรน อตฺตหิตสมฺปตฺติํฯ ตทุภเยน อตฺตหิตาย ปฎิปนฺนาทีสุ จตูสุ ปุคฺคเลสุ ภควโต จตุตฺถปุคฺคลภาวํ ทเสฺสติฯ เตน จ อนุตฺตรทกฺขิเณยฺยภาวํ อุตฺตมวนฺทเนยฺยภาวํ อตฺตโน จ วนฺทนกิริยาย เขตฺตงฺคตภาวํ ทเสฺสติฯ

    Tattha ‘‘karuṇāsītalahadaya’’nti etena sammāsambodhiyā mūlaṃ dasseti. Mahākaruṇāsañcoditamānaso hi bhagavā saṃsārapaṅkato sattānaṃ samuddharaṇatthaṃ katābhinīhāro anupubbena pāramiyo pūretvā anuttaraṃ sammāsambodhiṃ adhigatoti karuṇā sammāsambodhiyā mūlaṃ. ‘‘Paññāpajjotavihatamohatama’’nti etena sammāsambodhiṃ dasseti. Anāvaraṇañāṇapadaṭṭhānañhi maggañāṇaṃ, maggañāṇapadaṭṭhānañca anāvaraṇañāṇaṃ ‘‘sammāsambodhī’’ti vuccatīti. Sammāgamanatthena sugatasaddena sammāsambodhiyā paṭipattiṃ dasseti līnuddhaccapatiṭṭhānāyūhanakāmasukhallikattakilamathānuyogasassatucchedābhinivesādiantadvayarahitāya karuṇāpaññāpariggahitāya majjhimāya paṭipattiyā pakāsanato sugatasaddassa. Itarehi sammāsambodhiyā padhānappadhānabhedaṃ payojanaṃ dasseti. Saṃsāramahoghato sattasantāraṇañhettha padhānaṃ payojanaṃ, tadaññamappadhānaṃ. Tesu padhānena parahitappaṭipattiṃ dasseti, itarena attahitasampattiṃ. Tadubhayena attahitāya paṭipannādīsu catūsu puggalesu bhagavato catutthapuggalabhāvaṃ dasseti. Tena ca anuttaradakkhiṇeyyabhāvaṃ uttamavandaneyyabhāvaṃ attano ca vandanakiriyāya khettaṅgatabhāvaṃ dasseti.

    เอตฺถ จ กรุณาคหเณน โลกิเยสุ มหคฺคตภาวปฺปตฺตาสาธารณคุณทีปนโต ภควโต สพฺพโลกิยคุณสมฺปตฺติ ทสฺสิตา โหติ, ปญฺญาคหเณน สพฺพญฺญุตญฺญาณปทฎฺฐานมคฺคญาณทีปนโต สพฺพโลกุตฺตรคุณสมฺปตฺติฯ ตทุภยคฺคหณสิโทฺธ หิ อโตฺถ ‘‘สนรามรโลกครุ’’นฺติอาทินา ปปญฺจียตีติ ฯ กรุณาคหเณน จ อุปคมนํ นิรุปกฺกิเลสํ ทเสฺสติ, ปญฺญาคหเณน อปคมนํฯ ตถา กรุณาคหเณน โลกสมญฺญานุรูปํ ภควโต ปวตฺติํ ทเสฺสติ โลกโวหารวิสยตฺตา กรุณาย, ปญฺญาคหเณน สมญฺญาย อนติธาวนํฯ สภาวานวโพเธน หิ ธมฺมานํ สมญฺญํ อติธาวิตฺวา สตฺตาทิปรามสนํ โหตีติฯ ตถา กรุณาคหเณน มหากรุณาสมาปตฺติวิหารํ ทเสฺสติ, ปญฺญาคหเณน ตีสุ กาเลสุ อปฺปฎิหตญาณํ จตุสจฺจญาณํ, จตุปฎิสมฺภิทาญาณํ, จตุเวสารชฺชญาณํฯ กรุณาคหเณน มหากรุณาสมาปตฺติญาณสฺส คหิตตฺตา เสสาสาธารณญาณานิ, ฉ อภิญฺญา, อฎฺฐสุ ปริสาสุ อกมฺปนญาณานิ, ทส พลานิ, จุทฺทส พุทฺธญาณานิ, โสฬส ญาณจริยา, อฎฺฐารส พุทฺธธมฺมา, จตุจตฺตาลีส ญาณวตฺถูนิ, สตฺตสตฺตติ ญาณวตฺถูนีติ เอวมาทีนํ อเนเกสํ ปญฺญาปเภทานํ วเสน ญาณจารํ ทเสฺสติฯ ตถา กรุณาคหเณน จรณสมฺปตฺติํ, ปญฺญาคหเณน วิชฺชาสมฺปตฺติํฯ กรุณาคหเณน อตฺตาธิปติตา, ปญฺญาคหเณน ธมฺมาธิปติตาฯ กรุณาคหเณน โลกนาถภาโว, ปญฺญาคหเณน อตฺตนาถภาโวฯ ตถา กรุณาคหเณน ปุพฺพการิภาโว, ปญฺญาคหเณน กตญฺญุตาฯ ตถา กรุณาคหเณน อปรนฺตปตา, ปญฺญาคหเณน อนตฺตนฺตปตาฯ กรุณาคหเณน วา พุทฺธกรธมฺมสิทฺธิ, ปญฺญาคหเณน พุทฺธภาวสิทฺธิฯ ตถา กรุณาคหเณน ปเรสํ ตารณํ, ปญฺญาคหเณน สยํตรณํฯ ตถา กรุณาคหเณน สพฺพสเตฺตสุ อนุคฺคหจิตฺตตา, ปญฺญาคหเณน สพฺพธเมฺมสุ วิรตฺตจิตฺตตา ทสฺสิตา โหติฯ

    Ettha ca karuṇāgahaṇena lokiyesu mahaggatabhāvappattāsādhāraṇaguṇadīpanato bhagavato sabbalokiyaguṇasampatti dassitā hoti, paññāgahaṇena sabbaññutaññāṇapadaṭṭhānamaggañāṇadīpanato sabbalokuttaraguṇasampatti. Tadubhayaggahaṇasiddho hi attho ‘‘sanarāmaralokagaru’’ntiādinā papañcīyatīti . Karuṇāgahaṇena ca upagamanaṃ nirupakkilesaṃ dasseti, paññāgahaṇena apagamanaṃ. Tathā karuṇāgahaṇena lokasamaññānurūpaṃ bhagavato pavattiṃ dasseti lokavohāravisayattā karuṇāya, paññāgahaṇena samaññāya anatidhāvanaṃ. Sabhāvānavabodhena hi dhammānaṃ samaññaṃ atidhāvitvā sattādiparāmasanaṃ hotīti. Tathā karuṇāgahaṇena mahākaruṇāsamāpattivihāraṃ dasseti, paññāgahaṇena tīsu kālesu appaṭihatañāṇaṃ catusaccañāṇaṃ, catupaṭisambhidāñāṇaṃ, catuvesārajjañāṇaṃ. Karuṇāgahaṇena mahākaruṇāsamāpattiñāṇassa gahitattā sesāsādhāraṇañāṇāni, cha abhiññā, aṭṭhasu parisāsu akampanañāṇāni, dasa balāni, cuddasa buddhañāṇāni, soḷasa ñāṇacariyā, aṭṭhārasa buddhadhammā, catucattālīsa ñāṇavatthūni, sattasattati ñāṇavatthūnīti evamādīnaṃ anekesaṃ paññāpabhedānaṃ vasena ñāṇacāraṃ dasseti. Tathā karuṇāgahaṇena caraṇasampattiṃ, paññāgahaṇena vijjāsampattiṃ. Karuṇāgahaṇena attādhipatitā, paññāgahaṇena dhammādhipatitā. Karuṇāgahaṇena lokanāthabhāvo, paññāgahaṇena attanāthabhāvo. Tathā karuṇāgahaṇena pubbakāribhāvo, paññāgahaṇena kataññutā. Tathā karuṇāgahaṇena aparantapatā, paññāgahaṇena anattantapatā. Karuṇāgahaṇena vā buddhakaradhammasiddhi, paññāgahaṇena buddhabhāvasiddhi. Tathā karuṇāgahaṇena paresaṃ tāraṇaṃ, paññāgahaṇena sayaṃtaraṇaṃ. Tathā karuṇāgahaṇena sabbasattesu anuggahacittatā, paññāgahaṇena sabbadhammesu virattacittatā dassitā hoti.

    สเพฺพสญฺจ พุทฺธคุณานํ กรุณา อาทิ ตนฺนิทานภาวโต, ปญฺญา ปริโยสานํ ตโต อุตฺตริกรณียาภาวโตฯ อิติ อาทิปริโยสานทสฺสเนน สเพฺพ พุทฺธคุณา ทสฺสิตา โหนฺติฯ ตถา กรุณาคหเณน สีลกฺขนฺธปุพฺพงฺคโม สมาธิกฺขโนฺธ ทสฺสิโต โหติฯ กรุณานิทานญฺหิ สีลํ ตโต ปาณาติปาตาทิวิรติปฺปวตฺติโต, สา จ ฌานตฺตยสมฺปโยคินีติฯ ปญฺญาวจเนน ปญฺญากฺขโนฺธฯ สีลญฺจ สเพฺพสํ พุทฺธคุณานํ อาทิ, สมาธิ มเชฺฌ, ปญฺญา ปริโยสานนฺติ เอวมฺปิ อาทิมชฺฌปริโยสานกลฺยาณา สเพฺพ พุทฺธคุณา ทสฺสิตา โหนฺติ นยโต ทสฺสิตตฺตาฯ เอโส เอว หิ นิรวเสสโต พุทฺธคุณานํ ทสฺสนุปาโย, ยทิทํ นยคฺคหณํ, อญฺญถา โก นาม สมโตฺถ ภควโต คุเณ อนุปทํ นิรวเสสโต ทเสฺสตุํ? เตเนวาห –

    Sabbesañca buddhaguṇānaṃ karuṇā ādi tannidānabhāvato, paññā pariyosānaṃ tato uttarikaraṇīyābhāvato. Iti ādipariyosānadassanena sabbe buddhaguṇā dassitā honti. Tathā karuṇāgahaṇena sīlakkhandhapubbaṅgamo samādhikkhandho dassito hoti. Karuṇānidānañhi sīlaṃ tato pāṇātipātādiviratippavattito, sā ca jhānattayasampayoginīti. Paññāvacanena paññākkhandho. Sīlañca sabbesaṃ buddhaguṇānaṃ ādi, samādhi majjhe, paññā pariyosānanti evampi ādimajjhapariyosānakalyāṇā sabbe buddhaguṇā dassitā honti nayato dassitattā. Eso eva hi niravasesato buddhaguṇānaṃ dassanupāyo, yadidaṃ nayaggahaṇaṃ, aññathā ko nāma samattho bhagavato guṇe anupadaṃ niravasesato dassetuṃ? Tenevāha –

    ‘‘พุโทฺธปิ พุทฺธสฺส ภเณยฺย วณฺณํ,

    ‘‘Buddhopi buddhassa bhaṇeyya vaṇṇaṃ,

    กปฺปมฺปิ เจ อญฺญมภาสมาโน;

    Kappampi ce aññamabhāsamāno;

    ขีเยถ กโปฺป จิรทีฆมนฺตเร,

    Khīyetha kappo ciradīghamantare,

    วโณฺณ น ขีเยถ ตถาคตสฺสา’’ติฯ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๓๐๔; ๓.๑๔๑; ม. นิ. อฎฺฐ. ๒.๔๒๕; อุทา. อฎฺฐ. ๕๓; พุ. วํ. อฎฺฐ. ๔.๔; อป. อฎฺฐ. ๒.๗.ปรปฺปสาทกเตฺถรอปทานวณฺณนา);

    Vaṇṇo na khīyetha tathāgatassā’’ti. (dī. ni. aṭṭha. 1.304; 3.141; ma. ni. aṭṭha. 2.425; udā. aṭṭha. 53; bu. vaṃ. aṭṭha. 4.4; apa. aṭṭha. 2.7.parappasādakattheraapadānavaṇṇanā);

    เตเนว จ อายสฺมตา สาริปุตฺตเตฺถเรนปิ พุทฺธคุณปริเจฺฉทนํ ปติ อนุยุเตฺตน ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ติ ปฎิกฺขิปิตฺวา ‘‘อปิจ เม, ภเนฺต, ธมฺมนฺวโย วิทิโต’’ติ วุตฺตํฯ

    Teneva ca āyasmatā sāriputtattherenapi buddhaguṇaparicchedanaṃ pati anuyuttena ‘‘no hetaṃ, bhante’’ti paṭikkhipitvā ‘‘apica me, bhante, dhammanvayo vidito’’ti vuttaṃ.

    . เอวํ สเงฺขเปน สกลสพฺพญฺญุคุเณหิ ภควนฺตํ อภิตฺถวิตฺวา อิทานิ สทฺธมฺมํ โถเมตุํ ‘‘พุโทฺธปี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ พุโทฺธติ กตฺตุนิเทฺทโสฯ พุทฺธภาวนฺติ กมฺมนิเทฺทโสฯ ภาเวตฺวา สจฺฉิกตฺวาติ จ ปุพฺพกาลกิริยานิเทฺทโสฯ นฺติ อนิยมโต กมฺมนิเทฺทโสฯ อุปคโตติ อปรกาลกิริยานิเทฺทโสฯ วเนฺทติ กิริยานิเทฺทโสฯ นฺติ นิยมนํฯ ธมฺมนฺติ วนฺทนกิริยาย กมฺมนิเทฺทโสฯ คตมลํ อนุตฺตรนฺติ จ ตพฺพิเสสนํฯ

    2. Evaṃ saṅkhepena sakalasabbaññuguṇehi bhagavantaṃ abhitthavitvā idāni saddhammaṃ thometuṃ ‘‘buddhopī’’tiādimāha. Tattha buddhoti kattuniddeso. Buddhabhāvanti kammaniddeso. Bhāvetvā sacchikatvāti ca pubbakālakiriyāniddeso. Yanti aniyamato kammaniddeso. Upagatoti aparakālakiriyāniddeso. Vandeti kiriyāniddeso. Tanti niyamanaṃ. Dhammanti vandanakiriyāya kammaniddeso. Gatamalaṃ anuttaranti ca tabbisesanaṃ.

    ตตฺถ พุทฺธสทฺทสฺส ตาว ‘‘พุชฺฌิตา สจฺจานีติ พุโทฺธ, โพเธตา ปชายาติ พุโทฺธ’’ติอาทินา (มหานิ. ๑๙๒; จูฬนิ. ปารายนตฺถุติคาถานิเทฺทโส ๙๗; ปฎิ. ม. ๑.๑๖๒) นิเทฺทสนเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อถ วา สวาสนาย อญฺญาณนิทฺทาย อจฺจนฺตวิคมโต, พุทฺธิยา วา วิกสิตภาวโต พุทฺธวาติ พุโทฺธ ชาครณวิกสนตฺถวเสนฯ อถ วา กสฺสจิปิ เญยฺยธมฺมสฺส อนวพุทฺธสฺส อภาเวน เญยฺยวิเสสสฺส กมฺมภาเวน อคฺคหณโต กมฺมวจนิจฺฉาย อภาเวน อวคมนตฺถวเสเนว กตฺตุนิเทฺทโส ลพฺภตีติ พุทฺธวาติ พุโทฺธ ยถา ‘‘ทิกฺขิโต น ททาตี’’ติฯ อตฺถโต ปน ปารมิตาปริภาวิโต สยมฺภุญาเณน สห วาสนาย วิหตวิทฺธํสิตนิรวเสสกิเลโส มหากรุณาสพฺพญฺญุตญฺญาณาทิอปริเมยฺยคุณคณาธาโร ขนฺธสนฺตาโน พุโทฺธฯ ยถาห –

    Tattha buddhasaddassa tāva ‘‘bujjhitā saccānīti buddho, bodhetā pajāyāti buddho’’tiādinā (mahāni. 192; cūḷani. pārāyanatthutigāthāniddeso 97; paṭi. ma. 1.162) niddesanayena attho veditabbo. Atha vā savāsanāya aññāṇaniddāya accantavigamato, buddhiyā vā vikasitabhāvato buddhavāti buddho jāgaraṇavikasanatthavasena. Atha vā kassacipi ñeyyadhammassa anavabuddhassa abhāvena ñeyyavisesassa kammabhāvena aggahaṇato kammavacanicchāya abhāvena avagamanatthavaseneva kattuniddeso labbhatīti buddhavāti buddho yathā ‘‘dikkhito na dadātī’’ti. Atthato pana pāramitāparibhāvito sayambhuñāṇena saha vāsanāya vihataviddhaṃsitaniravasesakileso mahākaruṇāsabbaññutaññāṇādiaparimeyyaguṇagaṇādhāro khandhasantāno buddho. Yathāha –

    ‘‘พุโทฺธติ โย โส ภควา สยมฺภู อนาจริยโก ปุเพฺพ อนนุสฺสุเตสุ ธเมฺมสุ สามํ สจฺจานิ อภิสมฺพุชฺฌิ, ตตฺถ จ สพฺพญฺญุตํ ปโตฺต พเลสุ จ วสีภาว’’นฺติ (มหานิ. ๑๙๒; จูฬนิ. ปารายนตฺถุติคาถานิเทฺทโส ๙๗; ปฎิ. ม. ๑.๑๖๑)ฯ

    ‘‘Buddhoti yo so bhagavā sayambhū anācariyako pubbe ananussutesu dhammesu sāmaṃ saccāni abhisambujjhi, tattha ca sabbaññutaṃ patto balesu ca vasībhāva’’nti (mahāni. 192; cūḷani. pārāyanatthutigāthāniddeso 97; paṭi. ma. 1.161).

    อปิ-สโทฺท สมฺภาวเนฯ เตน ‘‘เอวํ คุณวิเสสยุโตฺต โสปิ นาม ภควา’’ติ วกฺขมานคุณธเมฺม สมฺภาวนํ ทีเปติฯ พุทฺธภาวนฺติ สมฺมาสโมฺพธิํฯ ภาเวตฺวาติ อุปฺปาเทตฺวา วเฑฺฒตฺวา จฯ สจฺฉิกตฺวาติ ปจฺจกฺขํ กตฺวาฯ อุปคโตติ ปโตฺต, อธิคโตติ อโตฺถฯ เอตสฺส พุทฺธภาวนฺติ เอเตน สมฺพโนฺธฯ คตมลนฺติ วิคตมลํ, นิโทฺทสนฺติ อโตฺถฯ วเนฺทติ ปณมามิ, โถเมมิ วาฯ อนุตฺตรนฺติ อุตฺตรรหิตํ, โลกุตฺตรนฺติ อโตฺถฯ ธมฺมนฺติ ยถานุสิฎฺฐํ ปฎิปชฺชมาเน อปายโต จ สํสารโต จ อปตมาเน กตฺวา ธาเรตีติ ธโมฺมฯ อยเญฺหตฺถ สเงฺขปโตฺถ – เอวํ วิวิธคุณคณสมนฺนาคโต พุโทฺธปิ ภควา ยํ อริยมคฺคสงฺขาตํ ธมฺมํ ภาเวตฺวา, ผลนิพฺพานํ ปน สจฺฉิกตฺวา อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อธิคโต, ตเมวํ พุทฺธานมฺปิ พุทฺธภาวเหตุภูตํ สพฺพโทสมลรหิตํ อตฺตโน อุตฺตริตราภาเวน อนุตฺตรํ ปฎิเวธสทฺธมฺมํ นมามีติฯ ปริยตฺติสทฺธมฺมสฺสปิ ตปฺปกาสนตฺตา อิธ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ

    Api-saddo sambhāvane. Tena ‘‘evaṃ guṇavisesayutto sopi nāma bhagavā’’ti vakkhamānaguṇadhamme sambhāvanaṃ dīpeti. Buddhabhāvanti sammāsambodhiṃ. Bhāvetvāti uppādetvā vaḍḍhetvā ca. Sacchikatvāti paccakkhaṃ katvā. Upagatoti patto, adhigatoti attho. Etassa buddhabhāvanti etena sambandho. Gatamalanti vigatamalaṃ, niddosanti attho. Vandeti paṇamāmi, thomemi vā. Anuttaranti uttararahitaṃ, lokuttaranti attho. Dhammanti yathānusiṭṭhaṃ paṭipajjamāne apāyato ca saṃsārato ca apatamāne katvā dhāretīti dhammo. Ayañhettha saṅkhepattho – evaṃ vividhaguṇagaṇasamannāgato buddhopi bhagavā yaṃ ariyamaggasaṅkhātaṃ dhammaṃ bhāvetvā, phalanibbānaṃ pana sacchikatvā anuttaraṃ sammāsambodhiṃ adhigato, tamevaṃ buddhānampi buddhabhāvahetubhūtaṃ sabbadosamalarahitaṃ attano uttaritarābhāvena anuttaraṃ paṭivedhasaddhammaṃ namāmīti. Pariyattisaddhammassapi tappakāsanattā idha saṅgaho daṭṭhabbo.

    อถ วา ‘‘อภิธมฺมนยสมุทฺทํ อธิคญฺฉิ, ตีณิ ปิฎกานิ สมฺมสี’’ติ จ อฎฺฐกถายํ วุตฺตตฺตา ปริยตฺติธมฺมสฺสปิ สจฺฉิกิริยาสมฺมสนปริยาโย ลพฺภตีติ โสปิ อิธ วุโตฺต เอวาติ ทฎฺฐพฺพํฯ ตถา ‘‘ยํ ธมฺมํ ภาเวตฺวา สจฺฉิกตฺวา’’ติ จ วุตฺตตฺตา พุทฺธกรธมฺมภูตาหิ ปารมิตาหิ สห ปุพฺพภาเค อธิสีลสิกฺขาทโยปิ อิธ ธมฺมสเทฺทน สงฺคหิตาติ เวทิตพฺพาฯ ตาปิ หิ วิคตปฺปฎิปกฺขตาย คตมลา, อนญฺญสาธารณตาย อนุตฺตรา จาติฯ ตถา หิ สตฺตานํ สกลวฎฺฎทุกฺขนิสฺสรณาย กตมหาภินีหาโร มหากรุณาธิวาสนเปสลชฺฌาสโย ปญฺญาวิเสสปริโยทาตนิมฺมลานํ ทานทมสญฺญมาทีนํ อุตฺตมธมฺมานํ สตสหสฺสาธิกานิ กปฺปานํ จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ สกฺกจฺจํ นิรนฺตรํ นิรวเสสานํ ภาวนาปจฺจกฺขกรเณหิ กมฺมาทีสุ อธิคตวสีภาโว อจฺฉริยาจิเนฺตยฺยมหานุภาโว อธิสีลอธิจิตฺตานํ ปรมุกฺกํสปารมิปฺปโตฺต ภควา ปจฺจยากาเร จตุวีสติโกฎิสตสหสฺสมุเขน มหาวชิรญาณํ เปเสตฺวา อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธติฯ

    Atha vā ‘‘abhidhammanayasamuddaṃ adhigañchi, tīṇi piṭakāni sammasī’’ti ca aṭṭhakathāyaṃ vuttattā pariyattidhammassapi sacchikiriyāsammasanapariyāyo labbhatīti sopi idha vutto evāti daṭṭhabbaṃ. Tathā ‘‘yaṃ dhammaṃ bhāvetvā sacchikatvā’’ti ca vuttattā buddhakaradhammabhūtāhi pāramitāhi saha pubbabhāge adhisīlasikkhādayopi idha dhammasaddena saṅgahitāti veditabbā. Tāpi hi vigatappaṭipakkhatāya gatamalā, anaññasādhāraṇatāya anuttarā cāti. Tathā hi sattānaṃ sakalavaṭṭadukkhanissaraṇāya katamahābhinīhāro mahākaruṇādhivāsanapesalajjhāsayo paññāvisesapariyodātanimmalānaṃ dānadamasaññamādīnaṃ uttamadhammānaṃ satasahassādhikāni kappānaṃ cattāri asaṅkhyeyyāni sakkaccaṃ nirantaraṃ niravasesānaṃ bhāvanāpaccakkhakaraṇehi kammādīsu adhigatavasībhāvo acchariyācinteyyamahānubhāvo adhisīlaadhicittānaṃ paramukkaṃsapāramippatto bhagavā paccayākāre catuvīsatikoṭisatasahassamukhena mahāvajirañāṇaṃ pesetvā anuttaraṃ sammāsambodhiṃ abhisambuddhoti.

    เอตฺถ จ ‘‘ภาเวตฺวา’’ติ เอเตน วิชฺชาสมฺปทาย ธมฺมํ โถเมติ, ‘‘สจฺฉิกตฺวา’’ติ เอเตน วิมุตฺติสมฺปทายฯ ตถา ปฐเมน ฌานสมฺปทาย, ทุติเยน วิโมกฺขสมฺปทายฯ ปฐเมน วา สมาธิสมฺปทาย, ทุติเยน สมาปตฺติสมฺปทายฯ อถ วา ปฐเมน ขยญาณภาเวน, ทุติเยน อนุปฺปาทญาณภาเวนฯ ปฐเมน วา วิชฺชูปมตาย, ทุติเยน วชิรูปมตายฯ ปุริเมน วา วิราคสมฺปตฺติยา, ทุติเยน นิโรธสมฺปตฺติยาฯ ตถา ปฐเมน นิยฺยานภาเวน, ทุติเยน นิสฺสรณภาเวนฯ ปฐเมน วา เหตุภาเวน, ทุติเยน อสงฺขตภาเวนฯ ปฐเมน วา ทสฺสนภาเวน, ทุติเยน วิเวกภาเวนฯ ปฐเมน วา อธิปติภาเวน, ทุติเยน อมตภาเวน ธมฺมํ โถเมติฯ อถ วา ‘‘ยํ ธมฺมํ ภาเวตฺวา พุทฺธภาวํ อุปคโต’’ติ เอเตน สฺวากฺขาตตาย ธมฺมํ โถเมติ, ‘‘สจฺฉิกตฺวา’’ติ เอเตน สนฺทิฎฺฐิกตายฯ ตถา ปุริเมน อกาลิกตาย, ปจฺฉิเมน เอหิปสฺสิกตายฯ ปุริเมน วา โอปเนยฺยิกตาย, ปจฺฉิเมน ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺพตาย ธมฺมํ โถเมติฯ ‘‘คตมล’’นฺติ อิมินา สํกิเลสาภาวทีปเนน ธมฺมสฺส ปริสุทฺธตํ ทเสฺสติ, ‘‘อนุตฺตร’’นฺติ เอเตน อญฺญสฺส วิสิฎฺฐสฺส อภาวทีปเนน วิปุลปริปุณฺณตํฯ ปฐเมน วา ปหานสมฺปทํ ธมฺมสฺส ทเสฺสติ, ทุติเยน ปภวสมฺปทํฯ ภาเวตพฺพตาย วา ธมฺมสฺส คตมลภาโว โยเชตโพฺพฯ ภาวนาคุเณน หิ โส โทสานํ สมุคฺฆาตโก โหตีติฯ สจฺฉิกาตพฺพภาเวน อนุตฺตรภาโว โยเชตโพฺพฯ สจฺฉิกิริยานิพฺพตฺติโต หิ ตทุตฺตริกรณียาภาวโต อนญฺญสาธารณตาย อนุตฺตโรติฯ ตถา ‘‘ภาเวตฺวา’’ติ เอเตน สห ปุพฺพภาคสีลาทีหิ เสกฺขา สีลสมาธิปญฺญากฺขนฺธา ทสฺสิตา โหนฺติฯ ‘‘สจฺฉิกตฺวา’’ติ เอเตน สห อสงฺขตาย ธาตุยา อเสกฺขา สีลสมาธิปญฺญากฺขนฺธา ทสฺสิตา โหนฺตีติฯ

    Ettha ca ‘‘bhāvetvā’’ti etena vijjāsampadāya dhammaṃ thometi, ‘‘sacchikatvā’’ti etena vimuttisampadāya. Tathā paṭhamena jhānasampadāya, dutiyena vimokkhasampadāya. Paṭhamena vā samādhisampadāya, dutiyena samāpattisampadāya. Atha vā paṭhamena khayañāṇabhāvena, dutiyena anuppādañāṇabhāvena. Paṭhamena vā vijjūpamatāya, dutiyena vajirūpamatāya. Purimena vā virāgasampattiyā, dutiyena nirodhasampattiyā. Tathā paṭhamena niyyānabhāvena, dutiyena nissaraṇabhāvena. Paṭhamena vā hetubhāvena, dutiyena asaṅkhatabhāvena. Paṭhamena vā dassanabhāvena, dutiyena vivekabhāvena. Paṭhamena vā adhipatibhāvena, dutiyena amatabhāvena dhammaṃ thometi. Atha vā ‘‘yaṃ dhammaṃ bhāvetvā buddhabhāvaṃ upagato’’ti etena svākkhātatāya dhammaṃ thometi, ‘‘sacchikatvā’’ti etena sandiṭṭhikatāya. Tathā purimena akālikatāya, pacchimena ehipassikatāya. Purimena vā opaneyyikatāya, pacchimena paccattaṃ veditabbatāya dhammaṃ thometi. ‘‘Gatamala’’nti iminā saṃkilesābhāvadīpanena dhammassa parisuddhataṃ dasseti, ‘‘anuttara’’nti etena aññassa visiṭṭhassa abhāvadīpanena vipulaparipuṇṇataṃ. Paṭhamena vā pahānasampadaṃ dhammassa dasseti, dutiyena pabhavasampadaṃ. Bhāvetabbatāya vā dhammassa gatamalabhāvo yojetabbo. Bhāvanāguṇena hi so dosānaṃ samugghātako hotīti. Sacchikātabbabhāvena anuttarabhāvo yojetabbo. Sacchikiriyānibbattito hi taduttarikaraṇīyābhāvato anaññasādhāraṇatāya anuttaroti. Tathā ‘‘bhāvetvā’’ti etena saha pubbabhāgasīlādīhi sekkhā sīlasamādhipaññākkhandhā dassitā honti. ‘‘Sacchikatvā’’ti etena saha asaṅkhatāya dhātuyā asekkhā sīlasamādhipaññākkhandhā dassitā hontīti.

    . เอวํ สเงฺขเปเนว สพฺพธมฺมคุเณหิ สทฺธมฺมํ อภิตฺถวิตฺวา อิทานิ อริยสงฺฆํ โถเมตุํ ‘‘สุคตสฺสา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ สุคตสฺสาติ สมฺพนฺธนิเทฺทโสฯ ‘‘ตสฺส ปุตฺตาน’’นฺติ เอเตน สมฺพโนฺธฯ โอรสานนฺติ ปุตฺตวิเสสนํฯ มารเสนมถนานนฺติ โอรสปุตฺตภาเว การณนิเทฺทโส เตน กิเลสปฺปหานเมว ภควโต โอรสปุตฺตภาเว การณํ อนุชานาตีติ ทเสฺสติฯ อฎฺฐนฺนนฺติ คณนปริเจฺฉทนิเทฺทโสฯ เตน จ สติปิ เตสํ สตฺตวิเสสภาเวน อเนกสตสหสฺสภาเว อิมํ คณนปริเจฺฉทํ นาติวตฺตนฺตีติ ทเสฺสติ มคฺคฎฺฐผลฎฺฐภาวานติวตฺตนโตฯ สมูหนฺติ สมุทายนิเทฺทโสฯ อริยสงฺฆนฺติ คุณวิสิฎฺฐสํหตภาวนิเทฺทโสฯ เตน อสติปิ อริยปุคฺคลานํ กายสามคฺคิยํ อริยสงฺฆภาวํ ทเสฺสติ ทิฎฺฐิสีลสามเญฺญน สํหตภาวโตฯ

    3. Evaṃ saṅkhepeneva sabbadhammaguṇehi saddhammaṃ abhitthavitvā idāni ariyasaṅghaṃ thometuṃ ‘‘sugatassā’’tiādimāha. Tattha sugatassāti sambandhaniddeso. ‘‘Tassa puttāna’’nti etena sambandho. Orasānanti puttavisesanaṃ. Mārasenamathanānanti orasaputtabhāve kāraṇaniddeso tena kilesappahānameva bhagavato orasaputtabhāve kāraṇaṃ anujānātīti dasseti. Aṭṭhannanti gaṇanaparicchedaniddeso. Tena ca satipi tesaṃ sattavisesabhāvena anekasatasahassabhāve imaṃ gaṇanaparicchedaṃ nātivattantīti dasseti maggaṭṭhaphalaṭṭhabhāvānativattanato. Samūhanti samudāyaniddeso. Ariyasaṅghanti guṇavisiṭṭhasaṃhatabhāvaniddeso. Tena asatipi ariyapuggalānaṃ kāyasāmaggiyaṃ ariyasaṅghabhāvaṃ dasseti diṭṭhisīlasāmaññena saṃhatabhāvato.

    ตตฺถ อุรสิ ภวา ชาตา สํพทฺธา จ โอรสาฯ ยถา หิ สตฺตานํ โอรสปุตฺตา อตฺตชตาย ปิตุ สนฺตกสฺส ทายชฺชสฺส วิเสเสน ภาคิโน โหนฺติ, เอวเมเตปิ อริยปุคฺคลา สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สวนเนฺต อริยาย ชาติยา ชาตตาย ภควโต สนฺตกสฺส วิมุตฺติสุขสฺส อริยธมฺมรตนสฺส เอกเนฺตน ภาคิโนติ โอรสา วิย โอรสาฯ อถ วา ภควโต ธมฺมเทสนานุภาเวน อริยภูมิํ โอกฺกมมานา โอกฺกนฺตา จ อริยสาวกา ภควโต อุเร วายามชนิตาภิชาติตาย นิปฺปริยาเยน โอรสปุตฺตาติ วตฺตพฺพตํ อรหนฺติฯ สาวเกหิ ปวตฺติยมานาปิ หิ ธมฺมเทสนา ‘‘ภควโต ธมฺมเทสนา’’อิเจฺจว วุจฺจติ ตํมูลกตฺตา ลกฺขณาทิวิเสสาภาวโต จฯ

    Tattha urasi bhavā jātā saṃbaddhā ca orasā. Yathā hi sattānaṃ orasaputtā attajatāya pitu santakassa dāyajjassa visesena bhāgino honti, evametepi ariyapuggalā sammāsambuddhassa savanante ariyāya jātiyā jātatāya bhagavato santakassa vimuttisukhassa ariyadhammaratanassa ekantena bhāginoti orasā viya orasā. Atha vā bhagavato dhammadesanānubhāvena ariyabhūmiṃ okkamamānā okkantā ca ariyasāvakā bhagavato ure vāyāmajanitābhijātitāya nippariyāyena orasaputtāti vattabbataṃ arahanti. Sāvakehi pavattiyamānāpi hi dhammadesanā ‘‘bhagavato dhammadesanā’’icceva vuccati taṃmūlakattā lakkhaṇādivisesābhāvato ca.

    ยทิปิ อริยสาวกานํ อริยมคฺคาธิคมสมเย ภควโต วิย ตทนฺตรายกรณตฺถํ เทวปุตฺตมาโร , มารวาหินี วา น เอกเนฺตน อปสาเทติ, เตหิ ปน อปสาเทตพฺพตาย การเณ วิมถิเต เตปิ วิมถิตา เอว นาม โหนฺตีติ อาห – ‘‘มารเสนมถนาน’’นฺติฯ อิมสฺมิํ ปนเตฺถ ‘‘มารมารเสนมถนาน’’นฺติ วตฺตเพฺพ ‘‘มารเสนมถนาน’’นฺติ เอกเทสสรูเปกเสโส กโตติ ทฎฺฐพฺพํฯ อถ วา ขนฺธาภิสงฺขารมารานํ วิย เทวปุตฺตมารสฺสปิ คุณมารเณ สหายภาวูปคมนโต กิเลสพลกาโย ‘‘เสนา’’ติ วุจฺจติฯ ยถาห – ‘‘กามา เต ปฐมา เสนา’’ติอาทิ (สุ. นิ. ๔๓๘; มหานิ. ๒๘, ๖๘, ๑๔๙)ฯ สา จ เตหิ ทิยฑฺฒสหสฺสเภทา, อนนฺตเภทา วา กิเลสวาหินี สติธมฺมวิจยวีริยสมถาทิคุณปฺปหรเณหิ โอธิโส วิมถิตา วิหตา วิทฺธสฺตา จาติ มารเสนมถนา, อริยสาวกาฯ เอเตน เตสํ ภควโต อนุชาตปุตฺตตํ ทเสฺสติฯ

    Yadipi ariyasāvakānaṃ ariyamaggādhigamasamaye bhagavato viya tadantarāyakaraṇatthaṃ devaputtamāro , māravāhinī vā na ekantena apasādeti, tehi pana apasādetabbatāya kāraṇe vimathite tepi vimathitā eva nāma hontīti āha – ‘‘mārasenamathanāna’’nti. Imasmiṃ panatthe ‘‘māramārasenamathanāna’’nti vattabbe ‘‘mārasenamathanāna’’nti ekadesasarūpekaseso katoti daṭṭhabbaṃ. Atha vā khandhābhisaṅkhāramārānaṃ viya devaputtamārassapi guṇamāraṇe sahāyabhāvūpagamanato kilesabalakāyo ‘‘senā’’ti vuccati. Yathāha – ‘‘kāmā te paṭhamā senā’’tiādi (su. ni. 438; mahāni. 28, 68, 149). Sā ca tehi diyaḍḍhasahassabhedā, anantabhedā vā kilesavāhinī satidhammavicayavīriyasamathādiguṇappaharaṇehi odhiso vimathitā vihatā viddhastā cāti mārasenamathanā, ariyasāvakā. Etena tesaṃ bhagavato anujātaputtataṃ dasseti.

    อารกตฺตา กิเลเสหิ, อนเย น อิริยนโต, อเย จ อิริยนโต อริยา นิรุตฺตินเยนฯ อถ วา สเทวเกน โลเกน สรณนฺติ อรณียโต อุปคนฺตพฺพโต, อุปคตานญฺจ ตทตฺถสิทฺธิโต อริยา, อริยานํ สโงฺฆติ อริยสโงฺฆ, อริโย จ โส สโงฺฆ จาติ วา อริยสโงฺฆ, ตํ อริยสงฺฆํฯ ภควโต อปรภาเค พุทฺธธมฺมรตนานมฺปิ สมธิคโม สงฺฆรตนาธีโนติ อสฺส อริยสงฺฆสฺส พหูปการตํ ทเสฺสตุํ อิเธว ‘‘สิรสา วเนฺท’’ติ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Ārakattā kilesehi, anaye na iriyanato, aye ca iriyanato ariyā niruttinayena. Atha vā sadevakena lokena saraṇanti araṇīyato upagantabbato, upagatānañca tadatthasiddhito ariyā, ariyānaṃ saṅghoti ariyasaṅgho, ariyo ca so saṅgho cāti vā ariyasaṅgho, taṃ ariyasaṅghaṃ. Bhagavato aparabhāge buddhadhammaratanānampi samadhigamo saṅgharatanādhīnoti assa ariyasaṅghassa bahūpakārataṃ dassetuṃ idheva ‘‘sirasā vande’’ti vuttanti daṭṭhabbaṃ.

    เอตฺถ จ ‘‘สุคตสฺส โอรสานํ ปุตฺตาน’’นฺติ เอเตน อริยสงฺฆสฺส ปภวสมฺปทํ ทเสฺสติ, ‘‘มารเสนมถนาน’’นฺติ เอเตน ปหานสมฺปทํ สกลสํกิเลสปฺปหานทีปนโตฯ ‘‘อฎฺฐนฺนมฺปิ สมูห’’นฺติ เอเตน ญาณสมฺปทํ มคฺคฎฺฐผลฎฺฐภาวทีปนโตฯ ‘‘อริยสงฺฆ’’นฺติ เอเตน ปภวสมฺปทํ ทเสฺสติ สพฺพสงฺฆานํ อคฺคภาวทีปนโตฯ อถ วา ‘‘สุคตสฺส โอรสานํ ปุตฺตาน’’นฺติ อริยสงฺฆสฺส วิสุทฺธนิสฺสยภาวทีปนํ, ‘‘มารเสนมถนาน’’นฺติ สมฺมาอุชุญายสามีจิปฺปฎิปนฺนภาวทีปนํ, ‘‘อฎฺฐนฺนมฺปิ สมูห’’นฺติ อาหุเนยฺยาทิภาวทีปนํ, ‘‘อริยสงฺฆ’’นฺติ อนุตฺตรปุญฺญเกฺขตฺตภาวทีปนํฯ ตถา ‘‘สุคตสฺส โอรสานํ ปุตฺตาน’’นฺติ เอเตน อริยสงฺฆสฺส โลกุตฺตรสรณคมนสพฺภาวํ ทีเปติฯ โลกุตฺตรสรณคมเนน หิ เต ภควโต โอรสปุตฺตา ชาตาฯ ‘‘มารเสนมถนาน’’นฺติ เอเตน อภินีหารสมฺปทาสิทฺธํ ปุพฺพภาเค สมฺมาปฎิปตฺติํ ทเสฺสติฯ กตาภินีหารา หิ สมฺมาปฎิปนฺนา มารํ มารปริสํ วา อภิวิชินนฺติฯ ‘‘อฎฺฐนฺนมฺปิ สมูห’’นฺติ เอเตน วิทฺธสฺตวิปเกฺข เสกฺขาเสกฺขธเมฺม ทเสฺสติ ปุคฺคลาธิฎฺฐาเนน มคฺคผลธมฺมานํ ปกาสิตตฺตาฯ ‘‘อริยสงฺฆ’’นฺติ อคฺคทกฺขิเณยฺยภาวํ ทเสฺสติฯ สรณคมนญฺจ สาวกานํ สพฺพคุณานํ อาทิ, สปุพฺพภาคปฺปฎิปทา เสกฺขา สีลกฺขนฺธาทโย มเชฺฌ, อเสกฺขา สีลกฺขนฺธาทโย ปริโยสานนฺติ อาทิมชฺฌปริโยสานกลฺยาณา สเงฺขปโต สเพฺพ อริยสงฺฆคุณา ปกาสิตา โหนฺติฯ

    Ettha ca ‘‘sugatassa orasānaṃ puttāna’’nti etena ariyasaṅghassa pabhavasampadaṃ dasseti, ‘‘mārasenamathanāna’’nti etena pahānasampadaṃ sakalasaṃkilesappahānadīpanato. ‘‘Aṭṭhannampi samūha’’nti etena ñāṇasampadaṃ maggaṭṭhaphalaṭṭhabhāvadīpanato. ‘‘Ariyasaṅgha’’nti etena pabhavasampadaṃ dasseti sabbasaṅghānaṃ aggabhāvadīpanato. Atha vā ‘‘sugatassa orasānaṃ puttāna’’nti ariyasaṅghassa visuddhanissayabhāvadīpanaṃ, ‘‘mārasenamathanāna’’nti sammāujuñāyasāmīcippaṭipannabhāvadīpanaṃ, ‘‘aṭṭhannampi samūha’’nti āhuneyyādibhāvadīpanaṃ, ‘‘ariyasaṅgha’’nti anuttarapuññakkhettabhāvadīpanaṃ. Tathā ‘‘sugatassa orasānaṃ puttāna’’nti etena ariyasaṅghassa lokuttarasaraṇagamanasabbhāvaṃ dīpeti. Lokuttarasaraṇagamanena hi te bhagavato orasaputtā jātā. ‘‘Mārasenamathanāna’’nti etena abhinīhārasampadāsiddhaṃ pubbabhāge sammāpaṭipattiṃ dasseti. Katābhinīhārā hi sammāpaṭipannā māraṃ māraparisaṃ vā abhivijinanti. ‘‘Aṭṭhannampi samūha’’nti etena viddhastavipakkhe sekkhāsekkhadhamme dasseti puggalādhiṭṭhānena maggaphaladhammānaṃ pakāsitattā. ‘‘Ariyasaṅgha’’nti aggadakkhiṇeyyabhāvaṃ dasseti. Saraṇagamanañca sāvakānaṃ sabbaguṇānaṃ ādi, sapubbabhāgappaṭipadā sekkhā sīlakkhandhādayo majjhe, asekkhā sīlakkhandhādayo pariyosānanti ādimajjhapariyosānakalyāṇā saṅkhepato sabbe ariyasaṅghaguṇā pakāsitā honti.

    . เอวํ คาถาตฺตเยน สเงฺขปโต สกลคุณสํกิตฺตนมุเขน รตนตฺตยสฺส ปณามํ กตฺวา อิทานิ ตํนิปจฺจการํ ยถาธิเปฺปเต ปโยชเน ปริณาเมโนฺต ‘‘อิติ เม’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ รติชนนเฎฺฐน รตนํ, พุทฺธธมฺมสงฺฆาฯ เตสญฺหิ ‘‘อิติปิ โส ภควา’’ติอาทินา ยถาภูตคุเณ อาวเชฺชนฺตสฺส อมตาธิคมเหตุภูตํ อนปฺปกํ ปีติปาโมชฺชํ อุปฺปชฺชติฯ ยถาห –

    4. Evaṃ gāthāttayena saṅkhepato sakalaguṇasaṃkittanamukhena ratanattayassa paṇāmaṃ katvā idāni taṃnipaccakāraṃ yathādhippete payojane pariṇāmento ‘‘iti me’’tiādimāha. Tattha ratijananaṭṭhena ratanaṃ, buddhadhammasaṅghā. Tesañhi ‘‘itipi so bhagavā’’tiādinā yathābhūtaguṇe āvajjentassa amatādhigamahetubhūtaṃ anappakaṃ pītipāmojjaṃ uppajjati. Yathāha –

    ‘‘ยสฺมิํ, มหานาม, สมเย อริยสาวโก ตถาคตํ อนุสฺสรติ, เนวสฺส ตสฺมิํ สมเย ราคปริยุฎฺฐิตํ จิตฺตํ โหติ, น โทส…เป.… น โมหปริยุฎฺฐิตํ จิตฺตํ โหติ, อุชุคตเมวสฺส ตสฺมิํ สมเย จิตฺตํ โหติ ตถาคตํ อารพฺภฯ อุชุคตจิโตฺต โข ปน, มหานาม, อริยสาวโก ลภติ อตฺถเวทํ, ลภติ ธมฺมเวทํ, ลภติ ธมฺมูปสํหิตํ ปาโมชฺชํ, ปมุทิตสฺส ปีติ ชายตี’’ติอาทิ (อ. นิ. ๖.๑๐; ๑๑.๑๑)ฯ

    ‘‘Yasmiṃ, mahānāma, samaye ariyasāvako tathāgataṃ anussarati, nevassa tasmiṃ samaye rāgapariyuṭṭhitaṃ cittaṃ hoti, na dosa…pe… na mohapariyuṭṭhitaṃ cittaṃ hoti, ujugatamevassa tasmiṃ samaye cittaṃ hoti tathāgataṃ ārabbha. Ujugatacitto kho pana, mahānāma, ariyasāvako labhati atthavedaṃ, labhati dhammavedaṃ, labhati dhammūpasaṃhitaṃ pāmojjaṃ, pamuditassa pīti jāyatī’’tiādi (a. ni. 6.10; 11.11).

    จิตฺตีกตาทิภาโว วา รตนโฎฺฐฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Cittīkatādibhāvo vā ratanaṭṭho. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘จิตฺตีกตํ มหคฺฆญฺจ, อตุลํ ทุลฺลภทสฺสนํ;

    ‘‘Cittīkataṃ mahagghañca, atulaṃ dullabhadassanaṃ;

    อโนมสตฺตปริโภคํ, รตนํ เตน วุจฺจตี’’ติฯ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๒.๓๓; สํ. นิ. อฎฺฐ. ๓.๕.๒๒๓; ขุ. ปา. อฎฺฐ. ๖.๓; สุ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๒๒๖);

    Anomasattaparibhogaṃ, ratanaṃ tena vuccatī’’ti. (dī. ni. aṭṭha. 2.33; saṃ. ni. aṭṭha. 3.5.223; khu. pā. aṭṭha. 6.3; su. ni. aṭṭha. 1.226);

    จิตฺตีกตภาวาทโย จ อนญฺญสาธารณา พุทฺธาทีสุ เอว ลพฺภนฺตีติฯ

    Cittīkatabhāvādayo ca anaññasādhāraṇā buddhādīsu eva labbhantīti.

    วนฺทนาว วนฺทนามยํ ยถา ‘‘ทานมยํ, สีลมย’’นฺติ (ที. นิ. ๓.๓๐๕; อิติวุ. ๖๐)ฯ วนฺทนา เจตฺถ กายวาจาจิเตฺตหิ ติณฺณํ รตนานํ คุณนินฺนตา, โถมนา วาฯ ปุชฺชภาวผลนิพฺพตฺตนโต ปุญฺญํ, อตฺตโน สนฺตานํ ปุนาตีติ วาฯ สุวิหตนฺตราโยติ สุฎฺฐุ วิหตนฺตราโยฯ เอเตน อตฺตโน ปสาทสมฺปตฺติยา, รตนตฺตยสฺส จ เขตฺตภาวสมฺปตฺติยา ตํ ปุญฺญํ อตฺถปฺปกาสนสฺส อุปฆาตกอุปทฺทวานํ วิหนเน สมตฺถนฺติ ทเสฺสติฯ หุตฺวาติ ปุพฺพกาลกิริยาฯ ตสฺส ‘‘อตฺถํ ปกาสยิสฺสามี’’ติ เอเตน สมฺพโนฺธฯ ตสฺสาติ ยํ รตนตฺตยวนฺทนามยํ ปุญฺญํ, ตสฺสฯ อานุภาเวนาติ พเลนฯ

    Vandanāva vandanāmayaṃ yathā ‘‘dānamayaṃ, sīlamaya’’nti (dī. ni. 3.305; itivu. 60). Vandanā cettha kāyavācācittehi tiṇṇaṃ ratanānaṃ guṇaninnatā, thomanā vā. Pujjabhāvaphalanibbattanato puññaṃ, attano santānaṃ punātīti vā. Suvihatantarāyoti suṭṭhu vihatantarāyo. Etena attano pasādasampattiyā, ratanattayassa ca khettabhāvasampattiyā taṃ puññaṃ atthappakāsanassa upaghātakaupaddavānaṃ vihanane samatthanti dasseti. Hutvāti pubbakālakiriyā. Tassa ‘‘atthaṃ pakāsayissāmī’’ti etena sambandho. Tassāti yaṃ ratanattayavandanāmayaṃ puññaṃ, tassa. Ānubhāvenāti balena.

    . เอวํ รตนตฺตยสฺส นิปจฺจการกรเณ ปโยชนํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ยสฺสา ธมฺมเทสนาย อตฺถํ สํวเณฺณตุกาโม, ตสฺสา ตาว คุณาภิตฺถวนวเสน อุปญฺญาปนตฺถํ ‘‘เอกกทุกาทิปฎิมณฺฑิตสฺสา’’ติอาทิมาห, เอกกาทีนิ องฺคานิ อุปรูปริ วเฑฺฒตฺวา เทสิเตหิ สุตฺตเนฺตหิ ปฎิมณฺฑิตสฺส วิสิฎฺฐสฺสาติ อโตฺถฯ เอเตน ‘‘องฺคุตฺตโร’’ติ อยํ อิมสฺส อาคมสฺส อตฺถานุคตา สมญฺญาติ ทเสฺสติฯ นนุ จ เอกกาทิวเสน เทสิตานิ สุตฺตานิเยว อาคโมฯ กสฺส ปน เอกกทุกาทีหิ ปฎิมณฺฑิตภาโวติ? สจฺจเมตํ ปรมตฺถโต, สุตฺตานิ ปน อุปาทาย ปญฺญโตฺต อาคโมฯ ยเถว หิ อตฺถพฺยญฺชนสมุทาเย สุตฺตนฺติ โวหาโร, เอวํ สุตฺตสมุทาเย อาคโมติ โวหาโรฯ เอกกาทีหิ อเงฺคหิ อุปรูปริ อุตฺตโร อธิโกติ องฺคุตฺตโร, อาคมิสฺสนฺติ เอตฺถ, เอเตน, เอตสฺมา วา อตฺตตฺถปรตฺถาทโยติ อาคโม, อาทิกลฺยาณาทิคุณสมฺปตฺติยา อุตฺตมเฎฺฐน ตํตํอภิปตฺถิตสมิทฺธิเหตุตาย ปณฺฑิเตหิ วริตพฺพโต วโร, อาคโม จ โส วโร จ เสฎฺฐเฎฺฐนาติ อาคมวโร, อาคมสมฺมเตหิ วา วโรติ อาคมวโรฯ องฺคุตฺตโร จ โส อาคมวโร จาติ องฺคุตฺตราคมวโร, ตสฺสฯ

    5. Evaṃ ratanattayassa nipaccakārakaraṇe payojanaṃ dassetvā idāni yassā dhammadesanāya atthaṃ saṃvaṇṇetukāmo, tassā tāva guṇābhitthavanavasena upaññāpanatthaṃ ‘‘ekakadukādipaṭimaṇḍitassā’’tiādimāha, ekakādīni aṅgāni uparūpari vaḍḍhetvā desitehi suttantehi paṭimaṇḍitassa visiṭṭhassāti attho. Etena ‘‘aṅguttaro’’ti ayaṃ imassa āgamassa atthānugatā samaññāti dasseti. Nanu ca ekakādivasena desitāni suttāniyeva āgamo. Kassa pana ekakadukādīhi paṭimaṇḍitabhāvoti? Saccametaṃ paramatthato, suttāni pana upādāya paññatto āgamo. Yatheva hi atthabyañjanasamudāye suttanti vohāro, evaṃ suttasamudāye āgamoti vohāro. Ekakādīhi aṅgehi uparūpari uttaro adhikoti aṅguttaro, āgamissanti ettha, etena, etasmā vā attatthaparatthādayoti āgamo, ādikalyāṇādiguṇasampattiyā uttamaṭṭhena taṃtaṃabhipatthitasamiddhihetutāya paṇḍitehi varitabbato varo, āgamo ca so varo ca seṭṭhaṭṭhenāti āgamavaro, āgamasammatehi vā varoti āgamavaro. Aṅguttaro ca so āgamavaro cāti aṅguttarāgamavaro, tassa.

