Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā |
๙. รูปิยสํโวหารสิกฺขาปทวณฺณนา
9. Rūpiyasaṃvohārasikkhāpadavaṇṇanā
๕๘๗. รูปิยสํโวหารสิกฺขาปเท ชาตรูปาทิจตุพฺพิธมฺปิ นิสฺสคฺคิยวตฺถุ อิธ รูปิยคฺคหเณเนว คหิตนฺติ อาห ‘‘ชาตรูปรชตปริวตฺตน’’นฺติฯ ปฎิคฺคหิตปริวตฺตเนติ สาทิตรูปิยสฺส ปริวตฺตเน, อสาทิยิตฺวา วา กปฺปิเยน คาเหน ปฎิคฺคหิตรูปิยปริวตฺตเนฯ
587. Rūpiyasaṃvohārasikkhāpade jātarūpādicatubbidhampi nissaggiyavatthu idha rūpiyaggahaṇeneva gahitanti āha ‘‘jātarūparajataparivattana’’nti. Paṭiggahitaparivattaneti sāditarūpiyassa parivattane, asādiyitvā vā kappiyena gāhena paṭiggahitarūpiyaparivattane.
๕๘๙. ค-การสฺส ก-การํ กตฺวา ‘‘สีสูปก’’นฺติ ลิขิตํ, ปทภาชเน ฆนกตนฺติ ปิณฺฑํ กตํฯ สตฺถุวโณฺณติอาทีสุ ‘‘สตฺถุวโณฺณ จ กหาปโณ จ…เป.… เย จ โวหารํ คจฺฉนฺตี’’ติ เอวํ สพฺพตฺถ สมุจฺจโย เวทิตโพฺพฯ รูปิเย รูปิยสญฺญีติ สกสนฺตกํ วทติฯ รูปิยํ เจตาเปตีติ ปรสนฺตกํ วทติฯ ‘‘นิสฺสคฺคิยวตฺถุนา ทุกฺกฎวตฺถุํ วา กปฺปิยวตฺถุํ วา เจตาเปนฺตสฺสปิ เอเสว นโย’’ติ อิทํ กสฺมา วุตฺตํฯ น หิ ‘‘รูปิเย รูปิยสญฺญี อรูปิยํ เจตาเปติ , นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติย’’นฺติอาทิตฺติโก ปาฬิยํ วุโตฺตติ อาห ‘‘โย หี’’ติอาทิฯ ตสฺสานุโลมตฺตาติ เอตฺถายมธิปฺปาโย – รูปิยสํโวหาโร นาม น เกวลํ รูปิเยน รูปิยปริวตฺตนเมว, อถ โข ‘‘อรูปิเย รูปิยสญฺญี รูปิยํ เจตาเปตี’’ติ วุตฺตตฺตา อรูปิเยน รูปิยเจตาปนมฺปิ รูปิยสํโวหาโร นาม โหตีติ เอตสฺมิํ ปเกฺขปิ รูปิเย สติ รูปิยสํโวหาโรเยว โหตีติ อยมโตฺถ อวุโตฺตปิ วิญฺญายตีติฯ อรูปิยํ นาม ทุกฺกฎวตฺถุกปฺปิยวตฺถูนิฯ เอกเนฺตน รูปิยปเกฺขติ เอเกน อเนฺตน รูปิยปเกฺขติ อยํ อโตฺถ คเหตโพฺพฯ ‘‘เอกโต รูปิยปเกฺข’’ติ วา ปาโฐ เวทิตโพฺพฯ ‘‘เอกรูปิยปเกฺข’’ติปิ ปฐนฺติ, ตตฺถาปิ เอกโต รูปิยปเกฺขติ อยเมวโตฺถ คเหตโพฺพฯ
589.Ga-kārassa ka-kāraṃ katvā ‘‘sīsūpaka’’nti likhitaṃ, padabhājane ghanakatanti piṇḍaṃ kataṃ. Satthuvaṇṇotiādīsu ‘‘satthuvaṇṇo ca kahāpaṇo ca…pe… ye ca vohāraṃ gacchantī’’ti evaṃ sabbattha samuccayo veditabbo. Rūpiye rūpiyasaññīti sakasantakaṃ vadati. Rūpiyaṃ cetāpetīti parasantakaṃ vadati. ‘‘Nissaggiyavatthunā dukkaṭavatthuṃ vā kappiyavatthuṃ vā cetāpentassapi eseva nayo’’ti idaṃ kasmā vuttaṃ. Na hi ‘‘rūpiye rūpiyasaññī arūpiyaṃ cetāpeti , nissaggiyaṃ pācittiya’’ntiādittiko pāḷiyaṃ vuttoti