    ปุงฺควา วุจฺจนฺติ อุสภา, อสนฺตสนปริสฺสยสหนสฺส ปริปาลนาทิคุเณหิ ตํสทิสตาย ธมฺมกถิกา เอว ปุงฺควาติ ธมฺมกถิกปุงฺควา, เตสํฯ เหตูปมาทิปฺปฎิมณฺฑิตนานาวิธเทสนานยวิจิตฺตตาย วิจิตฺตปฎิภานชนนสฺสฯ สุมงฺคลวิลาสินีอาทีสุ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.คนฺถารมฺภกถา; ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.คนฺถารมฺภกถา; สํ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.คนฺถารมฺภกถา) ปน ‘‘พุทฺธานุพุทฺธสํวณฺณิตสฺสา’’ติ วุตฺตํฯ พุทฺธานญฺหิ สจฺจปฺปฎิเวธํ อนุคมฺม ปฎิวิทฺธสจฺจา อคฺคสาวกาทโย อริยา พุทฺธานุพุทฺธาฯ อยมฺปิ อาคโม เตหิ อตฺถสํวณฺณนาวเสน คุณสํวณฺณนาวเสน จ สํวณฺณิโต เอวฯ อถ วา พุทฺธา จ อนุพุทฺธา จ พุทฺธานุพุทฺธาติ โยเชตพฺพํฯ สมฺมาสมฺพุเทฺธเนว หิ ติณฺณํ ปิฎกานํ อตฺถวณฺณนากฺกโม ภาสิโต, ยา ‘‘ปกิณฺณกเทสนา’’ติ วุจฺจติฯ ตโต สงฺคายนาทิวเสเนว สาวเกหีติ อาจริยา วทนฺติฯ อิธ ปน ‘‘ธมฺมกถิกปุงฺควานํ วิจิตฺตปฎิภานชนนสฺส’’อิเจฺจว โถมนา กตาฯ สํวณฺณนาสุ จายํ อาจริยสฺส ปกติ, ยา ตํตํสํวณฺณนาสุ อาทิโต ตสฺส ตสฺส สํวเณฺณตพฺพสฺส ธมฺมสฺส วิเสสคุณกิตฺตเนน โถมนาฯ ตถา หิ สุมงฺคลวิลาสินีปปญฺจสูทนีสารตฺถปฺปกาสนีสุ อฎฺฐสาลินีอาทีสุ จ ยถากฺกมํ ‘‘สทฺธาวหคุณสฺส, ปรวาทมถนสฺส, ญาณปฺปเภทชนนสฺส, ตสฺส คมฺภีรญาเณหิ โอคาฬฺหสฺส อภิณฺหโส นานานยวิจิตฺตสฺสา’’ติอาทินา โถมนา กตาฯ

    Puṅgavā vuccanti usabhā, asantasanaparissayasahanassa paripālanādiguṇehi taṃsadisatāya dhammakathikā eva puṅgavāti dhammakathikapuṅgavā, tesaṃ. Hetūpamādippaṭimaṇḍitanānāvidhadesanānayavicittatāya vicittapaṭibhānajananassa. Sumaṅgalavilāsinīādīsu (dī. ni. aṭṭha. 1.ganthārambhakathā; ma. ni. aṭṭha. 1.ganthārambhakathā; saṃ. ni. aṭṭha. 1.1.ganthārambhakathā) pana ‘‘buddhānubuddhasaṃvaṇṇitassā’’ti vuttaṃ. Buddhānañhi saccappaṭivedhaṃ anugamma paṭividdhasaccā aggasāvakādayo ariyā buddhānubuddhā. Ayampi āgamo tehi atthasaṃvaṇṇanāvasena guṇasaṃvaṇṇanāvasena ca saṃvaṇṇito eva. Atha vā buddhā ca anubuddhā ca buddhānubuddhāti yojetabbaṃ. Sammāsambuddheneva hi tiṇṇaṃ piṭakānaṃ atthavaṇṇanākkamo bhāsito, yā ‘‘pakiṇṇakadesanā’’ti vuccati. Tato saṅgāyanādivaseneva sāvakehīti ācariyā vadanti. Idha pana ‘‘dhammakathikapuṅgavānaṃ vicittapaṭibhānajananassa’’icceva thomanā katā. Saṃvaṇṇanāsu cāyaṃ ācariyassa pakati, yā taṃtaṃsaṃvaṇṇanāsu ādito tassa tassa saṃvaṇṇetabbassa dhammassa visesaguṇakittanena thomanā. Tathā hi sumaṅgalavilāsinīpapañcasūdanīsāratthappakāsanīsu aṭṭhasālinīādīsu ca yathākkamaṃ ‘‘saddhāvahaguṇassa, paravādamathanassa, ñāṇappabhedajananassa, tassa gambhīrañāṇehi ogāḷhassa abhiṇhaso nānānayavicittassā’’tiādinā thomanā katā.

    . อโตฺถ กถียติ เอตายาติ อตฺถกถา, สา เอว อฎฺฐกถา, ตฺถ-การสฺส ฎฺฐ-การํ กตฺวา ยถา ‘‘ทุกฺขสฺส ปีฬนโฎฺฐ’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๗; ๒.๘)ฯ อาทิโตติอาทิมฺหิ ปฐมสงฺคีติยํ ฯ ฉฬภิญฺญตาย ปรเมน จิตฺตวสีภาเวน สมนฺนาคตตฺตา ฌานาทีสุ ปญฺจวิธวสิตาสพฺภาวโต จ วสิโน, เถรา มหากสฺสปาทโย, เตสํ สเตหิ ปญฺจหิฯ ยาติ ยา อฎฺฐกถาฯ สงฺคีตาติ อตฺถํ ปกาเสตุํ ยุตฺตฎฺฐาเน ‘‘อยํ เอตสฺส อโตฺถ, อยํ เอตสฺส อโตฺถ’’ติ สงฺคเหตฺวา วุตฺตาฯ อนุสงฺคีตา จ ยสเตฺถราทีหิ ปจฺฉาปิ ทุติยตติยสงฺคีตีสุฯ อิมินา อตฺตโน สํวณฺณนาย อาคมนวิสุทฺธิํ ทเสฺสติฯ

    6. Attho kathīyati etāyāti atthakathā, sā eva aṭṭhakathā, ttha-kārassa ṭṭha-kāraṃ katvā yathā ‘‘dukkhassa pīḷanaṭṭho’’ti (paṭi. ma. 1.17; 2.8). Āditotiādimhi paṭhamasaṅgītiyaṃ . Chaḷabhiññatāya paramena cittavasībhāvena samannāgatattā jhānādīsu pañcavidhavasitāsabbhāvato ca vasino, therā mahākassapādayo, tesaṃ satehi pañcahi. Yāti yā aṭṭhakathā. Saṅgītāti atthaṃ pakāsetuṃ yuttaṭṭhāne ‘‘ayaṃ etassa attho, ayaṃ etassa attho’’ti saṅgahetvā vuttā. Anusaṅgītā ca yasattherādīhi pacchāpi dutiyatatiyasaṅgītīsu. Iminā attano saṃvaṇṇanāya āgamanavisuddhiṃ dasseti.

    . สีหสฺส ลานโต คหณโต สีหโฬ, สีหกุมาโรฯ ตํวํสชาตตาย ตมฺพปณฺณิทีเป ขตฺติยานํ, เตสํ นิวาสตาย ตมฺพปณฺณิทีปสฺส จ สีหฬภาโว เวทิตโพฺพฯ อาภตาติ ชมฺพุทีปโต อานีตาฯ อถาติ ปจฺฉาฯ อปรภาเค หิ อสงฺกรตฺถํ สีหฬภาสาย อฎฺฐกถา ฐปิตาติฯ เตน สา มูลฎฺฐกถา สพฺพสาธารณา น โหตีติ อิทํ อตฺถปฺปกาสนํ เอกเนฺตน กรณียนฺติ ทเสฺสติฯ เตเนวาห – ‘‘ทีปวาสีนมตฺถายา’’ติฯ ตตฺถ ทีปวาสีนนฺติ ชมฺพุทีปวาสีนํ, ทีปวาสีนนฺติ วา สีหฬทีปวาสีนํ อตฺถาย สีหฬภาสาย ฐปิตาติ โยชนาฯ

    7. Sīhassa lānato gahaṇato sīhaḷo, sīhakumāro. Taṃvaṃsajātatāya tambapaṇṇidīpe khattiyānaṃ, tesaṃ nivāsatāya tambapaṇṇidīpassa ca sīhaḷabhāvo veditabbo. Ābhatāti jambudīpato ānītā. Athāti pacchā. Aparabhāge hi asaṅkaratthaṃ sīhaḷabhāsāya aṭṭhakathā ṭhapitāti. Tena sā mūlaṭṭhakathā sabbasādhāraṇā na hotīti idaṃ atthappakāsanaṃ ekantena karaṇīyanti dasseti. Tenevāha – ‘‘dīpavāsīnamatthāyā’’ti. Tattha dīpavāsīnanti jambudīpavāsīnaṃ, dīpavāsīnanti vā sīhaḷadīpavāsīnaṃ atthāya sīhaḷabhāsāya ṭhapitāti yojanā.

    . อปเนตฺวานาติ กญฺจุกสทิสํ สีหฬภาสํอปเนตฺวานฯ ตโตติ อฎฺฐกถาโตฯ อหนฺติ อตฺตานํ นิทฺทิสติฯ มโนรมํ ภาสนฺติ มาคธภาสํฯ สา หิ สภาวนิรุตฺติภูตา ปณฺฑิตานํ มนํ รมยตีติฯ เตเนวาห – ‘‘ตนฺตินยานุจฺฉวิก’’นฺติ, ปาฬิคติยา อนุโลมิกํ ปาฬิจฺฉายานุวิธายินินฺติ อโตฺถฯ วิคตโทสนฺติ อสภาวนิรุตฺติภาสนฺตรรหิตํฯ

    8.Apanetvānāti kañcukasadisaṃ sīhaḷabhāsaṃapanetvāna. Tatoti aṭṭhakathāto. Ahanti attānaṃ niddisati. Manoramaṃ bhāsanti māgadhabhāsaṃ. Sā hi sabhāvaniruttibhūtā paṇḍitānaṃ manaṃ ramayatīti. Tenevāha – ‘‘tantinayānucchavika’’nti, pāḷigatiyā anulomikaṃ pāḷicchāyānuvidhāyininti attho. Vigatadosanti asabhāvaniruttibhāsantararahitaṃ.

    . สมยํ อวิโลเมโนฺตติ สิทฺธนฺตํ อวิโรเธโนฺตฯ เอเตน อตฺถโทสาภาวมาหฯ อวิรุทฺธตฺตา เอว หิ เถรวาทาปิ อิธ ปกาสียิสฺสนฺติฯ เถรวํสทีปานนฺติ ถิเรหิ สีลกฺขนฺธาทีหิ สมนฺนาคตตฺตา เถรา , มหากสฺสปาทโย, เตหิ อาคตา อาจริยปรมฺปรา เถรวํโสฯ ตปฺปริยาปนฺนา หุตฺวา อาคมาธิคมสมฺปนฺนตฺตา ปญฺญาปโชฺชเตน ตสฺส สมุชฺชลนโต เถรวํสทีปา, มหาวิหารวาสิโน เถรา, เตสํฯ วิวิเธหิ อากาเรหิ นิจฺฉียตีติ วินิจฺฉโย, คณฺฐิฎฺฐาเนสุ ขีลมทฺทนากาเรน ปวตฺตา วิมติเจฺฉทกถาฯ สุฎฺฐุ นิปุโณ สโณฺห วินิจฺฉโย เอเตสนฺติ สุนิปุณวินิจฺฉยาฯ อถ วา วินิจฺฉิโนตีติ วินิจฺฉโย, ยถาวุตฺตตฺถวิสยํ ญาณํฯ สุฎฺฐุ นิปุโณ เฉโก วินิจฺฉโย เอเตสนฺติ สุนิปุณวินิจฺฉยาฯ เอเตน มหากสฺสปาทิเตฺถรปรมฺปราภโต, ตโตเยว จ อวิปรีโต สณฺหสุขุโม มหาวิหารวาสีนํ วินิจฺฉโยติ ตสฺส ปมาณภูตตํ ทเสฺสติฯ

    9.Samayaṃ avilomentoti siddhantaṃ avirodhento. Etena atthadosābhāvamāha. Aviruddhattā eva hi theravādāpi idha pakāsīyissanti. Theravaṃsadīpānanti thirehi sīlakkhandhādīhi samannāgatattā therā , mahākassapādayo, tehi āgatā ācariyaparamparā theravaṃso. Tappariyāpannā hutvā āgamādhigamasampannattā paññāpajjotena tassa samujjalanato theravaṃsadīpā, mahāvihāravāsino therā, tesaṃ. Vividhehi ākārehi nicchīyatīti vinicchayo, gaṇṭhiṭṭhānesu khīlamaddanākārena pavattā vimaticchedakathā. Suṭṭhu nipuṇo saṇho vinicchayo etesanti sunipuṇavinicchayā. Atha vā vinicchinotīti vinicchayo, yathāvuttatthavisayaṃ ñāṇaṃ. Suṭṭhu nipuṇo cheko vinicchayo etesanti sunipuṇavinicchayā. Etena mahākassapādittheraparamparābhato, tatoyeva ca aviparīto saṇhasukhumo mahāvihāravāsīnaṃ vinicchayoti tassa pamāṇabhūtataṃ dasseti.

    ๑๐. สุชนสฺส จาติ -สโทฺท สมฺปิณฺฑนโตฺถฯ เตน ‘‘น เกวลํ ชมฺพุทีปวาสีนํเยว อตฺถาย, อถ โข สาธุชนานํ โตสนตฺถญฺจา’’ติ ทเสฺสติฯ เตน จ ‘‘ตมฺพปณฺณิทีปวาสีนมฺปิ อตฺถายา’’ติ อยมโตฺถ สิโทฺธ โหติ อุคฺคหณาทิสุกรตาย เตสมฺปิ พหูปการตฺตาฯ จิรฎฺฐิตตฺถนฺติ จิรฎฺฐิติอตฺถํ, จิรกาลาวฎฺฐานายาติ อโตฺถฯ อิทญฺหิ อตฺถปฺปกาสนํ อวิปรีตพฺยญฺชนสุนิเกฺขปสฺส อตฺถสุนีตสฺส จ อุปายภาวโต สทฺธมฺมสฺส จิรฎฺฐิติยา สํวตฺตติฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา –

    10.Sujanassati ca-saddo sampiṇḍanattho. Tena ‘‘na kevalaṃ jambudīpavāsīnaṃyeva atthāya, atha kho sādhujanānaṃ tosanatthañcā’’ti dasseti. Tena ca ‘‘tambapaṇṇidīpavāsīnampi atthāyā’’ti ayamattho siddho hoti uggahaṇādisukaratāya tesampi bahūpakārattā. Ciraṭṭhitatthanti ciraṭṭhitiatthaṃ, cirakālāvaṭṭhānāyāti attho. Idañhi atthappakāsanaṃ aviparītabyañjanasunikkhepassa atthasunītassa ca upāyabhāvato saddhammassa ciraṭṭhitiyā saṃvattati. Vuttañhetaṃ bhagavatā –

    ‘‘เทฺวเม, ภิกฺขเว, ธมฺมา สทฺธมฺมสฺส ฐิติยา อสโมฺมสาย อนนฺตรธานาย สํวตฺตนฺติฯ กตเม เทฺว? สุนิกฺขิตฺตญฺจ ปทพฺยญฺชนํ, อโตฺถ จ สุนีโต’’ติ (อ. นิ. ๒.๒๑)ฯ

    ‘‘Dveme, bhikkhave, dhammā saddhammassa ṭhitiyā asammosāya anantaradhānāya saṃvattanti. Katame dve? Sunikkhittañca padabyañjanaṃ, attho ca sunīto’’ti (a. ni. 2.21).

    ๑๑-๑๒. ยํ อตฺถวณฺณนํ กตฺถุกาโม, ตสฺสา มหนฺตตฺตํ ปริหริตุํ ‘‘สาวตฺถิปภูตีน’’นฺติอาทิมาหฯ เตนาห – ‘‘น อิธ วิตฺถารกถํ กริสฺสามิ, น ตํ อิธ วิจารยิสฺสามี’’ติ จฯ ตตฺถ ทีฆสฺสาติ ทีฆนิกายสฺสฯ มชฺฌิมสฺสาติ มชฺฌิมนิกายสฺสฯ ‘‘สงฺคีตีนํ ทฺวินฺนํ ยา เม อตฺถํ วทเนฺตนา’’ติปิ ปาโฐฯ ตตฺถปิ สงฺคีตีนํ ทฺวินฺนนฺติ ทีฆมชฺฌิมนิกายานนฺติ อโตฺถ คเหตโพฺพฯ เมติ กรณเตฺถ สามิวจนํ, มยาติ อโตฺถฯ สุทนฺติ นิปาตมตฺตํฯ เหฎฺฐา ทีฆสฺส มชฺฌิมสฺส จ อตฺถํ วทเนฺตน สาวตฺถิปภุตีนํ นครานํ ยา วณฺณนา กตา, ตสฺสา วิตฺถารกถํ น อิธ ภิโยฺย กริสฺสามีติ โยเชตพฺพํฯ ยานิ จ ตตฺถ วตฺถูนิ วิตฺถารวเสน วุตฺตานิ, เตสมฺปิ วิตฺถารกถํ น อิธ ภิโยฺย กริสฺสามีติ สมฺพโนฺธฯ

    11-12. Yaṃ atthavaṇṇanaṃ katthukāmo, tassā mahantattaṃ pariharituṃ ‘‘sāvatthipabhūtīna’’ntiādimāha. Tenāha – ‘‘na idha vitthārakathaṃ karissāmi, na taṃ idha vicārayissāmī’’ti ca. Tattha dīghassāti dīghanikāyassa. Majjhimassāti majjhimanikāyassa. ‘‘Saṅgītīnaṃ dvinnaṃ yā me atthaṃ vadantenā’’tipi pāṭho. Tatthapi saṅgītīnaṃ dvinnanti dīghamajjhimanikāyānanti attho gahetabbo. Meti karaṇatthe sāmivacanaṃ, mayāti attho. Sudanti nipātamattaṃ. Heṭṭhā dīghassa majjhimassa ca atthaṃ vadantena sāvatthipabhutīnaṃ nagarānaṃ yā vaṇṇanā katā, tassā vitthārakathaṃ na idha bhiyyo karissāmīti yojetabbaṃ. Yāni ca tattha vatthūni vitthāravasena vuttāni, tesampi vitthārakathaṃ na idha bhiyyo karissāmīti sambandho.

    ๑๓. อิทานิ ‘‘น อิธ วิตฺถารกถํ กริสฺสามี’’ติ สามญฺญโต วุตฺตสฺส อตฺถสฺส ปวรํ ทเสฺสตุํ – ‘‘สุตฺตานํ ปนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ สุตฺตานํ เย อตฺถา วตฺถูหิ วินา น ปกาสนฺตีติ โยเชตพฺพํฯ

    13. Idāni ‘‘na idha vitthārakathaṃ karissāmī’’ti sāmaññato vuttassa atthassa pavaraṃ dassetuṃ – ‘‘suttānaṃ panā’’tiādi vuttaṃ. Suttānaṃ ye atthā vatthūhi vinā na pakāsantīti yojetabbaṃ.

    ๑๔. ยํ อฎฺฐกถํ กตฺตุกาโม, ตเทกเทสภาเวน วิสุทฺธิมโคฺค จ คเหตโพฺพติ กถิกานํ อุปเทสํ กโรโนฺต ตตฺถ วิจาริตธเมฺม อุเทฺทสวเสน ทเสฺสติ – ‘‘สีลกถา’’ติอาทินาฯ ตตฺถ สีลกถาติ จาริตฺตวาริตฺตาทิวเสน สีลสฺส วิตฺถารกถาฯ ธุตธมฺมาติ ปิณฺฑปาติกงฺคาทโย เตรส กิเลสธุนนกธมฺมาฯ กมฺมฎฺฐานานิ สพฺพานีติ ปาฬิยํ อาคตานิ อฎฺฐติํส, อฎฺฐกถายํ เทฺวติ นิรวเสสานิ โยคกมฺมสฺส ภาวนาย ปวตฺติฎฺฐานานิฯ จริยาวิธานสหิโตติ ราคจริตาทีนํ สภาวาทิวิธาเนน สหิโตฯ ฌานานิ จตฺตาริ รูปาวจรชฺฌานานิ, สมาปตฺติโย จตโสฺส อารุปฺปสมาปตฺติโย ฯ อฎฺฐปิ วา ปฎิลทฺธมตฺตานิ ฌานานิ สมาปชฺชนวสีภาวปฺปตฺติยา สมาปตฺติโยฯ ฌานานิ วา รูปารูปาวจรชฺฌานานิ, สมาปตฺติโย ผลสมาปตฺตินิโรธสมาปตฺติโยฯ

    14. Yaṃ aṭṭhakathaṃ kattukāmo, tadekadesabhāvena visuddhimaggo ca gahetabboti kathikānaṃ upadesaṃ karonto tattha vicāritadhamme uddesavasena dasseti – ‘‘sīlakathā’’tiādinā. Tattha sīlakathāti cārittavārittādivasena sīlassa vitthārakathā. Dhutadhammāti piṇḍapātikaṅgādayo terasa kilesadhunanakadhammā. Kammaṭṭhānāni sabbānīti pāḷiyaṃ āgatāni aṭṭhatiṃsa, aṭṭhakathāyaṃ dveti niravasesāni yogakammassa bhāvanāya pavattiṭṭhānāni. Cariyāvidhānasahitoti rāgacaritādīnaṃ sabhāvādividhānena sahito. Jhānāni cattāri rūpāvacarajjhānāni, samāpattiyo catasso āruppasamāpattiyo . Aṭṭhapi vā paṭiladdhamattāni jhānāni samāpajjanavasībhāvappattiyā samāpattiyo. Jhānāni vā rūpārūpāvacarajjhānāni, samāpattiyo phalasamāpattinirodhasamāpattiyo.

    ๑๕. โลกิยโลกุตฺตรเภทา ฉ อภิญฺญาโย สพฺพา อภิญฺญาโยฯ ญาณวิภงฺคาทีสุ อาคตนเยน เอกวิธาทินา ปญฺญาย สํกเลตฺวา สมฺปิเณฺฑตฺวา นิจฺฉโย ปญฺญาสงฺกลนนิจฺฉโย

    15. Lokiyalokuttarabhedā cha abhiññāyo sabbā abhiññāyo. Ñāṇavibhaṅgādīsu āgatanayena ekavidhādinā paññāya saṃkaletvā sampiṇḍetvā nicchayo paññāsaṅkalananicchayo.

    ๑๖. ปจฺจยธมฺมานํ เหตุอาทีนํ ปจฺจยุปฺปนฺนธมฺมานํ เหตุปจฺจยาทิภาโว ปจฺจยากาโร, ตสฺส เทสนา ปจฺจยาการเทสนา, ปฎิจฺจสมุปฺปาทกถาติ อโตฺถฯ สา ปน ฆนวินิโพฺภคสฺส สุทุกฺกรตาย สณฺหสุขุมา, นิกายนฺตรลทฺธิสงฺกรรหิตา, เอกตฺตนยาทิสหิตา จ ตตฺถ วิจาริตาติ อาห – ‘‘สุปริสุทฺธนิปุณนยา’’ติฯ ปฎิสมฺภิทาทีสุ อาคตนยํ อวิสฺสเชฺชตฺวาว วิจาริตตฺตา อวิมุตฺตตนฺติมคฺคา

    16. Paccayadhammānaṃ hetuādīnaṃ paccayuppannadhammānaṃ hetupaccayādibhāvo paccayākāro, tassa desanā paccayākāradesanā, paṭiccasamuppādakathāti attho. Sā pana ghanavinibbhogassa sudukkaratāya saṇhasukhumā, nikāyantaraladdhisaṅkararahitā, ekattanayādisahitā ca tattha vicāritāti āha – ‘‘suparisuddhanipuṇanayā’’ti. Paṭisambhidādīsu āgatanayaṃ avissajjetvāva vicāritattā avimuttatantimaggā.

    ๑๗. อิติ ปน สพฺพนฺติ อิติ-สโทฺท ปริสมาปเน, ปน-สโทฺท วจนาลงฺกาเร, เอตํ สพฺพนฺติ อโตฺถฯ อิธาติ อิมิสฺสา อฎฺฐกถาย น วิจารยิสฺสามิ ปุนรุตฺติภาวโตติ อธิปฺปาโยฯ

    17.Iti pana sabbanti iti-saddo parisamāpane, pana-saddo vacanālaṅkāre, etaṃ sabbanti attho. Idhāti imissā aṭṭhakathāya na vicārayissāmi punaruttibhāvatoti adhippāyo.

    ๑๘. อิทานิ ตเสฺสว อวิจารณสฺส เอกนฺตการณํ นิทฺธาเรโนฺต ‘‘มเชฺฌ วิสุทฺธิมโคฺค’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ‘‘มเชฺฌ ฐตฺวา’’ติ เอเตน มชฺฌภาวทีปเนน วิเสสโต จตุนฺนํ อาคมานํ สาธารณฎฺฐกถา วิสุทฺธิมโคฺค, น สุมงฺคลวิลาสินีอาทโย วิย อสาธารณฎฺฐกถาติ ทเสฺสติฯ ‘‘วิเสสโต’’ติ จ อิทํ วินยาภิธมฺมานมฺปิ วิสุทฺธิมโคฺค ยถารหํ อตฺถวณฺณนา โหติ เอวาติ กตฺวา วุตฺตํฯ

    18. Idāni tasseva avicāraṇassa ekantakāraṇaṃ niddhārento ‘‘majjhe visuddhimaggo’’tiādimāha. Tattha ‘‘majjhe ṭhatvā’’ti etena majjhabhāvadīpanena visesato catunnaṃ āgamānaṃ sādhāraṇaṭṭhakathā visuddhimaggo, na sumaṅgalavilāsinīādayo viya asādhāraṇaṭṭhakathāti dasseti. ‘‘Visesato’’ti ca idaṃ vinayābhidhammānampi visuddhimaggo yathārahaṃ atthavaṇṇanā hoti evāti katvā vuttaṃ.

    ๑๙. อิเจฺจวาติ อิติ เอวฯ ตมฺปีติ วิสุทฺธิมคฺคมฺปิฯ เอตายาติ มโนรถปูรณิยาฯ เอตฺถ จ ‘‘สีหฬทีปํ อาภตา’’ติอาทินา อตฺถปฺปกาสนสฺส นิมิตฺตํ ทเสฺสติ, ‘‘ทีปวาสีนมตฺถาย สุชนสฺส จ ตุฎฺฐตฺถํ จิรฎฺฐิตตฺถญฺจ ธมฺมสฺสา’’ติ เอเตน ปโยชนํ, อปเนตฺวาน ตโตหํ, สีหฬภาส’’นฺติอาทินาฯ ‘‘สาวตฺถิปภุตีน’’นฺติอาทินา จ กรณปฺปการํฯ เหฎฺฐิมนิกาเยสุ วิสุทฺธิมเคฺค จ วิจาริตานํ อตฺถานํ อวิจารณมฺปิ หิ อิธ กรณปฺปกาโร เอวาติฯ

    19.Iccevāti iti eva. Tampīti visuddhimaggampi. Etāyāti manorathapūraṇiyā. Ettha ca ‘‘sīhaḷadīpaṃ ābhatā’’tiādinā atthappakāsanassa nimittaṃ dasseti, ‘‘dīpavāsīnamatthāya sujanassa ca tuṭṭhatthaṃ ciraṭṭhitatthañca dhammassā’’ti etena payojanaṃ, apanetvāna tatohaṃ, sīhaḷabhāsa’’ntiādinā. ‘‘Sāvatthipabhutīna’’ntiādinā ca karaṇappakāraṃ. Heṭṭhimanikāyesu visuddhimagge ca vicāritānaṃ atthānaṃ avicāraṇampi hi idha karaṇappakāro evāti.

    คนฺถารมฺภกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Ganthārambhakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    ๑. รูปาทิวคฺควณฺณนา

    1. Rūpādivaggavaṇṇanā

    นิทานวณฺณนา

    Nidānavaṇṇanā

    วิภาควนฺตานํ สภาววิภาวนํ วิภาคทสฺสนวเสเนว โหตีติ ปฐมํ ตาว นิปาตสุตฺตวเสน วิภาคํ ทเสฺสตุํ ‘‘ตตฺถ องฺคุตฺตราคโม นามา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ตตฺถาติ ‘‘องฺคุตฺตราคมสฺส อตฺถํ ปกาสยิสฺสามี’’ติ ยทิทํ วุตฺตํ, ตสฺมิํ วจเน, ‘‘ยสฺส อตฺถํ ปกาสยิสฺสามี’’ติ ปฎิญฺญาตํ, โส องฺคุตฺตราคโม นาม นิปาตสุตฺตวเสน เอวํ วิภาโคติ อโตฺถฯ อถ วา ตตฺถาติ ‘‘องฺคุตฺตรนิสฺสิตํ อตฺถ’’นฺติ เอตสฺมิํ วจเน โย องฺคุตฺตราคโม วุโตฺต, โส นิปาตสุตฺตาทิวเสน เอทิโสติ อโตฺถฯ

    Vibhāgavantānaṃ sabhāvavibhāvanaṃ vibhāgadassanavaseneva hotīti paṭhamaṃ tāva nipātasuttavasena vibhāgaṃ dassetuṃ ‘‘tattha aṅguttarāgamo nāmā’’tiādimāha. Tattha tatthāti ‘‘aṅguttarāgamassa atthaṃ pakāsayissāmī’’ti yadidaṃ vuttaṃ, tasmiṃ vacane, ‘‘yassa atthaṃ pakāsayissāmī’’ti paṭiññātaṃ, so aṅguttarāgamo nāma nipātasuttavasena evaṃ vibhāgoti attho. Atha vā tatthāti ‘‘aṅguttaranissitaṃ attha’’nti etasmiṃ vacane yo aṅguttarāgamo vutto, so nipātasuttādivasena edisoti attho.

    อิทานิ ตํ อาทิโต ปฎฺฐาย สํวณฺณิตุกาโม อตฺตโน สํวณฺณนาย ปฐมมหาสงฺคีติยํ นิกฺขิตฺตานุกฺกเมน ปวตฺตภาวทสฺสนตฺถํ ‘‘ตสฺส นิปาเตสุ…เป.… วุตฺตํ นิทานมาที’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ยถาปจฺจยํ ตตฺถ ตตฺถ เทสิตตฺตา ปญฺญตฺตตฺตา จ วิปฺปกิณฺณานํ ธมฺมวินยานํ สงฺคเหตฺวา คายนํ กถนํ สงฺคีติฯ เอเตน ตํตํสิกฺขาปทานํ สุตฺตานญฺจ อาทิปริโยสาเนสุ อนฺตรนฺตรา จ สมฺพนฺธวเสน ฐปิตํ สงฺคีติการวจนํ สงฺคหิตํ โหติฯ สงฺคียมานสฺส อตฺถสฺส มหนฺตตาย ปูชนียตาย จ มหตี สงฺคีติ มหาสงฺคีติ, ปฐมา มหาสงฺคีติ ปฐมมหาสงฺคีติ, ตสฺสา ปวตฺติกาโล ปฐมมหาสงฺคีติกาโล, ตสฺมิํ ปฐมมหาสงฺคีติกาเลฯ นิททาติ เทสนํ เทสกาลาทิวเสน อวิทิตํ วิทิตํ กตฺวา นิทเสฺสตีติ นิทานํฯ โย โลกิเยหิ อุโปคฺฆาโตติ วุจฺจติ, สฺวายเมตฺถ ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติอาทิโก คโนฺถ เวทิตโพฺพฯ น ‘‘สนิทานาหํ, ภิกฺขเว, ธมฺมํ เทเสมี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๓.๑๒๖) วิย อชฺฌาสยาทิเทสนุปฺปตฺติเหตุฯ เตเนวาห – ‘‘เอวํ เม สุตนฺติอาทิกํ อายสฺมตา อานเนฺทน ปฐมมหาสงฺคีติกาเล วุตฺตํ นิทานมาที’’ติฯ

    Idāni taṃ ādito paṭṭhāya saṃvaṇṇitukāmo attano saṃvaṇṇanāya paṭhamamahāsaṅgītiyaṃ nikkhittānukkamena pavattabhāvadassanatthaṃ ‘‘tassa nipātesu…pe… vuttaṃ nidānamādī’’tiādimāha. Tattha yathāpaccayaṃ tattha tattha desitattā paññattattā ca vippakiṇṇānaṃ dhammavinayānaṃ saṅgahetvā gāyanaṃ kathanaṃ saṅgīti. Etena taṃtaṃsikkhāpadānaṃ suttānañca ādipariyosānesu antarantarā ca sambandhavasena ṭhapitaṃ saṅgītikāravacanaṃ saṅgahitaṃ hoti. Saṅgīyamānassa atthassa mahantatāya pūjanīyatāya ca mahatī saṅgīti mahāsaṅgīti, paṭhamā mahāsaṅgīti paṭhamamahāsaṅgīti, tassā pavattikālo paṭhamamahāsaṅgītikālo, tasmiṃ paṭhamamahāsaṅgītikāle. Nidadāti desanaṃ desakālādivasena aviditaṃ viditaṃ katvā nidassetīti nidānaṃ. Yo lokiyehi upogghātoti vuccati, svāyamettha ‘‘evaṃ me suta’’ntiādiko gantho veditabbo. Na ‘‘sanidānāhaṃ, bhikkhave, dhammaṃ desemī’’tiādīsu (a. ni. 3.126) viya ajjhāsayādidesanuppattihetu. Tenevāha – ‘‘evaṃ me sutantiādikaṃ āyasmatā ānandena paṭhamamahāsaṅgītikāle vuttaṃ nidānamādī’’ti.

    . ‘‘สา ปเนสา’’ติอาทินา พาหิรนิทาเน วตฺตพฺพํ อติทิสิตฺวา อิทานิ อพฺภนฺตรนิทานํ อาทิโต ปฎฺฐาย สํวณฺณิตุํ ‘‘ยํ ปเนต’’นฺติ วุตฺตํฯ ตตฺถ ยสฺมา สํวณฺณนํ กโรเนฺตน สํวเณฺณตเพฺพ ธเมฺม ปทานิ ปทวิภาคํ ตทตฺถญฺจ ทเสฺสตฺวา ตโต ปรํ ปิณฺฑตฺถาทินิทสฺสนวเสน จ สํวณฺณนา กาตพฺพา, ตสฺมา ปทานิ ตาว ทเสฺสโนฺต ‘‘เอวนฺติ นิปาตปท’’นฺติอาทิมาห ฯ ตตฺถ ปทวิภาโคติ ปทานํ วิเสโส, น ปทวิคฺคโหฯ อถ วา ปทานิ จ ปทวิภาโค จ ปทวิภาโค, ปทวิคฺคโห จ ปทวิภาโค จ ปทวิภาโคติ วา เอกเสสวเสน ปทปทวิคฺคหา ปทวิภาคสเทฺทน วุตฺตาติ เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ ปทวิคฺคโห ‘‘เชตสฺส วนํ เชตวน’’นฺติอาทินา สมาสปเทสุ ทฎฺฐโพฺพฯ

    1. ‘‘Sā panesā’’tiādinā bāhiranidāne vattabbaṃ atidisitvā idāni abbhantaranidānaṃ ādito paṭṭhāya saṃvaṇṇituṃ ‘‘yaṃ paneta’’nti vuttaṃ. Tattha yasmā saṃvaṇṇanaṃ karontena saṃvaṇṇetabbe dhamme padāni padavibhāgaṃ tadatthañca dassetvā tato paraṃ piṇḍatthādinidassanavasena ca saṃvaṇṇanā kātabbā, tasmā padāni tāva dassento ‘‘evanti nipātapada’’ntiādimāha . Tattha padavibhāgoti padānaṃ viseso, na padaviggaho. Atha vā padāni ca padavibhāgo ca padavibhāgo, padaviggaho ca padavibhāgo ca padavibhāgoti vā ekasesavasena padapadaviggahā padavibhāgasaddena vuttāti veditabbaṃ. Tattha padaviggaho ‘‘jetassa vanaṃ jetavana’’ntiādinā samāsapadesu daṭṭhabbo.

    อตฺถโตติ ปทตฺถโตฯ ตํ ปน ปทตฺถํ อตฺถุทฺธารกฺกเมน ปฐมํ เอวํ-สทฺทสฺส ทเสฺสโนฺต ‘‘เอวํ-สโทฺท ตาวา’’ติอาทิมาหฯ อวธารณาทีติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน อิทมตฺถปุจฺฉาปริมาณาทิอตฺถานํ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ ตถา หิ ‘‘เอวํคตานิ ปุถุสิปฺปายตนานิ, เอวมาทีนี’’ติอาทีสุ อิทํ-สทฺทสฺส อเตฺถ เอวํ-สโทฺทฯ คต-สโทฺท หิ ปการปริยาโย, ตถา วิธาการ-สทฺทา จฯ ตถา หิ วิธยุตฺตคตสเทฺท โลกิยา ปการเตฺถ วทนฺติฯ ‘‘เอวํ สุ เต สุนฺหาตา สุวิลิตฺตา กปฺปิตเกสมสฺสู อามุกฺกมณิกุณฺฑลาภรณา โอทาตวตฺถวสนา ปญฺจหิ กามคุเณหิ สมปฺปิตา สมงฺคีภูตา ปริจาเรนฺติ เสยฺยถาปิ ตฺวํ เอตรหิ สาจริยโกติฯ โน หิทํ, โภ โคตมา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๒๘๖) ปุจฺฉายํฯ ‘‘เอวํ ลหุปริวตฺตํ (อ. นิ. ๑.๔๘), เอวมายุปริยโนฺต’’ติ (ที. นิ. ๑.๒๔๔; ปารา. ๑๒) จ อาทีสุ ปริมาเณฯ

    Atthatoti padatthato. Taṃ pana padatthaṃ atthuddhārakkamena paṭhamaṃ evaṃ-saddassa dassento ‘‘evaṃ-saddo tāvā’’tiādimāha. Avadhāraṇādīti ettha ādi-saddena idamatthapucchāparimāṇādiatthānaṃ saṅgaho daṭṭhabbo. Tathā hi ‘‘evaṃgatāni puthusippāyatanāni, evamādīnī’’tiādīsu idaṃ-saddassa atthe evaṃ-saddo. Gata-saddo hi pakārapariyāyo, tathā vidhākāra-saddā ca. Tathā hi vidhayuttagatasadde lokiyā pakāratthe vadanti. ‘‘Evaṃ su te sunhātā suvilittā kappitakesamassū āmukkamaṇikuṇḍalābharaṇā odātavatthavasanā pañcahi kāmaguṇehi samappitā samaṅgībhūtā paricārenti seyyathāpi tvaṃ etarahi sācariyakoti. No hidaṃ, bho gotamā’’tiādīsu (dī. ni. 1.286) pucchāyaṃ. ‘‘Evaṃ lahuparivattaṃ (a. ni. 1.48), evamāyupariyanto’’ti (dī. ni. 1.244; pārā. 12) ca ādīsu parimāṇe.

    นนุ จ ‘‘เอวํ สุ เต สุนฺหาตา สุวิลิตฺตา เอวมายุปริยโนฺต’’ติ เอตฺถ เอวํ-สเทฺทน ปุจฺฉนาการปริมาณาการานํ วุตฺตตฺตา อาการโตฺถ เอว เอวํ-สโทฺทติ? น, วิเสสสพฺภาวโตฯ อาการมตฺตวาจโก หิ เอวํ-สโทฺท อาการโตฺถติ อธิเปฺปโต ยถา ‘‘เอวํ พฺยาโข’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๒๓๔; ปาจิ. ๔๑๗; จูฬว. ๖๕), น ปน อาการวิเสสวาจโกฯ เอวญฺจ กตฺวา ‘‘เอวํ ชาเตน มเจฺจนา’’ติอาทีนิ (ธ. ป. ๕๓) อุปมาทิอุทาหรณานิ อุปปนฺนานิ โหนฺติฯ ตถา หิ ‘‘ยถา หิ…เป.… พหุ’’นฺติ (ธ. ป. ๕๓) เอตฺถ ปุปฺผราสิฎฺฐานิยโต มนุสฺสูปปตฺติสปฺปุริสูปนิสฺสยสทฺธมฺมสฺสวนโยนิโสมนสิการโภคสมฺปตฺติ- อาทิทานาทิปุญฺญกิริยาเหตุสมุทายโต โสภาสุคนฺธตาทิคุณโยคโต มาลาคุณสทิสิโย ปหูตา ปุญฺญกิริยา มริตพฺพสภาวตาย มเจฺจน สเตฺตน กตฺตพฺพาติ โชติตตฺตา ปุปฺผราสิมาลาคุณาว อุปมาฯ เตสํ อุปมากาโร ยถา-สเทฺทน อนิยมโต วุโตฺตติ ‘‘เอวํ-สโทฺท อุปมาการนิคมนโตฺถ’’ติ วตฺตุํ ยุตฺตํ, โส ปน อุปมากาโร นิยมิยมาโน อตฺถโต อุปมาว โหตีติ อาห – ‘‘อุปมายํ อาคโต’’ติฯ ตถา ‘‘เอวํ อิมินา อากาเรน อภิกฺกมิตพฺพ’’นฺติอาทินา อุปทิสิยมานาย สมณสารุปฺปาย อากปฺปสมฺปตฺติยา โย ตตฺถ อุปทิสนากาโร, โส อตฺถโต อุปเทโส เอวาติ วุตฺตํ – ‘‘เอวํ เต…เป.… อุปเทเส’’ติฯ ตถา เอวเมตํ ภควา, เอวเมตํ สุคตาติ เอตฺถ ภควตา ยถาวุตฺตมตฺถํ อวิปรีตโต ชานเนฺตหิ กตํ ตตฺถ สํวิชฺชมานคุณานํ ปกาเรหิ หํสนํ อุทคฺคตากรณํ สมฺปหํสนํ, โย ตตฺถ สมฺปหํสนากาโรติ โยเชตพฺพํฯ

    Nanu ca ‘‘evaṃ su te sunhātā suvilittā evamāyupariyanto’’ti ettha evaṃ-saddena pucchanākāraparimāṇākārānaṃ vuttattā ākārattho eva evaṃ-saddoti? Na, visesasabbhāvato. Ākāramattavācako hi evaṃ-saddo ākāratthoti adhippeto yathā ‘‘evaṃ byākho’’tiādīsu (ma. ni. 1.234; pāci. 417; cūḷava. 65), na pana ākāravisesavācako. Evañca katvā ‘‘evaṃ jātena maccenā’’tiādīni (dha. pa. 53) upamādiudāharaṇāni upapannāni honti. Tathā hi ‘‘yathā hi…pe… bahu’’nti (dha. pa. 53) ettha puppharāsiṭṭhāniyato manussūpapattisappurisūpanissayasaddhammassavanayonisomanasikārabhogasampatti- ādidānādipuññakiriyāhetusamudāyato sobhāsugandhatādiguṇayogato mālāguṇasadisiyo pahūtā puññakiriyā maritabbasabhāvatāya maccena sattena kattabbāti jotitattā puppharāsimālāguṇāva upamā. Tesaṃ upamākāro yathā-saddena aniyamato vuttoti ‘‘evaṃ-saddo upamākāranigamanattho’’ti vattuṃ yuttaṃ, so pana upamākāro niyamiyamāno atthato upamāva hotīti āha – ‘‘upamāyaṃ āgato’’ti. Tathā ‘‘evaṃ iminā ākārena abhikkamitabba’’ntiādinā upadisiyamānāya samaṇasāruppāya ākappasampattiyā yo tattha upadisanākāro, so atthato upadeso evāti vuttaṃ – ‘‘evaṃ te…pe… upadese’’ti. Tathā evametaṃbhagavā, evametaṃ sugatāti ettha bhagavatā yathāvuttamatthaṃ aviparītato jānantehi kataṃ tattha saṃvijjamānaguṇānaṃ pakārehi haṃsanaṃ udaggatākaraṇaṃ sampahaṃsanaṃ, yo tattha sampahaṃsanākāroti yojetabbaṃ.

    เอวเมวํ ปนายนฺติ เอตฺถ ครหณากาโรติ โยเชตพฺพํ, โส จ ครหณากาโร ‘‘วสลี’’ติอาทิขุํสนสทฺทสนฺนิธานโต อิธ เอวํ-สเทฺทน ปกาสิโตติ วิญฺญายติฯ ยถา เจตฺถ, เอวํ อุปมาการาทโยปิ อุปมาทิวเสน วุตฺตานํ ปุปฺผราสิอาทิสทฺทานํ สนฺนิธานโตติ ทฎฺฐพฺพํฯ เอวํ, ภเนฺตติ โขติอาทีสุ ปน ธมฺมสฺส สาธุกํ สวนมนสิกาเรน นิโยชิเตหิ ภิกฺขูหิ อตฺตโน ตตฺถ ฐิตภาวสฺส ปฎิชานนวเสน วุตฺตตฺตา เอตฺถ เอวํ-สโทฺท วจนสมฺปฎิจฺฉนโตฺถ วุโตฺต, เตน ‘‘เอวํ, ภเนฺต, สาธุ ภเนฺต, สุฎฺฐุ ภเนฺต’’ติ วุตฺตํ โหติฯ เอวญฺจ วเทหีติ ‘‘ยถาหํ วทามิ, เอวํ สมณํ อานนฺทํ วเทหี’’ติ วทนากาโร อิทานิ วตฺตโพฺพ เอวํ-สเทฺทน นิทสฺสียตีติ นิทสฺสนโตฺถ วุโตฺตฯ เอวํ โนติ เอตฺถาปิ เตสํ ยถาวุตฺตธมฺมานํ อหิตทุกฺขาวหภาเว สนฺนิฎฺฐานชนนตฺถํ อนุมติคฺคหณวเสน ‘‘โน วา, กถํ โว เอตฺถ โหตี’’ติ ปุจฺฉาย กตาย ‘‘เอวํ โน เอตฺถ โหตี’’ติ วุตฺตตฺตา ตทาการสนฺนิฎฺฐานํ เอวํ-สเทฺทน วิภาวิตนฺติ วิญฺญายติฯ โส ปน เตสํ ธมฺมานํ อหิตาย ทุกฺขาย สํวตฺตนากาโร นิยมิยมาโน อวธารณโตฺถ โหตีติ อาห – ‘‘เอวํ โน เอตฺถ โหตีติอาทีสุ อวธารเณ’’ติฯ

    Evamevaṃ panāyanti ettha garahaṇākāroti yojetabbaṃ, so ca garahaṇākāro ‘‘vasalī’’tiādikhuṃsanasaddasannidhānato idha evaṃ-saddena pakāsitoti viññāyati. Yathā cettha, evaṃ upamākārādayopi upamādivasena vuttānaṃ puppharāsiādisaddānaṃ sannidhānatoti daṭṭhabbaṃ. Evaṃ, bhanteti khotiādīsu pana dhammassa sādhukaṃ savanamanasikārena niyojitehi bhikkhūhi attano tattha ṭhitabhāvassa paṭijānanavasena vuttattā ettha evaṃ-saddo vacanasampaṭicchanattho vutto, tena ‘‘evaṃ, bhante, sādhu bhante, suṭṭhu bhante’’ti vuttaṃ hoti. Evañca vadehīti ‘‘yathāhaṃ vadāmi, evaṃ samaṇaṃ ānandaṃ vadehī’’ti vadanākāro idāni vattabbo evaṃ-saddena nidassīyatīti nidassanattho vutto. Evaṃ noti etthāpi tesaṃ yathāvuttadhammānaṃ ahitadukkhāvahabhāve sanniṭṭhānajananatthaṃ anumatiggahaṇavasena ‘‘no vā, kathaṃ vo ettha hotī’’ti pucchāya katāya ‘‘evaṃ no ettha hotī’’ti vuttattā tadākārasanniṭṭhānaṃ evaṃ-saddena vibhāvitanti viññāyati. So pana tesaṃ dhammānaṃ ahitāya dukkhāya saṃvattanākāro niyamiyamāno avadhāraṇattho hotīti āha – ‘‘evaṃ no ettha hotītiādīsu avadhāraṇe’’ti.

    นานานยนิปุณนฺติ เอกตฺตนานตฺตอพฺยาปารเอวํธมฺมตาสงฺขาตา, นนฺทิยาวฎฺฎติปุกฺขลสีหวิกฺกีฬิตองฺกุสทิสาโลจนสงฺขาตา วา อาธาราทิเภทวเสน นานาวิธา นยา นานานยาฯ นยา วา ปาฬิคติโย, ตา จ ปญฺญตฺติอาทิวเสน สํกิเลสภาคิยาทิโลกิยาทิตทุภยโวมิสฺสกตาทิวเสน กุสลาทิวเสน ขนฺธาทิวเสน สงฺคหาทิวเสน สมยวิมุตฺตาทิวเสน ปธานาทิวเสน กุสลมูลาทิวเสน ติกปฎฺฐานาทิวเสน จ นานปฺปการาติ นานานยา, เตหิ นิปุณํ สณฺหํ สุขุมนฺติ นานานยนิปุณํฯ อาสโยว อชฺฌาสโย, เต จ สสฺสตาทิเภเทน ตตฺถ จ อปฺปรชกฺขตาทิเภเทน จ อเนเก, อตฺตชฺฌาสยาทโย เอว วา สมุฎฺฐานํ อุปฺปตฺติเหตุ เอตสฺสาติ อเนกชฺฌาสยสมุฎฺฐานํฯ อตฺถพฺยญฺชนสมฺปนฺนนฺติ อตฺถพฺยญฺชนปริปุณฺณํ อุปเนตพฺพาภาวโตฯ สงฺกาสนปกาสนวิวรณวิภชนอุตฺตานีกรณปญฺญตฺติวเสน ฉหิ อตฺถปเทหิ อกฺขรปทพฺยญฺชนาการนิรุตฺตินิเทฺทสวเสน ฉหิ พฺยญฺชนปเทหิ จ สมนฺนาคตนฺติ วา อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ

    Nānānayanipuṇanti ekattanānattaabyāpāraevaṃdhammatāsaṅkhātā, nandiyāvaṭṭatipukkhalasīhavikkīḷitaaṅkusadisālocanasaṅkhātā vā ādhārādibhedavasena nānāvidhā nayā nānānayā. Nayā vā pāḷigatiyo, tā ca paññattiādivasena saṃkilesabhāgiyādilokiyāditadubhayavomissakatādivasena kusalādivasena khandhādivasena saṅgahādivasena samayavimuttādivasena padhānādivasena kusalamūlādivasena tikapaṭṭhānādivasena ca nānappakārāti nānānayā, tehi nipuṇaṃ saṇhaṃ sukhumanti nānānayanipuṇaṃ. Āsayova ajjhāsayo, te ca sassatādibhedena tattha ca apparajakkhatādibhedena ca aneke, attajjhāsayādayo eva vā samuṭṭhānaṃ uppattihetu etassāti anekajjhāsayasamuṭṭhānaṃ. Atthabyañjanasampannanti atthabyañjanaparipuṇṇaṃ upanetabbābhāvato. Saṅkāsanapakāsanavivaraṇavibhajanauttānīkaraṇapaññattivasena chahi atthapadehi akkharapadabyañjanākāraniruttiniddesavasena chahi byañjanapadehi ca samannāgatanti vā attho daṭṭhabbo.

    วิวิธปาฎิหาริยนฺติ เอตฺถ ปาฎิหาริยปทสฺส วจนตฺถํ ‘‘ปฎิปกฺขหรณโต ราคาทิกิเลสาปนยนโต จ ปาฎิหาริย’’นฺติ วทนฺติฯ ภควโต ปน ปฎิปกฺขา ราคาทโย น สนฺติ , เย หริตพฺพาฯ ปุถุชฺชนานมฺปิ วิคตูปกฺกิเลเส อฎฺฐคุณสมนฺนาคเต จิเตฺต หตปฎิปเกฺข อิทฺธิวิธํ ปวตฺตติ, ตสฺมา ตตฺถ ปวตฺตโวหาเรน จ น สกฺกา อิธ ‘‘ปาฎิหาริย’’นฺติ วตฺถุํฯ สเจ ปน มหาการุณิกสฺส ภควโต เวเนยฺยคตา จ กิเลสา ปฎิปกฺขา, เตสํ หรณโต ‘‘ปาฎิหาริย’’นฺติ วุตฺตํ, เอวํ สติ ยุตฺตเมตํฯ อถ วา ภควโต จ สาสนสฺส จ ปฎิปกฺขา ติตฺถิยา, เตสํ หรณโต ปาฎิหาริยํฯ เต หิ ทิฎฺฐิหรณวเสน จ ทิฎฺฐิปฺปกาสเน อสมตฺถภาเวน จ อิทฺธิอาเทสนานุสาสนีหิ หริตา อปนีตา โหนฺตีติฯ ‘‘ปฎี’’ติ วา อยํ สโทฺท ‘‘ปจฺฉา’’ติ เอตสฺส อตฺถํ โพเธติ ‘‘ตสฺมิํ ปฎิปวิฎฺฐมฺหิ, อโญฺญ อาคญฺฉิ พฺราหฺมโณ’’ติอาทีสุ (สุ. นิ. ๙๘๕; จูฬนิ. ปารายนวโคฺค, วตฺถุคาถา ๔) วิย, ตสฺมา สมาหิเต จิเตฺต วิคตูปกฺกิเลเส กตกิเจฺจน ปจฺฉา หริตพฺพํ ปวเตฺตตพฺพนฺติ ปฎิหาริยํ, อตฺตโน วา อุปกฺกิเลเสสุ จตุตฺถชฺฌานมเคฺคหิ หริเตสุ ปจฺฉา หรณํ ปฎิหาริยํ, อิทฺธิอาเทสนานุสาสนิโย จ วิคตูปกฺกิเลเสน กตกิเจฺจน จ สตฺตหิตตฺถํ ปุน ปวเตฺตตพฺพา, หริเตสุ จ อตฺตโน อุปกฺกิเลเสสุ ปรสตฺตานํ อุปกฺกิเลสหรณานิ โหนฺตีติ ปฎิหาริยานิ ภวนฺติฯ ปฎิหาริยเมว ปาฎิหาริยํ, ปฎิหาริเย วา อิทฺธิอาเทสนานุสาสนิสมุทาเย ภวํ เอกเมกํ ปาฎิหาริยนฺติ วุจฺจติฯ ปฎิหาริยํ วา จตุตฺถชฺฌานํ มโคฺค จ ปฎิปกฺขหรณโต, ตตฺถ ชาตํ, ตสฺมิํ วา นิมิตฺตภูเต, ตโต วา อาคตนฺติ ปาฎิหาริยํฯ ตสฺส ปน อิทฺธิอาทิเภเทน วิสยเภเทน จ พหุวิธสฺส ภควโต เทสนายํ ลพฺภมานตฺตา อาห – ‘‘วิวิธปาฎิหาริย’’นฺติฯ

    Vividhapāṭihāriyanti ettha pāṭihāriyapadassa vacanatthaṃ ‘‘paṭipakkhaharaṇato rāgādikilesāpanayanato ca pāṭihāriya’’nti vadanti. Bhagavato pana paṭipakkhā rāgādayo na santi , ye haritabbā. Puthujjanānampi vigatūpakkilese aṭṭhaguṇasamannāgate citte hatapaṭipakkhe iddhividhaṃ pavattati, tasmā tattha pavattavohārena ca na sakkā idha ‘‘pāṭihāriya’’nti vatthuṃ. Sace pana mahākāruṇikassa bhagavato veneyyagatā ca kilesā paṭipakkhā, tesaṃ haraṇato ‘‘pāṭihāriya’’nti vuttaṃ, evaṃ sati yuttametaṃ. Atha vā bhagavato ca sāsanassa ca paṭipakkhā titthiyā, tesaṃ haraṇato pāṭihāriyaṃ. Te hi diṭṭhiharaṇavasena ca diṭṭhippakāsane asamatthabhāvena ca iddhiādesanānusāsanīhi haritā apanītā hontīti. ‘‘Paṭī’’ti vā ayaṃ saddo ‘‘pacchā’’ti etassa atthaṃ bodheti ‘‘tasmiṃ paṭipaviṭṭhamhi, añño āgañchi brāhmaṇo’’tiādīsu (su. ni. 985; cūḷani. pārāyanavaggo, vatthugāthā 4) viya, tasmā samāhite citte vigatūpakkilese katakiccena pacchā haritabbaṃ pavattetabbanti paṭihāriyaṃ, attano vā upakkilesesu catutthajjhānamaggehi haritesu pacchā haraṇaṃ paṭihāriyaṃ, iddhiādesanānusāsaniyo ca vigatūpakkilesena katakiccena ca sattahitatthaṃ puna pavattetabbā, haritesu ca attano upakkilesesu parasattānaṃ upakkilesaharaṇāni hontīti paṭihāriyāni bhavanti. Paṭihāriyameva pāṭihāriyaṃ, paṭihāriye vā iddhiādesanānusāsanisamudāye bhavaṃ ekamekaṃ pāṭihāriyanti vuccati. Paṭihāriyaṃ vā catutthajjhānaṃ maggo ca paṭipakkhaharaṇato, tattha jātaṃ, tasmiṃ vā nimittabhūte, tato vā āgatanti pāṭihāriyaṃ. Tassa pana iddhiādibhedena visayabhedena ca bahuvidhassa bhagavato desanāyaṃ labbhamānattā āha – ‘‘vividhapāṭihāriya’’nti.

    น อญฺญถาติ ภควโต สมฺมุขา สุตาการโต น อญฺญถาติ อโตฺถ, น ปน ภควโต เทสิตาการโตฯ อจิเนฺตยฺยานุภาวา หิ ภควโต เทสนาฯ เอวญฺจ กตฺวา ‘‘สพฺพปฺปกาเรน โก สมโตฺถ วิญฺญาตุ’’นฺติ อิทํ วจนํ สมตฺถิตํ ภวติ, ธารณพลทสฺสนญฺจ น วิรุชฺฌติ สุตาการาวิรุชฺฌนสฺส อธิเปฺปตตฺตาฯ น เหตฺถ อตฺถนฺตรตาปริหาโร ทฺวินฺนํ อตฺถานํ เอกวิสยตฺตา, อิตรถา เถโร ภควโต เทสนาย สพฺพถา ปฎิคฺคหเณ สมโตฺถ อสมโตฺถ จาติ อาปเชฺชยฺยาติฯ

    Na aññathāti bhagavato sammukhā sutākārato na aññathāti attho, na pana bhagavato desitākārato. Acinteyyānubhāvā hi bhagavato desanā. Evañca katvā ‘‘sabbappakārena ko samattho viññātu’’nti idaṃ vacanaṃ samatthitaṃ bhavati, dhāraṇabaladassanañca na virujjhati sutākārāvirujjhanassa adhippetattā. Na hettha atthantaratāparihāro dvinnaṃ atthānaṃ ekavisayattā, itarathā thero bhagavato desanāya sabbathā paṭiggahaṇe samattho asamattho cāti āpajjeyyāti.

    ‘‘โย ปโร น โหติ, โส อตฺตา’’ติ เอวํ วุตฺตาย นิยกชฺฌตฺตสงฺขาตาย สสนฺตติยํ วตฺตนโต ติวิโธปิ เม-สโทฺท กิญฺจาปิ เอกสฺมิํเยว อเตฺถ ทิสฺสติ, กรณสมฺปทานสามินิเทฺทสวเสน ปน วิชฺชมานเภทํ สนฺธายาห – ‘‘เม-สโทฺท ตีสุ อเตฺถสุ ทิสฺสตี’’ติฯ

    ‘‘Yo paro na hoti, so attā’’ti evaṃ vuttāya niyakajjhattasaṅkhātāya sasantatiyaṃ vattanato tividhopi me-saddo kiñcāpi ekasmiṃyeva atthe dissati, karaṇasampadānasāminiddesavasena pana vijjamānabhedaṃ sandhāyāha – ‘‘me-saddo tīsu atthesu dissatī’’ti.

    กิญฺจาปิ อุปสโคฺค กิริยํ วิเสเสติ, โชตกภาวโต ปน สติปิ ตสฺมิํ สุต-สโทฺท เอว ตํ ตมตฺถํ วทตีติ อนุปสคฺคสฺส สุต-สทฺทสฺส อตฺถุทฺธาเร สอุปสคฺคสฺส คหณํ น วิรุชฺฌตีติ ทเสฺสโนฺต ‘‘สอุปสโคฺค จ อนุปสโคฺค จา’’ติ อาหฯ อสฺสาติ สุตสทฺทสฺสฯ กมฺมภาวสาธนานิ อิธ สุตสเทฺท สมฺภวนฺตีติ วุตฺตํ – ‘‘อุปธาริตนฺติ วา อุปธารณนฺติ วา อโตฺถ’’ติฯ มยาติ อเตฺถ สตีติ ยทา เม-สทฺทสฺส กตฺตุวเสน กรณนิเทฺทโส, ตทาติ อโตฺถฯ มมาติ อเตฺถ สตีติ ยทา สมฺพนฺธวเสน สามินิเทฺทโส, ตทาฯ

    Kiñcāpi upasaggo kiriyaṃ viseseti, jotakabhāvato pana satipi tasmiṃ suta-saddo eva taṃ tamatthaṃ vadatīti anupasaggassa suta-saddassa atthuddhāre saupasaggassa gahaṇaṃ na virujjhatīti dassento ‘‘saupasaggo ca anupasaggo cā’’ti āha. Assāti sutasaddassa. Kammabhāvasādhanāni idha sutasadde sambhavantīti vuttaṃ – ‘‘upadhāritanti vā upadhāraṇanti vā attho’’ti. Mayāti atthe satīti yadā me-saddassa kattuvasena karaṇaniddeso, tadāti attho. Mamāti atthe satīti yadā sambandhavasena sāminiddeso, tadā.

    สุตสทฺทสนฺนิฎฺฐาเน ปยุเตฺตน เอวํ-สเทฺทน สวนกิริยาโชตเกน ภวิตพฺพนฺติ วุตฺตํ – ‘‘เอวนฺติ โสตวิญฺญาณาทิวิญฺญาณกิจฺจนิทสฺสน’’นฺติฯ อาทิ-สเทฺทน สมฺปฎิจฺฉนาทีนํ โสตทฺวาริกวิญฺญาณานํ ตทภินีหฎานญฺจ มโนทฺวาริกวิญฺญาณานํ คหณํ เวทิตพฺพํฯ สเพฺพสมฺปิ วากฺยานํ เอวการตฺถสหิตตฺตา ‘‘สุต’’นฺติ เอตสฺส สุตเมวาติ อยมโตฺถ ลพฺภตีติ อาห – ‘‘อสฺสวนภาวปฺปฎิเกฺขปโต’’ติฯ เอเตน อวธารเณน นิยามตํ ทเสฺสติฯ ยถา จ สุตํ สุตเมวาติ นิยาเมตพฺพํ, ตํ สมฺมา สุตํ โหตีติ อาห – ‘‘อนูนาธิกาวิปรีตคฺคหณนิทสฺสน’’นฺติฯ อถ วา สทฺทนฺตรตฺถาโปหนวเสน สโทฺท อตฺถํ วทตีติ สุตนฺติ อสฺสุตํ น โหตีติ อยเมตสฺส อโตฺถติ วุตฺตํ – ‘‘อสฺสวนภาวปฺปฎิเกฺขปโต’’ติฯ อิมินา ทิฎฺฐาทิวินิวตฺตนํ กโรติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – น อิทํ มยา ทิฎฺฐํ, น สยมฺภุญาเณน สจฺฉิกตํ, อถ โข สุตํ, ตญฺจ สมฺมเทวาติฯ เตเนวาห – ‘‘อนูนาธิกาวิปรีตคฺคหณนิทสฺสน’’นฺติฯ อวธารณเตฺถ วา เอวํ-สเทฺท อยมตฺถโยชนา – ‘‘กรียตี’’ติ ตทเปกฺขสฺส สุต-สทฺทสฺส อยมโตฺถ วุโตฺต ‘‘อสฺสวนภาวปฺปฎิเกฺขปโต’’ติฯ เตเนวาห – ‘‘อนูนาธิกาวิปรีตคฺคหณนิทสฺสน’’นฺติฯ สวน-สโทฺท เจตฺถ กมฺมโตฺถ เวทิตโพฺพ ‘‘สุยฺยตี’’ติฯ

    Sutasaddasanniṭṭhāne payuttena evaṃ-saddena savanakiriyājotakena bhavitabbanti vuttaṃ – ‘‘evanti sotaviññāṇādiviññāṇakiccanidassana’’nti. Ādi-saddena sampaṭicchanādīnaṃ sotadvārikaviññāṇānaṃ tadabhinīhaṭānañca manodvārikaviññāṇānaṃ gahaṇaṃ veditabbaṃ. Sabbesampi vākyānaṃ evakāratthasahitattā ‘‘suta’’nti etassa sutamevāti ayamattho labbhatīti āha – ‘‘assavanabhāvappaṭikkhepato’’ti. Etena avadhāraṇena niyāmataṃ dasseti. Yathā ca sutaṃ sutamevāti niyāmetabbaṃ, taṃ sammā sutaṃ hotīti āha – ‘‘anūnādhikāviparītaggahaṇanidassana’’nti. Atha vā saddantaratthāpohanavasena saddo atthaṃ vadatīti sutanti assutaṃ na hotīti ayametassa atthoti vuttaṃ – ‘‘assavanabhāvappaṭikkhepato’’ti. Iminā diṭṭhādivinivattanaṃ karoti. Idaṃ vuttaṃ hoti – na idaṃ mayā diṭṭhaṃ, na sayambhuñāṇena sacchikataṃ, atha kho sutaṃ, tañca sammadevāti. Tenevāha – ‘‘anūnādhikāviparītaggahaṇanidassana’’nti. Avadhāraṇatthe vā evaṃ-sadde ayamatthayojanā – ‘‘karīyatī’’ti tadapekkhassa suta-saddassa ayamattho vutto ‘‘assavanabhāvappaṭikkhepato’’ti. Tenevāha – ‘‘anūnādhikāviparītaggahaṇanidassana’’nti. Savana-saddo cettha kammattho veditabbo ‘‘suyyatī’’ti.

    เอวํ สวนเหตุสวนวิเสสวเสน ปทตฺตยสฺส เอเกน ปกาเรน อตฺถโยชนํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ปการนฺตเรหิ ตํ ทเสฺสตุํ – ‘‘ตถา เอว’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ตสฺสาติ ยา สา ภควโต สมฺมุขา ธมฺมสฺสวนากาเรน ปวตฺตา มโนทฺวารวิญฺญาณวีถิ, ตสฺสาฯ สา หิ นานปฺปกาเรน อารมฺมเณ ปวตฺติตุํ สมตฺถาฯ ตถา จ วุตฺตํ – ‘‘โสตทฺวารานุสาเรนา’’ติฯ นานปฺปกาเรนาติ วกฺขมานานํ อเนกวิหิตานํ พฺยญฺชนตฺถคฺคหณานํ นานากาเรนฯ เอเตน อิมิสฺสา โยชนาย อาการโตฺถ เอวํ-สโทฺท คหิโตติ ทีเปติฯ ปวตฺติภาวปฺปกาสนนฺติ ปวตฺติยา อตฺถิภาวปฺปกาสนํฯ สุตนฺติ ธมฺมปฺปกาสนนฺติ ยสฺมิํ อารมฺมเณ วุตฺตปฺปการา วิญฺญาณวีถิ นานปฺปกาเรน ปวตฺตา, ตสฺส ธมฺมตฺตา วุตฺตํ, น สุตสทฺทสฺส ธมฺมตฺถตฺตาฯ วุตฺตเสฺสวตฺถสฺส ปากฎีกรณํ ‘‘อยเญฺหตฺถา’’ติอาทิฯ ตตฺถ วิญฺญาณวีถิยาติ กรณเตฺถ กรณวจนํ, มยาติ กตฺตุอเตฺถฯ

    Evaṃ savanahetusavanavisesavasena padattayassa ekena pakārena atthayojanaṃ dassetvā idāni pakārantarehi taṃ dassetuṃ – ‘‘tathā eva’’ntiādi vuttaṃ. Tattha tassāti yā sā bhagavato sammukhā dhammassavanākārena pavattā manodvāraviññāṇavīthi, tassā. Sā hi nānappakārena ārammaṇe pavattituṃ samatthā. Tathā ca vuttaṃ – ‘‘sotadvārānusārenā’’ti. Nānappakārenāti vakkhamānānaṃ anekavihitānaṃ byañjanatthaggahaṇānaṃ nānākārena. Etena imissā yojanāya ākārattho evaṃ-saddo gahitoti dīpeti. Pavattibhāvappakāsananti pavattiyā atthibhāvappakāsanaṃ. Sutanti dhammappakāsananti yasmiṃ ārammaṇe vuttappakārā viññāṇavīthi nānappakārena pavattā, tassa dhammattā vuttaṃ, na sutasaddassa dhammatthattā. Vuttassevatthassa pākaṭīkaraṇaṃ ‘‘ayañhetthā’’tiādi. Tattha viññāṇavīthiyāti karaṇatthe karaṇavacanaṃ, mayāti kattuatthe.

    เอวนฺติ นิทฺทิสิตพฺพปฺปกาสนนฺติ นิทสฺสนตฺถํ เอวํ-สทฺทํ คเหตฺวา วุตฺตํ นิทเสฺสตพฺพสฺส นิทสฺสิตพฺพตฺตาภาวาภาวโต ฯ เตน เอวํ-สเทฺทน สกลมฺปิ สุตฺตํ ปจฺจามฎฺฐนฺติ ทเสฺสติฯ สุตสทฺทสฺส กิริยาสทฺทตฺตา สวนกิริยาย จ สาธารณวิญฺญาณปฺปพนฺธปฺปฎิพทฺธตฺตา ตตฺถ จ ปุคฺคลโวหาโรติ วุตฺตํ – ‘‘สุตนฺติ ปุคฺคลกิจฺจปฺปกาสน’’นฺติฯ น หิ ปุคฺคลโวหารรหิเต ธมฺมปฺปพเนฺธ สวนกิริยา ลพฺภตีติฯ

    Evanti niddisitabbappakāsananti nidassanatthaṃ evaṃ-saddaṃ gahetvā vuttaṃ nidassetabbassa nidassitabbattābhāvābhāvato . Tena evaṃ-saddena sakalampi suttaṃ paccāmaṭṭhanti dasseti. Sutasaddassa kiriyāsaddattā savanakiriyāya ca sādhāraṇaviññāṇappabandhappaṭibaddhattā tattha ca puggalavohāroti vuttaṃ – ‘‘sutanti puggalakiccappakāsana’’nti. Na hi puggalavohārarahite dhammappabandhe savanakiriyā labbhatīti.

    ยสฺส จิตฺตสนฺตานสฺสาติอาทิปิ อาการตฺถเมว เอวํ-สทฺทํ คเหตฺวา ปุริมโยชนาย อญฺญถา อตฺถโยชนํ ทเสฺสตุํ วุตฺตํฯ ตตฺถ อาการปญฺญตฺตีติ อุปาทาปญฺญตฺติ เอว ธมฺมานํ ปวตฺติอาการุปาทานวเสน ตถา วุตฺตาฯ สุตนฺติ วิสยนิเทฺทโสติ โสตพฺพภูโต ธโมฺม สวนกิริยากตฺตุปุคฺคลสฺส สวนกิริยาวเสน ปวตฺติฎฺฐานนฺติ กตฺวา วุตฺตํฯ จิตฺตสนฺตานวินิมุตฺตสฺส ปรมตฺถโต กสฺสจิ กตฺตุอภาเวปิ สทฺทโวหาเรน พุทฺธิปริกปฺปิตเภทวจนิจฺฉาย จิตฺตสนฺตานโต อญฺญํ วิย ตํสมงฺคิํ กตฺวา วุตฺตํ – ‘‘จิตฺตสนฺตาเนน ตํสมงฺคีโน’’ติฯ สวนกิริยาวิสโยปิ โสตพฺพธโมฺม สวนกิริยาวเสน ปวตฺตจิตฺตสนฺตานสฺส อิธ ปรมตฺถโต กตฺตุภาวโต, สวนวเสน จิตฺตปวตฺติยา เอว วา สวนกิริยาภาวโต ตํกิริยากตฺตุ จ วิสโย โหตีติ กตฺวา วุตฺตํ – ‘‘ตํสมงฺคีโน กตฺตุวิสเย’’ติฯ สุตาการสฺส จ เถรสฺส สมฺมานิจฺฉิตภาวโต อาห – ‘‘คหณสนฺนิฎฺฐาน’’นฺติฯ เอเตน วา อวธารณตฺถํ เอวํ-สทฺทํ คเหตฺวา อยมตฺถโยชนา กตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Yassa cittasantānassātiādipi ākāratthameva evaṃ-saddaṃ gahetvā purimayojanāya aññathā atthayojanaṃ dassetuṃ vuttaṃ. Tattha ākārapaññattīti upādāpaññatti eva dhammānaṃ pavattiākārupādānavasena tathā vuttā. Sutanti visayaniddesoti sotabbabhūto dhammo savanakiriyākattupuggalassa savanakiriyāvasena pavattiṭṭhānanti katvā vuttaṃ. Cittasantānavinimuttassa paramatthato kassaci kattuabhāvepi saddavohārena buddhiparikappitabhedavacanicchāya cittasantānato aññaṃ viya taṃsamaṅgiṃ katvā vuttaṃ – ‘‘cittasantānena taṃsamaṅgīno’’ti. Savanakiriyāvisayopi sotabbadhammo savanakiriyāvasena pavattacittasantānassa idha paramatthato kattubhāvato, savanavasena cittapavattiyā eva vā savanakiriyābhāvato taṃkiriyākattu ca visayo hotīti katvā vuttaṃ – ‘‘taṃsamaṅgīno kattuvisaye’’ti. Sutākārassa ca therassa sammānicchitabhāvato āha – ‘‘gahaṇasanniṭṭhāna’’nti. Etena vā avadhāraṇatthaṃ evaṃ-saddaṃ gahetvā ayamatthayojanā katāti daṭṭhabbaṃ.

    ปุเพฺพ สุตานํ นานาวิหิตานํ สุตฺตสงฺขาตานํ อตฺถพฺยญฺชนานํ อุปธาริตรูปสฺส อาการสฺส นิทสฺสนสฺส, อวธารณสฺส วา ปกาสนสภาโว เอวํ-สโทฺทติ ตทาการาทิอุปธารณสฺส ปุคฺคลปญฺญตฺติยา อุปาทานภูตธมฺมปฺปพนฺธพฺยาปารตาย วุตฺตํ – ‘‘เอวนฺติ ปุคฺคลกิจฺจนิเทฺทโส’’ติฯ สวนกิริยา ปน ปุคฺคลวาทิโนปิ วิญฺญาณนิรเปกฺขา นตฺถีติ วิเสสโต วิญฺญาณพฺยาปาโรติ อาห – ‘‘สุตนฺติ วิญฺญาณกิจฺจนิเทฺทโส’’ติฯ เมติ สทฺทปฺปวตฺติยา เอกเนฺตเนว สตฺตวิสยตฺตา วิญฺญาณกิจฺจสฺส จ ตเตฺถว สโมทหิตพฺพโต ‘‘เมติ อุภยกิจฺจยุตฺตปุคฺคลนิเทฺทโส’’ติ วุตฺตํฯ อวิชฺชมานปญฺญตฺติวิชฺชมานปญฺญตฺติสภาวา ยถากฺกมํ เอวํสทฺทสุตสทฺทานํ อตฺถาติ เต ตถารูปปญฺญตฺติอุปาทานพฺยาปารภาเวน ทเสฺสโนฺต อาห – ‘‘เอวนฺติ ปุคฺคลกิจฺจนิเทฺทโส, สุตนฺติ วิญฺญาณกิจฺจนิเทฺทโส’’ติฯ เอตฺถ จ กรณกิริยากตฺตุกมฺมวิเสสปฺปกาสนวเสน ปุคฺคลพฺยาปารวิสยปุคฺคลพฺยาปารนิทสฺสนวเสน คหณาการคฺคาหกตพฺพิสยวิเสสนิเทฺทสวเสน กตฺตุกรณพฺยาปารกตฺตุนิเทฺทสวเสน จ ทุติยาทโย จตโสฺส อตฺถโยชนา ทสฺสิตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Pubbe sutānaṃ nānāvihitānaṃ suttasaṅkhātānaṃ atthabyañjanānaṃ upadhāritarūpassa ākārassa nidassanassa, avadhāraṇassa vā pakāsanasabhāvo evaṃ-saddoti tadākārādiupadhāraṇassa puggalapaññattiyā upādānabhūtadhammappabandhabyāpāratāya vuttaṃ – ‘‘evanti puggalakiccaniddeso’’ti. Savanakiriyā pana puggalavādinopi viññāṇanirapekkhā natthīti visesato viññāṇabyāpāroti āha – ‘‘sutanti viññāṇakiccaniddeso’’ti. Meti saddappavattiyā ekanteneva sattavisayattā viññāṇakiccassa ca tattheva samodahitabbato ‘‘meti ubhayakiccayuttapuggalaniddeso’’ti vuttaṃ. Avijjamānapaññattivijjamānapaññattisabhāvā yathākkamaṃ evaṃsaddasutasaddānaṃ atthāti te tathārūpapaññattiupādānabyāpārabhāvena dassento āha – ‘‘evanti puggalakiccaniddeso, sutanti viññāṇakiccaniddeso’’ti. Ettha ca karaṇakiriyākattukammavisesappakāsanavasena puggalabyāpāravisayapuggalabyāpāranidassanavasena gahaṇākāraggāhakatabbisayavisesaniddesavasena kattukaraṇabyāpārakattuniddesavasena ca dutiyādayo catasso atthayojanā dassitāti daṭṭhabbaṃ.

    สพฺพสฺสปิ สทฺทาธิคมนียสฺส อตฺถสฺส ปญฺญตฺติมุเขเนว ปฎิปชฺชิตพฺพตฺตา สพฺพปญฺญตฺตีนญฺจ วิชฺชมานาทิวเสน ฉสุ ปญฺญตฺติเภเทสุ อโนฺตคธตฺตา เตสุ ‘‘เอว’’นฺติอาทีนํ ปญฺญตฺตีนํ สรูปํ นิทฺธาเรโนฺต อาห – ‘‘เอวนฺติ จ เมติ จา’’ติอาทิฯ ตตฺถ เอวนฺติ จ เมติ จ วุจฺจมานสฺสตฺถสฺส อาการาทิโน ธมฺมานํ อสลฺลกฺขณภาวโต อวิชฺชมานปญฺญตฺติภาโวติ อาห – ‘‘สจฺจิกฎฺฐปรมตฺถวเสน อวิชฺชมานปญฺญตฺตี’’ติฯ ตตฺถ สจฺจิกฎฺฐปรมตฺถวเสนาติ ภูตตฺถอุตฺตมตฺถวเสนฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – โย มายามรีจิอาทโย วิย อภูตโตฺถ, อนุสฺสวาทีหิ คเหตโพฺพ วิย อนุตฺตมโตฺถ จ น โหติ, โส รูปสทฺทาทิสภาโว, รุปฺปนานุภวนาทิสภาโว วา อโตฺถ สจฺจิกโฎฺฐ ปรมโตฺถ จาติ วุจฺจติ, น ตถา ‘‘เอวํ เม’’ติปทานํ อโตฺถติฯ เอตเมวตฺถํ ปากฎตรํ กาตุํ ‘‘กิเญฺหตฺถ ต’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ สุตนฺติ ปน สทฺทายตนํ สนฺธายาห – ‘‘วิชฺชมานปญฺญตฺตี’’ติฯ เตเนว หิ ‘‘ยญฺหิ ตํ เอตฺถ โสเตน อุปลทฺธ’’นฺติ วุตฺตํฯ ‘‘โสตทฺวารานุสาเรน อุปลทฺธ’’นฺติ ปน วุเตฺต อตฺถพฺยญฺชนาทิ สพฺพํ ลพฺภติฯ ตํ ตํ อุปาทาย วตฺตพฺพโตติ โสตปถมาคเต ธเมฺม อุปาทาย เตสํ อุปธาริตาการาทิโน ปจฺจามสนวเสน เอวนฺติ, สสนฺตติปริยาปเนฺน ขเนฺธ อุปาทาย เมติ วตฺตพฺพตฺตาติ อโตฺถฯ ทิฎฺฐาทิสภาวรหิเต สทฺทายตเน ปวตฺตมาโนปิ สุตโวหาโร ‘‘ทุติยํ ตติย’’นฺติอาทิโก วิย ปฐมาทีนิ ทิฎฺฐมุตวิญฺญาเต อเปกฺขิตฺวา ปวโตฺตติ อาห – ‘‘ทิฎฺฐาทีนิ อุปนิธาย วตฺตพฺพโต’’ติฯ อสฺสุตํ น โหตีติ หิ สุตนฺติ ปกาสิโต อยมโตฺถติฯ

    Sabbassapi saddādhigamanīyassa atthassa paññattimukheneva paṭipajjitabbattā sabbapaññattīnañca vijjamānādivasena chasu paññattibhedesu antogadhattā tesu ‘‘eva’’ntiādīnaṃ paññattīnaṃ sarūpaṃ niddhārento āha – ‘‘evanti ca meti cā’’tiādi. Tattha evanti ca meti ca vuccamānassatthassa ākārādino dhammānaṃ asallakkhaṇabhāvato avijjamānapaññattibhāvoti āha – ‘‘saccikaṭṭhaparamatthavasena avijjamānapaññattī’’ti. Tattha saccikaṭṭhaparamatthavasenāti bhūtatthauttamatthavasena. Idaṃ vuttaṃ hoti – yo māyāmarīciādayo viya abhūtattho, anussavādīhi gahetabbo viya anuttamattho ca na hoti, so rūpasaddādisabhāvo, ruppanānubhavanādisabhāvo vā attho saccikaṭṭho paramattho cāti vuccati, na tathā ‘‘evaṃ me’’tipadānaṃ atthoti. Etamevatthaṃ pākaṭataraṃ kātuṃ ‘‘kiñhettha ta’’ntiādi vuttaṃ. Sutanti pana saddāyatanaṃ sandhāyāha – ‘‘vijjamānapaññattī’’ti. Teneva hi ‘‘yañhi taṃ ettha sotena upaladdha’’nti vuttaṃ. ‘‘Sotadvārānusārena upaladdha’’nti pana vutte atthabyañjanādi sabbaṃ labbhati. Taṃ taṃ upādāya vattabbatoti sotapathamāgate dhamme upādāya tesaṃ upadhāritākārādino paccāmasanavasena evanti, sasantatipariyāpanne khandhe upādāya meti vattabbattāti attho. Diṭṭhādisabhāvarahite saddāyatane pavattamānopi sutavohāro ‘‘dutiyaṃ tatiya’’ntiādiko viya paṭhamādīni diṭṭhamutaviññāte apekkhitvā pavattoti āha – ‘‘diṭṭhādīni upanidhāya vattabbato’’ti. Assutaṃ na hotīti hi sutanti pakāsito ayamatthoti.

    อตฺตนา ปฎิวิทฺธา สุตฺตสฺส ปการวิเสสา เอวนฺติ เถเรน ปจฺจามฎฺฐาติ อาห – ‘‘อสโมฺมหํ ทีเปตี’’ติฯ นานปฺปการปฺปฎิเวธสมโตฺถ โหตีติ เอเตน วกฺขมานสฺส สุตฺตสฺส นานปฺปการตํ ทุปฺปฎิวิชฺฌตญฺจ ทเสฺสติฯ สุตสฺส อสโมฺมสํ ทีเปตีติ สุตาการสฺส ยาถาวโต ทสฺสิยมานตฺตา วุตฺตํฯ อสโมฺมเหนาติ สโมฺมหาภาเวน, ปญฺญาย เอว วา สวนกาลสมฺภูตาย ตทุตฺตริกาลปญฺญาสิทฺธิฯ เอวํ อสโมฺมเสนาติ เอตฺถาปิ วตฺตพฺพํฯ พฺยญฺชนานํ ปฎิวิชฺฌิตโพฺพ อากาโร นาติคมฺภีโร, ยถาสุตธารณเมว ตตฺถ กรณียนฺติ สติยา พฺยาปาโร อธิโก, ปญฺญา ตตฺถ คุณีภูตาติ วุตฺตํ – ‘‘ปญฺญาปุพฺพงฺคมายา’’ติอาทิ ‘‘ปญฺญาย ปุพฺพงฺคมา’’ติ กตฺวาฯ ปุพฺพงฺคมตา เจตฺถ ปธานภาโว ‘‘มโนปุพฺพงฺคมา’’ติอาทีสุ (ธ. ป. ๑, ๒) วิย, ปุพฺพงฺคมตาย วา จกฺขุวิญฺญาณาทีสุ อาวชฺชนาทีนํ วิย อปฺปธานเตฺต ปญฺญา ปุพฺพงฺคมา เอติสฺสาติ อยมฺปิ อโตฺถ ยุชฺชติ, เอวํ สติปุพฺพงฺคมายาติ เอตฺถาปิ วุตฺตนยานุสาเรน ยถาสมฺภวมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อตฺถพฺยญฺชนสมฺปนฺนสฺสาติ อตฺถพฺยญฺชนปริปุณฺณสฺส, สงฺกาสนปฺปกาสนวิวรณวิภชนอุตฺตานีกรณปญฺญตฺติวเสน ฉหิ อตฺถปเทหิ อกฺขรปทพฺยญฺชนาการนิรุตฺตินิเทฺทสวเสน ฉหิ พฺยญฺชนปเทหิ จ สมนฺนาคตสฺสาติ วา อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ

    Attanā paṭividdhā suttassa pakāravisesā evanti therena paccāmaṭṭhāti āha – ‘‘asammohaṃ dīpetī’’ti. Nānappakārappaṭivedhasamattho hotīti etena vakkhamānassa suttassa nānappakārataṃ duppaṭivijjhatañca dasseti. Sutassa asammosaṃ dīpetīti sutākārassa yāthāvato dassiyamānattā vuttaṃ. Asammohenāti sammohābhāvena, paññāya eva vā savanakālasambhūtāya taduttarikālapaññāsiddhi. Evaṃ asammosenāti etthāpi vattabbaṃ. Byañjanānaṃ paṭivijjhitabbo ākāro nātigambhīro, yathāsutadhāraṇameva tattha karaṇīyanti satiyā byāpāro adhiko, paññā tattha guṇībhūtāti vuttaṃ – ‘‘paññāpubbaṅgamāyā’’tiādi ‘‘paññāya pubbaṅgamā’’ti katvā. Pubbaṅgamatā cettha padhānabhāvo ‘‘manopubbaṅgamā’’tiādīsu (dha. pa. 1, 2) viya, pubbaṅgamatāya vā cakkhuviññāṇādīsu āvajjanādīnaṃ viya appadhānatte paññā pubbaṅgamā etissāti ayampi attho yujjati, evaṃ satipubbaṅgamāyāti etthāpi vuttanayānusārena yathāsambhavamattho veditabbo. Atthabyañjanasampannassāti atthabyañjanaparipuṇṇassa, saṅkāsanappakāsanavivaraṇavibhajanauttānīkaraṇapaññattivasena chahi atthapadehi akkharapadabyañjanākāraniruttiniddesavasena chahi byañjanapadehi ca samannāgatassāti vā attho daṭṭhabbo.

    โยนิโสมนสิการํ ทีเปติ เอวํ-สเทฺทน วุจฺจมานานํ อาการนิทสฺสนาวธารณตฺถานํ อวิปรีตสทฺธมฺมวิสยตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ อวิเกฺขปํ ทีเปตีติ ‘‘จิตฺตปริยาทานํ กตฺถ ภาสิต’’นฺติอาทิปุจฺฉาวเส ปกรณปฺปตฺตสฺส วกฺขมานสฺส สุตฺตสฺส สวนํ สมาธานมนฺตเรน น สมฺภวตีติ กตฺวา วุตฺตํฯ วิกฺขิตฺตจิตฺตสฺสาติอาทิ ตเสฺสวตฺถสฺส สมตฺถนวเสน วุตฺตํฯ สพฺพสมฺปตฺติยาติ อตฺถพฺยญฺชนเทสกปฺปโยชนาทิสมฺปตฺติยาฯ อวิปรีตสทฺธมฺมวิสเยหิ วิย อาการนิทสฺสนาวธารณเตฺถหิ โยนิโสมนสิการสฺส, สทฺธมฺมสฺสวเนน วิย จ อวิเกฺขปสฺส ยถา โยนิโสมนสิกาเรน ผลภูเตน อตฺตสมฺมาปณิธิปุเพฺพกตปุญฺญตานํ สิทฺธิ วุตฺตา ตทวินาภาวโตฯ เอวํ อวิเกฺขเปน ผลภูเตน การณภูตานํ สทฺธมฺมสฺสวนสปฺปุริสูปนิสฺสยานํ สิทฺธิ ทเสฺสตพฺพา สิยา อสฺสุตวโต สปฺปุริสูปนิสฺสยรหิตสฺส จ ตทภาวโตฯ น หิ วิกฺขิตฺตจิโตฺตติอาทินา สมตฺถนวจเนน ปน อวิเกฺขเปน การณภูเตน สปฺปุริสูปนิสฺสเยน จ ผลภูตสฺส สทฺธมฺมสฺสวนสฺส สิทฺธิ ทสฺสิตาฯ อยํ ปเนตฺถ อธิปฺปาโย ยุโตฺต สิยา, สทฺธมฺมสฺสวนสปฺปุริสูปนิสฺสยา น เอกเนฺตน อวิเกฺขปสฺส การณํ พาหิรงฺคตฺตา, อวิเกฺขโป ปน สปฺปุริสูปนิสฺสโย วิย สทฺธมฺมสฺสวนสฺส เอกนฺตการณนฺติฯ เอวมฺปิ อวิเกฺขเปน สปฺปุริสูปนิสฺสยสิทฺธิโชตนา น สมตฺถิตาวฯ โน น สมตฺถิตา วิกฺขิตฺตจิตฺตานํ สปฺปุริสปยิรุปาสนาภาวสฺส อตฺถสิทฺธตฺตาฯ เอตฺถ จ ปุริมํ ผเลน การณสฺส สิทฺธิทสฺสนํ นทีปูเรน วิย อุปริ วุฎฺฐิสพฺภาวสฺส, ทุติยํ การเณน ผลสฺส สิทฺธิทสฺสนํ ทฎฺฐพฺพํ เอกนฺตวสฺสินา วิย เมฆวุฎฺฐาเนน วุฎฺฐิปฺปวตฺติยาฯ

    Yonisomanasikāraṃdīpeti evaṃ-saddena vuccamānānaṃ ākāranidassanāvadhāraṇatthānaṃ aviparītasaddhammavisayattāti adhippāyo. Avikkhepaṃ dīpetīti ‘‘cittapariyādānaṃ kattha bhāsita’’ntiādipucchāvase pakaraṇappattassa vakkhamānassa suttassa savanaṃ samādhānamantarena na sambhavatīti katvā vuttaṃ. Vikkhittacittassātiādi tassevatthassa samatthanavasena vuttaṃ. Sabbasampattiyāti atthabyañjanadesakappayojanādisampattiyā. Aviparītasaddhammavisayehi viya ākāranidassanāvadhāraṇatthehi yonisomanasikārassa, saddhammassavanena viya ca avikkhepassa yathā yonisomanasikārena phalabhūtena attasammāpaṇidhipubbekatapuññatānaṃ siddhi vuttā tadavinābhāvato. Evaṃ avikkhepena phalabhūtena kāraṇabhūtānaṃ saddhammassavanasappurisūpanissayānaṃ siddhi dassetabbā siyā assutavato sappurisūpanissayarahitassa ca tadabhāvato. Na hi vikkhittacittotiādinā samatthanavacanena pana avikkhepena kāraṇabhūtena sappurisūpanissayena ca phalabhūtassa saddhammassavanassa siddhi dassitā. Ayaṃ panettha adhippāyo yutto siyā, saddhammassavanasappurisūpanissayā na ekantena avikkhepassa kāraṇaṃ bāhiraṅgattā, avikkhepo pana sappurisūpanissayo viya saddhammassavanassa ekantakāraṇanti. Evampi avikkhepena sappurisūpanissayasiddhijotanā na samatthitāva. No na samatthitā vikkhittacittānaṃ sappurisapayirupāsanābhāvassa atthasiddhattā. Ettha ca purimaṃ phalena kāraṇassa siddhidassanaṃ nadīpūrena viya upari vuṭṭhisabbhāvassa, dutiyaṃ kāraṇena phalassa siddhidassanaṃ daṭṭhabbaṃ ekantavassinā viya meghavuṭṭhānena vuṭṭhippavattiyā.

    ภควโต วจนสฺส อตฺถพฺยญฺชนปฺปเภทปริเจฺฉทวเสน สกลสาสนสมฺปตฺติโอคาหนากาโร นิรวเสสปรหิตปาริปูริตาการณนฺติ วุตฺตํ – ‘‘เอวํ ภทฺทโก อากาโร’’ติฯ ยสฺมา น โหตีติ สมฺพโนฺธฯ ปจฺฉิมจกฺกทฺวยสมฺปตฺตินฺติ อตฺตสมฺมาปณิธิปุเพฺพกตปุญฺญตาสงฺขาตคุณทฺวยํฯ อปราปรํ วุตฺติยา เจตฺถ จกฺกภาโว, จรนฺติ เอเตหิ สตฺตา สมฺปตฺติภเวสูติ วาฯ เย สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘จตฺตาริมานิ, ภิกฺขเว, จกฺกานิ, เยหิ สมนฺนาคตานํ เทวมนุสฺสานํ จตุจกฺกํ วตฺตตี’’ติอาทิ (อ. นิ. ๔.๓๑)ฯ ปุริมปจฺฉิมภาโว เจตฺถ เทสนากฺกมวเสน ทฎฺฐโพฺพฯ ปจฺฉิมจกฺกทฺวยสิทฺธิยาติ ปจฺฉิมจกฺกทฺวยสฺส อตฺถิตายฯ สมฺมาปณิหิตโตฺต ปุเพฺพ จ กตปุโญฺญ สุทฺธาสโย โหติ ตทสิทฺธิเหตูนํ กิเลสานํ ทูรีภาวโตติ อาห – ‘‘อาสยสุทฺธิ สิทฺธา โหตี’’ติฯ ตถา หิ วุตฺตํ – ‘‘สมฺมาปณิหิตํ จิตฺตํ, เสยฺยโส นํ ตโต กเร’’ติ (ธ. ป. ๔๓), ‘‘กตปุโญฺญสิ ตฺวํ, อานนฺท, ปธานมนุยุญฺช, ขิปฺปํ โหหิสิ อนาสโว’’ติ (ที. นิ. ๒.๒๐๗) จฯ เตเนวาห – ‘‘อาสยสุทฺธิยา อธิคมพฺยตฺติสิทฺธี’’ติฯ ปโยคสุทฺธิยาติ โยนิโสมนสิการปุพฺพงฺคมสฺส ธมฺมสฺสวนปฺปโยคสฺส วิสทภาเวนฯ ตถา จาห – ‘‘อาคมพฺยตฺติสิทฺธี’’ติ , สพฺพสฺส วา กายวจีปโยคสฺส นิโทฺทสภาเวนฯ ปริสุทฺธกายวจีปโยโค หิ วิปฺปฎิสาราภาวโต อวิกฺขิตฺตจิโตฺต ปริยตฺติยํ วิสารโท โหตีติฯ

    Bhagavato vacanassa atthabyañjanappabhedaparicchedavasena sakalasāsanasampattiogāhanākāro niravasesaparahitapāripūritākāraṇanti vuttaṃ – ‘‘evaṃ bhaddako ākāro’’ti. Yasmā na hotīti sambandho. Pacchimacakkadvayasampattinti attasammāpaṇidhipubbekatapuññatāsaṅkhātaguṇadvayaṃ. Aparāparaṃ vuttiyā cettha cakkabhāvo, caranti etehi sattā sampattibhavesūti vā. Ye sandhāya vuttaṃ – ‘‘cattārimāni, bhikkhave, cakkāni, yehi samannāgatānaṃ devamanussānaṃ catucakkaṃ vattatī’’tiādi (a. ni. 4.31). Purimapacchimabhāvo cettha desanākkamavasena daṭṭhabbo. Pacchimacakkadvayasiddhiyāti pacchimacakkadvayassa atthitāya. Sammāpaṇihitatto pubbe ca katapuñño suddhāsayo hoti tadasiddhihetūnaṃ kilesānaṃ dūrībhāvatoti āha – ‘‘āsayasuddhi siddhā hotī’’ti. Tathā hi vuttaṃ – ‘‘sammāpaṇihitaṃ cittaṃ, seyyaso naṃ tato kare’’ti (dha. pa. 43), ‘‘katapuññosi tvaṃ, ānanda, padhānamanuyuñja, khippaṃ hohisi anāsavo’’ti (dī. ni. 2.207) ca. Tenevāha – ‘‘āsayasuddhiyā adhigamabyattisiddhī’’ti. Payogasuddhiyāti yonisomanasikārapubbaṅgamassa dhammassavanappayogassa visadabhāvena. Tathā cāha – ‘‘āgamabyattisiddhī’’ti , sabbassa vā kāyavacīpayogassa niddosabhāvena. Parisuddhakāyavacīpayogo hi vippaṭisārābhāvato avikkhittacitto pariyattiyaṃ visārado hotīti.

    นานปฺปการปฎิเวธทีปเกนาติอาทินา อตฺถพฺยญฺชเนสุ เถรสฺส เอวํ-สทฺทสุต-สทฺทานํ อสโมฺมหทีปนโต จตุปฺปฎิสมฺภิทาวเสน อตฺถโยชนํ ทเสฺสติฯ ตตฺถ โสตปฺปเภทปฎิเวธทีปเกนาติ เอเตน อยํ สุต-สโทฺท เอวํ-สทฺทสนฺนิธานโต, วกฺขมานาเปกฺขาย วา สามเญฺญเนว โสตพฺพธมฺมวิเสสํ อามสตีติ ทเสฺสติฯ มโนทิฎฺฐิกรณานํ ปริยตฺติธมฺมานํ อนุเปกฺขนสุปฺปฎิเวธา วิเสสโต มนสิการปฺปฎิพทฺธาติ เต วุตฺตนเยน โยนิโสมนสิการทีปเกน เอวํ-สเทฺทน โยเชตฺวา, สวนธารณวจีปริจยา ปริยตฺติธมฺมา วิเสเสน โสตาวธานปฺปฎิพทฺธาติ เต อวิเกฺขปทีปเกน สุต-สเทฺทน โยเชตฺวา ทเสฺสโนฺต สาสนสมฺปตฺติยา ธมฺมสฺสวเน อุสฺสาหํ ชเนติฯ ตตฺถ ธมฺมาติ ปริยตฺติธมฺมาฯ มนสา อนุเปกฺขิตาติ ‘‘อิธ สีลํ กถิตํ, อิธ สมาธิ, อิธ ปญฺญา, เอตฺตกา เอตฺถ อนุสนฺธโย’’ติอาทินา นเยน มนสา อนุ อนุ เปกฺขิตาฯ ทิฎฺฐิยา สุปฺปฎิวิทฺธาติ นิชฺฌานกฺขนฺติ ภูตาย, ญาตปริญฺญาสงฺขาตาย วา ทิฎฺฐิยา ตตฺถ ตตฺถ วุตฺตรูปารูปธเมฺม ‘‘อิติ รูปํ, เอตฺตกํ รูป’’นฺติอาทินา สุฎฺฐุ ววตฺถเปตฺวา ปฎิวิทฺธาฯ

    Nānappakārapaṭivedhadīpakenātiādinā atthabyañjanesu therassa evaṃ-saddasuta-saddānaṃ asammohadīpanato catuppaṭisambhidāvasena atthayojanaṃ dasseti. Tattha sotappabhedapaṭivedhadīpakenāti etena ayaṃ suta-saddo evaṃ-saddasannidhānato, vakkhamānāpekkhāya vā sāmaññeneva sotabbadhammavisesaṃ āmasatīti dasseti. Manodiṭṭhikaraṇānaṃ pariyattidhammānaṃ anupekkhanasuppaṭivedhā visesato manasikārappaṭibaddhāti te vuttanayena yonisomanasikāradīpakena evaṃ-saddena yojetvā, savanadhāraṇavacīparicayā pariyattidhammā visesena sotāvadhānappaṭibaddhāti te avikkhepadīpakena suta-saddena yojetvā dassento sāsanasampattiyā dhammassavane ussāhaṃ janeti. Tattha dhammāti pariyattidhammā. Manasā anupekkhitāti ‘‘idha sīlaṃ kathitaṃ, idha samādhi, idha paññā, ettakā ettha anusandhayo’’tiādinā nayena manasā anu anu pekkhitā. Diṭṭhiyā suppaṭividdhāti nijjhānakkhanti bhūtāya, ñātapariññāsaṅkhātāya vā diṭṭhiyā tattha tattha vuttarūpārūpadhamme ‘‘iti rūpaṃ, ettakaṃ rūpa’’ntiādinā suṭṭhu vavatthapetvā paṭividdhā.

    สกเลน วจเนนาติ ปุเพฺพ ตีหิ ปเทหิ วิสุํ วิสุํ โยชิตตฺตา วุตฺตํฯ อสปฺปุริสภูมินฺติ อกตญฺญุตํ, ‘‘อิเธกโจฺจ ปาปภิกฺขุ ตถาคตปฺปเวทิตํ ธมฺมวินยํ ปริยาปุณิตฺวา อตฺตโน ทหตี’’ติ (ปารา. ๑๙๕) เอวํ วุตฺตํ อนริยโวหาราวตฺถํฯ สา เอว อนริยโวหาราวตฺถา อสทฺธโมฺมฯ นนุ จ อานนฺทเตฺถรสฺส ‘‘มเมทํ วจน’’นฺติ อธิมานสฺส, มหากสฺสปเตฺถราทีนญฺจ ตทาสงฺกาย อภาวโต อสปฺปุริสภูมิสมติกฺกมาทิวจนํ นิรตฺถกนฺติ? นยิทเมวํ, ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติ วทเนฺตน อยมฺปิ อโตฺถ วิภาวิโตติ ทสฺสนโตฯ เกจิ ปน ‘‘เทวตานํ ปริวิตกฺกาเปกฺขํ ตถาวจนนฺติ เอทิสี โจทนา อนวกาสา’’ติ วทนฺติฯ ตสฺมิํ กิร ขเณ เอกจฺจานํ เทวตานํ เอวํ เจตโส ปริวิตโกฺก อุทปาทิ ‘‘ภควา ปรินิพฺพุโต, อยญฺจ อายสฺมา เทสนากุสโล อิทานิ ธมฺมํ เทเสติ, สกฺยกุลปฺปสุโต ตถาคตสฺส ภาตา จูฬปิตุปุโตฺต, กิํ นุ โข สยํ สจฺฉิกตํ ธมฺมํ เทเสติ, อุทาหุ ภควโต เอว วจนํ ยถาสุต’’นฺติ, เอวํ ตทาสงฺกิตปฺปการโต อสปฺปุริสภูมิสโมกฺกมาทิโต อติกฺกมาทิ วิภาวิตนฺติฯ อตฺตโน อทหโนฺตติ ‘‘มเมท’’นฺติ อตฺตนิ อฎฺฐเปโนฺตฯ อเปฺปตีติ นิทเสฺสติฯ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกปรมเตฺถสุ ยถารหํ สเตฺต เนตีติ เนตฺติ, ธโมฺมเยว เนตฺติ ธมฺมเนตฺติ

    Sakalena vacanenāti pubbe tīhi padehi visuṃ visuṃ yojitattā vuttaṃ. Asappurisabhūminti akataññutaṃ, ‘‘idhekacco pāpabhikkhu tathāgatappaveditaṃ dhammavinayaṃ pariyāpuṇitvā attano dahatī’’ti (pārā. 195) evaṃ vuttaṃ anariyavohārāvatthaṃ. Sā eva anariyavohārāvatthā asaddhammo. Nanu ca ānandattherassa ‘‘mamedaṃ vacana’’nti adhimānassa, mahākassapattherādīnañca tadāsaṅkāya abhāvato asappurisabhūmisamatikkamādivacanaṃ niratthakanti? Nayidamevaṃ, ‘‘evaṃ me suta’’nti vadantena ayampi attho vibhāvitoti dassanato. Keci pana ‘‘devatānaṃ parivitakkāpekkhaṃ tathāvacananti edisī codanā anavakāsā’’ti vadanti. Tasmiṃ kira khaṇe ekaccānaṃ devatānaṃ evaṃ cetaso parivitakko udapādi ‘‘bhagavā parinibbuto, ayañca āyasmā desanākusalo idāni dhammaṃ deseti, sakyakulappasuto tathāgatassa bhātā cūḷapituputto, kiṃ nu kho sayaṃ sacchikataṃ dhammaṃ deseti, udāhu bhagavato eva vacanaṃ yathāsuta’’nti, evaṃ tadāsaṅkitappakārato asappurisabhūmisamokkamādito atikkamādi vibhāvitanti. Attano adahantoti ‘‘mameda’’nti attani aṭṭhapento. Appetīti nidasseti. Diṭṭhadhammikasamparāyikaparamatthesu yathārahaṃ satte netīti netti, dhammoyeva netti dhammanetti.

    ทฬฺหตรนิวิฎฺฐา วิจิกิจฺฉา กงฺขาฯ นาติสํสปฺปนํ มติเภทมตฺตํ วิมติฯ อสฺสทฺธิยํ วินาเสติ ภควตา ภาสิตตฺตา สมฺมุขา จสฺส ปฎิคฺคหิตตฺตา ขลิตทุรุตฺตาทิคฺคหณโทสาภาวโต จฯ เอตฺถ จ ปญฺจมาทโย ติโสฺส อตฺถโยชนา อาการาทิอเตฺถสุ อคฺคหิตวิเสสเมว เอวํ-สทฺทํ คเหตฺวา ทสฺสิตา, ตโต ปรา จตโสฺส อาการตฺถเมว เอวํ-สทฺทํ คเหตฺวา วิภาวิตา, ปจฺฉิมา ปน ติโสฺส ยถากฺกมํ อาการตฺถํ นิทสฺสนตฺถํ อวธารณตฺถญฺจ เอวํ-สทฺทํ คเหตฺวา โยชิตาติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Daḷhataraniviṭṭhā vicikicchā kaṅkhā. Nātisaṃsappanaṃ matibhedamattaṃ vimati. Assaddhiyaṃ vināseti bhagavatā bhāsitattā sammukhā cassa paṭiggahitattā khalitaduruttādiggahaṇadosābhāvato ca. Ettha ca pañcamādayo tisso atthayojanā ākārādiatthesu aggahitavisesameva evaṃ-saddaṃ gahetvā dassitā, tato parā catasso ākāratthameva evaṃ-saddaṃ gahetvā vibhāvitā, pacchimā pana tisso yathākkamaṃ ākāratthaṃ nidassanatthaṃ avadhāraṇatthañca evaṃ-saddaṃ gahetvā yojitāti daṭṭhabbaṃ.

    เอก-สโทฺท อญฺญเสฎฺฐอสหายสงฺขาทีสุ ทิสฺสติฯ ตถา เหส ‘‘สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญนฺติ อิเตฺถเก อภิวทนฺตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๒๗) อญฺญเตฺถ ทิสฺสติ, ‘‘เจตโส เอโกทิภาว’’นฺติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๒๒๘; ปารา. ๑๑) เสเฎฺฐ, ‘‘เอโก วูปกโฎฺฐ’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๔๐๕; ๒.๒๑๕; ม. นิ. ๑.๘๐; สํ. นิ. ๓.๖๓; จูฬว. ๔๔๕) อสหาเย ‘‘เอโกว โข, ภิกฺขเว, ขโณ จ สมโย จ พฺรหฺมจริยวาสายา’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๘.๒๙) สงฺขายํฯ อิธาปิ สงฺขายนฺติ ทเสฺสโนฺต อาห – ‘‘เอกนฺติ คณนปริเจฺฉทนิเทฺทโส’’ติฯ กาลญฺจ สมยญฺจาติ ยุตฺตกาลญฺจ ปจฺจยสามคฺคิญฺจฯ ขโณติ โอกาโสฯ ตถาคตุปฺปาทาทิโก หิ มคฺคพฺรหฺมจริยสฺส โอกาโส ตปฺปจฺจยปฺปฎิลาภเหตุตฺตาฯ ขโณ เอว จ สมโยฯ โย ขโณติ จ สมโยติ จ วุจฺจติ, โส เอโก เอวาติ หิ อโตฺถฯ มหาสมโยติ มหาสมูโหฯ สมโยปิ โขติ สิกฺขาปทปูรณสฺส เหตุปิฯ สมยปฺปวาทเกติ ทิฎฺฐิปฺปวาทเกฯ ตตฺถ หิ นิสินฺนา ติตฺถิยา อตฺตโน อตฺตโน สมยํ ปวทนฺตีติฯ อตฺถาภิสมยาติ หิตปฺปฎิลาภาฯ อภิสเมตโพฺพติ อภิสมโย, อภิสมโย อโตฺถ อภิสมยโฎฺฐติ ปีฬนาทีนิ อภิสเมตพฺพภาเวน เอกีภาวํ อุปเนตฺวา วุตฺตานิฯ อภิสมยสฺส วา ปฎิเวธสฺส วิสยภูโต อโตฺถ อภิสมยโฎฺฐติ ตาเนว ตถา เอกเตฺตน วุตฺตานิฯ ตตฺถ ปีฬนํ ทุกฺขสจฺจสฺส ตํสมงฺคิโน หิํสนํ อวิปฺผาริกตากรณํฯ สนฺตาโป ทุกฺขทุกฺขตาทิวเสน สนฺตปนํ ปริทหนํฯ

    Eka-saddo aññaseṭṭhaasahāyasaṅkhādīsu dissati. Tathā hesa ‘‘sassato attā ca loko ca, idameva saccaṃ moghamaññanti ittheke abhivadantī’’tiādīsu (ma. ni. 3.27) aññatthe dissati, ‘‘cetaso ekodibhāva’’ntiādīsu (dī. ni. 1.228; pārā. 11) seṭṭhe, ‘‘eko vūpakaṭṭho’’tiādīsu (dī. ni. 1.405; 2.215; ma. ni. 1.80; saṃ. ni. 3.63; cūḷava. 445) asahāye ‘‘ekova kho, bhikkhave, khaṇo ca samayo ca brahmacariyavāsāyā’’tiādīsu (a. ni. 8.29) saṅkhāyaṃ. Idhāpi saṅkhāyanti dassento āha – ‘‘ekanti gaṇanaparicchedaniddeso’’ti. Kālañca samayañcāti yuttakālañca paccayasāmaggiñca. Khaṇoti okāso. Tathāgatuppādādiko hi maggabrahmacariyassa okāso tappaccayappaṭilābhahetuttā. Khaṇo eva ca samayo. Yo khaṇoti ca samayoti ca vuccati, so eko evāti hi attho. Mahāsamayoti mahāsamūho. Samayopi khoti sikkhāpadapūraṇassa hetupi. Samayappavādaketi diṭṭhippavādake. Tattha hi nisinnā titthiyā attano attano samayaṃ pavadantīti. Atthābhisamayāti hitappaṭilābhā. Abhisametabboti abhisamayo, abhisamayo attho abhisamayaṭṭhoti pīḷanādīni abhisametabbabhāvena ekībhāvaṃ upanetvā vuttāni. Abhisamayassa vā paṭivedhassa visayabhūto attho abhisamayaṭṭhoti tāneva tathā ekattena vuttāni. Tattha pīḷanaṃ dukkhasaccassa taṃsamaṅgino hiṃsanaṃ avipphārikatākaraṇaṃ. Santāpo dukkhadukkhatādivasena santapanaṃ paridahanaṃ.