āha ‘‘yo hī’’tiādi. Tassānulomattāti etthāyamadhippāyo – rūpiyasaṃvohāro nāma na kevalaṃ rūpiyena rūpiyaparivattanameva, atha kho ‘‘arūpiye rūpiyasaññī rūpiyaṃ cetāpetī’’ti vuttattā arūpiyena rūpiyacetāpanampi rūpiyasaṃvohāro nāma hotīti etasmiṃ pakkhepi rūpiye sati rūpiyasaṃvohāroyeva hotīti ayamattho avuttopi viññāyatīti. Arūpiyaṃ nāma dukkaṭavatthukappiyavatthūni. Ekantena rūpiyapakkheti ekena antena rūpiyapakkheti ayaṃ attho gahetabbo. ‘‘Ekato rūpiyapakkhe’’ti vā pāṭho veditabbo. ‘‘Ekarūpiyapakkhe’’tipi paṭhanti, tatthāpi ekato rūpiyapakkheti ayamevattho gahetabbo.
กปฺปิยวตฺถุนา กปฺปิยวตฺถุโน กยวิกฺกเยปิ ตาว นิสฺสคฺคิยํ โหติ, ทุกฺกฎวตฺถุนา ทุกฺกฎวตฺถุโน กยวิกฺกเย กสฺมา น โหตีติ อนฺธกฎฺฐกถาย อธิปฺปาโยฯ อิทํ สิกฺขาปทํ…เป.… อรูปิเยน จ รูปิยเจตาปนํ สนฺธาย วุตฺตนฺติ สมฺพโนฺธฯ อิธาติ อิมสฺมิํ รูปิยสํโวหารสิกฺขาปเทฯ ตตฺถาติ กยวิกฺกยสิกฺขาปเทฯ เตเนวาติ กปฺปิยวตฺถุนาเยวฯ
Kappiyavatthunā kappiyavatthuno kayavikkayepi tāva nissaggiyaṃ hoti, dukkaṭavatthunā dukkaṭavatthuno kayavikkaye kasmā na hotīti andhakaṭṭhakathāya adhippāyo. Idaṃ sikkhāpadaṃ…pe… arūpiyena ca rūpiyacetāpanaṃ sandhāya vuttanti sambandho. Idhāti imasmiṃ rūpiyasaṃvohārasikkhāpade. Tatthāti kayavikkayasikkhāpade. Tenevāti kappiyavatthunāyeva.
ปุน กปฺปิยภาวํ เนตุํ อสกฺกุเณยฺยตฺตา ‘‘มหาอกปฺปิโย นามา’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘น สกฺกา เกนจิ อุปาเยน กปฺปิโย กาตุนฺติ อิทํ ปญฺจนฺนํเยว สหธมฺมิกานํ อนฺตเร ปริวตฺตนํ สนฺธาย วุตฺตํ, คิหีหิ ปน คเหตฺวา อตฺตโน สนฺตกํ กตฺวา ทินฺนํ สเพฺพสํ กปฺปตี’’ติ วทนฺติฯ ‘‘น สกฺกา เกนจิ อุปาเยน กปฺปิโย กาตุ’’นฺติ ปน อิมินาว ปฎิคฺคหิตรูปิยํ อนิสฺสชฺชิตฺวาว เตน เจตาปิตํ กปฺปิยภณฺฑมฺปิ สงฺฆสฺส นิสฺสฎฺฐํ ปริภุญฺชิตุํ น วฎฺฎตีติ สิทฺธํฯ
Puna kappiyabhāvaṃ netuṃ asakkuṇeyyattā ‘‘mahāakappiyo nāmā’’ti vuttaṃ. ‘‘Na sakkā kenaci upāyena kappiyo kātunti idaṃ pañcannaṃyeva sahadhammikānaṃ antare parivattanaṃ sandhāya vuttaṃ, gihīhi pana gahetvā attano santakaṃ katvā dinnaṃ sabbesaṃ kappatī’’ti vadanti. ‘‘Na sakkā kenaci upāyena kappiyo kātu’’nti pana imināva paṭiggahitarūpiyaṃ anissajjitvāva tena cetāpitaṃ kappiyabhaṇḍampi saṅghassa nissaṭṭhaṃ paribhuñjituṃ na vaṭṭatīti siddhaṃ.