    ตตฺถ สหการิการเณ สนิชฺฌํ สเมติ สมเวตีติ สมโย, สมวาโยฯ สเมติ สมาคจฺฉติ เอตฺถ มคฺคพฺรหฺมจริยํ ตทาธารปุคฺคเลหีติ สมโย, ขโณฯ สเมติ เอตฺถ, เอเตน วา สํคจฺฉติ สโตฺต, สภาวธโมฺม วา สหชาตาทีหิ, อุปฺปาทาทีหิ วาติ สมโย, กาโลฯ ธมฺมปฺปวตฺติมตฺตตาย อตฺถโต อภูโตปิ หิ กาโล ธมฺมปฺปวตฺติยา อธิกรณํ กรณํ วิย จ กปฺปนามตฺตสิเทฺธน รูเปน โวหรียตีติฯ สมํ, สห วา อวยวานํ อยนํ ปวตฺติ อวฎฺฐานนฺติ สมโย, สมูโห ยถา ‘‘สมุทาโย’’ติฯ อวยวสหาวฎฺฐานเมว หิ สมูโหติฯ อวเสสปจฺจยานํ สมาคเม เอติ ผลํ เอตสฺมา อุปฺปชฺชติ ปวตฺตติ จาติ สมโย, เหตุ ยถา ‘‘สมุทโย’’ติฯ สเมติ สํโยชนภาวโต สมฺพโทฺธ เอติ อตฺตโน วิสเย ปวตฺตติ, ทฬฺหคฺคหณภาวโต วา สํยุตฺตา อยนฺติ ปวตฺตนฺติ สตฺตา ยถาภินิเวสํ เอเตนาติ สมโย, ทิฎฺฐิฯ ทิฎฺฐิสํโยชเนน หิ สตฺตา อติวิย พชฺฌนฺตีติฯ สมิติ สงฺคติ สโมธานนฺติ สมโย, ปฎิลาโภฯ สมสฺส ยานํ, สมฺมา วา ยานํ อปคโมติ สมโย, ปหานํฯ อภิมุขํ ญาเณน สมฺมา เอตโพฺพ อภิสเมตโพฺพติ อภิสมโย, ธมฺมานํ อวิปรีโต สภาโวฯ อภิมุขภาเวน สมฺมา เอติ คจฺฉติ พุชฺฌตีติ อภิสมโย, ธมฺมานํ อวิปรีตสภาวาวโพโธฯ เอวํ ตสฺมิํ ตสฺมิํ อเตฺถ สมยสทฺทสฺส ปวตฺติ เวทิตพฺพาฯ สมยสทฺทสฺส อตฺถุทฺธาเร อภิสมยสทฺทสฺส อุทาหรณํ วุตฺตนเยน เวทิตพฺพํฯ อสฺสาติ สมยสทฺทสฺสฯ กาโล อโตฺถ สมวายาทีนํ อตฺถานํ อิธ อสมฺภวโต, เทสเทสกปริสานํ วิย สุตฺตสฺส นิทานภาเวน กาลสฺส อปทิสิตพฺพโต จฯ

    Tattha sahakārikāraṇe sanijjhaṃ sameti samavetīti samayo, samavāyo. Sameti samāgacchati ettha maggabrahmacariyaṃ tadādhārapuggalehīti samayo, khaṇo. Sameti ettha, etena vā saṃgacchati satto, sabhāvadhammo vā sahajātādīhi, uppādādīhi vāti samayo, kālo. Dhammappavattimattatāya atthato abhūtopi hi kālo dhammappavattiyā adhikaraṇaṃ karaṇaṃ viya ca kappanāmattasiddhena rūpena voharīyatīti. Samaṃ, saha vā avayavānaṃ ayanaṃ pavatti avaṭṭhānanti samayo, samūho yathā ‘‘samudāyo’’ti. Avayavasahāvaṭṭhānameva hi samūhoti. Avasesapaccayānaṃ samāgame eti phalaṃ etasmā uppajjati pavattati cāti samayo, hetu yathā ‘‘samudayo’’ti. Sameti saṃyojanabhāvato sambaddho eti attano visaye pavattati, daḷhaggahaṇabhāvato vā saṃyuttā ayanti pavattanti sattā yathābhinivesaṃ etenāti samayo, diṭṭhi. Diṭṭhisaṃyojanena hi sattā ativiya bajjhantīti. Samiti saṅgati samodhānanti samayo, paṭilābho. Samassa yānaṃ, sammā vā yānaṃ apagamoti samayo, pahānaṃ. Abhimukhaṃ ñāṇena sammā etabbo abhisametabboti abhisamayo, dhammānaṃ aviparīto sabhāvo. Abhimukhabhāvena sammā eti gacchati bujjhatīti abhisamayo, dhammānaṃ aviparītasabhāvāvabodho. Evaṃ tasmiṃ tasmiṃ atthe samayasaddassa pavatti veditabbā. Samayasaddassa atthuddhāre abhisamayasaddassa udāharaṇaṃ vuttanayena veditabbaṃ. Assāti samayasaddassa. Kālo attho samavāyādīnaṃ atthānaṃ idha asambhavato, desadesakaparisānaṃ viya suttassa nidānabhāvena kālassa apadisitabbato ca.

    กสฺมา ปเนตฺถ อนิยมิตวเสเนว กาโล นิทฺทิโฎฺฐ, น อุตุสํวจฺฉราทิวเสน นิยเมตฺวาติ อาห – ‘‘ตตฺถ กิญฺจาปี’’ติอาทิฯ อุตุสํวจฺฉราทิวเสน นิยมํ อกตฺวา สมยสทฺทสฺส วจเน อยมฺปิ คุโณ ลโทฺธ โหตีติ ทเสฺสโนฺต ‘‘เย วา อิเม’’ติอาทิมาหฯ สามญฺญโชตนา หิ วิเสเส อวติฎฺฐตีติฯ ตตฺถ ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารสมโย เทวสิกํ ฌานสมาปตฺตีหิ วีตินามนกาโล, วิเสสโต สตฺตสตฺตาหานิฯ สุปฺปกาสาติ ทสสหสฺสิโลกธาตุยา ปกมฺปนโอภาสปาตุภาวาทีหิ ปากฎาฯ ยถาวุตฺตเภเทสุ เอว สมเยสุ เอกเทสํ ปการนฺตเรหิ สงฺคเหตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘โย จาย’’นฺติอาทิมาหฯ ตถา หิ ญาณกิจฺจสมโย อตฺตหิตปฺปฎิปตฺติสมโย จ อภิสโมฺพธิสมโย, อริยตุณฺหีภาวสมโย ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารสมโย, กรุณากิจฺจปรหิตปฺปฎิปตฺติธมฺมิกถาสมโย เทสนาสมโยเยวฯ

    Kasmā panettha aniyamitavaseneva kālo niddiṭṭho, na utusaṃvaccharādivasena niyametvāti āha – ‘‘tattha kiñcāpī’’tiādi. Utusaṃvaccharādivasena niyamaṃ akatvā samayasaddassa vacane ayampi guṇo laddho hotīti dassento ‘‘ye vā ime’’tiādimāha. Sāmaññajotanā hi visese avatiṭṭhatīti. Tattha diṭṭhadhammasukhavihārasamayo devasikaṃ jhānasamāpattīhi vītināmanakālo, visesato sattasattāhāni. Suppakāsāti dasasahassilokadhātuyā pakampanaobhāsapātubhāvādīhi pākaṭā. Yathāvuttabhedesu eva samayesu ekadesaṃ pakārantarehi saṅgahetvā dassetuṃ ‘‘yo cāya’’ntiādimāha. Tathā hi ñāṇakiccasamayo attahitappaṭipattisamayo ca abhisambodhisamayo, ariyatuṇhībhāvasamayo diṭṭhadhammasukhavihārasamayo, karuṇākiccaparahitappaṭipattidhammikathāsamayo desanāsamayoyeva.

    กรณวจเนน นิเทฺทโส กโตติ สมฺพโนฺธฯ ตตฺถาติ อภิธมฺมวินเยสุฯ ตถาติ ภุมฺมกรเณหิฯ อธิกรณโตฺถ อาธารโตฺถฯ ภาโว นาม กิริยา, กิริยาย กิริยนฺตรลกฺขณํ ภาเวนภาวลกฺขณํฯ ตตฺถ ยถา กาโล สภาวธมฺมปริจฺฉิโนฺน สยํ ปรมตฺถโต อวิชฺชมาโนปิ อาธารภาเวน ปญฺญาโต ตงฺขณปฺปวตฺตานํ ตโต ปุเพฺพ ปรโต จ อภาวโต ‘‘ปุพฺพเณฺห ชาโต, สายเนฺห คจฺฉตี’’ติ จ อาทีสุ, สมูโห จ อวยววินิมุโตฺต อวิชฺชมาโนปิ กปฺปนามตฺตสิโทฺธ อวยวานํ อาธารภาเวน ปญฺญาปียติ ‘‘รุเกฺข สาขา, ยวราสิยํ สมฺภูโต’’ติอาทีสุ, เอวํ อิธาปีติ ทเสฺสโนฺต อาห – ‘‘อธิกรณํ…เป.… ธมฺมาน’’นฺติฯ ยสฺมิํ กาเล, ธมฺมปุเญฺช วา กามาวจรํ กุสลํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหติ, ตสฺมิํ เอว กาเล, ธมฺมปุเญฺช จ ผสฺสาทโยปิ โหนฺตีติ อยญฺหิ ตตฺถ อโตฺถฯ ยถา ‘‘คาวีสุ ทุยฺหมานาสุ คโต, ทุทฺธาสุ อาคโต’’ติ โทหนกิริยาย คมนกิริยา ลกฺขียติ, เอวํ อิธาปิ ‘‘ยสฺมิํ สมเย, ตสฺมิํ สมเย’’ติ จ วุเตฺต ‘‘สตี’’ติ อยมโตฺถ วิญฺญายมาโน เอว โหติ ปทตฺถสฺส สตฺตาวิรหาภาวโตติ สมยสฺส สตฺตากิริยาย จิตฺตสฺส อุปฺปาทกิริยา, ผสฺสาทีนํ ภวนกิริยา จ ลกฺขียตีติฯ ยสฺมิํ สมเยติ ยสฺมิํ นวเม ขเณ, ยสฺมิํ โยนิโสมนสิการาทิเหตุมฺหิ, ปจฺจยสมวาเย วา สติ กามาวจรํ กุสลํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหติ, ตสฺมิํเยว ขเณ เหตุมฺหิ ปจฺจยสมวาเย จ ผสฺสาทโยปิ โหนฺตีติ อุภยตฺถ สมยสเทฺท ภุมฺมนิเทฺทโส กโต ลกฺขณภูตภาวยุโตฺตติ ทเสฺสโนฺต อาห – ‘‘ขณ…เป.… ลกฺขียตี’’ติฯ

    Karaṇavacanena niddeso katoti sambandho. Tatthāti abhidhammavinayesu. Tathāti bhummakaraṇehi. Adhikaraṇattho ādhārattho. Bhāvo nāma kiriyā, kiriyāya kiriyantaralakkhaṇaṃ bhāvenabhāvalakkhaṇaṃ. Tattha yathā kālo sabhāvadhammaparicchinno sayaṃ paramatthato avijjamānopi ādhārabhāvena paññāto taṅkhaṇappavattānaṃ tato pubbe parato ca abhāvato ‘‘pubbaṇhe jāto, sāyanhe gacchatī’’ti ca ādīsu, samūho ca avayavavinimutto avijjamānopi kappanāmattasiddho avayavānaṃ ādhārabhāvena paññāpīyati ‘‘rukkhe sākhā, yavarāsiyaṃ sambhūto’’tiādīsu, evaṃ idhāpīti dassento āha – ‘‘adhikaraṇaṃ…pe… dhammāna’’nti. Yasmiṃ kāle, dhammapuñje vā kāmāvacaraṃ kusalaṃ cittaṃ uppannaṃ hoti, tasmiṃ eva kāle, dhammapuñje ca phassādayopi hontīti ayañhi tattha attho. Yathā ‘‘gāvīsu duyhamānāsu gato, duddhāsu āgato’’ti dohanakiriyāya gamanakiriyā lakkhīyati, evaṃ idhāpi ‘‘yasmiṃ samaye, tasmiṃ samaye’’ti ca vutte ‘‘satī’’ti ayamattho viññāyamāno eva hoti padatthassa sattāvirahābhāvatoti samayassa sattākiriyāya cittassa uppādakiriyā, phassādīnaṃ bhavanakiriyā ca lakkhīyatīti. Yasmiṃ samayeti yasmiṃ navame khaṇe, yasmiṃ yonisomanasikārādihetumhi, paccayasamavāye vā sati kāmāvacaraṃ kusalaṃ cittaṃ uppannaṃ hoti, tasmiṃyeva khaṇe hetumhi paccayasamavāye ca phassādayopi hontīti ubhayattha samayasadde bhummaniddeso kato lakkhaṇabhūtabhāvayuttoti dassento āha – ‘‘khaṇa…pe… lakkhīyatī’’ti.

    เหตุอโตฺถ กรณโตฺถ จ สมฺภวติ ‘‘อเนฺนน วสติ, อเชฺฌเนน วสติ, ผรสุนา ฉินฺทติ, กุทาเลน ขณตี’’ติอาทีสุ วิยฯ วีติกฺกมญฺหิ สุตฺวา ภิกฺขุสงฺฆํ สนฺนิปาตาเปตฺวา โอติเณฺณ วตฺถุสฺมิํ ตํ ปุคฺคลํ ปฎิปุจฺฉิตฺวา วิครหิตฺวา จ ตํ ตํ วตฺถุํ โอติณฺณกาลํ อนติกฺกมิตฺวา เตเนว กาเลน สิกฺขาปทานิ ปญฺญาเปโนฺต ภควา วิหรติ สิกฺขาปทปญฺญตฺติเหตุญฺจ อเปกฺขมาโน ตติยปาราชิกาทีสุ วิยฯ

    Hetuattho karaṇattho ca sambhavati ‘‘annena vasati, ajjhenena vasati, pharasunā chindati, kudālena khaṇatī’’tiādīsu viya. Vītikkamañhi sutvā bhikkhusaṅghaṃ sannipātāpetvā otiṇṇe vatthusmiṃ taṃ puggalaṃ paṭipucchitvā vigarahitvā ca taṃ taṃ vatthuṃ otiṇṇakālaṃ anatikkamitvā teneva kālena sikkhāpadāni paññāpento bhagavā viharati sikkhāpadapaññattihetuñca apekkhamāno tatiyapārājikādīsu viya.

    อจฺจนฺตเมว อารมฺภโต ปฎฺฐาย ยาว เทสนานิฎฺฐานํ ปรหิตปฺปฎิปตฺติสงฺขาเตน กรุณาวิหาเรนฯ ตทตฺถโชตนตฺถนฺติ อจฺจนฺตสํโยคตฺถโชตนตฺถํฯ อุปโยควจนนิเทฺทโส กโต ยถา ‘‘มาสํ อเชฺฌตี’’ติฯ โปราณาติ อฎฺฐกถาจริยาฯ อภิลาปมตฺตเภโทติ วจนมเตฺตน วิเสโสฯ เตน สุตฺตวินเยสุ วิภตฺติพฺยตฺตโย กโตติ ทเสฺสติฯ

    Accantameva ārambhato paṭṭhāya yāva desanāniṭṭhānaṃ parahitappaṭipattisaṅkhātena karuṇāvihārena. Tadatthajotanatthanti accantasaṃyogatthajotanatthaṃ. Upayogavacananiddeso kato yathā ‘‘māsaṃ ajjhetī’’ti. Porāṇāti aṭṭhakathācariyā. Abhilāpamattabhedoti vacanamattena viseso. Tena suttavinayesu vibhattibyattayo katoti dasseti.

    อิทานิ ‘‘ภควา’’ติ อิมสฺส อตฺถํ ทเสฺสโนฺต อาห – ‘‘ภควาติ ครู’’ติอาทิฯ ภควาติ วจนํ เสฎฺฐนฺติ เสฎฺฐวาจกํ วจนํ, เสฎฺฐคุณสหจรณํ เสฎฺฐนฺติ วุตฺตํฯ อถ วา วุจฺจตีติ วจนํ, อโตฺถฯ ยสฺมา โย ‘‘ภควา’’ติ วจเนน วจนีโย อโตฺถ, โส เสโฎฺฐติ อโตฺถฯ ภควาติ วจนมุตฺตมนฺติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ คารวยุโตฺตติ ครุภาวยุโตฺต ครุคุณโยคโตฯ ครุกรณํ วา สาติสยํ อรหตีติ คารวยุโตฺต, คารวารโหติ อโตฺถฯ สิปฺปาทิสิกฺขาปกา ครู โหนฺติ, น จ คารวยุตฺตา, อยํ ปน ตาทิโส น โหติ, ตสฺมา ครูติ วตฺวา คารวยุโตฺตติ วุตฺตนฺติ เกจิฯ วุโตฺตเยว, น อิธ วตฺตโพฺพ วิสุทฺธิมคฺคสฺส อิมิสฺสา อฎฺฐกถาย เอกเทสภาวโตติ อธิปฺปาโยฯ

    Idāni ‘‘bhagavā’’ti imassa atthaṃ dassento āha – ‘‘bhagavāti garū’’tiādi. Bhagavāti vacanaṃ seṭṭhanti seṭṭhavācakaṃ vacanaṃ, seṭṭhaguṇasahacaraṇaṃ seṭṭhanti vuttaṃ. Atha vā vuccatīti vacanaṃ, attho. Yasmā yo ‘‘bhagavā’’ti vacanena vacanīyo attho, so seṭṭhoti attho. Bhagavāti vacanamuttamanti etthāpi eseva nayo. Gāravayuttoti garubhāvayutto garuguṇayogato. Garukaraṇaṃ vā sātisayaṃ arahatīti gāravayutto, gāravārahoti attho. Sippādisikkhāpakā garū honti, na ca gāravayuttā, ayaṃ pana tādiso na hoti, tasmā garūti vatvā gāravayuttoti vuttanti keci. Vuttoyeva, na idha vattabbo visuddhimaggassa imissā aṭṭhakathāya ekadesabhāvatoti adhippāyo.

    ธมฺมสรีรํ ปจฺจกฺขํ กโรตีติ ‘‘โย โว, อานนฺท, มยา ธโมฺม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญโตฺต , โส โว มมจฺจเยน สตฺถา’’ติ (ที. นิ. ๒.๒๑๖) วจนโต ธมฺมสฺส สตฺถุภาวปริยาโย วิชฺชตีติ กตฺวา วุตฺตํฯ วชิรสงฺฆาตสมานกาโย ปเรหิ อเภชฺชสรีรตฺตาฯ น หิ ภควโต รูปกาเย เกนจิ สกฺกา อนฺตราโย กาตุนฺติฯ เทสนาสมฺปตฺติํ นิทฺทิสติ วกฺขมานสฺส สกลสุตฺตสฺส เอวนฺติ นิทฺทิสนโตฯ สาวกสมฺปตฺติํ นิทฺทิสติ ปฎิสมฺภิทาปเตฺตน ปญฺจสุ ฐาเนสุ ภควตา เอตทเคฺค ฐปิเตน มยา มหาสาวเกน สุตํ, ตญฺจ โข มยา สุตํ, น อนุสฺสุติกํ, น ปรมฺปราภตนฺติ อิมสฺส อตฺถสฺส ทีปนโตฯ กาลสมฺปตฺติํ นิทฺทิสติ ‘‘ภควา’’ติ ปทสฺส สนฺนิธาเน ปยุตฺตสฺส สมยสทฺทสฺส กาลสฺส พุทฺธุปฺปาทปฺปฎิมณฺฑิตภาวทีปนโต ฯ พุทฺธุปฺปาทปรมา หิ กาลสมฺปทาฯ เตเนตํ วุจฺจติ –

    Dhammasarīraṃ paccakkhaṃ karotīti ‘‘yo vo, ānanda, mayā dhammo ca vinayo ca desito paññatto , so vo mamaccayena satthā’’ti (dī. ni. 2.216) vacanato dhammassa satthubhāvapariyāyo vijjatīti katvā vuttaṃ. Vajirasaṅghātasamānakāyo parehi abhejjasarīrattā. Na hi bhagavato rūpakāye kenaci sakkā antarāyo kātunti. Desanāsampattiṃ niddisati vakkhamānassa sakalasuttassa evanti niddisanato. Sāvakasampattiṃ niddisati paṭisambhidāpattena pañcasu ṭhānesu bhagavatā etadagge ṭhapitena mayā mahāsāvakena sutaṃ, tañca kho mayā sutaṃ, na anussutikaṃ, na paramparābhatanti imassa atthassa dīpanato. Kālasampattiṃ niddisati ‘‘bhagavā’’ti padassa sannidhāne payuttassa samayasaddassa kālassa buddhuppādappaṭimaṇḍitabhāvadīpanato . Buddhuppādaparamā hi kālasampadā. Tenetaṃ vuccati –

    ‘‘กปฺปกสาเย กลิยุเค, พุทฺธุปฺปาโท อโห มหจฺฉริยํ;

    ‘‘Kappakasāye kaliyuge, buddhuppādo aho mahacchariyaṃ;

    หุตาวหมเชฺฌ ชาตํ, สมุทิตมกรนฺทมรวินฺท’’นฺติฯ (ที. นิ. ฎี. ๑.๑; สํ. นิ. ฎี. ๑.๑.๑ เทวตาสํยุตฺต);

    Hutāvahamajjhe jātaṃ, samuditamakarandamaravinda’’nti. (dī. ni. ṭī. 1.1; saṃ. ni. ṭī. 1.1.1 devatāsaṃyutta);

    ภควาติ เทสกสมฺปตฺติํ นิทฺทิสติ คุณวิสิฎฺฐสตฺตุตฺตมครุคารวาธิวจนภาวโตฯ

    Bhagavāti desakasampattiṃ niddisati guṇavisiṭṭhasattuttamagarugāravādhivacanabhāvato.

    เอวํนามเก นคเรติ กถํ ปเนตํ นครํ เอวํนามกํ ชาตนฺติ? วุจฺจเต, ยถา กากนฺทสฺส อิสิโน นิวาสฎฺฐาเน มาปิตา นครี กากนฺที, มากนฺทสฺส นิวาสฎฺฐาเน มาปิตา มากนฺที, กุสมฺพสฺส นิวาสฎฺฐาเน มาปิตา โกสมฺพีติ วุจฺจติ, เอวํ สวตฺถสฺส อิสิโน นิวาสฎฺฐาเน มาปิตา นครี สาวตฺถีติ วุจฺจติฯ เอวํ ตาว อกฺขรจินฺตกา วทนฺติฯ อฎฺฐกถาจริยา ปน ภณนฺติ – ‘‘ยํ กิญฺจิ มนุสฺสานํ อุปโภคปริโภคํ, สพฺพเมตฺถ อตฺถี’’ติ สาวตฺถิฯ สตฺถสมาโยเค จ ‘กิํ ภณฺฑมตฺถี’ติ ปุจฺฉิเต ‘สพฺพมตฺถี’ติ วจนมุปาทาย สาวตฺถิฯ

    Evaṃnāmake nagareti kathaṃ panetaṃ nagaraṃ evaṃnāmakaṃ jātanti? Vuccate, yathā kākandassa isino nivāsaṭṭhāne māpitā nagarī kākandī, mākandassa nivāsaṭṭhāne māpitā mākandī, kusambassa nivāsaṭṭhāne māpitā kosambīti vuccati, evaṃ savatthassa isino nivāsaṭṭhāne māpitā nagarī sāvatthīti vuccati. Evaṃ tāva akkharacintakā vadanti. Aṭṭhakathācariyā pana bhaṇanti – ‘‘yaṃ kiñci manussānaṃ upabhogaparibhogaṃ, sabbamettha atthī’’ti sāvatthi. Satthasamāyoge ca ‘kiṃ bhaṇḍamatthī’ti pucchite ‘sabbamatthī’ti vacanamupādāya sāvatthi.

    ‘‘สพฺพทา สพฺพูปกรณํ, สาวตฺถิยํ สโมหิตํ;

    ‘‘Sabbadā sabbūpakaraṇaṃ, sāvatthiyaṃ samohitaṃ;

    ตสฺมา สพฺพมุปาทาย, สาวตฺถีติ ปวุจฺจติฯ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๔; ขุ. ปา. อฎฺฐ. ๕.มงฺคลสุตฺตวณฺณนา; อุทา. อฎฺฐ. ๕; ปฎิ. ม. ๒.๑.๑๘๔);

    Tasmā sabbamupādāya, sāvatthīti pavuccati. (ma. ni. aṭṭha. 1.14; khu. pā. aṭṭha. 5.maṅgalasuttavaṇṇanā; udā. aṭṭha. 5; paṭi. ma. 2.1.184);

    ‘‘โกสลานํ ปุรํ รมฺมํ, ทสฺสเนยฺยํ มโนรมํ;

    ‘‘Kosalānaṃ puraṃ rammaṃ, dassaneyyaṃ manoramaṃ;

    ทสหิ สเทฺทหิ อวิวิตฺตํ, อนฺนปานสมายุตํฯ

    Dasahi saddehi avivittaṃ, annapānasamāyutaṃ.

    ‘‘วุทฺธิํ เวปุลฺลตํ ปตฺตํ, อิทฺธํ ผีตํ มโนรมํ;

    ‘‘Vuddhiṃ vepullataṃ pattaṃ, iddhaṃ phītaṃ manoramaṃ;

    อาฬกมนฺทาว เทวานํ, สาวตฺถิปุรมุตฺตม’’นฺติฯ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๔; ขุ. ปา. อฎฺฐ. ๕.มงฺคลสุตฺตวณฺณนา);

    Āḷakamandāva devānaṃ, sāvatthipuramuttama’’nti. (ma. ni. aṭṭha. 1.14; khu. pā. aṭṭha. 5.maṅgalasuttavaṇṇanā);

    อวิเสเสนาติ น วิเสเสน, วิหารภาวสามเญฺญนาติ อโตฺถฯ อิริยาปถวิหาโร…เป.… วิหาเรสูติ อิริยาปถวิหาโร ทิพฺพวิหาโร พฺรหฺมวิหาโร อริยวิหาโรติ เอเตสุ จตูสุ วิหาเรสุฯ สมงฺคิปริทีปนนฺติ สมงฺคิภาวปริทีปนํฯ เอตนฺติ วิหรตีติ เอตํ ปทํฯ ตถา หิ ตํ ‘‘อิเธกโจฺจ คิหิสํสโฎฺฐ วิหรติ สหนนฺที สหโสกี’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๔.๒๔๑) อิริยาปถวิหาเร อาคตํ, ‘‘ยสฺมิํ สมเย, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ วิวิเจฺจว กาเมหิ … ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรตี’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๔๙๙; วิภ. ๖๒๔) ทิพฺพวิหาเร, ‘‘โส เมตฺตาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรตี’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๕๕๖; ๓.๓๐๘; ม. นิ. ๑.๗๗, ๔๕๙, ๕๐๙; ๒.๓๐๙, ๓๑๕, ๔๕๑, ๔๗๑; ๓.๒๓๐, วิภ. ๖๔๒, ๖๔๓) พฺรหฺมวิหาเร, ‘‘โส โขหํ, อคฺคิเวสฺสน, ตสฺสาเยว กถาย ปริโยสาเน ตสฺมิํเยว ปุริมสฺมิํ สมาธินิมิเตฺต อชฺฌตฺตเมว จิตฺตํ สณฺฐเปมิ สนฺนิสาเทมิ เอโกทิํ กโรมิ, สมาทหามิ, เยน สุทํ นิจฺจกปฺปํ วิหรามี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๘๗) อริยวิหาเรฯ

    Avisesenāti na visesena, vihārabhāvasāmaññenāti attho. Iriyāpathavihāro…pe… vihāresūti iriyāpathavihāro dibbavihāro brahmavihāro ariyavihāroti etesu catūsu vihāresu. Samaṅgiparidīpananti samaṅgibhāvaparidīpanaṃ. Etanti viharatīti etaṃ padaṃ. Tathā hi taṃ ‘‘idhekacco gihisaṃsaṭṭho viharati sahanandī sahasokī’’tiādīsu (saṃ. ni. 4.241) iriyāpathavihāre āgataṃ, ‘‘yasmiṃ samaye, bhikkhave, bhikkhu vivicceva kāmehi … paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharatī’’tiādīsu (dha. sa. 499; vibha. 624) dibbavihāre, ‘‘so mettāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā viharatī’’tiādīsu (dī. ni. 1.556; 3.308; ma. ni. 1.77, 459, 509; 2.309, 315, 451, 471; 3.230, vibha. 642, 643) brahmavihāre, ‘‘so khohaṃ, aggivessana, tassāyeva kathāya pariyosāne tasmiṃyeva purimasmiṃ samādhinimitte ajjhattameva cittaṃ saṇṭhapemi sannisādemi ekodiṃ karomi, samādahāmi, yena sudaṃ niccakappaṃ viharāmī’’tiādīsu (ma. ni. 1.387) ariyavihāre.

    ตตฺถ อิริยนํ ปวตฺตนํ อิริยา, กายปฺปโยโคฯ ตสฺสา ปวตฺตนูปายภาวโต ฐานาทิ อิริยาปโถฯ ฐานสมงฺคี วา หิ กาเยน กิญฺจิ กเรยฺย คมนาทีสุ อญฺญตรสมงฺคี วาฯ อถ วา อิริยติ ปวตฺตติ เอเตน อตฺตภาโว, กายกิจฺจํ วาติ อิริยา, ตสฺสา ปวตฺติยา อุปายภาวโต ปโถติ อิริยาปโถ, ฐานาทิ เอวฯ โส จ อตฺถโต คตินิวตฺติอาทิอากาเรน ปวโตฺต จตุสนฺตติรูปปฺปพโนฺธ เอวฯ วิหรณํ, วิหรติ เอเตนาติ วา วิหาโรฯ ทิวิ ภโว ทิโพฺพ, ตตฺถ พหุลปฺปวตฺติยา พฺรหฺมปาริสชฺชาทิเทวโลเก ภโวติ อโตฺถฯ ตตฺถ โย ทิพฺพานุภาโว, ตทตฺถาย สํวตฺตตีติ วา ทิโพฺพ, อภิญฺญาภินีหารวเสน มหาคติกตฺตา วา ทิโพฺพ, ทิโพฺพ จ โส วิหาโร จาติ ทิพฺพวิหาโร, จตโสฺส รูปาวจรสมาปตฺติโยฯ อรูปสมาปตฺติโยปิ เอเตฺถว สงฺคหํ คจฺฉนฺติฯ พฺรหฺมานํ, พฺรหฺมาโน วา วิหารา พฺรหฺมวิหารา, จตโสฺส อปฺปมญฺญาโยฯ อริโย, อริยานํ วา วิหาโร อริยวิหาโร, จตฺตาริ สามญฺญผลานิฯ โส หิ เอกํ อิริยาปถพาธนนฺติอาทิ ยทิปิ ภควา เอเกนปิ อิริยาปเถน จิรตรํ กาลํ อตฺตภาวํ ปวเตฺตตุํ สโกฺกติ, ตถาปิ อุปาทินฺนกสรีรสฺส อยํ สภาโวติ ทเสฺสตุํ วุตฺตํฯ ยสฺมา วา ภควา ยตฺถ กตฺถจิ วสโนฺต เวเนยฺยานํ ธมฺมํ เทเสโนฺต นานาสมาปตฺตีหิ จ กาลํ วีตินาเมโนฺต วสตีติ สตฺตานํ อตฺตโน จ วิวิธหิตสุขํ หรติ อุปเนติ อุปฺปาเทติ, ตสฺมา วิวิธํ หรตีติ วิหรตีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Tattha iriyanaṃ pavattanaṃ iriyā, kāyappayogo. Tassā pavattanūpāyabhāvato ṭhānādi iriyāpatho. Ṭhānasamaṅgī vā hi kāyena kiñci kareyya gamanādīsu aññatarasamaṅgī vā. Atha vā iriyati pavattati etena attabhāvo, kāyakiccaṃ vāti iriyā, tassā pavattiyā upāyabhāvato pathoti iriyāpatho, ṭhānādi eva. So ca atthato gatinivattiādiākārena pavatto catusantatirūpappabandho eva. Viharaṇaṃ, viharati etenāti vā vihāro. Divi bhavo dibbo, tattha bahulappavattiyā brahmapārisajjādidevaloke bhavoti attho. Tattha yo dibbānubhāvo, tadatthāya saṃvattatīti vā dibbo, abhiññābhinīhāravasena mahāgatikattā vā dibbo, dibbo ca so vihāro cāti dibbavihāro, catasso rūpāvacarasamāpattiyo. Arūpasamāpattiyopi ettheva saṅgahaṃ gacchanti. Brahmānaṃ, brahmāno vā vihārā brahmavihārā, catasso appamaññāyo. Ariyo, ariyānaṃ vā vihāro ariyavihāro, cattāri sāmaññaphalāni. So hi ekaṃ iriyāpathabādhanantiādi yadipi bhagavā ekenapi iriyāpathena cirataraṃ kālaṃ attabhāvaṃ pavattetuṃ sakkoti, tathāpi upādinnakasarīrassa ayaṃ sabhāvoti dassetuṃ vuttaṃ. Yasmā vā bhagavā yattha katthaci vasanto veneyyānaṃ dhammaṃ desento nānāsamāpattīhi ca kālaṃ vītināmento vasatīti sattānaṃ attano ca vividhahitasukhaṃ harati upaneti uppādeti, tasmā vividhaṃ haratīti viharatīti evamettha attho veditabbo.

    เชตสฺส ราชกุมารสฺสาติ เอตฺถ อตฺตโน ปจฺจตฺถิกชนํ ชินาตีติ เชโตฯ โสตสโทฺท วิย หิ กตฺตุสาธโน เชตสโทฺทฯ อถ วา รญฺญา ปเสนทิโกสเลน อตฺตโน ปจฺจตฺถิกชเน ชิเต ชาโตติ เชโตฯ รโญฺญ หิ ชยํ อาโรเปตฺวา กุมาโร ชิตวาติ เชโตติ วุโตฺตฯ มงฺคลกามตาย วา ตสฺส เอวํนามเมว กตนฺติ เชโตฯ มงฺคลกามตาย หิ เชโยฺยติ เอตสฺมิํ อเตฺถ เชโตติ วุตฺตํฯ วิตฺถาโร ปนาติอาทินา ‘‘อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเม’’ติ เอตฺถ สุทโตฺต นาม โส, คหปติ, มาตาปิตูหิ กตนามวเสน, สพฺพกามสมิทฺธตาย ปน วิคตมเจฺฉรตาย กรุณาทิคุณสมงฺคิตาย จ นิจฺจกาลํ อนาถานํ ปิณฺฑมทาสิฯ เตน อนาถปิณฺฑิโกติ สงฺขํ คโตฯ อารมนฺติ เอตฺถ ปาณิโน, วิเสเสน วา ปพฺพชิตาติ อาราโม, ตสฺส ปุปฺผผลาทิโสภาย นาติทูรนจฺจาสนฺนตาทิปญฺจวิธเสนาสนงฺคสมฺปตฺติยา จ ตโต ตโต อาคมฺม รมนฺติ อภิรมนฺติ, อนุกฺกณฺฐิตา หุตฺวา นิวสนฺตีติ อโตฺถฯ วุตฺตปฺปการาย วา สมฺปตฺติยา ตตฺถ ตตฺถ คเตปิ อตฺตโน อพฺภนฺตรํเยว อาเนตฺวา รเมตีติ อาราโมฯ โส หิ อนาถปิณฺฑิเกน คหปตินา เชตสฺส ราชกุมารสฺส หตฺถโต อฎฺฐารสหิรญฺญโกฎีหิ สนฺถาเรน กิณิตฺวา อฎฺฐารสหิรญฺญโกฎีหิ เสนาสนานิ การาเปตฺวา อฎฺฐารสหิรญฺญโกฎีหิ วิหารมหํ นิฎฺฐาเปตฺวา เอวํ จตุปญฺญาสหิรญฺญโกฎิปริจฺจาเคน พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส นิยฺยาติโต, ตสฺมา ‘‘อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราโม’’ติ วุจฺจตีติ อิมมตฺถํ นิทเสฺสติฯ

    Jetassarājakumārassāti ettha attano paccatthikajanaṃ jinātīti jeto. Sotasaddo viya hi kattusādhano jetasaddo. Atha vā raññā pasenadikosalena attano paccatthikajane jite jātoti jeto. Rañño hi jayaṃ āropetvā kumāro jitavāti jetoti vutto. Maṅgalakāmatāya vā tassa evaṃnāmameva katanti jeto. Maṅgalakāmatāya hi jeyyoti etasmiṃ atthe jetoti vuttaṃ. Vitthāro panātiādinā ‘‘anāthapiṇḍikassa ārāme’’ti ettha sudatto nāma so, gahapati, mātāpitūhi katanāmavasena, sabbakāmasamiddhatāya pana vigatamaccheratāya karuṇādiguṇasamaṅgitāya ca niccakālaṃ anāthānaṃ piṇḍamadāsi. Tena anāthapiṇḍikoti saṅkhaṃ gato. Āramanti ettha pāṇino, visesena vā pabbajitāti ārāmo, tassa pupphaphalādisobhāya nātidūranaccāsannatādipañcavidhasenāsanaṅgasampattiyā ca tato tato āgamma ramanti abhiramanti, anukkaṇṭhitā hutvā nivasantīti attho. Vuttappakārāya vā sampattiyā tattha tattha gatepi attano abbhantaraṃyeva ānetvā rametīti ārāmo. So hi anāthapiṇḍikena gahapatinā jetassa rājakumārassa hatthato aṭṭhārasahiraññakoṭīhi santhārena kiṇitvā aṭṭhārasahiraññakoṭīhi senāsanāni kārāpetvā aṭṭhārasahiraññakoṭīhi vihāramahaṃ niṭṭhāpetvā evaṃ catupaññāsahiraññakoṭipariccāgena buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa niyyātito, tasmā ‘‘anāthapiṇḍikassa ārāmo’’ti vuccatīti imamatthaṃ nidasseti.

    ตตฺถาติ ‘‘เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเม’’ติ ยํ วุตฺตํ วากฺยํ, ตตฺถฯ สิยาติ กสฺสจิ เอวํ ปริวิตโกฺก สิยา, วกฺขมานากาเรน กทาจิ โจเทยฺย วาติ อโตฺถฯ อถ ตตฺถ วิหรตีติ ยทิ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเม วิหรติฯ น วตฺตพฺพนฺติ นานาฐานภูตตฺตา สาวตฺถิเชตวนานํ, ‘‘เอกํ สมย’’นฺติ จ วุตฺตตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ อิทานิ โจทโก ตเมว อตฺตโน อธิปฺปายํ ‘‘น หิ สกฺกา’’ติอาทินา วิวรติฯ อิตโร สพฺพเมตํ อวิปรีตํ อตฺถํ อชานเนฺตน ตยา วุตฺตนฺติ ทเสฺสโนฺต ‘‘น โข ปเนตํ เอวํ ทฎฺฐพฺพ’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ เอตนฺติ ‘‘สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเม’’ติ เอตํ วจนํฯ เอวนฺติ ‘‘ยทิ ตาว ภควา’’ติอาทินา ยํ ตํ ภวตา โจทิตํ, ตํ อตฺถโต เอวํ น โข ปน ทฎฺฐพฺพํ, น อุภยตฺถ อปุพฺพํ อจริมํ วิหารทสฺสนตฺถนฺติ อโตฺถฯ อิทานิ อตฺตนา ยถาธิเปฺปตํ อวิปรีตมตฺถํ, ตสฺส จ ปฎิกเจฺจว วุตฺตภาวํ, เตน จ อปฺปฎิวิทฺธตํ ปกาเสโนฺต ‘‘นนุ อโวจุมฺห…เป.… เชตวเน’’ติ อาหฯ เอวมฺปิ ‘‘เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเม วิหรติ’’เจฺจว วตฺตพฺพํ, น ‘‘สาวตฺถิย’’นฺติ โจทนํ มนสิ กตฺวา วุตฺตํ – ‘‘โคจรคามนิทสฺสนตฺถ’’นฺติอาทิฯ

    Tatthāti ‘‘ekaṃ samayaṃ bhagavā sāvatthiyaṃ viharati jetavane anāthapiṇḍikassa ārāme’’ti yaṃ vuttaṃ vākyaṃ, tattha. Siyāti kassaci evaṃ parivitakko siyā, vakkhamānākārena kadāci codeyya vāti attho. Atha tattha viharatīti yadi jetavane anāthapiṇḍikassa ārāme viharati. Na vattabbanti nānāṭhānabhūtattā sāvatthijetavanānaṃ, ‘‘ekaṃ samaya’’nti ca vuttattāti adhippāyo. Idāni codako tameva attano adhippāyaṃ ‘‘na hi sakkā’’tiādinā vivarati. Itaro sabbametaṃ aviparītaṃ atthaṃ ajānantena tayā vuttanti dassento ‘‘na kho panetaṃ evaṃ daṭṭhabba’’ntiādimāha. Tattha etanti ‘‘sāvatthiyaṃ viharati jetavane anāthapiṇḍikassa ārāme’’ti etaṃ vacanaṃ. Evanti ‘‘yadi tāva bhagavā’’tiādinā yaṃ taṃ bhavatā coditaṃ, taṃ atthato evaṃ na kho pana daṭṭhabbaṃ, na ubhayattha apubbaṃ acarimaṃ vihāradassanatthanti attho. Idāni attanā yathādhippetaṃ aviparītamatthaṃ, tassa ca paṭikacceva vuttabhāvaṃ, tena ca appaṭividdhataṃ pakāsento ‘‘nanu avocumha…pe… jetavane’’ti āha. Evampi ‘‘jetavane anāthapiṇḍikassa ārāme viharati’’cceva vattabbaṃ, na ‘‘sāvatthiya’’nti codanaṃ manasi katvā vuttaṃ – ‘‘gocaragāmanidassanattha’’ntiādi.

    อวสฺสเญฺจตฺถ โคจรคามกิตฺตนํ กตฺตพฺพํฯ ตถา หิ ตํ ยถา เชตวนาทิกิตฺตนํ ปพฺพชิตานุคฺคหกรณาทิอเนกปฺปโยชนํ, เอวํ โคจรคามกิตฺตนมฺปิ คหฎฺฐานุคฺคหกรณาทิวิวิธปโยชนนฺติ ทเสฺสโนฺต ‘‘สาวตฺถิวจเนนา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปจฺจยคฺคหเณน อุปสงฺกมปยิรุปาสนานํ โอกาสทาเนน ธมฺมเทสนาย สรเณสุ สีเลสุ จ ปติฎฺฐาปเนน ยถูปนิสฺสยํ อุปริวิเสสาธิคมาวหเนน จ คหฎฺฐานุคฺคหกรณํ, อุคฺคหปริปุจฺฉานํ กมฺมฎฺฐานานุโยคสฺส จ อนุรูปวสนฎฺฐานปริคฺคเหเนตฺถ ปพฺพชิตานุคฺคหกรณํ เวทิตพฺพํฯ กรุณาย อุปคมนํ, น ลาภาทินิมิตฺตํฯ ปญฺญาย อปคมนํ, น วิโรธาทินิมิตฺตนฺติ อุปคมนาปคมนานํ นิรุปกฺกิเลสตํ วิภาเวติฯ ธมฺมิกสุขํ นาม อนวชฺชสุขํฯ เทวตานํ อุปการพหุลตา ชนวิวิตฺตตายฯ ปจุรชนวิวิตฺตญฺหิ ฐานํ เทวา อุปสงฺกมิตพฺพํ มญฺญนฺติฯ ตทตฺถปรินิปฺผาทนนฺติ โลกตฺถนิปฺผาทนํ, พุทฺธกิจฺจสมฺปาทนนฺติ อโตฺถฯ เอวมาทินาติ อาทิ-สเทฺทน สาวตฺถิกิตฺตเนน รูปกายสฺส อนุคฺคณฺหนํ ทเสฺสติ, เชตวนาทิกิตฺตเนน ธมฺมกายสฺสฯ ตถา ปุริเมน ปราธีนกิริยากรณํ, ทุติเยน อตฺตาธีนกิริยากรณํฯ ปุริเมน วา กรุณากิจฺจํ, อิตเรน ปญฺญากิจฺจํฯ ปุริเมน จสฺส ปรมาย อนุกมฺปาย สมนฺนาคมํ, ปจฺฉิเมน ปรมาย อุเปกฺขาย สมนฺนาคมํ ทีเปติฯ ภควา หิ สพฺพสเตฺต ปรมาย อนุกมฺปาย อนุกมฺปติ, น จ ตตฺถ สิเนหโทสานุปติโต ปรมุเปกฺขกภาวโตฯ อุเปกฺขโก จ น ปรหิตสุขกรเณ อโปฺปสฺสุโกฺก มหาการุณิกภาวโตฯ ตสฺส มหาการุณิกตาย โลกนาถตา, อุเปกฺขกตาย อตฺตนาถตาฯ

    Avassañcettha gocaragāmakittanaṃ kattabbaṃ. Tathā hi taṃ yathā jetavanādikittanaṃ pabbajitānuggahakaraṇādianekappayojanaṃ, evaṃ gocaragāmakittanampi gahaṭṭhānuggahakaraṇādivividhapayojananti dassento ‘‘sāvatthivacanenā’’tiādimāha. Tattha paccayaggahaṇena upasaṅkamapayirupāsanānaṃ okāsadānena dhammadesanāya saraṇesu sīlesu ca patiṭṭhāpanena yathūpanissayaṃ uparivisesādhigamāvahanena ca gahaṭṭhānuggahakaraṇaṃ, uggahaparipucchānaṃ kammaṭṭhānānuyogassa ca anurūpavasanaṭṭhānapariggahenettha pabbajitānuggahakaraṇaṃ veditabbaṃ. Karuṇāya upagamanaṃ, na lābhādinimittaṃ. Paññāya apagamanaṃ, na virodhādinimittanti upagamanāpagamanānaṃ nirupakkilesataṃ vibhāveti. Dhammikasukhaṃ nāma anavajjasukhaṃ. Devatānaṃ upakārabahulatā janavivittatāya. Pacurajanavivittañhi ṭhānaṃ devā upasaṅkamitabbaṃ maññanti. Tadatthaparinipphādananti lokatthanipphādanaṃ, buddhakiccasampādananti attho. Evamādināti ādi-saddena sāvatthikittanena rūpakāyassa anuggaṇhanaṃ dasseti, jetavanādikittanena dhammakāyassa. Tathā purimena parādhīnakiriyākaraṇaṃ, dutiyena attādhīnakiriyākaraṇaṃ. Purimena vā karuṇākiccaṃ, itarena paññākiccaṃ. Purimena cassa paramāya anukampāya samannāgamaṃ, pacchimena paramāya upekkhāya samannāgamaṃ dīpeti. Bhagavā hi sabbasatte paramāya anukampāya anukampati, na ca tattha sinehadosānupatito paramupekkhakabhāvato. Upekkhako ca na parahitasukhakaraṇe appossukko mahākāruṇikabhāvato. Tassa mahākāruṇikatāya lokanāthatā, upekkhakatāya attanāthatā.

    ตถา เหส โพธิสตฺตภูโต มหากรุณาย สโญฺจทิตมานโส สกลโลกหิตาย อุสฺสุกฺกมาปโนฺน มหาภินีหารโต ปฎฺฐาย ตทตฺถนิปฺผาทนตฺถํ ปุญฺญญาณสมฺภาเร สมฺปาเทโนฺต อปริมิตํ กาลํ อนปฺปกํ ทุกฺขมนุโภสิ, อุเปกฺขกตาย สมฺมา ปติเตหิ ทุเกฺขหิ น วิกมฺปิตตาฯ มหาการุณิกตาย สํสาราภิมุขตา, อุเปกฺขกตาย ตโต นิพฺพินฺทนาฯ ตถา อุเปกฺขกตาย นิพฺพานาภิมุขตา, มหาการุณิกตาย ตทธิคโมฯ ตถา มหาการุณิกตาย ปเรสํ อหิํสาปนํ, อุเปกฺขกตาย สยํ ปเรหิ อภายนํฯ มหาการุณิกตาย ปรํ รกฺขโต อตฺตโน รกฺขณํ, อุเปกฺขกตาย อตฺตานํ รกฺขโต ปเรสํ รกฺขณํฯ เตนสฺส อตฺตหิตาย ปฎิปนฺนาทีสุ จตุตฺถปุคฺคลภาโว สิโทฺธ โหติฯ ตถา มหาการุณิกตาย สจฺจาธิฎฺฐานสฺส จ จาคาธิฎฺฐานสฺส จ ปาริปูรี, อุเปกฺขกตาย อุปสมาธิฎฺฐานสฺส จ ปญฺญาธิฎฺฐานสฺส จ ปาริปูรี ฯ เอวํ ปุริสุทฺธาสยปฺปโยคสฺส มหาการุณิกตาย โลกหิตตฺถเมว รชฺชสมฺปทาทิภวสมฺปตฺติยา อุปคมนํ, อุเปกฺขกตาย ติณายปิ อมญฺญมานสฺส ตโต อปคมนํฯ อิติ สุวิสุทฺธอุปคมาปคมสฺส มหาการุณิกตาย โลกหิตตฺถเมว ทานวเสน สมฺปตฺตีนํ ปริจฺจชนา, อุเปกฺขกตาย จสฺส ผลสฺส อตฺตโน อปจฺจาสีสนาฯ เอวํ สมุทาคมนโต ปฎฺฐาย อจฺฉริยพฺภุตคุณสมนฺนาคตสฺส มหาการุณิกตาย ปเรสํ หิตสุขตฺถํ อติทุกฺกรการิตา, อุเปกฺขกตาย กายมฺปิ อนลงฺการิตาฯ

    Tathā hesa bodhisattabhūto mahākaruṇāya sañcoditamānaso sakalalokahitāya ussukkamāpanno mahābhinīhārato paṭṭhāya tadatthanipphādanatthaṃ puññañāṇasambhāre sampādento aparimitaṃ kālaṃ anappakaṃ dukkhamanubhosi, upekkhakatāya sammā patitehi dukkhehi na vikampitatā. Mahākāruṇikatāya saṃsārābhimukhatā, upekkhakatāya tato nibbindanā. Tathā upekkhakatāya nibbānābhimukhatā, mahākāruṇikatāya tadadhigamo. Tathā mahākāruṇikatāya paresaṃ ahiṃsāpanaṃ, upekkhakatāya sayaṃ parehi abhāyanaṃ. Mahākāruṇikatāya paraṃ rakkhato attano rakkhaṇaṃ, upekkhakatāya attānaṃ rakkhato paresaṃ rakkhaṇaṃ. Tenassa attahitāya paṭipannādīsu catutthapuggalabhāvo siddho hoti. Tathā mahākāruṇikatāya saccādhiṭṭhānassa ca cāgādhiṭṭhānassa ca pāripūrī, upekkhakatāya upasamādhiṭṭhānassa ca paññādhiṭṭhānassa ca pāripūrī . Evaṃ purisuddhāsayappayogassa mahākāruṇikatāya lokahitatthameva rajjasampadādibhavasampattiyā upagamanaṃ, upekkhakatāya tiṇāyapi amaññamānassa tato apagamanaṃ. Iti suvisuddhaupagamāpagamassa mahākāruṇikatāya lokahitatthameva dānavasena sampattīnaṃ pariccajanā, upekkhakatāya cassa phalassa attano apaccāsīsanā. Evaṃ samudāgamanato paṭṭhāya acchariyabbhutaguṇasamannāgatassa mahākāruṇikatāya paresaṃ hitasukhatthaṃ atidukkarakāritā, upekkhakatāya kāyampi analaṅkāritā.

    ตถา มหาการุณิกตาย จริมตฺตภาเว ชิณฺณาตุรมตทสฺสเนน สญฺชาตสํเวโค, อุเปกฺขกตาย อุฬาเรสุ เทวโภคสทิเสสุ โภเคสุ นิรเปโกฺข มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขมิฯ ตถา มหาการุณิกตาย ‘‘กิจฺฉํ วตายํ โลโก อาปโนฺน’’ติอาทินา (ที. นิ. ๒.๕๗; สํ. นิ. ๒.๔, ๑๐) กรุณามุเขเนว วิปสฺสนารโมฺภ, อุเปกฺขกตาย พุทฺธภูตสฺส สตฺต สตฺตาหานิ วิเวกสุเขเนว วีตินามนํฯ มหาการุณิกตาย ธมฺมคมฺภีรตํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ธมฺมเทสนาย อโปฺปสฺสุกฺกนํ อาปชฺชิตฺวาปิ มหาพฺรหฺมุโน อเชฺฌสนาปเทเสน โอกาสกรณํ, อุเปกฺขกตาย ปญฺจวคฺคิยาทิเวเนยฺยานํ อนนุรูปสมุทาจาเรปิ อนญฺญถาภาโวฯ มหาการุณิกตาย กตฺถจิ ปฎิฆาตาภาเวนสฺส สพฺพตฺถ อมิตฺตสญฺญาภาโว, อุเปกฺขกตาย กตฺถจิปิ อนุโรธาภาเวน สพฺพตฺถ สิเนหสนฺถวาภาโวฯ มหาการุณิกตาย ปเรสํ ปสาทนา, อุเปกฺขกตาย ปสนฺนากาเรหิ น วิกมฺปนาฯ มหาการุณิกตาย ธมฺมานุราคาภาเวน ตตฺถ อาจริยมุฎฺฐิอภาโว, อุเปกฺขกตาย สาวกานุราคาภาเวน ปริวารปริกมฺมตาภาโวฯ มหาการุณิกตาย ธมฺมํ เทเสตุํ ปเรหิ สํสคฺคมุปคจฺฉโตปิ อุเปกฺขกตาย น ตตฺถ อภิรติฯ มหาการุณิกตาย คามาทีนํ อาสนฺนฎฺฐาเน วสโตปิ อุเปกฺขกตาย อรญฺญฎฺฐาเน เอว วิหรณํฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ปุริเมนสฺส ปรมาย อนุกมฺปาย สมนฺนาคมํ ทีเปตี’’ติฯ

    Tathā mahākāruṇikatāya carimattabhāve jiṇṇāturamatadassanena sañjātasaṃvego, upekkhakatāya uḷāresu devabhogasadisesu bhogesu nirapekkho mahābhinikkhamanaṃ nikkhami. Tathā mahākāruṇikatāya ‘‘kicchaṃ vatāyaṃ loko āpanno’’tiādinā (dī. ni. 2.57; saṃ. ni. 2.4, 10) karuṇāmukheneva vipassanārambho, upekkhakatāya buddhabhūtassa satta sattāhāni vivekasukheneva vītināmanaṃ. Mahākāruṇikatāya dhammagambhīrataṃ paccavekkhitvā dhammadesanāya appossukkanaṃ āpajjitvāpi mahābrahmuno ajjhesanāpadesena okāsakaraṇaṃ, upekkhakatāya pañcavaggiyādiveneyyānaṃ ananurūpasamudācārepi anaññathābhāvo. Mahākāruṇikatāya katthaci paṭighātābhāvenassa sabbattha amittasaññābhāvo, upekkhakatāya katthacipi anurodhābhāvena sabbattha sinehasanthavābhāvo. Mahākāruṇikatāya paresaṃ pasādanā, upekkhakatāya pasannākārehi na vikampanā. Mahākāruṇikatāya dhammānurāgābhāvena tattha ācariyamuṭṭhiabhāvo, upekkhakatāya sāvakānurāgābhāvena parivāraparikammatābhāvo. Mahākāruṇikatāya dhammaṃ desetuṃ parehi saṃsaggamupagacchatopi upekkhakatāya na tattha abhirati. Mahākāruṇikatāya gāmādīnaṃ āsannaṭṭhāne vasatopi upekkhakatāya araññaṭṭhāne eva viharaṇaṃ. Tena vuttaṃ – ‘‘purimenassa paramāya anukampāya samannāgamaṃ dīpetī’’ti.

    นฺติ ตตฺราติ ปทํฯ ‘‘เทสกาลปริทีปน’’นฺติ เย เทสกาลา อิธ วิหรณกิริยาวิเสสนภาเวน วุตฺตา, เตสํ ปริทีปนนฺติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ยํ สมยํ…เป.… ทีเปตี’’ติ อาหฯ ตํ-สโทฺท หิ วุตฺตสฺส อตฺถสฺส ปฎินิเทฺทโส, ตสฺมา อิธ กาลสฺส เทสสฺส วา ปฎินิเทฺทโส ภวิตุมรหติ, น อญฺญสฺสฯ อยํ ตาว ตตฺร-สทฺทสฺส ปฎินิเทฺทสภาเว อตฺถวิภาวนาฯ ยสฺมา ปน อีทิเสสุ ฐาเนสุ ตตฺร-สโทฺท ธมฺมเทสนาวิสิฎฺฐํ เทสกาลญฺจ วิภาเวติ, ตสฺมา วุตฺตํ – ‘‘ภาสิตพฺพยุเตฺต วา เทสกาเล ทีเปตี’’ติฯ เตน ตตฺราติ ยตฺร ภควา ธมฺมเทสนตฺถํ ภิกฺขู อาลปติ ภาสติ, ตาทิเส เทเส, กาเล วาติ อโตฺถฯ น หีติอาทินา ตเมวตฺถํ สมเตฺถติฯ นนุ จ ยตฺถ ฐิโต ภควา ‘‘อกาโล โข ตาวา’’ติอาทินา พาหิยสฺส ธมฺมเทสนํ ปฎิกฺขิปิ, ตเตฺถว อนฺตรวีถิยํ ฐิโต ตสฺส ธมฺมํ เทเสสีติ? สจฺจเมตํ, อเทเสตพฺพกาเล อเทสนาย อิทํ อุทาหรณํฯ เตเนวาห – ‘‘อกาโล โข ตาวา’’ติฯ

    Tanti tatrāti padaṃ. ‘‘Desakālaparidīpana’’nti ye desakālā idha viharaṇakiriyāvisesanabhāvena vuttā, tesaṃ paridīpananti dassento ‘‘yaṃ samayaṃ…pe… dīpetī’’ti āha. Taṃ-saddo hi vuttassa atthassa paṭiniddeso, tasmā idha kālassa desassa vā paṭiniddeso bhavitumarahati, na aññassa. Ayaṃ tāva tatra-saddassa paṭiniddesabhāve atthavibhāvanā. Yasmā pana īdisesu ṭhānesu tatra-saddo dhammadesanāvisiṭṭhaṃ desakālañca vibhāveti, tasmā vuttaṃ – ‘‘bhāsitabbayutte vā desakāle dīpetī’’ti. Tena tatrāti yatra bhagavā dhammadesanatthaṃ bhikkhū ālapati bhāsati, tādise dese, kāle vāti attho. Na hītiādinā tamevatthaṃ samattheti. Nanu ca yattha ṭhito bhagavā ‘‘akālo kho tāvā’’tiādinā bāhiyassa dhammadesanaṃ paṭikkhipi, tattheva antaravīthiyaṃ ṭhito tassa dhammaṃ desesīti? Saccametaṃ, adesetabbakāle adesanāya idaṃ udāharaṇaṃ. Tenevāha – ‘‘akālo kho tāvā’’ti.

    ยํ ปน ตตฺถ วุตฺตํ – ‘‘อนฺตรฆรํ ปวิฎฺฐมฺหา’’ติ, ตมฺปิ ตสฺส อกาลภาวเสฺสว ปริยาเยน ทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ ตสฺส หิ ตทา อทฺธานปริสฺสเมน รูปกาเย อกมฺมญฺญตา อโหสิ, พลวปีติเวเคน นามกาเยฯ ตทุภยสฺส วูปสมํ อาคเมโนฺต ปปญฺจปริหารตฺถํ ภควา ‘‘อกาโล โข’’ติ ปริยาเยน ปฎิกฺขิปิฯ อเทเสตพฺพเทเส อเทสนาย ปน อุทาหรณํ ‘‘อถ โข ภควา มคฺคา โอกฺกมฺม อญฺญตรสฺมิํ รุกฺขมูเล นิสีทิ (สํ. นิ. ๒.๑๕๔), วิหารปจฺฉายายํ ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีที’’ติ (ที. นิ. ๑.๓๖๓) จ เอวมาทิกํ อิธ อาทิสเทฺทน สงฺคหิตํฯ ‘‘อถ โข โส, ภิกฺขเว, พาโล อิธ ปุเพฺพ เนสาโท อิธ ปาปานิ กมฺมานิ กริตฺวา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๒๕๑) ปทปูรณมเตฺต โข-สโทฺท, ‘‘ทุกฺขํ โข อคารโว วิหรติ อปฺปติโสฺส’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๔.๒๑) อวธารเณ, ‘‘กิตฺตาวตา นุ โข, อาวุโส, สตฺถุ ปวิวิตฺตสฺส วิหรโต สาวกา วิเวกํ นานุสิกฺขนฺตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๑) อาทิกาลเตฺถ, วากฺยารเมฺภติ อโตฺถฯ ตตฺถ ปทปูรเณน วจนาลงฺการมตฺตํ กตํ โหติ, อาทิกาลเตฺถน วากฺยสฺส อุปญฺญาสมตฺตํฯ อวธารณเตฺถน ปน นิยมทสฺสนํ, ตสฺมา อามเนฺตสิ เอวาติ อามนฺตเน นิยโม ทสฺสิโต โหติฯ

    Yaṃ pana tattha vuttaṃ – ‘‘antaragharaṃ paviṭṭhamhā’’ti, tampi tassa akālabhāvasseva pariyāyena dassanatthaṃ vuttaṃ. Tassa hi tadā addhānaparissamena rūpakāye akammaññatā ahosi, balavapītivegena nāmakāye. Tadubhayassa vūpasamaṃ āgamento papañcaparihāratthaṃ bhagavā ‘‘akālo kho’’ti pariyāyena paṭikkhipi. Adesetabbadese adesanāya pana udāharaṇaṃ ‘‘atha kho bhagavā maggā okkamma aññatarasmiṃ rukkhamūle nisīdi (saṃ. ni. 2.154), vihārapacchāyāyaṃ paññatte āsane nisīdī’’ti (dī. ni. 1.363) ca evamādikaṃ idha ādisaddena saṅgahitaṃ. ‘‘Atha kho so, bhikkhave, bālo idha pubbe nesādo idha pāpāni kammāni karitvā’’tiādīsu (ma. ni. 3.251) padapūraṇamatte kho-saddo, ‘‘dukkhaṃ kho agāravo viharati appatisso’’tiādīsu (a. ni. 4.21) avadhāraṇe, ‘‘kittāvatā nu kho, āvuso, satthu pavivittassa viharato sāvakā vivekaṃ nānusikkhantī’’tiādīsu (ma. ni. 1.31) ādikālatthe, vākyārambheti attho. Tattha padapūraṇena vacanālaṅkāramattaṃ kataṃ hoti, ādikālatthena vākyassa upaññāsamattaṃ. Avadhāraṇatthena pana niyamadassanaṃ, tasmā āmantesi evāti āmantane niyamo dassito hoti.

    ภควาติ โลกครุทีปนนฺติ กสฺมา วุตฺตํ, นนุ ปุเพฺพปิ ภควาสทฺทสฺส อโตฺถ วุโตฺตติ? ยทิปิ วุโตฺต, ตํ ปนสฺส ยถาวุเตฺต ฐาเน วิหรณกิริยาย กตฺตุ วิเสสทสฺสนตฺถํ กตํ, น อามนฺตนกิริยาย, อิธ ปน อามนฺตนกิริยาย, ตสฺมา ตทตฺถํ ปุน ‘‘ภควา’’ติ ปาฬิยํ วุตฺตนฺติ ตสฺสตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘ภควาติ โลกครุทีปน’’นฺติ อาหฯ เตน โลกครุภาวโต ตทนุรูปํ ปฎิปตฺติํ ปเตฺถโนฺต อตฺตโน สนฺติกํ อุปคตานํ ภิกฺขูนํ อชฺฌาสยานุรูปํ ธมฺมํ เทเสตุํ เต อามเนฺตสีติ ทเสฺสติฯ กถาสวนยุตฺตปุคฺคลวจนนฺติ วกฺขมานาย จิตฺตปริยาทานเทสนาย สวนโยคฺคปุคฺคลวจนํฯ จตูสุปิ ปริสาสุ ภิกฺขู เอว เอทิสานํ เทสนานํ วิเสเสน ภาชนภูตาติ สาติสยํ สาสนสมฺปฎิคฺคาหกภาวทสฺสนตฺถํ อิธ ภิกฺขุคฺคหณนฺติ ทเสฺสตฺวา อิทานิ สทฺทตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘อปิจา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ภิกฺขโกติ ภิกฺขูติ ภิกฺขนธมฺมตาย ภิกฺขูติ อโตฺถฯ ภิกฺขาจริยํ อชฺฌุปคโตติ พุทฺธาทีหิ อชฺฌุปคตํ ภิกฺขาจริยํ, อุญฺฉาจริยํ, อชฺฌุปคตตฺตา อนุฎฺฐิตตฺตา ภิกฺขุฯ โย หิ อปฺปํ วา มหนฺตํ วา โภคกฺขนฺธํ ปหาย อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต, โส กสิโครกฺขาทิชีวิกากปฺปนํ หิตฺวา ลิงฺคสมฺปฎิจฺฉเนเนว ภิกฺขาจริยํ อชฺฌุปคตตฺตา ภิกฺขุ, ปรปฺปฎิพทฺธชีวิกตฺตา วา วิหารมเชฺฌ กาชภตฺตํ ภุญฺชมาโนปิ ภิกฺขาจริยํ อชฺฌุปคโตติ ภิกฺขุ, ปิณฺฑิยาโลปโภชนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชาย อุสฺสาหชาตตฺตา วา ภิกฺขาจริยํ อชฺฌุปคโตติ ภิกฺขูติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ อาทินา นเยนาติ ‘‘ฉินฺนภินฺนปฎธโรติ ภิกฺขุ, ภินฺทติ ปาปเก อกุสเล ธเมฺมติ ภิกฺขุ, ภินฺนตฺตา ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ ภิกฺขู’’ติอาทินา (วิภ. ๕๑๐) วิภเงฺค อาคตนเยนฯ ญาปเนติ อวโพธเน, ปฎิเวทเนติ อโตฺถฯ

    Bhagavāti lokagarudīpananti kasmā vuttaṃ, nanu pubbepi bhagavāsaddassa attho vuttoti? Yadipi vutto, taṃ panassa yathāvutte ṭhāne viharaṇakiriyāya kattu visesadassanatthaṃ kataṃ, na āmantanakiriyāya, idha pana āmantanakiriyāya, tasmā tadatthaṃ puna ‘‘bhagavā’’ti pāḷiyaṃ vuttanti tassatthaṃ dassetuṃ ‘‘bhagavāti lokagarudīpana’’nti āha. Tena lokagarubhāvato tadanurūpaṃ paṭipattiṃ patthento attano santikaṃ upagatānaṃ bhikkhūnaṃ ajjhāsayānurūpaṃ dhammaṃ desetuṃ te āmantesīti dasseti. Kathāsavanayuttapuggalavacananti vakkhamānāya cittapariyādānadesanāya savanayoggapuggalavacanaṃ. Catūsupi parisāsu bhikkhū eva edisānaṃ desanānaṃ visesena bhājanabhūtāti sātisayaṃ sāsanasampaṭiggāhakabhāvadassanatthaṃ idha bhikkhuggahaṇanti dassetvā idāni saddatthaṃ dassetuṃ ‘‘apicā’’tiādimāha. Tattha bhikkhakoti bhikkhūti bhikkhanadhammatāya bhikkhūti attho. Bhikkhācariyaṃ ajjhupagatoti buddhādīhi ajjhupagataṃ bhikkhācariyaṃ, uñchācariyaṃ, ajjhupagatattā anuṭṭhitattā bhikkhu. Yo hi appaṃ vā mahantaṃ vā bhogakkhandhaṃ pahāya agārasmā anagāriyaṃ pabbajito, so kasigorakkhādijīvikākappanaṃ hitvā liṅgasampaṭicchaneneva bhikkhācariyaṃ ajjhupagatattā bhikkhu, parappaṭibaddhajīvikattā vā vihāramajjhe kājabhattaṃ bhuñjamānopi bhikkhācariyaṃ ajjhupagatoti bhikkhu, piṇḍiyālopabhojanaṃ nissāya pabbajjāya ussāhajātattā vā bhikkhācariyaṃ ajjhupagatoti bhikkhūti evamettha attho daṭṭhabbo. Ādinā nayenāti ‘‘chinnabhinnapaṭadharoti bhikkhu, bhindati pāpake akusale dhammeti bhikkhu, bhinnattā pāpakānaṃ akusalānaṃ dhammānaṃ bhikkhū’’tiādinā (vibha. 510) vibhaṅge āgatanayena. Ñāpaneti avabodhane, paṭivedaneti attho.

    ภิกฺขนสีลตาติ ภิกฺขเนน ชีวนสีลตา, น กสิวาณิชฺชาทินา ชีวนสีลตาฯ ภิกฺขนธมฺมตาติ ‘‘อุทฺทิสฺส อริยา ติฎฺฐนฺตี’’ติ (ชา. ๑.๗.๕๙) เอวํ วุตฺตา ภิกฺขนสภาวตา, น ยาจนโกหญฺญสภาวตาฯ ภิกฺขเน สาธุการิตาติ ‘‘อุตฺติเฎฺฐ นปฺปมเชฺชยฺยา’’ติ (ธ. ป. ๑๖๘) วจนํ อนุสฺสริตฺวา ตตฺถ อปฺปมชฺชนาฯ อถ วา สีลํ นาม ปกติสภาโว, อิธ ปน ตทธิฎฺฐานํฯ ธโมฺมติ วตํฯ สาธุการิตาติ สกฺกจฺจการิตา อาทรกิริยาฯ หีนาธิกชนเสวิตนฺติ เย ภิกฺขุภาเว ฐิตาปิ ชาติมทาทิวเสน อุทฺธตา อุนฺนฬา, เย จ คิหิภาเว ปเรสํ อธิกภาวมฺปิ อนุปคตตฺตา ภิกฺขาจริยํ ปรมการุญฺญตํ มญฺญนฺติ, เตสํ อุภเยสมฺปิ ยถากฺกมํ ‘‘ภิกฺขโว’’ติ วจเนน หีนชเนหิ ทลิเทฺทหิ ปรมการุญฺญตํ ปเตฺตหิ ปรกุเลสุ ภิกฺขาจริยาย ชีวิกํ กเปฺปเนฺตหิ เสวิตํ วุตฺติํ ปกาเสโนฺต อุทฺธตภาวนิคฺคหํ กโรติฯ อธิกชเนหิ อุฬารโภคขตฺติยกุลาทิโต ปพฺพชิเตหิ พุทฺธาทีหิ อาชีววิโสธนตฺถํ เสวิตํ วุตฺติํ ปกาเสโนฺต ทีนภาวนิคฺคหํ กโรตีติ โยเชตพฺพํฯ ยสฺมา ‘‘ภิกฺขโว’’ติ วจนํ อามนฺตนภาวโต อภิมุขีกรณํ, ปกรณโต สามตฺถิยโต จ สุสฺสุสาชนนํ สกฺกจฺจสวนมนสิการนิโยชนญฺจ โหติ, ตสฺมา ตมตฺถํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ภิกฺขโวติ อิมินา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ สาธุกํ สวนมนสิกาเรติ สาธุกสวเน สาธุกมนสิกาเร จฯ กถํ ปน ปวตฺติตา สวนาทโย สาธุกํ ปวตฺติตา โหนฺตีติ? ‘‘อทฺธา อิมาย สมฺมาปฎิปตฺติยา สกลสาสนสมฺปตฺติ หตฺถคตา ภวิสฺสตี’’ติ อาทรคารวโยเคน กถาทีสุ อปริภวาทินา จฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘ปญฺจหิ, ภิกฺขเว, ธเมฺมหิ สมนฺนาคโต สุณโนฺต สทฺธมฺมํ ภโพฺพ นิยามํ โอกฺกมิตุํ กุสเลสุ ธเมฺมสุ สมฺมตฺตํฯ กตเมหิ ปญฺจหิ? กถํ น ปริโภติ, กถิตํ น ปริโภติ, น อตฺตานํ ปริโภติ, อวิกฺขิตฺตจิโตฺต ธมฺมํ สุณาติ เอกคฺคจิโตฺต, โยนิโส จ มนสิกโรติฯ อิเมหิ โข, ภิกฺขเว, ปญฺจหิ ธเมฺมหิ สมนฺนาคโต สุณโนฺต สทฺธมฺมํ ภโพฺพ นิยามํ โอกฺกมิตุํ กุสเลสุ ธเมฺมสุ สมฺมตฺต’’นฺติ (อ. นิ. ๕.๑๕๑)ฯ เตเนวาห – ‘‘สาธุกํ สวนมนสิการายตฺตา หิ สาสนสมฺปตฺตี’’ติฯ

    Bhikkhanasīlatāti bhikkhanena jīvanasīlatā, na kasivāṇijjādinā jīvanasīlatā. Bhikkhanadhammatāti ‘‘uddissa ariyā tiṭṭhantī’’ti (jā. 1.7.59) evaṃ vuttā bhikkhanasabhāvatā, na yācanakohaññasabhāvatā. Bhikkhane sādhukāritāti ‘‘uttiṭṭhe nappamajjeyyā’’ti (dha. pa. 168) vacanaṃ anussaritvā tattha appamajjanā. Atha vā sīlaṃ nāma pakatisabhāvo, idha pana tadadhiṭṭhānaṃ. Dhammoti vataṃ. Sādhukāritāti sakkaccakāritā ādarakiriyā. Hīnādhikajanasevitanti ye bhikkhubhāve ṭhitāpi jātimadādivasena uddhatā unnaḷā, ye ca gihibhāve paresaṃ adhikabhāvampi anupagatattā bhikkhācariyaṃ paramakāruññataṃ maññanti, tesaṃ ubhayesampi yathākkamaṃ ‘‘bhikkhavo’’ti vacanena hīnajanehi daliddehi paramakāruññataṃ pattehi parakulesu bhikkhācariyāya jīvikaṃ kappentehi sevitaṃ vuttiṃ pakāsento uddhatabhāvaniggahaṃ karoti. Adhikajanehi uḷārabhogakhattiyakulādito pabbajitehi buddhādīhi ājīvavisodhanatthaṃ sevitaṃ vuttiṃ pakāsento dīnabhāvaniggahaṃ karotīti yojetabbaṃ. Yasmā ‘‘bhikkhavo’’ti vacanaṃ āmantanabhāvato abhimukhīkaraṇaṃ, pakaraṇato sāmatthiyato ca sussusājananaṃ sakkaccasavanamanasikāraniyojanañca hoti, tasmā tamatthaṃ dassento ‘‘bhikkhavoti iminā’’tiādimāha. Tattha sādhukaṃ savanamanasikāreti sādhukasavane sādhukamanasikāre ca. Kathaṃ pana pavattitā savanādayo sādhukaṃ pavattitā hontīti? ‘‘Addhā imāya sammāpaṭipattiyā sakalasāsanasampatti hatthagatā bhavissatī’’ti ādaragāravayogena kathādīsu aparibhavādinā ca. Vuttañhi ‘‘pañcahi, bhikkhave, dhammehi samannāgato suṇanto saddhammaṃ bhabbo niyāmaṃ okkamituṃ kusalesu dhammesu sammattaṃ. Katamehi pañcahi? Kathaṃ na paribhoti, kathitaṃ na paribhoti, na attānaṃ paribhoti, avikkhittacitto dhammaṃ suṇāti ekaggacitto, yoniso ca manasikaroti. Imehi kho, bhikkhave, pañcahi dhammehi samannāgato suṇanto saddhammaṃ bhabbo niyāmaṃ okkamituṃ kusalesu dhammesu sammatta’’nti (a. ni. 5.151). Tenevāha – ‘‘sādhukaṃ savanamanasikārāyattā hi sāsanasampattī’’ti.

    ปุเพฺพ สพฺพปริสาสาธารณเตฺตปิ ภควโต ธมฺมเทสนาย ‘‘เชฎฺฐเสฎฺฐา’’ติอาทินา ภิกฺขูนํ เอว อามนฺตเน การณํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ภิกฺขู อามเนฺตตฺวาว ธมฺมเทสนาย ปโยชนํ ทเสฺสตุํ ‘‘กิมตฺถํ ปน ภควา’’ติ โจทนํ สมุฎฺฐาเปติฯ ตตฺถ อญฺญํ จิเนฺตนฺตาติ อญฺญวิหิตาฯ วิกฺขิตฺตจิตฺตาติ อสมาหิตจิตฺตาฯ ธมฺมํ ปจฺจเวกฺขนฺตาติ หิโยฺย ตโต ปรํ ทิวเสสุ วา สุตธมฺมํ ปติ ปติ มนสา อเวกฺขนฺตาฯ ภิกฺขู อามเนฺตตฺวา ธเมฺม เทสิยมาเน อาทิโต ปฎฺฐาย เทสนํ สลฺลเกฺขตุํ สโกฺกนฺตีติ อิมมตฺถํ พฺยติเรกมุเขน ทเสฺสตุํ ‘‘เต อนามเนฺตตฺวา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ

    Pubbe sabbaparisāsādhāraṇattepi bhagavato dhammadesanāya ‘‘jeṭṭhaseṭṭhā’’tiādinā bhikkhūnaṃ eva āmantane kāraṇaṃ dassetvā idāni bhikkhū āmantetvāva dhammadesanāya payojanaṃ dassetuṃ ‘‘kimatthaṃ pana bhagavā’’ti codanaṃ samuṭṭhāpeti. Tattha aññaṃ cintentāti aññavihitā. Vikkhittacittāti asamāhitacittā. Dhammaṃ paccavekkhantāti hiyyo tato paraṃ divasesu vā sutadhammaṃ pati pati manasā avekkhantā. Bhikkhū āmantetvā dhamme desiyamāne ādito paṭṭhāya desanaṃ sallakkhetuṃ sakkontīti imamatthaṃ byatirekamukhena dassetuṃ ‘‘te anāmantetvā’’tiādi vuttaṃ.

    ภิกฺขโวติ เจตฺถ สนฺธิวเสน อิ-การโลโป ทฎฺฐโพฺพฯ ภิกฺขโว อิตีติ อยํ อิติ-สโทฺท เหตุปริสมาปนาทิอตฺถปทตฺถวิปริยายปการาวธารณนิทสฺสนาทิอเนกตฺถปฺปเภโทฯ ตถา เหส ‘‘รุปฺปตีติ โข, ภิกฺขเว, ตสฺมา รูปนฺติ วุจฺจตี’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๓.๗๙) เหตฺวเตฺถ ทิสฺสติฯ ‘‘ตสฺมาติห เม, ภิกฺขเว, ธมฺมทายาทา ภวถ, มา อามิสทายาทาฯ อตฺถิ เม ตุเมฺหสุ อนุกมฺปาฯ กินฺติ เม สาวกา ธมฺมทายาทา ภเวยฺยุํ, โน อามิสทายาทา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๑๙) ปริสมาปเนฯ ‘‘อิติ วา อิติ เอวรูปา นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนา ปฎิวิรโต’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๑๓) อาทิอเตฺถฯ ‘‘มาคณฺฑิโยติ ตสฺส พฺราหฺมณสฺส สงฺขา สมญฺญา ปญฺญตฺติ โวหาโร นามํ นามกมฺมํ นามเธยฺยํ นิรุตฺติ พฺยญฺชนมภิลาโป’’ติอาทีสุ (มหานิ. ๗๓, ๗๕) ปทตฺถวิปริยาเยฯ ‘‘อิติ โข, ภิกฺขเว, สปฺปฎิภโย พาโล, อปฺปฎิภโย ปณฺฑิโต, สอุปทฺทโว พาโล, อนุปทฺทโว ปณฺฑิโต, สอุปสโคฺค พาโล, อนุปสโคฺค ปณฺฑิโต’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๑๒๔) ปกาเรฯ ‘‘อตฺถิ อิทปฺปจฺจยา ชรามรณนฺติ ปุเฎฺฐน สตา, ‘อานนฺท, อตฺถี’ติสฺส วจนียํฯ ‘กิํ ปจฺจยา ชรามรณ’นฺติ อิติ เจ วเทยฺยฯ ชาติปจฺจยา ชรามรณํ อิจฺจสฺส วจนีย’’นฺติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๙๖) อวธารเณฯ ‘‘อตฺถีติ โข, กจฺจาน, อยเมโก อโนฺต, นตฺถีติ โข, กจฺจาน, อยํ ทุติโย อโนฺต’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๒.๑๕; สํ. นิ. ๓.๙๐) นิทสฺสเนฯ อิธาปิ นิทสฺสเน เอว ทฎฺฐโพฺพฯ ภิกฺขโวติ หิ อามนฺตนากาโรฯ ตเมส อิติ-สโทฺท นิทเสฺสติ ‘‘ภิกฺขโวติ อามเนฺตสี’’ติฯ อิมินา นเยน ‘‘ภทฺทเนฺต’’ติอาทีสุปิ ยถารหํ อิติ-สทฺทสฺส อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ปุเพฺพ ‘‘ภควา อามเนฺตสี’’ติ วุตฺตตฺตา ‘‘ภควโต ปจฺจโสฺสสุ’’นฺติ อิธ ‘‘ภควโต’’ติ สามิวจนํ อามนฺตนเมว สมฺพนฺธิอนฺตรํ อเปกฺขตีติ อิมินา อธิปฺปาเยน ‘‘ภควโต อามนฺตนํ ปฎิอโสฺสสุ’’นฺติ วุตฺตํฯ ‘‘ภควโต’’ติ ปน อิทํ ปฎิสฺสวสมฺพเนฺธน สมฺปทานวจนํ ยถา ‘‘เทวทตฺตาย ปฎิสฺสุโณตี’’ติฯ ยํ นิทานํ ภาสิตนฺติ สมฺพโนฺธฯ อิมสฺส สุตฺตสฺส สุขาวคาหณตฺถนฺติ กมลกุวลยุชฺชลวิมลสาทุรสสลิลาย โปกฺขรณิยา สุขาวตรณตฺถํ นิมฺมลสิลาตลรจนาวิลาสโสภิตรตนโสปานํ วิปฺปกิณฺณมุตฺตาตลสทิสวาลุกาจุณฺณปณฺฑรภูมิภาคํ ติตฺถํ วิย สุวิภตฺตภิตฺติวิจิตฺรเวทิกาปริกฺขิตฺตสฺส นกฺขตฺตปถํ ผุสิตุกามตาย วิย ปฎิวิชมฺภิตสมุสฺสยสฺส ปาสาทวรสฺส สุขาโรหนตฺถํ ทนฺตมยสณฺหมุทุผลกญฺจนลตาวินทฺธมณิคณปฺปภาสมุทยุชฺชลโสภํ โสปานํ วิย สุวณฺณวลยนูปุราทิสงฺฆฎฺฎนสทฺทสมฺมิสฺสิตสฺส กถิตหสิตมธุรสฺสรเคหชนวิชมฺภิตวิจริตสฺส อุฬารอิสฺสริยวิภวโสภิตสฺส มหาฆรสฺส สุขปฺปเวสนตฺถํ สุวณฺณรชตมณิมุตฺตาปวาฬาทิชุติวิสฺสรวิโชฺชติตสุปฺปติฎฺฐิตวิสาลทฺวารพาหํ มหาทฺวารํ วิย จ อตฺถพฺยญฺชนสมฺปนฺนสฺส พุทฺธานํ เทสนาญาณคมฺภีรภาวสํสูจกสฺส อิมสฺส สุตฺตสฺส สุขาวคาหตฺถํฯ

    Bhikkhavoti cettha sandhivasena i-kāralopo daṭṭhabbo. Bhikkhavo itīti ayaṃ iti-saddo hetuparisamāpanādiatthapadatthavipariyāyapakārāvadhāraṇanidassanādianekatthappabhedo. Tathā hesa ‘‘ruppatīti kho, bhikkhave, tasmā rūpanti vuccatī’’tiādīsu (saṃ. ni. 3.79) hetvatthe dissati. ‘‘Tasmātiha me, bhikkhave, dhammadāyādā bhavatha, mā āmisadāyādā. Atthi me tumhesu anukampā. Kinti me sāvakā dhammadāyādā bhaveyyuṃ, no āmisadāyādā’’tiādīsu (ma. ni. 1.19) parisamāpane. ‘‘Iti vā iti evarūpā naccagītavāditavisūkadassanā paṭivirato’’tiādīsu (dī. ni. 1.13) ādiatthe. ‘‘Māgaṇḍiyoti tassa brāhmaṇassa saṅkhā samaññā paññatti vohāro nāmaṃ nāmakammaṃ nāmadheyyaṃ nirutti byañjanamabhilāpo’’tiādīsu (mahāni. 73, 75) padatthavipariyāye. ‘‘Iti kho, bhikkhave, sappaṭibhayo bālo, appaṭibhayo paṇḍito, saupaddavo bālo, anupaddavo paṇḍito, saupasaggo bālo, anupasaggo paṇḍito’’tiādīsu (ma. ni. 3.124) pakāre. ‘‘Atthi idappaccayā jarāmaraṇanti puṭṭhena satā, ‘ānanda, atthī’tissa vacanīyaṃ. ‘Kiṃ paccayā jarāmaraṇa’nti iti ce vadeyya. Jātipaccayā jarāmaraṇaṃ iccassa vacanīya’’ntiādīsu (dī. ni. 2.96) avadhāraṇe. ‘‘Atthīti kho, kaccāna, ayameko anto, natthīti kho, kaccāna, ayaṃ dutiyo anto’’tiādīsu (saṃ. ni. 2.15; saṃ. ni. 3.90) nidassane. Idhāpi nidassane eva daṭṭhabbo. Bhikkhavoti hi āmantanākāro. Tamesa iti-saddo nidasseti ‘‘bhikkhavoti āmantesī’’ti. Iminā nayena ‘‘bhaddante’’tiādīsupi yathārahaṃ iti-saddassa attho veditabbo. Pubbe ‘‘bhagavā āmantesī’’ti vuttattā ‘‘bhagavato paccassosu’’nti idha ‘‘bhagavato’’ti sāmivacanaṃ āmantanameva sambandhiantaraṃ apekkhatīti iminā adhippāyena ‘‘bhagavato āmantanaṃ paṭiassosu’’nti vuttaṃ. ‘‘Bhagavato’’ti pana idaṃ paṭissavasambandhena sampadānavacanaṃ yathā ‘‘devadattāya paṭissuṇotī’’ti. Yaṃ nidānaṃ bhāsitanti sambandho. Imassa suttassa sukhāvagāhaṇatthanti kamalakuvalayujjalavimalasādurasasalilāya pokkharaṇiyā sukhāvataraṇatthaṃ nimmalasilātalaracanāvilāsasobhitaratanasopānaṃ vippakiṇṇamuttātalasadisavālukācuṇṇapaṇḍarabhūmibhāgaṃ titthaṃ viya suvibhattabhittivicitravedikāparikkhittassa nakkhattapathaṃ phusitukāmatāya viya paṭivijambhitasamussayassa pāsādavarassa sukhārohanatthaṃ dantamayasaṇhamuduphalakañcanalatāvinaddhamaṇigaṇappabhāsamudayujjalasobhaṃ sopānaṃ viya suvaṇṇavalayanūpurādisaṅghaṭṭanasaddasammissitassa kathitahasitamadhurassaragehajanavijambhitavicaritassa uḷāraissariyavibhavasobhitassa mahāgharassa sukhappavesanatthaṃ suvaṇṇarajatamaṇimuttāpavāḷādijutivissaravijjotitasuppatiṭṭhitavisāladvārabāhaṃ mahādvāraṃ viya ca atthabyañjanasampannassa buddhānaṃ desanāñāṇagambhīrabhāvasaṃsūcakassa imassa suttassa sukhāvagāhatthaṃ.

    เอตฺถาห – ‘‘กิมตฺถํ ปน ธมฺมวินยสงฺคเห กยิรมาเน นิทานวจนํ, นนุ ภควตา ภาสิตวจนเสฺสว สงฺคโห กาตโพฺพ’’ติ? วุจฺจเต, เทสนาย ฐิติอสโมฺมสสเทฺธยฺยภาวสมฺปาทนตฺถํฯ กาลเทสเทสกนิมิตฺตปริสาปเทเสหิ อุปนิพนฺธิตฺวา ฐปิตา หิ เทสนา จิรฎฺฐิติกา โหติ อสโมฺมสธมฺมา สเทฺธยฺยา จฯ เทสกาลกตฺตุเหตุนิมิเตฺตหิ อุปนิพโทฺธ วิย โวหารวินิจฺฉโยฯ เตเนว จ อายสฺมตา มหากสฺสเปน ‘‘จิตฺตปริยาทานสุตฺตํ, อาวุโส อานนฺท, กตฺถ ภาสิต’’นฺติอาทินา เทสาทิปุจฺฉาสุ กตาสุ ตาสํ วิสฺสชฺชนํ กโรเนฺตน ธมฺมภณฺฑาคาริเกน ‘‘เอวํ เม สุต’’นฺติอาทินา อิมสฺส สุตฺตสฺส นิทานํ ภาสิตํฯ อปิจ สตฺถุสมฺปตฺติปฺปกาสนตฺถํ นิทานวจนํฯ ตถาคตสฺส หิ ภควโต ปุพฺพจรณานุมานาคมตกฺกาภาวโต สมฺมาสมฺพุทฺธภาวสิทฺธิฯ น หิ สมฺมาสมฺพุสฺส ปุพฺพจรณาทีหิ อโตฺถ อตฺถิ สพฺพตฺถ อปฺปฎิหตญาณจารตาย เอกปฺปมาณตฺตา จ เญยฺยธเมฺมสุฯ ตถา อาจริยมุฎฺฐิธมฺมมจฺฉริยสาสนสาวกานานุราคาภาวโต ขีณาสวภาวสิทฺธิฯ น หิ สพฺพโส ขีณาสวสฺส เต สมฺภวนฺตีติ สุวิสุทฺธสฺส ปรานุคฺคหปฺปวตฺติฯ เอวํ เทสกสํกิเลสภูตานํ ทิฎฺฐิสีลสมฺปทาทูสกานํ อวิชฺชาตณฺหานํ อจฺจนฺตาภาวสํสูจเกหิ ญาณปฺปหานสมฺปทาภิพฺยญฺชนเกหิ จ สมฺพุทฺธวิสุทฺธภาเวหิ ปุริมเวสารชฺชทฺวยสิทฺธิ, ตโต จ อนฺตรายิกนิยฺยานิกธเมฺมสุ สโมฺมหาภาวสิทฺธิโต ปจฺฉิมเวสารชฺชทฺวยสิทฺธีติ ภควโต จตุเวสารชฺชสมนฺนาคโม อตฺตหิตปรหิตปฺปฎิปตฺติ จ นิทานวจเนน ปกาสิตา โหติฯ ตตฺถ ตตฺถ สมฺปตฺตปริสาย อชฺฌาสยานุรูปํ ฐานุปฺปตฺติกปฺปฎิภาเนน ธมฺมเทสนาทีปนโต, อิธ ปน รูปครุกานํ ปุคฺคลานํ อชฺฌาสยานุรูปํ ฐานุปฺปตฺติกปฺปฎิภาเนน ธมฺมเทสนาทีปนโตติ โยเชตพฺพํฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘สตฺถุสมฺปตฺติปฺปกาสนตฺถํ นิทานวจน’’นฺติฯ

    Etthāha – ‘‘kimatthaṃ pana dhammavinayasaṅgahe kayiramāne nidānavacanaṃ, nanu bhagavatā bhāsitavacanasseva saṅgaho kātabbo’’ti? Vuccate, desanāya ṭhitiasammosasaddheyyabhāvasampādanatthaṃ. Kāladesadesakanimittaparisāpadesehi upanibandhitvā ṭhapitā hi desanā ciraṭṭhitikā hoti asammosadhammā saddheyyā ca. Desakālakattuhetunimittehi upanibaddho viya vohāravinicchayo. Teneva ca āyasmatā mahākassapena ‘‘cittapariyādānasuttaṃ, āvuso ānanda, kattha bhāsita’’ntiādinā desādipucchāsu katāsu tāsaṃ vissajjanaṃ karontena dhammabhaṇḍāgārikena ‘‘evaṃ me suta’’ntiādinā imassa suttassa nidānaṃ bhāsitaṃ. Apica satthusampattippakāsanatthaṃ nidānavacanaṃ. Tathāgatassa hi bhagavato pubbacaraṇānumānāgamatakkābhāvato sammāsambuddhabhāvasiddhi. Na hi sammāsambussa pubbacaraṇādīhi attho atthi sabbattha appaṭihatañāṇacāratāya ekappamāṇattā ca ñeyyadhammesu. Tathā ācariyamuṭṭhidhammamacchariyasāsanasāvakānānurāgābhāvato khīṇāsavabhāvasiddhi. Na hi sabbaso khīṇāsavassa te sambhavantīti suvisuddhassa parānuggahappavatti. Evaṃ desakasaṃkilesabhūtānaṃ diṭṭhisīlasampadādūsakānaṃ avijjātaṇhānaṃ accantābhāvasaṃsūcakehi ñāṇappahānasampadābhibyañjanakehi ca sambuddhavisuddhabhāvehi purimavesārajjadvayasiddhi, tato ca antarāyikaniyyānikadhammesu sammohābhāvasiddhito pacchimavesārajjadvayasiddhīti bhagavato catuvesārajjasamannāgamo attahitaparahitappaṭipatti ca nidānavacanena pakāsitā hoti. Tattha tattha sampattaparisāya ajjhāsayānurūpaṃ ṭhānuppattikappaṭibhānena dhammadesanādīpanato, idha pana rūpagarukānaṃ puggalānaṃ ajjhāsayānurūpaṃ ṭhānuppattikappaṭibhānena dhammadesanādīpanatoti yojetabbaṃ. Tena vuttaṃ – ‘‘satthusampattippakāsanatthaṃ nidānavacana’’nti.

    ตถา สาสนสมฺปตฺติปฺปกาสนตฺถํ นิทานวจนํฯ ญาณกรุณาปริคฺคหิตสพฺพกิริยสฺส หิ ภควโต นตฺถิ นิรตฺถกา ปฎิปตฺติ, อตฺตหิตตฺถา วาฯ ตสฺมา ปเรสํ เอว อตฺถาย ปวตฺตสพฺพกิริยสฺส สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สกลมฺปิ กายวจีมโนกมฺมํ ยถาปวตฺตํ วุจฺจมานํ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกปรมเตฺถหิ ยถารหํ สตฺตานํ อนุสาสนเฎฺฐน สาสนํ, น กปฺปรจนาฯ ตยิทํ สตฺถุจริตํ กาลเทสเทสกปริสาปเทเสหิ สทฺธิํ ตตฺถ ตตฺถ นิทานวจเนหิ ยถารหํ ปกาสียติฯ ‘‘อิธ ปน รูปครุกานํ ปุคฺคลาน’’นฺติอาทิ สพฺพํ ปุริมสทิสเมวฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘สาสนสมฺปตฺติปฺปกาสนตฺถํ นิทานวจน’’นฺติฯ อปิจ สตฺถุโน ปมาณภาวปฺปกาสเนน วจเนน สาสนสฺส ปมาณภาวทสฺสนตฺถํ นิทานวจนํ, ตญฺจ เทสกปฺปมาณภาวทสฺสนํ เหฎฺฐา วุตฺตนยานุสาเรน ‘‘ภควา’’ติ จ อิมินา ปเทน วิภาวิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ภควาติ หิ ตถาคตสฺส ราคโทสโมหาทิสพฺพกิเลสมลทุจฺจริตโทสปฺปหานทีปเนน วจเนน อนญฺญสาธารณสุปริสุทฺธญาณกรุณาทิคุณวิเสสโยคปริทีปเนน ตโต เอว สพฺพสตฺตุตฺตมภาวทีปเนน อยมโตฺถ สพฺพถา ปกาสิโต โหตีติฯ อิทเมตฺถ นิทานวจนปฺปโยชนสฺส มุขมตฺตนิทสฺสนํฯ

    Tathā sāsanasampattippakāsanatthaṃ nidānavacanaṃ. Ñāṇakaruṇāpariggahitasabbakiriyassa hi bhagavato natthi niratthakā paṭipatti, attahitatthā vā. Tasmā paresaṃ eva atthāya pavattasabbakiriyassa sammāsambuddhassa sakalampi kāyavacīmanokammaṃ yathāpavattaṃ vuccamānaṃ diṭṭhadhammikasamparāyikaparamatthehi yathārahaṃ sattānaṃ anusāsanaṭṭhena sāsanaṃ, na kapparacanā. Tayidaṃ satthucaritaṃ kāladesadesakaparisāpadesehi saddhiṃ tattha tattha nidānavacanehi yathārahaṃ pakāsīyati. ‘‘Idha pana rūpagarukānaṃ puggalāna’’ntiādi sabbaṃ purimasadisameva. Tena vuttaṃ – ‘‘sāsanasampattippakāsanatthaṃ nidānavacana’’nti. Apica satthuno pamāṇabhāvappakāsanena vacanena sāsanassa pamāṇabhāvadassanatthaṃ nidānavacanaṃ, tañca desakappamāṇabhāvadassanaṃ heṭṭhā vuttanayānusārena ‘‘bhagavā’’ti ca iminā padena vibhāvitanti veditabbaṃ. Bhagavāti hi tathāgatassa rāgadosamohādisabbakilesamaladuccaritadosappahānadīpanena vacanena anaññasādhāraṇasuparisuddhañāṇakaruṇādiguṇavisesayogaparidīpanena tato eva sabbasattuttamabhāvadīpanena ayamattho sabbathā pakāsito hotīti. Idamettha nidānavacanappayojanassa mukhamattanidassanaṃ.

    นิกฺขิตฺตสฺสาติ เทสิตสฺสฯ เทสนา หิ เทเสตพฺพสฺส สีลาทิอตฺถสฺส เวเนยฺยสนฺตาเนสุ นิกฺขิปนโต ‘‘นิเกฺขโป’’ติ วุจฺจติฯ สุตฺตนิเกฺขปํ วิจาเรตฺวาว วุจฺจมานา ปากฎา โหตีติ สามญฺญโต ภควโต เทสนาย สมุฎฺฐานสฺส วิภาคํ ทเสฺสตฺวา ‘‘เอตฺถายํ เทสนา เอวํสมุฎฺฐานา’’ติ เทสนาย สมุฎฺฐาเน ทสฺสิเต สุตฺตสฺส สมฺมเทว นิทานปริชานเนน วณฺณนาย สุวิเญฺญยฺยตฺตา วุตฺตํฯ ตตฺถ ยถา อเนกสตอเนกสหสฺสเภทานิปิ สุตฺตนฺตานิ สํกิเลสภาคิยาทิปฎฺฐานนยวเสน โสฬสวิธตํ นาติวตฺตนฺติ, เอวํ อตฺตชฺฌาสยาทิสุตฺตนิเกฺขปวเสน จตุพฺพิธภาวนฺติ อาห – ‘‘จตฺตาโร หิ สุตฺตนิเกฺขปา’’ติฯ เอตฺถ จ ยถา อตฺตชฺฌาสยสฺส อฎฺฐุปฺปตฺติยา จ ปรชฺฌาสยปุจฺฉาหิ สทฺธิํ สํสคฺคเภโท สมฺภวติ ‘‘อตฺตชฺฌาสโย จ ปรชฺฌาสโย จ, อตฺตชฺฌาสโย จ ปุจฺฉาวสิโก จ, อฎฺฐุปฺปตฺติโก จ ปรชฺฌาสโย จ, อฎฺฐุปฺปตฺติโก จ ปุจฺฉาวสิโก จา’’ติ อชฺฌาสยปุจฺฉานุสนฺธิสพฺภาวโต, เอวํ ยทิปิ อฎฺฐุปฺปตฺติยา อตฺตชฺฌาสเยนปิ สํสคฺคเภโท สมฺภวติ, อตฺตชฺฌาสยาทีหิ ปน ปุรโต ฐิเตหิ อฎฺฐุปฺปตฺติยา สํสโคฺค นตฺถีติ น อิธ นิรวเสโส วิตฺถารนโย สมฺภวตีติ ‘‘จตฺตาโร สุตฺตนิเกฺขปา’’ติ วุตฺตํฯ ตทโนฺตคธตฺตา วา เสสนิเกฺขปานํ มูลนิเกฺขปวเสน จตฺตาโรว ทสฺสิตาฯ ยถาทสฺสนเญฺหตฺถ อยํ สํสคฺคเภโท คเหตโพฺพติฯ

    Nikkhittassāti desitassa. Desanā hi desetabbassa sīlādiatthassa veneyyasantānesu nikkhipanato ‘‘nikkhepo’’ti vuccati. Suttanikkhepaṃ vicāretvāva vuccamānā pākaṭā hotīti sāmaññato bhagavato desanāya samuṭṭhānassa vibhāgaṃ dassetvā ‘‘etthāyaṃ desanā evaṃsamuṭṭhānā’’ti desanāya samuṭṭhāne dassite suttassa sammadeva nidānaparijānanena vaṇṇanāya suviññeyyattā vuttaṃ. Tattha yathā anekasataanekasahassabhedānipi suttantāni saṃkilesabhāgiyādipaṭṭhānanayavasena soḷasavidhataṃ nātivattanti, evaṃ attajjhāsayādisuttanikkhepavasena catubbidhabhāvanti āha – ‘‘cattāro hi suttanikkhepā’’ti. Ettha ca yathā attajjhāsayassa aṭṭhuppattiyā ca parajjhāsayapucchāhi saddhiṃ saṃsaggabhedo sambhavati ‘‘attajjhāsayo ca parajjhāsayo ca, attajjhāsayo ca pucchāvasiko ca, aṭṭhuppattiko ca parajjhāsayo ca, aṭṭhuppattiko ca pucchāvasiko cā’’ti ajjhāsayapucchānusandhisabbhāvato, evaṃ yadipi aṭṭhuppattiyā attajjhāsayenapi saṃsaggabhedo sambhavati, attajjhāsayādīhi pana purato ṭhitehi aṭṭhuppattiyā saṃsaggo natthīti na idha niravaseso vitthāranayo sambhavatīti ‘‘cattāro suttanikkhepā’’ti vuttaṃ. Tadantogadhattā vā sesanikkhepānaṃ mūlanikkhepavasena cattārova dassitā. Yathādassanañhettha ayaṃ saṃsaggabhedo gahetabboti.

    ตตฺรายํ วจนโตฺถ – นิกฺขิปียตีติ นิเกฺขโป, สุตฺตํ เอว นิเกฺขโป สุตฺตนิเกฺขโปฯ อถ วา นิกฺขิปนํ นิเกฺขโป, สุตฺตสฺส นิเกฺขโป สุตฺตนิเกฺขโป, สุตฺตเทสนาติ อโตฺถฯ อตฺตโน อชฺฌาสโย อตฺตชฺฌาสโย, โส อสฺส อตฺถิ การณภูโตติ อตฺตชฺฌาสโยฯ อตฺตโน อชฺฌาสโย เอตสฺสาติ วา อตฺตชฺฌาสโยฯ ปรชฺฌาสเยปิ เอเสว นโยฯ ปุจฺฉาย วโส ปุจฺฉาวโส, โส เอตสฺส อตฺถีติ ปุจฺฉาวสิโกฯ สุตฺตเทสนาวตฺถุภูตสฺส อตฺถสฺส อุปฺปตฺติ อตฺถุปฺปตฺติ, อตฺถุปฺปตฺติเยว อฎฺฐุปฺปตฺติ ตฺถ-การสฺส ฎฺฐ-การํ กตฺวาฯ สา เอตสฺส อตฺถีติ อฎฺฐุปฺปตฺติโกฯ อถ วา นิกฺขิปียติ สุตฺตํ เอเตนาติ สุตฺตนิเกฺขโป, อตฺตชฺฌาสยาทิ เอวฯ เอตสฺมิํ อตฺถวิกเปฺป อตฺตโน อชฺฌาสโย อตฺตชฺฌาสโยฯ ปเรสํ อชฺฌาสโย ปรชฺฌาสโยฯ ปุจฺฉียตีติ ปุจฺฉา, ปุจฺฉิตโพฺพ อโตฺถฯ ปุจฺฉาวเสน ปวตฺตํ ธมฺมปฺปฎิคฺคาหกานํ วจนํ ปุจฺฉาวสิกํ, ตเทว นิเกฺขปสทฺทาเปกฺขาย ปุลฺลิงฺควเสน วุตฺตํ – ‘‘ปุจฺฉาวสิโก’’ติฯ ตถา อฎฺฐุปฺปตฺติ เอว อฎฺฐุปฺปตฺติโกติ เอวเมตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Tatrāyaṃ vacanattho – nikkhipīyatīti nikkhepo, suttaṃ eva nikkhepo suttanikkhepo. Atha vā nikkhipanaṃ nikkhepo, suttassa nikkhepo suttanikkhepo, suttadesanāti attho. Attano ajjhāsayo attajjhāsayo, so assa atthi kāraṇabhūtoti attajjhāsayo. Attano ajjhāsayo etassāti vā attajjhāsayo. Parajjhāsayepi eseva nayo. Pucchāya vaso pucchāvaso, so etassa atthīti pucchāvasiko. Suttadesanāvatthubhūtassa atthassa uppatti atthuppatti, atthuppattiyeva aṭṭhuppatti ttha-kārassa ṭṭha-kāraṃ katvā. Sā etassa atthīti aṭṭhuppattiko. Atha vā nikkhipīyati suttaṃ etenāti suttanikkhepo, attajjhāsayādi eva. Etasmiṃ atthavikappe attano ajjhāsayo attajjhāsayo. Paresaṃ ajjhāsayo parajjhāsayo. Pucchīyatīti pucchā, pucchitabbo attho. Pucchāvasena pavattaṃ dhammappaṭiggāhakānaṃ vacanaṃ pucchāvasikaṃ, tadeva nikkhepasaddāpekkhāya pulliṅgavasena vuttaṃ – ‘‘pucchāvasiko’’ti. Tathā aṭṭhuppatti eva aṭṭhuppattikoti evamettha attho veditabbo.

    อปิเจตฺถ ปเรสํ อินฺทฺริยปริปากาทิการณนิรเปกฺขตฺตา อตฺตชฺฌาสยสฺส วิสุํ สุตฺตนิเกฺขปภาโว ยุโตฺต เกวลํ อตฺตโน อชฺฌาสเยเนว ธมฺมตนฺติฎฺฐปนตฺถํ ปวตฺติตเทสนตฺตาฯ ปรชฺฌาสยปุจฺฉาวสิกานํ ปน ปเรสํ อชฺฌาสยปุจฺฉานํ เทสนาปวตฺติเหตุภูตานํ อุปฺปตฺติยํ ปวตฺติตานํ กถมฎฺฐุปฺปตฺติยา อนวโรโธ, ปุจฺฉาวสิกอฎฺฐุปฺปตฺติกานํ วา ปรชฺฌาสยานุโรเธน ปวตฺติตานํ กถํ ปรชฺฌาสเย อนวโรโธติ? น โจเทตพฺพเมตํฯ ปเรสญฺหิ อภินีหารปริปุจฺฉาทิวินิมุตฺตเสฺสว สุตฺตเทสนาการณุปฺปาทสฺส อฎฺฐุปฺปตฺติภาเวน คหิตตฺตา ปรชฺฌาสยปุจฺฉาวสิกานํ วิสุํ คหณํฯ ตถา หิ พฺรหฺมชาลธมฺมทายาทสุตฺตาทีนํ วณฺณาวณฺณอามิสุปฺปาทาทิเทสนานิมิตฺตํ ‘‘อฎฺฐุปฺปตฺตี’’ติ วุจฺจติฯ ปเรสํ ปุจฺฉํ วินา อชฺฌาสยํ เอว นิมิตฺตํ กตฺวา เทสิโต ปรชฺฌาสโย, ปุจฺฉาวเสน เทสิโต ปุจฺฉาวสิโกติ ปากโฎยมโตฺถติฯ อตฺตโน อชฺฌาสเยเนว กเถสีติ ธมฺมตนฺติฎฺฐปนตฺถํ กเถสิฯ วิมุตฺติปริปาจนียา ธมฺมา สทฺธินฺทฺริยาทโยฯ อชฺฌาสยนฺติ อธิมุตฺติํฯ ขนฺตินฺติ ทิฎฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติํฯ มนนฺติ ปญฺญตฺติจิตฺตํฯ อภินีหารนฺติ ปณิธานํฯ พุชฺฌนภาวนฺติ พุชฺฌนสภาวํ, ปฎิวิชฺฌนาการํ วาฯ รูปครุกานนฺติ ปญฺจสุ อารมฺมเณสุ รูปารมฺมณครุกา รูปครุกาฯ จิเตฺตน รูปนินฺนา รูปโปณา รูปปพฺภารา รูปทสฺสนปฺปสุตา รูเปน อากฑฺฒิตหทยา, เตสํ รูปครุกานํฯ

    Apicettha paresaṃ indriyaparipākādikāraṇanirapekkhattā attajjhāsayassa visuṃ suttanikkhepabhāvo yutto kevalaṃ attano ajjhāsayeneva dhammatantiṭṭhapanatthaṃ pavattitadesanattā. Parajjhāsayapucchāvasikānaṃ pana paresaṃ ajjhāsayapucchānaṃ desanāpavattihetubhūtānaṃ uppattiyaṃ pavattitānaṃ kathamaṭṭhuppattiyā anavarodho, pucchāvasikaaṭṭhuppattikānaṃ vā parajjhāsayānurodhena pavattitānaṃ kathaṃ parajjhāsaye anavarodhoti? Na codetabbametaṃ. Paresañhi abhinīhāraparipucchādivinimuttasseva suttadesanākāraṇuppādassa aṭṭhuppattibhāvena gahitattā parajjhāsayapucchāvasikānaṃ visuṃ gahaṇaṃ. Tathā hi brahmajāladhammadāyādasuttādīnaṃ vaṇṇāvaṇṇaāmisuppādādidesanānimittaṃ ‘‘aṭṭhuppattī’’ti vuccati. Paresaṃ pucchaṃ vinā ajjhāsayaṃ eva nimittaṃ katvā desito parajjhāsayo, pucchāvasena desito pucchāvasikoti pākaṭoyamatthoti. Attano ajjhāsayeneva kathesīti dhammatantiṭṭhapanatthaṃ kathesi. Vimuttiparipācanīyā dhammā saddhindriyādayo. Ajjhāsayanti adhimuttiṃ. Khantinti diṭṭhinijjhānakkhantiṃ. Mananti paññatticittaṃ. Abhinīhāranti paṇidhānaṃ. Bujjhanabhāvanti bujjhanasabhāvaṃ, paṭivijjhanākāraṃ vā. Rūpagarukānanti pañcasu ārammaṇesu rūpārammaṇagarukā rūpagarukā. Cittena rūpaninnā rūpapoṇā rūpapabbhārā rūpadassanappasutā rūpena ākaḍḍhitahadayā, tesaṃ rūpagarukānaṃ.