เย ปน ‘‘ปฎิคฺคหิตรูปิยํ อนิสฺสชฺชิตฺวาปิ เตน ปริวตฺติตํ กปฺปิยภณฺฑํ สงฺฆสฺส นิสฺสฎฺฐํ ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎตี’’ติ วทนฺติ, เตสํ ‘‘น สกฺกา เกนจิ อุปาเยน กปฺปิโย กาตุ’’นฺติ อิทํ น ยุชฺชติฯ เต ปเนตฺถ เอวํ วทนฺติ ‘‘ยสฺมา นิสฺสชฺชิตพฺพวตฺถุํ อนิสฺสชฺชิตฺวาว อุปรูปริ อญฺญํ อญฺญํเยว กตํ, ตสฺมา ปริเจฺฉทาภาวโต อิธ นิสฺสชฺชิตุํ อวตฺวา ‘น สกฺกา เกนจิ อุปาเยน กปฺปิโย กาตุ’นฺติ วุตฺตํ, ปริเจฺฉทาภาวโตเยว ‘มูเล มูลสามิกานํ , ปเตฺต จ ปตฺตสามิกานํ ทิเนฺน กปฺปิโย โหตี’ติ จ น วุตฺต’’นฺติฯ ยทิ ปฎิคฺคหิตรูปิยํ อนิสฺสชฺชิตฺวา เจตาปิตํ กปฺปิยภณฺฑมฺปิ สงฺฆสฺส นิสฺสฎฺฐํ ปริภุญฺชิตุํ วฎฺฎติ, เอวํ สเนฺต อิธาปิ อวสานวตฺถุํ คเหตฺวา สงฺฆสฺส นิสฺสฎฺฐํ กสฺมา น วฎฺฎติ, ‘‘โย ปน รูปิยํ อุคฺคณฺหิตฺวา…เป.… ปเตฺต จ ปตฺตสามิกานํ ทิเนฺน กปฺปิโย โหตี’’ติ อิมินาปิ ปฎิคฺคหิตรูปิยํ อนิสฺสชฺชิตฺวา เจตาปิตํ กปฺปิยภณฺฑมฺปิ สงฺฆสฺส นิสฺสฎฺฐํ ปริภุญฺชิตุํ น วฎฺฎตีติ สิทฺธํฯ ยทิ ตํ นิสฺสฎฺฐํ ปริภุญฺชิตุํ วเฎฺฎยฺย, ‘‘มูเล มูลสามิกานํ, ปเตฺต จ ปตฺตสามิกานํ ทิเนฺน กปฺปิโย โหตี’’ติ น วเทยฺยฯ อปเร ปเนตฺถ เอวํ วทนฺติ ‘‘ยทิ สงฺฆสฺส นิสฺสฎฺฐํ โหติ, รูปิยปฎิคฺคาหกสฺส น วฎฺฎติ, ตสฺมา ตสฺสปิ ยถา วฎฺฎติ, ตถา ทสฺสนตฺถํ ‘มูเล มูลสามิกาน’นฺติอาทิ วุตฺต’’นฺติฯ
Ye pana ‘‘paṭiggahitarūpiyaṃ anissajjitvāpi tena parivattitaṃ kappiyabhaṇḍaṃ saṅghassa nissaṭṭhaṃ paribhuñjituṃ vaṭṭatī’’ti vadanti, tesaṃ ‘‘na sakkā kenaci upāyena kappiyo kātu’’nti idaṃ na yujjati. Te panettha evaṃ vadanti ‘‘yasmā nissajjitabbavatthuṃ anissajjitvāva uparūpari aññaṃ aññaṃyeva kataṃ, tasmā paricchedābhāvato idha nissajjituṃ avatvā ‘na sakkā kenaci upāyena kappiyo kātu’nti vuttaṃ, paricchedābhāvatoyeva ‘mūle mūlasāmikānaṃ , patte ca pattasāmikānaṃ dinne kappiyo hotī’ti ca na vutta’’nti. Yadi paṭiggahitarūpiyaṃ anissajjitvā cetāpitaṃ kappiyabhaṇḍampi saṅghassa nissaṭṭhaṃ paribhuñjituṃ vaṭṭati, evaṃ sante idhāpi avasānavatthuṃ gahetvā saṅghassa nissaṭṭhaṃ kasmā na vaṭṭati, ‘‘yo pana rūpiyaṃ uggaṇhitvā…pe… patte ca pattasāmikānaṃ dinne kappiyo hotī’’ti imināpi paṭiggahitarūpiyaṃ anissajjitvā