    ปฎิเสธโตฺถติ ปฎิเกฺขปโตฺถฯ กสฺส ปน ปฎิเกฺขปโตฺถติ? กิริยาปธานญฺหิ วากฺยํ, ตสฺมา ‘‘น สมนุปสฺสามี’’ติ สมนุปสฺสนากิริยาปฎิเสธโตฺถฯ เตนาห – ‘‘อิมสฺส ปน ปทสฺสา’’ติอาทิฯ โย ปโร น โหติ, โส อตฺตาติ โลกสมญฺญามตฺตสิทฺธํ สตฺตสนฺตานํ สนฺธาย – ‘‘อห’’นฺติ สตฺถา วทติ, น พาหิรกปริกปฺปิตํ อหํการวิสยํ อหํการสฺส โพธิมูเลเยว สมุจฺฉินฺนตฺตาฯ โลกสมญฺญานติกฺกมนฺตา เอว หิ พุทฺธานํ โลกิเย วิสเย เทสนาปวตฺติฯ ภิกฺขเวติ อาลปเน การณํ เหฎฺฐา วุตฺตเมวฯ อญฺญนฺติ อเปกฺขาสิทฺธตฺตา อญฺญตฺถสฺส ‘‘อิทานิ วตฺตพฺพอิตฺถิรูปโต อญฺญ’’นฺติ อาหฯ เอกมฺปิ รูปนฺติ เอกํ วณฺณายตนํฯ สมํ วิสมํ สมฺมา ยาถาวโต อนุ อนุ ปสฺสตีติ สมนุปสฺสนา, ญาณํฯ สํกิลิสฺสนวเสน อนุ อนุ ปสฺสตีติ สมนุปสฺสนา, ทิฎฺฐิฯ โน นิจฺจโตติ เอตฺถ อิติ-สโทฺท อาทิอโตฺถ, เอวมาทิโกติ อโตฺถฯ เตน ‘‘ทุกฺขโต สมนุปสฺสตี’’ติ เอวมาทีนิ สงฺคณฺหาติฯ โอโลเกโนฺตปีติ เทวมนุสฺสวิมานกปฺปรุกฺขมณิกนกาทิคตานิ รูปานิ อนวเสสํ สพฺพญฺญุตญฺญาเณน โอโลเกโนฺตปิฯ สามญฺญวจโนปิ ยํ-สโทฺท ‘‘เอกรูปมฺปี’’ติ รูปสฺส อธิคตตฺตา รูปวิสโย อิจฺฉิโตติ ‘‘ยํ รูป’’นฺติ วุตฺตํฯ ตถา ปุริสสโทฺท ปริยาทิยิตพฺพจิตฺตปุคฺคลวิสโยติ รูปครุกสฺสาติ วิเสสิตํฯ คหณํ ‘‘เขปน’’นฺติ จ อธิเปฺปตํ, ปริยาทานญฺจ อุปฺปตฺตินิวารณนฺติ อาห – ‘‘จตุภูมกกุสลจิตฺต’’นฺติฯ ตญฺหิ รูปํ ตาทิสสฺส ปริตฺตกุสลสฺสปิ อุปฺปตฺติํ นิวาเรติ, กิมงฺคํ ปน มหคฺคตานุตฺตรจิตฺตสฺสาติ โลกุตฺตรกุสลจิตฺตสฺสปิ อุปฺปตฺติยา นิวารณํ โหตุํ สมตฺถํ, โลกิยกุสลุปฺปตฺติยา นิวารกเตฺต วตฺตพฺพเมว นตฺถีติ ‘‘จตุภูมกกุสลจิตฺตํ ปริยาทิยิตฺวา’’ติ วุตฺตํฯ น หิ กามคุณสฺสาทปฺปสุตสฺส ปุริสสฺส ทานาทิวเสน สวิปฺผาริกา กุสลุปฺปตฺติ สมฺภวติฯ คณฺหิตฺวา เขเปตฺวาติ อตฺตานํ อสฺสาเทตฺวา ปวตฺตมานสฺส อกุสลจิตฺตสฺส ปจฺจโย โหนฺตํ ปวตฺตินิวารเณน มุฎฺฐิคตํ วิย คเหตฺวา อนุปฺปาทนิโรเธน เขเปตฺวา วิย ติฎฺฐติฯ ตาว มหติ โลกสนฺนิวาเส ตสฺส ปริยาทิยฎฺฐานํ อวิเจฺฉทโต ลพฺภตีติ อาห – ‘‘ติฎฺฐตี’’ติ ยถา ‘‘ปพฺพตา ติฎฺฐนฺติ, นโชฺช สนฺทนฺตี’’ติฯ เตนาห – ‘‘อิธ อุภยมฺปิ วฎฺฎตี’’ติอาทิฯ

    Paṭisedhatthoti paṭikkhepattho. Kassa pana paṭikkhepatthoti? Kiriyāpadhānañhi vākyaṃ, tasmā ‘‘na samanupassāmī’’ti samanupassanākiriyāpaṭisedhattho. Tenāha – ‘‘imassa pana padassā’’tiādi. Yo paro na hoti, so attāti lokasamaññāmattasiddhaṃ sattasantānaṃ sandhāya – ‘‘aha’’nti satthā vadati, na bāhirakaparikappitaṃ ahaṃkāravisayaṃ ahaṃkārassa bodhimūleyeva samucchinnattā. Lokasamaññānatikkamantā eva hi buddhānaṃ lokiye visaye desanāpavatti. Bhikkhaveti ālapane kāraṇaṃ heṭṭhā vuttameva. Aññanti apekkhāsiddhattā aññatthassa ‘‘idāni vattabbaitthirūpato añña’’nti āha. Ekampi rūpanti ekaṃ vaṇṇāyatanaṃ. Samaṃ visamaṃ sammā yāthāvato anu anu passatīti samanupassanā, ñāṇaṃ. Saṃkilissanavasena anu anu passatīti samanupassanā, diṭṭhi. No niccatoti ettha iti-saddo ādiattho, evamādikoti attho. Tena ‘‘dukkhato samanupassatī’’ti evamādīni saṅgaṇhāti. Olokentopīti devamanussavimānakapparukkhamaṇikanakādigatāni rūpāni anavasesaṃ sabbaññutaññāṇena olokentopi. Sāmaññavacanopi yaṃ-saddo ‘‘ekarūpampī’’ti rūpassa adhigatattā rūpavisayo icchitoti ‘‘yaṃ rūpa’’nti vuttaṃ. Tathā purisasaddo pariyādiyitabbacittapuggalavisayoti rūpagarukassāti visesitaṃ. Gahaṇaṃ ‘‘khepana’’nti ca adhippetaṃ, pariyādānañca uppattinivāraṇanti āha – ‘‘catubhūmakakusalacitta’’nti. Tañhi rūpaṃ tādisassa parittakusalassapi uppattiṃ nivāreti, kimaṅgaṃ pana mahaggatānuttaracittassāti lokuttarakusalacittassapi uppattiyā nivāraṇaṃ hotuṃ samatthaṃ, lokiyakusaluppattiyā nivārakatte vattabbameva natthīti ‘‘catubhūmakakusalacittaṃ pariyādiyitvā’’ti vuttaṃ. Na hi kāmaguṇassādappasutassa purisassa dānādivasena savipphārikā kusaluppatti sambhavati. Gaṇhitvā khepetvāti attānaṃ assādetvā pavattamānassa akusalacittassa paccayo hontaṃ pavattinivāraṇena muṭṭhigataṃ viya gahetvā anuppādanirodhena khepetvā viya tiṭṭhati. Tāva mahati lokasannivāse tassa pariyādiyaṭṭhānaṃ avicchedato labbhatīti āha – ‘‘tiṭṭhatī’’ti yathā ‘‘pabbatā tiṭṭhanti, najjo sandantī’’ti. Tenāha – ‘‘idha ubhayampi vaṭṭatī’’tiādi.

    ยถยิทนฺติ สนฺธิวเสน อาการสฺส รสฺสตฺตํ ยการาคโม จาติ อาห – ‘‘ยถา อิท’’นฺติฯ อิตฺถิยา รูปนฺติ อิตฺถิสรีรคตํ ตปฺปฎิพทฺธญฺจ รูปายตนํฯ ปรมตฺถสฺส นิรุโฬฺห, ปฐมํ สาธารณโต สทฺทสตฺถลกฺขณานิ วิภาเวตพฺพานิ, ปจฺฉา อสาธารณโตติ ตานิ ปาฬิวเสน วิภาเวตุํ – ‘‘รุปฺปตีติ โข…เป.… เวทิตพฺพ’’นฺติ อาหฯ ตตฺถ รุปฺปตีติ สีตาทิวิโรธิปจฺจเยหิ วิการํ อาปาทียติ, อาปชฺชตีติ วา อโตฺถฯ วิการุปฺปตฺติ จ วิโรธิปจฺจยสนฺนิปาเต วิสทิสุปฺปตฺติ วิภูตตรา, กุโต ปนายํ วิเสโสติ เจ? ‘‘สีเตนา’’ติอาทิวจนโตฯ เอวญฺจ กตฺวา เวทนาทีสุ อนวเสสรูปสมญฺญา สามญฺญลกฺขณนฺติ สพฺพรูปธมฺมสาธารณํ รูปฺปนํฯ อิทานิ อตฺถุทฺธารนเยน รูปสทฺทํ สํวเณฺณโนฺต ‘‘อยํ ปนา’’ติอาทิมาหฯ รูปกฺขเนฺธ วตฺตตีติ ‘‘โอฬาริกํ วา สุขุมํ วา’’ติอาทิวจนโต (ม. นิ. ๑.๓๖๑; ๒.๑๑๓; ๓.๘๖, ๘๙; วิภ. ๒)ฯ รูปูปปตฺติยาติ เอตฺถ รูปภโว รูปํ อุตฺตรปทโลเปนฯ รูปภวูปปตฺติยาติ อยเญฺหตฺถ อโตฺถฯ กสิณนิมิเตฺตติ ปถวีกสิณาทิสญฺญิเต ปฎิภาคนิมิเตฺตฯ รูปฺปติ อตฺตโน ผลสฺส สภาวํ กโรตีติ รูปํ, สภาวเหตูติ อาห – ‘‘สรูปา…เป.… เอตฺถ ปจฺจเย’’ติฯ กรจรณาทิอวยวสงฺฆาตภาเวน รูปียติ นิรูปียตีติ รูปํ, รูปกาโยติ อาห – ‘‘อากาโส…เป.… เอตฺถ สรีเร’’ติฯ

    Yathayidanti sandhivasena ākārassa rassattaṃ yakārāgamo cāti āha – ‘‘yathā ida’’nti. Itthiyā rūpanti itthisarīragataṃ tappaṭibaddhañca rūpāyatanaṃ. Paramatthassa niruḷho, paṭhamaṃ sādhāraṇato saddasatthalakkhaṇāni vibhāvetabbāni, pacchā asādhāraṇatoti tāni pāḷivasena vibhāvetuṃ – ‘‘ruppatīti kho…pe… veditabba’’nti āha. Tattha ruppatīti sītādivirodhipaccayehi vikāraṃ āpādīyati, āpajjatīti vā attho. Vikāruppatti ca virodhipaccayasannipāte visadisuppatti vibhūtatarā, kuto panāyaṃ visesoti ce? ‘‘Sītenā’’tiādivacanato. Evañca katvā vedanādīsu anavasesarūpasamaññā sāmaññalakkhaṇanti sabbarūpadhammasādhāraṇaṃ rūppanaṃ. Idāni atthuddhāranayena rūpasaddaṃ saṃvaṇṇento ‘‘ayaṃ panā’’tiādimāha. Rūpakkhandhe vattatīti ‘‘oḷārikaṃ vā sukhumaṃ vā’’tiādivacanato (ma. ni. 1.361; 2.113; 3.86, 89; vibha. 2). Rūpūpapattiyāti ettha rūpabhavo rūpaṃ uttarapadalopena. Rūpabhavūpapattiyāti ayañhettha attho. Kasiṇanimitteti pathavīkasiṇādisaññite paṭibhāganimitte. Rūppati attano phalassa sabhāvaṃ karotīti rūpaṃ, sabhāvahetūti āha – ‘‘sarūpā…pe… ettha paccaye’’ti. Karacaraṇādiavayavasaṅghātabhāvena rūpīyati nirūpīyatīti rūpaṃ, rūpakāyoti āha – ‘‘ākāso…pe… ettha sarīre’’ti.

    รูปยติ วณฺณวิการํ อาปชฺชมานํ หทยงฺคตภาวํ ปกาเสตีติ รูปํ, วณฺณายตนํฯ อาโรหปริณาหาทิเภทรูปคตํ สณฺฐานสมฺปตฺติํ นิสฺสาย ปสาทํ อาปชฺชมาโน รูปปฺปมาโณติ วุโตฺตติ อาห – ‘‘เอตฺถ สณฺฐาเน’’ติฯ ปิยรูปนฺติอาทีสุ สภาวโตฺถ รูปสโทฺทฯ อาทิสเทฺทน รูปชฺฌานาทีนํ สงฺคโหฯ ‘‘รูปี รูปานิ ปสฺสตี’’ติ เอตฺถ อชฺฌตฺตํ เกสาทีสุ ปริกมฺมสญฺญาวเสน ปฎิลทฺธรูปชฺฌานํ รูปํ, ตํ อสฺส อตฺถีติ รูปีติ วุโตฺตฯ อิตฺถิยา จตุสมุฎฺฐาเน วเณฺณติ อิตฺถิสรีรปริยาปนฺนเมว รูปํ คหิตํ, ตปฺปฎิพทฺธวตฺถาลงฺการาทิรูปมฺปิ ปน ปุริสจิตฺตสฺส ปริยาทายกํ โหตีติ ทเสฺสตุํ – ‘‘อปิจา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ คนฺธวณฺณคฺคหเณน วิเลปนํ วุตฺตํฯ กามํ ‘‘อสุกาย อิตฺถิยา ปสาธน’’นฺติ สลฺลกฺขิตสฺส อกายปฺปฎิพทฺธสฺสปิ วโณฺณ ปฎิพทฺธจิตฺตสฺส ปุริสสฺส จิตฺตํ ปริยาทาย ติเฎฺฐยฺย, ตํ ปน น เอกนฺติกนฺติ เอกนฺติกํ ทเสฺสโนฺต ‘‘กายปฺปฎิพโทฺธ’’ติอาหฯ อุปกปฺปตีติ จิตฺตสฺส ปริยาทานาย อุปกปฺปติฯ ปุริมเสฺสวาติ ปุเพฺพ วุตฺตอตฺถเสฺสว ทฬฺหีกรณตฺถํ วุตฺตํ ยถา ‘‘ทฺวิกฺขตฺตุํ พนฺธํ สุพนฺธ’’นฺติฯ นิคมนวเสน วา เอตํ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ โอปมฺมวเสน วุตฺตนฺติ ‘‘ยํ เอวํ ปุริสสฺส จิตฺตํ ปริยาทาย ติฎฺฐตี’’ติ สกลเมวิทํ ปุริมวจนํ อุปมาวเสน วุตฺตํ, ตตฺถ ปน อุปมาภูตํ อตฺถํ ทเสฺสตุํ – ‘‘ยถยิทํ…เป.… อิตฺถิรูป’’นฺติ วุตฺตํฯ ปริยาทาเน อานุภาโว สมฺภโว ปริยาทานานุภาโว, ตสฺส ทสฺสนวเสน วุตฺตํฯ

    Rūpayati vaṇṇavikāraṃ āpajjamānaṃ hadayaṅgatabhāvaṃ pakāsetīti rūpaṃ, vaṇṇāyatanaṃ. Ārohapariṇāhādibhedarūpagataṃ saṇṭhānasampattiṃ nissāya pasādaṃ āpajjamāno rūpappamāṇoti vuttoti āha – ‘‘ettha saṇṭhāne’’ti. Piyarūpantiādīsu sabhāvattho rūpasaddo. Ādisaddena rūpajjhānādīnaṃ saṅgaho. ‘‘Rūpī rūpāni passatī’’ti ettha ajjhattaṃ kesādīsu parikammasaññāvasena paṭiladdharūpajjhānaṃ rūpaṃ, taṃ assa atthīti rūpīti vutto. Itthiyā catusamuṭṭhāne vaṇṇeti itthisarīrapariyāpannameva rūpaṃ gahitaṃ, tappaṭibaddhavatthālaṅkārādirūpampi pana purisacittassa pariyādāyakaṃ hotīti dassetuṃ – ‘‘apicā’’tiādi vuttaṃ. Gandhavaṇṇaggahaṇena vilepanaṃ vuttaṃ. Kāmaṃ ‘‘asukāya itthiyā pasādhana’’nti sallakkhitassa akāyappaṭibaddhassapi vaṇṇo paṭibaddhacittassa purisassa cittaṃ pariyādāya tiṭṭheyya, taṃ pana na ekantikanti ekantikaṃ dassento ‘‘kāyappaṭibaddho’’tiāha. Upakappatīti cittassa pariyādānāya upakappati. Purimassevāti pubbe vuttaatthasseva daḷhīkaraṇatthaṃ vuttaṃ yathā ‘‘dvikkhattuṃ bandhaṃ subandha’’nti. Nigamanavasena vā etaṃ vuttanti daṭṭhabbaṃ. Opammavasena vuttanti ‘‘yaṃ evaṃ purisassa cittaṃ pariyādāya tiṭṭhatī’’ti sakalamevidaṃ purimavacanaṃ upamāvasena vuttaṃ, tattha pana upamābhūtaṃ atthaṃ dassetuṃ – ‘‘yathayidaṃ…pe… itthirūpa’’nti vuttaṃ. Pariyādāne ānubhāvo sambhavo pariyādānānubhāvo, tassa dassanavasena vuttaṃ.

    อิทํ ปน ‘‘อิตฺถิรูป’’นฺติอาทิวจนํ ปริยาทานานุภาเว สาเธตเพฺพ ทีเปตเพฺพ วตฺถุ การณํฯ นาโค นาม โส ราชา, ทีฆทาฐิกตฺตา ปน ‘‘มหาทาฐิกนาคราชา’’ติ วุโตฺตฯ อสํวรนิยาเมนาติ จกฺขุทฺวาริเกน อสํวรนีหาเรนฯ นิมิตฺตํ คเหตฺวาติ ราคุปฺปตฺติเหตุภูตํ รูปํ สุภนิมิตฺตํ คเหตฺวาฯ วิสิกาทสฺสนํ คนฺตฺวาติ สิวถิกทสฺสนํ คนฺตฺวาฯ ตตฺถ หิ อาทีนวานุปสฺสนา อิชฺฌติฯ วตฺถุโลเภน กุโต ตาทิสาย มรณนฺติ อสทฺทหโนฺต ‘‘มุขํ ตุมฺหากํ ธูมวณฺณ’’นฺติ เต ทหรสามเณเร อุปฺปเณฺฑโนฺต วทติฯ

    Idaṃ pana ‘‘itthirūpa’’ntiādivacanaṃ pariyādānānubhāve sādhetabbe dīpetabbe vatthu kāraṇaṃ. Nāgo nāma so rājā, dīghadāṭhikattā pana ‘‘mahādāṭhikanāgarājā’’ti vutto. Asaṃvaraniyāmenāti cakkhudvārikena asaṃvaranīhārena. Nimittaṃ gahetvāti rāguppattihetubhūtaṃ rūpaṃ subhanimittaṃ gahetvā. Visikādassanaṃ gantvāti sivathikadassanaṃ gantvā. Tattha hi ādīnavānupassanā ijjhati. Vatthulobhena kuto tādisāya maraṇanti asaddahanto ‘‘mukhaṃ tumhākaṃ dhūmavaṇṇa’’nti te daharasāmaṇere uppaṇḍento vadati.

    รตนตฺตเย สุปฺปสนฺนตฺตา กากวณฺณติสฺสาทีหิ วิเสสนตฺถญฺจ โส ติสฺสมหาราชา สทฺธาสเทฺทน วิเสเสตฺวา วุจฺจติฯ ทหรสฺส จิตฺตํ ปริยาทาย ติฎฺฐตีติ อธิการวเสน วุตฺตํฯ นิฎฺฐิตุเทฺทสกิโจฺจติ คาเม อสปฺปายรูปทสฺสนํ อิมสฺส อนตฺถาย สิยาติ อาจริเยน นิวาริตคามปฺปเวโส ปจฺฉา นิฎฺฐิตุเทฺทสกิโจฺจ หุตฺวา ฐิโตฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อตฺถกามานํ วจนํ อคฺคเหตฺวา’’ติ ฯ นิวตฺถวตฺถํ สญฺชานิตฺวาติ อตฺตนา ทิฎฺฐทิวเส นิวตฺถวตฺถํ ตสฺสา มตทิวเส สิวถิกทสฺสนตฺถํ คเตน ลทฺธํ สญฺชานิตฺวาฯ เอวมฺปีติ เอวํ มรณสมฺปาปนวเสนปิฯ อยํ ตาเวตฺถ อฎฺฐกถาย อนุตฺตานตฺถทีปนาฯ

    Ratanattaye suppasannattā kākavaṇṇatissādīhi visesanatthañca so tissamahārājā saddhāsaddena visesetvā vuccati. Daharassa cittaṃ pariyādāyatiṭṭhatīti adhikāravasena vuttaṃ. Niṭṭhituddesakiccoti gāme asappāyarūpadassanaṃ imassa anatthāya siyāti ācariyena nivāritagāmappaveso pacchā niṭṭhituddesakicco hutvā ṭhito. Tena vuttaṃ – ‘‘atthakāmānaṃ vacanaṃ aggahetvā’’ti . Nivatthavatthaṃ sañjānitvāti attanā diṭṭhadivase nivatthavatthaṃ tassā matadivase sivathikadassanatthaṃ gatena laddhaṃ sañjānitvā. Evampīti evaṃ maraṇasampāpanavasenapi. Ayaṃ tāvettha aṭṭhakathāya anuttānatthadīpanā.

    เนตฺตินยวณฺณนา

    Nettinayavaṇṇanā

    อิทานิ ปกรณนเยน ปาฬิยา อตฺถวณฺณนํ กริสฺสามฯ สา ปน อตฺถสํวณฺณนา ยสฺมา เทสนาย สมุฎฺฐานปฺปโยชนภาชเนสุ ปิณฺฑเตฺถสุ จ นิทฺธาริเตสุ สุกรา โหติ สุวิเญฺญยฺยา จ, ตสฺมา สุตฺตเทสนาย สมุฎฺฐานาทีนิ ปฐมํ นิทฺธารยิสฺสามฯ ตตฺถ สมุฎฺฐานํ นาม เทสนานิทานํ, ตํ สาธารณมสาธารณนฺติ ทุวิธํฯ ตตฺถ สาธารณมฺปิ อชฺฌตฺติกพาหิรเภทโต ทุวิธํฯ ตตฺถ สาธารณํ อชฺฌตฺติกสมุฎฺฐานํ นาม โลกนาถสฺส มหากรุณาฯ ตาย หิ สมุสฺสาหิตสฺส ภควโต เวเนยฺยานํ ธมฺมเทสนาย จิตฺตํ อุทปาทิ, ยํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘สเตฺตสุ จ การุญฺญตํ ปฎิจฺจ พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกสี’’ติอาทิ (ม. นิ. ๑.๒๘๓; มหาว. ๙; สํ. นิ. ๑.๑๗๓)ฯ เอตฺถ จ เหตาวตฺถายปิ มหากรุณาย สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพ ยาวเทว สํสารมโหฆโต สทฺธมฺมเทสนาหตฺถทาเนหิ สตฺตสนฺตารณตฺถํ ตทุปฺปตฺติโตฯ ยถา จ มหากรุณา, เอวํ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ทสพลญาณาทโย จ เทสนาย อพฺภนฺตรสมุฎฺฐานภาเวน วตฺตพฺพาฯ สพฺพญฺหิ เญยฺยธมฺมํ เตสํ เทเสตพฺพาการํ สตฺตานญฺจ อาสยานุสยาทิํ ยาถาวโต ชานโนฺต ภควา ฐานาฎฺฐานาทีสุ โกสเลฺลน เวเนยฺยชฺฌาสยานุรูปํ วิจิตฺตนยเทสนํ ปวเตฺตสีติฯ พาหิรํ ปน สาธารณํ สมุฎฺฐานํ ทสสหสฺสมหาพฺรหฺมปริวารสฺส สหมฺปติพฺรหฺมุโน อเชฺฌสนํฯ ตทเชฺฌสนุตฺตรกาลญฺหิ ธมฺมคมฺภีรตาปจฺจเวกฺขณาชนิตํ อโปฺปสฺสุกฺกตํ ปฎิปฺปสฺสเมฺภตฺวา ธมฺมสฺสามี ธมฺมเทสนาย อุสฺสาหชาโต อโหสิฯ อสาธารณมฺปิ อพฺภนฺตรพาหิรเภทโต ทุวิธเมวฯ ตตฺถ อพฺภนฺตรํ ยาย มหากรุณาย เยน จ เทสนาญาเณน อิทํ สุตฺตํ ปวตฺติตํ, ตทุภยํ เวทิตพฺพํฯ พาหิรํ ปน รูปครุกานํ ปุคฺคลานํ อชฺฌาสโยฯ สฺวายมโตฺถ อฎฺฐกถายํ วุโตฺต เอวฯ

    Idāni pakaraṇanayena pāḷiyā atthavaṇṇanaṃ karissāma. Sā pana atthasaṃvaṇṇanā yasmā desanāya samuṭṭhānappayojanabhājanesu piṇḍatthesu ca niddhāritesu sukarā hoti suviññeyyā ca, tasmā suttadesanāya samuṭṭhānādīni paṭhamaṃ niddhārayissāma. Tattha samuṭṭhānaṃ nāma desanānidānaṃ, taṃ sādhāraṇamasādhāraṇanti duvidhaṃ. Tattha sādhāraṇampi ajjhattikabāhirabhedato duvidhaṃ. Tattha sādhāraṇaṃ ajjhattikasamuṭṭhānaṃ nāma lokanāthassa mahākaruṇā. Tāya hi samussāhitassa bhagavato veneyyānaṃ dhammadesanāya cittaṃ udapādi, yaṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘sattesu ca kāruññataṃ paṭicca buddhacakkhunā lokaṃ volokesī’’tiādi (ma. ni. 1.283; mahāva. 9; saṃ. ni. 1.173). Ettha ca hetāvatthāyapi mahākaruṇāya saṅgaho daṭṭhabbo yāvadeva saṃsāramahoghato saddhammadesanāhatthadānehi sattasantāraṇatthaṃ taduppattito. Yathā ca mahākaruṇā, evaṃ sabbaññutaññāṇaṃ dasabalañāṇādayo ca desanāya abbhantarasamuṭṭhānabhāvena vattabbā. Sabbañhi ñeyyadhammaṃ tesaṃ desetabbākāraṃ sattānañca āsayānusayādiṃ yāthāvato jānanto bhagavā ṭhānāṭṭhānādīsu kosallena veneyyajjhāsayānurūpaṃ vicittanayadesanaṃ pavattesīti. Bāhiraṃ pana sādhāraṇaṃ samuṭṭhānaṃ dasasahassamahābrahmaparivārassa sahampatibrahmuno ajjhesanaṃ. Tadajjhesanuttarakālañhi dhammagambhīratāpaccavekkhaṇājanitaṃ appossukkataṃ paṭippassambhetvā dhammassāmī dhammadesanāya ussāhajāto ahosi. Asādhāraṇampi abbhantarabāhirabhedato duvidhameva. Tattha abbhantaraṃ yāya mahākaruṇāya yena ca desanāñāṇena idaṃ suttaṃ pavattitaṃ, tadubhayaṃ veditabbaṃ. Bāhiraṃ pana rūpagarukānaṃ puggalānaṃ ajjhāsayo. Svāyamattho aṭṭhakathāyaṃ vutto eva.

    ปโยชนมฺปิ สาธารณาสาธารณโต ทุวิธํฯ ตตฺถ สาธารณํ ยาว อนุปาทาปรินิพฺพานํ วิมุตฺติรสตฺตา ภควโต เทสนายฯ เตเนวาห – ‘‘เอตทตฺถา กถา, เอตทตฺถา มนฺตนา’’ติอาทิฯ อสาธารณํ ปน เตสํ รูปครุกานํ ปุคฺคลานํ รูเป ฉนฺทราคสฺส ชหาปนํ, อุภยเมฺปตํ พาหิรเมวฯ สเจ ปน เวเนยฺยสนฺตานคตมฺปิ เทสนาพลสิทฺธิสงฺขาตํ ปโยชนํ อธิปฺปายสมิชฺฌนภาวโต ยถาธิเปฺปตตฺถสิทฺธิยา มหาการุณิกสฺส ภควโตปิ ปโยชนเมวาติ คเณฺหยฺย, อิมินา ปริยาเยนสฺส อพฺภนฺตรตาปิ สิยาฯ

    Payojanampi sādhāraṇāsādhāraṇato duvidhaṃ. Tattha sādhāraṇaṃ yāva anupādāparinibbānaṃ vimuttirasattā bhagavato desanāya. Tenevāha – ‘‘etadatthā kathā, etadatthā mantanā’’tiādi. Asādhāraṇaṃ pana tesaṃ rūpagarukānaṃ puggalānaṃ rūpe chandarāgassa jahāpanaṃ, ubhayampetaṃ bāhirameva. Sace pana veneyyasantānagatampi desanābalasiddhisaṅkhātaṃ payojanaṃ adhippāyasamijjhanabhāvato yathādhippetatthasiddhiyā mahākāruṇikassa bhagavatopi payojanamevāti gaṇheyya, iminā pariyāyenassa abbhantaratāpi siyā.

    อปิจ เตสํ รูปครุกานํ ปุคฺคลานํ รูปสฺมิํ วิชฺชมานสฺส อาทีนวสฺส ยาถาวโต อนวโพโธ อิมิสฺสา เทสนาย สมุฎฺฐานํ, ตทวโพโธ ปโยชนํฯ โส หิ อิมาย เทสนาย ภควนฺตํ ปโยเชติ ตนฺนิปฺผาทนปรายํ เทสนาติ กตฺวาฯ ยญฺหิ เทสนาย สาเธตพฺพํ ผลํ, ตํ อากงฺขิตพฺพตฺตา เทสกํ เทสนาย ปโยเชตีติ ปโยชนนฺติ วุจฺจติฯ ตถา เตสํ ปุคฺคลานํ ตทเญฺญสญฺจ เวเนยฺยานํ รูปมุเขน ปญฺจสุ อุปาทานกฺขเนฺธสุ อาทีนวทสฺสนเญฺจตฺถ ปโยชนํฯ ตถา สํสารจกฺกนิวตฺติสทฺธมฺมจกฺกปฺปวตฺติสสฺสตาทิมิจฺฉาวาทนิรากรณํ สมฺมาวาทปุเรกฺขาโร อกุสลมูลสมูหนนํ กุสลมูลสมาโรปนํ อปายทฺวารปิทหนํ สคฺคมคฺคทฺวารวิวรณํ ปริยุฎฺฐานวูปสมนํ อนุสยสมุคฺฆาตนํ ‘‘มุโตฺต โมเจสฺสามี’’ติ ปุริมปฎิญฺญาวิสํวาทนํ ตปฺปฎิปกฺขมารมโนรถวิสํวาทนํ ติตฺถิยธมฺมนิมฺมถนํ พุทฺธธมฺมปติฎฺฐาปนนฺติ เอวมาทีนิปิ ปโยชนานิ อิธ เวทิตพฺพานิฯ

    Apica tesaṃ rūpagarukānaṃ puggalānaṃ rūpasmiṃ vijjamānassa ādīnavassa yāthāvato anavabodho imissā desanāya samuṭṭhānaṃ, tadavabodho payojanaṃ. So hi imāya desanāya bhagavantaṃ payojeti tannipphādanaparāyaṃ desanāti katvā. Yañhi desanāya sādhetabbaṃ phalaṃ, taṃ ākaṅkhitabbattā desakaṃ desanāya payojetīti payojananti vuccati. Tathā tesaṃ puggalānaṃ tadaññesañca veneyyānaṃ rūpamukhena pañcasu upādānakkhandhesu ādīnavadassanañcettha payojanaṃ. Tathā saṃsāracakkanivattisaddhammacakkappavattisassatādimicchāvādanirākaraṇaṃ sammāvādapurekkhāro akusalamūlasamūhananaṃ kusalamūlasamāropanaṃ apāyadvārapidahanaṃ saggamaggadvāravivaraṇaṃ pariyuṭṭhānavūpasamanaṃ anusayasamugghātanaṃ ‘‘mutto mocessāmī’’ti purimapaṭiññāvisaṃvādanaṃ tappaṭipakkhamāramanorathavisaṃvādanaṃ titthiyadhammanimmathanaṃ buddhadhammapatiṭṭhāpananti evamādīnipi payojanāni idha veditabbāni.

    ยถา เต ปุคฺคลา รูปครุกา, เอวํ ตทเญฺญ จ สกฺกายครุกา สกฺกายสฺมิํ อลฺลีนา สงฺขตธมฺมานํ สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส จ ปฎิปตฺติํ อชานนฺตา อสทฺธมฺมสฺสวนสาธารณปริจริยมนสิการปรา สทฺธมฺมสฺสวนธารณปริจยปฺปฎิเวธวิมุขา จ ภววิปฺปโมเกฺขสิโน เวเนยฺยา อิมิสฺสา เทสนาย ภาชนํ

    Yathā te puggalā rūpagarukā, evaṃ tadaññe ca sakkāyagarukā sakkāyasmiṃ allīnā saṅkhatadhammānaṃ sammāsambuddhassa ca paṭipattiṃ ajānantā asaddhammassavanasādhāraṇaparicariyamanasikāraparā saddhammassavanadhāraṇaparicayappaṭivedhavimukhā ca bhavavippamokkhesino veneyyā imissā desanāya bhājanaṃ.

    ปิณฺฑตฺตา เจตฺถ รูปคฺคหเณน รูปธาตุรูปายตนรูปกฺขนฺธปริคฺคณฺหนํ รูปมุเขน จตุธมฺมานํ วฎฺฎตฺตยวิเจฺฉทนูปาโย อาสโวฆาทิวิเวจนํ อภินนฺทนนิวารณสงฺคติกฺกโม วิวาทมูลปริจฺจาโค สิกฺขตฺตยานุโยโค ปหานตฺตยทีปนา สมถวิปสฺสนานุฎฺฐานํ ภาวนาสจฺฉิกิริยาสิทฺธีติ เอวมาทโย เวทิตพฺพาฯ

    Piṇḍattā cettha rūpaggahaṇena rūpadhāturūpāyatanarūpakkhandhapariggaṇhanaṃ rūpamukhena catudhammānaṃ vaṭṭattayavicchedanūpāyo āsavoghādivivecanaṃ abhinandananivāraṇasaṅgatikkamo vivādamūlapariccāgo sikkhattayānuyogo pahānattayadīpanā samathavipassanānuṭṭhānaṃ bhāvanāsacchikiriyāsiddhīti evamādayo veditabbā.

    อิโต ปรํ ปน โสฬส หารา ทเสฺสตพฺพาฯ ตตฺถ ‘‘รูป’’นฺติ สหชาตา ตสฺส นิสฺสยภูตา ตปฺปฎิพทฺธา จ สเพฺพ รูปารูปธมฺมา ตณฺหาวชฺชา ทุกฺขสจฺจํฯ ตํสมุฎฺฐาปิกา ตทารมฺมณา จ ตณฺหา สมุทยสจฺจํฯ ตทุภเยสํ อปฺปวตฺติ นิโรธสจฺจํฯ นิโรธปฺปชานนา ปฎิปทา มคฺคสจฺจํฯ ตตฺถ สมุทเยน อสฺสาโท, ทุเกฺขน อาทีนโว, มคฺคนิโรเธหิ นิสฺสรณํ, รูปารมฺมณสฺส อกุสลจิตฺตสฺส กุสลจิตฺตสฺส จ ปริยาทานํ ผลํฯ ยญฺหิ เทสนาย สาเธตพฺพํ ปโยชนํ, ตํ ผลนฺติ วุโตฺตวายมโตฺถฯ ตทตฺถํ หิทํ สุตฺตํ ภควตา เทสิตนฺติฯ ยถา ตํ กุสลจิตฺตํ น ปริยาทิยติ, เอวํ ปฎิสงฺขานภาวนาพลปริคฺคหิตา อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวารตา อุปาโยฯ ปุริสสฺส กุสลจิตฺตปริยาทาเนนสฺส รูปสฺส อญฺญรูปาสาธารณตาทสฺสนาปเทเสน อตฺถกาเมหิ ตโต จิตฺตํ สาธุกํ รกฺขิตพฺพํฯ อยเมตฺถ ภควโต อาณตฺตีติ อยํ เทสนาหาโรฯ อสฺสาทาทิสนฺทสฺสนวิภาวนลกฺขโณ หิ เทสนาหาโรฯ วุตฺตเญฺหตํ เนตฺติปฺปกรเณ

    Ito paraṃ pana soḷasa hārā dassetabbā. Tattha ‘‘rūpa’’nti sahajātā tassa nissayabhūtā tappaṭibaddhā ca sabbe rūpārūpadhammā taṇhāvajjā dukkhasaccaṃ. Taṃsamuṭṭhāpikā tadārammaṇā ca taṇhā samudayasaccaṃ. Tadubhayesaṃ appavatti nirodhasaccaṃ. Nirodhappajānanā paṭipadā maggasaccaṃ. Tattha samudayena assādo, dukkhena ādīnavo, magganirodhehi nissaraṇaṃ, rūpārammaṇassa akusalacittassa kusalacittassa ca pariyādānaṃ phalaṃ. Yañhi desanāya sādhetabbaṃ payojanaṃ, taṃ phalanti vuttovāyamattho. Tadatthaṃ hidaṃ suttaṃ bhagavatā desitanti. Yathā taṃ kusalacittaṃ na pariyādiyati, evaṃ paṭisaṅkhānabhāvanābalapariggahitā indriyesu guttadvāratā upāyo. Purisassa kusalacittapariyādānenassa rūpassa aññarūpāsādhāraṇatādassanāpadesena atthakāmehi tato cittaṃ sādhukaṃ rakkhitabbaṃ. Ayamettha bhagavato āṇattīti ayaṃ desanāhāro. Assādādisandassanavibhāvanalakkhaṇo hi desanāhāro. Vuttañhetaṃ nettippakaraṇe

    ‘‘อสฺสาทาทีนวตา, นิสฺสรณมฺปิ จ ผลํ อุปาโย จ;

    ‘‘Assādādīnavatā, nissaraṇampi ca phalaṃ upāyo ca;

    อาณตฺตี จ ภควโต, โยคีนํ เทสนาหาโร’’ติฯ (เนตฺติ. ๔ นิเทฺทสวาร);

    Āṇattī ca bhagavato, yogīnaṃ desanāhāro’’ti. (netti. 4 niddesavāra);

    เทสียติ สํวณฺณียติ เอตาย สุตฺตโตฺถติ เทสนา, เทสนาย สหจรณโต วา เทสนาฯ นนุ จ อเญฺญปิ หารา เทสนาสงฺขาตสฺส สุตฺตสฺส อตฺถสํวณฺณนาโต เทสนาย สหจาริโน วาติ? สจฺจเมตํ, อยํ ปน หาโร เยภุเยฺยน ยถารุตวเสเนว วิญฺญายมาโน เทสนาย สห จรตีติ วตฺตพฺพตํ อรหติ, น ตถาปเรฯ น หิ อสฺสาทาทีนวนิสฺสรณาทิสนฺทสฺสนรหิตา สุตฺตเทสนา อตฺถิฯ กิํ ปน เตสํ อสฺสาทาทีนํ อนวเสสานํ วจนํ เทสนาหาโร, อุทาหุ เอกจฺจานนฺติ? นิรวเสสานํเยวฯ ยสฺมิญฺหิ สุเตฺต อสฺสาทาทีนวนิสฺสรณานิ สรูปโต อาคตานิ, ตตฺถ วตฺตพฺพเมว นตฺถิฯ ยตฺถ ปน เอกเทเสน อาคตานิ, น จ สรูเปน, ตตฺถ อนาคตํ อตฺถวเสน นิทฺธาเรตฺวา หาโร โยเชตโพฺพฯ

    Desīyati saṃvaṇṇīyati etāya suttatthoti desanā, desanāya sahacaraṇato vā desanā. Nanu ca aññepi hārā desanāsaṅkhātassa suttassa atthasaṃvaṇṇanāto desanāya sahacārino vāti? Saccametaṃ, ayaṃ pana hāro yebhuyyena yathārutavaseneva viññāyamāno desanāya saha caratīti vattabbataṃ arahati, na tathāpare. Na hi assādādīnavanissaraṇādisandassanarahitā suttadesanā atthi. Kiṃ pana tesaṃ assādādīnaṃ anavasesānaṃ vacanaṃ desanāhāro, udāhu ekaccānanti? Niravasesānaṃyeva. Yasmiñhi sutte assādādīnavanissaraṇāni sarūpato āgatāni, tattha vattabbameva natthi. Yattha pana ekadesena āgatāni, na ca sarūpena, tattha anāgataṃ atthavasena niddhāretvā hāro yojetabbo.

    สยํ สมนฺตจกฺขุภาวโต ตํทสฺสเนน สภาวโต จ ‘‘อห’’นฺติ วุตฺตํฯ ภิกฺขนสีลตาทิคุณโยคโต อภิมุขีกรณตฺถญฺจ, ‘‘ภิกฺขเว’’ติ วุตฺตํฯ อตฺตาภาวโต อปรตาทสฺสนตฺถญฺจ ‘‘อญฺญ’’นฺติ วุตฺตํฯ เอกสฺส อนุปลพฺภทสฺสนตฺถํ อเนกภาวปฺปฎิเสธนตฺถญฺจ ‘‘เอกรูปมฺปี’’ติ วุตฺตํฯ ตาทิสสฺส รูปสฺส อภาวโต อทสฺสนโต จ ‘‘น สมนุปสฺสามี’’ติ วุตฺตํฯ ตสฺส ปจฺจามสนโต อนิยมโต จ ‘‘ย’’นฺติ วุตฺตํฯ อิทานิ วุจฺจมานาการปรามสนโต ตทญฺญาการนิเสธนโต จ ‘‘เอว’’นฺติ วุตฺตํฯ วิสภาคินฺทฺริยวตฺถุโต สภาควตฺถุสฺมิํ ตทภาวโต จ ‘‘ปุริสสฺสา’’ติ วุตฺตํฯ นิมิตฺตคฺคาหสฺส วตฺถุภาวโต ตถา ปริกปฺปิตตฺตา จ ‘‘จิตฺตํ ปริยาทาย ติฎฺฐตี’’ติ วุตฺตํฯ เอวนฺติ วุตฺตาการปรามสนตฺถเญฺจว นิทสฺสนตฺถญฺจ ‘‘ยถา’’ติ วุตฺตํฯ อตฺตโน ปจฺจกฺขภาวโต ภิกฺขูนํ ปจฺจกฺขกรณตฺถญฺจ ‘‘อิท’’นฺติ วุตฺตํฯ อิตฺถิสนฺตานปริยาปนฺนโต ตปฺปฎิพทฺธภาวโต จ ‘‘อิตฺถิรูป’’นฺติ วุตฺตนฺติ เอวํ อนุปทวิจยโต วิจโย หาโรฯ วิจียนฺติ เอเตน, เอตฺถ วา ปทปญฺหาทโยติ วิจโย, วิจิติ เอว วา เตสนฺติ วิจโยฯ ปทปุจฺฉาวิสฺสชฺชนปุพฺพาปรานุคฺคหนํ อสฺสาทาทีนญฺจ วิเสสนิทฺธารณวเสน ปวิจยลกฺขโณ หิ วิจโย หาโรฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –

    Sayaṃ samantacakkhubhāvato taṃdassanena sabhāvato ca ‘‘aha’’nti vuttaṃ. Bhikkhanasīlatādiguṇayogato abhimukhīkaraṇatthañca, ‘‘bhikkhave’’ti vuttaṃ. Attābhāvato aparatādassanatthañca ‘‘añña’’nti vuttaṃ. Ekassa anupalabbhadassanatthaṃ anekabhāvappaṭisedhanatthañca ‘‘ekarūpampī’’ti vuttaṃ. Tādisassa rūpassa abhāvato adassanato ca ‘‘na samanupassāmī’’ti vuttaṃ. Tassa paccāmasanato aniyamato ca ‘‘ya’’nti vuttaṃ. Idāni vuccamānākāraparāmasanato tadaññākāranisedhanato ca ‘‘eva’’nti vuttaṃ. Visabhāgindriyavatthuto sabhāgavatthusmiṃ tadabhāvato ca ‘‘purisassā’’ti vuttaṃ. Nimittaggāhassa vatthubhāvato tathā parikappitattā ca ‘‘cittaṃ pariyādāya tiṭṭhatī’’ti vuttaṃ. Evanti vuttākāraparāmasanatthañceva nidassanatthañca ‘‘yathā’’ti vuttaṃ. Attano paccakkhabhāvato bhikkhūnaṃ paccakkhakaraṇatthañca ‘‘ida’’nti vuttaṃ. Itthisantānapariyāpannato tappaṭibaddhabhāvato ca ‘‘itthirūpa’’nti vuttanti evaṃ anupadavicayato vicayo hāro. Vicīyanti etena, ettha vā padapañhādayoti vicayo, viciti eva vā tesanti vicayo. Padapucchāvissajjanapubbāparānuggahanaṃ assādādīnañca visesaniddhāraṇavasena pavicayalakkhaṇo hi vicayo hāro. Vuttampi cetaṃ –

    ‘‘ยํ ปุจฺฉิตญฺจ วิสฺสชฺชิตญฺจ, สุตฺตสฺส ยา จ อนุคีติ;

    ‘‘Yaṃ pucchitañca vissajjitañca, suttassa yā ca anugīti;

    สุตฺตสฺส โย ปวิจโย, หาโร วิจโยติ นิทฺทิโฎฺฐ’’ติฯ (เนตฺติ. ๔ นิเทฺทสวาร);

    Suttassa yo pavicayo, hāro vicayoti niddiṭṭho’’ti. (netti. 4 niddesavāra);

    อนาทิมติ สํสาเร อิตฺถิปุริสานํ อญฺญมญฺญรูปาภิรามตาย ‘‘อิตฺถิรูปํ ปุริสสฺส จิตฺตํ ปริยาทาย ติฎฺฐตี’’ติ ยุชฺชตีติ อยํ ยุตฺติหาโรฯ พฺยญฺชนตฺถานํ ยุตฺตายุตฺตวิภาควิภาวนลกฺขโณ หิ ยุตฺติหาโรฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –

    Anādimati saṃsāre itthipurisānaṃ aññamaññarūpābhirāmatāya ‘‘itthirūpaṃ purisassa cittaṃ pariyādāya tiṭṭhatī’’ti yujjatīti ayaṃ yuttihāro. Byañjanatthānaṃ yuttāyuttavibhāgavibhāvanalakkhaṇo hi yuttihāro. Vuttampi cetaṃ –

    ‘‘สเพฺพสํ หารานํ, ยา ภูมี โย จ โคจโร เตสํ;

    ‘‘Sabbesaṃ hārānaṃ, yā bhūmī yo ca gocaro tesaṃ;

    ยุตฺตายุตฺติปริกฺขา, หาโร ยุตฺตีติ นิทฺทิโฎฺฐ’’ติฯ (เนตฺติ. ๔ นิเทฺทสวาร);

    Yuttāyuttiparikkhā, hāro yuttīti niddiṭṭho’’ti. (netti. 4 niddesavāra);

    ยุตฺตีติ จ อุปปตฺติ สาธนยุตฺติ, อิธ ปน ยุตฺติวิจารณา ยุตฺติ อุตฺตรปทโลเปน ‘‘รูปภโว รูป’’นฺติ ยถาฯ ยุตฺติสหจรณโต วา ยุตฺติฯ

    Yuttīti ca upapatti sādhanayutti, idha pana yuttivicāraṇā yutti uttarapadalopena ‘‘rūpabhavo rūpa’’nti yathā. Yuttisahacaraṇato vā yutti.

    อิตฺถิรูปํ อโยนิโส โอโลกิยมานํ อินฺทฺริเยสุ อคุตฺตทฺวารตาย ปทฎฺฐานํ, สา กุสลานํ ธมฺมานํ อภาวนาย ปทฎฺฐานํ, สา สพฺพสฺสปิ สํกิเลสปกฺขสฺส ปริวุทฺธิยา ปทฎฺฐานํฯ พฺยติเรกโต ปน อิตฺถิรูปํ โยนิโส โอโลกิยมานํ สติปฎฺฐานภาวนาย ปทฎฺฐานํ, สา โพชฺฌงฺคานํ ภาวนาปาริปูริยา ปทฎฺฐานํ, สา วิชฺชาวิมุตฺตีนํ ปาริปูริยา ปทฎฺฐานํ, กุสลสฺส จิตฺตสฺส ปริยาทานํ สโมฺมหาภินิเวสสฺส ปทฎฺฐานํ, โส สงฺขารานํ ปทฎฺฐานํ, สงฺขารา วิญฺญาณสฺสาติ สพฺพํ อาวตฺตติ ภวจกฺกํฯ พฺยติเรกโต ปน กุสลสฺส จิตฺตสฺส อปริยาทานํ เตสํ เตสํ กุสลานํ ธมฺมานํ อุปฺปาทาย ปาริปูริยา ปทฎฺฐานนฺติ อยํ ตาว อวิเสสโต นโยฯ วิเสสโต ปน สีลสฺส อปริยาทานํ อวิปฺปฎิสารสฺส ปทฎฺฐานํ, อวิปฺปฎิสาโร ปาโมชฺชสฺสาติอาทินา ยาว อนุปาทาปรินิพฺพานํ เนตพฺพํฯ อยํ ปทฎฺฐาโน หาโรฯ สุเตฺต อาคตธมฺมานํ ปทฎฺฐานภูเต ธเมฺม เตสญฺจ ปทฎฺฐานภูเตติ สมฺภวโต ปทฎฺฐานภูตธมฺมนิทฺธารณลกฺขโณ หิ ปทฎฺฐาโน หาโรฯ วุตฺตเญฺจตํ –

    Itthirūpaṃ ayoniso olokiyamānaṃ indriyesu aguttadvāratāya padaṭṭhānaṃ, sā kusalānaṃ dhammānaṃ abhāvanāya padaṭṭhānaṃ, sā sabbassapi saṃkilesapakkhassa parivuddhiyā padaṭṭhānaṃ. Byatirekato pana itthirūpaṃ yoniso olokiyamānaṃ satipaṭṭhānabhāvanāya padaṭṭhānaṃ, sā bojjhaṅgānaṃ bhāvanāpāripūriyā padaṭṭhānaṃ, sā vijjāvimuttīnaṃ pāripūriyā padaṭṭhānaṃ, kusalassa cittassa pariyādānaṃ sammohābhinivesassa padaṭṭhānaṃ, so saṅkhārānaṃ padaṭṭhānaṃ, saṅkhārā viññāṇassāti sabbaṃ āvattati bhavacakkaṃ. Byatirekato pana kusalassa cittassa apariyādānaṃ tesaṃ tesaṃ kusalānaṃ dhammānaṃ uppādāya pāripūriyā padaṭṭhānanti ayaṃ tāva avisesato nayo. Visesato pana sīlassa apariyādānaṃ avippaṭisārassa padaṭṭhānaṃ, avippaṭisāro pāmojjassātiādinā yāva anupādāparinibbānaṃ netabbaṃ. Ayaṃ padaṭṭhāno hāro. Sutte āgatadhammānaṃ padaṭṭhānabhūte dhamme tesañca padaṭṭhānabhūteti sambhavato padaṭṭhānabhūtadhammaniddhāraṇalakkhaṇo hi padaṭṭhāno hāro. Vuttañcetaṃ –

    ‘‘ธมฺมํ เทเสติ ชิโน, ตสฺส จ ธมฺมสฺส ยํ ปทฎฺฐานํ;

    ‘‘Dhammaṃ deseti jino, tassa ca dhammassa yaṃ padaṭṭhānaṃ;

    อิติ ยาว สพฺพธมฺมา, เอโส หาโร ปทฎฺฐาโน’’ติฯ (เนตฺติ. ๔ นิเทฺทสวาร);

    Iti yāva sabbadhammā, eso hāro padaṭṭhāno’’ti. (netti. 4 niddesavāra);

    ปทฎฺฐานนฺติ อาสนฺนการณํฯ อิธ ปน ปทฎฺฐานวิจารณา ปทฎฺฐาโนติอาทิ ยุตฺติหาเร วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ

    Padaṭṭhānanti āsannakāraṇaṃ. Idha pana padaṭṭhānavicāraṇā padaṭṭhānotiādi yuttihāre vuttanayeneva veditabbaṃ.

    เอกรูปนฺติ จ รูปายตนคฺคหเณน ฉนฺนมฺปิ พาหิรานํ อายตนานํ คหณํ พาหิรายตนภาเวน เอกลกฺขณตฺตาฯ จิตฺตนฺติ มนายตนคฺคหเณน ฉนฺนมฺปิ อชฺฌตฺติกานํ อายตนานํ คหณํ อชฺฌตฺติกายตนภาเวน เอกลกฺขณตฺตาฯ เอวํ ขนฺธธาตาทิวเสนปิ เอกลกฺขณตา วตฺตพฺพาฯ อยํ ลกฺขโณ หาโรฯ ลกฺขียนฺติ เอเตน, เอตฺถ วา เอกลกฺขณธมฺมา อวุตฺตาปิ เอกจฺจวจเนนาติ ลกฺขโณฯ สุเตฺต อนาคเตปิ ธเมฺม วุตฺตปฺปกาเร อาคเต วิย นิทฺธาเรตฺวา ยา สํวณฺณนา, โส ลกฺขโณ หาโรฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –

    Ekarūpanti ca rūpāyatanaggahaṇena channampi bāhirānaṃ āyatanānaṃ gahaṇaṃ bāhirāyatanabhāvena ekalakkhaṇattā. Cittanti manāyatanaggahaṇena channampi ajjhattikānaṃ āyatanānaṃ gahaṇaṃ ajjhattikāyatanabhāvena ekalakkhaṇattā. Evaṃ khandhadhātādivasenapi ekalakkhaṇatā vattabbā. Ayaṃ lakkhaṇo hāro. Lakkhīyanti etena, ettha vā ekalakkhaṇadhammā avuttāpi ekaccavacanenāti lakkhaṇo. Sutte anāgatepi dhamme vuttappakāre āgate viya niddhāretvā yā saṃvaṇṇanā, so lakkhaṇo hāro. Vuttampi cetaṃ –

    ‘‘วุตฺตมฺหิ เอกธเมฺม, เย ธมฺมา เอกลกฺขณา เกจิ;

    ‘‘Vuttamhi ekadhamme, ye dhammā ekalakkhaṇā keci;

    วุตฺตา ภวนฺติ สเพฺพ, โส หาโร ลกฺขโณ นามา’’ติฯ (เนตฺติ. ๔ นิเทฺทสวาร);

    Vuttā bhavanti sabbe, so hāro lakkhaṇo nāmā’’ti. (netti. 4 niddesavāra);

    นิทาเน อิมิสฺสา เทสนาย รูปครุกานํ ปุคฺคลานํ รูปสฺมิํ อนาทีนวทสฺสิตา วุตฺตา, ‘‘กถํ นุ โข อิเม อิมํ เทสนํ สุตฺวา รูเป อาทีนวทสฺสนมุเขน สพฺพสฺมิมฺปิ ขนฺธปญฺจเก สพฺพโส ฉนฺทราคํ ปหาย สกลวฎฺฎทุกฺขโต มุเจฺจยฺยุํ, ปเร จ ตตฺถ ปติฎฺฐาเปยฺยุ’’นฺติ อยเมตฺถ ภควโต อธิปฺปาโยฯ ปทนิพฺพจนํ นิรุตฺตํ, ตํ ‘‘เอว’’นฺติอาทินิทานปทานํ ‘‘นาห’’นฺติอาทิปาฬิปทานญฺจ อฎฺฐกถายํ ตสฺสา ลีนตฺถวณฺณนาย จ วุตฺตนยานุสาเรน สุกรตฺตา น วิตฺถารยิมฺหฯ

    Nidāne imissā desanāya rūpagarukānaṃ puggalānaṃ rūpasmiṃ anādīnavadassitā vuttā, ‘‘kathaṃ nu kho ime imaṃ desanaṃ sutvā rūpe ādīnavadassanamukhena sabbasmimpi khandhapañcake sabbaso chandarāgaṃ pahāya sakalavaṭṭadukkhato mucceyyuṃ, pare ca tattha patiṭṭhāpeyyu’’nti ayamettha bhagavato adhippāyo. Padanibbacanaṃ niruttaṃ, taṃ ‘‘eva’’ntiādinidānapadānaṃ ‘‘nāha’’ntiādipāḷipadānañca aṭṭhakathāyaṃ tassā līnatthavaṇṇanāya ca vuttanayānusārena sukarattā na vitthārayimha.

    ปทปทตฺถเทสนาเทสนานิเกฺขปสุตฺตสนฺธิวเสน ปญฺจวิธา สนฺธิฯ ตตฺถ ปทสฺส ปทนฺตเรน สมฺพโนฺธ ปทสนฺธิฯ ปทตฺถสฺส ปทตฺถนฺตเรน สมฺพโนฺธ ปทตฺถสนฺธิ, โย ‘‘กิริยาการกสมฺพโนฺธ’’ติ วุจฺจติฯ นานานุสนฺธิกสฺส สุตฺตสฺส ตํตํอนุสนฺธีหิ สมฺพโนฺธ, เอกานุสนฺธิกสฺส จ ปุพฺพาปรสมฺพโนฺธ เทสนาสนฺธิ, ยา อฎฺฐกถายํ ‘‘ปุจฺฉานุสนฺธิ, อชฺฌาสยานุสนฺธิ, ยถานุสนฺธี’’ติ ติธา วิภตฺตาฯ อชฺฌาสโย เจตฺถ อตฺตชฺฌาสโย ปรชฺฌาสโยติ ทฺวิธา เวทิตโพฺพฯ เทสนานิเกฺขปสนฺธิ จตุนฺนํ สุตฺตนิเกฺขปานํ วเสน เวทิตพฺพาฯ สุตฺตสนฺธิ อิธ ปฐมนิเกฺขปวเสเนว เวทิตพฺพาฯ ‘‘กสฺมา ปเนตฺถ อิทเมว จิตฺตปริยาทานสุตฺตํ ปฐมํ นิกฺขิตฺต’’นฺติ นายมนุโยโค กตฺถจิ น ปวตฺตติฯ อปิจ อิเม สตฺตา อนาทิมติ สํสาเร ปริพฺภมนฺตา อิตฺถิปุริสา อญฺญมเญฺญสํ ปญฺจกามคุณสงฺขาตรูปาภิรามา, ตตฺถ อิตฺถี ปุริสสฺส รูเป สตฺตา คิทฺธา คธิตา ลคฺคา ลคฺคิตา อาสตฺตา, สา จสฺสา ตตฺถ อาสตฺติ ทุพฺพิเวจนียา ฯ ตถา ปุริโส อิตฺถิยา รูเป, ตตฺถ จ ทสฺสนสํสโคฺค ครุตโร อิตเรสญฺจ มูลภูโตฯ เตเนว หิ ภควา ‘‘กถํ นุ โข มาตุคาเม ปฎิปชฺชิตพฺพ’’นฺติ (ที. นิ. ๒.๒๐๓) ปุโฎฺฐ ‘‘อทสฺสนเมวา’’ติ อโวจฯ ตสฺมา ภควา ปญฺจสุ กามคุเณสุ รูเป ฉนฺทราคหาปนตฺถํ อิทเมว สุตฺตํ ปฐมํ เทเสสิฯ นิพฺพานาธิคมาย ปฎิปตฺติยา อาทิ เรสา ปฎิปตฺตีติฯ ยํ ปน เอกิสฺสา เทสนาย เทสนนฺตเรน สํสนฺทนํ, อยมฺปิ เทสนาสนฺธิฯ สา อิธ เอวํ เวทิตพฺพาฯ ‘‘นาหํ, ภิกฺขเว…เป.… ติฎฺฐตี’’ติ อยํ เทสนาฯ ‘‘เย โข, ภิกฺขเว, จกฺขุวิเญฺญยฺยา รูปา อิฎฺฐา กนฺตา มนาปา ปิยรูปา กามูปสํหิตา รชนียา , ตเญฺจ ภิกฺขุ อภินนฺทติ อภิวทติ อโชฺฌสาย ติฎฺฐติ, ตสฺส ตํ อภินนฺทโต อภิวทโต อโชฺฌสาย ติฎฺฐโต อุปฺปชฺชนฺติ อเนเก ปาปกา อกุสลา ธมฺมา’’ติ (สํ. นิ. ๔.๑๑๘) อิมาย เทสนาย สํสนฺทติฯ ตถา ‘‘รูเป มญฺญติ, รูเปสุ มญฺญติ, รูปโต มญฺญติ, รูปํ ‘เม’ติ มญฺญติฯ รูปํ, ภิกฺขเว, อนภิชานํ อปริชานํ อวิราชยํ อปฺปชหํ อภโพฺพ ทุกฺขกฺขยายา’’ติ (สํ. นิ. ๔.๑๑๒) เอวมาทีหิ เทสนาหิ สํสนฺทตีติ อยํ จตุพฺยูโห หาโรฯ วิยูหียนฺติ วิภาเคน ปิณฺฑียนฺติ เอเตน, เอตฺถ วาติ พฺยูโห, นิพฺพจนาทีนํ จตุนฺนํ พฺยูโหติ จตุพฺยูโห, จตุนฺนํ วา พฺยูโห เอตฺถาติ จตุพฺยูโหฯ นิพฺพจนาธิปฺปายาทีนํ จตุนฺนํ วิภาคลกฺขโณ หิ จตุพฺยูโห หาโรฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Padapadatthadesanādesanānikkhepasuttasandhivasena pañcavidhā sandhi. Tattha padassa padantarena sambandho padasandhi. Padatthassa padatthantarena sambandho padatthasandhi, yo ‘‘kiriyākārakasambandho’’ti vuccati. Nānānusandhikassa suttassa taṃtaṃanusandhīhi sambandho, ekānusandhikassa ca pubbāparasambandho desanāsandhi, yā aṭṭhakathāyaṃ ‘‘pucchānusandhi, ajjhāsayānusandhi, yathānusandhī’’ti tidhā vibhattā. Ajjhāsayo cettha attajjhāsayo parajjhāsayoti dvidhā veditabbo. Desanānikkhepasandhi catunnaṃ suttanikkhepānaṃ vasena veditabbā. Suttasandhi idha paṭhamanikkhepavaseneva veditabbā. ‘‘Kasmā panettha idameva cittapariyādānasuttaṃ paṭhamaṃ nikkhitta’’nti nāyamanuyogo katthaci na pavattati. Apica ime sattā anādimati saṃsāre paribbhamantā itthipurisā aññamaññesaṃ pañcakāmaguṇasaṅkhātarūpābhirāmā, tattha itthī purisassa rūpe sattā giddhā gadhitā laggā laggitā āsattā, sā cassā tattha āsatti dubbivecanīyā . Tathā puriso itthiyā rūpe, tattha ca dassanasaṃsaggo garutaro itaresañca mūlabhūto. Teneva hi bhagavā ‘‘kathaṃ nu kho mātugāme paṭipajjitabba’’nti (dī. ni. 2.203) puṭṭho ‘‘adassanamevā’’ti avoca. Tasmā bhagavā pañcasu kāmaguṇesu rūpe chandarāgahāpanatthaṃ idameva suttaṃ paṭhamaṃ desesi. Nibbānādhigamāya paṭipattiyā ādi resā paṭipattīti. Yaṃ pana ekissā desanāya desanantarena saṃsandanaṃ, ayampi desanāsandhi. Sā idha evaṃ veditabbā. ‘‘Nāhaṃ, bhikkhave…pe… tiṭṭhatī’’ti ayaṃ desanā. ‘‘Ye kho, bhikkhave, cakkhuviññeyyā rūpā iṭṭhā kantā manāpā piyarūpā kāmūpasaṃhitā rajanīyā , tañce bhikkhu abhinandati abhivadati ajjhosāya tiṭṭhati, tassa taṃ abhinandato abhivadato ajjhosāya tiṭṭhato uppajjanti aneke pāpakā akusalā dhammā’’ti (saṃ. ni. 4.118) imāya desanāya saṃsandati. Tathā ‘‘rūpe maññati, rūpesu maññati, rūpato maññati, rūpaṃ ‘me’ti maññati. Rūpaṃ, bhikkhave, anabhijānaṃ aparijānaṃ avirājayaṃ appajahaṃ abhabbo dukkhakkhayāyā’’ti (saṃ. ni. 4.112) evamādīhi desanāhi saṃsandatīti ayaṃ catubyūho hāro. Viyūhīyanti vibhāgena piṇḍīyanti etena, ettha vāti byūho, nibbacanādīnaṃ catunnaṃ byūhoti catubyūho, catunnaṃ vā byūho etthāti catubyūho. Nibbacanādhippāyādīnaṃ catunnaṃ vibhāgalakkhaṇo hi catubyūho hāro. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘เนรุตฺตมธิปฺปาโย, พฺยญฺชนมถ เทสนานิทานญฺจ;

    ‘‘Neruttamadhippāyo, byañjanamatha desanānidānañca;

    ปุพฺพาปรานุสนฺธี, เอโส หาโร จตุพฺยูโห’’ติฯ (เนตฺติ. ๔ นิเทฺทสวาร);

    Pubbāparānusandhī, eso hāro catubyūho’’ti. (netti. 4 niddesavāra);

    ‘‘นาหํ, ภิกฺขเว, อญฺญํ…เป.… อิตฺถิรูป’’นฺติ เอเตน อโยนิโสมนสิกาโร ทีปิโตฯ ยํ ตตฺถ จิตฺตํ ปริยาทิยติ, เตน โยนิโสมนสิกาโรฯ ตตฺถ อโยนิโสมนสิกโรโต ตณฺหาวิชฺชา ปริวฑฺฒนฺติ, ตาสุ ตณฺหาคหเณน นว ตณฺหามูลกา ธมฺมา อาวฎฺฎนฺติ, อวิชฺชาคหเณน อวิชฺชามูลกํ สพฺพํ ภวจกฺกํ อาวฎฺฎติ, โยนิโสมนสิการคฺคหเณน จ โยนิโสมนสิการมูลกา ธมฺมา อาวฎฺฎนฺติ, จตุพฺพิธญฺจ สมฺปตฺติจกฺกนฺติฯ อยํ อาวโฎฺฎ หาโรฯ อาวฎฺฎยนฺติ เอเตน, เอตฺถ วา สภาควิสภาคา จ ธมฺมา, เตสํ วา อาวฎฺฎนนฺติ อาวโฎฺฎฯ เทสนาย คหิตธมฺมานํ สภาคาสภาคธมฺมวเสน อาวฎฺฎนลกฺขโณ หิ อาวโฎฺฎ หาโรฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –

    ‘‘Nāhaṃ, bhikkhave, aññaṃ…pe… itthirūpa’’nti etena ayonisomanasikāro dīpito. Yaṃ tattha cittaṃ pariyādiyati, tena yonisomanasikāro. Tattha ayonisomanasikaroto taṇhāvijjā parivaḍḍhanti, tāsu taṇhāgahaṇena nava taṇhāmūlakā dhammā āvaṭṭanti, avijjāgahaṇena avijjāmūlakaṃ sabbaṃ bhavacakkaṃ āvaṭṭati, yonisomanasikāraggahaṇena ca yonisomanasikāramūlakā dhammā āvaṭṭanti, catubbidhañca sampatticakkanti. Ayaṃ āvaṭṭo hāro. Āvaṭṭayanti etena, ettha vā sabhāgavisabhāgā ca dhammā, tesaṃ vā āvaṭṭananti āvaṭṭo. Desanāya gahitadhammānaṃ sabhāgāsabhāgadhammavasena āvaṭṭanalakkhaṇo hi āvaṭṭo hāro. Vuttampi cetaṃ –

    ‘‘เอกมฺหิ ปทฎฺฐาเน, ปริเยสติ เสสกํ ปทฎฺฐานํ;

    ‘‘Ekamhi padaṭṭhāne, pariyesati sesakaṃ padaṭṭhānaṃ;

    อาวฎฺฎติ ปฎิปเกฺข, อาวโฎฺฎ นาม โส หาโร’’ติฯ (เนตฺติ. ๔ นิเทฺทสวาร);

    Āvaṭṭati paṭipakkhe, āvaṭṭo nāma so hāro’’ti. (netti. 4 niddesavāra);

    รูปํ จตุพฺพิธํ กมฺมสมุฎฺฐานํ, จิตฺตสมุฎฺฐานํ, อุตุสมุฎฺฐานํ, อาหารสมุฎฺฐานํ, ตถา อิฎฺฐํ อิฎฺฐมชฺฌตฺตํ อนิฎฺฐํ อนิฎฺฐมชฺฌตฺตนฺติฯ อิธ ปน อิฎฺฐํ อธิเปฺปตํฯ จิตฺตํ กุสลจิตฺตเมตฺถ เวทิตพฺพํฯ ตํ กามาวจรํ, รูปาวจรํ, อรูปาวจรํ, โลกุตฺตรนฺติ จตุพฺพิธํฯ เวทนาทิสมฺปยุตฺตธมฺมเภทโต อเนกวิธนฺติ อยํ วิภตฺติหาโรฯ วิภชียนฺติ เอเตน, เอตฺถ วา สาธารณาสาธารณานํ สํกิเลสโวทานธมฺมานํ ภูมิโยติ วิภตฺติฯ วิภชนํ วา เอเตสํ ภูมิโยติ วิภตฺติฯ สํกิเลสธเมฺม โวทานธเมฺม จ สาธารณาสาธารณโต ปทฎฺฐานโต ภูมิโต วิภชนลกฺขโณ หิ วิภตฺติหาโรฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –

    Rūpaṃ catubbidhaṃ kammasamuṭṭhānaṃ, cittasamuṭṭhānaṃ, utusamuṭṭhānaṃ, āhārasamuṭṭhānaṃ, tathā iṭṭhaṃ iṭṭhamajjhattaṃ aniṭṭhaṃ aniṭṭhamajjhattanti. Idha pana iṭṭhaṃ adhippetaṃ. Cittaṃ kusalacittamettha veditabbaṃ. Taṃ kāmāvacaraṃ, rūpāvacaraṃ, arūpāvacaraṃ, lokuttaranti catubbidhaṃ. Vedanādisampayuttadhammabhedato anekavidhanti ayaṃ vibhattihāro. Vibhajīyanti etena, ettha vā sādhāraṇāsādhāraṇānaṃ saṃkilesavodānadhammānaṃ bhūmiyoti vibhatti. Vibhajanaṃ vā etesaṃ bhūmiyoti vibhatti. Saṃkilesadhamme vodānadhamme ca sādhāraṇāsādhāraṇato padaṭṭhānato bhūmito vibhajanalakkhaṇo hi vibhattihāro. Vuttampi cetaṃ –

    ‘‘ธมฺมญฺจ ปทฎฺฐานํ, ภูมิญฺจ วิภชฺชเต อยํ หาโร;

    ‘‘Dhammañca padaṭṭhānaṃ, bhūmiñca vibhajjate ayaṃ hāro;

    สาธารเณ อสาธารเณ จ เนโยฺย วิภตฺตี’’ติฯ (เนตฺติ. ๔ นิเทฺทสวาร);

    Sādhāraṇe asādhāraṇe ca neyyo vibhattī’’ti. (netti. 4 niddesavāra);

    อิตฺถิรูปํ ปุริสสฺส จิตฺตํ ปริยาทาย ติฎฺฐติ อโยนิโส มนสิกโรโต, โยนิโส มนสิกโรโต น ปริยาทิยติ สุสํวุตินฺทฺริยตฺตา สีเลสุ สมาหิตสฺสาติ อยํ ปริวโตฺต หาโรฯ ปฎิปกฺขวเสน ปริวตฺตียนฺติ อิมินา, เอตฺถ วา สุเตฺต วุตฺตธมฺมา, ปริวตฺตนํ วา เตสนฺติ ปริวโตฺตฯ นิทฺทิฎฺฐานํ ธมฺมานํ ปฎิปกฺขโต ปริวตฺตนลกฺขโณ หิ ปริวโตฺต หาโรฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Itthirūpaṃ purisassa cittaṃ pariyādāya tiṭṭhati ayoniso manasikaroto, yoniso manasikaroto na pariyādiyati susaṃvutindriyattā sīlesu samāhitassāti ayaṃ parivatto hāro. Paṭipakkhavasena parivattīyanti iminā, ettha vā sutte vuttadhammā, parivattanaṃ vā tesanti parivatto. Niddiṭṭhānaṃ dhammānaṃ paṭipakkhato parivattanalakkhaṇo hi parivatto hāro. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘กุสลากุสเล ธเมฺม, นิทฺทิเฎฺฐ ภาวิเต ปหีเน จ;

    ‘‘Kusalākusale dhamme, niddiṭṭhe bhāvite pahīne ca;

    ปริวตฺตติ ปฎิปเกฺข, หาโร ปริวตฺตโน นามา’’ติฯ (เนตฺติ. ๔ นิเทฺทสวาร);

    Parivattati paṭipakkhe, hāro parivattano nāmā’’ti. (netti. 4 niddesavāra);

    ภิกฺขเว, สมณา ปพฺพชิตาติ ปริยายวจนํฯ อญฺญํ ปรํ กิญฺจีติ ปริยายวจนํฯ รูปํ วณฺณํ จกฺขุวิเญฺญยฺยนฺติ ปริยายวจนํฯ สมนุปสฺสามิ โอโลเกสฺสามิ ชานามีติ ปริยายวจนํฯ เอวํ อิตฺถํ อิมํ ปการนฺติ ปริยายวจนํฯ ปุริสสฺส ปุคฺคลสฺสาติ ปริยายวจนํฯ จิตฺตํ วิญฺญาณํ มโนติ ปริยายวจนํฯ ปริยาทาย คเหตฺวา เขเปตฺวาติ ปริยายวจนํฯ ติฎฺฐติ ธรติ ฐาตีติ ปริยายวจนํฯ ยถา เยน ปกาเรน เยนากาเรนาติ ปริยายวจนํฯ อิตฺถี นารี มาตุคาโมติ ปริยายวจนนฺติ อยํ เววจโน หาโรฯ วิวิธํ วจนํ เอกเสฺสวตฺถสฺส วาจกเมตฺถาติ วิวจนํ, วิวจนเมว เววจนํฯ วิวิธํ วุจฺจติ เอเตน อโตฺถติ วา วิวจนํ, วิวจนเมว เววจนํฯ เอกสฺมิํ อเตฺถ อเนกปริยายสทฺทปฺปโยชนลกฺขโณ หิ เววจโน หาโรฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Bhikkhave, samaṇā pabbajitāti pariyāyavacanaṃ. Aññaṃ paraṃ kiñcīti pariyāyavacanaṃ. Rūpaṃ vaṇṇaṃ cakkhuviññeyyanti pariyāyavacanaṃ. Samanupassāmi olokessāmi jānāmīti pariyāyavacanaṃ. Evaṃ itthaṃ imaṃ pakāranti pariyāyavacanaṃ. Purisassa puggalassāti pariyāyavacanaṃ. Cittaṃ viññāṇaṃ manoti pariyāyavacanaṃ. Pariyādāya gahetvā khepetvāti pariyāyavacanaṃ. Tiṭṭhati dharati ṭhātīti pariyāyavacanaṃ. Yathā yena pakārena yenākārenāti pariyāyavacanaṃ. Itthī nārī mātugāmoti pariyāyavacananti ayaṃ vevacano hāro. Vividhaṃ vacanaṃ ekassevatthassa vācakametthāti vivacanaṃ, vivacanameva vevacanaṃ. Vividhaṃ vuccati etena atthoti vā vivacanaṃ, vivacanameva vevacanaṃ. Ekasmiṃ atthe anekapariyāyasaddappayojanalakkhaṇo hi vevacano hāro. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘เววจนานิ พหูนิ ตุ, สุเตฺต วุตฺตานิ เอกธมฺมสฺส;

    ‘‘Vevacanāni bahūni tu, sutte vuttāni ekadhammassa;

    โย ชานาติ สุตฺตวิทู, เววจโน นาม โส หาโร’’ติฯ (เนตฺติ. ๔ นิเทฺทสวาร);

    Yo jānāti suttavidū, vevacano nāma so hāro’’ti. (netti. 4 niddesavāra);

    รูปํ กาฬสามาทิวเสน อเนกธา ปญฺญตฺตํฯ ปุริโส ขตฺติยาทิวเสน อเนกธา ปญฺญโตฺตฯ จิตฺตํ ปริตฺตมหคฺคตาทิวเสน อเนกธา ปญฺญตฺตํฯ ‘‘ปริยาทายา’’ติ เอตฺถ ปริยาทานํ ปริยาทายกานํ ปาปธมฺมานํ วเสน วีติกฺกมปริยุฎฺฐานาทินา จ อเนกธา ปญฺญตฺตํฯ อยํ ปญฺญตฺติหาโรฯ ปกาเรหิ, ปเภทโต วา ญาปียนฺติ อิมินา, เอตฺถ วา อตฺถาติ ปญฺญตฺติฯ เอเกกสฺส ธมฺมสฺส อเนกาหิ ปญฺญตฺตีหิ ปญฺญาเปตพฺพาการวิภาวนลกฺขโณ หิ ปญฺญตฺติหาโรฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Rūpaṃ kāḷasāmādivasena anekadhā paññattaṃ. Puriso khattiyādivasena anekadhā paññatto. Cittaṃ parittamahaggatādivasena anekadhā paññattaṃ. ‘‘Pariyādāyā’’ti ettha pariyādānaṃ pariyādāyakānaṃ pāpadhammānaṃ vasena vītikkamapariyuṭṭhānādinā ca anekadhā paññattaṃ. Ayaṃ paññattihāro. Pakārehi, pabhedato vā ñāpīyanti iminā, ettha vā atthāti paññatti. Ekekassa dhammassa anekāhi paññattīhi paññāpetabbākāravibhāvanalakkhaṇo hi paññattihāro. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘เอกํ ภควา ธมฺมํ, ปญฺญตฺตีหิ วิวิธาหิ เทเสติ;

    ‘‘Ekaṃ bhagavā dhammaṃ, paññattīhi vividhāhi deseti;

    โส อากาโร เญโยฺย, ปญฺญตฺตี นาม โส หาโร’’ติฯ (เนตฺติ. ๔ นิเทฺทสวาร);

    So ākāro ñeyyo, paññattī nāma so hāro’’ti. (netti. 4 niddesavāra);

    วิโรธิปจฺจยสมวาเย วิสทิสุปฺปตฺติรุปฺปนวณฺณวิการาปตฺติยา ตํสมงฺคิโน หทยงฺคตภาวปฺปกาสนํ รูปโฎฺฐติ อนิจฺจตามุเขน โอตรณํ, อนิจฺจสฺส ปน ทุกฺขตฺตา ทุกฺขตามุเขน, ทุกฺขสฺส จ อนตฺตกตฺตา สุญฺญตามุเขน โอตรณํฯ จิตฺตํ มโนวิญฺญาณธาตุ, ตสฺสา ปริยาทายิกา ตณฺหา ตเทกฎฺฐา จ ปาปธมฺมา ธมฺมธาตูติ ธาตุมุเขน โอตรณํฯ เอวํ ขนฺธายตนาทิมุเขหิปิ โอตรณํ วตฺตพฺพนฺติ อยํ โอตรโณ หาโรฯ โอตารียนฺติ อนุปฺปเวสียนฺติ เอเตน, เอตฺถ วา สุตฺตาคตา ธมฺมา ปฎิจฺจสมุปฺปาทาทีสูติ โอตรโณฯ ปฎิจฺจสมุปฺปาทาทิมุเขน สุตฺตตฺถสฺส โอตรณลกฺขโณ หิ โอตรโณ หาโรฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Virodhipaccayasamavāye visadisuppattiruppanavaṇṇavikārāpattiyā taṃsamaṅgino hadayaṅgatabhāvappakāsanaṃ rūpaṭṭhoti aniccatāmukhena otaraṇaṃ, aniccassa pana dukkhattā dukkhatāmukhena, dukkhassa ca anattakattā suññatāmukhena otaraṇaṃ. Cittaṃ manoviññāṇadhātu, tassā pariyādāyikā taṇhā tadekaṭṭhā ca pāpadhammā dhammadhātūti dhātumukhena otaraṇaṃ. Evaṃ khandhāyatanādimukhehipi otaraṇaṃ vattabbanti ayaṃ otaraṇo hāro. Otārīyanti anuppavesīyanti etena, ettha vā suttāgatā dhammā paṭiccasamuppādādīsūti otaraṇo. Paṭiccasamuppādādimukhena suttatthassa otaraṇalakkhaṇo hi otaraṇo hāro. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘โย จ ปฎิจฺจุปฺปาโท, อินฺทฺริยขนฺธา จ ธาตุอายตนา;

    ‘‘Yo ca paṭiccuppādo, indriyakhandhā ca dhātuāyatanā;

    เอเตหิ โอตรติ โย, โอตรโณ นาม โส หาโร’’ติฯ (เนตฺติ. ๔ นิเทฺทสวาร);

    Etehi otarati yo, otaraṇo nāma so hāro’’ti. (netti. 4 niddesavāra);

    นาหํ, ภิกฺขเว…เป.… สมนุปสฺสามีติ อารโมฺภฯ เอวํ ปุริสสฺส จิตฺตํ ปริยาทาย ติฎฺฐตีติ ปทสุทฺธิ, น ปน อารมฺภสุทฺธิฯ ยถยิทนฺติอาทิ ปทสุทฺธิ เจว อารมฺภสุทฺธิ จาติ อยํ โสธโน หาโรฯ โสธียนฺติ สมาธียนฺติ เอเตน, เอตฺถ วา สุเตฺต ปทปทตฺถปญฺหารมฺภาติ โสธโนฯ สุเตฺต ปทปทตฺถปญฺหารมฺภานํ โสธนลกฺขโณ หิ โสธโน หาโรฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Nāhaṃ, bhikkhave…pe… samanupassāmīti ārambho. Evaṃ purisassa cittaṃ pariyādāya tiṭṭhatīti padasuddhi, na pana ārambhasuddhi. Yathayidantiādi padasuddhi ceva ārambhasuddhi cāti ayaṃ sodhano hāro. Sodhīyanti samādhīyanti etena, ettha vā sutte padapadatthapañhārambhāti sodhano. Sutte padapadatthapañhārambhānaṃ sodhanalakkhaṇo hi sodhano hāro. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘วิสฺสชฺชิตมฺหิ ปเญฺห, คาถายํ ปุจฺฉิตายมารพฺภ;

    ‘‘Vissajjitamhi pañhe, gāthāyaṃ pucchitāyamārabbha;

    สุทฺธาสุทฺธปริกฺขา, หาโร โส โสธโน นามา’’ติฯ (เนตฺติ. ๔ นิเทฺทสวาร);

    Suddhāsuddhaparikkhā, hāro so sodhano nāmā’’ti. (netti. 4 niddesavāra);

    อญฺญนฺติ สามญฺญโต อธิฎฺฐานํ กสฺสจิ วิเสสสฺส อนามฎฺฐตฺตาฯ เอกรูปมฺปีติ ตํ อวิกเปฺปตฺวา วิเสสวจนํฯ ยถยิทนฺติ สามญฺญโต อธิฎฺฐานํ อนิยมวจนภาวโตฯ อิตฺถิรูปนฺติ ตํ อวิกเปฺปตฺวา วิเสสวจนนฺติ อยํ อธิฎฺฐาโน หาโรฯ อธิฎฺฐียนฺติ อนุปฺปวตฺตียนฺติ เอเตน, เอตฺถ วา สามญฺญวิเสสภูตา ธมฺมา วินา วิกเปฺปนาติ อธิฎฺฐาโนฯ สุตฺตาคตานํ ธมฺมานํ อวิกปฺปนวเสเนว สามญฺญวิเสสนิทฺธารณลกฺขโณ หิ อธิฎฺฐาโน หาโรฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –

    Aññanti sāmaññato adhiṭṭhānaṃ kassaci visesassa anāmaṭṭhattā. Ekarūpampīti taṃ avikappetvā visesavacanaṃ. Yathayidanti sāmaññato adhiṭṭhānaṃ aniyamavacanabhāvato. Itthirūpanti taṃ avikappetvā visesavacananti ayaṃ adhiṭṭhāno hāro. Adhiṭṭhīyanti anuppavattīyanti etena, ettha vā sāmaññavisesabhūtā dhammā vinā vikappenāti adhiṭṭhāno. Suttāgatānaṃ dhammānaṃ avikappanavaseneva sāmaññavisesaniddhāraṇalakkhaṇo hi adhiṭṭhāno hāro. Vuttampi cetaṃ –

    ‘‘เอกตฺตตาย ธมฺมา, เยปิ จ เวมตฺตตาย นิทฺทิฎฺฐา;

    ‘‘Ekattatāya dhammā, yepi ca vemattatāya niddiṭṭhā;

    เตน วิกปฺปยิตพฺพา, เอโส หาโร อธิฎฺฐาโน’’ติฯ (เนตฺติ. ๔ นิเทฺทสวาร);

    Tena vikappayitabbā, eso hāro adhiṭṭhāno’’ti. (netti. 4 niddesavāra);

    รูปสฺส กมฺมาวิชฺชาทโย กมฺมจิตฺตาทโย จ เหตุฯ สมนุปสฺสนาย อาวชฺชนาทโยฯ กุสลสฺส จิตฺตสฺส โยนิโส มนสิการาทโยฯ ปริยาทายาติ เอตฺถ ปริยาทานสฺส อโยนิโสมนสิการาทโยติ อยํ ปริกฺขาโร หาโรฯ ปริกโรติ อภิสงฺขโรติ ผลนฺติ ปริกฺขาโร, เหตุ ปจฺจโย จฯ ปริกฺขารํ อาจิกฺขตีติ ปริกฺขาโร, หาโรฯ ปริกฺขารวิสยตฺตา, ปริกฺขารสหจรณโต วา ปริกฺขาโรฯ สุเตฺต อาคตธมฺมานํ ปริกฺขารสงฺขาตเหตุปจฺจเย นิทฺธาเรตฺวา สํวณฺณนาลกฺขโณ หิ ปริกฺขาโร หาโรฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Rūpassa kammāvijjādayo kammacittādayo ca hetu. Samanupassanāya āvajjanādayo. Kusalassa cittassa yoniso manasikārādayo. Pariyādāyāti ettha pariyādānassa ayonisomanasikārādayoti ayaṃ parikkhāro hāro. Parikaroti abhisaṅkharoti phalanti parikkhāro, hetu paccayo ca. Parikkhāraṃ ācikkhatīti parikkhāro, hāro. Parikkhāravisayattā, parikkhārasahacaraṇato vā parikkhāro. Sutte āgatadhammānaṃ parikkhārasaṅkhātahetupaccaye niddhāretvā saṃvaṇṇanālakkhaṇo hi parikkhāro hāro. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘เย ธมฺมา ยํ ธมฺมํ, ชนยนฺติปฺปจฺจยา ปรมฺปรโต;

    ‘‘Ye dhammā yaṃ dhammaṃ, janayantippaccayā paramparato;

    เหตุมวกฑฺฒยิตฺวา, เอโส หาโร ปริกฺขาโร’’ติฯ (เนตฺติ. ๔ นิเทฺทสวาร);

    Hetumavakaḍḍhayitvā, eso hāro parikkhāro’’ti. (netti. 4 niddesavāra);

    ปุริสสฺส จิตฺตํ ปริยาทาย ติฎฺฐตีติ เอตฺถ ปริยาทายิกา วิเสสโต ตณฺหาวิชฺชา เวทิตพฺพา ตาสํ วเสน ปริยาทานสมฺภวโตฯ ตาสุ ตณฺหาย รูปมธิฎฺฐานํ, อวิชฺชาย อรูปํฯ วิเสสโต ตณฺหาย สมโถ ปฎิปโกฺข, อวิชฺชาย วิปสฺสนาฯ สมถสฺส เจโตวิมุตฺติ, ผลวิปสฺสนาย ปญฺญาวิมุตฺติฯ ตถา หิ ตา ราควิราคา อวิชฺชาวิราคาติ วิเสเสตฺวา วุจฺจนฺตีติ อยํ สมาโรปโน หาโรฯ สมาโรปียนฺติ เอเตน, เอตฺถ วา ปทฎฺฐานาทิมุเขน ธมฺมาติ สมาโรปโนฯ สุเตฺต อาคตธมฺมานํ ปทฎฺฐานเววจนภาวนาปหานสมาโรปนวิจารณลกฺขโณ หิ สมาโรปโน หาโรฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Purisassa cittaṃ pariyādāya tiṭṭhatīti ettha pariyādāyikā visesato taṇhāvijjā veditabbā tāsaṃ vasena pariyādānasambhavato. Tāsu taṇhāya rūpamadhiṭṭhānaṃ, avijjāya arūpaṃ. Visesato taṇhāya samatho paṭipakkho, avijjāya vipassanā. Samathassa cetovimutti, phalavipassanāya paññāvimutti. Tathā hi tā rāgavirāgā avijjāvirāgāti visesetvā vuccantīti ayaṃ samāropano hāro. Samāropīyanti etena, ettha vā padaṭṭhānādimukhena dhammāti samāropano. Sutte āgatadhammānaṃ padaṭṭhānavevacanabhāvanāpahānasamāropanavicāraṇalakkhaṇo hi samāropano hāro. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘เย ธมฺมา ยํ มูลา, เย เจกตฺถา ปกาสิตา มุนินา;

    ‘‘Ye dhammā yaṃ mūlā, ye cekatthā pakāsitā muninā;

    เต สมาโรปยิตพฺพา, เอส สมาโรปโน หาโร’’ติฯ (เนตฺติ. ๔ นิเทฺทสวาร);

    Te samāropayitabbā, esa samāropano hāro’’ti. (netti. 4 niddesavāra);

    เอตฺตาวตา จ –

    Ettāvatā ca –

    ‘‘เทสนา วิจโย ยุตฺติ, ปทฎฺฐาโน จ ลกฺขโณ;

    ‘‘Desanā vicayo yutti, padaṭṭhāno ca lakkhaṇo;

    จตุพฺยูโห จ อาวโฎฺฎ, วิภตฺติ ปริวตฺตโนฯ

    Catubyūho ca āvaṭṭo, vibhatti parivattano.

    เววจโน จ ปญฺญตฺติ, โอตรโณ จ โสธโน;

    Vevacano ca paññatti, otaraṇo ca sodhano;

    อธิฎฺฐาโน ปริกฺขาโร, สมาโรปโน โสฬโส’’ติฯ (เนตฺติ. ๑ อุเทฺทสวาร) –

    Adhiṭṭhāno parikkhāro, samāropano soḷaso’’ti. (netti. 1 uddesavāra) –

    เอวํ วุตฺตา โสฬส หารา ทสฺสิตาติ เวทิตพฺพาฯ หรียนฺติ เอเตหิ, เอตฺถ วา สุตฺตเคยฺยาทิวิสยา อญฺญาณสํสยวิปลฺลาสาติ หาราฯ หรนฺติ วา สยํ ตานิ, หรณมตฺตเมว วาติ หารา ผลูปจาเรนฯ อถ วา หรียนฺติ โวหรียนฺติ ธมฺมสํวณฺณกธมฺมปฺปฎิคฺคาหเกหิ ธมฺมสฺส ทานคฺคหณวเสนาติ หาราฯ อถ วา หารา วิยาติ หาราฯ ยถา หิ อเนกรตนาวลิสมูโห หารสงฺขาโต อตฺตโน อวยวภูตรตนสมฺผเสฺสหิ สมุปชนิยมานหิลาทสุโข หุตฺวา ตทุปโภคิชนสรีรสนฺตาปํ นิทาฆปริฬาหูปชนิตํ วูปสเมติ, เอวเมว เตปิ นานาวิธปรมตฺถรตนปฺปพนฺธา สํวณฺณนาวิเสสา อตฺตโน อวยวภูตปรมตฺถรตนาธิคเมน สมุปฺปาทิยมานนิพฺพุติสุขา ธมฺมปฺปฎิคฺคาหกชนหทยปริตาปํ กามราคาทิกิเลสเหตุกํ วูปสเมนฺตีติฯ อถ วา หารยนฺติ อญฺญาณาทินีหารํ อปคมํ กโรนฺติ อาจิกฺขนฺตีติ วา หาราฯ อถ วา โสตุชนจิตฺตสฺส หรณโต รมณโต จ หารา นิรุตฺตินเยน ยถา ‘‘ภเวสุ วนฺตคมโน ภควา’’ติ (วิสุทฺธิ. ๑.๑๔๔; ปารา. อฎฺฐ. ๑.เวรญฺชกณฺฑวณฺณนา)ฯ

    Evaṃ vuttā soḷasa hārā dassitāti veditabbā. Harīyanti etehi, ettha vā suttageyyādivisayā aññāṇasaṃsayavipallāsāti hārā. Haranti vā sayaṃ tāni, haraṇamattameva vāti hārā phalūpacārena. Atha vā harīyanti voharīyanti dhammasaṃvaṇṇakadhammappaṭiggāhakehi dhammassa dānaggahaṇavasenāti hārā. Atha vā hārā viyāti hārā. Yathā hi anekaratanāvalisamūho hārasaṅkhāto attano avayavabhūtaratanasamphassehi samupajaniyamānahilādasukho hutvā tadupabhogijanasarīrasantāpaṃ nidāghapariḷāhūpajanitaṃ vūpasameti, evameva tepi nānāvidhaparamattharatanappabandhā saṃvaṇṇanāvisesā attano avayavabhūtaparamattharatanādhigamena samuppādiyamānanibbutisukhā dhammappaṭiggāhakajanahadayaparitāpaṃ kāmarāgādikilesahetukaṃ vūpasamentīti. Atha vā hārayanti aññāṇādinīhāraṃ apagamaṃ karonti ācikkhantīti vā hārā. Atha vā sotujanacittassa haraṇato ramaṇato ca hārā niruttinayena yathā ‘‘bhavesu vantagamano bhagavā’’ti (visuddhi. 1.144; pārā. aṭṭha. 1.verañjakaṇḍavaṇṇanā).

    อิโต ปรํ ปน นนฺทิยาวฎฺฎาทิปญฺจวิธนยา เวทิตพฺพา – ตตฺถ ตณฺหาวิชฺชา สมุทยสจฺจํ, ตาสํ อธิฎฺฐานาทิภูตา รูปธมฺมา ทุกฺขสจฺจํ, เตสํ อปฺปวตฺติ นิโรธสจฺจํ, นิโรธปฺปชานนา ปฎิปทา มคฺคสจฺจํฯ ตณฺหาคหเณน เจตฺถ มายาสาเฐยฺยมานาติมานมทปฺปมาทปาปิจฺฉตาปาปมิตฺตตาอหิริกอโนตฺตปฺปาทิวเสน อกุสลปโกฺข เนตโพฺพฯ อวิชฺชาคหเณน วิปรีตมนสิการโกธูปนาหมกฺขปฬาสอิสฺสามจฺฉริย- สารมฺภโทวจสฺสตาภวทิฎฺฐิวิภวทิฎฺฐิอาทิวเสน อกุสลปโกฺข เนตโพฺพฯ วุตฺตวิปริยายโต กุสลปโกฺข เนตโพฺพฯ กถํ? อมายาอสาเฐยฺยาทิวเสน อวิปรีตมนสิการาทิวเสน จฯ ตถา สมถปกฺขิยานํ สทฺธินฺทฺริยาทีนํ , วิปสฺสนาปกฺขิยานํ อนิจฺจสญฺญาทีนญฺจ วเสน โวทานปโกฺข เนตโพฺพติ อยํ นนฺทิยาวฎฺฎสฺส นยสฺส ภูมิฯ โย หิ ตณฺหาอวิชฺชาหิ สํกิเลสปกฺขสฺส สุตฺตตฺถสฺส สมถวิปสฺสนาหิ โวทานปกฺขสฺส จ จตุสจฺจโยชนมุเขน นยนลกฺขโณ สํวณฺณนาวิเสโส, อยํ นนฺทิยาวฎฺฎนโย นามฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Ito paraṃ pana nandiyāvaṭṭādipañcavidhanayā veditabbā – tattha taṇhāvijjā samudayasaccaṃ, tāsaṃ adhiṭṭhānādibhūtā rūpadhammā dukkhasaccaṃ, tesaṃ appavatti nirodhasaccaṃ, nirodhappajānanā paṭipadā maggasaccaṃ. Taṇhāgahaṇena cettha māyāsāṭheyyamānātimānamadappamādapāpicchatāpāpamittatāahirikaanottappādivasena akusalapakkho netabbo. Avijjāgahaṇena viparītamanasikārakodhūpanāhamakkhapaḷāsaissāmacchariya- sārambhadovacassatābhavadiṭṭhivibhavadiṭṭhiādivasena akusalapakkho netabbo. Vuttavipariyāyato kusalapakkho netabbo. Kathaṃ? Amāyāasāṭheyyādivasena aviparītamanasikārādivasena ca. Tathā samathapakkhiyānaṃ saddhindriyādīnaṃ , vipassanāpakkhiyānaṃ aniccasaññādīnañca vasena vodānapakkho netabboti ayaṃ nandiyāvaṭṭassa nayassa bhūmi. Yo hi taṇhāavijjāhi saṃkilesapakkhassa suttatthassa samathavipassanāhi vodānapakkhassa ca catusaccayojanamukhena nayanalakkhaṇo saṃvaṇṇanāviseso, ayaṃ nandiyāvaṭṭanayo nāma. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘ตณฺหญฺจ อวิชฺชมฺปิ จ, สมเถน วิปสฺสนาย โย เนติ;

    ‘‘Taṇhañca avijjampi ca, samathena vipassanāya yo neti;

    สเจฺจหิ โยชยิตฺวา, อยํ นโย นนฺทิยาวโฎฺฎ’’ติฯ (เนตฺติ. ๔ นิเทฺทสวาร);

    Saccehi yojayitvā, ayaṃ nayo nandiyāvaṭṭo’’ti. (netti. 4 niddesavāra);

    นนฺทิยาวฎฺฎสฺส วิย อาวโฎฺฎ เอตสฺสาติ นนฺทิยาวโฎฺฎฯ ยถา หิ นนฺทิยาวโฎฺฎ อโนฺต ฐิเตน ปธานาวยเวน พหิทฺธา อาวฎฺฎติ, เอวมยมฺปิ นโยติ อโตฺถฯ อถ วา นนฺทิยา ตณฺหาย ปโมทสฺส วา อาวโฎฺฎ เอตฺถาติ นนฺทิยาวโฎฺฎฯ

    Nandiyāvaṭṭassa viya āvaṭṭo etassāti nandiyāvaṭṭo. Yathā hi nandiyāvaṭṭo anto ṭhitena padhānāvayavena bahiddhā āvaṭṭati, evamayampi nayoti attho. Atha vā nandiyā taṇhāya pamodassa vā āvaṭṭo etthāti nandiyāvaṭṭo.

    เหฎฺฐา วุตฺตนเยน คหิเตสุ ตณฺหาวิชฺชาตปฺปกฺขิยธเมฺมสุ ตณฺหา โลโภ, อวิชฺชา โมโห, อวิชฺชาย สมฺปยุโตฺต โลหิเต สติ ปุโพฺพ วิย ตณฺหาย สติ สิชฺฌมาโน อาฆาโต โทโส อิติ ตีหิ อกุสลมูเลหิ คหิเตหิ, ตปฺปฎิปกฺขโต กุสลจิตฺตคฺคหเณน จ ตีณิ กุสลมูลานิ คหิตานิ เอว โหนฺติฯ อิธาปิ โลโภ สพฺพานิ วา สาสวกุสลมูลานิ สมุทยสจฺจํ, ตนฺนิพฺพตฺตา เตสํ อธิฎฺฐานโคจรภูตา อุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขสจฺจนฺติอาทินา สจฺจโยชนา เวทิตพฺพาฯ ผลํ ปเนตฺถ วิโมกฺขตฺตยวเสน นิทฺธาเรตพฺพํ, ตีหิ อกุสลมูเลหิ ติวิธทุจฺจริตสํกิเลสมลวิสมอกุสลสญฺญาวิตกฺกาทิวเสน อกุสลปโกฺข เนตโพฺพ, ตถา ตีหิ กุสลมูเลหิ ติวิธสุจริตสมกุสลสญฺญาวิตกฺกสทฺธมฺมสมาธิวิโมกฺขมุขาทิวเสน โวทานปโกฺข เนตโพฺพติ อยํ ติปุกฺขลสฺส นยสฺส ภูมิฯ โย หิ อกุสลมูเลหิ สํกิเลสปกฺขสฺส กุสลมูเลหิ โวทานปกฺขสฺส สุตฺตตฺถสฺส จ จตุสจฺจโยชนามุเขน นยนลกฺขโณ สํวณฺณนาวิเสโส, อยํ ติปุกฺขลนโย นามฯ ตีหิ อวยเวหิ โลภาทีหิ สํกิเลสปเกฺข, อโลภาทีหิ จ โวทานปเกฺข ปุกฺขโล โสภโนติ ติปุกฺขโลฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Heṭṭhā vuttanayena gahitesu taṇhāvijjātappakkhiyadhammesu taṇhā lobho, avijjā moho, avijjāya sampayutto lohite sati pubbo viya taṇhāya sati sijjhamāno āghāto doso iti tīhi akusalamūlehi gahitehi, tappaṭipakkhato kusalacittaggahaṇena ca tīṇi kusalamūlāni gahitāni eva honti. Idhāpi lobho sabbāni vā sāsavakusalamūlāni samudayasaccaṃ, tannibbattā tesaṃ adhiṭṭhānagocarabhūtā upādānakkhandhā dukkhasaccantiādinā saccayojanā veditabbā. Phalaṃ panettha vimokkhattayavasena niddhāretabbaṃ, tīhi akusalamūlehi tividhaduccaritasaṃkilesamalavisamaakusalasaññāvitakkādivasena akusalapakkho netabbo, tathā tīhi kusalamūlehi tividhasucaritasamakusalasaññāvitakkasaddhammasamādhivimokkhamukhādivasena vodānapakkho netabboti ayaṃ tipukkhalassa nayassa bhūmi. Yo hi akusalamūlehi saṃkilesapakkhassa kusalamūlehi vodānapakkhassa suttatthassa ca catusaccayojanāmukhena nayanalakkhaṇo saṃvaṇṇanāviseso, ayaṃ tipukkhalanayo nāma. Tīhi avayavehi lobhādīhi saṃkilesapakkhe, alobhādīhi ca vodānapakkhe pukkhalo sobhanoti tipukkhalo. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘โย อกุสเล สมูเลหิ,

    ‘‘Yo akusale samūlehi,

    เนติ กุสเล จ กุสลมูเลหิ;

    Neti kusale ca kusalamūlehi;

    ภูตํ ตถํ อวิตถํ,

    Bhūtaṃ tathaṃ avitathaṃ,

    ติปุกฺขลํ ตํ นยํ อาหู’’ติฯ (เนตฺติ. ๔ นิเทฺทสวาร);

    Tipukkhalaṃ taṃ nayaṃ āhū’’ti. (netti. 4 niddesavāra);

    วุตฺตนเยน คหิเตสุ ตณฺหาวิชฺชาตปฺปกฺขิยธเมฺมสุ วิเสสโต ตณฺหาทิฎฺฐีนํ วเสน อสุเภ ‘‘สุภ’’นฺติ, ทุเกฺข ‘‘สุข’’นฺติ จ วิปลฺลาสา, อวิชฺชาทิฎฺฐีนํ วเสน อนิเจฺจ ‘‘นิจฺจ’’นฺติ, อนตฺตนิ ‘‘อตฺตา’’ติ วิปลฺลาสา เวทิตพฺพาฯ เตสํ ปฎิปกฺขโต กุสลจิตฺตคฺคหเณน สิเทฺธหิ สติวีริยสมาธิปญฺญินฺทฺริเยหิ จตฺตาริ สติปฎฺฐานานิ สิทฺธานิเยว โหนฺติฯ

    Vuttanayena gahitesu taṇhāvijjātappakkhiyadhammesu visesato taṇhādiṭṭhīnaṃ vasena asubhe ‘‘subha’’nti, dukkhe ‘‘sukha’’nti ca vipallāsā, avijjādiṭṭhīnaṃ vasena anicce ‘‘nicca’’nti, anattani ‘‘attā’’ti vipallāsā veditabbā. Tesaṃ paṭipakkhato kusalacittaggahaṇena siddhehi sativīriyasamādhipaññindriyehi cattāri satipaṭṭhānāni siddhāniyeva honti.