cetāpitaṃ kappiyabhaṇḍampi saṅghassa nissaṭṭhaṃ paribhuñjituṃ na vaṭṭatīti siddhaṃ. Yadi taṃ nissaṭṭhaṃ paribhuñjituṃ vaṭṭeyya, ‘‘mūle mūlasāmikānaṃ, patte ca pattasāmikānaṃ dinne kappiyo hotī’’ti na vadeyya. Apare panettha evaṃ vadanti ‘‘yadi saṅghassa nissaṭṭhaṃ hoti, rūpiyapaṭiggāhakassa na vaṭṭati, tasmā tassapi yathā vaṭṭati, tathā dassanatthaṃ ‘mūle mūlasāmikāna’ntiādi vutta’’nti.
ทุติยปตฺตสทิโสเยวาติ อิมินา ปญฺจนฺนมฺปิ สหธมฺมิกานํ น กปฺปตีติ ทเสฺสติฯ ตตฺถ การณมาห ‘‘มูลสฺส สมฺปฎิจฺฉิตตฺตา’’ติฯ อถ มูลสฺส สมฺปฎิจฺฉิตตฺตา รูปิยปฎิคฺคาหกสฺส ตาว อกปฺปิโย โหตุ, เสสานํ ปน กสฺมา น กปฺปตีติ มญฺญมาโน ปุจฺฉติ ‘‘กสฺมา เสสานํ น กปฺปตี’’ติฯ การณมาห ‘‘มูลสฺส อนิสฺสฎฺฐตฺตา’’ติฯ ปตฺตสฺส กปฺปิยภาเวปิ สมฺปฎิจฺฉิตมูลสฺส นิสฺสชฺชิตพฺพสฺส อนิสฺสฎฺฐตฺตา เตน คหิตปโตฺต เสสานมฺปิ น กปฺปติฯ ยทิ หิ เตน สมฺปฎิจฺฉิตมูลํ สงฺฆมเชฺฌ นิสฺสฎฺฐํ สิยา, เตน กปฺปิเยน กเมฺมน อารามิกาทีหิ คเหตฺวา ทินฺนปโตฺต รูปิยปฎิคฺคาหกํ ฐเปตฺวา เสสานํ วฎฺฎติฯ อปเร ปน ‘‘มูลํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา คหิตปโตฺตปิ ยทิ สงฺฆสฺส นิสฺสโฎฺฐ, เสสานํ กปฺปตี’’ติ วทนฺติฯ เอวํ สเนฺต ‘‘มูลสฺส อนิสฺสฎฺฐตฺตา’’ติ น วตฺตพฺพํ, ‘‘สงฺฆสฺส อนิสฺสฎฺฐตฺตา’’ติ เอวเมว วตฺตพฺพํฯ
Dutiyapattasadisoyevāti iminā pañcannampi sahadhammikānaṃ na kappatīti dasseti. Tattha kāraṇamāha ‘‘mūlassa sampaṭicchitattā’’ti. Atha mūlassa sampaṭicchitattā rūpiyapaṭiggāhakassa tāva akappiyo hotu, sesānaṃ pana kasmā na kappatīti maññamāno pucchati ‘‘kasmā sesānaṃ na kappatī’’ti. Kāraṇamāha ‘‘mūlassa anissaṭṭhattā’’ti. Pattassa kappiyabhāvepi sampaṭicchitamūlassa nissajjitabbassa anissaṭṭhattā tena gahitapatto sesānampi na kappati. Yadi hi tena sampaṭicchitamūlaṃ saṅghamajjhe nissaṭṭhaṃ siyā, tena kappiyena kammena ārāmikādīhi gahetvā dinnapatto rūpiyapaṭiggāhakaṃ ṭhapetvā sesānaṃ vaṭṭati. Apare pana ‘‘mūlaṃ sampaṭicchitvā gahitapattopi yadi saṅghassa nissaṭṭho, sesānaṃ kappatī’’ti vadanti. Evaṃ sante ‘‘mūlassa anissaṭṭhattā’’ti na vattabbaṃ, ‘‘saṅghassa anissaṭṭhattā’’ti evameva vattabbaṃ.
ทุพฺพิจาริตตฺตาติ อิมินา รูปิยสํโวหาโร อเนน กโตติ ทเสฺสติฯ อเญฺญสํ ปน วฎฺฎตีติ ยสฺมาเนน รูปิยสํโวหารมตฺตเมว กตํ, น มูลํ สมฺปฎิจฺฉิตํ, ตสฺมา วินยกมฺมวเสน สงฺฆสฺส นิสฺสฎฺฐกาลโต ปฎฺฐาย อเญฺญสํ วฎฺฎติฯ อิมสฺมิํเยว จ อเตฺถ ปมาณํ ทเสฺสโนฺต ‘‘มหาสุมเตฺถรสฺส กิรา’’ติอาทิมาหฯ อปเร ปน ‘‘ทุพฺพิจาริตตฺตาติ อิมินา เกวลํ คิหิสนฺตกภาเวน ฐิเต ทุพฺพิจาริตมตฺตํ วุตฺตํ, น รูปิยสํโวหาราปชฺชนํ, ตสฺมา รูปิยสํโวหาราภาวโต โส ปโตฺต นิสฺสชฺชิตุํ น สกฺกาติ ตสฺส น กปฺปติ, อนิสฺสโฎฺฐปิ อเญฺญสํ กปฺปติฯ อนิสฺสฎฺฐเสฺสว จ อเญฺญสํ กปฺปิยภาวทสฺสนตฺถํ ‘มหาสุมเตฺถรสฺส กิรา’ติอาทิวตฺถูนิ อุทาหฎานิฯ สงฺฆสฺส นิสฺสชฺชีติ อิทญฺจ อเญฺญสํ กปฺปิยตฺตา เกวลํ สงฺฆสฺส ปริจฺจตฺตภาวํ สนฺธาย วุตฺตํ, น ปน วินยกมฺมวเสน สงฺฆสฺส นิสฺสฎฺฐภาวํฯ อิมสฺส จ อตฺถสฺส สปฺปิสฺส ปูเรตฺวาติ อิทํ วจนํ สาธก’’นฺติ วทนฺติฯ
Dubbicāritattāti iminā rūpiyasaṃvohāro anena katoti dasseti. Aññesaṃ pana vaṭṭatīti yasmānena rūpiyasaṃvohāramattameva kataṃ, na mūlaṃ sampaṭicchitaṃ, tasmā vinayakammavasena saṅghassa nissaṭṭhakālato paṭṭhāya aññesaṃ vaṭṭati. Imasmiṃyeva ca atthe pamāṇaṃ dassento ‘‘mahāsumattherassa kirā’’tiādimāha. Apare pana ‘‘dubbicāritattāti iminā kevalaṃ gihisantakabhāvena ṭhite dubbicāritamattaṃ vuttaṃ, na rūpiyasaṃvohārāpajjanaṃ, tasmā rūpiyasaṃvohārābhāvato so patto nissajjituṃ na sakkāti tassa na kappati, anissaṭṭhopi aññesaṃ kappati. Anissaṭṭhasseva ca aññesaṃ kappiyabhāvadassanatthaṃ ‘mahāsumattherassa kirā’tiādivatthūni udāhaṭāni. Saṅghassa nissajjīti idañca aññesaṃ kappiyattā kevalaṃ saṅghassa pariccattabhāvaṃ sandhāya vuttaṃ, na pana vinayakammavasena saṅghassa nissaṭṭhabhāvaṃ. Imassa ca atthassa sappissa pūretvāti idaṃ vacanaṃ sādhaka’’nti vadanti.
๕๙๑. รูปิยปฎิคฺคหณรูปิยสํโวหาเรสุ เยน เอเกกเมว กตํ, เตน ตตฺถ ตตฺถ วุตฺตนเยเนว นิสฺสชฺชิตพฺพํฯ เยน ปน ปฎิคฺคหิตรูปิเยเนว สํโวหาโร กโต, เตน กถํ นิสฺสชฺชิตพฺพนฺติ? นยิทํ ทุกฺกรํ, ‘‘อหํ, ภเนฺต, นานปฺปการกํ รูปิยสํโวหารํ สมาปชฺชิ’’นฺติ เอวเมว นิสฺสชฺชิตพฺพํฯ ‘‘อิมสฺมิํ สิกฺขาปเทปิ ‘อรูปิเย รูปิยสญฺญี, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’ติอาทิตฺติกสฺส อวสานปเท อนาปตฺติยา วุตฺตตฺตา กปฺปิยวตฺถุวเสเนว อิทํ ติกํ วุตฺต’’นฺติ ตีสุปิ คณฺฐิปเทสุ วุตฺตํฯ เกจิ ปน ‘‘อรูปิยคฺคหเณน กปฺปิยวตฺถุทุกฺกฎวตฺถูนํ สงฺคโหติ ปุริมปททฺวยํ กปฺปิยวตฺถุทุกฺกฎวตฺถูนํ วเสน วุตฺตํ, อวสานปทเมว กปฺปิยวตฺถุวเสน วุตฺต’’นฺติ วทนฺติ, ตํ น ยุชฺชติ อนาปตฺติมิสฺสิเต อวสานตฺติเก สญฺญานานตฺตํ ฐเปตฺวา วตฺถุนานตฺตสฺส อภาวโตฯ ทุกฺกฎวตฺถุนา ปน ทุกฺกฎวตฺถุโน เจตาปนํ เนว อิธ, น ตตฺถ ปาฬิยํ วุตฺตนฺติ วจนเมตฺถ สาธกํฯ ยํ อตฺตโน ธเนน ปริวตฺตติ, ตสฺส วา ธนสฺส วา รูปิยภาโว เจว, ปริวตฺตนญฺจาติ อิมาเนตฺถ เทฺว องฺคานิฯ
591. Rūpiyapaṭiggahaṇarūpiyasaṃvohāresu yena ekekameva kataṃ, tena tattha tattha vuttanayeneva nissajjitabbaṃ. Yena pana paṭiggahitarūpiyeneva saṃvohāro kato, tena kathaṃ nissajjitabbanti? Nayidaṃ dukkaraṃ, ‘‘ahaṃ, bhante, nānappakārakaṃ rūpiyasaṃvohāraṃ samāpajji’’nti evameva nissajjitabbaṃ. ‘‘Imasmiṃ sikkhāpadepi ‘arūpiye rūpiyasaññī, āpatti dukkaṭassā’tiādittikassa avasānapade anāpattiyā vuttattā kappiyavatthuvaseneva idaṃ tikaṃ vutta’’nti tīsupi gaṇṭhipadesu vuttaṃ. Keci pana ‘‘arūpiyaggahaṇena kappiyavatthudukkaṭavatthūnaṃ saṅgahoti purimapadadvayaṃ kappiyavatthudukkaṭavatthūnaṃ vasena vuttaṃ, avasānapadameva kappiyavatthuvasena vutta’’nti vadanti, taṃ na yujjati anāpattimissite avasānattike saññānānattaṃ ṭhapetvā vatthunānattassa abhāvato. Dukkaṭavatthunā pana dukkaṭavatthuno cetāpanaṃ neva idha, na tattha pāḷiyaṃ vuttanti vacanamettha sādhakaṃ. Yaṃ attano dhanena parivattati, tassa vā dhanassa vā rūpiyabhāvo ceva, parivattanañcāti imānettha dve aṅgāni.
รูปิยสํโวหารสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Rūpiyasaṃvohārasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๙. รูปิยสํโวหารสิกฺขาปทํ • 9. Rūpiyasaṃvohārasikkhāpadaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā / ๙. รูปิยสํโวหารสิกฺขาปทวณฺณนา • 9. Rūpiyasaṃvohārasikkhāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / ๙. รูปิยสํโวหารสิกฺขาปทวณฺณนา • 9. Rūpiyasaṃvohārasikkhāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ๙. รูปิยสํโวหารสิกฺขาปทวณฺณนา • 9. Rūpiyasaṃvohārasikkhāpadavaṇṇanā