    ตตฺถ จตูหิ อินฺทฺริเยหิ จตฺตาโร ปุคฺคลา นิทฺทิสิตพฺพาฯ กถํ? ทุวิโธ หิ ตณฺหาจริโต มุทินฺทฺริโย ติกฺขินฺทฺริโยติ, ตถา ทิฎฺฐิจริโตฯ เตสุ ปฐโม อสุเภ ‘‘สุภ’’นฺติ วิปริเยสคฺคาหี สติพเลน ยถาภูตํ กายสภาวํ สลฺลเกฺขโนฺต ภาวนาพเลน ตํ วิปลฺลาสํ สมุคฺฆาเตตฺวา สมฺมตฺตนิยามํ โอกฺกมติฯ ทุติโย อสุเข ‘‘สุข’’นฺติ วิปริเยสคฺคาหี ‘‘อุปฺปนฺนํ กามวิตกฺกํ นาธิวาเสตี’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๒๖; อ. นิ. ๔.๑๔; ๖.๕๘) วุเตฺตน วีริยสํวรภูเตน วีริยพเลน ปฎิปกฺขํ วิโนเทโนฺต ภาวนาพเลน ตํ วิปลฺลาสํ วิธเมตฺวา สมฺมตฺตนิยามํ โอกฺกมติฯ ตติโย อนิเจฺจ ‘‘นิจฺจ’’นฺติ วิปลฺลาสคฺคาหี สมถพเลน สมาหิตจิโตฺต สงฺขารานํ ขณิกภาวํ สลฺลเกฺขโนฺต ภาวนาพเลน ตํ วิปลฺลาสํ สมุคฺฆาเตตฺวา สมฺมตฺตนิยามํ โอกฺกมติฯ จตุโตฺถ สนฺตติสมูหกิจฺจารมฺมณฆนวญฺจิตตาย ผสฺสาทิธมฺมปุญฺชมเตฺต อนตฺตนิ ‘‘อตฺตา’’ติ มิจฺฉาภินิเวสี จตุโกฎิกสุญฺญตามนสิกาเรน ตํ มิจฺฉาภินิเวสํ วิทฺธํเสโนฺต สามญฺญผลํ สจฺฉิกโรติฯ สุภสญฺญาทีหิ จตูหิปิ วา วิปลฺลาเสหิ สมุทยสจฺจํ, เตสมธิฎฺฐานารมฺมณภูตา ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขสจฺจนฺติอาทินา สจฺจโยชนา เวทิตพฺพาฯ ผลํ ปเนตฺถ จตฺตาริ สามญฺญผลานิ, จตูหิ เจตฺถ วิปลฺลาเสหิ จตุราสโวฆโยคคนฺถอคติตณฺหุปาทานสลฺลวิญฺญาณฎฺฐิติอปริญฺญาทิวเสน อกุสลปโกฺข เนตโพฺพ, ตถา จตูหิ สติปฎฺฐาเนหิ จตุพฺพิธชฺฌานวิหาราธิฎฺฐานสุขภาคิยธมฺมอปฺปมญฺญาสมฺมปฺปธานอิทฺธิปาทาทิวเสน โวทานปโกฺข เนตโพฺพติ อยํ สีหวิกฺกีฬิตสฺส นยสฺส ภูมิฯ โย หิ สุภสญฺญาทีหิ วิปลฺลาเสหิ สกลสฺส สํกิเลสปกฺขสฺส สทฺธินฺทฺริยาทีหิ จ โวทานปกฺขสฺส จตุสจฺจโยชนาวเสน นยนลกฺขโณ สํวณฺณนาวิเสโส, อยํ สีหวิกฺกีฬิโต นามฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Tattha catūhi indriyehi cattāro puggalā niddisitabbā. Kathaṃ? Duvidho hi taṇhācarito mudindriyo tikkhindriyoti, tathā diṭṭhicarito. Tesu paṭhamo asubhe ‘‘subha’’nti vipariyesaggāhī satibalena yathābhūtaṃ kāyasabhāvaṃ sallakkhento bhāvanābalena taṃ vipallāsaṃ samugghātetvā sammattaniyāmaṃ okkamati. Dutiyo asukhe ‘‘sukha’’nti vipariyesaggāhī ‘‘uppannaṃ kāmavitakkaṃ nādhivāsetī’’tiādinā (ma. ni. 1.26; a. ni. 4.14; 6.58) vuttena vīriyasaṃvarabhūtena vīriyabalena paṭipakkhaṃ vinodento bhāvanābalena taṃ vipallāsaṃ vidhametvā sammattaniyāmaṃ okkamati. Tatiyo anicce ‘‘nicca’’nti vipallāsaggāhī samathabalena samāhitacitto saṅkhārānaṃ khaṇikabhāvaṃ sallakkhento bhāvanābalena taṃ vipallāsaṃ samugghātetvā sammattaniyāmaṃ okkamati. Catuttho santatisamūhakiccārammaṇaghanavañcitatāya phassādidhammapuñjamatte anattani ‘‘attā’’ti micchābhinivesī catukoṭikasuññatāmanasikārena taṃ micchābhinivesaṃ viddhaṃsento sāmaññaphalaṃ sacchikaroti. Subhasaññādīhi catūhipi vā vipallāsehi samudayasaccaṃ, tesamadhiṭṭhānārammaṇabhūtā pañcupādānakkhandhā dukkhasaccantiādinā saccayojanā veditabbā. Phalaṃ panettha cattāri sāmaññaphalāni, catūhi cettha vipallāsehi caturāsavoghayogaganthaagatitaṇhupādānasallaviññāṇaṭṭhitiapariññādivasena akusalapakkho netabbo, tathā catūhi satipaṭṭhānehi catubbidhajjhānavihārādhiṭṭhānasukhabhāgiyadhammaappamaññāsammappadhānaiddhipādādivasena vodānapakkho netabboti ayaṃ sīhavikkīḷitassa nayassa bhūmi. Yo hi subhasaññādīhi vipallāsehi sakalassa saṃkilesapakkhassa saddhindriyādīhi ca vodānapakkhassa catusaccayojanāvasena nayanalakkhaṇo saṃvaṇṇanāviseso, ayaṃ sīhavikkīḷito nāma. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘โย เนติ วิปลฺลาเสหิ,

    ‘‘Yo neti vipallāsehi,

    กิเลเส อินฺทฺริเยหิ สทฺธเมฺม;

    Kilese indriyehi saddhamme;

    เอตํ นยํ นยวิทู,

    Etaṃ nayaṃ nayavidū,

    สีหวิกฺกีฬิตํ อาหู’’ติฯ (เนตฺติ. ๔ นิเทฺทสวาร);

    Sīhavikkīḷitaṃ āhū’’ti. (netti. 4 niddesavāra);

    อสนฺตาสนชวปรกฺกมาทิวิเสสโยเคน สีโห ภควา, ตสฺส วิกฺกีฬิตํ เทสนา วจีกมฺมภูโต วิหาโรติ กตฺวา วิปลฺลาสตปฺปฎิปกฺขปริทีปนโต สีหสฺส วิกฺกีฬิตํ เอตฺถาติ สีหวิกฺกีฬิโต, นโยฯ พลวิเสสโยคทีปนโต วา สีหวิกฺกีฬิตสทิสตฺตา นโย สีหวิกฺกีฬิโตฯ พลวิเสโส เจตฺถ สทฺธาทิพลํ, ทสพลานิ เอว วาฯ

    Asantāsanajavaparakkamādivisesayogena sīho bhagavā, tassa vikkīḷitaṃ desanā vacīkammabhūto vihāroti katvā vipallāsatappaṭipakkhaparidīpanato sīhassa vikkīḷitaṃ etthāti sīhavikkīḷito, nayo. Balavisesayogadīpanato vā sīhavikkīḷitasadisattā nayo sīhavikkīḷito. Balaviseso cettha saddhādibalaṃ, dasabalāni eva vā.

    อิเมสํ ปน ติณฺณํ อตฺถนยานํ สิทฺธิยา โวหารนยทฺวยํ สิทฺธเมว โหติฯ ตถา หิ อตฺถนยตฺตยทิสาภาเวน กุสลาทิธมฺมานํ อาโลจนํ ทิสาโลจนํฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Imesaṃ pana tiṇṇaṃ atthanayānaṃ siddhiyā vohāranayadvayaṃ siddhameva hoti. Tathā hi atthanayattayadisābhāvena kusalādidhammānaṃ ālocanaṃ disālocanaṃ. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘เวยฺยากรเณสุ หิ เย,

    ‘‘Veyyākaraṇesu hi ye,

    กุสลากุสลา ตหิํ ตหิํ วุตฺตา;

    Kusalākusalā tahiṃ tahiṃ vuttā;

    มนสา โอโลกยเต,

    Manasā olokayate,

    ตํ ขุ ทิสาโลจนํ อาหู’’ติฯ (เนตฺติ. ๔ นิเทฺทสวาร);

    Taṃ khu disālocanaṃ āhū’’ti. (netti. 4 niddesavāra);

    ตถา อาโลจิตานํ เตสํ ธมฺมานํ อตฺถนยตฺตยโยชเน สมานยนโต องฺกุโส วิย องฺกุโสฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Tathā ālocitānaṃ tesaṃ dhammānaṃ atthanayattayayojane samānayanato aṅkuso viya aṅkuso. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘โอโลเกตฺวา ทิสโลจเนน, อุกฺขิปิย ยํ สมาเนติ;

    ‘‘Oloketvā disalocanena, ukkhipiya yaṃ samāneti;

    สเพฺพ กุสลากุสเล, อยํ นโย องฺกุโส นามา’’ติฯ (เนตฺติ. ๔ นิเทฺทสวาร);

    Sabbe kusalākusale, ayaṃ nayo aṅkuso nāmā’’ti. (netti. 4 niddesavāra);

    ตสฺมา มนสาว อตฺถนยานํ ทิสาภูตธมฺมานํ โลจนํ ทิสาโลจนํ, เตสํ สมานยนํ องฺกุโสติ ปญฺจปิ นยานิ ยุตฺตานิ โหนฺติฯ

    Tasmā manasāva atthanayānaṃ disābhūtadhammānaṃ locanaṃ disālocanaṃ, tesaṃ samānayanaṃ aṅkusoti pañcapi nayāni yuttāni honti.

    เอตฺตาวตา จ –

    Ettāvatā ca –

    ‘‘ปฐโม นนฺทิยาวโฎฺฎ, ทุติโย จ ติปุกฺขโล;

    ‘‘Paṭhamo nandiyāvaṭṭo, dutiyo ca tipukkhalo;

    สีหวิกฺกีฬิโต นาม, ตติโย นยลญฺชโกฯ

    Sīhavikkīḷito nāma, tatiyo nayalañjako.

    ทิสาโลจนมาหํสุ, จตุตฺถํ นยมุตฺตมํ;

    Disālocanamāhaṃsu, catutthaṃ nayamuttamaṃ;

    ปญฺจโม องฺกุโส นาม, สเพฺพ ปญฺจ นยา คตา’’ติฯ (เนตฺติ. ๑ อุเทฺทสวาร) –

    Pañcamo aṅkuso nāma, sabbe pañca nayā gatā’’ti. (netti. 1 uddesavāra) –

    เอวํ วุตฺตปญฺจนยาปิ เอตฺถ ทสฺสิตาติ เวทิตพฺพาฯ นยติ สํกิเลสํ โวทานญฺจ วิภาคโต ญาเปตีติ นโย, ลเญฺชติ ปกาเสติ สุตฺตตฺถนฺติ ลญฺชโก, นโย จ โส ลญฺชโก จาติ นยลญฺชโกฯ อิทญฺจ สุตฺตํ โสฬสวิเธ สุตฺตนฺตปฎฺฐาเน สํกิเลสภาคิยํ พฺยติเรกมุเขน นิเพฺพธาเสกฺขภาคิยนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ อฎฺฐวีสติวิเธ ปน สุตฺตนฺตปฎฺฐาเน โลกิยโลกุตฺตรํ สตฺตธมฺมาธิฎฺฐานํ ญาณเญฺญยฺยํ ทสฺสนภาวนํ สกวจนํ วิสฺสชฺชนียํ กุสลากุสลํ อนุญฺญาตํ ปฎิกฺขิตฺตญฺจาติ เวทิตพฺพํฯ

    Evaṃ vuttapañcanayāpi ettha dassitāti veditabbā. Nayati saṃkilesaṃ vodānañca vibhāgato ñāpetīti nayo, lañjeti pakāseti suttatthanti lañjako, nayo ca so lañjako cāti nayalañjako. Idañca suttaṃ soḷasavidhe suttantapaṭṭhāne saṃkilesabhāgiyaṃ byatirekamukhena nibbedhāsekkhabhāgiyanti daṭṭhabbaṃ. Aṭṭhavīsatividhe pana suttantapaṭṭhāne lokiyalokuttaraṃ sattadhammādhiṭṭhānaṃ ñāṇaññeyyaṃ dassanabhāvanaṃ sakavacanaṃ vissajjanīyaṃ kusalākusalaṃ anuññātaṃ paṭikkhittañcāti veditabbaṃ.

    ตตฺถ โสฬสวิธสุตฺตนฺตํ ปฎฺฐานํ นาม ‘‘สํกิเลสภาคิยํ สุตฺตํ, วาสนาภาคิยํ สุตฺตํ, นิเพฺพธภาคิยํ สุตฺตํ, อเสกฺขภาคิยํ สุตฺตํ, สํกิเลสภาคิยญฺจ วาสนาภาคิยญฺจ สุตฺตํ, สํกิเลสภาคิยญฺจ นิเพฺพธภาคิยญฺจ สุตฺตํ, สํกิเลสภาคิยญฺจ อเสกฺขภาคิยญฺจ สุตฺตํ, วาสนาภาคิยญฺจ นิเพฺพธภาคิยญฺจ สุตฺตํ, วาสนาภาคิยญฺจ อเสกฺขภาคิยญฺจ สุตฺตํ, นิเพฺพธภาคิยญฺจ อเสกฺขภาคิยญฺจ สุตฺตํ, สํกิเลสภาคิยญฺจ วาสนาภาคิยญฺจ นิเพฺพธภาคิยญฺจ สุตฺตํ, สํกิเลสภาคิยญฺจ วาสนาภาคิยญฺจ อเสกฺขภาคิยญฺจ สุตฺตํ, สํกิเลสภาคิยญฺจ นิเพฺพธภาคิยญฺจ อเสกฺขภาคิยญฺจ สุตฺตํ, วาสนาภาคิยญฺจ นิเพฺพธภาคิยญฺจ อเสกฺขภาคิยญฺจ สุตฺตํ, สํกิเลสภาคิยญฺจ วาสนาภาคิยญฺจ นิเพฺพธภาคิยญฺจ อเสกฺขภาคิยญฺจ สุตฺตํ, เนว สํกิเลสภาคิยํ น วาสนาภาคิยํ น นิเพฺพธภาคิยํ น อเสกฺขภาคิยํ สุตฺต’’นฺติ (เนตฺติ. ๘๙) เอวํ วุตฺตโสฬสสาสนปฎฺฐานานิฯ

    Tattha soḷasavidhasuttantaṃ paṭṭhānaṃ nāma ‘‘saṃkilesabhāgiyaṃ suttaṃ, vāsanābhāgiyaṃ suttaṃ, nibbedhabhāgiyaṃ suttaṃ, asekkhabhāgiyaṃ suttaṃ, saṃkilesabhāgiyañca vāsanābhāgiyañca suttaṃ, saṃkilesabhāgiyañca nibbedhabhāgiyañca suttaṃ, saṃkilesabhāgiyañca asekkhabhāgiyañca suttaṃ, vāsanābhāgiyañca nibbedhabhāgiyañca suttaṃ, vāsanābhāgiyañca asekkhabhāgiyañca suttaṃ, nibbedhabhāgiyañca asekkhabhāgiyañca suttaṃ, saṃkilesabhāgiyañca vāsanābhāgiyañca nibbedhabhāgiyañca suttaṃ, saṃkilesabhāgiyañca vāsanābhāgiyañca asekkhabhāgiyañca suttaṃ, saṃkilesabhāgiyañca nibbedhabhāgiyañca asekkhabhāgiyañca suttaṃ, vāsanābhāgiyañca nibbedhabhāgiyañca asekkhabhāgiyañca suttaṃ, saṃkilesabhāgiyañca vāsanābhāgiyañca nibbedhabhāgiyañca asekkhabhāgiyañca suttaṃ, neva saṃkilesabhāgiyaṃ na vāsanābhāgiyaṃ na nibbedhabhāgiyaṃ na asekkhabhāgiyaṃ sutta’’nti (netti. 89) evaṃ vuttasoḷasasāsanapaṭṭhānāni.

    ตตฺถ สํกิลิสฺสนฺติ เอเตนาติ สํกิเลโส, สํกิเลสภาเค สํกิเลสโกฎฺฐาเส ปวตฺตํ สํกิเลสภาคิยํฯ วาสนา ปุญฺญภาวนา, วาสนาภาเค ปวตฺตํ วาสนาภาคิยํ, วาสนํ ภชาเปตีติ วา วาสนาภาคิยํฯ นิพฺพิชฺฌนํ โลภกฺขนฺธาทีนํ ปทาลนํ นิเพฺพโธ, นิเพฺพธภาเค ปวตฺตํ, นิเพฺพธํ ภชาเปตีติ วา นิเพฺพธภาคิยํฯ ปรินิฎฺฐิตสิกฺขา ธมฺมา อเสกฺขา, อเสกฺขภาเค ปวตฺตํ, อเสเกฺข ภชาเปตีติ วา อเสกฺขภาคิยํฯ เตสุ ยตฺถ ตณฺหาทิสํกิเลโส วิภโตฺต, อิทํ สํกิเลสภาคิยํฯ ยตฺถ ทานาทิปุญฺญกิริยวตฺถุ วิภตฺตํ, อิทํ วาสนาภาคิยํฯ ยตฺถ เสกฺขา สีลกฺขนฺธาทโย วิภตฺตา, อิทํ นิเพฺพธภาคิยํฯ ยตฺถ ปน อเสกฺขา สีลกฺขนฺธาทโย วิภตฺตา, อิทํ อเสกฺขภาคิยํฯ อิตรานิ เตสํ โวมิสฺสกนยวเสน วุตฺตานิฯ สพฺพาสวสํวรปริยายาทีนํ วเสน สพฺพภาคิยํ เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ หิ สํกิเลสธมฺมา โลกิยสุจริตธมฺมา เสกฺขา ธมฺมา อเสกฺขา ธมฺมา จ วิภตฺตาฯ สพฺพภาคิยํ ปน ‘‘ปสฺสํ น ปสฺสตี’’ติอาทิกํ อุทกาทิอนุวาทวจนํ เวทิตพฺพํฯ

    Tattha saṃkilissanti etenāti saṃkileso, saṃkilesabhāge saṃkilesakoṭṭhāse pavattaṃ saṃkilesabhāgiyaṃ. Vāsanā puññabhāvanā, vāsanābhāge pavattaṃ vāsanābhāgiyaṃ, vāsanaṃ bhajāpetīti vā vāsanābhāgiyaṃ. Nibbijjhanaṃ lobhakkhandhādīnaṃ padālanaṃ nibbedho, nibbedhabhāge pavattaṃ, nibbedhaṃ bhajāpetīti vā nibbedhabhāgiyaṃ. Pariniṭṭhitasikkhā dhammā asekkhā, asekkhabhāge pavattaṃ, asekkhe bhajāpetīti vā asekkhabhāgiyaṃ. Tesu yattha taṇhādisaṃkileso vibhatto, idaṃ saṃkilesabhāgiyaṃ. Yattha dānādipuññakiriyavatthu vibhattaṃ, idaṃ vāsanābhāgiyaṃ. Yattha sekkhā sīlakkhandhādayo vibhattā, idaṃ nibbedhabhāgiyaṃ. Yattha pana asekkhā sīlakkhandhādayo vibhattā, idaṃ asekkhabhāgiyaṃ. Itarāni tesaṃ vomissakanayavasena vuttāni. Sabbāsavasaṃvarapariyāyādīnaṃ vasena sabbabhāgiyaṃ veditabbaṃ. Tattha hi saṃkilesadhammā lokiyasucaritadhammā sekkhā dhammā asekkhā dhammā ca vibhattā. Sabbabhāgiyaṃ pana ‘‘passaṃ na passatī’’tiādikaṃ udakādianuvādavacanaṃ veditabbaṃ.

    อฎฺฐวีสติวิธํ สุตฺตนฺตปฎฺฐานํ ปน ‘‘โลกิยํ, โลกุตฺตรํ, โลกิยญฺจ โลกุตฺตรญฺจ, สตฺตาธิฎฺฐานํ, ธมฺมาธิฎฺฐานํ, สตฺตาธิฎฺฐานญฺจ ธมฺมาธิฎฺฐานญฺจ, ญาณํ, เญยฺยํ, ญาณญฺจ เญยฺยญฺจ, ทสฺสนํ, ภาวนา, ทสฺสนญฺจ ภาวนา จ, สกวจนํ, ปรวจนํ, สกวจนญฺจ ปรวจนญฺจ, วิสฺสชฺชนียํ, อวิสฺสชฺชนียํ, วิสฺสชฺชนียญฺจ อวิสฺสชฺชนียญฺจ, กมฺมํ, วิปาโก, กมฺมญฺจ วิปาโก จ กุสลํ, อกุสลํ, กุสลญฺจ อกุสลญฺจ อนุญฺญาตํ, ปฎิกฺขิตฺตํ, อนุญฺญาตญฺจ ปฎิกฺขิตฺตญฺจ, ถโว’’ติ (เนตฺติ. ๑๑๒) เอวมาคตานิ อฎฺฐวีสติ สาสนปฎฺฐานานิฯ ตตฺถ โลกิยนฺติ โลเก นิยุโตฺต, โลเก วา วิทิโต โลกิโยฯ อิธ ปน โลกิโย อโตฺถ ยสฺมิํ สุเตฺต วุโตฺต, ตํ สุตฺตํ โลกิยํฯ ตถา โลกุตฺตรํฯ ยสฺมิํ ปน สุเตฺต ปเทเสน โลกิยํ, ปเทเสน โลกุตฺตรํ วุตฺตํ, ตํ โลกิยญฺจ โลกุตฺตรญฺจฯ สตฺตอธิปฺปายสตฺตปญฺญตฺติมุเขน เทสิตํ สตฺตาธิฎฺฐานํฯ ธมฺมวเสน เทสิตํ ธมฺมาธิฎฺฐานํฯ อุภยวเสน เทสิตํ สตฺตาธิฎฺฐานญฺจ ธมฺมาธิฎฺฐานญฺจฯ อิมินา นเยน สพฺพปเทสุ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ พุทฺธาทีนํ ปน คุณาภิตฺถวนวเสน ปวตฺตํ สุตฺตํ ถโว นาม –

    Aṭṭhavīsatividhaṃ suttantapaṭṭhānaṃ pana ‘‘lokiyaṃ, lokuttaraṃ, lokiyañca lokuttarañca, sattādhiṭṭhānaṃ, dhammādhiṭṭhānaṃ, sattādhiṭṭhānañca dhammādhiṭṭhānañca, ñāṇaṃ, ñeyyaṃ, ñāṇañca ñeyyañca, dassanaṃ, bhāvanā, dassanañca bhāvanā ca, sakavacanaṃ, paravacanaṃ, sakavacanañca paravacanañca, vissajjanīyaṃ, avissajjanīyaṃ, vissajjanīyañca avissajjanīyañca, kammaṃ, vipāko, kammañca vipāko ca kusalaṃ, akusalaṃ, kusalañca akusalañca anuññātaṃ, paṭikkhittaṃ, anuññātañca paṭikkhittañca, thavo’’ti (netti. 112) evamāgatāni aṭṭhavīsati sāsanapaṭṭhānāni. Tattha lokiyanti loke niyutto, loke vā vidito lokiyo. Idha pana lokiyo attho yasmiṃ sutte vutto, taṃ suttaṃ lokiyaṃ. Tathā lokuttaraṃ. Yasmiṃ pana sutte padesena lokiyaṃ, padesena lokuttaraṃ vuttaṃ, taṃ lokiyañca lokuttarañca. Sattaadhippāyasattapaññattimukhena desitaṃ sattādhiṭṭhānaṃ. Dhammavasena desitaṃ dhammādhiṭṭhānaṃ. Ubhayavasena desitaṃ sattādhiṭṭhānañca dhammādhiṭṭhānañca. Iminā nayena sabbapadesu attho veditabbo. Buddhādīnaṃ pana guṇābhitthavanavasena pavattaṃ suttaṃ thavo nāma –

    ‘‘มคฺคานฎฺฐงฺคิโก เสโฎฺฐ, สจฺจานํ จตุโร ปทา;

    ‘‘Maggānaṭṭhaṅgiko seṭṭho, saccānaṃ caturo padā;

    วิราโค เสโฎฺฐ ธมฺมานํ, ทฺวิปทานญฺจ จกฺขุมา’’ติฯ (ธ. ป. ๒๗๓; เนตฺติ. ๑๗๐; เปฎโก. ๓๐) อาทิกํ วิย –

    Virāgo seṭṭho dhammānaṃ, dvipadānañca cakkhumā’’ti. (dha. pa. 273; netti. 170; peṭako. 30) ādikaṃ viya –

    เนตฺตินยวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Nettinayavaṇṇanā niṭṭhitā.

    . สทฺทครุกาทีนนฺติ อาทิสเทฺทน คนฺธรสโผฎฺฐพฺพครุเก สงฺคณฺหาติฯ อาสยวเสนาติ อชฺฌาสยวเสนฯ อุตุสมุฎฺฐาโนปิ อิตฺถิสนฺตานคโต สโทฺท ลพฺภติ, โส อิธ นาธิเปฺปโตติ ‘‘จิตฺตสมุฎฺฐาโน’’ติ วุตฺตํฯ กถิตสโทฺท อาลาปาทิสโทฺทฯ คีตสโทฺท สเรน คายนสโทฺทฯ อิตฺถิยา หสนสโทฺทเปตฺถ สงฺคเหตโพฺพ ตสฺสปิ ปุริเสน อสฺสาเทตพฺพโตฯ เตนาห – ‘‘อปิจ โข มาตุคามสฺส สทฺทํ สุณาติ ติโรกุฎฺฎา วา ติโรปาการา วา หสนฺติยา วา ภณนฺติยา วา คายนฺติยา วา, โส ตทสฺสาเทตี’’ติอาทิฯ นิวตฺถนิวาสนสฺสาติ ขลิตฺถทฺธสฺส นิวาสนสฺสฯ อลงฺการสฺสาติ นูปุราทิกสฺส อลงฺการสฺสฯ อิตฺถิสโทฺทเตฺวว เวทิตโพฺพติ อิตฺถิปฎิพทฺธภาวโต วุตฺตํฯ เตนาห – ‘‘สโพฺพปี’’ติอาทิฯ อวิทูรฎฺฐาเนติ ตสฺส หตฺถิกุลสฺส วสนฎฺฐานโต อวิทูรฎฺฐาเนฯ กายูปปโนฺนติ สมฺปนฺนกาโย ถิรกถินมหากาโยฯ มหาหตฺถีติ มหานุภาโว หตฺถีฯ เชฎฺฐกํ กตฺวาติ ยูถปติํ กตฺวาฯ

    2.Saddagarukādīnanti ādisaddena gandharasaphoṭṭhabbagaruke saṅgaṇhāti. Āsayavasenāti ajjhāsayavasena. Utusamuṭṭhānopi itthisantānagato saddo labbhati, so idha nādhippetoti ‘‘cittasamuṭṭhāno’’ti vuttaṃ. Kathitasaddo ālāpādisaddo. Gītasaddo sarena gāyanasaddo. Itthiyā hasanasaddopettha saṅgahetabbo tassapi purisena assādetabbato. Tenāha – ‘‘apica kho mātugāmassa saddaṃ suṇāti tirokuṭṭā vā tiropākārā vā hasantiyā vā bhaṇantiyā vā gāyantiyā vā, so tadassādetī’’tiādi. Nivatthanivāsanassāti khalitthaddhassa nivāsanassa. Alaṅkārassāti nūpurādikassa alaṅkārassa. Itthisaddotveva veditabboti itthipaṭibaddhabhāvato vuttaṃ. Tenāha – ‘‘sabbopī’’tiādi. Avidūraṭṭhāneti tassa hatthikulassa vasanaṭṭhānato avidūraṭṭhāne. Kāyūpapannoti sampannakāyo thirakathinamahākāyo. Mahāhatthīti mahānubhāvo hatthī. Jeṭṭhakaṃ katvāti yūthapatiṃ katvā.

    กถินติกฺขภาเวน สิงฺคสทิสตฺตา อฬสงฺขาตานิ สิงฺคานิ เอตสฺส อตฺถีติ สิงฺคี, สุวณฺณวณฺณตาย มหาพลตาย จ สีหหตฺถิอาทิมิคสทิสตฺตา มิโค วิยาติ มิโคฯ ตตฺถ ตตฺถ กิจฺจํ เนตุภาเวน จกฺขุเยว เนตฺตํ, ตํ อุคฺคตเฎฺฐน อายตํ เอตสฺสาติ อายตจกฺขุเนโตฺตฯ อฎฺฐิ เอว ตโจ เอตสฺสาติ อฎฺฐิตฺตโจฯ เตนาภิภูโตติ เตน มิเคน อภิภูโต อโชฺฌตฺถโฎ นิจฺจลคฺคหิโต หุตฺวาฯ กรุณํ รุทามีติ การุญฺญปโตฺต หุตฺวา โรทามิ วิรวามิฯ ปจฺจตฺถิกภยโต มุตฺติ นาม ยถา ตถา สหายวโต โหติ, น เอกากิโนติ อาห – ‘‘มา เหว มํ ปาณสมํ ชเหยฺยา’’ติฯ ตตฺถ มา เหว มนฺติ มํ เอวรูปํ พฺยสนํ ปตฺตํ อตฺตโน ปาณสมํ ปิยสามิกํ ตฺวํ มาเหว ชหิฯ

    Kathinatikkhabhāvena siṅgasadisattā aḷasaṅkhātāni siṅgāni etassa atthīti siṅgī, suvaṇṇavaṇṇatāya mahābalatāya ca sīhahatthiādimigasadisattā migo viyāti migo. Tattha tattha kiccaṃ netubhāvena cakkhuyeva nettaṃ, taṃ uggataṭṭhena āyataṃ etassāti āyatacakkhunetto. Aṭṭhi eva taco etassāti aṭṭhittaco. Tenābhibhūtoti tena migena abhibhūto ajjhotthaṭo niccalaggahito hutvā. Karuṇaṃ rudāmīti kāruññapatto hutvā rodāmi viravāmi. Paccatthikabhayato mutti nāma yathā tathā sahāyavato hoti, na ekākinoti āha – ‘‘mā heva maṃ pāṇasamaṃ jaheyyā’’ti. Tattha mā heva manti maṃ evarūpaṃ byasanaṃ pattaṃ attano pāṇasamaṃ piyasāmikaṃ tvaṃ māheva jahi.

    กุเญฺจ คิริกูเฎ รมติ อภิรมติ, ตตฺถ วา วิจรติ, โกญฺชนาทํ นทโนฺต วา วิจรติ, กุ วา ปถวี, ตทภิฆาเตน ชีรตีติ กุญฺชโรฯ สฎฺฐิหายนนฺติ ชาติยา สฎฺฐิวสฺสกาลสฺมิํ กุญฺชรา ถาเมน ปริหายนฺติ, ตํ สนฺธาย เอวมาหฯ ปถพฺยา จาตุรนฺตายาติ จตูสุ ทิสาสุ สมุทฺทํ ปตฺวา ฐิตาย จาตุรนฺตาย ปถวิยาฯ สุปฺปิโยติ สุฎฺฐุ ปิโยฯ เตสํ ตฺวํ วาริโช เสโฎฺฐติ เย สมุเทฺท วา คงฺคาย วา ยมุนาย วา นมฺมทานทิยา วา กุฬีรา, เตสํ สเพฺพสํ วณฺณสมฺปตฺติยา มหนฺตเตฺตน จ วาริมฺหิ ชาตตฺตา วาริโช ตฺวเมว เสโฎฺฐ ปสตฺถตโรฯ มุญฺจ โรทนฺติยา ปตินฺติ สเพฺพสํ เสฎฺฐตฺตา ตเมว ยาจามิ, โรทมานาย มยฺหํ สามิกํ มุญฺจฯ อถาติ คหณสฺส สิถิลกรณสมนนฺตรเมวฯ เอตสฺสาติ ปฎิสตฺตุมทฺทนสฺสฯ

    Kuñce girikūṭe ramati abhiramati, tattha vā vicarati, koñjanādaṃ nadanto vā vicarati, ku vā pathavī, tadabhighātena jīratīti kuñjaro. Saṭṭhihāyananti jātiyā saṭṭhivassakālasmiṃ kuñjarā thāmena parihāyanti, taṃ sandhāya evamāha. Pathabyā cāturantāyāti catūsu disāsu samuddaṃ patvā ṭhitāya cāturantāya pathaviyā. Suppiyoti suṭṭhu piyo. Tesaṃ tvaṃ vārijo seṭṭhoti ye samudde vā gaṅgāya vā yamunāya vā nammadānadiyā vā kuḷīrā, tesaṃ sabbesaṃ vaṇṇasampattiyā mahantattena ca vārimhi jātattā vārijo tvameva seṭṭho pasatthataro. Muñca rodantiyā patinti sabbesaṃ seṭṭhattā tameva yācāmi, rodamānāya mayhaṃ sāmikaṃ muñca. Athāti gahaṇassa sithilakaraṇasamanantarameva. Etassāti paṭisattumaddanassa.

    ปพฺพตคหนํ นิสฺสายาติ ติโสฺส ปพฺพตราชิโย อติกฺกมิตฺวา จตุตฺถาย ปพฺพตราชิยํ ปพฺพตคหนํ อุปนิสฺสายฯ เอวํ วทตีติ ‘‘อุเทตยํ จกฺขุมา’’ติอาทินา (ชา. ๑.๒.๑๗) อิมํ พุทฺธมนฺตํ มเนฺตโนฺต วทติฯ

    Pabbatagahanaṃ nissāyāti tisso pabbatarājiyo atikkamitvā catutthāya pabbatarājiyaṃ pabbatagahanaṃ upanissāya. Evaṃ vadatīti ‘‘udetayaṃ cakkhumā’’tiādinā (jā. 1.2.17) imaṃ buddhamantaṃ mantento vadati.

    ตตฺถ อุเทตีติ ปาจีนโลกธาตุโต อุคฺคจฺฉติฯ จกฺขุมาติ สกลจกฺกวาฬวาสีนํ อนฺธการํ วิธมิตฺวา จกฺขุปฺปฎิลาภกรเณน ยเนฺตน เตสํ ทินฺนํ จกฺขุ, เตน จกฺขุนา จกฺขุมาฯ เอกราชาติ สกลจกฺกวาเฬ อาโลกกรานํ อนฺตเร เสฎฺฐเฎฺฐน รญฺชนเฎฺฐน จ เอกราชาฯ หริสฺสวโณฺณติ หริสมานวโณฺณ, สุวณฺณวโณฺณติ อโตฺถฯ ปถวิํ ปภาเสตีติ ปถวิปฺปภาโสฯ ตํ ตํ นมสฺสามีติ ตสฺมา ตํ เอวรูปํ ภวนฺตํ นมสฺสามิ วนฺทามิฯ ตยาชฺช คุตฺตา วิหเรมฺห ทิวสนฺติ ตยา อชฺช รกฺขิตา หุตฺวา อิมํ ทิวสํ จตุอิริยาปถวิหาเรน สุขํ วิหเรยฺยามฯ

    Tattha udetīti pācīnalokadhātuto uggacchati. Cakkhumāti sakalacakkavāḷavāsīnaṃ andhakāraṃ vidhamitvā cakkhuppaṭilābhakaraṇena yantena tesaṃ dinnaṃ cakkhu, tena cakkhunā cakkhumā. Ekarājāti sakalacakkavāḷe ālokakarānaṃ antare seṭṭhaṭṭhena rañjanaṭṭhena ca ekarājā. Harissavaṇṇoti harisamānavaṇṇo, suvaṇṇavaṇṇoti attho. Pathaviṃ pabhāsetīti pathavippabhāso. Taṃ taṃ namassāmīti tasmā taṃ evarūpaṃ bhavantaṃ namassāmi vandāmi. Tayājja guttā viharemha divasanti tayā ajja rakkhitā hutvā imaṃ divasaṃ catuiriyāpathavihārena sukhaṃ vihareyyāma.

    เอวํ โพธิสโตฺต อิมาย คาถาย สูริยํ นมสฺสิตฺวา ทุติยคาถาย อตีเต ปรินิพฺพุเต พุเทฺธ เจว พุทฺธคุเณ จ นมสฺสติ ‘‘เย พฺราหฺมณา’’ติอาทินาฯ ตตฺถ เย พฺราหฺมณาติ เย พาหิตปาปา ปริสุทฺธา พฺราหฺมณาฯ เวทคูติ เวทานํ ปารํ คตา, เวเทหิ ปารํ คตาติ วา เวทคูฯ อิธ ปน สเพฺพ สงฺขตธเมฺม วิทิเต ปากเฎ กตฺวา กตาติ เวทคูฯ เตเนวาห – ‘‘สพฺพธเมฺม’’ติฯ สเพฺพ ขนฺธายตนธาตุธเมฺม สลกฺขณสามญฺญลกฺขณวเสน อตฺตโน ญาณสฺส วิทิเต ปากเฎ กตฺวา ติณฺณํ มารานํ มตฺถกํ มทฺทิตฺวา สมฺมาสโมฺพธิํ ปตฺตา, สํสารํ วา อติกฺกนฺตาติ อโตฺถฯ เต เม นโมติ เต มม อิมํ นมกฺการํ ปฎิจฺฉนฺตุฯ เต จ มํ ปาลยนฺตูติ เอวํ มยา นมสฺสิตา จ เต ภควโนฺต มํ ปาลยนฺตุ รกฺขนฺตุฯ นมตฺตุ พุทฺธานํ…เป.… วิมุตฺติยาติ อยํ มม นมกฺกาโร อตีตานํ ปรินิพฺพุตานํ พุทฺธานํ อตฺถุ, เตสํเยว จตูสุ ผเลสุ ญาณสงฺขาตาย โพธิยา อตฺถุ, ตถา เตสเญฺญว อรหตฺตผลวิมุตฺติยา วิมุตฺตานํ อตฺถุ, ยา จ เนสํ ตทงฺควิกฺขมฺภนสมุเจฺฉทปฺปฎิปฺปสฺสทฺธินิสฺสรณสงฺขาตา ปญฺจวิธา วิมุตฺติ, ตาย วิมุตฺติยาปิ อยํ มยฺหํ นมกฺกาโร อตฺถูติ อโตฺถฯ อิมํ โส ปริตฺตํ กตฺวา, โมโร จรติ เอสนาติ อิทํ ปน ปททฺวยํ สตฺถา อภิสมฺพุโทฺธ หุตฺวา อาหฯ ตสฺสโตฺถ – ภิกฺขเว, โส โมโร อิมํ ปริตฺตํ อิมํ รกฺขํ กตฺวา อตฺตโน โคจรภูมิยํ ปุปฺผผลาทีนํ อตฺถาย นานปฺปการาย เอสนาย จรตีติฯ

    Evaṃ bodhisatto imāya gāthāya sūriyaṃ namassitvā dutiyagāthāya atīte parinibbute buddhe ceva buddhaguṇe ca namassati ‘‘ye brāhmaṇā’’tiādinā. Tattha ye brāhmaṇāti ye bāhitapāpā parisuddhā brāhmaṇā. Vedagūti vedānaṃ pāraṃ gatā, vedehi pāraṃ gatāti vā vedagū. Idha pana sabbe saṅkhatadhamme vidite pākaṭe katvā katāti vedagū. Tenevāha – ‘‘sabbadhamme’’ti. Sabbe khandhāyatanadhātudhamme salakkhaṇasāmaññalakkhaṇavasena attano ñāṇassa vidite pākaṭe katvā tiṇṇaṃ mārānaṃ matthakaṃ madditvā sammāsambodhiṃ pattā, saṃsāraṃ vā atikkantāti attho. Te me namoti te mama imaṃ namakkāraṃ paṭicchantu. Te ca maṃ pālayantūti evaṃ mayā namassitā ca te bhagavanto maṃ pālayantu rakkhantu. Namattu buddhānaṃ…pe… vimuttiyāti ayaṃ mama namakkāro atītānaṃ parinibbutānaṃ buddhānaṃ atthu, tesaṃyeva catūsu phalesu ñāṇasaṅkhātāya bodhiyā atthu, tathā tesaññeva arahattaphalavimuttiyā vimuttānaṃ atthu, yā ca nesaṃ tadaṅgavikkhambhanasamucchedappaṭippassaddhinissaraṇasaṅkhātā pañcavidhā vimutti, tāya vimuttiyāpi ayaṃ mayhaṃ namakkāro atthūti attho. Imaṃ so parittaṃ katvā, moro carati esanāti idaṃ pana padadvayaṃ satthā abhisambuddho hutvā āha. Tassattho – bhikkhave, so moro imaṃ parittaṃ imaṃ rakkhaṃ katvā attano gocarabhūmiyaṃ pupphaphalādīnaṃ atthāya nānappakārāya esanāya caratīti.

    เอวํ ทิวสํ จริตฺวา สายํ ปพฺพตมตฺถเก นิสีทิตฺวา อตฺถํ คจฺฉนฺตํ สูริยํ โอโลเกโนฺต พุทฺธคุเณ อาวเชฺชตฺวา นิวาสฎฺฐาเน รกฺขาวรณตฺถาย ปุน พฺรหฺมมนฺตํ วทโนฺต ‘‘อเปตย’’นฺติอาทิมาหฯ เตเนวาห – ‘‘ทิวสํ โคจรํ คเหตฺวา’’ติอาทิฯ ตตฺถ อเปตีติ อปยาติ อตฺถํ คจฺฉติฯ อิมํ โส ปริตฺตํ กตฺวา โมโร วาสมกปฺปยีติ อิทมฺปิ อภิสมฺพุโทฺธ หุตฺวา อาหฯ ตสฺสโตฺถ – ภิกฺขเว, โส โมโร อิมํ ปริตฺตํ อิมํ รกฺขํ กตฺวา อตฺตโน นิวาสฎฺฐาเน วาสํ สํกปฺปยิตฺถาติฯ ปริตฺตกมฺมโต ปุเรตรเมวาติ ปริตฺตกมฺมกรณโต ปุเรตรเมวฯ โมรกุกฺกุฎิกายาติ กุกฺกุฎิกาสทิสาย โมรจฺฉาปิกายฯ

    Evaṃ divasaṃ caritvā sāyaṃ pabbatamatthake nisīditvā atthaṃ gacchantaṃ sūriyaṃ olokento buddhaguṇe āvajjetvā nivāsaṭṭhāne rakkhāvaraṇatthāya puna brahmamantaṃ vadanto ‘‘apetaya’’ntiādimāha. Tenevāha – ‘‘divasaṃ gocaraṃ gahetvā’’tiādi. Tattha apetīti apayāti atthaṃ gacchati. Imaṃ so parittaṃ katvā moro vāsamakappayīti idampi abhisambuddho hutvā āha. Tassattho – bhikkhave, so moro imaṃ parittaṃ imaṃ rakkhaṃ katvā attano nivāsaṭṭhāne vāsaṃ saṃkappayitthāti. Parittakammato puretaramevāti parittakammakaraṇato puretarameva. Morakukkuṭikāyāti kukkuṭikāsadisāya moracchāpikāya.

    . ตติเย รูปายตนสฺส วิย คนฺธายตนสฺสปิ สมุฎฺฐาปกปจฺจยวเสน วิเสโส นตฺถีติ อาห – ‘‘จตุสมุฎฺฐานิก’’นฺติฯ อิตฺถิยา สรีรคนฺธสฺส กายารุฬฺหอนุเลปนาทิคนฺธสฺส จ ตปฺปฎิพทฺธภาวโต อวิเสเสน คหณปฺปสเงฺค อิธาธิเปฺปตคนฺธํ นิทฺธาเรโนฺต ‘‘สฺวาย’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ อิตฺถิยาติ ปากติกาย อิตฺถิยาฯ ทุคฺคโนฺธติ ปากติกาย อิตฺถิยา สรีรคนฺธภาวโต ทุคฺคโนฺธ โหติฯ อิธาธิเปฺปโตติ อิฎฺฐภาวโต อสฺสาเทตพฺพตฺตา วุตฺตํฯ กถํ ปน อิตฺถิยา สรีรคนฺธสฺส ทุคฺคนฺธภาโวติ อาห – ‘‘เอกจฺจา หี’’ติอาทิฯ ตตฺถ อสฺสสฺส วิย คโนฺธ อสฺสา อตฺถีติ อสฺสคนฺธินีฯ เมณฺฑกสฺส วิย คโนฺธ อสฺสา อตฺถีติ เมณฺฑกคนฺธินีฯ เสทสฺส วิย คโนฺธ อสฺสา อตฺถีติ เสทคนฺธินีฯ โสณิตสฺส วิย คโนฺธ อสฺสา อตฺถีติ โสณิตคนฺธินีฯ รชฺชเตวาติ อนาทิมติ สํสาเร อวิชฺชาทิกิเลสวาสนาย ปริกฑฺฒิตหทยตฺตา โผฎฺฐพฺพสฺสาทคธิตจิตฺตตาย จ อนฺธพาโล เอวรูปายปิ ทุคฺคนฺธสรีราย อิตฺถิยา รชฺชติเยวฯ ปากติกาย อิตฺถิยา สรีรคนฺธสฺส ทุคฺคนฺธภาวํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ วิสิฎฺฐาย เอกจฺจาย อิตฺถิยา ตทภาวํ ทเสฺสตุํ – ‘‘จกฺกวตฺติโน ปนา’’ติอาทิมาหฯ ยทิ เอวํ อีทิสาย อิตฺถิยา สรีรคโนฺธปิ อิธ กสฺมา นาธิเปฺปโตติ อาห – ‘‘อยํ น สพฺพาสํ โหตี’’ติอาทิฯ ติรจฺฉานคตาย อิตฺถิยา เอกจฺจาย จ มนุสฺสิตฺถิยา สรีรคนฺธสฺส อติวิย อสฺสาเทตพฺพภาวทสฺสนโต ปุน ตมฺปิ อวิเสเสน อนุชานโนฺต ‘‘อิตฺถิกาเย คโนฺธ วา โหตู’’ติอาทิมาหฯ อิตฺถิคโนฺธเตฺวว เวทิตโพฺพติ ตปฺปฎิพทฺธภาวโต วุตฺตํฯ

    3. Tatiye rūpāyatanassa viya gandhāyatanassapi samuṭṭhāpakapaccayavasena viseso natthīti āha – ‘‘catusamuṭṭhānika’’nti. Itthiyā sarīragandhassa kāyāruḷhaanulepanādigandhassa ca tappaṭibaddhabhāvato avisesena gahaṇappasaṅge idhādhippetagandhaṃ niddhārento ‘‘svāya’’ntiādimāha. Tattha itthiyāti pākatikāya itthiyā. Duggandhoti pākatikāya itthiyā sarīragandhabhāvato duggandho hoti. Idhādhippetoti iṭṭhabhāvato assādetabbattā vuttaṃ. Kathaṃ pana itthiyā sarīragandhassa duggandhabhāvoti āha – ‘‘ekaccā hī’’tiādi. Tattha assassa viya gandho assā atthīti assagandhinī. Meṇḍakassa viya gandho assā atthīti meṇḍakagandhinī. Sedassa viya gandho assā atthīti sedagandhinī. Soṇitassa viya gandho assā atthīti soṇitagandhinī. Rajjatevāti anādimati saṃsāre avijjādikilesavāsanāya parikaḍḍhitahadayattā phoṭṭhabbassādagadhitacittatāya ca andhabālo evarūpāyapi duggandhasarīrāya itthiyā rajjatiyeva. Pākatikāya itthiyā sarīragandhassa duggandhabhāvaṃ dassetvā idāni visiṭṭhāya ekaccāya itthiyā tadabhāvaṃ dassetuṃ – ‘‘cakkavattinopanā’’tiādimāha. Yadi evaṃ īdisāya itthiyā sarīragandhopi idha kasmā nādhippetoti āha – ‘‘ayaṃ na sabbāsaṃ hotī’’tiādi. Tiracchānagatāya itthiyā ekaccāya ca manussitthiyā sarīragandhassa ativiya assādetabbabhāvadassanato puna tampi avisesena anujānanto ‘‘itthikāye gandho vā hotū’’tiādimāha. Itthigandhotveva veditabboti tappaṭibaddhabhāvato vuttaṃ.

    . จตุตฺถาทีสุ กิํ เตนาติ ชิวฺหาวิเญฺญยฺยรเส อิธาธิเปฺปเต กิํ เตน อวยวรสาทินา วุเตฺตน ปโยชนํฯ โอฎฺฐมํสํ สมฺมเกฺขตีติ โอฎฺฐมํสสมฺมกฺขโน, เขฬาทีนิฯ อาทิสเทฺทน โอฎฺฐมํสมกฺขโน ตมฺพุลมุขวาสาทิรโส คยฺหติฯ สโพฺพ โส อิตฺถิรโสติ อิตฺถิยาวสฺส คเหตพฺพตฺตาฯ

    4. Catutthādīsu kiṃ tenāti jivhāviññeyyarase idhādhippete kiṃ tena avayavarasādinā vuttena payojanaṃ. Oṭṭhamaṃsaṃ sammakkhetīti oṭṭhamaṃsasammakkhano, kheḷādīni. Ādisaddena oṭṭhamaṃsamakkhano tambulamukhavāsādiraso gayhati. Sabbo so itthirasoti itthiyāvassa gahetabbattā.

    . อิตฺถิโผฎฺฐโพฺพติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ ยทิ ปเนตฺถ อิตฺถิคตานิ รูปารมฺมณาทีนิ อวิเสสโต ปุริสสฺส จิตฺตํ ปริยาทาย ติฎฺฐนฺติ, อถ กสฺมา ภควตา ตานิ วิสุํ วิสุํ คเหตฺวา เทสิตานีติ อาห – ‘‘อิติ สตฺถา’’ติอาทิฯ ยถา หีติอาทินา ตเมวตฺถํ สมเตฺถติฯ คเมตีติ วิเกฺขปํ คเมติ, อยเมว วา ปาโฐฯ คเมตีติ จ สงฺคเมติฯ น ตถา เสสา สทฺทาทโย, น ตถา รูปาทีนิ อารมฺมณานีติ เอเตน สเตฺตสุ รูปาทิครุกตา อสํกิณฺณา วิย ทสฺสิตา, น โข ปเนตํ เอวํ ทฎฺฐพฺพํ อเนกวิธตฺตา สตฺตานํ อชฺฌาสยสฺสาติ ทเสฺสตุํ – ‘‘เอกจฺจสฺส จา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ปญฺจครุกวเสนาติ ปญฺจารมฺมณครุกวเสนฯ เอกจฺจสฺส หิ ปุริสสฺส ยถาวุเตฺตสุ ปญฺจสุปิ อารมฺมเณสุ ครุกตา โหติ, เอกจฺจสฺส ตตฺถ กติปเยสุ, เอกสฺมิํ เอว วา, เต สเพฺพปิ ปญฺจครุกาเตฺวว เวทิตพฺพา ยถา ‘‘สตฺติสโย อฎฺฐวิโมกฺขา’’ติฯ น ปญฺจครุกชาตกวเสน เอเกการมฺมเณ ครุกเสฺสว นาธิเปฺปตตฺตาฯ เอเกการมฺมณครุกานญฺหิ ปญฺจนฺนํ ปุคฺคลานํ ตตฺถ อาคตตฺตา ตํ ชาตกํ ‘‘ปญฺจครุกชาตก’’นฺติ วุตฺตํฯ ยทิ เอวํ เตน อิธ ปโยชนํ นตฺถีติ อาห – ‘‘สกฺขิภาวตฺถายา’’ติฯ อาหริตฺวา กเถตพฺพนฺติ รูปาทิครุกตาย เอเต อนยพฺยสนํ ปตฺตาติ ทเสฺสตุํ กเถตพฺพํฯ

    5.Itthiphoṭṭhabboti etthāpi eseva nayo. Yadi panettha itthigatāni rūpārammaṇādīni avisesato purisassa cittaṃ pariyādāya tiṭṭhanti, atha kasmā bhagavatā tāni visuṃ visuṃ gahetvā desitānīti āha – ‘‘iti satthā’’tiādi. Yathā hītiādinā tamevatthaṃ samattheti. Gametīti vikkhepaṃ gameti, ayameva vā pāṭho. Gametīti ca saṅgameti. Na tathā sesā saddādayo, na tathā rūpādīni ārammaṇānīti etena sattesu rūpādigarukatā asaṃkiṇṇā viya dassitā, na kho panetaṃ evaṃ daṭṭhabbaṃ anekavidhattā sattānaṃ ajjhāsayassāti dassetuṃ – ‘‘ekaccassa cā’’tiādi vuttaṃ. Pañcagarukavasenāti pañcārammaṇagarukavasena. Ekaccassa hi purisassa yathāvuttesu pañcasupi ārammaṇesu garukatā hoti, ekaccassa tattha katipayesu, ekasmiṃ eva vā, te sabbepi pañcagarukātveva veditabbā yathā ‘‘sattisayo aṭṭhavimokkhā’’ti. Na pañcagarukajātakavasena ekekārammaṇe garukasseva nādhippetattā. Ekekārammaṇagarukānañhi pañcannaṃ puggalānaṃ tattha āgatattā taṃ jātakaṃ ‘‘pañcagarukajātaka’’nti vuttaṃ. Yadi evaṃ tena idha payojanaṃ natthīti āha – ‘‘sakkhibhāvatthāyā’’ti. Āharitvā kathetabbanti rūpādigarukatāya ete anayabyasanaṃ pattāti dassetuṃ kathetabbaṃ.

    ๖-๘. เตสนฺติ สุตฺตานํฯ อุปฺปเณฺฑตฺวา คณฺหิตุํ น อิจฺฉีติ ตสฺส โถกํ วิรูปธาตุกตฺตา น อิจฺฉิฯ อนติกฺกมโนฺตติ สํสเนฺทโนฺตฯ เทฺว หตฺถํ ปตฺตานีติ เทฺว อุปฺปลานิ หตฺถํ คตานิฯ ปหฎฺฐาการํ ทเสฺสตฺวาติ อปราหิ อิตฺถีหิ เอเกกํ ลทฺธํ, มยา เทฺว ลทฺธานีติ สนฺตุฎฺฐาการํ ทเสฺสตฺวาฯ ปโรทีติ ตสฺสา ปุพฺพสามิกสฺส มุขคนฺธํ สริตฺวาฯ ตสฺส หิ มุขโต อุปฺปลคโนฺธ วายติฯ หาเรตฺวาติ ตสฺมา ฐานา อปเนตฺวา, ‘‘หราเปตฺวา’’ติ วา ปาโฐ, อยเมวโตฺถฯ

    6-8.Tesanti suttānaṃ. Uppaṇḍetvā gaṇhituṃ na icchīti tassa thokaṃ virūpadhātukattā na icchi. Anatikkamantoti saṃsandento. Dve hatthaṃ pattānīti dve uppalāni hatthaṃ gatāni. Pahaṭṭhākāraṃ dassetvāti aparāhi itthīhi ekekaṃ laddhaṃ, mayā dve laddhānīti santuṭṭhākāraṃ dassetvā. Parodīti tassā pubbasāmikassa mukhagandhaṃ saritvā. Tassa hi mukhato uppalagandho vāyati. Hāretvāti tasmā ṭhānā apanetvā, ‘‘harāpetvā’’ti vā pāṭho, ayamevattho.

    สาธุ สาธูติ ภาสโตติ ธมฺมกถาย อนุโมทนวเสน ‘‘สาธุ สาธู’’ติ ภาสโตฯ อุปฺปลํว ยโถทเกติ ยถา อุปฺปลํ อุปฺปลคโนฺธ มุขโต นิพฺพโตฺตติฯ วฎฺฎเมว กถิตนฺติ ยถารุตวเสน วุตฺตํฯ ยทิปิ เอวํ วุตฺตํ, ตถาปิ ยถารุตมเตฺถ อวตฺวา วิวฎฺฎํ นีหริตฺวา กเถตพฺพํ วิมุตฺติรสตฺตา ภควโต เทสนายฯ

    Sādhu sādhūti bhāsatoti dhammakathāya anumodanavasena ‘‘sādhu sādhū’’ti bhāsato. Uppalaṃva yathodaketi yathā uppalaṃ uppalagandho mukhato nibbattoti. Vaṭṭameva kathitanti yathārutavasena vuttaṃ. Yadipi evaṃ vuttaṃ, tathāpi yathārutamatthe avatvā vivaṭṭaṃ nīharitvā kathetabbaṃ vimuttirasattā bhagavato desanāya.

    รูปาทิวคฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Rūpādivaggavaṇṇanā niṭṭhitā.

    อิติ มโนรถปูรณิยา องฺคุตฺตรนิกาย-อฎฺฐกถาย

    Iti manorathapūraṇiyā aṅguttaranikāya-aṭṭhakathāya

    ปฐมวคฺควณฺณนาย อนุตฺตานตฺถทีปนา นิฎฺฐิตาฯ

    Paṭhamavaggavaṇṇanāya anuttānatthadīpanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya
    ๑. รูปาทิวโคฺค • 1. Rūpādivaggo
    ๒. นีวรณปฺปหานวโคฺค • 2. Nīvaraṇappahānavaggo

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā)
    ๑. รูปาทิวคฺควณฺณนา • 1. Rūpādivaggavaṇṇanā
    ๒. นีวรณปฺปหานวคฺควณฺณนา • 2. Nīvaraṇappahānavaggavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact